เที่ยวให้สุดใจ สัมผัสลมหนาวที่ไร่องุ่นไวน์ Winter in the Vineyard at GranMonte

เวลานึกถึงอากาศเย็นๆ มีลมหนาวมาโดนตัวแล้วทำให้ยิ้มได้สบายใจ พวกเราที่ได้ชื่อว่าเป็นนักท่องเที่ยวชื่นชอบในธรรมชาติก็ต้องนึกถึงที่นี่เท่านั้นจริงๆ ‘เขาใหญ่’ อยู่ใกล้แค่นี้ ไปมาก็สะดวกดีจัง

Winter in the Vineyard at GranMonte 3

GranMonte Vineyard and Winery

Winter in the Vineyard at GranMonte 6

Winter in the Vineyard at GranMonte 4

แล้วยิ่งช่วงนี้ ระหว่างเดือนธันวาคม-มกราคม ที่นี่น่าเที่ยวสุดๆ แล้วยังมีเทศกาลท่องเที่ยวชื่อดัง “Winter in the Vineyard at GranMonte Vineyard and Winery” ยิ่งทำให้อยากไปได้อีก ไม่เคยรอช้า! ไปกันเดี๋ยวนี้เลยค่ะ

Winter in the Vineyard at GranMonte 2

ทริปนี้สื่อมวลชนพร้อมด้วยเซเลบริตี้เข้าร่วมในงานนี้ อาทิ ครอบครัวลักษณวิศิษฏ์ ได้แก่ พ.ต.อ.สังวาลย์ ฤกษ์ศรีลักษณ์-ศุภมาส-จิราภา-เฮนรี่ ลักษณวิศิษฏ์, คู่หวาน มะปราง-ปัทมวดี เสนาณรงค์ และ พ.ต.อ.สิทธิภาพ ใบประเสริฐ, ข้าวเม่า-ม.ล.อธิฉัตร ฉัตรชัย และเพื่อนซี้ ร่วมด้วย อนิรุธ ณ สงขลา ฯลฯ โดยพวกเราได้รับเชิญจากทางผู้บริหารของ ไร่องุ่นไวน์ “กราน-มอนเต้” คุณวิสุทธิ์ โลหิตนาวี เพื่อให้ทุกคนได้ลองมาค้นพบและสัมผัสบรรยากาศการเที่ยวอย่างอบอุ่นใจ

Winter in the Vineyard at GranMonte วิสุตา-วิสุทธิ์-สุวิสุทธิ์ โลหิตนาวี

(จากซ้าย) คุณนิกกี้-วิสุตา, คุณวิสุทธิ์ และ คุณมีมี่-สุวิสุทธิ์ โลหิตนาวี

ตามที่เราทราบมา “ย้อนไปราว 20 ปี ด้วยใจที่รักไวน์ หลงใหลวิธีธรรมชาติ และชอบความท้าทาย ทำให้ ‘คุณวิสุทธิ์ โลหิตนาวี’ เริ่มเนรมิตไร่องุ่นบทพื้นที่กว่า 100 ไร่ ที่เขาใหญ่เป็น อาณาจักรไวน์ “กราน-มอนเต้” (GranMonte Vineyard and Winery) มีภรรยา คือ คุณสกุณา โลหิตนาวี และลูกสาว คุณนิกกี้-วิสุตา โลหิตนาวีคุณมีมี่-สุวิสุทธิ์ โลหิตนาวี เป็นกำลังสำคัญ โดยใช้งบประมาณการลงทุนไปกว่า 200 ล้านบาท แต่การลงทุนที่สำคัญที่สุดคือการร่วมมือกันของครอบครัวทั้ง 4 คน ทำธุรกิจนี้ด้วยกันอย่างเต็มที่”

Winter in the Vineyard at GranMonte นิกกี้-วิสุตา โลหิตนาวี

คุณนิกกี้-วิสุตา โลหิตนาวี ผู้เชี่ยวชาญทางด้านการปลูกองุ่นและทำไวน์ และผู้บริหารในตำแหน่ง “ไวน์เมคเกอร์” (Winemaker หรือ Oenologist) ของไร่องุ่นไวน์กราน-มอนเต้ เล่าว่า “Winter in the Vineyard at GranMonte Vineyard and Winery เป็นกิจกรรมที่เราจัดขึ้นต่อเนื่องมาเป็นปีที่ 5 แล้ว ในช่วงเดือนธันวาคม-มกราคม ของทุกปี ซึ่งในปีนี้มีกำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 1 ธ.ค. 60 ถึง 14 ม.ค. 61 นับเป็นเทศกาลแห่งความสุข ที่หลายคนใฝ่ฝันต้องมาสัมผัส เพราะไม่มีที่ใดอีกแล้ว ที่จะได้สัมผัสลมหนาวในไร่องุ่น ที่สวยงามตามวิถีธรรมชาติ พร้อมจิบไวน์หรือน้ำองุ่นชั้นเลิศ หรือลิ้มรสอาหาร family-style เมนูพิเศษของฤดูหนาว พร้อมกิจกรรมที่น่าสนใจ และโปรโมชั่นสุดคุ้ม ซึ่งพบได้เฉพาะที่ ไร่องุ่นไวน์กราน-มอนเต้ เขาใหญ่ อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา เท่านั้น”

Winter in the Vineyard at GranMonte 5

Winter in the Vineyard at GranMonte 9

ความโดดเด่นของไร่องุ่นไวน์ “กราน-มอนเต้” คือ “เป็นผู้ผลิตไวน์ชั้นนำของประเทศไทย โดยที่ใช้ผลองุ่นที่ปลูกบนผืนไร่ของกราน-มอนเต้เองเท่านั้น และมีชื่อเสียงมาก ในวงการไวน์ทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ เนื่องด้วยคุณภาพของไวน์ และการันตีด้วยรางวัลที่ได้รับจำนวนมากในทุกปี นอกจากนี้ ยังเป็นที่รู้จัก ด้วยความสามารถของคนรุ่นใหม่อย่าง ‘คุณนิกกี้’ ที่สร้างชื่อเสียงเป็นที่รู้จักในฐานะไวน์เมคเกอร์ที่ได้รับปริญญาสาขาปลูกองุ่นและศาสตร์การทำไวน์ (Viticulture และ Oenology) เป็นคนแรกของประเทศไทย ที่มีประสบการณ์การทำไวน์ทั้งในโลกเก่าทวีปยุโรป (Old World) โลกใหม่ (New World) และประเทศไทยเองที่เป็นด่านต่อไปของโลกของไวน์ที่ขยายพื้นที่มากขึ้นเรื่อยๆ (เราเรียกการปลูกในประเทศไทยและประเทศเขตร้อนอื่นๆ ว่า New Latitude หรือ Tropical Viticulture)

Winter in the Vineyard at GranMonte 11

เซ็ตอาหารไทยเซ็ตใหญ่ อร่อยมาก ที่  VinCotto

กลับมาเล่าถึงทริปพิเศษๆ กันต่อค่ะ พวกเราเดินทางมาถึงที่ไร่องุ่นไวน์กราน-มอนเต้ ในตอนเที่ยงพอดีเพราะตั้งใจแต่แรกว่าอยากมาชิมอาหารของที่นี่สิคะ สำหรับที่ร้าน VinCotto เที่ยงนี้เขาเสิร์ฟเป็นเซ็ตอาหารไทยมาให้แบบเน้นๆ เต็มๆ มีอาหารทานเล่น ต่อมาถึงอาหารทานจริงจัง ส่วนเครื่องดื่มก็มีให้ทุกอย่างตามความต้องการของคุณๆ ส่วนที่โต๊ะเรามีสั่งทั้งกาแฟ น้ำองุ่น แต่เราขอไวน์ขาวนะคะ เพราะดูเข้ากันดี๊ดีกับอาหารไทย

Winter in the Vineyard at GranMonte 1

คุณมีมี่-สุวิสุทธิ์ โลหิตนาวี ขอนำทีมพาพี่ๆ สื่อมวลชนและเซเลบริตี้มาทัวร์ไร่องุ่น

Winter in the Vineyard at GranMonte ครอบครัวลักษณวิศิษฎ์

ครอบครัวลักษณวิศิษฏ์

Winter in the Vineyard at GranMonte ปัทมวดี เสนาณรงค์

คุณมะปราง-ปัทมวดี เสนาณรงค์

Winter in the Vineyard at GranMonte ข้าวเม่า ม.ล.อธิฉัตร ฉัตรชัย 1

คุณข้าวเม่า-ม.ล.อธิฉัตร ฉัตรชัย

Winter in the Vineyard at GranMonte 10

ทีนี้ได้เวลาไปทัวร์เที่ยวไร่องุ่นอันแสนกว้างใหญ่ งานนี้ ‘คุณมีมี่’ ขอนำทีมพาเที่ยวชม โดยมีไกด์ของที่กราน-มอนเต้คอยเล่าให้ฟังตลอดเส้นทาง ที่นี่มีปลูกองุ่นหลายสายพันธุ์ ปลูกเรียงรายแบ่งพื้นที่กันอย่างชัดเจน เพื่อการดูแลใส่ใจอย่างใกล้ชิดและเหมาะสมกับแต่ละสายพันธุ์ มีเครื่องตรวจวัดทั้งอุณหภูมิและความชื้นอยู่ทั่วทุกจุด มีลูกทัวร์หลายคนอยากรู้ว่ามุมที่ดีที่สุดและถ่ายรูปสวยที่สุดอยู่ตรงไหน คุณมีมี่ชี้มาทางบริเวณที่ตั้ง GranMonte Guest House (ใช่ค่ะ! ที่นี่มีเกสต์เฮ้าส์เปิดให้บริการที่พัก ใครอยากพักกลางไร่องุ่นก็ติดต่อจองห้องพักกันได้เลยนะคะ)…โอเค! พวกเราขอหยุดถ่ายรูปตรงนี้กันแป๊บนึง

Winter in the Vineyard at GranMonte 21

Winter in the Vineyard at GranMonte 13

Winter in the Vineyard at GranMonte 8

Winter in the Vineyard at GranMonte 15

Winter in the Vineyard at GranMonte 14

Winter in the Vineyard at GranMonte 12

จากนั้นไปเที่ยวต่อที่ โรงงานทำไวน์ (ไวน์เนอรี่) ตามด้วย การเทสต์ไวน์ พร้อมให้ความรู้ที่ลึกและละเอียดเกี่ยวกับการปลูกองุ่น และทำไวน์ ภายหลังจากเที่ยวชมจนทั่ว และได้เล็งแล้วว่าจะซื้อของอะไรกลับไปฝากเพื่อนๆ เพราะเมื่อกี๊ได้แวะดูของที่ช็อปที่มีขายของเยอะมาก เช่น ไวน์ น้ำองุ่น แยมผลไม้ เครื่องปรุงอาหาร สบู่ธรรมชาติ ฯลฯ อ้อ! มีมุมกาแฟด้วยนะคะ อยากบอกไว้เผื่อคนที่ชอบกินกาแฟจะได้เก็บเป็นข้อมูลว่าที่นี่มีขายด้วย

Escape Khao Yai 1

Escape Khao Yai 2

พูดถึงที่พักของเราในคืนนี้บ้างดีกว่า เราพักกันที่นี่ Escape Khao Yai คือเราเคยมาพักแล้วชอบมาก พอรู้ว่าจะได้มาอีกรู้สึกโอเคมากเลยค่ะ แถมครั้งนี้ได้เจอกับ ‘น้องมะม่วง Mamuang’ เป็นโปรเจ็กท์พิเศษที่ร่วมงานกันในชื่อ Escape Khao Yai X Wisut Ponnimit

Winter in the Vineyard at GranMonte 7

Winter in the Vineyard at GranMonte มะปราง-ปัทมวดี เสนาณรงค์ และ พ.ต.อ.สิทธิภาพ ใบประเสริฐ

