City Break: New York City Part X (Episode.1 Cocktail Bar)

Night Out In The City That Never Sleep…

ถ้าท่านติดตามเรื่องราวของ City Break New York มาตลอดนั้น เราก็คงพอจะได้ไอเดียในการbreakใช้ชีวิต2-3วันที่นี่พอสมควรแล้ว แต่อาจจะรู้สึกว่าก่อนจะจากเมืองนี้ไป มันเหมือนกับขาดอะไรไปอย่างนึง ใช่แล้วครับเราคงจะจากเมืองนี้ไปไม่ได้ถ้าไม่ได้เที่ยวกลางคืนในมหานครแห่งนี้สักหน่อย เพราะมันเป็นที่สุดของเรื่องแสง, สี, เสียง แบบต้นตำรับ ที่เอาใจทุกรสนิยม ทุกสไตล์
การเที่ยวกลางคืนของที่นี่มันก็คงเริ่มต้นมาตั้งแต่โทมัส เอดิสันคิดค้นไฟฟ้า, ไมโครโฟน, เครื่องเสียงขึ้นมาได้ไม่นาน พวกละครเวทีแบบmusicalแถวBroadway ก็เริ่มต้นมาตั้งแต่ต้นๆ ปี 1900 แต่ถ้าจะมันเข้ายุคของผมหน่อยที่มาเมืองนี้แรกๆ ก็คงย้อนกลับไปตั้งแต่ช่วงปี 70 ตอนนั้นใครบ้างที่จะไม่รู้จัก Studio 54 ดิสโก้เทคดังที่เกิดมาพร้อมๆ กับดารา John Travolta จากหนัง Saturday Night Fever แต่ไนท์ไลฟ์ของนิวยอร์กมันไม่ได้ตายไปพร้อมกับยุคของดิสโก้ มันปรับตัวเข้ากับสมัยหรือนำสมัยมาตลอด ลองมาดูทางเลือกที่ผมเสนอดีกว่าครับ ชอบแบบไหนลองไปดูครับ (จะมีประมาณ 3 Episode หรือ 3 ตอนย่อย)

 

image

เริ่มจากช่วงหัวค่ำกันก่อน(โหมโรง)

ไปดื่ม ‘Manhatton’ ที่ Cocktail Bar ระดับโลกกัน
มหานครแห่งนี้มีบาร์หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นเบียร์บาร์, ไวน์บาร์ หรือวิสกี้บาร์ชั้นดี แต่ที่ถือว่าล้ำหน้าเมืองอื่นๆ คงต้องยกให้ Cocktail Bar เนื่องจากนิวยอร์กเป็นที่รวมตัวของบาร์เทนเดอร์หรือบาร์เทนดี้ระดับแนวหน้าซึ่งปัจจุบันเขาเรียกตัวเองเท่ๆ ว่า Mixologist กันแล้ว ความหมายก็คือ ‘นักผสม’ อาจเป็นเพราะเป็นที่ๆ อาชีพดังกล่าวมีรายได้ดีมากๆ ในเมืองนี้ แล้วในเมื่อคุณมาถึงบาร์เหล่านี้คุณจะสั่งแต่ไวน์หรือเบียร์คงไม่ใช่ เพราะมันไม่ได้ใช้ฝีมือชงจากบรรดาบาร์เทนเดอร์มืออาชีพเลยแค่รินเฉยๆ เอง ผมแนะนำให้ลองสั่งเหล้าค็อกเทลสักแก้วครับ เพราะมันใช้ฝีมือชงและผสมอย่างชำนาญอาจแถมลีลาน่าดูมาให้ด้วย และถ้ามาที่เมืองนี้แล้วต้องการค็อกเทลที่คิดค้นมาจากที่นี่ก็ต้อง ‘Manhattan’ เท่านั้นครับ มันมีประวัติว่ามันถูกทำมาตั้งแต่ปี 1870 ที่ Manhattan Club ที่เมืองนี้ โดย Dr. Iain Marshall เนื่องในงานเลี้ยงที่มีเจ้าภาพเป็น Jennie Jerome (Lady Randolph Churchill, แม่ของWinston Churchill) เพื่อเป็นเกียรติแก่ผู้สมัครคัดเลือกตำแหน่งประธาณาธิบดีของสมัยนั้นที่ชื่อ Samuel J. Tilden. แต่บางแหล่งก็บอกว่าทำคิดขึ้นมาที่บาร์แถว Broadway ใกล้ถนน Houston โดยบาร์เทนเดอร์ชื่อ Black ในปี 1860 ต่างหาก แต่ช่างมันเถอะครับ ถ้าเราต้องดื่มCocktail Manhattan ดีๆ บนเกาะ Manhattan ก็ให้ลองไปที่บาร์เหล่านี้ (ดูที่listข้างล่าง)

 

สุดยอด Manhattans ใน NYC

ไปดื่ม Manhattan ที่ Booker and Dax

จริงๆ แล้วที Booker and Dax ดังเรื่องการผสมเหล้าจิน (Gin) แต่ความทันสมัยคิดนอกกรอบของที่นี่ก็ไม่ได้ทำให้ Manhattan ของร้านซึ่งเป็นค็อกเทลประเภทจารีตนิยม Old School มันดูด้อยไปตามสมัยที่นิยมของแปลกใหม่ ที่นี่จะเสิร์ฟด้วยแก้วแบบChillไอเย็นลอยฟุ้ง แล้วจึงรินตัวค็อกเทลลงตรงหน้าคุณ รสมันจะคม (Crisply Refreshing) แห้งผากแต่สดชื่นไม่เหมือนเหล้าที่ไม่โดนเจือจางโดยน้ำหรือน้ำแข็ง East Village

 

ไปดื่ม Manhattan ที่ Bemelmans Bar

bemelmans-bar

บางครั้งการดื่มอะไรที่พิเศษ สถานที่มันก็เกี่ยว สมัยที่นิวยอร์กเข้าสู่ยุคฟู่ฟ่านั้น เป็นยุคศิลปะและสถาปัตยกรรมแบบ Art Deco ถ้านึกไม่ออกก็ลองนึกถึงตึก Empire State หรือตึก Chrysler หรือในช่วงที่มีการแต่งตัวแบบในหนังเรื่อง The Great Gatsby นั่นแหละครับ อยากให้มาที่นี่โรงแรม Carlyle Hotel ที่มี Upscale Piano Bar ที่มีจิตรกรรมฝาผนังชื่อดังของ Ludwig Bemelmans ที่มาของชื่อบาร์ แต่บางครั้งรู้จักกันในนามของ Carlyle’s Jazz Club, มันตกแต่ด้วยศิลปะแบบ Art Deco เรียบหรู ประดับประดาด้วย 24-Karat Gold-Leaf ตามมุมเสาและเพดาน แต่อย่ามัวตื่นตาตื่นใจกับงานศิลปtจนลืมสั่ง Manhattan รสคมเข้มมาจิบให้มันรู้สึกร้อนๆ ที่หน้าหน่อย และที่นี่ก็ยังมี Live Jazz ฝีมือของ Chris Gillespie สุดยอด Jazz Piano ได้บรรยากาศเหลือหลาย

 

ไปดื่ม Manhattan Cocktail ที่ Employees Only
ย่าน East Village

employees-only

Employees Only คือบาร์ชื่อเท่อยู่ย่าน West Village ที่นี่ถือเป็น Craft Cocktail Institution ที่เน้นบาร์เทนเดอร์มือฉมังขึ้นชื่อเรื่องอาหารมื้อดึก และเหล้าแก้วสุดท้ายก่อนจาก (One for the road) เหล้า Manhattan ของที่นี่ใช้วิสกี้ Rittenhouse Rye ผสม Sweet Vermouth และ Grand Marnier เหยาะด้วย Traditional Angostura Bitters แล้วคนให้เข้ากันแบบมืออาชีพเรียกว่าคุ้มค่าราคา $16 ที่สุดแล้วครับ

 

Other cocktail variety

ทีนี้ต้องขอบอกไว้ก่อนว่า Mahattan อาจไม่ใช่ Cocktail สไตล์ที่ผู้หญิงชอบนะครับ เพราะมันผสมแบบครึ่งๆ จากอเมริกันวิสกี้โดยเฉพาะที่ทำจากข้าวRye (แคนาเดียนวิสกี้ก็ได้) กับเวอร์มุตอิตาเลียน ตามด้วยเหล้าขมอิตาเลี่ยน(Bitter)นิดหน่อย ซึ่งอาจแรงไป(Punchy) สำหรับผู้ไม่ถนัดเราก็สามารถสั่งจาก Cocktail List ในเมนูได้ แต่ถ้าไม่มีไอเดียใดๆ เลยก็สั่งตัวใดตัวหนึ่งจาก Top 10 Most Popular Cocktail ที่ผมแนะนำข้างล่างนี้แล้วกันครับ
เร็วๆนี้มีการทำสำรวจจากบาร์ค็อกเทลดังๆทั่วโลกเพื่อหาอันดับ1-10 ของค็อกเทลที่เป็นที่นิยมสั่งมากที่สุดในโลก ก็ออกมาตามlistข้างล่างนี้ครับ ผู้ที่ไม่สันทัดก็จำชื่อไปลองสั่งได้เลย

