เรื่องกินเรื่องใหญ่ 14 เมนูเด็ดจากมาม่า อยู่บ้านให้สนุกโลด โพสต์อวดอาหารชวนหิวลงโซเชี่ยล

อยู่บ้านใช่ไหม!? เรามีเวลานั่งเล่นเยอะหน่อย เลื่อนดูมือถือแบบเพลินๆ มองดูอาหารโน่นนี่นั่น ทีแรกก็ยังคิดว่าเป็นอาหารที่ร้านดังๆ เขานำมาแนะนำกัน แต่พอลองจ้องตาไม่กะพริบ งานนี้ก็เลยต้องปรบมือให้ดังๆ เพราะเป็นผลงานสร้างสรรค์ของพวกเรากันเองที่กำลังให้ความร่วมมือ #อยู่บ้านหยุดเชื้อเพื่อชาติ ทำให้วันอยู่บ้านที่เหมือนจะเหงาก็เลยไม่เหงา เพราะตอนนี้หลายคนผันตัวเป็นเชฟใหญ่ที่ครีเอทเมนูอาหารได้แบบหน้าตาน่ากินสุดพลัง ส่งแรงบันดาลใจมาใหญ่ขนาดนี้ทำให้เพื่อนๆ ชาวโซเชี่ยลนึกอยากทำตามบ้างแล้วสิ…มาม่าต้องมา

มัดรวมมาให้แล้ว “14 เมนูเด็ดจากมาม่า” อร่อยไม่ซ้ำ กักตัวอยู่บ้านนานก็ไม่เบื่อ

“มาม่า” ก็เลยไปรวบรวมเมนูเด็ดๆ แหวกๆ ที่แฟนคลับคนรักมาม่าครีเอตกันมา เผื่อจะเป็นไอเดียเอาไว้ทำกินกันในช่วงกักตัว ทำตามวันละเมนูก็ได้ 14 วัน รับรองอาการเบื่ออาหารจะหายไป กลายมาเป็นเอ็นจอยอีทติ้ง ใครมีหัวการค้า ฝีมือดีๆ อาจจะเอาไปประยุกต์ต่อยอดทำขายได้เลย ลองไปดูกันว่า 14 เมนูที่มาม่าคัดมาว่าเด็ดมีอะไรบ้าง

Mama-Food-11

1) มาม่าผัดพริกหอมพร้อมสหายหมูกรอบ เมนูนี้มีพริกหอมเป็นพระเอก เอามาผัดกับเส้นมาม่า นางเอกคือหมูกรอบชิ้นพอคำ ที่ใส่ลงไปแบบแน่นๆ กัดเมื่อไหร่กรอบเมื่อนั้น โปะหน้าด้วยไข่ต้มยางมะตูม เพิ่มความฟินเข้าไปอีก

Mama-Food-6

2) มาม่าคั่วไก่แซ่บ ถ้าอยากกินแซ่บๆ ต้องเมนูนี้ ใช้พริกแกงคั่วที่ทำจากเครื่องแกงเผ็ด อุดมไปด้วยสมุนไพรอย่างตะไคร้ ใบมะกรูด พริกไทยอ่อน ข่า ผัดให้หอมแล้วใส่ไก่ลงไปผัด ตามด้วยเส้นมาม่าที่ลวกแล้ว แค่นี้แซ่บถึงใจ

Mama-Food-13

3) มาม่ายามเย็น เมนูนี้เจ้าของไอเดียใช้ผักที่ปลูกเองมาเป็นวัตถุดิบ ไม่ว่าจะเป็นต้นหอม หรือกวางตุ้ง แล้วเพิ่มปูอัด และไข่เจียวหั่นฝอยเข้าไป โรยหน้าด้วยงา แค่นี้ก็ได้มื้อเย็นอร่อยๆ ให้ทานอิ่มท้องแล้ว

Mama-Food-4

4) มาม่าไส้อั่วกะเพรา เป็นอีกเมนูแซบของคนชอบรสจัด ใครมีฝีมือ จะทำไส้อั่วเองก็ทำ หรือจะซื้อไส้อั่วเจ้าโปรดก็ได้ หั่นชิ้นพอคำ นำลงไปผัดกับเส้นมาม่า ใส่พริกขี้หนูทุบ ใส่มากใส่น้อยเอาตามดีกรีความแซบที่ชอบ แล้วตามด้วยใบกะเพรา

Mama-Food-3

5) มาม่าไข่มดแดงยอดผักหวาน เจ้าของไอเดียบอกว่าเป็นเมนูชั้นสูง แน่ล่ะ เพราะกว่าจะได้ไข่มดแดงมาต้องปีนขึ้นไปสอยจากต้นไม้สูงๆ เมนูนี้เด็ดที่วัตถุดิบ จึงไม่ต้องทำอะไรมาก แค่ทำไข่มดแดงให้สุก รองจานด้วยยอดผักหวาน ปรุงรสซะหน่อย แค่นี้ก็ได้ทั้งโปรตีนและวิตามินครบ

Mama-Food-1

6) เมี่ยงมาม่าพริกหนุ่ม ใครคิดว่ามาม่าทำเมี่ยงไม่ได้ มาดูเมนูนี้เลย ทำก็ง่าย แค่ใช้ผักกาดแก้วที่หั่นชิ้นพอคำ ตามด้วยเส้นมาม่าลวก ท็อปปิ้งด้วยน้ำพริกหนุ่ม แตงกวา และหมูทอดเจียงฮายชิ้นพอคำ อร่อยอย่าบอกใคร

Mama-Food-5

7) มาม่ากรอบราดหน้าผักแขนง เอาเส้นมาม่าไปลวกแล้วนำไปทอดให้กรอบพักรอไว้ แล้วไปทำน้ำราดหน้า ใส่ผักแขนง เพิ่มโปรตีนด้วยลูกชิ้นปลา หรือจะเปลี่ยนเป็นเนื้อสัตว์ชนิดอื่นก็ได้ไม่ว่ากัน แล้วแต่ชอบเลย

Mama-Food-7

8) มาม่าซ่อนกุ้ง เมนูนี้มากับคอนเซ็ปต์ว่า ความอุดมสมบูรณ์แห่งทะเลอันดามัน อาจดูเหมือนไม่มีอะไร จุดขายก็แค่กุ้งตัวโต ๆ แต่อย่าสบประมาทไป เพราะในกุ้งมีขุมทรัพย์ที่ซ่อนไว้ นั่นก็คือ เนื้องกุ้งผัดเนยและเส้นมาม่าเหนียวนุ่ม กินแล้วเข้ากันซะไม่มี

Mama-Food-10

9) มาม่าผัดกะปิสามชั้น เส้นเหนียวนุ่มของมาม่าที่คลุกเคล้าด้วยเครื่องกะปิที่ประกอบด้วยหอมแดง กระเทียม พริกตำ และกะปิ ปรุงรสด้วยน้ำตาลปี๊บ ผัดให้ความเค็มจากกะปิหมูสามชั้นเคลือบเส้นให้ทั่ว ตามด้วยพริกขี้หนูทั้งเม็ด เวลากินก็ลุ้นไปว่าจะกินโดนหมูสามชั้นหรือพริกลูกโดดที่ซ่อนไว้

Mama-Food-2

10) มาม่าแกงเผ็ดเป็ดย่าง น้ำแกงเผ็ดจากแกงไก่ที่เหลือคือของมีค่า อย่าทิ้ง!! เพราะนี่คือวัตถุดิบสำคัญของเมนูนี้ เพียงแค่ลวกเส้นมาม่าใส่ลงไปในน้ำแกง แล้วหาเป็ดย่างที่เหลือจากข้าวหน้าเป็ดมากินคู่กัน แค่นี้ก็ฟินแล้ว

Mama-Food-8

11) มาม่าติ่งจังกึม เมนูนี้ได้ไอเดียมาจากการเป็นติ่งหนังเกาหลีของคนทำ แค่ใส่กิมจิลงไปต้มกับมาม่า แล้วเอาเบค่อนมาใส่ตามใจชอบ โรยด้วยหอมเจียว ใส่เนื้อไก่เข้าไปอีกนิด ฟินประหนึ่งเหมือนกินอยู่ที่เกาหลีเลยทีเดียว

Mama-Food-14

12) มาม่าต้มยำกุ้งผัดปลาร้า ปลาร้าไม่ได้มีไว้ใส่ส้มตำหรือแกงลาวเท่านั้น ใครจะเอาปลาร้ามากินกับมาม่าก็ไม่ผิดกติกา เหมือนกันเมนูนี้ ที่เจ้าของไอเดียเขาเอามาม่ารสต้มยำกุ้งไปผัดใส่ไข่ กุ้ง หมูยอ เพิ่มผักที่ชอบ และเติมน้ำปลาร้าเข้าไปสักนิด นัวมากพูดเลย

Mama-Food-12

13) มาม่าผัดพริกอ่อง น้ำพริกอ่องประจำขันโตกเอามามิกซ์กับมาม่าก็เข้าท่าดี แค่เอามะเขือเทศยีๆ ผัดๆ เคี่ยวๆ กับหมูสับและพริกแห้ง ปรุงรสตามชอบ แล้วลวกเส้นมาม่าพอกรุบ ๆ ลงไปผัดคลุกเคล้ากับน้ำพริก โปะด้วยไข่ต้มยางมะตูม ใครรักอาหารเหนือ ชามเดียวไม่พอ

Mama-Food-9

14) มาม่าน้ำพริกอ่องแคปหมู แทนที่จะเอาเส้นมาม่าลงไปคลุกในน้ำพริกอ่อง ลองทำอีกแบบหนึ่ง คือ ให้เส้นมาม่าเป็นเหมือนข้าวสวย แล้วตักกับข้าวซึ่งก็คือน้ำพริกอ่องมาโปะบนเส้น กินคู่กับแคปหมูกรอบๆ อร่อยไปอีกแบบ

 

ใครถูกใจเมนูไหน มีวัตถุดิบอะไรอยู่ที่บ้านก็ลองทำกันดู ทำวนไปรับรองไม่เบื่อ
ขอบคุณข้อมูลจากเพจ “มาม่าปลิดชีพ”

City Break Paris Part XL

By Pusit Sansopone
เบรกเที่ยวในกรุงปารีส ตอนที่ 40 (ตอนจบ)
Dinner in Paris (ต่อจากตอนที่แล้ว)
เท้าความกันนิดนึงครับเนื่องจากเป็นภาคต่อ สำหรับท่านที่ไม่ได้อ่านในตอนที่แล้วซึ่งผมได้พูดถึงร้านติดดาวมิชเชลินในปารีสของปี 2019 ทั้งหมด 9 ร้านซึ่งผ่านไปแล้ว 5 ร้าน เราก็จะพูดถึงร้านที่เหลือกันในวันนี้เลย

อย่างที่บอกเอาไว้ครับว่าหนึ่งในวิธีที่ดีที่สุดในการเพลิดเพลินกับมื้ออาหารที่ร้านอาหารระดับ 3 ดาวมิชเชลินคือการไปลอง Lunchtime Tasting Menu ครับ เพราะนอกจากจะได้อาหารจัดชุดโดยเชฟที่เราอย่างชิมฝีมือแล้วการจองก็จะไม่ยากเท่ามื้อค่ำ ที่ดีที่สุดก็คือราคาต่อหัวโดยเฉลี่ยนั้นจะถุกกว่ามื้อค่ำ 20-40% เลยทีเดียวขึ้นอยู่กับช่วงไหนเชฟจะแนะนำอาหารพิเศษแค่ไหน เรียกว่าอาหารกลางวัน เมนูระดับเริ่มต้นเหล่านี้จะช่วยเป็นจุดเริ่มต้นให้เรารู้จักและคุ้นเคยกับสุดยอดอาหารฝรั่งเศสระดับ 3 ดาวของมิชเชลินเป็นอย่างดี

พอดีผมไปเจอบทความที่เขียนโดย Food Blogger ที่ชื่อ Meg Zimbeck เขียนไว้ในหัวข้อ Report on Haute Cuisine ซึ่งได้ไปลองชิมมาทุกร้านแล้วก็เลยขอนำเรื่องราวน่าสนใจนี้มาแชร์ (credit : Parisbymouth.com & parisinsidersguide.com) เพื่อใช้เป็นข้อมูลก่อนตัดสินใจเลือกร้าน เพราะ Meg จะมีการสรุป เรื่องงบประมาณราคา,คุณภาพอาหารและบริการตลอดจนสิ่งที่เราจะได้สัมผัส ในแง่บรรยากาศประสบการณ์การที่ได้ไปกินที่ร้านนี้ ซึ่งน่าสนใจทีเดียว เรามาเริ่มจากร้านแรกที่ 6 กันเลย

6. Le Cinq เลอแซงก์ที่โรงแรม George V

City Break Paris Dinner In Paris Final 27

เป็นที่น่าสนใจที่จะทราบว่าผู้ตรวจสอบของมิชเชลินได้เพิกเฉยต่อบทวิจารณ์ที่ค่อนข้างแย่ที่มีต่อร้าน Le Cinq เขียนลงหนังสือพิมพ์ The Guardian ของอังกษ โดยนักวิจารณ์อาหารที่ชื่อ Jay Rayner ที่ได้มาลองแล้วบอกว่า “มื้อที่แย่ที่สุดที่เขาเคยทานมาในรอบ 18 ปี”

City Break Paris Dinner In Paris Final 2

ห้องอาหารสไตล์อาร์ตเดคโค Le Cinq เริ่มต้นในปี ค.ศ. 1928 มันเคยถูกใช้เป็นสำนักงานใหญ่อย่างเป็นทางการของนายพลไอเซนฮาวร์ในช่วงการปลดปล่อยปารีสให้เป็นอิสระในปี พ.ศ. 2487 เชฟ Christian Le Squer เข้าร่วมงานกับร้านอาหาร 2014 ด้วยความหวังว่าจะทำดาวดวงที่สามให้กับที่นี่ให้ได้ เหมือนกับที่เขาเคยทำสำเร็จให้กับร้าน Pavillon Ledoyen ในปี 2002 ซึ่งที่ร้าน Ledoyen ก็เก็บ Le Squer ไว้ไม่ยอมให้ไปอยู่ร้านไหนอีกจนปี 2014 และแล้วเขาก็ทำสำเร็จตามสัญญาโดยที่เขาทำให้ Le Cinq ซึ่งเป็นร้านระดับสองดาวได้ดาวดวงที่สามในคู่มือมิชลินปี 2016 นี่เอง

City Break Paris Dinner In Paris Final 13

Meg ชอบอาหารร้านนี้มาก คือให้คะแนนสูงๆได้โดยไม่ตะขิดตะขวงใจ โดยเฉพาะ marinated sea scallops, sea urchin and coral crumble หอยเชลล์ทะเลหมักและเม่นทะเลโรยปะการังป่น ที่คร่อมเส้นแบ่งระหว่างความหวานและความเผ็ดด้วยรสชาติของนมสดและยีสต์หมัก ความแม่นยำและความสมดุลของ Le Squerนั้นยังคงรักษาไว้ในขณะที่การพยายามออกนอกกฎระเบียบนั้นเป็นเรื่องที่น่าทึ่ง

City Break Paris Dinner In Paris Final 26

Le Cinq: onion gratin

City Break Paris Dinner In Paris Final 20

Le Cinq: Vegetarian Starter

City Break Paris Dinner In Paris Final 19

Le Cinq: dining room

Meg สรุปเกี่ยวกับ Le Cinqไว้ดังนี้
การบริการและประสบการณ์: ทุกแง่มุมของการบริการอย่างเป็นทางนั้นยอดเยี่ยม/รวมถึงการจับคู่ไวน์ที่แนะนำนั้นไม่มีที่ติ /จานมาถึงบนถาดเงินพร้อมฝาครอบเงินจะถูกยกออกพร้อมกันโดยบริกรในสูทดำ/ บรรยากาศการตกแต่งภายในของ ร้านอาหารระดับที่อยู่ใน TheFour Seasons นั้นหรูหราสมกับเป็นกลุ่มโรงแรมระดับนานาชาติ
•ราคาของเมนูอาหารกลางวัน: € 145
•ตัวเลือกระหว่าง 2 ตัวเลือกสำหรับแต่ละคอร์สในเมนูอาหารกลางวัน

•ไวน์: การจับคู่อาหารที่แนะนำโดยร้านมีราคาอยู่ระหว่าง 21 – 26 ยูโรต่อแก้ว
•ค่าใช้จ่ายทั้งหมดของมื้อกลางวันสำหรับ 2 ท่านรวมถึงน้ำไวน์และกาแฟ: € 466
จุดเด่น: อาหารที่ทันสมัยและนวัตกรรมการบริการอย่างเป็นทางการ/การตกแต่งภายในที่หรูหราคลาสสิก/ทางเลือกระหว่างคอร์สในเมนูอาหารกลางวัน
• สถานที่ตั้งและรายระเอียดเพิ่มเติม
Four Seasons Hotel George V, 31 Avenue George V
• 8th Arrondissement
Website…

 

7. Alléno Paris au PavillonLedoyen ปาวิญญอง เลอโดยง

City Break Paris Dinner In Paris Final 15

บางครั้งความมั่นคงอันยาวนานมันก็ถึงจุดเปลี่ยนแปลงแต่มันมักจะเป็นการเปลี่ยนแบบแผ่นดินไหวโดยเฉพาะในวงการร้านอาหารระดับดาวมิชเชลินในปารีส ช่วงปี 2013 เชฟ YannickAlléno ยานนิคอัลโลโน่ มีอันต้องออกจาก Le Meurice(โรงแรมหรู 6 ดาวของปารีส)หลังจากอยู่มาในฐานะ Chef de Cuisine ที่นี่ยาวนานกว่าทศวรรษ Le Meuriceเลือก Alain Ducasse เป็นผู้สืบทอดเชฟ Yannick จากนั้นมีการแลกเปลี่ยนเชฟที่อื่นเกิดขึ้น ,ที่ ร้าน Ledoyen อันเป็นที่พำนักพักพิงอันยาวนานของเชฟ Christian Le Squer ก็เกิดจำเป็นต้องออกจาก Ledoyen และย้ายไปที่ Le Cinq และในที่สุดในการย้ายที่ทำให้ตกใจโลกอาหารของชาวปารีสก็คือ YannickAlléno ได้มากุมสายบังเหียนที่ PavillonLedoyen ร้านระดับตำนานที่เก่าแก่ซึ่งเป็นหนึ่งในร้านอาหารที่เก่าแก่ที่สุดของเมืองที่มีมาตั้งแต่ปี 1792

City Break Paris Dinner In Paris Final 22

เชฟ Yannick Alléno ได้รับการฝึกฝนในห้องครัวที่ดีที่สุดของกรุงปารีสรวมถึง Hotel Royal Monceau, Hotel Sofitel Sèvres, ห้องอาหาร Drouantและที่ Les Muses ใน Hotel Scribe ที่ซึ่งเขาได้ทำดาวดวงแรกของร้านอาหารและได้รับดาวดวงที่สอง ในปี 2003, Alléno ได้รับการแต่งตั้งให้เป็น Chef de Cuisine ที่ Le Meurice ในเวลานั้นมีแค่ดาวมิชหนึ่งดวง แต่หนึ่งปีต่อมาดาวดวงที่สองได้รับรางวัลและในปี 2007 เลอมีร์ริซได้รับหนึ่งในสาม