คุณมะปราง-ปัทมวดี เสนาณรงค์ และ พ.ต.อ.สิทธิภาพ ใบประเสริฐ

Winter in the Vineyard at GranMonte ข้าวเม่า ม.ล.อธิฉัตร ฉัตรชัย

คุณข้าวเม่า-ม.ล.อธิฉัตร ฉัตรชัย

Winter in the Vineyard at GranMonte 17

ดินเนอร์ค่ำนี้ได้นั่งติดกับคุณนิกกี้ 

Winter in the Vineyard at GranMonte 20

Winter in the Vineyard at GranMonte 18

ได้กลับมาพักที่ห้อง พักผ่อนในช่วงเวลารีแล๊กซ์ส่วนตัว ตอนนี้บอกเลยว่าเราพร้อมมาก พร้อมสำหรับดินเนอร์กลางไร่องุ่นไวน์กราน-มอนเต้ ท่ามกลางบรรยากาศไอเย็นกลางขุนเขา จิบไวน์ อาหารอร่อย เสียงเพลงเล่นสดๆ ให้ฟังเพลินทั้งคืน…นอนหลับฝันดี

การมาเยือนมาพักผ่อนที่ไร่องุ่นไวน์ กราน-มอนเต้ สามารถมาได้ทุกฤดูกาล เพราะไร่องุ่นสวยงามและเปิดให้บริการเต็มรูปแบบทั้งปี แต่หากชอบความคึกคักและอยากท่องเที่ยวเขาใหญ่ช่วงอากาศหนาว ก็จะแนะมาช่วง พ.ย.-ม.ค. โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “Winter in the Vineyard 2017 at GranMonte Vineyard and Winery” เทศกาลท่องเที่ยวฤดูหนาวของไร่องุ่นกราน-มอนเต้ ระหว่างวันที่ 1 ธ.ค. 60 ถึง 14 ม.ค. 61 โดยจัดเตรียมความพิเศษไว้มากมาย ทั้งกิจกรรม อาหารเมนูพิเศษ รวมไปถึง ลดราคาห้องพักถึง 20% ในคืนวันธรรมดา (คืนอาทิตย์-คืนพฤหัส) โดยสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 092-806-7755 และ www.granmonte.com แล้วยังสามารถติดตามข่าวสารและเรื่องสนุกๆ จากที่ไร่ได้ที่เฟสบุ๊ค www.facebook.com/granmonte

Winter in the Vineyard at GranMonte คู่แม่-ลูก ศุภมาส-จิราภา ลักษณวิศิษฏ์

Winter in the Vineyard at GranMonte 19

ตื่นเช้ามาสูดอากาศดีๆ ให้ตัวเอง ก่อนกลับเข้ากรุงเทพฯ ทีมเราทั้งหมดแวะมาทานอาหารเช้าที่ VinCotto เขาว่าเช้านี้มีคนแนะนำให้กิน ‘ไข่กระทะ’ เราสั่งแน่นอนค่ะ เพิ่มเติมอีกด้วยทั้งน้ำองุ่น กาแฟ แพนเค้ก วาฟเฟิล…ทริปนี้เก็บเกี่ยวความสุขกลับมากันเต็มที่

Red Wine Time

ไวน์แดงยอดนิยมของคนส่วนใหญ่มักหนีไม่พ้นองุ่นพันธุ์ Cabernet Sauvignon และ Merlot วันนี้ขอแนะนำไวน์จากองุ่นสองชนิดนี้ที่เหมาะที่จะดื่มในวันฟ้าครึ้ม

Red Wine 2

Cabernet Sauvignon Grapes

Casa Silva Chile 2

ไวน์ตัวแรกเป็นไวน์จากประเทศชิลี ส่วนใหญ่เวลาใครมาถามว่าจะซื้อไวน์อะไรดื่มดีเรามักบอกไปว่าคิดอะไรไม่ออกสั่งไวน์ชิลี เพราะไวน์จากที่นี่มักมีรสชาติถูกปาก เลือกแล้วมักไม่พลาด ดื่มง่าย ราคาไม่แพง สำหรับไวน์ชิลีตัวนี้ไม่ได้เป็นไวน์ธรรมดาๆ แต่เป็นไวน์ Cabernet Sauvignon Reserve ของ Casa Silva ซึ่งเป็นผู้ผลิตจาก Colchagua Valley ทางตอนใต้ของเมืองหลวง Santiago ตระกูล Silva เป็นหนึ่งในตระกูลผลิตไวน์ที่เก่าแก่ที่สุดของชิลี และตระกูลนี้เป็นผู้บุกเบิก Colchagua ให้เป็นแหล่งผลิตไวน์ที่สำคัญของประเทศ โดย Casa Silva นั้นเป็นไวน์ที่กวาดรางวัลมาแล้วมากมาย ถือว่าเป็นหนึ่งในยี่ห้อไวน์ชิลีที่ได้รางวัลมากที่สุด ไวน์รุ่น Reserve นี้ ทางผู้ผลิตจะคัดเลือกองุ่นจากโซนที่ดีที่สุดของไร่โดยได้สายพันธุ์องุ่นมาจากบอร์โดซ์ เก็บเกี่ยวองุ่นด้วยมือทั้งหมดและคัดเฉพาะองุ่นที่คุณภาพดีที่สุดมาผลิต ลักษณะของไวน์ตัวนี้น่าจะเป็นที่ถูกใจของคอไวน์เข้มๆ แมนๆ เพราะเป็นไวน์สีทับทิมเข้ม บอดี้หนักแน่น มีแทนนินสูงแต่นุ่มละมุน มีกลิ่นหอมของผลแบล็คเคอแรนท์ แบล็คเบอรี่ เชอรี่ ช็อกโกแลต และเครื่องเทศ เหมาะที่จะทานกับสตูขาแกะ หรือสตูเนื้อ หรือจะลองทานกับชีสเบอเกอร์ฉ่ำๆ ก็ดีเช่นกัน

Stew meat 2

 

Red Wine 1

Merlot Grapes

สำหรับไวน์อีกตัวนึงเป็นองุ่นพันธุ์ Merlot จากประเทศอิตาลี หลายคนอาจสงสัยว่าประเทศอิตาลีที่มีองุ่นสายพันธุ์ของตัวเองนั้นปลูกองุ่นของฝรั่งเศสด้วยหรือ คำตอบคือใช่ และปลูกมานานแล้วด้วย โดยมีการปลูกสายพันธุ์ Merlot ตั้งแต่ต้นศตวรรษที่ 19 และปัจจุบัน Merlot เป็นสายพันธุ์ที่ปลูกมากเป็นอันดับ 4 ของประเทศเลยทีเดียว ไวน์ตัวนี้ชื่อ Villa Martina จากแคว้น Friuli Venezia Giulia แคว้นนี้เป็นแคว้นที่ปลูกองุ่นจากต่างประเทศเยอะมาก และMerlot ก็เป็นหนึ่งในนั้นเพราะองุ่นเข้ากันได้ดีกับสภาพดินฟ้าอากาศของแคว้น ทำให้สามารถผลิตไวน์ทีดีมีคุณภาพ Villa Martina เป็นของตระกูล Sfiligoi ผลิตไวน์ในเขต Colio ซึ่งเป็นหนึ่งในเขตผลิตไวน์ที่ดีที่สุดของแคว้น ไวน์ตัวนี้เป็นไวน์ระดับ IGT ซึ่งถือว่าเป็นไวน์ที่ไม่มีกฎระเบียบในการผลิตมากนักโดยผู้ผลิตค่อนข้างมีอิสระในการผลิต ราคามักไม่แพง ไวน์ตัวนี้แสดงลักษณะเด่นของ Merlot คือมีทั้งกลิ่นหอมของลูกพลัม ผลเบอรี่ ช็อกโกแลตและกาแฟคั่ว มีบอดี้และแทนนินปานกลาง และเป็นไวน์ที่เหมาะกับอาหารหลากหลายชนิดตั้งแต่ไก่อบไปจนถึงหมูและสเต็กเนื้อ

steak 1

 

หาซื้อไวน์ Casa Silva Cabernet Sauvignon Reserve และ Villa Martina Merlot ได้ที่  www.passiondelivery.com

*** พิเศษสุดสำหรับแฟนๆ ของ The Editors Society เมื่อช้อปปิ้งผลิตภัณฑ์ของ Passion Delivery ผ่านทางเว็บไซด์ของ The Editors Society จะได้รับส่วนลด 200 บาทจากการสั่งซื้อของครั้งแรก เมื่อช้อปขั้นต่ำ 1,000 บาท เพียงใส่โค้ด PDEDITOR ในช่องลดราคาก่อนเช็คเอ้าท์จาก www.passiondelivery.com ***

 

เครดิตภาพ : 1, 2, 3, 4, 5, 6, 7, 8, 9

City Break Rome Part XII

เบรกเที่ยวในโรม…ดื่มอะไรในโรม ตอนที่ 2
โดย Paul Sansopone

ในอิตาลีมีสำนวนหรือสุภาษิตเกี่ยวกับไวน์อยู่หลายประโยคด้วยกัน ยกตัวอย่างเช่น “A meal without wine is like a day without sunshine.” (– Italian proverb) แต่เคล็ดลับในการดื่มไวน์ให้ได้อรรถรสนั้น มันไม่ใช่แค่หาไวน์ดีๆ มาแล้วก็ดื่มคนเดียว แต่มันคือประสบการณ์ของการดื่มครั้งนั้นต่างหากที่ประกอบไปด้วยเพื่อนร่วมโต๊ะ, สถานที่นั้น ตลอดจนวัฒนธรรมพื้นเพของที่นั่น…(The secret to enjoying best Italian wines – indeed any good wines, is not just to drink them, but to experience the people, places, and cultures that create them.)

เมื่อคราวก่อนเราพูดถึงกาแฟที่เป็นเครื่องดื่มยอดนิยมของโรมไปแล้ว โดยแนะนำให้รู้จักพื้นฐานของกาแฟอิตาเลี่ยนคร่าวๆ ก่อนจะไปลองที่ร้านระดับตำนานที่ใครๆ ที่มาโรมก็ต้องไปลอง คราวนี้มาถึงเครื่องดื่มที่มีความนิยมไม่แพ้กัน และไวน์บาร์ที่โรมหรือที่เรียกกันที่นั่นว่า Enoteca ก็มีอยู่ทุกย่านทุกมุมเมืองเช่นกัน แต่ก่อนจะพาไปร้านที่แนะนำ เราก็ควรรู้พื้นฐานของไวน์อิตาเลี่ยนกันก่อน เมื่อถึงเวลาไปลองจะได้เพิ่มอรรถรสมากขึ้น
ดื่มไวน์อิตาเลียน Vino Italiano

City Break ROME Wine 4

Photo credit: http://www.bywine.nl

คนอิตาเลี่ยนดื่มไวน์กับอาหารมาตั้งแต่วัยรุ่น แต่ไม่ทำตัวเป็นผู้รู้มากเรื่องไวน์เหมือนพวก Wine Snobby (หมายถึงพวกที่ดื่มแล้วชอบเชิดหน้า) ไวน์ที่นี่ราคาไม่แพงมาก การเลือกดื่ม Table Wineไม่ใช่เรื่องน่าอายหรือเสียหาย และถ้าไม่มีความรู้เกี่ยวกับไวน์ก็ไม่เป็นไรเลยรู้แค่กฎเกณฑ์พื้นฐานเช่นไวน์แดงเข้ากับเนื้อแดง ไวน์ขาวเข้ากับเนื้อขาวหรืออาหารทะเลก็ดื่มไวน์ได้แล้ว ไม่จำเป็นต้องเป็น Connoisseur(ผู้ชำนาญเรื่องการชิมการดื่ม) ก็ใช้วิธีขอคำแนะนำจากเพื่อนผู้รู้ที่ไปด้วยหรือถาม Waiterเยอะๆ ไม่เสียหายถ้าเป็นผม ผมมักจะเลือกไวน์ท้องถิ่นของเขตนั้น เช่น แบบคลาสสิกเลยก็ Chianti ถ้าอยู่ในTuscany, ไวน์ Valpolicella ถ้าอยู่ใน Veneto, Nero d’Avola ใน Sicily และ Pinot Grigio หรือไวน์ขาวตัวอื่นใน Friuli-Venezia Giulia ยิ่งถ้าเราจะทานร่วมกับอาหารท้องถิ่นแต่ถ้ารู้ว่าไวน์เขตนั้นไม่ดีก็ต้องดูตัวอื่นที่อยู่ในลีส