1.Old Fashioned

2.Mojito

3.Negroni

4.Manhattan

5.Dry Martini

6.Martini

7.Margarita

8.Whisky Sour

9.Cosmopolitan

10.Dark & Stormy

ที่มา: http://drinksint.com/
ตัวอย่าง ค็อกเทล ชื่อดังอันดับ 3 คือ Negroni ที่เหล้าBase เป็น Gin ขึ้นชื่อมากที่บาร์ Gin Palace (ตอนนี้ปิดปรับปรุงอาคารทรุด)
“White Negroni” ที่ Gin Palace ถือว่าเป็นค็อกเทลที่แรงที่สุดสูตรหนึ่งในNew York

cocktail

Credit: Elilitetraveller.com

 

มาดู Bar Cocktail ที่คุณไม่จำเป็นต้องสั่งเฉพาะ Manhattan กันต่ออีกหน่อย

ATTABOY

ย่าน LOWER EAST SIDE

attaboy

เจ้าของที่นี่เป็น Bartenders เก่าแก่คือ Sam Ross และMichael McIlroy มาหุ้นกันเปิดAttaboy โดยตั้งใจวัตถุดิบชั้นดีเช่น เหล้า liquor คุณภาพ, น้ำผลไม้สด, น้ำแข็งจากน้ำบริสุทธิ์ ในขณะที่เน้นบรรยากาศแบบกันเอง less-formal atmosphere แถมยังไม่ทำให้ผู้ไม่สันทัดในเหล้าค็อกเทลต้องอึดอัด โดยไม่ต้องสนใจเมนู หากท่านสนใจจะดื่มเหล้าหลักเป็นอะไร เช่น วิสกี้, รัม หรือจิน ก็สั่งว่าอยากดื่มเหล้าหลักเป็นจิน บาร์เทนเดอร์จะสร้างสรรค์มาให้คุณเองให้ลองรายการพิเศษของที่นี่ เช่น Penicillin, ซึ่งผสมจาก Whiskey, Honey-ginger Syrup, มะนาว และ Islay Scotch

 

CLOVER CLUB
ย่าน COBBLE HILL

clover-club

ถ้าชอบสถานที่แบบเรียบหรูดูอินเตอร์ติดอันดับบาร์ค็อกเทลระดับโลก มีบริกรที่มีความเป็นมืออาชีพ และแน่นอนว่าเครื่องดื่มค็อกเทลที่สร้างสรรค์โดยบาร์เทนเดอร์ค่าตัวสูงคงต้องมาลองที่ Clover Club

 

ANGEL’S SHARE (ANNEX)
ย่านEAST VILLAGE

angels-share-annex

ว่ากันว่าเครื่องดื่ม Cocktails ที่นี่ ถือเป็นตัวเช็คมาตรฐานของเมืองเลยก็ว่าได้ มันอยู่ในย่านนี้มา20 ปี เป็นแบบ Old School Cocktail บาร์อยู่ใต้ดิน ผสมเหล้าแบบ Traditional แต่ตอนหลังมาเปิด The Annex ที่มีเหล้าแบบสร้างสรรค์แปลกใหม่ใจกว้าง ไม่ยึดติดอยู่กับความคิดเดิมอีกต่อไป

 

LEYENDA
ย่าน COBBLE HIL
leyenda
Courtesy of Leyenda.com

เราต้องยอมรับว่าค็อกเทลหลายๆ ตัวมาจากแถบอเมริกากลาง(แคริบเบียน) หรืออเมริกาใต้ เพราะเป็นแหล่งผลิตเหล้ารัมดังนั้นหากต้องการบาร์เทนเดอร์มือดีที่เป็นละตินสไตล์ ต้องมาที่นี่ Leyenda นอกเหนือจากนั้นอาหารที่นี่ก็ถือว่าเข้าขั้นพูดถึง เหล้ารัมนั้นถ้าดื่มแล้วติดใจอยากจะซื้อติดบ้านไว้ก็แนะนำเป็น The Best of Rum เลยละกันคงต้องเจาะจงยี่ห้อนี้เลยครับ Ron Zacapa เป็น Premium Rum ผลิตจากกัวเตมาลา

ron-zacapa

 

MACE
ย่าน EAST VILLAGE

mace_interior_bleicher

แนะนำ Cocktail Club’s Nico de Soto ที่นี่มักนำเอาสิ่งที่เหมือนจะเข้ากันไม่ได้มาผสมกันแต่ออกมาเป็นอะไรที่พิเศษและให้ลอง Yerba Mate, Aperol ผสม Beet Juice, Coconut Cordial และMace Mist แต่ถ้ายังไม่แปลกพอก็ลอง Saffron Cocktail ดูครับ

 

ประเภท Rooftop Bar
หากท่านมาที่นิวยอร์กในฤดูที่ไม่หนาวมาก การขึ้นไปดื่มบนยอดตึกที่เป็น Rooftop Bar หรือRestaurant ก็เป็นทางเลือกที่ไม่เลวนัก เพราะจะได้วิวและบรรยากาศตึกระฟ้าในนิวยอร์ก ต้องขอบอกว่าระยะหลังนี้ Rooftop Restaurant หรือบาร์เกิดขึ้นในทุกๆ เมืองทั่วโลก รวมทั้งที่กรุงเทพฯ เหมือนเป็นเทรนด์ที่ทำตามๆ กันมาแต่คงต้องยอมรับว่าที่ไหนๆ ก็ไม่เหมือนที่นี่ซึ่งเป็นต้นตำรับ และหากว่าท่านคิดว่าอยากจะไปชนแก้วกันบนตึกสูงละก็ลองไปที่เหล้านี้ดูครับ

 

Gallow Green
ย่าน Midtown

gallow-green

ชื่อ Gallow Green มาจากทุ่งในสก็อตแลนด์ที่เคยเอาไว้แขวนคอพวกนอกรีต แล้วโดนกล่าวหาว่าเป็นพวกแม่มด เลยเป็นที่มาของเครื่องแบบคนเสิร์ฟที่นี่ที่เป็นผ้าคลุมสีขาวสไตล์ผีฝรั่ง มีที่นั่งด้านนอกที่เป็นสวน และด้านในที่แต่งแบบตู้สเบียงรถไฟที่เก่าๆ หลอนๆ หน่อย ตามcoceptของบาร์นี้ มาที่นี่ให้สั่งVanessa’s Cup ทำจากเหล้ารัม, Pimm’s, sirop de canne—ที่ทำจาก syrup ผสมcinammon และvanilla— strawberries, ginger และnettle tincture ราคาแก้วละ $14

 

Top of the Strand
ย่าน Chelsea

top-of-the-strand-summer

Courtesy of top of the Strand.com

ถ้าอยากได้วิวของที่สุดของแลนด์มาร์กของเมืองนี้ ต้องมาที่ชั้น 21 ของโรงแรมStrand คุณจะได้วิวแบบสุดๆ ของตึก Empire State ที่มีตึกอื่นเป็นbackground การมาดื่มที่นี่เหมือนจะคุ้มมากๆ ไม่ต้องกลัวว่าฝนจะตกมาทำลายบรรยากาศเพราะที่นี่มีหลังคากระจกที่พร้อมจะเลื่อนเปิดปิดให้เหมาะกับฤดูอีกต่างหากราคา Specialty Cocktails ก็เริ่มจาก $15 ถ้า beer ก็แค่ $9

 

Berry Park
ย่าน Midtown West

3-z-hotel-rooftop

หากต้องการวิว Manhattan Skyline ข้ามฝั่งจากแม่น้ำ East River ที่นี่น่าจะเหมาะเพราะมีDeckขนาด 3,000 ตารางฟุต และหลังคากระจกเปิดปิดได้เผื่ออากาศไม่เป็นใจ มาที่นี่อาจต้องลองเบียร์ด้วย ให้ลองสั่ง Schöfferhofer หรือHefeweizen ($7) และไหนๆ ก็เยอรมันดริ๊งแล้วก็ต้องสั่งไส้กรอก Bratwurst with Sauerkraut ($6)

 

Pod 39 Rooftop
ย่าน Greenpoint ใน Brooklyn

pod-39-rooftop

Credit:Dave Wilson Photography

แนะนำแต่สถานที่แบบupscaleมาหลายแห่ง ขอแนะนำแบบพื้นๆ บ้าง ถ้าชอบเหล้าMexicanแบบ Margarita, , Tequila และบรรยากาศดิบๆ ก็ต้องมาที่ Rooftop Bar, ที่อยู่ชั้น17 แห่งนี้มีวิว East River และถ้าต้องการกับแกล้มที่นี่ก็มี Tacoที่ขึ้นชื่อ

ใน Episod2 เราจะมาพูดถึงที่เที่ยวกลางคืนแบบอื่นๆ หลังจากที่เราโหมโรงกันด้วยค็อกเทลจนหน้าเริ่มร้อนกันแล้ว ตอนหน้าจะมีการแนะนำ Jazz Bar และ Live Music Hall ของที่นี่ด้วย

 