City Break Paris Dinner In Paris Final 12

Meg บอกว่าเชฟยานนิคอัลเลนโน่ได้ต่อกรกับบรรดาเชฟคู่ต่อสู้ของเขาได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดย Allenoเน้นอัพเกรดอาหารชั้นสูงแบบดั้งเดิมโดยมุ่งเน้นไปที่สิ่งที่เขาคิดว่าเป็นจุดแข็งของอาหารฝรั่งเศส – นั่นคือซอส เขาใช้เทคนิคที่ทันสมัยกว่าเช่นความเข้มข้นของการแช่แข็งเพื่อขยายรสชาติและลดการพึ่งพาเนยและครีมอย่างหนัก แต่การแต่งเพลงยังคงเป็นภาษาฝรั่งเศสที่น่าจดจำ เขาเริ่มต้นของสควอช butternut ราดด้วยเมล็ดกรุบกรอบและมาพร้อมกับมูสขนมปังหมักเป็นจานที่ฉันจะไม่มีวันลืม

City Break Paris Dinner In Paris Final 21

City Break Paris Dinner In Paris Final 3

Ledoyen: interior

Meg สรุปเกี่ยวกับ Ledoyen ไว้ดังนี้
การบริการและประสบการณ์: ร้านอาหารที่เก่าแก่และเก่าแก่ที่สุด (1791) /บรรยากาศของร้านอาหารเหมือนได้นั่งกินอยู่ในบ้านต้นไม้ที่สง่างามพร้อมใบไม้ที่เผยให้เห็นผ่านผนังสามหน้าต่าง /บริการในห้องอาหารก็อบอุ่นและเป็นมืออาชีพ
•ราคาของเมนูอาหารกลางวัน: € 128
•ไม่มีตัวเลือกระหว่างตัวเลือกในเมนูอาหารกลางวัน
•ไวน์: การจับคู่กับอาหารที่แนะนำอยู่ระหว่าง€ 12-30 ต่อแก้ว
•ราคารวมอาหารกลางวันสำหรับ 2 ท่านรวมถึงน้ำไวน์และกาแฟ: € 448
จุดเด่น: อาหารชั้นสูงของฝรั่งเศสแบบดั้งเดิม/ไม่มีตัวเลือกระหว่างตัวเลือกในเมนูอาหารกลางวัน/บริการที่เป็นทางการ/การตกแต่งภายในที่หรูหราและคลาสสิก/ประวัติศาสตร์/พ่อครัวที่มีชื่อเสียง
• สถานที่ตั้งและรายระเอียดเพิ่มเติม
Carré des Champs-Élysées, 8 Avenue Dutuit
• 8th Arrondissement
Website…

 

8. Epicure atLe Bristol

City Break Paris Dinner In Paris Final 24

แค่ชื่อก็น่าสนใจแล้ว คำว่า epicure นั้นหมายถึง …a person who takes particular pleasure in fine food and drink…
ร้านอาหาร Epicure ของ Chef Eric Frechonที่ Hotel Bristol เป็นสถานที่ที่มีผู้คนจำนวนมากที่อยากได้ประสบการณ์ในการชิมร้านอาหารระดับ 3 ดาวครั้งแรกของเขาได้ไปลอง สัมผัสกับเมนูชิมที่ว่ากันว่าเป็นประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมและจะคงอยู่ในหนึ่งในความทรงจำในระยะยาว
ความทรงจำนั้นจะเกี่ยวกับบริกรชายแต่งตัวดีหรือแต่งตัวดีอย่างเงียบๆ คึกคักเคลื่อนไหวไปรอบๆ ห้องอันหรูหราเสิร์ฟขนมปังจากรถเข็นขนมปังพิเศษ เติมน้ำในแก้วคริสตัลและเสิร์ฟอาหารที่น่าสนใจพร้อมเพรียงกันไปที่โต๊ะ

City Break Paris Dinner In Paris Final 30

Meg บอกว่า Chef Éric Fréchon และร้านอาหาร Epicure ของเขา มีแฟนๆ เยอะมาก ดังนั้นเธอจึงคาดหวังว่าจะมีอะไรที่ทำให้เธอแปลกใจมากนัก

ประเภทอาหาร: มีศักยภาพมากมายที่นี่ แต่อาหารของ Fréchon เล่น มันplay safeปลอดภัยเกินไปสำหรับรสนิยมของเธอเล็กน้อย หอยเชลล์ทะเลดิบกับน้ำหอยนางรมและครีมแกงมะนาวไม่มีส่วนผสมของน้ำเกลือและมีเครื่องเทศน้อยมากคือหอยและครีม มันธรรมดาไปหน่อยขาดพลังใด ๆ ที่เชฟ Le Squer เคยนำเสนอบนจานที่เขาปรุงแต่งในแบบรสจัดจ้าน

City Break Paris Dinner In Paris Final 23

City Break Paris Dinner In Paris Final 25

City Break Paris Dinner In Paris Final 16

Meg สรุปเกี่ยวกับ Epicure ไว้ดังนี้
การบริการและประสบการณ์: นอกเหนือจากการจัดดอกไม้ที่สวยงามเธอพบห้องอาหารในโรงแรมหรูหราแห่งนี้ค่อนข้างล้าสมัยเกือบจะเป็นแบบต่างจังหวัดโดยเฉพาะการผสมผสานของผ้าม่านหนาเก้าอี้ลายสก๊อตและแก้วคริสตัล และในขณะที่เด็กๆอาจชอบผีเสื้อคริสตัลสีรุ้งที่ตกแต่งทุกโต๊ะ แต่มันก็เป็นทางเลือกที่แย่มากสำหรับร้านอาหาร /การบริการเป็นทางการพร้อมพนักงานที่มีความสามารถในการบริการจากรถเข็น
•ราคาของเมนูอาหารกลางวัน: € 135
•ตัวเลือกระหว่าง 2 ตัวเลือกสำหรับแต่ละคอร์สบนเมนูอาหารกลางวัน
•ไวน์: การจับคู่กัอาหารที่แนะนำอยู่ระหว่าง 28-32 ยูโรต่อแก้ว
•ราคารวมอาหารกลางวันสำหรับ 2 ท่านรวมถึงน้ำไวน์และกาแฟ: € 542
จุดเด่น: อาหารชั้นสูงฝรั่งเศสแบบดั้งเดิมมีให้เลือกระหว่างตัวเลือกในเมนูอาหารกลางวัน/บริการที่เป็นทางการการตกแต่งภายในที่หรูหราคลาสสิก
• ที่ตั้งสถานที่และรายละเอียดเพิ่มเติม
112 Rue du Faubourg Saint-Honoré
• 8th Arrondissement
• Website…

 

9. Alain Ducasseที่ Plaza Athénée อาแรง ดูกาส์

City Break Paris Dinner In Paris Final 28

พ่อครัวซุปเปอร์สตาร์ของฝรั่งเศส ที่ไม่รู้ว่ามีวิธีจัดการอย่างไรแบบไหนในการหาและเก็บสะสมดาวมากมาย เขาบอกว่าเริ่มต้นด้วยการเลือกส่วนผสมที่ดีที่สุดและจ้างพนักงานที่ดีที่สุดและนักออกแบบที่ดีที่สุด ความหลงใหลล่าสุดของ Alain Ducasseคือไตรภาคีของปลาผักและธัญพืชซึ่งแปลว่ามุ่งเน้นไปที่สุขภาพแบบอาหารทะเลที่จับได้อย่างยั่งยืนผลิตผลเกษตรอินทรีย์และให้ความสำคัญของอาหารที่ทำจากเนื้อสัตว์น้อยมาก

City Break Paris Dinner In Paris Final 8

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาเขามาเน้นเมนูที่เบากว่า, Ducasse ได้ปรับรูปลักษณ์และความรู้สึกที่เป็นธรรมชาติมากขึ้นด้วยการปรับปรุงใหม่ของร้านอาหารเกือบจะเหมือนกับเปลียนสไตล์การแต่งหน้า เน้นโคมไฟระย้าทองคำขนาดใหญ่และผ้าปูโต๊ะที่ขาวเหมือนแป้งที่เล่นล้อกับแสงไฟที่สาดผ่านคริสตัลที่เรียบง่ายตัดกับสีมืดๆของโต๊ะไม้โอ๊คขัดเงาเท่านั้น

City Break Paris Dinner In Paris Final 14

City Break Paris Dinner In Paris Final 5

Meg วิจารณ์ว่า ในขณะที่การหันความสนใจออกไปจากฟัวกราและคาเวียร์ ของบรรดาเชฟทั้งหลายโดยการออกแคมเปญอาหารประเภท”naturalité” ออกมาทำให้เธอมาเป็นแฟนตัวยงของArpègeและ Ledoyenร้านอาหารสองแห่งที่พยายามทำแบบเดียวกันและประสบความสำเร็จมาก อย่างไรก็ตาม แคมเปญ “naturalité” จาก Ducasseทำให้เธอ

City Break Paris Dinner In Paris Final 18

Meg สรุปเกี่ยวกับ Ducasse ไว้ดังนี้

การบริการและประสบการณ์: การตกแต่งด้วยโคมระย้าที่แยกชิ้นส่วนและฝักสีเงินเงารอบตัวเป็นเสน่ห์ หนึ่งในห้องรับประทานอาหารที่น่าประทับใจที่สุดที่ฉันมีความสุขกับการรับประทานอาหารบริการใจดี แต่ก็เต็มไปด้วยข้อผิดพลาด เมื่อสั่งเมนูผักและปลาเราขอคำแนะนำเกี่ยวกับไวน์ขาวที่แตกต่างกันแต่ไม่ได้คำตอบแบบที่ควรได้จากหัวหน้าซอมเมอลิเอร์ การจับคู่ที่ตามมาคือบอร์โดซ์สีแดงสองแบบ – การจับคู่ที่ไม่ดีสำหรับปลาตรงข้ามกับที่เราร้องขอและมีราคาแพงกว่าที่อื่น นี่เป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งของบริการสมัครเล่นที่ ADPA มีมากกว่านั้น แต่ฉันคิดว่าคุณเข้าใจ
•ราคาของเมนูอาหารกลางวัน: € 380
•ราคารวมอาหารกลางวันสำหรับ 2 ท่านรวมถึงน้ำไวน์และกาแฟ: € 1,084
•ไวน์: การจับคู่กับอาหารที่แนะนำโดยแก้วมีการจับคู่ที่ไม่ดีซ้ำซ้อนและมีราคาระหว่าง 30-38 ยูโร
จุดเด่น: อาหารประเภทปลาและผักมีให้เลือกระหว่างตัวเลือกในเมนูอาหารกลางวัน/บริการที่เป็นทางการ/การตกแต่งภายในที่ทันสมัยงดงาม/ราคาแพงอย่างมาก

ที่ตั้งสถานที่และรายละเอียดเพิ่มเติม
Hotel Plaza Athénée, 25 Avenue Montaigne
• 8th Arrondissement
• Website…

ก็ผ่านไปแล้วนะครับสำหรับสุดยอดอาหารฝรั่งเศสร้านที่ติดดาว 3 ดวง ทั้ง 9 ร้าน รวมเป็นทั้งสิ้น 27ดวง แต่ก็อดที่จะพูดถึงอีกร้านไม่ได้นั่นคือร้าน L’Astrance ที่โด่งดังที่สุดเรื่องเมนูชิม มื้อกลางวันที่สุดคุ้ม เพราะร้านนี้เมื่อปี 2018 ก็ยังเป็นร้านในระดับมิชเชลิน 3ดาวอยู่ แต่ไม่รู้ว่าไปทำพลาดตรงไหนทั้งๆที่ตอนเป็น 3 ดาวนั้นก็ไม่ได้อยู่ปลายแถวเกือบจะเข้าTop5ด้วยซ้ำจากการจัดอันดับร้านแบบ Haut Cuisine ของMeg ผู้เป็น food Blogger คนเก่งของปารีสได้ลองชิมมาแล้วทุกร้านตามอันดับข้างล่างนี้

City Break Paris Dinner In Paris Final 17

 

L’Astranceตอนนี้ที่ 2 ดาว

L’Astranceลาสทร๊องซก็คือชื่อของดอกไม้พื้นเมืองจาก Auvergne เมืองบ้าเกิดของเชฟ Barbot

City Break Paris Dinner In Paris Final 10

City Break Paris Dinner In Paris Final 4

City Break Paris Dinner In Paris Final 29

เมื่อพ่อครัว Pascal Barbotและ maitre d ‘Christophe Rohat (ทั้งสองเคยเป็นเชฟของL’Arpège) ตัดสินใจเปิดร้านอาหารเล็ก ๆ ที่หรูหราในปี 2011 ผู้ที่หลงใหลในรสชาติอาหารจากฝีมือเชฟระดับท๊อป ต่างก็ร้องขอโต๊ะที่นี่ หลายปีต่อมาพวกเขายังคงได้รับการเคารพสักการะจากนักกินทั่วโลก มีแฟนคลับที่วนเวียนมาสั่ง
Tarte au foiegras, champignons และ agrumesฐานขนมกรุบกรอบราดด้วยชั้นของเห็ดกระดุมสีขาวบางๆ โรยด้วยความเอร็ดอร่อยของส้มและชั้นแอปเปิ้ลบาง ฟัวกราครีมฟูโรยด้วยเห็ดและผงพอร์ชินีแห้ง เรียบง่ายบริสุทธิ์ แต่ก็ซับซ้อน

City Break Paris Dinner In Paris Final 7

การเลือกเมนูของ Astranceคือความสูง (ความลึก?) ของมินิมัลลิสต์ด้วยเมนูชิมหลายคอร์สที่น่าแปลกใจเพียงสามเมนูเท่านั้น (หนึ่งในนั้นคือเมนูอาหารกลางวันเท่านั้น) เสิร์ฟพร้อมหรือไม่พร้อมไวน์ แต่ทุกคนแนะนำเมนู Astranceพร้อมไวน์ เนื่องจากมีเพียง 25 ที่นั่งในห้องอาหารสีเทาและมัสตาร์ดที่ทันสมัย ดังนั้นการจองจึงยากยิ่งต้อง วางแผนการจองล่วงหน้าหลายเดือน

City Break Paris Dinner In Paris Final 1

Meg บอกว่าร้านที่ฉันชอบมาเป็นประจำก็คือ Astrance นี่แหละส่วนใหญ่เป็นเพราะการบริการรวมถึงการจับคู่ไวน์ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่ฉันเคยได้รับ อาหารที่อร่อยอาจมีความทะเยอทะยานน้อยกว่าที่ฉันคาดไว้ แต่ราคาอาหารกลางวันทำให้ที่นี่เป็นข้อตกลงที่ดีที่สุดในเมือง Best deal in town!

ประเภทอาหาร: Pascal Barbotมักจะถูกจัดให้อยู่ในค่ายสมัยใหม่เช่นเดียวกับ Pierre Gagnaireแต่ฉันพบว่าอาหารเอเชียที่น่าสนใจของเขามีลักษณะเหมือนกันกับ William Ledeuilจาก Ze Kitchen Galerie ฉันไม่เคยกินหอยแมลงภู่หรือปลาที่ปรุงสุกอย่างสมบูรณ์แบบกว่าที่นี่ แต่การไว้ใจอย่างไม่มีที่สิ้นสุดของ Barbotกับตะไคร้ใบโหระพาและมิ้นต์ไม่ต้องพูดถึงทาตร์เฟัวกราและเห็ดอมตะของเขา ฉันจะยังคงตื่นเต้นเสมอเมื่อได้กลับมา

City Break Paris Dinner In Paris Final 11

Astrance: interior

City Break Paris Dinner In Paris Final 6

Meg สรุปเกี่ยวกับ L’Astrance ไว้ดังนี้

การบริการและประสบการณ์: โต๊ะจำนวนน้อย/ได้รับการดูแลอย่างดีจากบริกรที่ร่าเริงต้อนรับและมีส่วนร่วม/นำโดย Christophe Rohat นี่คือห้องรับประทานอาหารที่ทันสมัยปราศจากถาดเงินและรถเข็นกลิ้งดังนั้นอย่าจอง Astranceหากคุณคาดหวังว่าจะได้แท่นสำหรับวางกระเป๋าถือของคุณ/ การจับคู่ไวน์ที่ประสบความสำเร็จและสนุกสนานที่สุดของร้านอาหารระดับสามดาวใด ๆ
•ราคาของเมนูอาหารกลางวัน: € 70
•ไม่มีตัวเลือกระหว่างตัวเลือกในเมนูอาหารกลางวัน
•ไวน์: เพิ่ม€ 50 ต่อคน (รวม€ 120) สำหรับการจับคู่กับแต่ละหลักสูตรรวมถึงแชมเปญหนึ่งแก้วบวกกับน้ำและกาแฟ
•ราคารวมอาหารกลางวันสำหรับ 2 ท่านรวมถึงน้ำไวน์และกาแฟ: € 240
จุดเด่น: อาหารที่ทันสมัยและเป็นนวัตกรรมใหม่ให้บริการแบบสบาย ๆ มากขึ้น/การตกแต่งภายในที่เรียบง่ายทันสมัย/ไม่มีตัวเลือกในเมนูอาหารกลางวัน/การจับคู่ไวน์พิเศษราคาไม่แพง

ที่ตั้งสถานที่และรายละเอียดเพิ่มเติม

• 4 Rue Beethoven
• 16th Arrondissement
• Website…

 

City Break Paris Part XXXIX

By Pusit Sansopone
เบรกเที่ยวในกรุงปารีส ตอนที่ 39
Dinner in Paris (ต่อจากตอนที่แล้ว)
เมื่อตอนที่แล้วเราพูดถึงร้านอาหารติดดาวมิชลินในปารีส แบบที่เราสามารถไปกินได้โดยกระเป๋าไม่ฉีกคือมีราคาสมเหตุผลไม่ต่างกับร้านทั่วไปมากนักซึ่งจะเป็นเป็นร้านติดดาว มิชลิน 1-2 ดวงและในตอนนี้ซึ่งเป็นภาคต่อเราก็จะมาพูดถึงร้านที่ได้มิชลิน 3 ดาวทั้งหมดในปารีสสำหรับ ’ผู้ที่ไม่เกี่ยงราคาถ้าดีจริง’ ซึ่งเมื่อปีที่แล้วมีอยู่ด้วยกัน 10 ร้านแต่ในปี 2019นี้ประกาศผลล่าสุดเหลืออยู่เพียง 9 ร้านเท่านั้น เพราะร้านของ Chef Pascal Barbot ที่ชื่อว่า L’Astrance นั้นตกจากระดับ 3 ดาวลงไปเป็นระดับ 2 ดาวอย่างน่าประหลาดใจในปีนี้ แต่เรายังคงอดพูดถึงร้านนี้ไม่ได้อยู่ดีเอาเป็นว่าแนะนำทั้ง 10 ร้านไปเลย 2 ตอนจบครับ