City Break ROME Wine 2

การอ่านฉลากไวน์อิตาเลี่ยน

City Break ROME Wine 21

City Break ROME Wine 17

City Break ROME Wine 14

City Break ROME Wine 13

Italian Wine Label ทั่วๆ ไปดูไม่ยากมันคล้ายของไวน์ฝรั่งเศส ตัวหนังสือใหญ่แถวบนสุดคือผู้ผลิต(growerหรืออาจรับจากชาวไร่องุ่นในพื้นที่นั้นมาทำ) ตามตัวอย่างจะเป็น Pegrandi จากนั้นลงมาก็จะเป็นชื่อองุ่นหรือเขตปลูกองุ่น ในตัวอย่างคือ Valpolicella แล้วต่ำกว่านั้นก็จะเป็นการระบุชั้นหรือ classificationเช่น DOCG, DOC, IGT, or VdT จะมีปีผลิต vintage year อยู่ด้านบน อาจมีผู้จัดจำหน่ายหรือค่ายอยู่ด้านล่าง เช่น Vaona

การแบ่งเกรดของไวน์อิตาลี
เริ่มในปี 1963 (พ.ศ.2506) โดยมีกฎหมายฉบับที่ 930/1963 ชื่อ “ลอว์ ออฟ เมดิโอคริตี้” (Law of Mediocrity) เป็นกฎหมายควบคุมคุณภาพการผลิตไวน์กำหนดพื้นที่ทางภูมิศาสตร์เรียกว่า เดโนมินาซิโอเน่ ดิ ออริจิเน่คอนโตรลลาต้า (Denominazione di Origine Controllata) ระยะแรกกฎหมายฉบับนี้ยังไม่เป็นที่ยอมรับ เพราะมีช่องโหว่เยอะกระทั่งทศวรรษที่ 1990 อุตสาหกรรมการผลิตไวน์ในยุโรปขยายตัวจึงมีการแก้ไขกฎหมายฉบับนี้ให้สมบูรณ์มากขึ้น นายโจวานนี กอเรีย (Giovanni Goria) รมว.กระทรวงเกษตร จึงเสนอกฎหมายชื่อ “New Disciplinary Code for Denomination of Wines of Origine” ต่อคณะกรรมการไวน์ของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา (Wines Chamber of Deputies and the Senate)
กฎหมายดังกล่าวผ่านการรับรองและมีผลบังคับใช้ในวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 1992 และใช้มาจนถึงปัจจุบัน เป็นกฎหมายฉบับที่ 164/1992 เรียกสั้นๆ ว่า “กฎหมายของกอเรีย” (Goria’s law) แบ่งเกรดไวน์เป็น 2 ระดับคือ ดีโอ ไวน์ (DO wines) และ วิโน่ ดา ตาโวล่า (Vino da Tavola) พร้อมกับเพิ่มเกรดไอจีที (IGT)

City Break ROME Wine 8

ดีโอซีจี (DOCG = Denominazione di Origine Controllata e Garantita) เป็นไวน์เกรดดีโอซี (DOC) ที่คุณภาพสูงขึ้นไปอีกขั้นหนึ่งโดยหน่วยงานของรัฐเป็นผู้กำหนดและจัดทำฉลากพันรอบคอขวด 3 สี สีชมพูอ่อนใช้สำหรับไวน์ขาวมีฟอง สีเขียวอ่อนสำหรับไวน์ขาว และสีม่วงแดงสำหรับไวน์แดง ถ้าเทียบกับไวน์ฝรั่งเศสก็น่าจะเทียบได้กับระดับ Crus ต่างๆ ขึ้นไป ล่าสุด มี 36 เขตจาก 12 แคว้นที่ได้ DOCG โดยไวน์ DOCG ที่โดดเด่นที่เรารู้จักกันดีก็มักจะมาจากเขตเหล่านี้ เช่น เขตทัสคานี ได้แก่ ไวน์ Brunello di Montalcino และ Chianti Classicoที่ใช้องุ่น Sangiovese (ซานโจเวเซ่), เขตเปียดมอนเต้ ได้แก่ ไวน์ Barolo และไวน์ Barbaresco ที่ใช้องุ่น Nebbiolo (เนบบิโอโล) และไวน์ Amarone จากเขตเวเนโต้ ที่ใช้องุ่นตัวหลักคือ Valpolicella (วัลโปลิเซลล่า)

City Break ROME Wine 12

ดีโอซี (DOC – Denominazione di Origine Controllata ) เป็นพื้นที่ที่กำหนดไว้โดยเฉพาะและใช้ชื่อตามชื่อทางภูมิศาสตร์ของพื้นที่นั้นๆ ผลิตไวน์อย่างเคร่งครัดตั้งแต่การปลูกองุ่น การใช้พันธุ์องุ่น จนถึงกระบวนการผลิตจนออกสู่ท้องตลาดเป็นไวน์คุณภาพมาตรฐานเทียบเท่ากับไวน์ AOC (Appellation d’Origin Controlee) ของฝรั่งเศส (นอกจากนั้น DOC ยังใช้รับรองคุณภาพอาหารของอิตาลีด้วย) ปัจจุบันมี 317 เขตที่ได้ DOC

ไอจีที (IGT – Indicazione Geografica Tipica ) กำหนดโดยสภาพทางภูมิศาสตร์เป็นพื้นที่ผลิตไวน์ที่กว้างขวางทำไวน์อย่างมีแบบแผนแต่ไม่เคร่งครัดเท่าดีโอซี เป็นเกรดใหม่ที่เทียบกับ Vins de Pays ของฝรั่งเศส เพิ่งประกาศใช้เมื่อปี 1994 ปัจจุบันมีกว่า 150 เขต

ระดับ 2 วิโน่ ดา ทาโวล่า (Vino da Tavola) มี 1 เกรด

วีดีที (VdT) เป็นไวน์คุณภาพต่ำสุด เทียบได้กับ Table Wine หรือ Vins de Table ของฝรั่งเศส การผลิตไม่มีการบังคับอาจจะใช้องุ่นที่เหลือหรือคุณภาพต่ำมาผสมผสานกันก็ได้นอกจากนั้นเดิมยังหมายถึงไวน์ขบถของแคว้นทัสคานีที่ไม่ยอมใช้พันธุ์องุ่นตามที่กฎหมายกำหนดหรือใช้สัดส่วนขององุ่นผิดจากที่กำหนด จึงถูกปรับเป็น Vino da Tavola ปัจจุบันหลายตัวขยับเป็นIGT

จากข้อมูลของ Conseil Général de la Dordogne ในปี 2005 ระบุว่าไวน์เกรด DOC/DOCG ประมาณ 82% อยู่ทางตอนเหนือของอิตาลี รอบๆ Piemonte (เพียดมอนต์) Tuscany (ทัสคานี)และVeneto (เวเนโต)
ในขณะที่ไวน์เกรด Vino da Tavola และ IGT มีผลผลิตรวมกันประมาณ 77% ของผลผลิตทั้งหมด

จะเห็นนะครับว่าไวน์ที่เรียกว่า Everyday wine ที่เป็นไวน์เกรด Vino da Tavola และ IGT ผลิตสูงมากถึง 77% และเป็นไวน์ที่ส่วนใหญ่จะบริโภคอยู่แค่ภายในในประเทศอิตาลีเท่านั้น ในขณะไวน์เกรด DOC และ DOCG ที่เป็นไวน์คุณภาพสูงและเป็นสินค้าส่งออกที่สำคัญมีการผลิตเพียง 23% เท่านั้น แต่ช้าก่อน ไวน์ที่ดีที่สุดของอิตาลีไม่ได้ประดับยศสูงสุดนะครับ มันไม่ได้DOCG หรือ DOCไวน์กลุ่มที่เรียกว่า “Super Tuscans,” ได้ยศแค่ IGT ทำไมเป็นอย่างนั้น ก็เพราะกลุ่มไวน์เหล่านี้ใช้องุ่นจากนอกเขต ส่วนใหญ่ใช้องุ่นพันธุ์ merlot และหรือcabernet sauvignon จากเขต Bordeaux ของฝรั่งเศส และกรรมวิธีที่แตกต่างนอกกฎควบคุมของ DOCG, DOC จนได้รับฉายาว่า ‘ไวน์กบฎ’หรือไวน์ลูกผสม(อิตาเลี่ยน-ฝรั่งเศส) แต่กลุ่มผู้ผลิต Super Tuscanก็ให้เหตุผลว่าจำเป็นต้องทำเพื่อเพิ่มขีดความสามารถของการแข่งขันของไวน์อิตาลีในระดับโลกที่ได้ชื่อว่าแข่งได้แค่ปริมาณการผลิตต่อปี แต่คุณภาพสู้ฝรั่งเศสหรือไวน์โลกใหม่ไม่ได้ ซึ่งปัจจุบันนี้ไวน์ซูเปอร์ ทัสคัน ได้พิสูจน์แล้วว่ารับความสำเร็จกลายมาเป็นไวน์ที่แพงที่สุดของอิตาลีและเป็นที่กล่าวขานมากที่สุดโดยเฉพาะไวน์ที่ได้รับฉายาว่าเป็น 5 ทหารเสือ ได้แก่ไวน์ Sassicaia (ซาสซิกายา), Tignanello (ติยาเนลโล) ,Solaia (โซลายา), Ornellaia (ออร์เนลลายา) และ Masseto (มาสเซโต้)

ภาพด้านล่างคือ ตัวแนวหน้าของ ซูเปอร์ ทัสคัน ซึ่งทั้งหมดผลิตในเขต Chianti Classico (กิอานตี้ คลาสสิโค) ซึ่งอยู่ทางใต้ของเมือง Florence (ฟลอเรนซ์)

City Break ROME Wine 18

พอรู้จักเกรดแล้วควรมีความรู้เรื่ององุ่นไว้เล็กน้อย เพราะการคุยไวน์นั้นคุยย่านหรือเขตผลิตยังไม่พอ ต้องลงไปถึงองุ่นด้วยครับแล้วจึงค่อยไปถึงสัมผัสที่ได้จากการชิม สายพันธุ์องุ่นของอิตาลี

ปี 2005 อิตาลีมีพื้นที่ปลูกองุ่นรวม 760,000 เฮกแตร์ (ประมาณ 2,500,000ไร่) องุ่นที่ปลูกในอิตาลีอย่างเป็นทางการมีกว่า 350 พันธุ์ เมื่อรวมกับองุ่นที่ไม่เป็นทางการจะมีอยู่กว่า 457 พันธุ์ แต่องุ่นพันธุ์หลักๆ มีดังนี้

City Break ROME Wine 11

City Break ROME Wine 20

องุ่นแดงสำหรับทำไวน์ของอิตาลีที่สำคัญ ๆ มีประมาณ 10 พันธุ์ ดังนี้
Sangiovese (ซานโจเวเซ่) ราชาองุ่นแดงประจำแคว้นทัสคานี