Craft Beer – เบียร์เทรนด์ใหม่แห่งยุคมิลเลนเนียม

ในยุคมิลเลนเนียมนี้ เครื่องดื่มที่ต้องยอมรับว่ามาแรงแซงโค้งก็เห็นจะเป็นเบียร์ Craft Beer โดยเฉพาะวงการเบียร์ในหลายๆ ประเทศเริ่มมีการปฏิวัติฉีกกฎและไม่ยึดติดกับรูปแบบเดิม จริงๆ Craft Beer มีหลากหลายยี่ห้อเหลือเกิน วันนี้เราจะมาแนะนำให้รู้จักยี่ห้อหนึ่งที่มีขายในบ้านเรา

 

how-to-drink-craft-beer-3

how-to-drink-craft-beer-4

จริงๆ แล้วเบียร์ในโลกนี้แบ่งออกได้เป็นสองกลุ่มใหญ่ๆ กลุ่มแรกก็คือกลุ่มเบียร์ลาเกอร์ (Lager) ซึ่งเบียร์เจ้าใหญ่ๆที่ผลิตในบ้านเราจะเป็นประเภทนี้ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นเบียร์สิงห์ ช้าง หรือไฮเนเก้น พวกนี้จะเป็นเบียร์ที่ดื่มง่ายๆ เบาๆ เย็นกริบๆ คนไทยคุ้นเคยดี กับอีกกลุ่มหนึ่งคือเบียร์ประเภทเอล (Ale) เป็นเบียร์ที่กำลังมาแรงในหมู่ผู้ผลิตCraft Beer และผู้ที่ชื่นชอบความแตกต่างฉีกกฎการดื่มเบียร์แบบเดิมๆ และค่อนข้างจะเป็นเบียร์ของนักดื่มเบียร์จริงจัง

การผลิตเบียร์ไม่ได้มีอะไรมาก หากคุณมีธัญพืช เช่น ข้าวบาร์เลย์ ข้าวสาลี มียีสต์ มีน้ำ และมีดอกฮ็อปส์ คุณก็สามารถผลิตเบียร์ได้ เราจึงอาจเคยเห็นผู้ผลิตเบียร์รายย่อยที่ทำเบียร์ดื่มกันเองตามบ้าน แต่จะอร่อยหรือไม่อร่อยนั้นคงต้องขึ้นกับฝีมือ

 

how-to-drink-craft-beer-6

เบียร์ที่อยากแนะนำในวันนี้เป็นเบียร์เชื้อสายอเมริกา พอพูดถึงเบียร์อเมริกาหลายๆ คนอาจนึกถึงยี่ห้อใหญ่ๆ ดังๆ ที่มักมีรสชาติอ่อนๆ ไม่ค่อยถูกปากคนไทยเท่าไหร่ แต่เบียร์ยี่ห้อ Rogue เป็นCraft เบียร์แนวใหม่มีถิ่นกำเนิดที่รัฐโอเรกอน ซึ่งทั้งปลูกข้าวบาร์เลย์ และปลูกต้นฮอปส์เอง จริงๆ แล้ว Rogue ผลิตเบียร์หลายรุ่น แต่วันนี้ขอแนะนำสองตัว ตัวแรกชื่อ Rogue Dead Guy เป็นเอลสีอำพัน หอมกลิ่นมอลต์ น้ำผึ้ง และฮอปส์ มีเนื้อสัมผัสปานกลางถึงเข้นข้น อีกตัวนึงชื่อ Rogue Hazelnut Brown Nectar เป็นเอลอีกเช่นกัน แต่ตัวนี้ผู้ผลิตใส่เฮเซลนัทสกัดลงไปเพื่อให้มีกลิ่นหอมลงตัวของถั่วเฮเซลนัท น่าจะถูกใจนักดื่มสุภาพสตรีทั้งหลาย เบียร์ทั้งสองตัวนี้เป็นเบียร์ที่เหมาะที่จะทานกับอาหารโดยเฉพาะพวกเนื้อสัตว์ ประเภทเนื้อวัวกับเนื้อหมู แต่เอาเข้าจริงๆ ฉันชอบทานเดี่ยวๆ มีกับแกล้มง่ายๆ พวกถั่วหรือกับเพรทเซลก็อร่อยสุขใจแล้ว

 

หาซื้อ Rogue Beer ได้ที่ Beervana และ www.passiondelivery.com

 

 *** พิเศษสุดสำหรับแฟนๆ ของ The Editors Society เมื่อช้อปปิ้งผลิตภัณฑ์ของ Passion Delivery ผ่านทางเว็บไซด์ของ The Editors Society จะได้รับส่วนลด 200 บาทจากการสั่งซื้อของครั้งแรก เมื่อช้อปขั้นต่ำ 1,000 บาท เพียงใส่โค้ด PDEDITOR ในช่องลดราคาก่อนเช็คเอ้าท์จาก www.passiondelivery.com ***

 

เครดิตภาพ : 1, 2, 3, 4, 5, 6

 

แต่งตัวหนาวๆ แบบเซเลบริตี้ เขาแต่งได้ เราก็ต้องได้ #ปรับใช้กับตัวเอง #ดูให้เกิดแรงบันดาลใจ

หลังจากส่งใบลาล่วงหน้าเรียบร้อย ตั้งใจจะพาตัวเองไปเจอไอเย็นติดลบเหมือนกับคนอื่นเขาบ้างน่ะสิ ตอนนี้ก็เหลือแค่มองหาคอลเล็กชั่นเสื้อผ้ากันหนาวในสไตล์เรา เพื่อจะแพ็กลงกระเป๋าใบใหญ่ๆ…มีอะไรเอาไปไว้ก่อนละกัน

โห! เตรียมตัวมาดีขนาดนี้ มาดูกันก่อนไหมคะว่าเซเลบริตี้แต่ละคนเขามีวิธี Mix & Match แต่งตัวช่วงวินเทอร์กันอย่างไรบ้าง เผื่อใช้เป็นอินสไปร์ทในชีวิต บางครั้งการได้ดูได้เห็นอะไรไว้บ้างก็ช่วยให้เราตัดสินใจอะไรได้เยอะนะคะ จัดไป!

 

winter-style-alexa-chung

Alexa Chung

winter-style-bella-hadid

Bella Hadid

winter-style-cara-delevingne

Cara Delevingne

winter-style-dakota-johnson

Dakota Johnson

 winter-style-diane-kruger

Diane Kruger

winter-style-emma-stone

Emma Stone

winter-style-kendall-jenner-gigi-hadid

Gigi Hadid & Kendall Jenner

winter-style-gigi-hadid

Gigi Hadid

winter-style-gigi-hadid-2

Gigi Hadid

winter-style-kendall-jenner

Kendall Jenner

winter-style-kendall-jenner-1

Kendall Jenner

winter-style-hailey-baldwiin

Hailey Baldwiin

winter-style-jennifer-lawrence

Jennifer Lawrence

winter-style-karlie-kloss-1

Karlie Kloss

winter-style-liv-tyler

Liv Tyler

winter-style-miranda-kerr

Miranda Kerr

winter-style-olivia-palermo-2

Olivia Palermo

winter-style-olivia-palermo-1

Olivia Palermo

winter-style-rita-ora

Rita Ora

winter-style-taylor-swift-2

Taylor Swift

winter-style-victoria-beckham

Victoria Beckham

 

เครดิตภาพ : 1, 2, 3, 4, 5, 6, 7, 8, 9, 10, 11, 12, 13, 14, 15, 16, 17, 18, 19, 20, 21

 

City Break: New York City Part IX

เบรกทานมื้อเย็น Dinner Break

สำหรับมื้อเย็นในนิวยอร์ก ผมขอนำเสนอให้เลือก 2 รูปแบบ แบบคลาสสิก หรือการไปกินร้านอาหารในตำนานของมหานครแห่งนี้ที่เปรียบเสมือนสถาบัน เพราะมันเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์ และอีกแบบเป็นแบบร่วมสมัย คือร้านอาหารที่บริหารจัดการโดย Celebrity Chef หรือพ่อครัวระดับโลกที่สร้างชื่อด้วยการทำร้านหรูหราที่มาพร้อมกับรายการอาหารที่สร้างสรรค์จากประสบการณ์ และจิตนาการที่เหนือชั้น

 

แบบ Classic Old School

ไม่ว่าสไตล์หรือ Trend ของการกินการบริการมันจะเปลี่ยนไปอย่างไร เราก็คงยังต้องวนเวียนกลับมาที่ต้นกำเนิดของมัน ใช่ครับผัดกระเพรากับส้มตำแบบดั่งเดิมมันต้องดีกว่า Fusion ถ้าพูดแบบบ้านๆ ก็คือดัดแปลงหรือกลายพันธุ์แน่นอน หลายๆ คนก็ยังอินกับร้านแบบ Old Love, Old-School หรือแบบ Hometown Places แต่ความเก่าแก่ไม่ได้หมายถึงว่ามันดีหรืออร่อยเหมือนเดิมเสมอไป ในนิวยอร์กจึงมีเหลืออยู่ 5 แห่งนี้ที่แนะนำครับ

 