Michelin Stars Restaurant In Paris 18

ร้านอาหารระดับ 3 ดาวของมิชลินในปารีส ทั้ง 9 ร้านนั้นต้องบอกว่าต้องใช้งบประมาณต่อมื้อสูงเอาเรื่องอยู่ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าผู้ที่มีรายได้ปานกลางแต่รสนิยมการกินสูงนั้นจะหมดสิทธิ์ซะทีเดียว ลูกค้าหลายคนที่เป็นผู้แสวงหาที่สุดของศิลปะการปรุงอาหารชั้นสูงของฝรั่งเศสแบบ Haute Cuisineนั้นก็ไม่ได้เป็นเศรษฐีแต่อย่างไรแค่เป็นนักกินพันธุ์แท้อยากได้ประสบการณ์ก็ได้ เช่นช่วงหลังร้านแบบนี้มีลูกค้าที่เป็น Food&Travel Blogger จากทั่วโลกก็เยอะอยู่

หนึ่งในวิธีที่ดีที่สุดในการเพลิดเพลินกับมื้ออาหารที่ร้านอาหารระดับ 3 ดาวมิชลินคือการไปลอง Lunchtime Tasting Menu ครับ เพราะนอกจากจะได้อาหารจัดชุดโดยเชฟที่เราอย่างชิมฝีมือแล้ว การจองก็จะไม่ยากเท่ามื้อค่ำที่ดีที่สุดก็คือราคาต่อหัวโดยเฉลี่ยนั้นจะถูกกว่ามื้อค่ำ 20-40% เลยทีเดียวขึ้นอยู่กับช่วงไหนเชฟจะแนะนำอาหารพิเศษแค่ไหน เรียกว่าอาหารกลางวัน เมนูระดับเริ่มต้นเหล่านี้จะช่วยเป็นจุดเริ่มต้นให้เรารู้จักและคุ้นเคยกับสุดยอดอาหารฝรั่งเศสระดับ 3 ดาวของมิชลินเป็นอย่างดี

Michelin Stars Restaurant In Paris 9

พอดีผมไปเจอบทความที่เขียนโดย Food Blogger ที่ชื่อ Meg Zimbeck เขียนไว้ในหัวข้อ Report on Haute Cuisine ซึ่งได้ไปลองชิมมาทุกร้านแล้วก็เลยขอนำเรื่องราวน่าสนใจนี้มาแชร์ (credit : Parisbymouth.com & parisinsidersguide.com) เพื่อใช้เป็นข้อมูลก่อนตัดสินใจเลือกร้าน เพราะMeg จะมีการสรุป เรื่องงบประมาณราคา,คุณภาพอาหารและบริการตลอดจนสิ่งที่เราจะได้สัมผัส ในแง่บรรยากาศประสบการณ์การที่ได้ไปกินที่ร้านนี้ ซึ่งน่าสนใจทีเดียว เรามาเริ่มจากร้านแรกกันเลย

 

1. Pierre Gagnaire เพียร์กานแยร์

Michelin Stars Restaurant In Paris 26

Pierre Gagnaire: dining room

Pierre Gagnaire เริ่มอาชีพการทำอาหารเมื่ออายุได้ 14 ปีเขาได้รับรางวัลดาวมิชลิน 3 ดวงในปี 1993 แน่นอนว่าระดับPierre นั้นเขามีร้านอาหารอื่นๆ ในปารีสและทั่วโลก เช่น ลอนดอน ลาสเวกัส ฮ่องกง และโตเกียว Pierre ได้สร้างความประหลาดใจให้กับนักกินบ่อยครั้งที่ห้องรับประทานอาหารอันทันสมัยของเขา เนื่องจากเมนูและสูตรอาหารของเขาเปลี่ยนไปบ่อยครั้งและเป็นผู้นำเรื่องความสมัยใหม่ (Modern Cooking) หากนายธนาคารของคุณไม่ยอมให้คุณสั่งเมนูอาหารตามสั่งที่แพงสุดๆของร้าน ที่นี่ก็มี Tasting Menu เมนูชิมอาหารค่ำ, เมนูอาหารกลางวันราคาสมเหตุสมผลแต่เมนูทรัฟเฟิลสีดำราคาแพงก็ถือว่าคุ้มค่าหรือจะเริ่มต้นจากทาปาสเมนูที่เราจะได้อาหารเรียกน้ำย่อยจานเล็กหกถึงเจ็ดจานที่สร้างสรรค์อย่างดุเดือด ให้คุณได้สัมผัสถึงจิตวิญญาณของการต้อนรับในรูปแบบของ Pierre Gagnaire

Michelin Stars Restaurant In Paris 25

การปรุงอาหารของ Pierre Gagnaire นั้นได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางว่าเป็นพ่อครัวระดับสามดาวที่ทันสมัยที่สุด แต่มันก็มักจะออกมายอดเยี่ยมอยู่กับร่องกับรอยมีความสม่ำเสมอ ความสนุกสนานของอาหารราวกับโดนฉีดด้วยอะดรีนาลีนเข็มใหญ่ที่กระตุ้นให้ประสบการณ์การกินที่นี่มันเร้าใจไม่เหมือนที่ไหน

Michelin Stars Restaurant In Paris 29

ประเภทอาหาร: อาหารจานโปรดที่ Meg ชอบก็คือหอยเชลล์ทะเลที่จับคู่กับกะเพราะปลา Caillette จากแค้วนเบรอตงสอดประสานกับมันสำปะหลัง Sunchoke ตามด้วยปลา Poularde ทีมีลักษณะคล้ายปลาทับทิมที่มาแบ่งเป็น 2 ซีกแล้วนำเสนอด้วยรูปแบบการปรุง 2 แบบไม่เหมือนกัน และแน่นอนว่าของหวานที่นี่ยอดเยี่ยมมากๆ

Michelin Stars Restaurant In Paris 14

Pierre Gagnaire: shrimp, onion, salsify

Michelin Stars Restaurant In Paris 22

ข้อสรุปของ Meg
การบริการและประสบการณ์ที่ได้รับ: ห้องรับประทานอาหารนั้นได้รับการตกแต่งในสไตล์ร่วมสมัยแต่อาจจะหรูหราน้อยกว่าร้าน 3 ดาวมิชลินร้านอื่นๆที่เป็นคู่แข่ง ที่น่าสังเกตุคือพนักงานเสิร์ฟนั้นดูไร้ความสุขเพราะไม่ค่อยยิ้มแย้มเท่าที่ควรแม้ว่าพวกเขาจะคอยเฝ้าสังเกตุคุณตลอดเวลาว่าคุณกำลังต้องการอะไร เช่นคุณแค่เกาจมูกก็จะมีบริกรวิ่งเข้ามาหาคุณแล้ว
•ราคาของเมนูอาหารกลางวัน: € 160
•ไม่มีสามารถปรับเปลี่ยนตัวเลือกในรายหารเมนูอาหารกลางวันได้
•การจับคู่ไวน์: สามารถเลือก Wine Pairing ที่ทางร้านแนะนำในราคาอยู่ระหว่าง € 14-21 ต่อแก้ว
•ค่าใช้จ่ายทั้งหมดของมื้อกลางวันสำหรับ 2 ท่านรวมถึงน้ำไวน์และกาแฟ: € 486 (รวมเบ็ดดสร็จโดยประมาณ)
จุดเด่น: อาหารที่ทันสมัยและมีนวัตกรรม/การบริการที่เป็นทางการ/การตกแต่งภายในที่เรียบง่าย/การจัดจานการตกแต่งจานที่น่าทึ่ง/ แต่ไม่มีตัวเลือกในเมนูอาหารกลางวันจากเชฟผู้มีชื่อเสียง

ที่ตั้งและรายละเอียดร้านอยู่ข้างล่างนี้เลยครับ

Michelin Stars Restaurant In Paris 21

• Hotel Balzac, 6 Rue Balzac

• 8th Arrondissement

• Website…

 

2. Le PréCatelan เลอเพร่คัตทาลัน

บรรยากาศการกินที่นี่มันได้คะแนนมาตั้งแต่ตอนคุณนั่งรถผ่านสวนป่ากลางกรุงปารีสที่ชื่อบูโลนญ Bois de Boulogne แล้วคุณก็พบว่าตัวเองกำลังจะได้รับประทานอาหารใต้ต้นเกาลัดบนเฉลียงของ Napoleon III Pavilion ซึ่งสามารถมองเห็นสวนและสนามหญ้าที่ตกแต่งแบบ French Garden ที่ Le PréCatelan

Michelin Stars Restaurant In Paris 28

Le Pré Catalan: dining room

เชฟ Frederic Anton เฟรเดอริกแองทอนนำเวทมนตร์การทำอาหารมาสู่ร้านอาหารโดยได้รับ 3 ดาวในระยะเวลาอันสั้น Le PréCatelan เป็นร้านอาหารสำคัญของกลุ่ม Lenôtre (กลุ่มทำร้านอาหารและขนมจากนอร์มงดีและมีโรงเรียนสอนทำขนม/ขนมอบ) Frederic Anton มาร่วมกับกรุ๊ปเมื่อปี 1997 เมื่อร้านนี้มันมีดาวเพียงดวงเดียว Anton มาถึง Le Préหลังจากทำงานโดยตรงกับเชฟ Joël Robuchonที่ Jaminในร้านอาหารระดับ 3 ดาวของเขา

Michelin Stars Restaurant In Paris 16

เชฟ Frederic Anton

แม้ว่าคุณจะไม่อยากเลือกกินจากเมนูอาหารตามสั่ง(A la carte)sหลังจากเห็นราคาของมัน แต่คุณก็ยังสามารถมีความสุขกับเมนูอาหารกลางวันและได้ลิ้มลองความอร่อยที่ Chef Anton จัดให้ได้ เชฟคนนี้มีมีชื่อเสียงในเรื่อง Foie Gras กับ Port wineและหัวผักกาด สลัดปูกับเกรปฟรุ้ตพริกไทยอ่อนและรสชาติไทย ปลาห่อในสาหร่ายและไอศครีมเกาลัด

Michelin Stars Restaurant In Paris 23

Michelin Stars Restaurant In Paris 12
ข้อสรุปของ Meg
การบริการและประสบการณ์ที่ได้รับ:
บริการและประสบการณ์: เช่นเดียวกับที่ร้าน Ledoyen, L ‘Ambroisie และ Le Meurice ที่นี่ให้ความรู้สึกย้อนเวลากลับไปในอดีต บริการรถเข็นสำหรับแชมเปญและชีส ดูเหมือนร้านในอดีต ส่วนเสาหินอ่อนและโคมไฟระย้าก็เพิ่มความคลาสสิก ในส่วนการบริการก็ทำได้อย่างเป็นทางการและมีความสามารถสูง
•ราคาของเมนูอาหารกลางวัน: € 110
•ค่าใช้จ่ายทั้งหมดของมื้อกลางวันสำหรับ 2 ท่านรวมถึงน้ำไวน์และกาแฟ: € 309
•ไวน์: การจับคู่ Wine Pairing กับอาหารที่แนะนำซึ่งมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม € 40 ต่อคนนั้นยอดเยี่ยม
จุดเด่น: อาหารชั้นสูงของฝรั่งเศสแบบดั้งเดิม/มีตัวเลือกในเมนูอาหารกลางวัน/บริการที่เป็นทางการ/การตกแต่งภายในที่หรูหราคลาสสิก

ที่ตั้งและรายละเอียดร้านอยู่ข้างล่างนี้เลยครับ

Michelin Stars Restaurant In Paris 3

Bois de Boulogne
• 16th Arrondissement
• Website…

 

3. Arpège

Chef Alain Passard

Michelin Stars Restaurant In Paris 15

หากคุณรู้สึกหิวและหากเงินไม่ใช่ปัญหา หลังจากเดินเล่นในพิพิธภัณฑ์ Rodin ที่อยู่ใกล้เคียงคุณอาจลองทานอาหารกลางวันที่ Arpège ได้เลย นั่นคือถ้าคุณควรวางแผนล่วงหน้าเพื่อทำการจอง ขอแนะนำ เมนูผักของ Chef Alain Passard ที่มุ่งเน้นไปที่ผลิตผลสดที่เก็บเกี่ยวได้โดยตรงจากสวนเกษตรอินทรีย์ของเขาเอง The Gardener’s Lunch เป็นเมนูอาหารระดับเริ่มต้นที่ยอดเยี่ยมหรือหากคุณรู้สึกเหนื่อยล้าต้องการเพิ่มกำลังวังชาด้วยโปรตีนซะหน่อย ก็ให้จองเมนูชิมที่ชื่อ Terre&Mer หรือ บกกับทะเล นั่นเอง (Surf&Turf)

เช่นเดียวกับพ่อครัวชาวฝรั่งเศสส่วนใหญ่ Alain Passard เริ่มทำอาหารเมื่อเขาเป็นวัยรุ่น อาชีพการทำอาหารที่จริงจังของเขาเริ่มต้นในปี 1980 ที่ Ducd’Enghien (เป็นเหมือนลาสเวกัสของฝรั่งเศส) ซึ่งเขาได้ทำสูตรอาหารที่มีชื่อเสียงที่เขาเสิร์ฟมาจนถึงทุกวันนี้ เช่น chaud-froidegg with maple and chives เขาเปิด Arpege ในปี 1986 และได้รับสามดาวในทศวรรษต่อมา พ่อครัวที่มีชื่อเสียงในระดับปรมาจารย์ในปารีส ดูได้จาก ผู้ที่ฝึกฝนภายใต้การดูแลของ Passard ได้แก่

ความเห็นของMeg ก็คือ ร้านอาหารระดับสามดาวร้านนี้ที่ เป็นสถานที่ที่คุณจะรักหรือเกลียด คือถ้าชอบก็ชอบมากๆก็ไม่ชอบไปเลย เพราะเชฟ Alain Passard มีลูกศิษย์ลูกหาเยอะและหลายคนขึ้นมาเป็นเชฟแนวหน้ากันหมดเช่นเดียวกับเขา เช่น David Toutain, Bertrand Grébaut ก็กำลังทำงานเวทมนตร์ที่คล้ายคลึงกันคือทำอาหารในสไตล์เดียวกันหรือซ้ำซ้อนกันแต่ในราคาเพียงที่ถูกกว่าพอสมควร ก่อนจอง Arpège ต้องถามตัวคุณเองว่า: คุณต้องการชิมฝีมือเชฟระดับปรมาจารย์คือ Passard เท่านั้น ใช่หรือไม่ หรือต้องการผักประดิษฐ์จากสวนผักที่เขาทุ่มเทให้มันออกมาวิเศษไม่เหมือนใคร

Michelin Stars Restaurant In Paris 27

Arpège: assorted vegetable amuses bouche

Michelin Stars Restaurant In Paris 11

Michelin Stars Restaurant In Paris 24

Arpège: baby boar with hibiscus, onion and turnip

Michelin Stars Restaurant In Paris 5

Arpège: dining room
• บริการ & ประสบการณ์: บริการน่ารัก /การต้อนรับที่ไม่ซับซ้อนและไม่เป็นทางการมากเกินไป /ชอบการจับคู่ไวน์ที่แนะนำจากซอมเมลิเย่ร์
• •ราคาของเมนูอาหารกลางวัน: € 140
•ไม่มีตัวเลือกในเมนูอาหารกลางวัน
•ไวน์: การจับคู่ที่แนะนำอยู่ระหว่าง € 14-28 ต่อแก้ว
•ราคารวมอาหารกลางวันสำหรับ 2 ท่านรวมถึงน้ำไวน์และกาแฟ: € 517
จุดเด่น: อาหารที่ทำจากปลาและผัก/บริการแบบสบาย /การตกแต่งภายในที่เรียบง่ายทันสมัย/การตกแต่งจานที่งดงาม แต่ไม่มีทางเลือกในเมนูอาหารกลางวันจากเชฟผู้มีชื่อเสียง

ที่ตั้งและรายละเอียดร้านอยู่ข้างล่างนี้เลยครับ

84 Rue de Varenne
• 7th Arrondissement
• Website…

 

4. Guy Savoy

Michelin Stars Restaurant In Paris 7

Guy Savoy ผู้ซึ่งเป็นเชฟที่รักศิลปะและแฟชั่นกล่าวว่าร้านอาหารของเขา ซึ่ง ตกแต่งด้วยไม้แอฟริกาสีเข้ม และหนังสีเบจและภาพวาดสมัยใหม่ นั้นเป็นเหมือนโรงเตี๊ยมในศตวรรษที่ 21 ของเขา เขาอธิบายถึงสไตล์ของเขาว่า “สบาย ๆ ” และขยายความรู้สึกผ่อนคลายในห้องรับประทานอาหารของเขา ส่วนอาหารของเขาก็ตกอยู่ในระหว่างความหรูหราที่แท้จริงกับความเรียบง่ายแบบสุดๆ ตัวอย่างเช่นจานเด่นของเขา อาติโช๊คและซุปทรัฟเฟิลสีดำ

Michelin Stars Restaurant In Paris 31

หากคุณต้องการที่จะลองรับประทานอาหารที่ร้านอาหารระดับ 3 ดาวมิชลินแต่กลัว่าค่าใช้จ่ายจะสูงไปต้องมาที่นี่เลยครับเพราะ Guy Savoy เสนอเมนูอาหารกลางวันในราคาที่สมเหตุสมผล ทุกวันซึ่งรวมถึงสามคอร์สเมนูในราคาเพียง 130 ยูโรพร้อมไวน์ที่แก้วราคาเริ่มต้นที่ 10 ยูโร แต่ ข้อเสนอนี้ใช้ได้เฉพาะเมื่อคุณจองออนไลน์ หรือถ้าจะให้ดูเท่หน่อยก็ต้องจองเมนูColours, Textures and Flavours สี,ผิวและรสชาติ 12 คอร์ส ในราคาต่อหัวที่ €415 หรือประมาณ 15,000 กว่าบาทครับ
Megคิดว่ามันวิเศษมากที่ Guy Savoy มุ่งมั่นที่จะนำเสนอเมนูอาหารกลางวันที่ราคาถูกกว่าเพื่อดึงดูดผู้คนในวงกว้าง คำทักทายเบื้องต้นซึ่งถูกส่งมอบให้กับทุกโต๊ะโดยกล่องเล็กๆที่เขียนว่า “อาหารมื้อนี้ออกแบบมาเพื่อใช้เวลาสองชั่วโมงกับสิบห้านาที”

Michelin Stars Restaurant In Paris 20

Guy Savoy: seafood

Michelin Stars Restaurant In Paris 2

Guy Savoy: showcase

Michelin Stars Restaurant In Paris 6

• บริการ & ประสบการณ์: บรรยากาศและสถานที่ก็อย่างที่Savoyบอกไว้เลย”ตกแต่งด้วยไม้แอฟริกาสีเข้ม และหนังสีเบจและภาพวาดสมัยใหม่ นั้นเป็นเหมือนโรงเตี๊ยมในศตวรรษที่ 21”/ บริการเป็นมืออาชีพและปรับให้เข้ากับความต้องการของนักทานที่มีประสบการณ์น้อยกับการรับประทานอาหารระดับสามดาว พวกเขาทำให้ทุกคนรู้สึกเหมือนอยู่บ้าน
•ราคาของเมนูอาหารกลางวัน: €170 (รวมทั้งหมด)
•ไม่มีตัวเลือกระหว่างตัวเลือกในเมนูอาหารกลางวัน
•ราคารวมอาหารกลางวันสำหรับ 2 ท่านรวมถึงน้ำไวน์และกาแฟ: € 340
•ไวน์: ห้าไวน์ที่แตกต่างกันรวมถึงแชมเปญเพื่อเริ่มต้นรวมอยู่ในเมนูฤดูใบไม้ร่วงของเรา (รวมถึงน้ำและกาแฟ)