Nebbiolo (เนบบิโอโล) องุ่นแดงประจำแคว้นเพียดมอนต์

Montepulciano (มอนเตปุลเชียโน) เป็นชื่อขององุ่นและชนิดของไวน์ ที่ทำในอบุซโซ่ (Abruzzo) จึงเรียกว่าMontepulciano d’Abruzzo (ไวน์คุณภาพดีจะมาจาก Pescara และChieti) โดย Montepulciano เป็นเมืองหนึ่งจังหวัดซิเอน่า (Siena) อยู่ทางใต้ของทัสคานีนิยมใช้ซานโจเวเซ่มาผสมด้วยประมาณ 10% เพื่อทำไวน์แดงฟรุตตี้ แทนนินส์ นุ่มเนียน สามารถดื่มขณะเป็นไวน์ใหม่ได้ แต่ถ้าบ่มโอ๊ค 2 ปีจะเป็นไวน์ Riservaนอกจากนั้นยังใช้ผสมกับองุ่น Ciliegolo เพื่อทำไวน์ Torgiano ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาองุ่นพันธุ์นี้ถูกนำไปปลูกในออสเตรเลียมากขึ้น

Barbera (บาร์เบร่า) องุ่นที่ปลูกมากเป็นอันดับ2ในอิตาลี ปลูกมากในแคว้นเพียดมอนต์และตอนใต้ของLombardy (ลอมบาร์ดี)

Corvina (คอร์วิน่า) องุ่นประจำแคว้นVeneto(เวเนโต้) ซึ่งอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของอิตาลี บางครั้งจึงเรียกว่า Corvina Veronese หรือ Cruina เป็นองุ่นหลักที่ใช้ทำไวน์ชื่อดังของเวเนโต้ 2 อย่างคือ Valpolicella (วัลโปลิเซลล่า) และAmarone (อมาโรเน)ที่ต้องผสมกับองุ่นอีก 2 พันธุ์คือ Rondinella และMolinara นอกจากนั้นยังใช้ทำไวน์หวาน Recioto della Valpolicella และไวน์แดง Bardolino ที่ผสมกับRondinella และ Molinara อาจจะมี Negrara ด้วย

แต่ถ้าเป็นไวน์ Garda Corvina (Denominazione di OrigineControllataDOC)ต้องใช้คอร์วิน่าอย่างน้อย 85%

City Break ROME Wine 22

Nero d’Avola (เนโร ดาโวล่า)หนึ่งในองุ่นแดงสำคัญของอิตาลี และเป็นองุ่นประจำเกาะซิซิลี Avola เป็นเมืองเล็กๆทางตะวันออกเฉียงใต้บนเกาะซิซิลี Nero แปลว่าดำรวมความคือองุ่นดำแห่งเมืองอโวล่า (The Black Grape of Avola) ลักษณะคล้ายชิราซจากโลกใหม่ มีพลัม เปปเปอร์ และแทนนินออกหวานๆ ชื่ออื่นๆ ขององุ่นพันธุ์นี้มักจะมีคำว่า Calabrese ประกอบเช่น Calabrese D’Avola, Calabrese De Calabria, Calabrese Dolce, Calabrese Pittatello, Calabrese Pizzuto, Calabriai Fekete, Raisin De Calabre Noir และ Struguri De Calabria เป็นต้น

Dolcetto (ดอลเชตโต้)องุ่นแดงที่ปลูกมากในเพียดมอนต์ แปลว่า “little sweet one” แต่ใช้ทำไวน์ Dry (ดราย) Fruity(ฟรุตตี้) แบล็คเคอร์เร้นท์ พรุน ชะเอม แทนนินส์และมีกรดค่อนข้างสูงเหมาะจะดื่ม 1-2 ปีหลังจากวางตลาด

Negroamaro or Negro Amaro (เนโกรอมาโร)องุ่นแดงที่ปลูกมากทางใต้ของอิตาลีโดยเฉพาะแถวPuglia (ปุเกลีย) และSalento (ซาเลนโต้) คุณภาพดีที่สุด ทำไวน์แดงสีเข้มรสชาติเรียบๆ ผสานกับกลิ่นหอม กลิ่นดิน และขม เพราะคำว่า Amaro ในภาษาอิตาลีแปลว่าขมโดยเฉพาะสุดยอดไวน์แดงของ Puglia (ปุเกลีย)ใช้ผสมกับ Malvasia Nera

Aglianico (อายานิโก้)องุ่นแดงพันธุ์โบราณจากกรีซ ถูกนำเข้ามาปลูกมาใน Campania (คัมปาเนีย) และ Basilicata(บาซิลิกาต้า) ใช้ผลิตไวน์ชื่อดัง Taurasi (เทาราซี) ในหมู่บ้านเทาราซีในคัมปาเนีย ซึ่งเป็นDenominazionedi Origine Controllata e Garantita (DOCG)ไวน์ที่ผลิตจากองุ่น Aglianico จะ full bodies แทนนินส์หนักแน่น และกรดสูง จึงจำเป็นต้องบ่มในถังไม้โอ๊ค Campania (คัมปาเนีย) นิยมผสมกับCabernet Sauvignon (กาแบร์เนต์ โซวีญยอง) และแมร์โลต์ ทำไวน์เกรด IGT

ซากรานติโน (Sagrantino) องุ่นแดงแห่งแคว้นอุมเบรีย (Umbria) ตอนกลางของอิตาลี ปลูกได้ดีในหมู่บ้านMontefalco มีผู้ผลิต25 รายในพื้นที่250 เอเคอร์เป็นองุ่นที่แทนนินสูงมากพันธุ์หนึ่งของโลก สีแดงเข้มข้นผลไม้ดำพลัม อบเชย และดินใต้พิภพไวน์ Sagrantino di Montefalco DOCG ต้องทำจากองุ่นซากรานติโน 100% และบ่มถังโอ๊ค 29เดือนแต่ถ้าเป็น Montefalco Rosso อาจจะใช้ซากรานติโน 10-15% ที่เหลือเป็นซานโจเวเซ่ และพันธุ์อื่นๆ

นอกจากนั้นยังมี Malvasia Nera, Ciliegolo, Gaglioppo, Lagrein, Lambrusco, Monica, Nerello Mascalese, Pignolo, Primitivo, Refosco, Schiava, Schiopettino, Teroldego และ Uva di Troia
ส่วนองุ่นเขียวสำหรับทำไวน์ขาวที่สำคัญๆ ประกอบด้วย

City Break ROME Wine 16

เทรบไบอาโน่ (Trebbiano) องุ่นเขียวที่ปลูกมากที่สุดในอิตาลี ในพื้นที่กว่า 80 DOC แต่ที่คุณภาพดีอยู่ที่ Abruzzo

มอสกาโต้ (Moscato) ปลูกมากในเพียดมอนต์ ส่วนใหญ่ใช้ทำสปาร์คกลิ้งไวน์เบาๆ (Frizzante) และสปาร์คกลิ้งกึ่งหวานที่โด่งดังคือ Moscato d’Asti
(คนละอย่างกับ Moscato giallo และ Moscato Rosa องุ่น 2 สายพันธุ์จากเยอรมันที่ปลูกใน Trentino Alto-Adige)

Nuragus (นูรากัส)องุ่นโบราณตั้งแต่สมัยฟินิเซียน พบมากทางใต้ของ Sardegna ใช้ทำไวน์ขาวเบาๆ ดื่มง่ายๆ เป็นApertif

ปิโนต์ กรีโจ้ (Pinot Grigio) องุ่นเขียวที่ทั่วโลกรู้จักกันดี ปลูกมากใน Lombardy รอบๆ Oltrepo Pavese,Alto Adige และในFriuli-Venezia Giulia

Tocai Friulano (โตไก ฟริยูลาโน)องุ่นที่กำาเนิดในเวเนโต้ แล้วมาเติบโตใน Friuli จนกลายเป็นองุ่นประจำแคว้นFriuli-Venezia Giulia ทางตะวันออกเฉียงเหนือของอิตาลีทำไวน์แล้วมีกลิ่นกู้สเบอร์รี่ ดอกไม้ กรดปานกลาง แต่แอลกอฮอล์สูงในแคลิฟอร์เนียเรียกว่า Sauvignon Vert ในถิ่นอื่นอาจจะเรียกว่า Sauvignonasse หรือ Friulano นอกจากนั้นยังปลูกมากในชิลีและแรกๆ เข้าใจผิดว่าเป็นSauvignon Blanc (โซวีญยอง บลองซ์)

Ribolla Gialla (ริบอลล่า จิอัลล่า)องุ่นที่มีต้นกำเนิดจากกรีซเข้ามาอิตาลีโดยผ่านทางสโลเวเนีย ก่อนจะมาประจำที่แคว้น Friuli-Venezia Giulia ปลูกได้ดีใน Goriziaปัจจุบันในสโลเวเนียเรียกว่า Rebula ส่วนในกรีซเรียกว่า Robola ทำไวน์สีเหลืองเข้ม บอดี้เบา มีกลิ่นดอกไม้นำเลมอน สับปะรด กรดสูง ถ้าบ่มในถังไม้โอ๊คจะมีกลิ่นถั่ว

Arneis (อาร์ไนส์)องุ่นเขียวเก่าแก่อีกพันธุ์หนึ่งของเพียดมอนต์ ปลูกมากบริเวณ Roero Hill ใกล้ๆเมืองอัลบ้า (Alba) ทำไวน์ขาวดราย Z (Dry) ฟูลบอดี้ (full bodies)กลิ่นพีช และ แอปริคอต

มาลเวเซีย เบียงคา (Malvasia Bianca) หรือมาลเวเซีย (Malvasia) ต้นกำเนิดจากกรีซ ปัจจุบันปลูกทั่วโลก ในอิตาลีปลูกมากบริเวณ Sicily,Lipari และSardinia

Garganega (การ์กาเนก้า)ปลูกมากในเวเนโต้ โดยเฉพาะเมือง Verona (เวโรน่า) ซึ่งเป็น 1 ใน 32 DOCG และVicenza (วิเซนซ่า) ใช้ทำไวน์ขาวชื่อดังคือSoave (โซอาเว)ซึ่งอาจจะผสม Trebbiano (เทรบไบอาโน่) ประมาณ 30 %

มารู้จักภาษาอิตาเลียนที่อาจอยู่บนฉลากไวน์นิดหน่อยมันไม่ได้ยากมาก
“Vino rosso” วีโนรอสโซ่ red wine
“Vino bianco” วีโนบิอานโกwhite wine
“Vino rosato”: วิโนโรซาโต rosé wine
“Vino amabile”วีโนอมาบิเล่ a medium-sweet wine
“Vino dolce”: วิโนโดเช่ sweet wine
“Vino secco”: วีโน เซกกโก dry wine
“Vino abboccato”:วีโนอับโบกัตโตsemi-dry wine
“Vino corposo”: วีโนกอรโปโซa full-bodied wine
“Vino aromatico”วีโนอโรมาติโกaromatic wine
“Vino frizzante” วีโนฟริซซานเตsemi-sparkling wine
คำว่า“azienda” บนฉลากหมายถึงestatesคือค่ายหรือผืนดินที่ปลูกองุ่น“anno” ปีที่ผลิต “produttore” คือผู้ผลิต producer. “Gradazione alcolica“คือปริมาณแอลกอฮอล์ imbottigliato all’origine,” หมายถึงไวน์บรรจุขวดโดยผู้ผลิต“Vendemmia” คือการเก็บเกี่ยว “vitigno” หมายถึงองุ่น “vine.”