Delmonico’s

2015_0529delmonicos-105432

delmonicos_marleywhite_003__x_large

เปิดมาตั้งแต่ปี 1837 ร้าน Delmonico’s คือร้านที่เรียกตัวเองว่าเป็นภัตตาคารแห่งแรกในมหานครแห่งนี้และก็เคยเป็นร้านอาหารประเภท Fine-Dining Restaurants ที่ดีที่สุดที่นี่หลายปี ลูกค้าประจำก็มีแบบประธานาธิบดี Theodore Roosevelt, นักเขียนชื่อ Mark Twain และจักรพรรดิ Napoleon ที่ III มี Signature Dishes ที่สร้างชื่อก็ Baked Alaska, The Eggs Benedict และ The Lobster Newberg ที่อยู่ก็แน่นอนว่าอยู่ที่เดิม Delmonico’s, 56 Beaver St, New York  คลับคล้ายคลับคลาว่าตึกนี้กลายเป็นของว่าที่ประธานาธิบดีTrumpไปแล้ว

 

Grand Central Oyster Bar

trainstations0515-grand-central-oyster-bar

เปิดตั้งแต่ปี 1913 The Grand Central Oyster Bar อยู่เป็นร้านคู่บารมีกับสถานีรถไฟ Grand Central Station มาตั้งแต่เปิด คล้ายๆ กับร้าน Le Train Bleu ในสถานี Gare de Lyon ใน Paris ที่ให้บริการนักเดินทางโดยรถไฟมาตั้งแต่ปี 1901 เช่นกัน เมื่อก่อนนี้ใช้ขื่อ “Buffet de la Gare de Lyon” ที่คล้ายกันอีกเรื่องคงเป็นเพราะขึ้นชื่อเรื่องอาหารทะเลเช่นกันด้วย แต่จานที่ต้องลองและดังของร้านที่นิวยอร์กคือ Oyster Stew. Grand Central Oyster Bar, 89 E 42nd St, New York

 

Keen’s Steakhouse

keens-steak-house

img_8926v

เปิดมานานมากแล้วตั้งแต่ปี 1885 ร้านสเต็กที่จัตุรัส Herald ร้านนี้เกิดมาในช่วงที่การสูบไปป์เป็นที่นิยมก็เลยเกิด “Pipe Tradition” ขึ้นที่นี่ และมีการก่อตั้งสมาคม Pipe Club และยังมีคอลเล็กชั่นสะสมไปป์แบบก้านยาวที่เรียกว่า Churchwarden Pipes มากที่สุดในโลกตั้งแต่ปี 1950s มันเรียกว่าไปป์อ่านหนังสือในเยอรมัน เพราะก้านมันยาวออกไปไม่รบกวนสายตาบังตัวหนังสือที่อ่าน และควันก็ไม่ใกล้หน้าผู้สูบมากไป มาที่มีต้องสั่ง แกะครับ จานนี้เลย Keen’s Mutton Chop ติดอันดับบรรดาอาหารจานเนื้อที่นี่มานานแล้ว Keen’s Steakhouse, 72 West 36 St, New York

 

Peter Luger

4-peter-luger-dining-room_650

home_banner-stkdnr_1

ร้านสเต็กในตำนานร้านนี้เปิดมาตั้งแต่ปี 1887 แต่ชื่อเสียงและคุณภาพก็ยังเดินทางมาพร้อมอายุ คือมันก็ยังเป็นที่นิยมอยู่เสมอมา Peter Luger ยังติดอันดับ1ของร้านสเต็กใน NYC อย่างต่อเนื่อง แม้ใน 28 ปีให้หลังมานี้. การจองสำหรับกินมื้อเย็นยังใช้เวลาเป็นเดือนอยู่ คุณคงต้องลองจองเป็นมื้อกลางวันดูน่าจะเป็นไปได้มากกว่า Peter Luger, 178 Broadway, New York

 

P.J Clarke’s

lincoln_location_2-1600x900

เปิดมาตั้งแต่ปี 1884 ร้าน P.J Clarke’s มีชื่อเสียงโด่งดังว่าเป็นร้านที่มี Best Burgers ใน NYC ร้านนี้มีความขลังในสไตล์แบบpubในอังกฤษ P.J Clarke’s, 915 3rd Ave, New York

 

Fraunces Tavern

Frauces Tavern Manhatten NYC - ExplorationVacation.net

Photo Credit: Cindy Carlsson

3980780691_ef4fe74140_z-553x415

เก่าแก่กว่าทุกร้านที่บอกมาเพราะที่นี่เปิดในปี 1762 Fraunces เป็นร้านในแบบ Tavern ที่เป็นประวัติศาสตร์เช่นในช่วงสงครามกลางเมืองหรือ American Revolution นายพล George Washington กล่าวคำอำลาทหาร Continental Army ณ ที่แห่งนี้ แถมในปี1960s ตึกแห่งนี้ยังได้รับการประกาศให้มีฐานะเป็นแลนด์มาร์คของเมืองนี้ และบางส่วนของอาคารก็กลายเป็นพิพิธภัณฑ์ไปแล้ว Fraunces Tavern, 54 Pearl St, New York

 

McSorley’s Old Ale House 15 E 7th St, New York

mcsorleys_old_ale_house_east_village

ซาลูนแห่งนี้เปิดในปี 1854 เป็นไอคอนของย่าน East Village หากท่านชอบIrish Pub แบบดั่งเดิม เบียร์สีเข้มที่ทางร้านbrewsเอง ต้องเดินบนพื้นไม้เสียงอ๊อดแอ๊ด น่าจะมาแวะถ้าผ่านมาย่านนี้ ผมไม่แน่ใจว่าใช่ร้านนี้หรือเปล่า เพราะเห็นแค่แว็บๆ ในหนังดังของ Clint Eastwood เรื่อง Sully ที่ Tom Hank ได้บทกัปตันที่ต้องนำเครื่องairbus 320ลงฉุกเฉินในแม่น้ำฮัดสัน มีอยู่ฉากนึงที่เค้าออกมาแวะดื่มเบียร์ในร้านที่คล้ายร้านนี้มาก และมีประโยคหนึ่งในหนังที่ผมชอบก็คือเมื่อตอนเครื่องได้ออกจากสนามบินลากัวเดียตรงเวลาและบรรดาลูกเรือรู้สึกโล่งใจ เพราะสนามบินนี้ขึ้นชื่อเรื่องflight delay ผมก็ยังขำเพราะเคยดีเลย์ อยู่ที่นี่ตั้งแต่ 10 โมงเช้าจนถึงบ่าย 3

 

’21’ Club 21 W 52nd St, New York

21-club

ร้านนี้ก็เก่าเปิดในปี 1930 แต่มันก็ยังขึ้นชื่อเรื่อง Steak Tartare และ Center Cut Filet Mignon เห็นเก่าๆ แบบนี้มีบรรดา Celebs แบบ George Clooney, Olivia Wilde, Bruce Willis, Shia LaBoeuf และอื่นๆ เวียนวนกันมาใช้บริการ

 

II  แบบ Celebrity Chef

บรรดา Celebrity Chefs ได้ทำการปรับเปลี่ยนรูปแบบของอุตสาหกรรมอาหารในอเมริกาแบบตามกันไม่ทัน มันไม่ใช่มาในรูปแบบที่หรูเว่อร์หรือราคาแพงเป็นหลักหมื่นแสนอย่างที่เราหลายคนคิดกันเสมอไป บางความคิดบางรูปแบบที่ร้านเหล่านี้ออกมาก็เป็น Casual Dining และราคาก็รับได้ ผมสังเกตว่าเชฟแต่ละคนก็มักจะมีร้านที่เป็น เรือธงFlagship ที่หรูหราต้องแต่งตัวกัน มี Dress Code กัน แต่ในขณะเดียวกันเขาก็มักจะมีร้านแบบ Brand รองที่ลดหลั่นดีกรีความเข้มข้นออกมารองรับลูกค้าอีกกลุ่มเช่นกัน ดังนั้นหากเราศึกษาดีๆ เราก็เลือกร้านที่เหมาะกับเราได้เสมอแม้ว่าร้าน Celeb Chef ก็ไม่ต้องหวั่น

 

Aldea  

aldea-13
เชฟ George Mendes (Bouley, Wallsé) ได้เปิดร้านอาหารแห่งแรกของเขาที่บริเวณจัตุรัส Union Square ชื่อว่า Aldea ชื่อนี้มาจากภาษาโปตุกีสหมายถึงหมู่บ้าน สะท้อนถึงbackgroundของเชฟเอง และความตั้งใจในการกลับไปทำอาหารแบบคลาสสิก(แต่ใช้เทคนิคสมัยใหม่)ของโปตุกีส, สเปน และฝรั่งเศสแถบอ่าว Biscay ตัวอย่างอาหารก็เช่น Arroz de Pato เป็นปลาหมึกย่างราดซอสแบบโปตุเกส

 

A Voce Columbus
ร้านออกแบบได้ทันสมัยในสไตล์การออกแบบและรสชาติอาหารแบบมิลาเนส Milanese aesthetic แถมยังรับวิวของ Central Park ถือเป็น Italian Restaurant บนถนน Madison Avenue ที่มีรายการอาหารคลาสสิกของอิตาลีทางเหนือแบบ Baccalà, Branzino และTagliatelle กับซอสหมูและเนื้อ Ragù มีผู้กำกับดูแลคือ Chef Missy Robbins เธอมีชื่อเสียงรื่อง Pasta ด้วย Robbins สร้างชื่อมาจากการเป็นเชฟที่ร้านในชิคาโกชื่อร้าน Spiaggia ซึ่งเป็นร้านประจำของครอบครัว Obama เมื่อตอนที่อยู่ชิคาโกก่อนมาเป็นประธานาธิบดี