Michelin Stars Restaurant In Paris 8

จุดเด่น: อาหารชั้นสูงของฝรั่งเศสแบบดั้งเดิม/ไม่มีตัวเลือกระหว่างตัวเลือกในเมนูอาหารกลางวัน/บริการที่เป็นทางการ/การตกแต่งภายในที่เรียบง่ายทันสมัย/การจับคู่ไวน์/ราคาโดยรวมไม่แพงนัก

สถานที่ตั้งและรายละเอียด
Monnaie de Paris Museum, 11 Quai de Conti
• 6th Arrondissement
• Website…

 

5. L’Ambroisie ลัมโบรสซี

Michelin Stars Restaurant In Paris 19

Chef Bernard Pacaudหนึ่งในพ่อครัวที่สุขุมที่สุดของชุด Michelin ดำเนินการร้านอาหารที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งในปารีส บางคนอาจโต้แย้งว่าเป็นร้านอาหารที่ดีที่สุด ทันทีที่คุณมาถึงภายใต้ร้านที่สวยงามของสถานที่ในศตวรรษที่ 17 คุณจะได้สัมผัสกับความสง่างามของการตกแต่งภายในที่ได้รับอิทธิพลจากเวียนนา

Michelin Stars Restaurant In Paris 17

มีสองสิ่งที่ไม่ซ้ำกันเกี่ยวกับ l’Ambrosie ประการแรกเป็นร้านอาหารระดับสามดาวที่ดำเนินกิจการมายาวนานที่สุดของปารีสโดยถือดาวตั้งแต่ปี 1988 อันดับที่สองเป็นร้านอาหารตามสั่งเท่านั้น ดังนั้นจึงไม่มีเมนูรสชาติ (Tasting Menu)ราคาปานกลาง

Michelin Stars Restaurant In Paris 13

พ่อครัวและเจ้าของ Bernard Pacaud ตอนนี้อายุมากกว่า 70 ปีและดำเนินกิจการร้านอาหารกับดาเนียลภรรยาของเขากับมาติเยอลูกชายของพวกเขา พวกเขาเปิด l ‘Ambroisieในปี 1981 (ปีลูกชายของพวกเขาเกิด) บนฝั่งซ้าย ในปี 1986 พวกเขาย้ายไปยังตำแหน่งปัจจุบันบน Place des Vosges

Michelin Stars Restaurant In Paris 1

ร้านนี้ต้อนรับแขกระดับไหนนั้นเราคงไม่ต้องพูดถึง

Meg บอกว่าแม้ว่าฉันจะไม่สามารถกลับมาบ่อยๆ(เพราะราคาของที่นี่)ได้ ฉันก็มีความสุขมากที่ L’Ambroisie มีอยู่ ในขณะที่เพื่อนร่วมงานของเขาหลายคนกำลังเปลี่ยนโฟกัสไปที่ส่วนผสมที่เรียบง่ายกว่านี้เพื่อทำราคาให้ถูกลง แต่ Bernard Pacaud ก็ยังใช้ส่วนประกอบที่เป็นคาเวียร์อยู่ ยังคงเป็นต้นแบบของการหัวสูงของชนชั้นสูงได้อย่างสมบรูณ์แบบ ประเภทอาหารโดยเฉพาะอาหารแบบโอลคลาสสิกนี่ก็ใกล้เคียงกับความสมบูรณ์แบบที่สุดเท่าที่คุณจะหาได้ในฝรั่งเศส แต่ก็อย่างที่เรารู้กันว่าอาหารตามสั่งที่นี่มีราคาแพงอย่างสุดๆ

Michelin Stars Restaurant In Paris 10

L’Ambroisie: porton

Michelin Stars Restaurant In Paris 30

L’Ambroisie: sea bass, artichoke, caviar

Michelin Stars Restaurant In Paris 4

L’Ambroisie: lobster, garlic,

การบริการและประสบการณ์: ห้องรับประทานอาหารที่นี่มีความสวยงามระดับขุนนางในย่านที่พำนักของชนชั้นสูงในถิ่นเดส์โวสเกส/ การบริการอาจไม่เป็นประชาธิปไตยนัก/ในทำนองเดียวกัน ซอมเมลิเออร์ของเราทำให้ไวน์อุ่นไปหน่อยตอนปลายมื้อ
•ราคาของเมนูอาหารกลางวัน: อาหารตามสั่งทั้งมื้อกลางวันและมื้อค่ำ ราคาเฉลี่ยการสั่งซื้อสามคอร์สต่อคนคือ 320 ยูโร
•ทางเลือกระหว่างห้า starters สิบหลักสูตรหลัก (main course)และสี่ของหวาน
•ไวน์: การจับคู่แบบเป็นแก้วไม่ค่อยมีตัวเลือกหาก คุณต้องการสั่งซื้อขวดที่นี่ ซอมเมอลิเย่ร์ได้แนะนำ 2011 PouillyFuisséSécret Mineral 2011 จาก Denis Jeandeauในราคา€ 130
•ราคารวมอาหารกลางวันสำหรับ 2 ท่านรวมถึงน้ำไวน์และกาแฟ: € 795
จุดเด่น: อาหารฝรั่งเศสแบบดั้งเดิมชั้นสูงมีให้เลือกระหว่างตัวเลือกอาหารตามสั่ง แต่ไม่มีเมนูอาหารกลางวัน/บริการอย่างเป็นทางการ/การตกแต่งภายในที่หรูหราคลาสสิก/ราคาแพงอย่างมาก

สถานที่ตั้งและรายละเอียดเพิ่มเติม
9 Place des Vosges
• 4th Arrondissement
• Website…

(credit: Parisbymouth.com & parisinsidersguide.com)

 

โปรดติดตามเรื่องราวของอีก 5 ร้านที่เหลือในตอนหน้านะครับ

สูตรไข่ฟริตตาต้า ในวันแห่งความรัก

Valentine’s Day ประวัติจะเป็นมาอย่างไร ทำไมถึงมีวันนี้ขึ้นมา ดูเหมือนจะไม่มีใครสนใจเท่าไรนัก เพราะถึงสนใจไปค้นหากันจริงๆ ก็ดูจะเลือนรางเป็นเพียงคำบอกเล่าต่อกันมา ไม่มีใครยืนยันประวัติที่เริ่มจากนักบุญเซนต์วาเลนไทน์ได้ รู้แต่ว่าในบ้านเราเป็นที่ยอมรับกันเรียบร้อยตั้งแต่ในเมืองกรุงไปจนถึงต่างจังหวัด ถิ่นทุรกันดาร ผู้เฒ่าผู้ใหญ่ไปจนลูกเล็กเด็กแดงแล้ว ว่าเป็นวันแห่งความรัก เป็นวันที่แม่ค้าขายดอกกุหลาบแดง กับคนขายช็อกโกแลต ยิ้มแก้มแทบแตก เพราะขึ้นราคาได้ตามใจชอบ

เมื่อมองย้อนกลับไป เมื่อสมัยเป็นวัยรุ่น เราเองก็เคยว้าวุ่นกังวลใจ กลัวจะไม่ได้ดอกกุหลาบซักดอกในวันนั้น รู้สึกด้อยค่าอย่างไรชอบกล แต่ด้วยวัย ด้วยประสบการณ์ ทำให้ความคิดเราเปลี่ยนไปมาก เรายังเชื่อในความรัก ความหวังดี ที่ผู้คนจะมอบให้กัน และการที่มีคนกำหนดขึ้นมาสักวัน ว่าเป็นวันนี้ วันนั้นมันก็ดีเหมือนกัน ไม่เช่นนั้น ก็นึกๆอยู่ ว่าจะทำอะไรดีๆให้กับคนที่เรารัก ก็ยังไม่ได้ทำสักที เพียงแต่ว่า ความรักในอุดมคติของเราได้เปลี่ยนไป ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงความรักของคู่รัก หรือสามี ภรรยาอีกต่อไป ความรักที่ช่วยจรรโลงจิตใจ ให้มีความหวัง ให้มีความเบิกบาน มีได้มากมายหลายรูปแบบ ตั้งแต่ความรักที่มีต่อพ่อแม่ ต่อผู้มีพระคุณ ต่อคนในครอบครัว ต่อเพื่อนที่ได้เคยร่วมทุกข์ร่วมสุขด้วยกันมายาวนาน บางคนยิ่งกว่าพี่น้องเสียอีก

และเหนือสิ่งอื่นใด ความรักที่มีให้แก่ตัวเอง เราเชื่อว่าเมื่อเรารักและเคารพในตัวเราเอง คนอื่นๆก็จะเห็นคุณค่าและปฏิบัติกับเราแบบนั้นเหมือนกัน

วาเลนไทน์ปีนี้ ลองมองออกไปกว้างๆ ลองนึกกลับไปว่าใครที่ดีกับเราเสมอมา ลองทำอะไรพิเศษใหม่ๆ ด้วยตัวเองให้เป็นของขวัญที่มีคุณค่าทางจิตใจ ให้กับคนที่เรารักลองดูค่ะ

Le Creuset and Frittata for Valentine Day 3

สำหรับผู้ที่ไม่ค่อยมีเวลาทำอาหารแต่อยากจะทำอะไรพิเศษให้คนที่รักในวันนี้ เอาเมนูง่ายๆ อร่อย มาฝากกัน เมนูนี้เอาไว้เป็นเพียงแนวทาง หรือ guideline เราสามารถดัดแปลง เอาอาหารที่มีอยู่ในตู้เย็น ที่เราชอบมาเพิ่มเติม ลดสิ่งที่เราไม่ชอบออกไป เพียงแต่สัดส่วนของไข่และของเหลว ควรจะทำตามในสูตรไปก่อน ต่อเมื่อทำสำเร็จครั้งหนึ่งแล้ว จะเพิ่มจะลดอะไร ก็ค่อยว่ากันค่ะที่สำคัญถ้าใช้กระทะเหล็กหล่อ เคลือบอินาเมล ของ Le Creuset ด้วยแล้ว จะได้ผลลัพธ์ที่แตกต่าง ไข่จะขึ้นฟูสวย คงรูป เพราะความร้อนกระจายทั่วถึง ผิวสัมผัสของไข่ด้านล่างจะเกรียมสวย เพราะความร้อนได้ที่

Le Creuset and Frittata for Valentine Day 1

สูตรไข่ฟริตตาต้า Frittata
เนย 50 กรัม
หอมใหญ่ผัดไฟอ่อนกับเนยจนเป็นสีน้ำตาลเข้ม (ตามชอบ)
พริกหวานย่าง (ตามชอบ) ลอกเปลือก หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ
เห็ดสับผัดกับน้ำมันมะกอก (ตามชอบ)
เบคอน (ตามชอบ) ผัดเอาน้ำมันออกจนเป็นสีเกรียมสวย
มันฝรั่งต้ม (ตามชอบ) หรืออบแล้วหั่นเป็นชิ้นหนาราว 1-2 ซม
Ricotta ชีส 200 กรัม
ไข่ 6 ฟอง
ครีมชนิดวิปปิ้งครีม 150-200 กรัม
Parmesan ชีสขูดให้ได้ ครึ่งถ้วย
ผัก Rockets คลุกกับน้ำมันมะกอกและมะนาว

Le Creuset and Frittata for Valentine Day 5

Le Creuset and Frittata for Valentine Day 6

วิธีทำ
เปิดเตาอบไว้ที่ไฟ 180 องศาเซลเซียส
ตีไข่กับวิปปิ้งครีม เติมเกลือ พริกไทย ใส่ชีสทั้งสองชนิด
ตั้งกระทะไฟกลาง ใส่เนย จนเนยเดือด ใส่ไข่ลงไป ตามด้วย หอมใหญ่ พริกหวาน เห็ด เบคอน มันฝรั่ง ลดไฟลงเป็นไฟอ่อน จนไข่เริ่มเซ็ทตัวแล้ว เอาเข้าเตาอบที่เตรียมไว้ จนไข่ฟูขึ้นเต็มที่แล้ว เปลี่ยนไฟเป็นโหมด ย่าง (grill) ขยับกระทะขึ้นให้ชิดไฟด้านบน เพื่อให้ด้านบนของไข่มีสีสวย ประมาณ 3-5 นาที

พักไว้เพื่อให้ข้างในของไข่สุก เซ็ทตัว ราว 5 นาที ก่อนตัดเสิร์ฟเป็นชิ้นๆ
โรยผัก Rockets ที่คลุกน้ำสลัดๆแล้วไว้ด้านบน
เสิรฟกับขนมปังบาแก้ท ก็อร่อย

Le Creuset and Frittata for Valentine Day 8

Le Creuset and Frittata for Valentine Day 4

จัดโต๊ะสวยๆ ทำอาหารอร่อย ที่ใช้เวลาไม่นานนี้ นั่งลงรับประทานกับคนที่รัก หรือแม้จะทานคนเดียว ก็มีความสุขได้ ขอบคุณตัวเองที่เข้มแข็งฝ่าฝันอุปสรรคต่างๆในชีวิตมาได้จนถึงวันนี้

 

ขอให้วันวาเลนไทน์ปีนี้ เป็นวันที่เรามีความสุขกันอีกวันค่ะ

 

สอบถามข้อมูล หรือติดตามข่าวสารผลิตภัณฑ์เครื่องครัว เลอ ครูเซได้ที่
Facebook:https://Facebook.com/LeCreusetThailand

Instagram: https://www.instagram.com/lecreuset_thailand

Line: Le Creuset Thailand

Tel No.: +669 3131 8876

 

Le Creuset LOGO

เนื้อซี่โครงตุ๋นไวน์แดงในหม้อ Le Creuset

ปีใหม่กำลังจะมาถึง หลายๆคนเริ่มเตรียมเมนูสำหรับงานเลี้ยงกันแล้ว ขอเสนอเมนูที่เหมาะมากไม่ว่าจะจัดงานที่บ้าน หรือจะถือไปร่วมงานกับใครนะคะ นั่นก็คือ เนื้อตุ๋นไวน์แดง ค่ะ

Le Creuset Stewed Ribs with Red Wine 3

สูตรนี้อร่อยมากค่ะ ทำทีไร ใครๆก็ชม มันอร่อยด้วยตัววัตถุดิบเอง ที่ค่อยๆสุกไปอย่างช้าๆ ยิ่งได้อุปกรณ์ที่เหมาะสม คือหม้อของ Le Creuset ที่กระจายความร้อนได้ทั่วถึงแบบนี้ อาหารออกมาอร่อยมาก ดีจนใครๆก็ขอให้ทำเมนูนี้อยู่เรื่อยๆค่ะ

เนื้อซี่โครงตุ๋นไวน์แดงในหม้อ Le Creuset
เครื่องปรุง
เนื้อส่วนซี่โครง หรือเนื้อน่องลาย หรือส่วนแก้มวัว ½ กิโล
หอมหัวใหญ่ 1 หัว (หั่นเต๋า ราวๆ 1 เซ็นติเมตร)
แครอท 1 หัว (หั่นเต๋า ราวๆ 1 เซ็นติเมตร)
ก้านเซเลอรี่ 1 ก้าน (หั่นเต๋า ราวๆ 1 เซ็นติเมตร)
ต้นกระเทียม (เฉพาะส่วนสีขาว) 1 ต้น ซอยบาง
บัลซามิค Balsamic Vinegar 100 gram
มะเขือเทศเข้มข้น 2 ช้อนโต๊ะ
ไวน์แดง 200 ml
น้ำสต๊อกเนื้อ 500 ml
มันฝรั่ง
ช่อ บูเค การ์นี่ (ก้านพาร์สลี่ ใบกระวาน ช่อไทม์ ห่อด้วยใบต้นกระเทียม มัดรวมกัน)
โรสแมรี่
เกลือ พริกไทย
เนย
กระเทียมไทย ทั้งหัวฝานครึ่ง (ใส่หรือไม่ใส่ก็ได้)

Le Creuset Stewed Ribs with Red Wine 1

ผักสำหรับตกแต่ง
มันฝรั่งและแครอท เกลาให้เป็นรูปสวยงาม ผักสีเขียวที่เข้ากันได้ดีคือกะหล่ำดาว Brussels Sprout
ผักเหล่านี้ ต้มหรือลวกแล้วมาผัดเนย เติมไปในจานเวลาจัดเสิร์ฟ

Le Creuset Stewed Ribs with Red Wine 2

วิธีทำ
เทเกลือ พริกไทยลงบนเนื้อซี่โครงให้ทั่ว แล้วทอดเนื้อซี่โครงทั้งหมดด้วยไฟแรง และน้ำมันเพียงเล็กน้อย จนเป็นสีน้ำตาลสวย ยกเนื้อไปพักไว้ในหม้อ Le Creuset

ในกระทะเดิมลดไฟลงเป็นไฟกลางค่อนข้างอ่อน นำหอมใหญ่ แครอท เซเลอรี่ และต้นกระเทียมที่เราหั่นไว้แล้ว ลงไปผัด เติมเนยเล็กน้อย เกลือ พริกไทย

ผัดจนผักเริ่มนิ่ม หอมใหญ่เป็นสีใส ผัดมะเขือเทศเข้มข้น ( Tomato paste 2 ชต) ลงไปผัดให้เข้ากัน
เติม Balsamic Vinegar แล้วปล่อยไว้สักครู่ จนน้ำเริ่มงวดลง เติมไวน์แดง ใช้ไม้พาย หรือตะหลิว ขูดเศษเนื้อที่ติดกระทะออกมาให้มากที่สุด ส่วนนี้เป็นส่วนที่เสริมรสชาติดีที่สุด รอจนไวน์แดงงวดลงเหลือสัก 1/3

เร่งไฟเป็นไฟแรง เติมน้ำสต๊อกเนื้อ ตั้งไฟให้เดือด

นำผักและน้ำสต๊อกนี้เทลงในหม้อรวมกับเนื้อซี่โครงที่พักไว้ในหม้อ ให้น้ำสต๊อกท่วมเนื้อ ถ้าไม่พอให้เติมน้ำเปล่าได้ ตั้งไฟให้เดือดอีกครั้ง ตักฟองออก

ลดไฟลง เติมช่อ บูเค การ์นี่และ ช่อโรสแมรี่ ตั้งเคี่ยวไปเรื่อยๆ คอยตักฟองออกบ้าง จนเนื้อเริ่มนุ่ม ราวๆ2 ชั่วโมงครึ่งหรือกว่านั้น ถ้าเห็นว่าน้ำแห้งไปก็เติมน้ำได้อีก ชิม ปรุงรสด้วยเกลือ พริกไทย