ที่สุดของ Enoteca(ไวน์บาร์)ในโรม
สำหรับช่วงเวลาที่เหมาะสมในการเที่ยวไวน์บาร์นั้นก็คงเป็นตั้งแต่บ่ายแก่ๆ หรือช่วงเย็นๆ เป็นต้นไป เพราะไวน์บาร์มักจะมีอาหารแบบอาหารว่างรองท้อง อาหารก่อนมื้ออาหารจริง antipasto ที่ประกอบด้วย cheese และ cold cut แต่บางแห่งก็มีอาหารเป็นเรื่องเป็นราวมากกว่านั้นจนแทบไม่ต้องไปทานมื้อเย็นต่อก็ได้ วัฒนธรรมก็คล้ายกับไปเข้าบาร์Tapasในสเปน แต่จะเน้นไวน์มากกว่าอาหาร
บางคนต้องการไปไวน์บาร์เพื่อศึกษาทำความรู้จักไวน์หลายๆ ตัวที่เขาผู้นั้นไม่เคยลอง เพราะจะซื้อทุกแบบทุกขวดก็คงไม่ใช่ เพราะมันเหมือนลองผิดลองถูกแล้วอาจชอบจริงแค่แบบเดียว ไวน์บาร์หลายแห่งในโรมจึงมักมีไวน์ดังจากทุกเขตของอิตาลีเปิดขายเป็นแก้วในแบบ mescita (by-the-glass) ที่สำคัญเราจะได้พูดคุยหรือเรียนรู้เรื่องไวน์จากผู้ชำนาญเฉพาะทางหรือsommelier เพราะไวน์บาร์ดีๆ นั้นเขาไม่ได้จ้างแค่บาร์เทนเดอร์มารินไวน์เสิร์ฟไวน์เฉยๆ แต่มักจะจ้างคนที่มีความรู้แบบเจนจัดมาช่วยเพิ่มพูนความรู้และประสบการณ์การดื่มไวน์ของเราเป็นอย่างดี
ขอแนะนำที่สุดของ Enoteca (ไวน์บาร์)ในโรม
1. Ai Tre Scalini ร้านนี้เปิดมาตั้งแต่ปี 1895 หน้าตาด้านนอกมีส่วนคล้ายร้านกาแฟ caffe della paceที่แนะนำไปตอนที่แล้วตรงสีของร้านและการปล่อยไม้เลื้อยมาเกะกะหน้าร้าน ที่นี่ตอบโจทย์ คนที่ต้องการลองไวน์ท้องถิ่นและไวน์ดีจากเขตต่างๆ ของอิตาลี หรือเรื่องงบประมาณทุกระดับ อาหารก็ดีให้ลองสั่งไส้กรอกเซียน่าดูครับ
Ai Tre Scalini via Panisperna 251, Rome, Italy, +390648907495

City Break ROME Wine 6

City Break ROME Wine 7

 

2. Cul de Sac ร้านนี้เปิดมาตั้งแต่ปี 1900 มีไวน์ให้เลือกกว่า1500ตัว เริ่มเป็นที่นิยมมากขึ้นเพราะมีคนเขียนเชียร์เยอะว่าเป็นที่ๆต้องมาลองในโรมหากชอบไวน์อิตาเลียน ก็เลยเริ่มมีนักท่องเที่ยวมากกว่าคนท้องถิ่น
Cul de Sac Piazza Pasquino 73, Rome, Italy, +390668801094

City Break ROME Wine 10

 

3. Trimani ร้านนี้เปิดมาตั้งแต่ปี 1821 เอาเป็นว่า100กว่าปีที่ผ่านมา เวลาที่ชาวกรุงโรมอยากดื่มไวน์หรือซื้อไวน์ดีๆกลับมาดื่มที่บ้านชื่อร้านนี้จะลอยมาในหัว เหมือนเวลาเรานึกไม่ออกว่าวันนี้จะทานมื้อกลางวันเป็นอะไรดีแล้วภาพ ‘กระเพราไก่ไข่ดาว’ก็ลอยมา ที่นี่ราคามาตรฐานครับ
Trimani via Goito 20, Rome, Italy, +39064469661

City Break ROME Wine 9

City Break ROME Wine 19

 

4. Antica Enoteca ร้านนี้เปิดมาตั้งปี 1720 ถือว่าเป็นร้านไวน์ที่เก่าแก่ที่สุดของโรม แต่คุณภาพไม่ได้เก่าตามเพราะเพียบพร้อมด้วยอาหารและกับแกล้ม การได้มาดื่มไวน์ที่เคาร์เตอร์บาร์สุดคลาสิกของที่นี่ก็เหมือนได้ดื่มกับบุคคลดังในอดีตทั้งหลายที่เคยได้ยืนที่เคาร์เตอร์นี้มาเช่นกัน
Antica Enoteca via della Croce 76B, Rome, Italy, +39066790896

 

5. Enoteca Regional Palatium ถ้าเราต้องการไวน์บาร์ที่เน้นไวน์ท้องถิ่นของโรมซึ่งก็คือไวน์ของเขตLazioนั้นที่นี่อาจเรียกได้ว่าเป็นสถาบันไวน์และอาหารโรมันได้เลยล่ะที่นี่ที่นักการเมืองและผู้ที่ทำงานofficeไส่สูทเท่ห์ของเซนญ่ามาใช้บริการ ร้านนี้เสิร์ฟ อาหารโรมันที่ดีเยี่ยมและไวน์ท้องถิ่น เหมาะมากสำหรับอาหารกลางวันเร่งด่วนหรือในชั่วโมงค็อกเทลก่อนมื้ออาหารเย็น สถานที่ก็อยู่ไม่ไกลจากจัตุรัสบันไดสเปนเหมาะมากสำหรับคุณผู้ชายที่ใช้เป็กิจกรรมฆ่าเวลารอภรรยาเดินช็อปปิ้งในย่านนั้น
Enoteca Regional Palatium via Frattina 94, Rome, Italy, +390669202132

City Break ROME Wine 15

 

แล้วเจอกันตอนหน้าเป็นเรื่อง Night out in Rome ครับ

Moscato d’Asti – ไวน์หวานชื่นใจ

ในการจับคู่อาหารกับไวน์มีหลักการง่ายๆ เช่น เนื้อสัตว์สีแดงพวกเนื้อวัวหรือเนื้อแกะควรทานคู่กับไวน์แดง ส่วนเนื้อสัตว์สีขาวพวกปลาหรือไก่ก็ควรทานคู่กับไวน์ขาว สำหรับขนมหวานล่ะควรทานกับอะไร วันนี้ขอแนะนำไวน์ตัวนึงเป็นไวน์ซ่าๆ เล็กน้อยที่ผลิตมาสำหรับทานกับขนมหวานโดยเฉพาะ

Wine & Dessert

Wine & Dessert 2

ไวน์ตัวนี้คือ Moscato d’Asti ไวน์มีฟองเบาๆ หรือที่ภาษาอิตาเลี่ยนเรียกว่าเป็น frizzante เป็นไวน์จากเมือง Asti ในแคว้นเพียมอนต์ซึ่งเป็นแคว้นที่ผลิตไวน์อันเลื่องชื่อของอิตาลี Moscato d’Asti ทำจากองุ่นพันธุ์ Moscato Bianco ซึ่งเป็นองุ่นที่มีความหอมยวนใจของดอกไม้นานาพันธุ์และผลไม้สุกฉ่ำ เป็นองุ่นที่มีกลิ่นหอมตราตรึงแม้ได้ลองเพียงครั้งเดียว ไวน์ Moscato d’Asti นั้นเขามีกฎว่าจะต้องปลูกองุ่นบนภูเขาที่ระดับความสูงที่กำหนดไว้ การปลูกองุ่นในที่สูงแบบนี้จะทำให้องุ่นได้รับลมเย็นจากภูเขาอันจะมีผลให้องุ่นสามารถกักเก็บacidity เอาไว้ได้ถึงแม้ว่าองุ่นจะสุกได้ที่ ไวน์ที่ได้จะไม่หวานเลี่ยนหยาด แต่จะเป็นความหวานที่มีระดับความเปรี้ยวมาตัดแบบกำลังดี ทานได้ไม่เบื่อ

Bersano Italy

Bersano Italy 1

moscato-asti-grape-bunch

วิธีผลิต Moscato d’Asti ก็คือเขาจะหมักน้ำองุ่นไปจนได้ระดับแอลกอฮอล์ที่ต้องการ (ประมาณ 5%) แล้วทางผู้ผลิตจะหยุดการหมักโดยการนำไวน์ไปแช่เย็น เพื่อให้ยีสต์หยุดทำงานที่แอลกอฮอล์ระดับ 5%นี้ ไวน์จะยังคงมีความหวานและมีก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์อ่อนๆ ให้ความซ่าเบาๆ เพราะการมีแรงดันในขวดไม่มาก Moscato d’Asti จึงสามารถใช้จุกก็อกธรรมดาปิดขวดได้ ไม่ต้องใช้จุกก็อกรูปเห็ดแบบสปาร์คกลิ้งไวน์ทั่วไป

Moscato d'Asti Wine & Dessert 1

Moscato d’Asti ในบ้านเรามีหลายยี่ห้อ วันนี้ขอแนะนำไวน์ของ Bersano ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ผลิตที่สำคัญของเพียมอนต์ที่เริ่มทำไวน์มาตั้งแต่ต้นศตวรรษที่ 20 ปัจจุบัน Bersano ตกเป็นของตระกูล Massimelli และ Soave ไวน์ตัวนี้มีกลิ่นอันหอมกรุ่นของดอกส้ม ลูกพีชและผลแอปริคอทสุกฉ่ำ บวกกลิ่นสมุนไพรพวกใบเซจ มีรสชาติหวาน และมีรสเปรี้ยวมาตัดให้ชื่นใจ เหมาะสำหรับทานแช่เย็นในอากาศร้อนๆ เคล้ากับไอศกรีมซันเดย์หรือทาร์ตผลไม้เป็นที่สุด

Wine & Dessert 3

Wine & Dessert 4

 

 

หาซื้อ Bersano Moscato d’Asti Monteolivo ได้ที่ www.passiondelivery.com

*** พิเศษสุดสำหรับแฟนๆ ของ The Editors Society เมื่อช้อปปิ้งผลิตภัณฑ์ของ Passion Delivery ผ่านทางเว็บไซด์ของ The Editors Society จะได้รับส่วนลด 200 บาทจากการสั่งซื้อของครั้งแรก เมื่อช้อปขั้นต่ำ 1,000 บาท เพียงใส่โค้ด PDEDITOR ในช่องลดราคาก่อนเช็คเอ้าท์จาก www.passiondelivery.com ***

 

เครดิตภาพ : 1, 2, 3, 4, 5, 6, 7, 8, 9, 10

 

City Break Rome Part IX

เบรกเที่ยวในโรม…กินอะไรในโรม
โดย Paul Sansopone

… “หากจะมาสารภาพรักหรือขอแต่งงานหรือแม้แต่แต่งงานกันมา 30 ปีแล้วแต่ยังอยากจะสารภาพอีกว่ายังรักไม่เคยเสื่อมคลาย คงต้องจองโต๊ะมาช่วงพระอาทิตย์ตกดิน เพราะมันจะเป็นbackdropระดับโลก เนื่องจากพระอาทิตย์จะลับขอบฟ้าด้านหลังของ Coliseum แบบ Picture Perfect ที่สำคัญที่นี่ไม่ได้สวยแต่วิว อาหารจากเมนูระดับ 5 ดาวจากสถาบัน…”

กินอะไรในโรม

กรุงโรมมีอายุเกือบ 3,000 ปี แต่ไม่ว่าจะผ่านมากี่พันปีของประวัติศาสตร์ โรมเป็นเมืองที่ไม่เคยเป็นรองใครในเรื่องอาหารและไวน์ ที่จริงแล้วเมืองนี้เคยถูกปกคลุมไปด้วยไร่องุ่นที่เป็นส่วนหนึ่งของที่ดินของคนรวย
กรุงโรมในวันนี้ ความรักในไวน์และอาหารดีๆ ยังไม่เคยเปลี่ยนแปลงแต่กลับพัฒนามากขึ้น ในช่วง 25 ปีหลังนี้ ชาวเมือง 2.7 ล้านที่อาศัยอยู่ที่นี่ได้เติบโตขึ้นด้วยความเชื่อมั่นความมั่งคั่งและความซับซ้อน นักเดินทางจากทั่วโลกมาที่นี่เพิ่มมากขึ้น ทำให้มาตรฐานของชาวโรมันซึ่งปกติก็จู้จี้จุกจิกเรื่องการทำอาหารอยู่แล้วต้องยกมาตรฐานให้สูงขึ้น จากเดิมที่อาหารอิตาเลี่ยนมันมาจากสถาบันครอบครัวแบบง่ายๆ ใช้สูตรตำราอาหารที่เป็นมรดกตกทอดกันมา กลายมาเป็นองค์ความรู้เป็นสถาบันอาหารและมีการศึกษาลึกซึ้งกว่าเดิม
ที่นี่แตกต่างจากฟลอเรนซ์ ตูริน และเวโรนาซึ่งที่นั่นมักจะมีความเกี่ยวข้องโดยตรงกับความเป็นเลิศเรื่องไวน์ของพวกเขาในท้องถิ่น เช่นโซน Chianti, Barolo และ Valpolicella ตามลำดับ แต่ Rome ซึ่งอยู่ในพื้นที่ของลาซิโออาจมีแค่เพียงแหล่งผลิตไวน์ที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ เช่น Candida หรือ Casale Giglio แต่มันยังไม่ใช่อะไรที่ติดChart โชคดีที่ที่นี่มันคือกรุงโรมที่ถนนทุกสายมุ่งมาสู่ ดังนั้นมันเป็นเรื่องง่ายที่จะหาไวน์จากทุกภูมิภาคในกรุงโรมมากกว่าที่เป็นอยู่ในสถานที่ของแหล่งกำเนิด