137870_0

Pancetta at A Voce Columbus. Photo: Quentin Bacon

 

Morimoto  
เป็นแบบไฮบริด หรือ East Meets West ที่กุมบังเหียนโดย Executive Chef ชาวญี่ปุ่น Masaharu Morimoto ดาราและกรรมการจากรายการทีวี Food Network’s Iron Chef และยังเคยเป็นอดีต Executive Chef ที่ภัคตาคารญี่ปุ่นชื่อดัง Nobu ที่นี่อาหารจะเป็นลูกผสมแต่มันผสานกลมกลืนแบบสร้างสรรค์และคิดไม่ถึง แล้วยังมีครัวเปิดโล่งให้เห็นการทำงานของเชฟด้วย

city-break-nyc-ix-1

Halibut at Morimoto. Photo: Daniel Krieger

 

Adour Alain Ducasse

city-break-nyc-ix-3

Courtesy, Adour Alain Ducasse at The St. Regis New York

Adour คือร้านเอกของ Alain Ducasse, Celebrity Chef ชาวฝรั่งเศสที่ดังที่สุดในฝั่งอเมริกาและอาจถึงขนาดคนหนึ่งในโลกก็ได้ เขาต้องการให้แขกที่มาทานอาหารที่นี่ได้ร่วมแชร์ความรู้สึกแบบละเอียดอ่อนที่น่าหลงใหลในอาหารแต่ละจานที่เขาประดิษฐขึ้น Adour นำเสนอเมนูตามฤดูกาล Seasonal Menu ที่สะท้อนรสชาติของท้องถิ่น แน่นอนว่ารสชาติและอารมณ์จะเป็นแบบอาหารฝรั่งเศสซึ่งมักต้องpairกับไวน์ที่เขานำเสนอด้วยว่าจานไหนต้องไวน์อะไร มันอาจจะหรูและแพงที่สุดในบรรดาทุกร้านของเชฟคนนี้ก็เป็นได้ ก็ร้านอยู่ในโรงแรมระดับ 6 ดาว The St. Regis New York

 

Nougatine at Jean Georges  

city-break-nyc-ix-3

Courtesy, Jean Georges

เป็นร้านที่ไม่ควรมองข้ามอยู่ในเขต Upper West Side นำเสนออาหารแบบlightไม่หนักมาก และยังมีราคาไม่หนักด้วยเช่นกัน เมื่อเทียบกับร้านของ Super-Celeb อย่าง Chef Jean-Georges ชาวฝรั่งเศสจาก Alsace แต่มาดังที่NYC มีร้านอยู่ 10 ร้านใน NYC จาก 20 กว่าร้านทั่วโลก เชฟคนนี้ผมเคยรู้จักกับเขาตอนที่เคยทำงานพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่เห็นเป็นตึกโดมทองชื่อ State Tower ย่านสีลมก่อนจะมาร้านอาหาร Sirocco, Mezzaluna และThe Dome นั้น เจ้านายเก่าผมเคยทาบทาม Chef Jean-Georges ให้มาทำร้านที่นี่ครับ เขามีหลายร้านที่แนะนำ  มี 2 แบบให้เลือก ถ้าหรูหน่อยก็ร้านสร้างชื่อที่ใช้ชื่อเต็มของเขาเลย  Jean Georges’s Fine Cuisine อยู่ Park AVE.West (ที่นั่น Three-Course Tasting Menu เริ่มต้นที่ราคา $98) ในขณะที่ร้าน Nougatine เป็นแบบ Five Courses ในราคา $68) บรรยากาศในร้านโล่งโปร่งสบาย เพราะใช้กระจกตั้งแต่พื้นจรดเพดาน ที่นี่ยังเหมาะสำหรับการมาลอง Lunch หรือ Brunch

 

Del Posto

ร้านบรรยากาศโปร่งโล่ง เพราะเพดานที่สูงกว่าปกติ ร้านนี้เป็นการผนึกกำลังสร้างสรรค์และร่วมปล่อยวิทยายุทธในการทำอาหารอิตาเลี่ยนของเชฟที่รู้จักดีคือ Mario Batali, Joseph Bastianich และLidia Bastianich ที่นี่รับประกันผู้ที่หลงใหลใน Italian Cuisine ที่มีกลิ่นรสแบบเมื่อได้เข้าปากแล้วต้องหลับตาเพื่อจดจำอารมณ์หรือช่วงเวลาที่ต้องกลืนมันไป อย่าลืมว่าที่นี่มี Inventive Pastas ซึ่งหมายถึงซอสในรูปแบบใหม่ๆ ที่ไม่ซ้ำ ตามด้วยปลาและของหวานที่เหลือเชื่อ

 

Brasserie Les Halles  

city-break-nyc-ix-4

city-break-nyc-ix-2

Chocolate mousse. Courtesy, Brasserie Les Halles

ใครที่ชื่นชอบ Celebrity Chef ท้องถิ่นของนิวยอร์กที่เป็นนักเขียนและทำรายการTVเกี่ยวกับอาหารและการเดินทางที่ชื่อ Anthony Bourdain คงต้องมาที่ร้านของเขาที่นี่ Brasserie Les Halles มันเป็นแบบ Informal French Cuisine เหมือนกับ Brasserie ในปารีส แต่ที่นี่เปิดตั้งแต่เช้า 7:30am จนถึงเที่ยงคืน ขาย Breakfast, Brunch, Lunch และอาหารค่ำในแบบสบายๆ มีจานที่สร้างชื่อก็คือ Hamburger ที่มากับ Foie Gras Terrine และซอสเห็ด Truffle ที่นี่จานอาหารทะเลแบบในปารีสแล้วก็จานด่วนเวลาที่เข้ามาทานระหว่างมื้อ เช่น Quiche, Hanger Steak Salad หรือ Croque Monsieur พร้อมกับมีกาแฟพิเศษที่ใช้ Barista เป็นผู้เตรียมให้

 

โปรดติดตามตอนจบของ City Break NYC ได้ในตอนต่อไปที่ชื่อ Night Life In The Big Apple เป็นการท่องราตรีสั่งลามหานครที่ไม่เคยหลับใหล

Cava – สปาร์คกลิ้งไวน์ ทางเลือกที่ดี ราคาสบายกระเป๋า

ถึงช่วงเวลาแห่งการเฉลิมฉลองแล้ว ถึงแม้ว่าปีนี้อาจไม่ค่อยมีกะจิตกะใจอยากจะออกมาเฮฮาปาร์ตี้อะไรมากมายแต่อาจจะมีบางวันที่เราอยากฉลองเทศกาลปลายปีกันแบบเงียบๆ ส่วนตัวนิดนึง และหากไม่อยากลงทุนเปิดแชมเปิญขวดละหลายพันแต่อยากดื่มอะไรที่คล้ายๆ กันในราคาสบายกระเป๋า วันนี้จะขอแนะนำไวน์ตัวนึงที่อาจเป็นหนึ่งในทางเลือกนั้นได้

 

how-to-drink-sparkling-wine-1

how-to-drink-sparkling-wine-with-appetizer

คาว่า Cava เป็นสปาร์คกลิ้งไวน์สัญชาติสเปนที่ถือได้ว่ามีความใกล้เคียงแชมเปญเป็นอย่างมาก เพราะคาว่าผลิตด้วยกรรมวิธีที่เรียกว่า Traditional Method ซึ่งเป็นวิธีเดียวกับที่แชมเปญทำ นั่นก็คือการทำให้เกิดพรายฟองโดยการหมักตัวของยีสต์ครั้งที่สองในขวด ซึ่งการหมักตัวของยีสต์ครั้งที่สองนี่เองที่ทำให้ไวน์ในขวดนั้นมีฟอง เพราะยีสต์จะผลิตก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกมานั่นเอง โดยไม่ได้มีการอัดก๊าซเหมือนน้ำอัดลมแต่อย่างใด การทำให้เกิดฟองในไวน์มีหลายวิธี แต่วิธี Traditional Method นั้นถือว่าเป็นวิธีดั้งเดิม มีกระบวนการผลิตที่ซับซ้อน และทำให้เกิดรสชาติอันบ่งบอกถึงเอกลักษณ์และคุณภาพ  ซึ่งสมัยก่อนผู้ผลิตประเทศอื่นมักใช้คำว่า Champagne Method บนฉลาก แต่ปัจจุบันไม่อนุญาตให้ใช้คำนี้กันแล้ว เพราะชาว Champagne ได้จดลิขสิทธิ์การใช้ชื่อนี้ไปแล้วเรียบร้อย เราจึงเห็นคำว่า Traditional Method บนฉลากของไวน์ที่ไม่ได้มาจากแคว้นแชมเปญแต่ผลิตด้วยกรรมวิธีแบบนี้ รวมทั้งคาว่าด้วย