ถึงเวลาเสิร์ฟอาจวางไว้ทั้งหม้อแบบนี้ ให้แขกตักเอง หรือจะจัดเสิร์ฟใส่จาน พร้อมด้วยผักเครื่องเคียงที่ลวกหรือต้มไว้แล้ว มาผัดกับเนยตอนสุดท้ายเพื่อให้เป็นเงาสวยก็ได้ค่ะ

Le Creuset Stewed Ribs with Red Wine 4

 

สอบถามข้อมูล หรือติดตามข่าวสารผลิตภัณฑ์เครื่องครัว เลอ ครูเซได้ที่
Facebook:https://Facebook.com/LeCreusetThailand

Instagram: https://www.instagram.com/lecreuset_thailand

Line: Le Creuset Thailand

Tel No.: +669 3131 8876

Le Creuset LOGO

ไก่อบและผักฤดูหนาว เกรวี่ไวน์แดง

ช่วงเวลาแห่งความรื่นเริงและการเฉลิมฉลองใกล้เข้ามาทุกทีแล้วค่ะ ในโอกาสสุดพิเศษนี้ มาทำไก่อบแสนอร่อยกันค่ะ ไก่อบ หนังกรอบเนื้อนุ่มชุ่มฉ่ำ ราดด้วยเกรวี่ที่ทำเอง รสชาติเข้มข้น แถมเสิร์ฟกับผักที่อบมาจนนุ่มหวาน จะเสิร์ฟในงานเลี้ยงที่บ้านเราเอง หรือจะยกไปร่วมงานกับใคร รับรองว่าเป็นดาวเด่นของงานแน่ๆ

นอกจากความอร่อยเหนือชั้น ไก่อบที่เสิร์ฟมาแบบนี้ มันให้บรรยากาศอบอุ่นของงานคริสต์มาส ดูโก้ ดูแกรนด์ แต่ไม่ได้ยากจนเกินไป และข้อดีของเมนูนี้ก็คือเตรียมไว้ล่วงหน้าได้ ให้สุกไปในเตาอบ เราก็มีเวลาไปเตรียมของอื่นๆ ค่ะ

Happy Holidays ค่ะทุกๆคน

Roast Chicken - Le Creuset 1

วัตถุดิบ

ไก่ขนาด 1 กิโล หรือมากกว่าเล็กน้อย
ปีกไก่ 2 ขีด
น้ำมันพืช เกลือ พริกไทย
ใบ thyme

เกรวี่
หอมหัวใหญ่ 1 หัว แครอท 1/2 หัว – หั่นเต๋าใหญ่ประมาณ 1 ซม
หอมแดง 1 หัว กระเทียม 5-6 กลีบ -สับละเอียด
น้ำเปล่าเล็กน้อย

แป้งสาลี 1/2 ช้อนโต๊ะ
ไวน์แดง 200 มล

ผักต่างๆ ที่ไว้ทานกับไก่อบ
แครอท ฟักทอง มันฝรั่ง หั่นชิ้นใหญ่
บีทรูท -ล้างแล้วอบทั้งเปลือก ก่อนเสิร์ฟค่อยปอกเปลือก แล้วหั่นเป็นชิ้นหนาๆ ตัดเป็นรูปต่างๆ เพื่อตกแต่ง
กะหล่ำดาวลวกในน้ำเดือดผสมเกลือ แล้วน็อคในน้ำเย็นใส่น้ำแข็ง ใส่กระชอนสะเด็ดน้ำแยกไว้ต่างหาก

วิธีทำ
เปิดเตาอบไฟ 200 องศาเซลเซียส
สับกระดูกคอ ออกจากตัวไก่ หั่นขาไก่ตรงช่วงกลางของหน้าแข้งด้วยมีดหั่นขนมปังเพื่อให้กระดูกเรียบสวย
ถ้าซื้อจากร้านหรือซุปเปอร์ที่เขาทำให้เรียบร้อยแล้ว ก็ข้ามขั้นตอนนี้ไปได้เลยค่ะ แต่อาจต้องซื้อกระดูกไก่มาต่างหาก เพื่อมาใส่ในหม้ออบ ไว้ทำเป็นเกรวี่ค่ะ

Roast Chicken - Le Creuset 2

Roast Chicken - Le Creuset 3

ใช้กระดาษทิชชู เช็ดไก่ให้แห้ง ทั้งข้างนอกและข้างใน โรยพริกไทย เกลือลงไปข้างในไก่ แล้วมัดขาไก่ไว้ด้วยกัน(ตรงบริเวณหน้าอกไก่ส่วนบนใกล้ๆคอ จะมีกระดูกชิ้นเล็กๆ เรียกว่า wishbone ชาวบ้านทั่วไปก็จะอบไก่ไปทั้งอย่างนั้น เจอกระดูกชิ้นนี้ก็ใช้ขอพรเสียเลย แต่ถ้าเป็นร้านอาหาร เชฟมักเอากระดูกนี้ออกเสียก่อนค่ะ) ทำไก่เสร็จแล้ว เอาน้ำมันพืชทาให้รอบตัวไก่ด้านนอก โรยเกลือ พริกไทย พักไว้

ใส่ผักที่หั่นเต๋าในข้อ 1 พร้อมทั้งกระดูกไก่ที่สับเป็นชิ้นเล็กๆ และน้ำเปล่าลงในหม้อเหล็กหล่อเคลือบอีนาเมล Le Creuset แล้วตามด้วยไก่ที่เตรียมไว้ โดยเอาด้านข้างไก่ลงก่อน ใส่เนยลงไปสักชิ้นเล็กๆ บนไก่ ก่อนเข้าเตาอบ ตั้งเวลาไว้ 15 นาที คอยตักน้ำในหม้ออบมาราดผิวไก่เป็นระยะๆ เพื่อให้สีสวย แล้วมาพลิกเอาด้านหน้าอกลง หลังสู้ฟ้าหน้าสู้ดิน ครบอีก 15 นาที ระหว่างนั้นอย่าลืมตักเอาน้ำในหม้อมาราดที่ผิวไก่อยู่เรื่อยๆ นอกจากจะได้ไก่อบสีสวยแล้ว ยังได้รสที่ดีด้วยค่ะ ถ้าส่วนปลายปีกและปลายขา ทำท่าจะไหม้ ให้เอากระดาษฟอยด์หุ้มไว้ก่อน

หนสุดท้ายคือพลิกเอาด้านหน้าอกขึ้นนั้น ให้คอยสังเกตว่าบริเวณอกที่นูนขึ้นมาสูงกว่าส่วนอื่น และหน้าขาตรงส่วนสะโพก มักจะไหม้ก่อนส่วนอื่นๆ ให้เอาเบคอนรมควันที่เป็นแผ่นบางๆ มาคลุมไว้เฉพาะจุดที่เสี่ยงต่อการไหม้ ตรงนี้แหละสำคัญเกือบจะที่สุด จะทำให้ไก่ของเราจะสวยเด่นเป็นสง่า ผิวพรรณดูมีราศีกว่าไก่อบที่เห็นกันทั่วๆไปค่ะ อบไก่ด้านที่มีหน้าอกหงายขึ้นนี้ จับเวลา 12-15 นาที ตอนนี้ต้องระวังมากๆค่ะ เพราะส่วนหน้าอกมักจะแห้ง ต้องอย่าให้สุกเกินไป มีวิธีเช็คคือใช้เทอร์โมมิเตอร์เสียบเข้าไปส่วนที่หนาที่สุด ให้อุณหภูมิอยู่ประมาณ 65-68 องศาเซลเซียส ถ้ายังไม่ถึง ให้อบต่อไปอีกสักหน่อย จากนั้นเมื่อมาพักไก่โดยจับตัวไก่ให้ตั้งขึ้น มีตะแกรงรองข้างล่าง รับน้ำจากตัวไก่ ไก่จะสุกต่อไปอีก อุณหภูมิของไก่ วัดเมื่อก่อนเสิร์ฟ ให้อยู่ในช่วง 72-75 องศาก็จะกำลังพอดี

สำหรับผักฤดูหนาวที่จะไว้เสิร์ฟไปข้างๆไก่อบ เอาน้ำมันมะกอกทาเสียหน่อย โรยเกลือบางๆ จะใส่อบไปพร้อมๆกับไก่ หรือจะแยกใส่ถาดเล็กต่างหาก วางไปข้างๆหม้ออบก็แล้วแต่ชอบค่ะ คอยดูฟักทองด้วย ฟักทองจะสุกง่ายที่สุด ยิ่งถ้าหั่นชิ้นบาง ก็อาจเละได้ หมดความอร่อยค่ะ

ได้ของเกือบครบแล้ว ระหว่างที่พักไก่อยู่นั้น มาทำเกรวี่ที่อร่อยมากมายกันค่ะ

เทน้ำที่ได้จากการอบไก่ แยกไว้ต่างหาก

ผัดผักและกระดูกที่อยู่ใต้ไก่อบด้วยไฟแรง ให้จนแห้งเป็นสีน้ำตาล โรยแป้งสาลีลงไป ผัดต่อจนแป้งสุก เติมไวน์แดง ผัดให้เข้ากันและให้ไวน์แดงระเหยไปสักครึ่งหนึ่ง เติมน้ำสต๊อกที่ได้จากการอบไก่ลงไป เติมน้ำเปล่าเล็กน้อย ตั้งไฟจนเดือด ตักเอาไขมันและฟองบนผิวหน้าออก ชิมรสถ้าอ่อนไปให้เติมเกลือ พริกไทย
ลดไฟลงเป็นไฟกลางค่อนข้างอ่อน จนซอสข้นขึ้น กรองเอาผักออก ตั้งไฟกลางต่อไป จนซอสข้นได้ชนิดที่เคลือบหลังช้อนไม้
เร่งไฟขึ้นเป็นไฟกลางแล้ว จึงเติมเนยเย็นที่ตัดเป็นก้อนเล็กๆ ลงไปทีละน้อย ใช้ตะกร้อมือคนให้เข้ากัน

จัดไก่กลับลงไปในหม้อ เรียงผักที่อบไว้แล้วตกแต่งไว้ข้างๆ เกรวี่ใส่ถ้วยเกรวี่แยกไปต่างหาก

Roast Chicken - Le Creuset 4

 

สอบถามข้อมูล หรือติดตามข่าวสารผลิตภัณฑ์เครื่องครัว เลอ ครูเซได้ที่
Facebook:https://Facebook.com/LeCreusetThailand

Instagram: https://www.instagram.com/lecreuset_thailand

Line: Le Creuset Thailand

Tel No.: +669 3131 8876

Le Creuset LOGO

City Break Paris Part XXXVIII

By Pusit Sansopone

เบรกเที่ยวในกรุงปารีส ตอนที่ 38

Dinner in Paris (Restaurant ตอนที่ 1)
ประสบการณ์อาหารมื้อเย็นในปารีสเมื่อ 2 ตอนที่แล้ว ผมได้แนะนำร้านอาหารในแบบ Brasserie บราสเซรี กันไปแล้ว ซึ่งมันเป็นอะไรที่ค่อนข้าง Traditional คงไว้ซึ่งจารีตประเพณีและการอนุรักษ์เก็บรักษาของดีในอดีตเอาไว้ ไม่ว่าจะเป็นการตกแต่งร้านหรือรายการอาหารที่เป็นอาหารฝรั่งเศสแท้ๆ มาคราวนี้อยากจะแนะนำร้านอาหารในแบบ Restaurant ซึ่งจริงๆแล้วคำว่า Restaurant นั้นก็มาจากภาษาฝรั่งเศสนั่นเอง พวก Bristro, Café หรือ Brasserie มันก็เป็นแขนงหนึ่งหรือ sub-set ของ Restaurant อีกต่อหนึ่งคือทุกแบบก็เสิร์ฟอาหารและเครื่องดื่มทั้งสิ้น แต่ในสมัยก่อนคำว่า Restaurant ในฝรั่งเศสจะหมายถึงร้านอาหารที่เป็นทางทางการที่สุดส่วนใหญ่จะอยู่ในโรงแรม มีเมนูเล่มใหญ่พิมพ์อย่างดีไม่ใช่เขียนบนกระดานดำ, มี Wine List ให้เลือกเยอะจากทุกภูมิภาค ในขณะที่ Bristro อาจมีให้เลือกเฉพาะท้องที่ ในภัตราคารจะมีการจัดโต๊ะ เรียงมีดเรียงแก้วไวน์แดงขาวหรือน้ำแบบเฉพาะเจาะจง มีพนักงานเสิร์ฟแต่งเครื่องแบบดำขาว และผู้ไปใช้บริการก็ต้องมีมารยาทในการกินและการแต่งกาย คือต้อง observe พวกTable Etiquette และ Dress code แต่ยุคสมัยนี้มันเปลี่ยนไปแล้วไม่มีร้านไหนสนใจเรื่องมารยาทหรือการแต่งกายเท่าไร ขอให้เราเอาเงินไปจ่ายเยอะๆเป็นใช้ได้ การเลือก Restaurant สมัยนี้ก็เปลี่ยนไป เพราะจะต้องเน้นเรื่อง Social Media ด้วย จานต้องแต่งสวยร้านต้องมีดาวมิเชลลินมันถึงจะอินเทรนด์

เรารู้กันอยู่ว่าสถาบันมิชลินมันเป็นของฝรั่งเศสและรู้จักอาหารฝรั่งเศสดีที่สุด ทำหน้าที่ตัดสินคัดเลือกอาหารฝรั่งได้อย่างเป็นที่ยอมรับแพ่รหลาย(อาหารชาติอื่นยังไม่เป็นที่ยอมรับเท่าที่ควร) แล้วปารีสก็เป็นเมืองหลวงที่ได้ดาวมิชลินมากกว่าทุกเมืองในยุโรป คือ 100ดวง (ปี2017) โดยเป็นร้านที่ได้ 3 ดาว ถึง 10 ร้าน ไหนๆเรามาถึงปารีสกันแล้วควรหาโอกาสลองร้านอาหารฝรั่งเศสติดดาวสักมื้อก็ไม่เลวนะครับ

ผมก็เลยจะขอแนะนำร้านอาหารติดดาวมิชลินในปารีสแบบ 2 ตอนจบ โดยตอนแรกจะเป็นร้านติดดาว (1-2 ดวง) ที่เราสามารถไปกินได้โดยกระเป๋าไม่ฉีก คือมีราคาสมเหตุผลไม่ต่างกับร้านทั่วไปมากนัก ส่วนตอนที่2 ผมจะแนะนำร้านที่สำหรับผู้ที่ไม่เกี่ยงราคาถ้าดีจริง ก็เลยจะแนะนำเฉพาะร้านที่ได้มิชลิน 3 ดาวในปารีสทั้ง 10 ร้าน
ที่มาของ มิชลินสตาร์เป็นอย่างไร คงไม่พูดถึงแล้วนะครับเพราะน่าจะเคยเขียนถึงไปแล้ว

 

ร้านอาหารติดดาว 8 ร้านในปารีสที่เราสามารถไปกินมื้อเย็นได้ในงบประมาณที่เหมาะสม

1.ร้าน LES FABLES DE LA FONTAINE เล ฟ๊าฟบ์ เดอลา ฟองตานน์
ร้านอาหาร, อาหารทะเล, ฝรั่งเศส, เมดิเตอเรเนียน, $$$

City Break in Paris Restaurant 1 Michelin Star 12

เชฟ David Bottreau ได้รับโอนร้าน Les Fables de la Fontaine มาจากเชฟ Christian Constant ในปี 2548 แล้ว Bottreau ก็ได้นำเชฟสาวดาวรุ่งที่ชื่อ Juliet Sedefdjian มาเป็นหัวหน้าพ่อครัว โดยมีสถาปนิกคือ Luis Aleluia รับผิดชอบออกแบบตกแต่งสถานที่แห่งนี้ให้เรียบง่ายจากวัสดุธรรมชาติเช่นไม้ หินและเหล็กดัด
แล้วก็ตั้งใจเน้นเป็นรายการอาหารทะเลจากทางใต้ (French Riviera) ที่นำเสนอจานคลาสสิกในรูปแบบใหม่ โดยราคานั้นไม่ต่างกับร้านอาหารทั่วๆไปในปารีส คือ เมนูอาหารชุดกลางวันในวันธรรมดาเริ่มต้นจาก 28 ยูโร ส่วนมื้อเย็นจะเป็นเมนูที่น่าตื่นเต้นมากขึ้นใช้ชื่อว่าเมนู Carte Blanche ราคาเริ่มต้นที่ 75 ยูโรคุ้มมากๆ

City Break in Paris Restaurant 1 Michelin Star 16

จานปลาที่ Les Fables de la Fontaine

City Break in Paris Restaurant 1 Michelin Star 18

จานเรียกน้ำย่อยหรือ ENTRÉES ที่ Les Fables de la Fontaine

 

2.Septime เซปติมม์
ร้านอาหารร่วมสมัย, ฝรั่งเศส, $ $ $

City Break in Paris Restaurant 1 Michelin Star 25

Septime เป็นร้านอาหารที่น่าสนใจบนถนน Rue de Charonne ดังนั้นการได้รับยืนยันการจองโต๊ะที่นี่สำหรับมื้อเย็นถือเป็นเรื่องท้าทาย แต่มันเป็นความพยายามที่คุ้มค่าสำหรับประสบการณ์ที่ได้มากินที่นี่แน่นอน อาหารสมัยใหม่สดทันสมัยและนำเสนอได้ดี มีแต่รายการ Tasting Menu 4 steps หรือ 7 steps คือเหมือนเราไม่มีสิทธ์เลือก มันขึ้นอยู่กับเชฟที่นำเสนอและคัดเลือกรายการอาหารที่เหมาะกับวันนั้นเป็นแบบอาหารญี่ปุ่นสไตล์ โอมากาเสะ Omakase อาหารจานพิเศษของที่นี่คือประกอบด้วย raw venison with tarragon เนื้อกวางดิบกับใบเทอรากอน และ Kalamata olives, whiting with endives and orange butter,ปลาทรายแก้วกับมะกอกคาลามาต้า และผักชิโคริกับซอสเนยส้มส่วนของหวานก็พายมะตูมป่น quince and verbena crumble

City Break in Paris Restaurant 1 Michelin Star 2

Paris Cray ที่ Septime
City Break in Paris Restaurant 1 Michelin Star 26

อาหารจานปลาที่ Septime

 

3. BENOIT เบนัวต์
ร้านสไตล์ Bistro, French, $$$

City Break in Paris Restaurant 1 Michelin Star 11

บิสโทรแท้ๆอายุกว่า100ปี ที่เชฟระดับโลก Alain Ducasse ได้มาเป็นเจ้าของ

มีประวัติมากมายที่ Benoit เพราะเป็นร้านเก่าแก่เปิดให้บริการมากว่า100 ปีแล้วตั้งแต่ปีพ.ศ. 2455 ถือเป็นร้านอาหารบิสโทรแบบคลาสสิกเพียงแห่งเดียวของกรุงปารีสที่ได้ดาว Michelin ครอบครัวตระกูล Petit เป็นเจ้าของมา 93 ปีแล้วจึงส่งต่อไปยังทีมงาน Alain Ducasse เชฟระดับโลกที่ได้ดาวเยอะแยะ ตั้งแต่ในปี 2005 บรรยากาศที่นี่อบอุ่นเสมอจากการตกแต่งภายในด้วยกำมะหยี่สีแดงกับขอบทองเหลืองเงาวับ สลับกับกระจกแกะสลักและคอลัมน์หินอ่อน เชฟ Alain Ducasse ตั้งใจที่จะนำเสนอจานคลาสสิกของอาหารฝรั่งเศสทั้งหมด ให้ท่านสามารถสั่งได้ที่นี่ เพราะเดี๋ยวนี้เชฟส่วนใหญ่ไปเน้นจานfusionกันหมด มาที่นี่เพื่อการดูมีรสนิยมในการเลือกร้าน ถ้าต้องการประหยัดก็ให้ลองเมนูอาหารกลางวัน 39 ยูโรที่ การันตีในรสชาติมีการปรุงอย่างรอบคอบ ต้องถือว่าข้อเสนอที่เหมาะสมอย่างยิ่ง