City Break Rome Italy Gambero Rosso 3

ทางเลือกสำหรับการมาทัวร์ชิมไวน์และการเรียนการทำอาหารมากในเมืองอมตะแห่งนี้ ลองไปศูนย์ไวน์และอาหาร Gambero Rosso ซึ่งเป็นวารสารเกี่ยวกับอาหารและไวน์ชื่อดังของอิตาลี ของ Cittàdi Gusto (เมืองTaste) ที่ตั้งอยู่ในคลังสินค้า 86,000 ตารางฟุตในย่านมาร์โคนี ผู้เข้าชมสามารถชมเชฟอิตาเลี่ยนชั้นนำโชว์ศิลปะการทำอาหารของพวกเขา หรือเข้าร่วมการสัมมนาเชิงปฏิบัติการเรื่องไวน์หรือบางคนอาจสนใจโรงเรียนสอนทำอาหารสำหรับมือสมัครเล่นและมืออาชีพ ส่วนการชิมไวน์แบบคลาสสิกต้องไป Enoteca Costantini ใน Piazza Cavour หนึ่งในกรุงโรมที่เก่าแก่ที่สุดและมีชื่อเสียงโด่งดังที่สุดเรื่องไวน์บาร์และยังมีการจัดหลักสูตรไวน์ด้วย

City Break Rome Italy Enoteca Costantini

อาหารโรมันแท้ๆ

ในกรุงโรมที่ร้านอาหารแบบดั้งเดิมปนอยู่กับร้านแบบร่วมสมัย อาหารพิเศษของกรุงโรมไม่ได้หรูหรา หลายสูตรมาจากวัฒนธรรมคนยากจน Cucina Povera แลtได้อิทธิพลมาจากอาหารของชุมชนชาวยิวที่ใช้เนื้อชิ้นที่ไม่ใช่cut ราคาแพง บางครั้งอาจมีอาหารแบบที่ไม่น่าดูชมนักด้วยซ้ำที่มักจะประกอบด้วยชิ้นส่วนเครื่องในของสัตว์นำมาทอด Smothered แล้วไปเคี่ยวในซอส เป็นที่รู้จักกันคือ Cucina di Quinto หรือ “ไตรมาสที่ห้า” หรือมีCervello Fritto (ไส้สมองแกะทอดขนาดลูกกอล์ฟ) TRIPP Aalla Romana (ลำไส้ลูกวัวในซอสมะเขือเทศ) Vitella Piccante (ลิ้นลูกวัวในซอสเผ็ด) และ Alla Vaccinara (ตุ๋นหางวัว)

City Break Rome Italy Saltimbocca Alla Romana

Saltimbocca Alla Romana มันแปลว่า “กระเด้งในปาก”เป็นเนื้อลูกวัวห่อด้วยแฮม Prosciutto Crudo และใบSageผัดซอสแบบน้ำแดง

City Break Rome Italy Rigatoni con pajata

Rigatoni con pajata มันคือ Pasta กับ Pajata ซึ่งก็คือไส้ของลูกแกะหรือลูกวัวที่ยังไม่หย่านมคือมันยังไม่เคยทานอาหารที่จะทำลำไส้มันสกปรก และมีไขมันมันเป็น Cucina Povera Dishes หรืออาหารคนยากจนที่ต้องกินทุกชิ้นส่วนของสัตว์แต่มันกลายเป็นของอร่อย
City Break Rome Italy Coda alla vaccinara Oxtail

Coda alla vaccinara. Oxtailอาหารคนจนอีกแล้ว Cucina Povera Clan เป็นสตูหางวัวที่เคี่ยวนานจนละลายในปาก

Involtini alla romana เนื้อม้วนแครอทและเซเลอรี่ในซอสมะเขือเทศ

City Break Rome Italy Trippa Tripe

Trippa Tripe มันคือผ้าขี้ริ้ว(เครื่องในวัว)แบบเดียวกับเกาเหลาเนื้อบ้านเราแต่ที่นี่กินกับซอสแดง
City Break Rome Italy Crostata di ricotta

Crostata di ricotta ของหวานแบบ Classic Roman dessert มันเป็นชีสเค้กทำจากชีสรีค๊อดต้า

City Break Rome Italy Carciofo alla giudia

บางส่วนของเมืองอาหารแบบดั้งเดิมมีต้นกำเนิดมาจากชุมชนชาวยิวในกรุงโรม Carciofo alla giudia หรืออาติโช๊คทอดกรอบ

จนกระทั่งเมื่อเร็วๆ นี้อาหารพิเศษโรมันเหล่านี้ที่เคยถูกปกป้องโดยประเพณีอย่างเหนียวแน่นก็ถึงเวลาเปลี่ยนแปลง เมื่อเชฟเยอรมันชื่อไฮนซ์เบ็คมาถึงที่นี่ในปี 1994 ความเป็นพ่อครัวระดับสามดาวมิชลินของเขาเปิดทางให้พ่อครัวที่มีชื่อเสียงและเทคนิคใหม่ๆในกรุงโรม

City Break Rome Italy The View from La Pergola 2

เบ็คทำงานห้องครัวของร้าน La Pergola ยังคงถือว่าเป็นร้านอาหารที่ดีที่สุดของกรุงโรมและเขายังคงเป็นหนึ่งในพ่อครัวที่มีอิทธิพลมากที่สุดในเมืองหลวงและประเทศเก่าแก่นี้

The View from La Pergola

City Break Rome Italy The View from La Pergola 1

City Break Rome Italy The View from La Pergola

La Pergo ร้านอาหารอันดับหนึ่งในกรุงโรมที่ถูกโหวตปีแล้วปีเล่า เชฟไฮนซ์เบ็ค Chef Heinz Beck ผสมผสานความเชี่ยวชาญด้านเทคนิคที่มีการพิจารณาลึกของรสชาติและเนื้อสัมผัส เลือกที่สุดของไวน์มานำเสนอกับเมนูชิมที่ห้ามพลาดที่นี่มีทั้งไวน์อิตาลีและไวน์ต่างประเทศ และไม่เพียงแต่อาหารที่ดีที่สุดในกรุงโรมแต่วิวก็ยังสวยที่สุดอีกด้วยแน่นอนว่าการทำให้มาตรฐานสูงขึ้นไปเรื่อยๆ ของร้าน La Pergola นั้นก็ต้องทำให้คู่แข่งอย่างร้านข้างล่างเหล่านี้พัฒนาไปด้วยเช่นกัน

 

Imàgo
ร้านอาหารและบาร์ไวน์มาพร้อมกับสุดยอดของวิวที่สวยงามของโรมจากย่านบันไดสเปน บริการอาหารอิตาเลี่ยนด้วยสำเนียงโรมันแบบไม่เพี้ยน และOriginalสุดดั้งเดิมและเสิร์ฟเฉพาะไวน์อิตาเลี่ยนกว่า 400 ตัว

City Break Rome Italy RELAIS PICASSO

RELAIS PICASSO / Bramante TERRACE / Roof Gardenบนชั้นบนสุดของโรงแรมราฟาเอลใกล้กับ Piazza Navonaบนเทอเรซหรือสวนบนดาดฟ้าในสภาพอากาศที่เหมาะสม คุณจะได้ทานอาหารในระดับเดียวกับเส้นขอบฟ้าของกรุงโรมที่ประดับประดาไปด้วยโรมันโดมของโบสถ์ต่างๆ

 

City Break Rome Italy Aroma 1

Aroma
แต่ถ้าอยากให้ได้บรรยากาศเหมือนเพิ่งไปชมการต่อสู้ของยอดนักสู้ Gladiators มา ก็ต้องที่นี่เลยร้านที่ชื่อ Aroma ที่จัตุรัส Manfredi ซึ่งจะได้วิวของสุดยอดสถาปัตยกรรมระดับสิ่งมหัศจรรย์ตลอดกาลของโลก นั่นคือ Coliseum และหากจะมาสารภาพรักหรือขอแต่งงานกับคู่ชีวิตหรือแม้แต่แต่งงานกันมา 30 ปีแล้ว แต่ยังอยากจะสารภาพอีกว่ายังรักไม่เคยเสื่อมคลาย คงต้องจองโต๊ะมาช่วงพระอาทิตย์ตกดินเพราะมันจะเป็นbackdropระดับโลก เนื่องจากพระอาทิตย์จะลับขอบฟ้าด้านหลังของ Coliseum แบบ Picture Perfect ที่สำคัญที่นี่ไม่ได้สวยแต่วิว อาหารจากเมนูระดับ 5 ดาวจากสถาบัน American Academy of Hospitality Sciences และดาวจาก Michelin น่าจะเพียงพอให้คู่เดทของคุณไม่รู้สึกว่าเราcheapอย่างแน่นอนในโอกาสสำคัญแบบนี้ ที่อยู่และเบอร์โทร: Aroma, Palazzo Manfredi, Via Labicana 125, Rome, Italy, +39 06 97615109

City Break Rome Italy Aroma 2

City Break Rome Italy Aroma 4

 

Hotel Forum Roof Garden

City Break Rome Italy Hotel Forum Roof Garden

แต่ถ้าต้องการอาหารกลางวันแบบBuffetในราคาสมเหตุสมผล หรือจะมา à-la-carte ตอนหัวค่ำเพื่อชมความงามของขอบฟ้ากรุงโรมตอนอาทิตย์ลับฟ้าเหมือนภาพเดียวกันกับที่จูเลียสซีซ่าร์ได้เคยเห็นเมื่อเกือบ 3000 ปีก่อน ก็เพราะเมื่อก่อน Roman Forum คือสถาบันที่รวมของชุมชนชนชาวโรม แต่ปัจจุบันโรงแรมชื่อเดียวกัน Hotel Forum ก็สนองบรรยากาศและอาหารสุดยอดแบบนั้นได้ โดยเฉพาะที่ห้องอาหารRoof Garden, ที่อยู่และเบอร์โทร: Hotel Forum, Via Tor Dei Conti 31, Rome, Italy, +39 06 6792447

 

คราวหน้าเราจะคุยกันถึงอาหารจานเก่งของชาวโรมันกันครับ

Primitivo – ไวน์แดงแห่ง Puglia

หากพูดถึงประเทศอิตาลี แน่นอนคอไวน์คงนึกถึงไวน์ Barolo หรือ Brunello สองไวน์ระดับเทพแห่งแคว้นเพียตมอนต์และทัสคานี แต่วันนี้ขอแนะนำไวน์แดงจากทางใต้ที่มีรสชาติเข้มข้นแต่ราคาสบายกระเป๋า