 

how-to-drink-sparkling-wine-with-salad

how-to-drink-sparkling-wine-with-appetizer-1

คาว่าส่วนใหญ่ผลิตที่แคว้นกาตาลุญญา ใกล้ๆ บาร์เซโลน่า ทำจากองุ่นสามพันธุ์ผสมกัน ได้แก่ Macabeo Parellada และ Xarel-lo ซึ่งเป็นองุ่นพื้นเมือง โดยคาว่าที่ในวันนี้เป็นของ Louis de Vernier มีสีทองอ่อนพรายฟองละเอียดเป็นสาย มีกลิ่นหอมของเลมอน แอปเปิ้ลเขียว และหอมขนมปังบริออชจางๆ เป็นคาว่าที่มีแอซิดิตี้ค่อนข้างสูง น้ำหนักเบา และแอลกอฮอล์ปานกลางจึงเหมาะสำหรับดื่มเป็น aperitif หรือเรียกน้ำย่อยก่อนอาหาร หรือจะดื่มกับ appetizer เบาๆ เช่น อาหารทะเลสดๆ และสลัดเบาๆ และที่สำคัญคือคาว่าตัวนี้มีระดับความหวานที่เรียกว่า Brut Nature ซึ่งแปลว่าไม่มีการใส่น้ำตาลลงไปเพิ่มเลย จึงน่าจะเหมาะกับสาวๆ ที่กำลังควมคุมน้ำหนัก เรียกได้ว่าดื่มได้ ไม่ต้องกลัวอ้วน

 

สามารถซื้อ Louis de Vernier Cava Brut Nature ได้ที่ www.passiondelivery.com

 

*** พิเศษสุดสำหรับแฟนๆ ของ The Editors Society เมื่อช้อปปิ้งผลิตภัณฑ์ของ Passion Delivery ผ่านทางเว็บไซด์ของ The Editors Society จะได้รับส่วนลด 200 บาทจากการสั่งซื้อของครั้งแรก เมื่อช้อปขั้นต่ำ 1,000 บาท เพียงใส่โค้ด PDEDITOR ในช่องลดราคาก่อนเช็คเอ้าท์จาก www.passiondelivery.com ***

 

เครดิตภาพ : 1, 2, 3, 4, 5, 6

6 วิธีสวยย้อนวัยให้ได้อย่าง Kate Hudson

เมื่อก่อนจะชอบมีให้โหวตดาราฮอลีวู้ดผู้หญิงคนไหนหุ่นเซ็กซี่แซ่บสุด แต่หลังๆ เริ่มแผ่วไป เพราะกระแสนักร้องนางแบบมาแรงเต็มหน้าฟีดเฟสบุ๊ก แล้วในที่สุดอดีตวัยรุ่นซุปตาร์ Kate Hudson ก็กลับมาทวงบัลลังก์คืน พร้อมใช้ความสวยย้อนวัยเข้าสู้อย่างเข้มแข็ง…แม้จะลูก 2 อายุ 37

 

kate-hudson-beauty-secret-3

kate-hudson-beauty-secret-2

kate-hudson-beauty-secret-14

kate-hudson-beauty-secret-10

คุณนายเคทเขียนหนังสือ ‘Pretty Happy: Healthy Way to Love Your Body’ ไม่เท่านั้น! เธอยังทยอยถ่ายแบบขึ้นปกนิตยสารอีกมากมาย เหมือนจะอวดๆ ยังไงไม่ทราบคะ และสองฉบับในจำนวนนั้นมีนิตยสาร Shapeและ Self ที่พร้อมให้ดูชัดเต็มตา …หุ่นนางเป๊ะอย่างนี้ เราคงทำใจนิ่งไม่ไหว ตามไปส่องข้อมูลการฟิตหุ่นครั้งนี้ของเธอกันดีกว่า ว่ากันว่าหุ่นจะดีได้ มันต้องอาศัย Attitude ที่ดีด้วยนะคะ

 

kate-hudson-beauty-secret-5

 

kate-hudson-beauty-secret-6

1.ไม่ต้องไปยึดติด มุ่งมั่นอยู่แต่กับการออกกำลังกายชนิดเดียว อย่างตัวเคทเองลองผิดลองถูกมาหลายอย่างมาก โยคะ พิลาทิส TRX คุณควรรู้สึกสนุกสนานไปกับการได้ออกกำลังกายสิ! สมมติถ้าเริ่มเบื่อโยคะ รู้สึกตั้งสมาธิไม่ไหวล่ะ ก็ลองเปลี่ยนไปหาอย่างอื่นที่ฝึกความแข็งแกร่งของกล้ามเนื้อ เช่น TRX

2.เขียนระบายอารมณ์ความรู้สึกของตัวเอง เพราะร่างกายกับใจต้องมีการสื่อสารถึงกัน บางทีเราก็สามารถตัดสินใจอะไรได้ตั้งเยอะแยะจากกองกระดาษพวกนั้นที่เราเขียนทิ้งขว้าง แต่พอได้กลับมาอ่านอีกที ว้าว! มันให้แรงบันดาลใจขึ้นมาได้เลย

3.อาหารชอบทำให้เรารู้สึกดี (หลังจากที่นำเข้าปากไปแล้ว) ดังนั้นควรรู้จักยั้งตัวเองไว้บ้าง หยุดคิดก่อนกินว่างั้นเถอะ

 

kate-hudson-beauty-secret-12

kate-hudson-beauty-secret-16

4.ในหนึ่งวัน ออกกำลังกายได้ตั้งหลายอย่าง แต่ที่สำคัญตัวเราเองต้องชอบด้วยนะ

5.การออกกำลังกายคือยารักษาโรคได้ แม้ว่าคุณกำลังรู้สึกเศร้า แต่พอลุกขึ้นมาลองขยับแขนขาก็รู้สึกดีขึ้นมาได้อย่างมหัศจรรย์

6.หัดเป็นคนเห็นแก่ตัว หมายถึงว่ารู้จักมีวินัยในการออกกำลังกาย สัญญากับตัวเองว่าทุกวันฉันจะออกกำลังกายเท่านั้นเท่านี้ ไม่ใช่ว่าพอมีงานหรือนัดเข้ามา คุณก็ลืมๆ มันไป สำคัญอยู่ที่การหาเวลาให้ได้

 

kate-hudson-beauty-secret-4

kate-hudson-beauty-secret-11

kate-hudson-beauty-secret-17

 

เครดิตภาพ : 1, 2, 3, 4, 5, 6, 7, 8, 9, 10, 11, 12 

Organic Wine – ปลอดภัยไร้สารตกค้าง

ทุกวันนี้อาหารที่เรารับประทานส่วนใหญ่มีสารเคมีตกค้างแทบทั้งสิ้น ผักผลไม้ที่เราคิดว่ามีประโยชน์แท้จริงแล้วหากไม่ระวังเราอาจรับยาฆ่าแมลงที่ตกค้างอยู่ได้ ไม่มากก็น้อย ทั้งนี้ทราบหรือไม่ว่าไวน์ก็หนีไม่พ้น เคยมีการศึกษาที่ประเทศฝรั่งเศสในปี 2009 และ 2010 พบว่ามีโมเลกุลสารเคมีทั้งจากยาฆ่าแมลงและยาฆ่าเชื้อราตกค้างในไวน์ถึงกว่า 50 โมเลกุลด้วยกัน ถึงแม้ว่าแต่ละโมเลกุลนั้นมีปริมาณที่ไม่มากและไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย แต่หากใครที่ดื่มไวน์ทุกวันๆ ก็อาจเสี่ยงต่อการมีสารเคมีสะสมในร่างกายได้

 

how-to-drink-organic-wine-3

how-to-drink-organic-wine-4

how-to-drink-organic-wine-6

ในการปลูกองุ่นนั้น ผู้ปลูกทั่วไปมีความจำเป็นต้องใช้สารเคมีเป็นจำนวนมาก เพราะองุ่นเป็นผลไม้ที่มีความเสี่ยงต่อศัตรูพืชและเชื้อราสูงพอสมควร แต่ปัจจุบันเริ่มมีผู้ผลิตหลายๆ เจ้าหันมาผลิตไวน์แบบออร์แกนิกและแบบไบโอไดนามิกกันมากขึ้น เพราะพวกเขาเชื่อว่าการใช้วิธีตามธรรมชาติในการปลูกพืช เมื่อสภาพแวดล้อมมีความอุดมสมบูรณ์ ดินสมบูรณ์ ต้นองุ่นย่อมแข็งแรงผลิตผลองุ่นที่มีคุณภาพตามไปด้วย

 

how-to-drink-organic-wine-2

จริงๆ บ้านเรามีไวน์ออร์แกนิกขายอยู่เยอะพอสมควร แต่บางทีก็ต้องศึกษากันเอาเองว่าผู้ผลิตคนไหนผลิตไวน์แบบออร์แกนิก เพราะเขามักไม่ระบุบนฉลาก สำหรับไวน์ที่อยากแนะนำในครั้งนี้ชื่อไวน์ Terre de Garance โดย Domaine Rouge Garance นี้เป็นไวน์ Côtes du Rhône จากลุ่มแม่น้ำ Rhône โดยผลิตที่เมือง Saint Hilaire d’Ozilhan ไม่ไกลจาก Pont du Gard จุดท่องเที่ยวอันเลื่องชื่อทางตอนใต้ของฝรั่งเศส เป็นไวน์ออร์แกนิกที่แน่นอนว่ามีการใช้สารเคมีน้อยที่สุด แม้กระทั่งยีสต์ที่ใช้ในการหมักไวน์ยังเป็นยีสต์ธรรมชาติที่พบได้บนผลองุ่น