City Break in Paris Restaurant 1 Michelin Star 8

จานเรียกน้ำย่อยที่เบนัวต์

City Break in Paris Restaurant 1 Michelin Star 6

จานปลาที่เบนัวต์

City Break in Paris Restaurant 1 Michelin Star 9

จานหลัก สเต็กกับเห็ดตามฤดู

 

4.LA TABLE D’EUGÈNE ลาต๊าบล์ดูจีนน์
ร้านอาหารฝรั่งเศส $ $ $

City Break in Paris Restaurant 1 Michelin Star 21

ความสมดุลของจารีตประเพณีกับความทันสมัยที่ La Table d’Eugène ได้รับการยึดถือและปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด โดยChefชื่อ Geoffroy Maillard และ sous-chef François Vaudeschamps ทั้ง 2 ร่วมกันสร้างเมนูอาหารที่ซับซ้อน อีกทั้งมีการอัพเดทเมนูทุกสิบวันให้เป็นเมนูตามฤดูกาลโดยแท้ ที่นี่เน้นวัตถุดิบที่เป็นผักสมุนไพรและเนื้อสัตว์จากเครือข่ายผู้ผลิตรายย่อยไม่ใช่สั่งจากsupplierเจ้าใหญ่ เชฟที่นี่ อ้างว่า “การทำอาหารที่นี่ใช้จินตนาการมากกว่าสูตร” ให้ลองสั่งTasting Menu แบบเมนูชิมห้าคอร์ส ในราคา 89 ยูโร หรือถ้าเลือกที่แปดคอร์สไหว ก็ 120 ยูโร จัดไปครับ

City Break in Paris Restaurant 1 Michelin Star 14

อาหารและการตกแต่งจานที่ La Table d’Eugène

 

5.LA TABLE DU 11 ลาต๊าบลืดูอ๊งซ์

ร้านอาหารฝรั่งเศส $ $ $

City Break in Paris Restaurant 1 Michelin Star 17

La Table du 11 ซึ่งเป็นร้านอาหารที่พ่อครัวและคนกินมีความใกล้ชิดกัน เพราะที่นี่จัดห้องที่มีครัวแบบเปิดในบรรยากาศสบายๆ มีหัวหน้าพ่อครัวและเจ้าของคือ Jean-Baptiste Lavergne-Morazzani ได้รับรางวัล ดาวมิชลิน จากประสบการณ์อันยาวนานกว่าทศวรรษที่ทำงานภายใต้เชฟกอร์ดอนแรมเซย์ที่ร้าน Trianon Yannick Allénoที่โรงแรม Le Meurice และกับเชฟ Philippe Bélissent ที่Cobéa Lavergne-Morazzani เชฟได้มาเปิดกิจการที่เป็นอิสระเป็นเจ้าของด้วยตัวเองเป็นครั้งแรกซึ่งมีทำเลอยู่ที่เมืองแวร์ซายย์ หากท่านมีโปรแกรมไปเที่ยวชมพระราชวังแวร์ซายอยู่แล้วห้ามพลาดการได้ไปลองชิมฝีมือเชฟ Jean-Baptiste

 

6.LA TRUFFIÈRE ลาทรูฟแฟร์

ร้านอาหารฝรั่งเศส $ $ $

City Break in Paris Restaurant 1 Michelin Star 15

La Truffière เพิ่งต้อนรับหัวหน้าพ่อครัวคนใหม่ Christophe Poard ไม่นานนี้ ก่อนที่เขาจะมาปารีสเขาเคยทำงานในห้องครัวที่มีชื่อเสียงของ Casino de Deauville ซึ่งเป็นร้านอาหาร Schwarzwald stube ที่มีดาวสามดาวในเมือง Antwerp ในประเทศเบลเยี่ยม และก่อนหน้านั้นที่ Château d’Hassonville เมือง Carlsbad Plaza สาธารณรัฐเช็ก นับตั้งแต่การมาถึงของเขาที่ La Truffière

เขาได้ทำsignature menu ของเขาเพิ่มชื่อเสียงเพิ่มให้กับร้านนี้ เหมาะมากสำหรับคนรักอาหารทะเล และจานชีส signature menu สามคอร์สของร้านนี้สามารถลิ้มลองได้เพียง 40 ยูโร ในมื้อกลางวัน

City Break in Paris Restaurant 1 Michelin Star 1

ภายในร้าน La Truffière

City Break in Paris Restaurant 1 Michelin Star 10

จานปลาที่ La Truffière

 

7.SATURNE ซัตตูเอิน
ร้านอาหารฝรั่งเศส $ $ $

City Break in Paris Restaurant 1 Michelin Star 13

เชฟคู่หูที่อยู่เบื้องหลัง Saturne,ก็คือเชฟ Sven Chartier และเชฟ Ewen Le Moigne ดูมีความเรียบง่ายแต่มีคุณภาพเหนือที่ไหนๆ ผลิตภัณฑ์ที่พวกเขาใช้เป็นของตกแต่งทั้งหมดดูดีมีรสนิยมและมีเอกลักษณ์ยิ่งถ้าได้เห็นตัวเมนูของพวกเขาซึ่งสื่อให้เห็นถึงสิ่งที่ดีที่สุดในสิ่งที่นำเสนอของวันนั้นๆ ร้านอาหารเป็นที่นิยมมากของกลุ่มนักธุรกิจ เมนูอาหารกลางวันแบบสามคอร์สที่ราคาอยู่ที่ 45 ยูโรถือว่ายอดเยี่ยมและต้องลองเมนูอาหารกลางวันแบบ Carte Blanche ในราคา 85 ยูโร หรือถ้าเราเน้นมื้ออาหารค่ำงบประมาณก็เพิ่มขึ้นเล็กน้อยเท่านั้น

City Break in Paris Restaurant 1 Michelin Star 4

City Break in Paris Restaurant 1 Michelin Star 5

บรรยากาศภายในร้านที่เรียบง่าย

City Break in Paris Restaurant 1 Michelin Star 24

ด้านหน้าร้านอาหาร Saturne, ปารีส

 

8.Garance การองซ์
ร้านอาหารฝรั่งเศส $ $ $

City Break in Paris Restaurant 1 Michelin Star 20

Garanc เป็นของเชฟใหญ่ Guillaume Iskandar และ sommelier ผู้รู้ผู้กำกับซื้อเข้าดูแลและแนะนำไวน์ ชื่อGuillaume Muller ซึ่งเคยทำงานร่วมกับceleb chefคือ Alain Passard ที่ร้านอาหาร l’Arpège ซึ่งเป็นร้านมิเชลลินสามดาวของเขาได้ตัดสินใจมาเปิดร้านGaranc แห่งนี้ซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลจาก Les Invalides พวกเขาได้ร่วมกันสร้างประสบการณ์การรับประทานอาหารที่เบ็ดเสร็จในเรื่องการออกแบบและรสชาติที่ต้องจดจำเมนูอาหารกลางวันที่นี่เริ่มต้นเพียง 42 ยูโรส่วนมื้อเย็นก็เพิ่มขึ้นไม่มาก

City Break in Paris Restaurant 1 Michelin Star 7

คุณภาพอาหารที่สัมผัสได้

 

เจอกันคราวหน้าจะเป็นตอนจบของ City Break Paris จะปิดท้ายด้วย การแนะนำสุดยอดร้านอาหารฝรั่งเศสในปารีสที่ได้ดาวมิชลิน 3 ดวงซึ่งทั้งหมดมี 10 ร้านด้วยกัน เข้าconcept “ไปทั้งทีต้องมีซักมื้อ” ชื่อจั่วหัวBlogใหม่ในเร็วๆนี้ของผม ที่สามารถใช้เป็นคู่มือการไปกินร้านอาหารในต่างประเทศแบบรู้จริง ไม่ใช่แนะนำแต่ชื่อร้านแล้วไม่รู้จะสั่งอะไร จองอย่างไร งบประมาณเท่าไรต่อมื้อ

City Break Paris Part XXXVII

By Pusit Sansopone

เบรกเที่ยวในกรุงปารีส ตอนที่ 37

Dinner in Paris (Brasserie ตอนที่ 2)
คราวที่แล้วพูดถึงที่มาของบราเซรี่และมีการแนะนำ Brasserie แบบแรกไปคือแบบที่อยู่บริเวณสถานีรถไฟ มาตอน 2 นี้จะแนะนำบราเซรีแบบสุดคลาสสิก 8 แห่งของกรุงปารีสที่มีการตกแต่งร้านตรงกับยุคที่บราเซรี่ถือกำเนิดมาก็คือยุคศิลปะและสถาปัตยกรรมแบบ Art Deco และArt Nuevo ในสมัย Le Bell Époque ที่ปารีสรุ่งเรืองกว่าเมืองไหนๆในยุโรป

1. La Fermette Marbeuf อยู่แถว ถนนช็องเซลีเซ

City Break Paris Part 37 Dinner In Paris 2

La Fermette Marbeuf คือร้านอาหารในกรุงปารีสยุคปี 1900 ที่ห่างจากถนนหลักอย่าง Avenue George V และ Champs-Elysees เพียงไม่กี่ก้าว มันเป็นตัวแทนของร้านบราเซรี่ของยุค Belle Epoque ของศตวรรษที่ผ่านมาอย่างแท้จริง และเมื่อประมาณ 30 ปีที่แล้วได้มีการค้นพบวัสดุตกแต่งของเดิมในยุคก่อนที่ถูกเก็บไว้ แทบจะเป็นเหมือนกับการค้นพบใหม่ของสุสานตุตันคาเมนเลยทีเดียว มันมีวัสดุ เช่น โมเสคยุคอาร์ตนูโว กระจกลายอาร์ตนูโวลวดลายดอกทานตะวัน ลายนกยูง แมลงปอ และผู้หญิงสวย ตลอดจนเสาเหล็กหล่อและเพดานแก้วที่สามารถนำมาตกแต่งใหม่ได้ทั้งหมด

พ่อครัว Gilbert Isaac ก็ยังคงยึดติดกับอาหารคลาสสิกแบบฝรั่งเศส เช่น เนื้อไก่ผสมตับอ่อนกับหอมผัดมัสตาร์ด ปลากระพงย่างทั้งตัวในโป๊ยกั๊กและ Baba Rhum และที่นี่ก็ยังคงเป็นฮอตสปอตสำหรับคนดังในฝรั่งเศสที่จะปรากฏตัวให้เห็นที่ร้านนี้อยู่เสมอ

City Break Paris Part 37 Dinner In Paris 3

Coq au vin ที่  La Fermette Marbeuf ในหม้อเหล็กหล่อยี่ห้อ STAUB จากแค้วน Alsace เช่นเดียวกับต้นฉบับของร้านแบบ  Brasserie

 

2. Chez Jenny ในย่าน Folie-Méricourt

City Break Paris Part 37 Dinner In Paris 4

บราเซรี่ที่มีเสน่ห์และมีคุณค่าทางประวัติศาสตร์แห่งนี้เกิดขึ้นในช่วงปี 1930 แล้วก็เติบโตขึ้นมาต่อเนื่อง เริ่มต้นจากการเป็นร้านอาหารที่โรเบิร์ตเจนนี่ ชาวสตราสบูร์กผู้ก่อตั้ง ได้ทุ่มเทตั้งใจพิสูจน์ฝีมือจน Chez Jenny นั้นไม่ต้องพิสูจน์อะไรอีกแล้ว มันติดลมบนแบบถ้าไม่มีการจองโต๊ะคงจะมีที่นั่งลำบาก ร้านตกแต่งด้วยประดับตกแต่งด้วยโทนสีแดงสว่างไสว ดูมีเสน่ห์แบบร้านโบราณที่มีความขลัง มาลองอาหารแบบอัลซาสที่นี่ไม่ผิดหวังแน่นอน

City Break Paris Part 37 Dinner In Paris 5

Choucroute Strasbourgeoise

City Break Paris Part 37 Dinner In Paris 6

Chez Jenny ยังคงให้บริการอาหาร Alsatian ที่ดีที่สุดแก่ลูกค้าที่ภักดีเสิร์ฟโดยพนักงานเสิร์ฟในชุดประจำถิ่นอัลซาส ต้องลองอาหารที่เป็นไส้กรอกอัลซาสกับมันฝรั่ง จานหลักก็ต้องหมูย่างคาราเมลกับน้ำผึ้งในกะหล่ำปลีดองที่ยอดเยี่ยมและตบท้ายด้วยพุดดิ้งลูกแพร์ตุ๋นกับ Sorbet ลูกแพร์ และ Eau de vie

 

3. Bofinger ย่านเลอมาเร่ส์

City Break Paris Part 37 Dinner In Paris 7

ประวัติร้านนี้เริ่มจากเจ้าของคนแรกที่ชื่อ Bofinger เดิมหนีออกจากบ้านของเขาที่ Alsace ในช่วงสงครามมาตั้งรกรากในปารีส แต่ร้านนี้ก็มีการเปลี่ยนเจ้าของมาหลายครั้ง แต่ยังคงรักษาคุณภาพที่ไร้ที่ติ

Bofinger ดึงดูดฝูงชนจำนวนมากมารับบรรยากาศแบบอาร์ตนูโวที่แท้จริงที่เป็นบรรยากาศของบราสเซอรี่แท้ๆ ในยุค Bell Époque มาที่นี่ควรนั่งชั้นล่างเพื่อบรรยากาศดีที่สุดในการรับประทานอาหาร และถ้าคุณสามารถขอให้นั่งในห้องอาหารหลักใต้โดมกระจกเพื่อประสบการณ์โรแมนติกอย่างแท้จริงก็จะถือว่าไม่เสียเที่ยว

City Break Paris Part 37 Dinner In Paris 8

การเลือกเมนูตามสั่งอาจเริ่มต้นด้วย Langoustine Terrine ตามด้วยปลาแซลมอนทาร์ทปรุงรสเข้มข้น และสเต็กปลา หรือตับของลูกวัวพร้อมกับแตงโมปรุงสุก อีกทางเลือกหนึ่งคือคุณอาจจะทานหอยนางรม ตามด้วยเนื้อสเต็กเนื้อแกะก็ได้ตามด้วย Cheese Plate ก่อนจบด้วยของหวาน

City Break Paris Part 37 Dinner In Paris 9

 

4. La Coupole ย่าน Montparnasse

City Break Paris Part 37 Dinner In Paris 10

La Coupole ใน Montparnasse เป็นบราเซรี่ตกแต่งแบบอาร์ตเดคโคที่ได้รับการยกย่องอย่างไม่ธรรมดา ไม่ว่าในเรื่องความอร่อยของรสชาติอาหารและบรรยากาศในห้องอาหารอันกว้างขวางที่ได้รับการตกแต่งอย่างพิถีพิถัน ถือเป็นแถวหน้าของศิลปะย่าน Rive Gauche ที่บรรดาศิลปินอย่าง Picasso, Jean-Paul Sartre และ Simone de Beauvoir เคยพำนักอยู่และเคยป็นลูกค้าประจำที่นี่ ผู้คนมาที่นี่จากทั่วทุกมุมโลกเพื่อประทับใจกับความงดงามของมัน พื้นที่ทั้งหมด 1000 ตารางเมตรและมีเสาเกะกะอยู่ถึง 33 ต้น เปิดบริการตั้งแต่ปี 1927 แต่เหมือนว่ายิ่งเปิดนานยิ่งดัง อาจเป็นเพราะราคาไม่แพงมาก คุ้มค่าการมาเยือน

City Break Paris Part 37 Dinner In Paris 11

City Break Paris Part 37 Dinner In Paris 12

 

5. Brasserie Julien ย่าน Strasbourg-Saint-Denis

City Break Paris Part 37 Dinner In Paris 1

Brasserie Julien หนึ่งในร้านอาหารที่สวยที่สุดในปารีสที่เต็มไปด้วยเสน่ห์แบบอาร์ตนูโว จากเส้นโค้งที่เต็มไปด้วยความรู้สึกของประตูไปยังกระจกแกะสลักอันงดงาม สีโทนอัญมณีสีเขียว ให้ความรู้สึกหนักแน่น มีผนังที่ทาสีอย่างพิถีพิถันตัดกับแถบไม้มะฮอกกานีและพื้นกระเบื้องโมเสคที่มีรายละเอียดแบบมหัศจรรย์ Brasserie Julien เป็นต้นแบบของการศึกษาศิลปในรูปแบบของปารีสแห่งยุค 1900

City Break Paris Part 37 Dinner In Paris 13

ร้านอาหารแห่งนี้เหมือนจะพานักกินให้ได้เดินทางสู่ความรุ่งเรืองของเมืองปารีสในอดีตในยุคแรกที่มีดนตรีแจ๊สและนักเขียนเฮมิงเวย์รวมทั้งนักวาดที่ชื่อปีกัสโซ ดู Brasserie Julien ได้สร้างรูปแบบอาหารที่หรูหราตามแบบฉบับของสไตล์และรสชาติของกรุงปารีสอย่างแท้จริง

 

6. ร้าน Brasserie Floderer หรือเมื่อก่อนนี้เรียกว่าBrasserie Flo, ย่าน Strasbourg-Saint-Denis

City Break Paris Part 37 Dinner In Paris 14

คุ้มค่ากับการค้นหา เหมือนกับคุณได้พบโลกที่ยังยืนนิ่งอยู่ Brasserie Flo เป็นแรงบันดาลใจจากเจ้าของที่เคยทำโรงเบียร์ในเขต Alsace เป็นเวลาหลายปีจึงมีการผสมผสานกันอย่างลงตัวระหว่างอาหารฝรั่งเศสและเยอรมันทำให้ร้านไดเนอร์สแห่งนี้มีความน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง สำหรับนักกินและนักดื่ม

City Break Paris Part 37 Dinner In Paris 15

เมนูที่ทันสมัยของ Brasserie Flo เหมือนเป็นส่วนผสมนานาชาติที่ดีที่สุดจากการสร้างสรรค์อาหารที่คัดสรรมาอย่างดี ในช่วง Paris Fashion Week จะหาโต๊ะยากหน่อยเพราะผู้ที่เคยมาแล้วมักกลับมาซ้ำต่อเนื่อง ต้องลองสั่ง Foie gras และ Chateaubriand Steak ที่นี่

City Break Paris Part 37 Dinner In Paris 16

 