Wine Recommend Donna Marzia Primitivo 2

Primitivo Grape for Italy Wine

Primotivo เป็นองุ่นสายพันธุ์โบราณที่มีการปลูกกันมาตั้งแต่สมัยก่อนกรีกโรมัน และมีความเชื่อต่อๆ กันมาว่าไวน์ Primitivo นี่แหละที่พระเยซูดื่มใน Last Supper จะจริงแท้แค่ไหนก็คงยากที่จะพิสูจน์ แต่ที่แน่ๆ คือหากใครเป็นแฟนไวน์อเมริกันแล้วล่ะก็ Primitivo ก็คือองุ่นพันธุ์เดียวกับกับ Zinfandel นั่นเอง โดย Primitivo เป็นองุ่นตัวหลักของแคว้น Puglia ทางตอนใต้ หากนึกภาพรองเท้าบู๊ท แคว้น Puglia ก็คือส่วนที่เป็นส้นรองเท้า และเพราะอยู่ตอนใต้ของประเทศ Puglia จึงมีอากาศค่อนข้างร้อนแต่โชคดีที่มีทะเลล้อมรอบจึงช่วยให้มีลมเย็นๆ พัดผ่าน ทำให้อุณหภูมิไม่ร้อนจัด องุ่นจึงสุกแต่ไม่โอเว่อร์จนเกินไป ในสมัยก่อนที่แคว้นแห่งนี้มักนิยมผลิตไวน์แบบเน้นปริมาณ แต่ปัจจุบันมีการใส่ใจในคุณภาพมากขึ้น ตั้งแต่ขั้นตอนการปลูกองุ่นไปจนถึงการผลิตไวน์ ทำให้ไวน์จากแคว้นนี้เป็นที่สนใจของผู้ดื่มที่ต้องการไวน์แดงโอเคๆ สักตัวโดยที่ราคาไม่แพงมากนัก

Wine Recommend Donna Marzia Primitivo 3

Wine Recommend red wine with pasta

ไวน์ที่จะแนะนำวันนี้เป็นไวน์ Primitivo ชื่อ Donna Marzia ผลิตโดย Conti Mezza ซึ่งเป็นไวน์เนอรี่ที่เก่าแก่แห่งแคว้น Puglia ก่อตั้งมาตั้งแต่ยุคปี ค.ศ. 1500 โดยตระกูลขุนนางของทางใต้ และทุกวันนี้ยังตกทอดสู่รุ่นลูกหลานผลิตไวน์โดยยึดแบบแผนโบราณที่สืบทอดมาผสมผสานกับวิวัฒนาการอันทันสมัย ชื่อ Donna Marzia นั้นตั้งเป็นชื่อของหนึ่งในไร่ประจำตระกูล เป็นชื่อของ Countess Marzia Conza ที่จบชีวิตของตัวเองลงเพราะถูกกีดกันความรักระหว่างตัวเธอกับหนุ่มยาจกผู้เป็นที่รัก ไวน์ตัวนี้เป็นไวน์สีแดงทับทิมเข้ม เนื่องจากบ่มและหมักในถังสเตนเลสไวน์ตัวนี้จึงมีกลิ่นหอมของผลไม้นำ ไม่ว่าจะเป็นผลเบอร์รี่สีแดง ลูกพลัมและเชอร์รี่สุกฉ่ำ มีน้ำหนักปานกลางและมีความเปรี้ยวและฝาดอันนุ่มนวล จึงได้ไวน์ที่ไม่หนักจนเลี่ยนและสามารถทานเข้ากับอาหารได้ดี ไม่ว่าจะเป็นพาสต้าต่างๆ รวมไปถึงชีสอิตาเลี่ยนอร่อยๆ ก็น่าจะดี

Wine Recommend red wine with pasta 1

red wine with Cheese

 

หาซื้อ Donna Marzia Primitivo ได้ที่ www.passiondelivery.com

*** พิเศษสุดสำหรับแฟนๆ ของ The Editors Society เมื่อช้อปปิ้งผลิตภัณฑ์ของ Passion Delivery ผ่านทางเว็บไซด์ของ The Editors Society จะได้รับส่วนลด 200 บาทจากการสั่งซื้อของครั้งแรก เมื่อช้อปขั้นต่ำ 1,000 บาท เพียงใส่โค้ด PDEDITOR ในช่องลดราคาก่อนเช็คเอ้าท์จาก www.passiondelivery.com ***

 

เครดิตภาพ : 1, 2, 3, 4, 5, 6, 7, 8

Flying Solo – ไวน์ฝรั่งเศสที่เข้าถึงง่าย

ปัจจุบันนี้คนไทยนิยมดื่มไวน์กันมากขึ้น โดยทั่วไปแล้วไวน์ที่คนไทยเลือกดื่มมักเป็นไวน์จากประเทศโลกใหม่ หรือที่เรียกว่า “New World” ซึ่งก็ได้แก่ประเทศสหรัฐอเมริกา ชิลี อาร์เจนติน่า ออสเตรเลีย หรือนิวซีแลนด์ หนึ่งในเหตุผลก็น่าจะเป็นเพราะว่าไวน์จากประเทศเหล่านี้มีความเข้าใจง่าย บนฉลากจะให้ข้อมูลครบทั้งยี่ห้อ และพันธุ์องุ่น ในขณะที่ไวน์จากทางยุโรปส่วนใหญ่นั้นจะเป็นอะไรที่เข้าใจยากเสียเหลือเกิน อ่านฉลากก็ไม่ค่อยจะออก ซึ่งนี่ถือว่าเป็นจุดด้อยอันสำคัญเพราะผู้บริโภคจะไม่รู้เลยว่าในขวดนั้นเป็นองุ่นพันธุ์อะไรถ้าไม่ศึกษามาก่อน แต่วันนี้อะไรๆก็เปลี่ยนไป มีผู้ผลิตไวน์ฝรั่งเศสหลายเจ้าหันมาผลิตไวน์ด้วยแนวคิดแบบใหม่ให้เข้าถึงง่าย ทำฉลากให้ดูมีเรื่องมีราว อย่างเช่นไวน์ที่อยากแนะนำในครั้งนี้

domaine gayda

White Wine Flying Solo Recommened 2

White Wine Flying Solo Recommened 1

Flying Solo เป็นไวน์ของ Domaine Gayda จากแคว้นลองก์ด็อก-รูซียง (Languedoc-Roussillon) เป็นไวน์ระดับ IGP (Indication Géographique Protégée) ซึ่งเอาเข้าจริงๆ เป็นไวน์ที่ถือว่าเป็นระดับรอง แต่ในแคว้นนี้กลับเป็นพวกไวน์ระดับรองเนี่ยแหละที่เป็นที่น่าสนใจ และไวน์ที่ดีที่สุดของแคว้นก็เป็นไวน์ระดับนี้ทั้งนั้น เพราะไวน์ IGP จะไม่ได้มีกฎระเบียบข้อบังคับในการผลิตมากมายนักเราจึงได้เห็นฉลากที่เป็นภาษาอังกฤษ มีการระบุพันธุ์องุ่นบนฉลาก เลยทำให้ไวน์พวกนี้เป็นที่นิยมสูง โดย Flying Solo นั้นทางผู้ผลิตตั้งชื่อเพื่อเป็นเกียรติให้แก่เหล่านักบินผู้หาญกล้าแห่ง aéropostale ในยุคหลังสงครามโลกครั้งที่1 พวกเขาเหล่านั้นมีหน้าที่ขับเครื่องบินใบพัดขนาดเล็กนำไปรษณีย์ไปส่งยังประเทศต่างๆ ด้วยเทคโนโลยีการบินในสมัยนั้นที่คงไม่ค่อยก้าวหน้าเท่าไหร่ นักบินที่ต้องบินเส้นทางระหว่างเมือง Toulouse กับ Barcelona ต้องอาศัยต้นสนขนาดใหญ่ที่บังเอิญอยู่ด้านหลังของไร่องุ่นแห่งนี้เป็นสัญลักษณ์นำทางอีกด้วย

White Wine Flying Solo Recommened 3

Flying Solo มีทั้งไวน์แดง โรเซ่ และไวน์ขาว แต่ช่วงนี้อากาศร้อนขอแนะนำไวน์ขาวแล้วกัน เป็นไวน์ที่ทำจากองุ่น Granache Blanc ผสมกับ Viognier องุ่นปลูกบนดินเหนียวและหินปูน มีกลิ่นหอมของผลไม้ประเภทเลมอน และลูกเนคทารีน มีแอซดิตี้ที่กำลังดี ให้ความรู้สึกสดชื่น เป็นไวน์ทานง่ายๆ มีบอดี้ปานกลางจึงเป็นไวน์ที่เหมาะที่จะทานกับอาหารอันหลากหลาย ทั้งสลัด ปลา ไปจนถึงไก่อบ

White Wine Flying Solo Recommened with food

White Wine Flying Solo Recommened with food. 1

 

หาซื้อ Flying Solo ได้ตามร้านขายไวน์ทั่วไป หรือ  www.passiondelivery.com

*** พิเศษสุดสำหรับแฟนๆ ของ The Editors Society เมื่อช้อปปิ้งผลิตภัณฑ์ของ Passion Delivery ผ่านทางเว็บไซด์ของ The Editors Society จะได้รับส่วนลด 200 บาท จากการสั่งซื้อของครั้งแรก เมื่อช้อปขั้นต่ำ 1,000 บาท เพียงใส่โค้ด PDEDITOR ในช่องลดราคาก่อนเช็คเอ้าท์จาก www.passiondelivery.com ***

 

เครดิตภาพ : 1, 2, 3, 4, 5, 6, 7, 8

GranMonte – ไวน์ไทยมาตรฐานโลก

เมื่อสัปดาห์ก่อนเพิ่งมีโอกาสได้ไปร่วมงานเทศกาลเก็บองุ่นที่ไร่องุ่น ‘GranMonte’ ซึ่งในงานนี้ผู้ร่วมงานจะได้ลองเก็บองุ่นเอง(จึงได้รู้ว่ามันไม่ง่ายอย่างที่คิด) และที่สำคัญในงานเราได้มีโอกาสลิ้มลองไวน์ต่างๆ ของยี่ห้อกราน-มอนเต้อีกด้วย และมีหลายตัวที่อยากเขียนแนะนำ แต่วันนี้ขอแนะนำไวน์แดงรุ่น The Orient Syrah ซึ่งถือว่ามีคุณภาพดีไม่แพ้ไวน์จากทางยุโรปเลย และเป็นไวน์ที่คว้ารางวัลจากต่างประเทศมาแล้วมากมาย เช่น รางวัลเหรียญทองจาก AWC Vienna เป็นต้น

Drink Red Wine

GranMonte 1

GranMonte 2

vineyard GranMonte

กราน-มอนเต้เป็นไวน์ของคนไทยโดยตั้งอยู่บนอโศกวาเล่ย์ อำเภอปากช่อง ใกล้อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ มีพื้นที่ทั้งหมด100 ไร่ ปลูกองุ่นหลากหลายสายพันธุ์ ทั้งซีราห์ และเชนิน บล็องค์ ซึ่งเป็นองุ่นที่เหมาะสมที่สุดกับสภาพอากาศอย่างบ้านเรา รวมทั้งเป็นเจ้าเดียวที่ประสบความสำเร็จในการปลูกองุ่นพันธุ์การ์แบเนต์ โววิญองที่ปลูกยากมาก แต่ที่นี่ก็สามารถปลูกองุ่นพันธุ์นี้ให้มีคุณภาพดีได้อีกด้วย ที่นี่มีไวน์หลากหลายรุ่น ไล่ไปตั้งแต่รุ่นสำหรับดื่มง่ายๆ เน้นกลิ่นหอมผลไม้ เช่นรุ่น Heritage ไปจนถึงรุ่น The Orient ซึ่งถือว่าเป็นรุ่นที่เป็น”flagship” และแพงที่สุดของกราน-มอนเต้