 

how-to-drink-organic-wine-5

6004101_Figs_2014-0829_CL-Figs-180

how-to-drink-organic-wine-3-pasta

ไวน์ตัวนี้ทำจากองุ่นหลายพันธุ์ หลักๆ ก็มี Grenach Syrah และ Cinsault เป็นไวน์สีแดงทับทิมสด มีกลิ่นหอมของผลไม้แดงประเภท Red Currant และ Raspberry ทั้งยังมีบอดี้ปานกลางไม่หนักมาก กลมกล่อม ดื่มง่าย เหมาะที่จะทานคู่กับซี่โครงแกะย่าง หรือพาสต้า เช่น สปาเกตตี้โบลองเนส และชีสต่างๆ

 

หาซื้อ Terre de Garance ได้ที่ www.passiondelivery.com 

*** พิเศษสุดสำหรับแฟนๆ ของ The Editors Society เมื่อช้อปปิ้งผลิตภัณฑ์ของ Passion Delivery ผ่านทางเว็บไซด์ของ The Editors Society จะได้รับส่วนลด 200 บาทจากการสั่งซื้อของครั้งแรก เมื่อช้อปขั้นต่ำ 1,000 บาท เพียงใส่code PDEDITOR ในช่องลดราคาก่อนเช็คเอ้าท์จาก www.passiondelivery.com ***

 

เครดิตภาพ : 1, 2, 3, 4, 5, 6, 7, 8, 9

 

PANTONE ชี้เทรนด์สีของโลก ปีหน้า Greenery เขียวมาแรง เขียวไว้ก่อน ชนะ!

ดูจะเป็นธรรมเนียมปฏิบัติของทุกปีไปซะแล้ว ว่าช่วงใกล้ปลายปีอย่างนี้ทุกแวดวงคนทำงานจะต้องรู้กันชัดๆ ชัวร์ๆ ว่าปีหน้าสีอะไรจะมากันแน่ (ทั้งทีก่อนหน้านี้ก็มีข่าวออกมาบ้างช่วงแฟชั่นวีค แต่ตอนนั้นยังไม่ประกาศทางการ)

 

pantone-color-of-the-year-greenery-2

PANTONE ประกาศ Color of the Year 2017 Greenery (เฉด #15-0343) เป็นสีเขียวที่มีเฉดโทนเหลืองผสมอยู่ สีนี้ให้ความรู้สึกถึงธรรมชาติรอบๆ ตัว ความสบายตาสบายใจ รื่นรมย์ สดชื่น การออกไปทำกิจกรรมกลางแจ้ง ไปสัมผัสธรรมชาติอันเขียวขจี ตระหนักถึงสังคม สิ่งแวดล้อม

มาทำความรู้จัก PANTONE กันซักนิด PANTONE คืออะไร: PANTONE ที่คนในวางการพิมพ์จะรู้จักกันดี PANTONE เป็นบริษัทตั้งอยู่ในรัฐนิวเจอร์ซีย์ อเมริกา ทำธุรกิจเกี่ยวกับอุตสาหกรรมการพิมพ์ การผลิตสี ผสมสี สีผ้า สีพลาสติก เป็นผู้สร้างมาตรฐานการเทียบสี Pantone Matching System (PMS) ต่อมาในปี 2007 บริษัท X-Rite บริษัทผู้จัดจำหน่าย เครื่องมือวัดสี และซอฟต์แวร์ ได้ซื้อบริษัท มูลค่า 180 ล้านเหรียญ

กำเนิด PANTONE : เริ่มต้นจากการทำธุรกิจเกี่ยวกับการพิมพ์ของบริษัทโฆษณา  M & J Levine ในปี 1950 ในนิวยอร์ก และต่อมาในปี 1956 ผู้ก่อตั้ง, สองพี่น้องผู้บริหาร Mervin และ Jesse Levine ได้ว่าจ้างให้บัณฑิตจากมหาวิทยาลัย Hofstra University  ชื่อ Lawrence Herbert เพื่อทำงานพาร์ทไทม์ โดย Herbert ได้ใช้ความรู้ทางด้านเคมีของเขาในการจัดระบบ เพื่อลดความซับซ้อนของคลังสินค้าของบริษัทในการจัดเก็บผงสี, หมึกสี จนต่อมาในปี 1962 Herbert ทำงานในแผนกหมึก และการพิมพ์ ทำให้ได้กำไรมากขึ้น ในขณะที่แผนกจอแสดงผลนั้นขาดทุนกว่า 50,000 เหรียญ เขาจึงซื้อทรัพย์สิน เทคโนโลยีของบริษัท จากสองพี่น้อง Levine ในราคา 90,000 เหรียญ และเปลี่ยนชื่อเป็น “PANTONE” ในภายหลัง

 

pantone-color-of-the-year-greenery-3

สินค้าของบริษัทหลักๆ ก็จะเป็น Pantone Guide ซึ่งประกอบด้วยตัวเลขจำนวนมาก บนแผ่นกระดาษแข็งบางๆ (ขนาดประมาณ 6×2 นิ้ว หรือ 15×5 เซนติเมตร) พิมพ์ชุดสีที่เกี่ยวข้องกันบนด้านหนึ่ง และเชื่อมโยงกับ fan deck เพื่อเป็นตัวอย่างสี โดยในแต่ละหน้าอาจจะมีจำนวนสีเหลืองอ่อนที่แตกต่างกัน มาจนกระทั่งปัจจุบัน PANTONE กลายเป็นมาตรฐานสีที่มีคนใช้กันมากที่สุด ทั่วโลก เป็นเหมือนกับภาษาที่มีคนพูดมากที่สุด เอาไว้คุยสื่อการกันเมื่อต้องทำงานเกี่ยวกับสีระหว่างหลายๆ ฝ่าย ทั้งฝ่ายนักออกแบบ ลูกค้า โรงพิมพ์ ทุกๆ ฝ่ายต้องมั่นใจว่าสีที่ต้องการนั้นคือสีอะไร เป็นสีเดียวกัน เป็นสีที่ถูกต้องหรือไม่ ซึ่งต้องมีอะไรที่ใช้ในการอ้างอิง ซึ่งก็คือระบบสี PANTONE นั่นเอง (ขอบคุณข้อมูลจาก PANTONE)

 

การระบายสีเขียวเริ่มต้นขึ้นแล้วทั่วทุกวงการ :

pantone-color-of-the-year-greenery-4

pantone-color-of-the-year-greenery-6

งานดีไซน์ทุกรูปแบบ

 

pantone-color-of-the-year-greenery1

มองไปทางไหนก็เขียว ตั้งแต่รันเวย์มาถึงเรียลเวย์ (ภาพจาก : VOGUE)

 

pantone-color-of-the-year-greenery-13

Zara, H&M, Pantone, M&S

 

pantone-color-of-the-year-greenery-5

JP YIM/GETTY; CATWALKING/GETTY; ESTROP/GETTY

 

pantone-color-of-the-year-greenery-14

From left: Pucci, Balenciaga, Sies Marjan (Getty)

 

pantone-color-of-the-year-greenery-8

Greenery at Gucci Spring 2017; Image: Gucci

 

pantone-color-of-the-year-greenery-9

Greenery at Kenzo Spring 2017; Image: Kenzo
pantone-color-of-the-year-greenery-10

pantone-color-of-the-year-greenery-11

pantone-color-of-the-year-greenery-12

Butter London แบรนด์เครื่องสำอางชื่อดัง เวรี่อินจริงๆ ค่ะ ออกคอลเล็กชั่นพิเศษ PANTONE อ้างอิงสีทุกสีมาจากแผ่นแพนโทน แน่นอนว่าต้องมีสี Greenery อยู่ในนี้ด้วยสิคะ เป็นไฮไลต์ของเขาเลย คอลเล็กชั่นนี้จะมีทั้งยาทาเล็บ ราคา $10 และลิปกลอส ราคา $20 วางจำหน่ายที่ www.butterlondon.com

 

เครดิตภาพ : 1, 2, 3, 4, 5, 6, 7, 8, 9, 10, 11, 12, 13, 14

Chablis…ไวน์ดีที่ไม่ค่อยพลาด

*** พิเศษสุดสำหรับแฟนๆ ของ The Editors Society เมื่อช้อปปิ้งผลิตภัณฑ์ของ Passion Delivery ผ่านทางเว็บไซด์ของ The Editors Society จะได้รับส่วนลด 200 บาทจากการสั่งซื้อของครั้งแรก เมื่อช้อปขั้นต่ำ 1,000 บาท เพียงใส่code PDEDITOR ในช่องลดราคาก่อนเช็คเอ้าท์จาก www.passiondelivery.com ***

 