7. ร้าน Le Vaudeville

ร้านอาหาร อันงดงามแห่งนี้ถ้าได้ไปเยี่ยมก็จะเหมือนเราได้ย้อนเวลากลับไปในปี 1920 ที่กรุงปารีส ได้รับการออกแบบโดยทีมงานเดียวกันที่อยู่เบื้องหลังร้าน La Coupole (บราเซอรี่ที่เอ่ยถึงก่อนหน้า) ใช้แรงบันดาลใจและความคิดสร้างสรรค์จากโรงละครเก่าที่อยู่ติดกัน สามารถดึงดูดคนในท้องถิ่นที่สนใจจานหอยนางรมสด, ซุปหอมหอมและสเต็กทาร์ตาร์อาจต่อด้วยเนื้อลูกวัวแม้สั่งเยอะก็ไม่ต้องกลัวว่าต่องจ่ายเยอะ เพราะราคาถือว่ารับได้ทีเดียว

City Break Paris Part 37 Dinner In Paris 17

 

8. ร้าน La Rotonde
ร้านอาหารที่ไม่มีวันตกต่ำราคาไม่แพงแต่หรูหราและอร่อยอย่างนี้ เป็นหนึ่งในร้านอาหาร Brasseries ที่ดีที่สุดในกรุงปารีส ตั้งอยู่ใกล้กับ Rue de la Gaite อยู่ในย่านธุรกิจมานานกว่าศตวรรษและตั้งอยู่ใกล้ย่าน Montparnasse อันทันสมัย ตกแต่งบุภายในด้วยกำมะหยี่สีทับทิมและอุปกรณ์ทองเหลืองเป็นสถานที่ที่ค่อนข้างสมบูรณ์แบบสไตล์คลาสสิกแบบฝรั่งเศส เปิดให้บริการจนถึง 2 นาฬิกาของวันใหม่

City Break Paris Part 37 Dinner In Paris 18

City Break Paris Part 37 Dinner In Paris 19

รูปนี้เป็นรูปที่ช่างภาพหนังสือพิมพิ์ฝรั่งเศส ถ่ายภาพประธานาธิบดีมาครงไว้เมื่อครั้งมารับประธานอาหารที่ร้าน La Rotonde

City Break Paris Part XXXVI

By Pusit Sansopone

เบรกเที่ยวในกรุงปารีส ตอนที่ 36

Dinner in Paris (Brasserie ตอนที่ 1)
ผมได้เคยแนะนำเรื่องอาหารกลางวันในปารีสไปแล้วก่อนหน้านี้ เราได้รู้จักร้านอาหารแบบBistro และ Parisian Café ซึ่งก็เป็นเหมือน All Day Dining ตามหัวมุมถนนต่างๆกันไปแล้ว ในตอนนี้จะพูดถึงมื้อเย็น ซึ่งเป็นมื้อที่เป็นจริงเป็นจังหรือค่อนข้างเป็นทางการหน่อย เพราะชาวปารีสใช้เวลาเฉลี่ยในการกินอาหารมื้อเย็นในภัตตาคาร ไม่ต่ำกว่า 2 ชั่วโมงเลยทีเดียว และเป็นวิถีของชาวฝรั่งเศสที่ถือว่าเป็นช่วงที่มีความสุขที่สุดช่วงหนึ่งของชีวิตประจำวัน ผมก็เลยขอแนะนำทางเลือกมื้อค่ำ ใน 2 รูปแบบ ก็คือถ้าอยากกินแบบหรูหราเป็นทางการหน่อยเราต้องไปร้านอาหารในแบบภัตตาคารที่อาจบริหารโดยเชพที่มีชื่อ Celebrity Chef ติดดาวมิเชลแลง แต่แบบนี้ในปัจจุบันก็หาไม่ยากไม่ว่าเมืองไหนก็มี ทีนี้ถ้าท่านชอบแบบสบายๆไม่ถึงกับformalมากและไปเมืองอื่นไม่ค่อยเจอนอกจากมาปารีสก็ต้องไปร้านแบบ Brasseries ซึ่งวันนี้เราจะแนะนำว่าที่มาของมันและบุคลิกรูปแบบของมันเป็นอย่างไร

City Break Paris Brasseries Dinner in Paris 1

Brasseries
ในช่วงปี 1870-71 ซึ่งเป็นช่วงปีที่หลานของจักรพรรดินโปเลียนที่ 1หรือ หลุยส์ นโปเลียน ได้ขึ้นเป็นประธานาธิบดีของฝรั่งเศสต่อจากการปกครองแบบกษัตริย์ในยุคสุดท้ายของราชวงศ์บูรบง คือพระเจ้าหลุยส์ที่ 18 และพระเจ้าหลุยส์ฟิลลิป ซึ่งในช่วงนี้ฝรั่งเศสก็ทำสงครามอีกครั้งเป็นสงคราม Franco-Prussian War ซึ่งเป็นสงครามก่อนที่รัฐ Prussia จะถูกผนวกรวมเป็นประเทศเยอรมันเพราะตอนนั้นชนชาติเยอรมันประกอบด้วยแคว้นใหญ่ที่มีปรัสเซียและบาวาเรียเป็นหลัก และแคว้นเล็กแคว้นน้อยที่อยู่ภายใต้การปกครองของฝรั่งเศสและออสเตรียเป็นส่วนใหญ่ การรวมชาติเยอรมันครั้งนั้นนำโดย บิสมาร์ค (Otto Von Bismarck) นายกรัฐมนตรีผู้ที่มีวิสัยทัศน์กว้างไกล

บิสมาร์คสรุปว่าฝรั่งเศสและออสเตรียคืออุปสรรคในการรวมชาติเยอรมันจึงทำสงคราม Franco-Prussian War และได้ชัยชนะทำให้แคว้นอัลซาส-ลอเรนน์ Alsace และ Lorraine ของฝรั่งเศสตกไปเป็นของเยอรมัน (ก่อนจะกลับไปเป็นของฝรั่งเศสอีกครั้งหลังจากเยอรมันแพ้สงครามโลกครั้งที่ 1)

ช่วงนี้เองที่ชาวอัลซาส (หรือที่เรียกว่า Alsatians อัลเซเชี่ยน ซึ่งท่านที่เลี้ยงสุนัขจะรู้ดีว่าสุนัขพันธุ์ German Sheppard นั้นก็มีต้นกำเนิดมาจากอัลซาสเพราะมักเรียกว่าพันธุ์ อัลเซเชี่ยน) อพยพหนีเข้ามาอยู่ในปารีส และเนื่องจากชาวอัลซาสนั้นรับวัฒนธรรมเยอรมันมาเต็มๆ เพราะเขตนี้อยู่ติดพรมแดนเยอรมัน พอเข้ามาปารีสจึงมาเปิดร้านอาหารในแบบที่ขายไส้กรอกกับกระหล่ำปลีดอง ที่เยอรมันเรียกว่า Sauerkraut (ในฝรั่งเศสเรียกว่า Choucroute ชูครุท) เป็นหลัก และนำวัฒนธรรมการดื่มเบียร์เข้ามา ดังนั้น ร้านอาหารแบบชาวอัลซาสจึงเป็นเหมือน,ไมโครบริวเวอรี่ (Micro Brewery) คือมักมี Beer from tap หรือเบียร์สดขาย ซึ่งเรียกแบบฝรั่งเศสก็คือ Brasserie (บราสเซรี) นั่นเอง

บุคลิกรูปแบบของ Brasserie นั้นมันแตกต่างจาก Bistro ซึ่งมักเป็นร้านเล็กๆ แต่บราเซรี่ มันมักเป็นร้านขนาดใหญ่มีหลายโต๊ะ

City Break Paris Brasseries Dinner in Paris 2

แล้วมันก็ไม่เชิงเป็นโรงเบียร์ (Beer Hall) ที่มีบุคลิกแบบโรงเตี๊ยม Tavern ในสไตล์ยุโรปยุคกลางเหมือนของอังกฤษหรือเยอรมัน เพราะการตกแต่ง Brasseries นั้นมันดูหรูหรากว่ามาก แต่ลดทอนความโอ่อ่าฟุ่มเฟือยในสไตล์พระเจ้าหลุยส์ลงมา โดยผสมผสานความเป็นธรรมชาติ มีลวดลายเหล็กดัด ในแบบสถาปัตยกรรมยุค Art Nouveau ซึ่งเกิดในช่วงยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม ใกล้เคียงกับช่วงสงครามฝรั่งเศส-ปรัสเซีย 1870-1871 นั่นเอง บางร้านก็มีสไตล์ Art Deco ซึ่งก็เป็นสถาปัตยกรรมของยุคถัดมาก่อนเข้าช่วงสงครามโลกครั้งที่1 และในช่วงว่างระหว่างสงครามปรัสเซียจนถึงสงครามโลกครั้งที่ 1นั้นเองที่ปารีสพุ่งขึ้นสู่ช่วงpeak หรือช่วงทอง Golden Era ในภาษาฝรั่งเศสเรียกว่าช่วง La Belle Époque มีความเจริญด้านอุตสาหกรรม สถาปัตยกรรมและศิลปะทุกแขนง ไม่ว่าจะเป็นด้านบันเทิง หรือชิ้นงานศิลป์ ซึ่งผมเคยอธิบายไปก่อนหน้าในตอนก่อนๆนี้จึงไม่ขออธิบายซ้ำแต่เพียงจะบอกว่าหากท่านต้องการบรรยากาศย้อนยุคกลับไปในช่วง La Belle Époque นั้นก็นี่เลยครับ ให้เลือกไปกินอาหารเย็นสักมื้อที่ร้าน brasserie เก่าแก่ เดิมๆที่ยังมีเมนูพิเศษแบบดั่งเดิม เช่น เนื้อวัว Chateaubriand ในซอส Bearnaise หรือปลา Sole ในซอสMeunière ตบด้วย Rum Baba พร้อมกับครีมวานิลลาที่เสิร์ฟโดยพนักงานเสิร์ฟมือโปรในชุดดำขาว โดยมีค่าใช้จ่ายมาตรฐานในช่วงระหว่าง 18 ถึง 30 ยูโรสำหรับอาหารจานหลัก(Main Course) หรือถ้าเลือกเป็นชุดเมนูอาหาร 3 คอร์ส ก็ประมาณ 45-90 ยูโร ถือว่าราคาคุ้มค่าสำหรับประสบการณ์แบบปารีสแท้ๆ …ผมเลยจะขอแนะนำร้านดังต่อไปนี้

แบบแรกคือแบบ Brasserie ที่อยู่บริเวณสถานีรถไฟ ต้องบอกว่าในยุคเริ่มต้นของร้านอาหารแบบนี้มันอยู่ในช่วงการเดินทางด้วยรถไฟกำลังเริ่มเฟื่องฟู (ยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม)จึงไม่แปลกเลยที่จะมีการลงทุนทำร้านอาหารดีไว้ที่สถานีรถไฟ หรือใกล้ๆสถานีรถไฟต่างๆในปารีส เพื่อต้อนรับนักเดินทางที่มาถึงปารีสจากที่ต่างๆ หรือจะเก็บไปกินก่อนกลับก็แล้วแต่

ผมขอแนะนำร้าน Brasserie ที่อยู่บริเวณสถานีรถไฟ สัก 3 แห่งที่เก่าแก่และมีชื่อมาถึงปัจจุบัน
Terminus Nord สถานีรถไฟเหนือ Gare du Nord (credit pic from: http://www.maksinwee.com)

City Break Paris Brasseries Dinner in Paris 3

Terminus Nord เปิดมาตั้งแต่ปี 1925 ตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับสถานีรถไฟด้านทิศเหนือ Gare du Nord ที่ใช้เดินทางไปอังกฤษ,เบลเยี่ยม,เนเธอร์แลนด์ มันเป็นเหมือนร้านต้นแบบของร้านอาหารแบบกรุงปารีส ยินดีเสมอที่จะต้อนรับผู้มาเยือน City of Light มหานครแห่งสีสันแห่งนี้ มีเพดานที่ตกแต่งยอดเยี่ยมด้วยโคมไฟระย้าสไตล์ Art Deco มีกระจกสีสันสดใสตกแต่งด้วยลาย Mucha ทำให้ Terminus Nord มีศิลปในแบบผสมกับ Art Nouveau ด้วยจึงมีเสน่ห์ดูยั่วยวน แบบปารีสแท้ ที่นี่มีชีวิตชีวาและเต็มไปด้วยชาวปารีสเองและผู้มาเยือนที่เป็นทั้งนักธุรกิจและนักท่องเที่ยวมารวมตัวกัน เพื่อจะได้เพลิดเพลินไปกับเมนูในบราสเซอรี่แบบฝรั่งเศสแท้ๆ ที่ผสมผสานระหว่างอาหารสไตล์ปารีสแบบดั้งเดิมและในแบบที่เสิร์ฟในชนบทและสร้างสรรค์โดยพ่อครัว Pascal Boulogne

และแน่นอนว่าที่นี่มีไวน์ชั้นดีของแต่ภูมิภาคเพื่อให้รสอาหารมันถึงรสถึงชาติมากขึ้นไปอีก จึงขอแนะนำ Terminus Nord ที่ๆจะให้ประสบการณ์มื้อเย็นที่น่าจดจำสำหรับทุกคนที่มาเที่ยวกรุงปารีสแบบ ‘The Ultimate Parisian Experience’

City Break Paris Brasseries Dinner in Paris 4

City Break Paris Brasseries Dinner in Paris 5

Choucroute Garnie เมนูหลักที่เป็นอาหารอัลซาส Alsatian แท้ๆที่เหมือนอาหารเยอรมัน Sauerkraut กับไส้กรอกนั่นเอง แต่รสชาติของฝรั่งเศสนุ่มนวลกว่าเหมาะกับการตบด้วยไวน์ขาว เพราะของเยอรมันนั้นมักหนักไปทางเค็มซึ่งเหมาะกับการดื่มเบียร์

City Break Paris Brasseries Dinner in Paris 6

หอยเอสกาโกต์ หรือ Burgundy Snails หมักด้วยไวน์ Chablis

Le Train Bleu ที่สถานีลิยง Gare de Lyon
หากท่านจะมุ่งลงใต้ด้วยรถไฟแบบ Mr.Bean ที่จะลงไปเที่ยว Cote d’azur ชายฝั่งภาคใต้ของฝรั่งเศส ในภาพยนต์เรื่องMr. Bean’s Holiday (2007) ท่านก็น่าจะเผื่อเวลาเพื่อแวะกินร้านอาหาร ‘เลอแทรงน์เบลอ’ เช่นเดียวกันนะครับ

City Break Paris Brasseries Dinner in Paris 7

สำหรัประวัติของที่นี่ก็ต้องย้อนกลับไปเมื่อปารีสกำลังจะได้รับการจัดแสดงนิทรรศการสากลครั้งใหม่ในปี 1900 (พ.ศ. 2443) หลังจากที่สถานีรถไฟ Saint-Lazare สร้างเสร็จและเปิดไปในปีในปี 1889(พ.ศ.2432 ปีเดียวกับที่หอไอเฟลสร้างเสร็จและมีการจัดแสดงนิทรรศการสากลครั้งแรก) ก็ได้มีการเปิดตัวสถานีลิยง Gare de Lyon เพื่อรองรับการขยายธุรกิจของ บริษัท PLM กับเส้นทางเดินรถไฟใหม่ Paris Lyon Marseille ซึ่งดำเนินการสายของเครือข่ายตะวันออกเฉียงใต้เมื่อปลายศตวรรษที่ 19 โครงการนี้ได้รับมอบหมายให้เป็นสถาปนิก Marius Toudoire ผู้สร้างหอระฆัง (Tower-tower) ขนาด 64 เมตรและอาคาร façade อนุสาวรีย์ของสถานี ซึ่งถือเป็นแลนด์มาร์คแห่งหนึ่งของปารีสได้เลยทีเดียว

การบริหารจัดการของบริษัทรถไฟต้องจัดการเรื่องอาหารที่ดีเยี่ยมเป็นจุดขายของเส้นทางนี้ จำเป็นต้องมี Catering ที่มีชื่อเสียงเป็นสัญลักษณ์ของการเดินทางที่เน้นความหรูหรา สะดวกสบาย โครงการร้านอาหารที่ชื่อบุฟเฟ่ต์ที่สถานีจึงเกิดขึ้นโดยสถาปนิกคนเดียวกัน

ร้านอาหารบุฟเฟ่ต์ที่สถานีด้รับการทำพิธีเปิดโดยประธานาธิบดีแห่ง สาธารณะรัฐ คือ Emile Loubet ในปี 1901

จนกระทั่งในปี1963 (ในปีพ. ศ. 2506) อัลเบิร์ตชัล wได้เปลี่ยนชื่อร้านบุฟเฟ่ต์เป็นร้าน “เลอรถไฟ Bleu” (รถไฟสีฟ้า) เพื่อเป็นตำนานของเส้นทาง« Paris-Vintimille »ซึ่งเป็นเส้นทางลงใต้ที่มีจุดหมายปลายทางเป็น Côte d’Azur

การแกะสลักการขึ้นรูป Moldings โคมไฟระย้าและภาพเฟรสโกครอบคลุมผนังทั้งหมดของร้านอาหารนั้นมีความประณีตประดิษฐไม่ต่างกับพิพิธภัณฑ์ในทศวรรษที่ 1900 มีการใช้ศิลปินชาวฝรั่งเศสจำนวนยี่สิบเจ็ดคนที่ได้รับรางวัลประกวดงานศิลปที่กรุงโรม( Prix de Rome )ในช่วงนั้นมาช่วยกันทำ
มีภาพวาดบนผืนผ้าใบ41ภาพที่วาดโดยศิลปินที่ประสบความสำเร็จมากชองยุคนั้นได้แก่ François Flameng, Henri Gervex, Gaston Casimir Saint-Pierre, René Billotte พวกเขาเน้นให้เห็นมุมมองของเมืองใหญ่และงานของบริษัทรถไฟ PLM ช่วง ศตวรรษที่ 20: Paris, Lyon, Marseille, Orange, Villefranche, Monaco, Nice, Saint-Honorat, the Mont-Blanc massif, etc.