Drink Red Wine 1

แต่สำหรับรุ่น The Orient Syrah นั้น ถึงแม้จะไม่ใช่รุ่นที่แพงที่สุดแต่คุณภาพก็ไม่ได้ด้อยไปกว่ากัน เพราะทำจากองุ่นซีราห์ต้นเก่าแก่ที่สุดของทางไร่ นำไปบ่มในถังไม้โอ๊คถึง 12 เดือน จึงได้ไวน์ที่ฟุลบอดี้ รสชาติเข้มข้น หอมกลิ่นลูกพลัม บลูเบอรี่ และมีกลิ่นของเครื่องเทศทั้งกานพลู วานิลลา และ อบเชย นับว่าเป็นไวน์ที่มีความสลับซับซ้อน เทียบได้กับไวน์จากลุ่มแม่น้ำ Rhone อันเลื่องชื่อของฝรั่งเศส มีรสเปรี้ยวกำลังดี ทำให้ไวน์นี้ไม่ฉ่ำเลี่ยนจนเกินไป และมีแทนนินสูงและเข้มจึงสามารถเก็บได้อีก 5-7 ปี หรือจะทานเลยก็ไม่ผิดอะไร

Drink Red Wine and Food.1

Drink Red Wine and Food

แน่นอนทานไวน์แดงโดยเฉพาะ Syrah ควรทานคู่กันกับสเต็กดีๆ ย่างแบบสุก Medium Rare จะทานเปล่าๆ หรือจะจิ้มน้ำจิ้มแจ่วก็เข้า หรือจะทานกับพาสต้าซอสเนื้อ สตูว์ หรือซี่โครงแกะย่างก็น่าจะเข้ากัน แต่ที่งานวันนั้นได้จิบไวน์ตัวนี้เปล่าๆ ก็เพลินดีไปอีกแบบ

ไวน์ไทยเราพัฒนามาไกลแล้ว อยากให้คนไทยสนับสนุนไวน์ของบ้านเรากันเยอะๆ เพราะไวน์ไทยไม่แพ้ชาติใดในโลก

 

หาซื้อไวน์กราน-มอนเต้ได้ที่ไร่องุ่นกราน-มอนเต้ หรือที่

 www.passiondelivery.com

 

*** พิเศษสุดสำหรับแฟนๆ ของ The Editors Society เมื่อช้อปปิ้งผลิตภัณฑ์ของ Passion Delivery ผ่านทางเว็บไซด์ของ The Editors Society จะได้รับส่วนลด 200 บาทจากการสั่งซื้อของครั้งแรก เมื่อช้อปขั้นต่ำ 1,000 บาท เพียงใส่โค้ด PDEDITOR ในช่องลดราคาก่อนเช็คเอ้าท์จาก www.passiondelivery.com ***

 

เครดิตภาพ : 1, 2, 3, 4, 5, 6, 7

 

Cava – สปาร์คกลิ้งไวน์ ทางเลือกที่ดี ราคาสบายกระเป๋า

ถึงช่วงเวลาแห่งการเฉลิมฉลองแล้ว ถึงแม้ว่าปีนี้อาจไม่ค่อยมีกะจิตกะใจอยากจะออกมาเฮฮาปาร์ตี้อะไรมากมายแต่อาจจะมีบางวันที่เราอยากฉลองเทศกาลปลายปีกันแบบเงียบๆ ส่วนตัวนิดนึง และหากไม่อยากลงทุนเปิดแชมเปิญขวดละหลายพันแต่อยากดื่มอะไรที่คล้ายๆ กันในราคาสบายกระเป๋า วันนี้จะขอแนะนำไวน์ตัวนึงที่อาจเป็นหนึ่งในทางเลือกนั้นได้

 

how-to-drink-sparkling-wine-1

how-to-drink-sparkling-wine-with-appetizer

คาว่า Cava เป็นสปาร์คกลิ้งไวน์สัญชาติสเปนที่ถือได้ว่ามีความใกล้เคียงแชมเปญเป็นอย่างมาก เพราะคาว่าผลิตด้วยกรรมวิธีที่เรียกว่า Traditional Method ซึ่งเป็นวิธีเดียวกับที่แชมเปญทำ นั่นก็คือการทำให้เกิดพรายฟองโดยการหมักตัวของยีสต์ครั้งที่สองในขวด ซึ่งการหมักตัวของยีสต์ครั้งที่สองนี่เองที่ทำให้ไวน์ในขวดนั้นมีฟอง เพราะยีสต์จะผลิตก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกมานั่นเอง โดยไม่ได้มีการอัดก๊าซเหมือนน้ำอัดลมแต่อย่างใด การทำให้เกิดฟองในไวน์มีหลายวิธี แต่วิธี Traditional Method นั้นถือว่าเป็นวิธีดั้งเดิม มีกระบวนการผลิตที่ซับซ้อน และทำให้เกิดรสชาติอันบ่งบอกถึงเอกลักษณ์และคุณภาพ  ซึ่งสมัยก่อนผู้ผลิตประเทศอื่นมักใช้คำว่า Champagne Method บนฉลาก แต่ปัจจุบันไม่อนุญาตให้ใช้คำนี้กันแล้ว เพราะชาว Champagne ได้จดลิขสิทธิ์การใช้ชื่อนี้ไปแล้วเรียบร้อย เราจึงเห็นคำว่า Traditional Method บนฉลากของไวน์ที่ไม่ได้มาจากแคว้นแชมเปญแต่ผลิตด้วยกรรมวิธีแบบนี้ รวมทั้งคาว่าด้วย

 

how-to-drink-sparkling-wine-with-salad

how-to-drink-sparkling-wine-with-appetizer-1

คาว่าส่วนใหญ่ผลิตที่แคว้นกาตาลุญญา ใกล้ๆ บาร์เซโลน่า ทำจากองุ่นสามพันธุ์ผสมกัน ได้แก่ Macabeo Parellada และ Xarel-lo ซึ่งเป็นองุ่นพื้นเมือง โดยคาว่าที่ในวันนี้เป็นของ Louis de Vernier มีสีทองอ่อนพรายฟองละเอียดเป็นสาย มีกลิ่นหอมของเลมอน แอปเปิ้ลเขียว และหอมขนมปังบริออชจางๆ เป็นคาว่าที่มีแอซิดิตี้ค่อนข้างสูง น้ำหนักเบา และแอลกอฮอล์ปานกลางจึงเหมาะสำหรับดื่มเป็น aperitif หรือเรียกน้ำย่อยก่อนอาหาร หรือจะดื่มกับ appetizer เบาๆ เช่น อาหารทะเลสดๆ และสลัดเบาๆ และที่สำคัญคือคาว่าตัวนี้มีระดับความหวานที่เรียกว่า Brut Nature ซึ่งแปลว่าไม่มีการใส่น้ำตาลลงไปเพิ่มเลย จึงน่าจะเหมาะกับสาวๆ ที่กำลังควมคุมน้ำหนัก เรียกได้ว่าดื่มได้ ไม่ต้องกลัวอ้วน

 

สามารถซื้อ Louis de Vernier Cava Brut Nature ได้ที่ www.passiondelivery.com

 

*** พิเศษสุดสำหรับแฟนๆ ของ The Editors Society เมื่อช้อปปิ้งผลิตภัณฑ์ของ Passion Delivery ผ่านทางเว็บไซด์ของ The Editors Society จะได้รับส่วนลด 200 บาทจากการสั่งซื้อของครั้งแรก เมื่อช้อปขั้นต่ำ 1,000 บาท เพียงใส่โค้ด PDEDITOR ในช่องลดราคาก่อนเช็คเอ้าท์จาก www.passiondelivery.com ***

 

เครดิตภาพ : 1, 2, 3, 4, 5, 6

Organic Wine – ปลอดภัยไร้สารตกค้าง

ทุกวันนี้อาหารที่เรารับประทานส่วนใหญ่มีสารเคมีตกค้างแทบทั้งสิ้น ผักผลไม้ที่เราคิดว่ามีประโยชน์แท้จริงแล้วหากไม่ระวังเราอาจรับยาฆ่าแมลงที่ตกค้างอยู่ได้ ไม่มากก็น้อย ทั้งนี้ทราบหรือไม่ว่าไวน์ก็หนีไม่พ้น เคยมีการศึกษาที่ประเทศฝรั่งเศสในปี 2009 และ 2010 พบว่ามีโมเลกุลสารเคมีทั้งจากยาฆ่าแมลงและยาฆ่าเชื้อราตกค้างในไวน์ถึงกว่า 50 โมเลกุลด้วยกัน ถึงแม้ว่าแต่ละโมเลกุลนั้นมีปริมาณที่ไม่มากและไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย แต่หากใครที่ดื่มไวน์ทุกวันๆ ก็อาจเสี่ยงต่อการมีสารเคมีสะสมในร่างกายได้

 

how-to-drink-organic-wine-3

how-to-drink-organic-wine-4

how-to-drink-organic-wine-6

ในการปลูกองุ่นนั้น ผู้ปลูกทั่วไปมีความจำเป็นต้องใช้สารเคมีเป็นจำนวนมาก เพราะองุ่นเป็นผลไม้ที่มีความเสี่ยงต่อศัตรูพืชและเชื้อราสูงพอสมควร แต่ปัจจุบันเริ่มมีผู้ผลิตหลายๆ เจ้าหันมาผลิตไวน์แบบออร์แกนิกและแบบไบโอไดนามิกกันมากขึ้น เพราะพวกเขาเชื่อว่าการใช้วิธีตามธรรมชาติในการปลูกพืช เมื่อสภาพแวดล้อมมีความอุดมสมบูรณ์ ดินสมบูรณ์ ต้นองุ่นย่อมแข็งแรงผลิตผลองุ่นที่มีคุณภาพตามไปด้วย

 

how-to-drink-organic-wine-2

จริงๆ บ้านเรามีไวน์ออร์แกนิกขายอยู่เยอะพอสมควร แต่บางทีก็ต้องศึกษากันเอาเองว่าผู้ผลิตคนไหนผลิตไวน์แบบออร์แกนิก เพราะเขามักไม่ระบุบนฉลาก สำหรับไวน์ที่อยากแนะนำในครั้งนี้ชื่อไวน์ Terre de Garance โดย Domaine Rouge Garance นี้เป็นไวน์ Côtes du Rhône จากลุ่มแม่น้ำ Rhône โดยผลิตที่เมือง Saint Hilaire d’Ozilhan ไม่ไกลจาก Pont du Gard จุดท่องเที่ยวอันเลื่องชื่อทางตอนใต้ของฝรั่งเศส เป็นไวน์ออร์แกนิกที่แน่นอนว่ามีการใช้สารเคมีน้อยที่สุด แม้กระทั่งยีสต์ที่ใช้ในการหมักไวน์ยังเป็นยีสต์ธรรมชาติที่พบได้บนผลองุ่น

 

how-to-drink-organic-wine-5

6004101_Figs_2014-0829_CL-Figs-180

how-to-drink-organic-wine-3-pasta

ไวน์ตัวนี้ทำจากองุ่นหลายพันธุ์ หลักๆ ก็มี Grenach Syrah และ Cinsault เป็นไวน์สีแดงทับทิมสด มีกลิ่นหอมของผลไม้แดงประเภท Red Currant และ Raspberry ทั้งยังมีบอดี้ปานกลางไม่หนักมาก กลมกล่อม ดื่มง่าย เหมาะที่จะทานคู่กับซี่โครงแกะย่าง หรือพาสต้า เช่น สปาเกตตี้โบลองเนส และชีสต่างๆ

 

หาซื้อ Terre de Garance ได้ที่ www.passiondelivery.com 

*** พิเศษสุดสำหรับแฟนๆ ของ The Editors Society เมื่อช้อปปิ้งผลิตภัณฑ์ของ Passion Delivery ผ่านทางเว็บไซด์ของ The Editors Society จะได้รับส่วนลด 200 บาทจากการสั่งซื้อของครั้งแรก เมื่อช้อปขั้นต่ำ 1,000 บาท เพียงใส่code PDEDITOR ในช่องลดราคาก่อนเช็คเอ้าท์จาก www.passiondelivery.com ***

 

เครดิตภาพ : 1, 2, 3, 4, 5, 6, 7, 8, 9