ปกติมักจะมีคนมาถามอยู่เสมอว่าจะดื่มไวน์อะไรดี ให้ช่วยแนะนำไวน์ให้หน่อย ส่วนใหญ่แล้วมีไวน์อยู่ตัวหนึ่งที่จะแนะนำบ่อยมาก(เพราะเป็นหนึ่งในไวน์โปรดของผู้เขียน) แนะนำทุกครั้งไม่มีพลาด ไวน์ตัวนั้นคือ Chablis

 

how-to-drink-chablis-wine-2

chardonnay-1

chardonnay-2

Chablis เป็นไวน์ขาวที่มาจากแคว้นเบอร์กันดี ทำจากองุ่นพันธุ์ชาร์ดอนเนย์ซึ่งเป็นองุ่นฮอตฮิตสุดคลาสสิค เป็นที่โปรดปรานของคนทุกเพศทุกวัย น่าจะเพราะชาร์ดอนเนย์นั้นตามธรรมชาติของมันจะมีรสชาติกลางๆ จึงสามารถนำมาผลิตเป็นไวน์แบบไหนก็ได้ เลยเป็นที่นิยมปลูกอย่างกว้างขวาง โดยทำได้ทั้งไวน์แบบเบาๆ ดื่มแล้วสดชื่น ไปจนถึงไวน์เข้มข้นหนักแน่นกลิ่นโอ๊ค เปรียบได้กับไอศครีมวานิลาที่รสชาติกลางๆ คลาสสิคจะทานกับอะไรก็ได้ จะราดสตรอเบอรี่ ราดช็อคโกแลต หรือราดซอสคาราเมล ไอศครีมวานิลาก็รับได้หมด

ด้วยความที่ Chablis อยู่ตอนเหนือสุดของแคว้นซึ่งมีอากาศค่อนข้างหนาว เพราะฉะนั้นไวน์ Chablis จึงมีบอดี้ที่ไม่หนักหน่วงซะเท่าไหร่ และมีกลิ่นหอมของแอปเปิ้ลเขียว ลูกแพร์ และพวกผลไม้รสเปรี้ยวต่างๆ และที่สำคัญไวน์จาก Chablis มักมีกลิ่นของแร่ธาตุ (Mineral) อันเป็นเอกลักษณ์ที่ทำให้ Chablis เป็นไวน์ที่มีเสน่ห์ไม่เหมือนใคร

white wine

Chablis เป็นไวน์ที่มีทั้งระดับทั่วไปและระดับ Premier Cru และ Grand Cru แต่วันนี้ขอแนะนำไวน์ระดับทั่วไปก่อน เพราะจะดื่มง่ายกว่า โดยขอแนะนำไวน์จากผู้ผลิตที่ชื่อ Joseph Faiveley ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ผลิตที่ใหญ่ที่สุด และดีที่สุดของเบอร์กันดีเลยก็ว่าได้ โดย Chablis ตัวนี้เป็นไวน์ที่เข้าถึงง่าย โดยเฉพาะปี 2014 ถือว่าเป็นปีที่ดีของ Chablis เพราะอากาศดี แดดเยอะ จึงทำให้องุ่นสุกกำลังดี (เนื่องจาก Chablis อยู่ค่อนข้างไปทางเหนือ บางปีองุ่นจะไม่ค่อยสุก) เมื่อองุ่นสุกคุณภาพดีก็จะส่งผลให้ไวน์มีความเข้มข้น และมีกลิ่นหอมของผลไม้สุกมากขึ้น เช่นแทนที่จะเป็นกลิ่นแอปเปิ้ลเขียว ไวน์ตัวนี้มีกลิ่นของแอปเปิ้ลสีเหลือง และAcidity จะไม่บาดแหลม

 

how-to-drink-chablis-wine-4

Chablis เป็นไวน์ที่เข้ากับอาหารหลากหลาย ด้วยความที่มี Acidity ค่อนข้างสูง อาหารจานแรกที่นึงถึงเลยคือหอยนางรมสด เวลาทานก็บีบมะนาวให้น้อยหน่อยอาศัยความเปรี้ยวของไวน์แทน หรือจะเป็นอาหารทะเลต่างๆ ว่ามาเลย Chablis เอาอยู่  ส่วนอาหารไทยก็เหมาะไม่แพ้กัน พวกยำต่างๆ หรือจะทานกับซูชิก็ได้ไม่ผิดอะไร

 

เพราะฉะนั้น…นึกอะไรไม่ออก เลือก Chablis

หาซื้อ Chablis ได้ที่ www.passiondelivery.com

 

เครดิตภาพ : 1, 2, 3, 4, 5, 6, 7, 8

Beaujolais – ไวน์ดีที่คนมองข้าม

Beaujolais ไวน์ที่หลายๆคนอาจไม่ค่อยคุ้นเคย หรือถ้ารู้จักก็มักมองข้าม อาจจะด้วยภาพลักษณ์ที่ดูเป็นไวน์ฟรุ๊ตตี้ๆ เบาๆ เลยมักไม่เป็นที่นิยมในหมู่นักดื่มไวน์ที่ออกแนวซีเรียสนิดนึง แต่จริงๆแล้ว Beaujolais มีอะไรมากกว่านั้น

 

beaujolais

how-to-drink-beaujolais-5

Beaujolais เป็นเขตผลิตไวน์ที่อยู่ทางใต้ของแคว้นเบอร์กันดีอันเลื่องชื่อ ผลิตไวน์แดงจากองุ่นพันธุ์ Gamay ซึ่งเป็นองุ่นที่เมื่อทำเป็นไวน์แล้วจะมีรสชาติและกลิ่นของผลไม้แดงจำพวก เบอร์รี่ เชอรี่และสตรอเบอรี่ และด้วยความที่ไวน์มักมีแทนนินค่อนข้างต่ำ จึงเป็นไวน์ที่ดื่มง่ายไม่ต้องเก็บนาน ไวน์ Beaujolais มีสามระดับ ไล่ไปตั้งแต่ระดับล่างสุด หรือ Beaujolais AOC ทั่วๆไป ไวน์ระดับนี้ไม่ค่อยมีอะไรน่าสนใจมาก เบาๆ ดื่มง่ายๆ ออกเปรี้ยวนำ ถัดมาดีขึ้นมาหน่อยจะเป็น Beaujolais Villages ซึ่งไวน์ระดับนี้จะมีความเข้มขึ้นมาทั้งสีและรสชาติ ส่วนระดับสูงสุดซึ่งเป็นระดับของไวน์ที่จะแนะนำในวันนี้เรียกว่าระดับ Beaujolais Crus ซึ่งมีทั้งหมด 10 Crus ( ไร่องุ่น) โดยไวน์ระดับนี้ถึงแม้ว่าจะยังคงมีความฟรุตตี้อยู่แต่ในขณะเดียวกันก็ยังมีความซับซ้อน เข้มข้น หรูหรา โดย Beaujolais Cru นี้ บางตัวสามารถเก็บได้นานถึง 10 ปี และเมื่อถึงวันนั้นบางตัวยังอาจมีลักษณะคล้ายคลึงกับไวน์เบอร์กันดีพี่ใหญ่ทางตอนเหนือเลยทีเดียว (แต่ราคาสบายกระเป๋ากว่ามาก)

 

chateau-de-la-chaize

how-to-drink-beaujolais-2

ไวน์ที่อยากแนะนำวันนี้เป็นไวน์ Beaujolais ของ Chateau de La Chaize ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ผลิตที่ใหญ่ที่สุด เก่าแก่และมีชื่อเสียงที่สุดของดินแดนนี้ โดยมาจาก Cru ที่ชื่อ Brouilly โดยเป็น Cru ที่ใหญ่ที่สุดและเป็นหนึ่งใน Cru ที่มีชื่อเสียงของ Beaujolaisไวน์สีแดงเข้มตัวนี้มีกลิ่นหอมของแยมสตรอเบอรี่ แครนเบอรี่ และเชอรี่ อันเป็นเอกลักษณ์ รสชาติมีความนุ่มละมุน กลมกล่อม ไม่เปรี้ยวเกินไป และแทนนินกำลังดีไม่น้อยจนไร้น้ำหนัก นับว่าเป็น Beaujolais ที่มีความสง่างามไม่ใช่เล่นๆ

 

how-to-drink-beaujolais-7

how-to-drink-beaujolais-3

ส่วนใหญ่แล้วคนมักนิยมทาน Beaujolais กับอาหารง่ายๆ เช่นกับพวกชีส และ Cold Cuts ต่างๆ ทั้งปาเต้ และเทอรีน แต่เนื่องจาก Chateau de La Chaize ตัวนี้ค่อนข้างออกแนวซีเรียสจึงสามารถทานได้กับไก่ หมู เป็ด หรือจะเป็นเนื้อวัวย่างเบาๆ ก็ยังได้ และที่สำคัญ Beaujolais เป็นไวน์แดงเพียงไม่กี่ตัวที่สามารถทานแบบแช่เย็นเล็กน้อยได้ จึงน่าจะเหมาะกับอากาศบ้านเราเป็นที่สุด

 

หาซื้อ Chateau de La Chaize ได้ที่ www.passiondelivery.com 

 

เครดิตภาพ : 1, 2, 3, 4, 5, 6, 7, 8