City Break Paris Brasseries Dinner in Paris 8

ห้องอาหารที่ชื่อรถไฟสีฟ้าขบวนนี้ สวยงามด้วยภาพจิตรกรรมฝาผนังโบราณและม้านั่งไม้โอ๊กใหญ่ อบอวลไปด้วยบรรยากาศแบบหรูคลาสสิกแบบฝรั่งเศส และแน่นอนว่าที่นี่เสิร์ฟอาหารฝรั่งเศสคลาสสิกด้วยเช่นกัน เป็นต้นว่า กุ้งก้ามกรามที่เสิร์ฟบนสลัดน้ำมันวอลนัท ที่แนะนำให้เป็น Starter

ตามด้วย Pistachio-studded saucisson de Lyon

City Break Paris Brasseries Dinner in Paris 10

City Break Paris Brasseries Dinner in Paris 11

City Break Paris Brasseries Dinner in Paris 12

นอกจากบรรยากาศเป็นที่น่ารื่นรมย์แล้ว ราคาอาหารและไวน์ก็มีราคาสมเหตุสมผลทีเดียว ไม่ควรพลาดชิมนะครับ มีอยู่ช่วงหนึ่งที่ร้านนี้มีแฟนประจำเป็น Celeb เช่น Coco Chanel, Salvador Dali และ Brigitte Bardot

ร้าน MOLLARD ที่อยู่แถวสถานีรถไฟ Saint-Lazare

City Break Paris Brasseries Dinner in Paris 13

ในประวัติศาสตร์ของปารีส เมื่อวันที่ 27 สิงหาคม ค.ศ. 1837 นับเป็นความสำเร็จของระบบรถไฟของฝรั่งเศส เพราะถือวันนี้เป็นจุดเริ่มต้นด้วยการมีขบวนรถไฟแห่งแรกจาก สถานีรถไฟ Saint-Lazare ไปยัง Saint-Germain ย่านแซง – ลาซาร์ตอนนั้นยังเป็นย่านชานเมืองเกือบเป็นชนบท

City Break Paris Brasseries Dinner in Paris 14

ต่อมาย่านนี้ก็เจริญขึ้นเพราะในช่วง ค.ศ. 1862-1867 มีการก่อสร้างวิหาร Saint-Augustin โดย BALTARD จึงตามมาด้วยอาคารพาณิชย์และเกิดร้านอาหารที่ถือว่าเป็นเสมือน Brasserie แห่งแรกของกรุงปารีสที่มีชื่อว่าMOLLARD

City Break Paris Brasseries Dinner in Paris 15

ร้านสร้างในรูปแบบที่ทันสมัยมีการตกแต่งสถานที่อย่างสวยงามที่สุดของกรุงปารีส
ในปี ค. ศ.1896 นั้น MOLLARD สร้างเสร็จถือเป็นร้านอาหารที่เก๋ไก๋ที่สุดและเป็นจุดนัดพบของผู้ที่ต้องการความหรูหรา ถือเป็นร้านที่มีขนาดใหญ่ที่สุดทันสมัยที่สุดจากกรุงปารีส

City Break Paris Brasseries Dinner in Paris 16

จนถึงทุกวันนี้แม้ว่า MOLLARD จะดูเก่าแก่ไปตามกาลเวลา แต่มันก็ยังเปิดบริการให้ผู้มาเยือนที่ต้องการสัมผัสรสชาติ ของปารีสแท้ๆ และความขลังของประวัติความเป็นมาที่เก่าแก่ของร้านที่มีอายุกว่า 180 ปีแห่งนี้ของปารีส

City Break Paris Brasseries Dinner in Paris 17

City Break Paris Brasseries Dinner in Paris 18

เมนูกุ้ง Lobster Termidor ของร้าน Moullard

City Break Paris Brasseries Dinner in Paris 19

เมนู Plateaux Royal หรือ ทะเลรวมมิตร

 

City Break Paris Part XXXV

By Pusit Sansopone

เบรกเที่ยวในกรุงปารีส ตอนที่ 35

‘พระราชวังแวร์ซาย’ (ต่อ)

ชีวิตในแวร์ซาย ตอน 4 (Life in the court)

เมื่อคราวที่แล้วพูดถึงตารางกิจกรรมสันทนาการยามบ่ายของพระเจ้าหลุยส์ที่14 ซึ่งมักจะมีกิจกรรมในสวนแวร์ซายหรือถ้ามีการล่าสัตว์ก็บริเวณในป่ารอบๆแวร์ซาย จึงมีการพูดถึงการสร้างสวนแห่งนี้ซึ่งแบ่งออกเป็น 4 Phases หรือ 4 ช่วง แต่พูดถึงช่วงแรกไปช่วงเดียวก็เลยไปพูดถึงเรื่องระบบสุขอนามัยของแวร์ซายเสียยืดยาวจึงต้องมาต่อเรื่องสวนและกิจกรรมของพระเจ้าหลุยส์ ช่วงหลังพระอาทิตย์ตกกันในวันนี้และถือเป็นตอนสุดท้ายของแวร์ซายด้วยครับ

City Break Paris Life in the Court Part 35 -2

กลับมาเรื่องสวนแวร์ซายในช่วงก่อสร้างเพิ่มครั้งที่สองจากปีคศ. 1664 – 1668 จะมีน้ำพุใหม่ถูกสร้างขึ้นเช่นเดียวกับการทำแปลง Bosquets ใหม่ “ด้วยขั้นตอนนี้ทำให้สวนแห่งนี้ถือว่าเป็นสัญลักษณ์ของการออกแบบภูมิประเทศแบบสมมาตร มีเอกลักษณะเป็น jardin à la française หรือ French Formal Garden อย่างแท้จริง มีน้ำพุ Grotte de Téthys (น้ำพุแห่งทะเลกรีก Thetis) และบ่อน้ำลาโตเน่ Bassin de Latone และ Bassin Apollon (น้ำพุเทพเจ้ากรีกพระเจ้าอพอลโล จะเห็นน้ำพุที่มีเทพอพอลโลและรถศึกของเขาโผล่ออกมาจากทะเล) ในวันเปิดใช้น้ำพุนั้นผู้ให้สัญญาณคำสั่งนกหวีดก็คือพระเจ้าหลุยส์ที่14 นั่นเอง

City Break Paris Life in the Court Part 35 -3

สวน Versailles ช่วงที่สามหรือPHASE III นั้นอยู่ในช่วงปี 1680 – 1685 ได้เปลี่ยนการออกแบบของ Le Nôtre มาเป็นการออกแบบของสถาปนิกคนใหม่ที่ชื่อ Jules Hardouin-Mansart! ซึ่งเขาได้ ปรับเปลี่ยนการออกแบบของ Le Nôtre โดยการขยายสนามหญ้าระหว่างน้ำพุไปจนถึงขนาดของปัจจุบันที่เราและเขาได้เพิ่มบ่อน้ำขนาดใหญ่แบบเหลี่ยมคู่ (เรียกว่าคลองแกรนด์ (Canal) และคลอง Petite (แนวนอน)) เพื่อเป็นตัวแทนของแม่น้ำใหญ่สองสายของประเทศฝรั่งเศส

City Break Paris Life in the Court Part 35 -4

ภาพบนเป็นระบบทดน้ำจากแม่น้ำเซนไปที่แวร์ซาย ซึ่งทำให้ระบบน้ำพุคูคลองในสวนแวร์ซายมีชีวิตชีวาอยู่ต่อเนื่อง แต่ไม่เห็นมีการพูดถึงระบบระบายน้ำเสีย

สวน Versailles ช่วงที่ 4 (PHASE IV) คือขั้นตอนสุดท้ายเกิดขึ้นช่วงปีค.ศ. 1704 – 1785. อย่างไรก็ตามในเดือนกันยายน วันที่ 1 ปี 1715 พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 สิ้นพระชนม์จากโรคปากเท้าเปื่อยที่แวร์ซายส์ และในปี ค.ศ. 1722 หลุยส์ที่ 15 กลับมายังแวร์ซายส์ เขาไม่ได้ใช้เงินจำนวนมากในวังเช่นเดียวกับคุณปู่ (พระเจ้าหลุยส์ที่ 14) สวนจึงมีการเปลี่ยนแปลงแค่เล็กน้อย

โดยสรุป Gardens of Versailles ทั้งหมดมีต้นไม้ อย่างน้อย 200,000 ต้น หากนำมาวางเรียงเป็นทางยาวจะได้ถึง 81 กิโลเมตรของแถวต้นไม้ มีไม้ดอกที่ให้ดอกไม้ในช่วงอากาศอบอุ่นเฉลี่ยประมาณ 210,000 ดอกกระจายทั่ว parterres มีน้ำพุที่มีระบบพ่นน้ำกว่า 50 จุด ซึ่งไหลผ่านท่อน้ำยาวรวมกันวัดได้ 21 ไมล์ มีถนนยาวรวมกัน 12 ไมล์ สวนสาธารณะขนาดใหญ่กว่า 1900 เอเคอร์ (4807ไร่)

เวลา 18.00 น. หรือ 19.00 น พิธีกินเลี้ยงหรือฉลองยามค่ำ

พระเจ้าหลุยส์ที่14 มักนิยมการจัดงานปาร์ตี้ให้มีความบันเทิงกลางแจ้ง เช่น งาน Evening Gatherings ในขณะเดียวกันท่านก็จะไปลงนามในหนังสือสำคัญมากมายที่เตรียมโดยเลขาธิการของที่บ้านในสวนของ Mme de Maintenon มาดามแมงเตนอง พระราชสนมคนโปรด ซึ่งเธอจะได้ทำการศึกษาเอกสารสำคัญเหล่านั้นไว้ก่อน เธอถือเป็นหนึ่งใน 4 เลขาธิการแห่งรัฐ

City Break Paris Life in the Court Part 35 -5

ภาพบนเป็นภาพของ Mme de Maintenon มาดามแมงเตนอง พระราชสนมคนโปรดและเลขาธิการแห่งรัฐ โดยที่ภาพซ้ายนั้นเป็นภาพวาดสีน้ำมันจากตัวจริงแต่ภาพขวาคือดาราที่แสดงเป็นพระนางในซีรี่ส์เรื่อง”Versailles”

City Break Paris Life in the Court Part 35 -6

อย่างไรก็ตามพระเจ้าหลุย์ที่14 ก็ยังมีสนมคนโปรดมากที่สุดอีกรายหนึ่ง ที่อาจไม่ได้ให้อำนาจรัฐแต่พระองค์ทรงมีลูกด้วยกับ Francois-Athenais ในภาพซ้ายที่วาดจากตัวจริงและภาพขวาก็คือดาราที่แสดงเป็น Francois ในซีรี่ส์เรื่อง”Versailles”

แม้ว่าพระเจ้าหลุยส์ที่14 จะแต่งงานกับสมเด็จพระราชินีมาเรีย – เทเรสในปี ค.ศ. 1660 แต่พระองค์ไม่ได้มีนางเพียงคนเดียว ดังนั้นเมื่อพระเจ้าหลุยส์เสด็จพระราชดำเนินไปยังบ้านพักมาดามแมงเตนองทุกๆเย็น มาดามก็เหมือนกลายเป็นภรรยาคนที่สองของท่าน (แม้ว่าการสมรสไม่เคยประกาศอย่างเป็นทางการหรือยอมรับ) ในขณะนั้นท่านอาจศึกษาแฟ้มเอกสารสำคัญกับ 1 ใน 4 เลขาธิการของรัฐ ท่านก็ได้รับความเพลิดเพลินไปกับการได้ใกล้ชิดกับของมาดามไปด้วย

เวลา 22.00 น. พิธีอาหารมื้อเย็นSupper Fit for a King
ฝูงชนรีบเข้าห้องรับแขกของพระเจ้าหลุยส์เพื่อมาร่วมรับประทานอาหารเย็นที่ Royal Table กษัตริย์เสด็จประทับที่เสวยกับสมาชิกในพระราชวงศ์ เมื่ออาหารเสร็จสิ้นแล้วพระมหากษัตริย์เดินข้ามห้องและเข้าร้านเพื่อทักทายผู้หญิงในศาล จากนั้นเขาก็เกษียณในตู้เพื่อสนทนากับครอบครัวและเพื่อนสนิทของเขาได้อย่างอิสระ

City Break Paris Life in the Court Part 35 -7

ในเวลา 4 ทุ่ม ฝูงชนจะเข้ามาจนเต็มห้องรับรองหรือ Antichambre ในบริเวณ Kings Suite เพื่อเป็นสักขีพยานในงานเสวยอาหารค่ำของกษัตริย์ พระราชาและพระราชินีจะเสด็จมาด้วยกัน อาหารค่ำแบบราชสำนักจะประกอบไปด้วยการเสิร์ฟจากอาหารจานเปลถึง 40 จานที่มักเสิร์ฟชุดละ 8 จานซึ่งสามารถนำจานไปใช้ซ้ำได้ 5 ครั้งในระหว่างมื้อ อาหารจะประกอบไปด้วยซุป, สลัด, เนื้อสัตว์, ผัก และของหวาน “อาหารทุกจานถูกลิ้มรสก่อนโดยคนรับใช้สนิท เพื่อตรวจสอบสารพิษ และใช้คนเสิร์ฟเป็นจำนวน 100 คน หากเป็นงานใหญ่ก็ถึง 1,000 คนที่ต้องเดินไปห้องครัวที่อยู่ไกลไปอีกอาคารหนึ่ง เจ้าหน้าที่เหล่านี้จะถูกแบ่งหน้าที่ออกไปเป็น “เจ้าหน้าที่พระโอษฐ” ทำหน้าที่ตักเสิร์ฟ, เจ้าหน้าที่ลำเลียงจานไปที่โต๊ะ และ “เจ้าหน้าที่กุณโฑ (officer of the goblet) ทำหน้าที่เทเครื่องดื่ม และยังมีเจ้าหน้าที่จัดจานอาหารวางผ้ากันเปื้อนและดูรูปแบบของโต๊ะให้ต้องมีสีของพระราชวงศ์ Bourbon: คือสีทอง สีแดง หรือสีเงิน แก้วก็ต้องทำด้วยคริสตัลเจียรแบบบาคาร่า ส่วนเครื่องใช้ส่วนพระองค์ อย่างเช่น มีด ส้อม และเครื่องเทศปรุงรสจะถูกเก็บไว้ในกล่องพิเศษ แต่ถึงอย่างนั้นพระเจ้าหลุยส์นิยมทานอาหารด้วยมือแม้การใช้ส้อมกับมีดจะเริ่มใช้เป็นธรรมเนียมกันแล้วก็ตาม และเนื่องจากห้องครัวอยู่ห่างไกลจากห้องรับประทานอาหาร นั่นอาจทำให้อาหารเย็นชืดก่อนที่จะถูกเสิร์ฟ ดังนั้นพวกเขาก็เลยคิดค้นที่ครอบอาหารแบบระฆังเงินเพื่อใช้ครอบจาน (Silver Bell Food Covers) เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกก็ที่แวร์ซายนี่แหละ เพื่อให้อาหารอุ่นจนถึงเวลาเสิร์ฟ ธรรมเนียมนี้เลยถูกใช้ต่อมาโดยเฉพาะกับร้านอาหารชั้นดี แล้วพอมีฝาครอบเงิน วัสดุอีกอย่างที่ทำตามกันมาก็คือส้อมหรือ forkนี่แหละครับ ก่อนหน้านั้นคนฝรั่งเศสใช้มีดกับมือเป็นหลัก

City Break Paris Life in the Court Part 35 -8

ภาพบนและล่างเป็นบรรยากาศบนโต๊ะอาหารหากมีการจัด Grand Dinner ขึ้นที่แวร์ซาย

City Break Paris Life in the Court Part 35 -1

 

City Break Paris Life in the Court Part 35 -9

ภาพนี้จะเป็นบรรยากาศของยามพลบค่ำที่บริเวณสวนแวร์ซายที่ใช้จัดงานเฟสติวัลต่างๆ

 

ในโอกาสต่างๆ ที่พระราชวังแห่งนี้จะมีการจัดงานใหญ่ๆ (fêtes) ซึ่งมักใช้เวลาหลายวันหลายคืน มีแขกรับเชิญหลายร้อยคน โดยจะจัดในสวนแวร์ซายพวกแขกเหรื่อจะชื่นชมสวนหย่อมหรือไปที่โรงละครหรือเต้นรำ แน่นอนว่าต้องมีการแข่งกันในเรื่องเครื่องแต่งกาย ในตอนปิดฉากงานปาร์ตี้ก็จะมีการแสดงดอกไม้ไฟที่ยิ่งใหญ่และสวยงาม

City Break Paris Life in the Court Part 35 -10

ในโอกาสพิเศษถ้าเป็นงานใหญ่พระราชาจะทรงตัดสินใจเองว่าใช้เมนูอาหารอะไร การแสดงจะเป็นแบบไหน หรือธีมของงานปาร์ตี้จะเป็นแบบไหน จะต้องแต่งกายอย่างไร เช่น ท่านจะมอบหมายให้มีการเตรียมรายการอาหารที่เป็น Menus-Plaisirs du Roi มีการตกแต่งจานที่สวยงาม ส่วนทางด้านงานแสดงพระองค์มักมีรูปแบบที่อิงตำนานเทพเจ้ากรีก เรื่องราวของอัศวินจากยุคกลางหรือบทกวีร่วมสมัย และใช้แกรนด์คาแนลเป็นแหล่งน้ำที่ใหญ่ที่สุดในบริเวณพระราชวังและถูกสร้างขึ้นตามคลองแห่งเวนิสคลอง Grand & Petite เป็นฉากและแกนหลักของงาน fêtes centered มีการจำลองย่อขนาดเรือที่มีจริงในกองทัพเรือฝรั่งเศส เพื่อจำลองสงครามทางน้ำ เพื่อความบันเทิงในคลอง มีแม้แต่เรือกอนโดลาเสมือนอยู่ในท่าเมืองเวนิสจริงๆ ในบทละครแบบโรแมนติก

City Break Paris Life in the Court Part 35 -11

ในช่วงหนึ่งของงาน fêtes du nuit พระเจ้าหลุยส์ก็อาจมีช่วงเวลาที่ท่านสามารถผ่อนคลายไปกับการสนทนากับคนรู้จักสนิท เหล่าสมาชิกของพระราชวงศ์ คณะรัฐมนตรี หรือแม้แต่สนมคนโปรดได้บ้าง

เวลา 23.30 น. พิธีถวายพระพร ส่งพระเจ้าหลุยส์เข้านอน
พิธีกรรมสาธารณะนี้เรียกว่าคูชเช่ coucher หรือเข้านอนจะตรงข้ามกับพิธี Levée: ( Rising ) หรือตื่นขึ้นมา

City Break Paris Life in the Court Part 35 -12

กษัตริย์ของฝรั่งเศสจะถูกห้อมล้อมอย่างตลอดต่อเนื่องด้วยข้าราชบริพารจำนวนมากซึ่งส่วนใหญ่เป็นชนชั้นสูง ทั้งนี้ก็เพื่อที่จะได้รับความโปรดปรานจากกษัตริย์ จึงจำเป็นที่จะต้องใช้เวลาอยู่ในที่พำนักของพระราชวงศ์และยึดมั่นในจรรยาบรรณ การปรากฏตัวในพิธีต่างๆ เหล่านี้ก็มักจะได้รับการตอบแทนด้วยเงินช่วยเหลือ ของขวัญ ที่พักในพระราชวังแวร์ซาย การเชิญไปงานเฉลิมฉลองและพิธีการอื่นๆ เป็นประจำ การได้เป็นคนยืนถือเทียนขณะที่พระองค์เปลื้องผ้าเปลี่ยนชุดเป็นชุดนอนนั้นถือได้ว่าเป็นเกียรติอย่างยิ่ง

 

จบเรื่องแวร์ซายแล้วครับ สำหรับเรื่องราวของ City Break Paris ก็จะมาถึงเรื่องราวช่วงสุดท้าย นั่นคือ มื้อเย็น และกิจกรรมยามค่ำในปารีส ซึ่งก็จะเป็นประมาณ 4 ตอนจบเช่นกัน แล้วพบกันที่นี่ครับ