“.. เพราะมันเคยมีประโยคภาษาละตินในยุคกลางที่เขียนว่า “sifuerisRōmae, Rōmānōvīvitōmōre; sifuerisalibī, vīvitōsīcutibī หรือแปลเป็นภาษาอังกฤษง่ายๆ ว่า “ When in Rome, do as the Romans do”…
ถ้าจะพูดถึงเมืองที่ทำให้เราตกหลุมรักแบบไม่ยาก ถึงแม้คุณจะเป็นคนเรื่องมากก็อาจตกหลุมรักไปแบบไม่รู้ตัวนั้น มันคงต้องเป็นเมืองที่มีเสน่ห์ไม่เบา อาจไม่สวยเพอร์เฟคแต่เสน่ห์มันต้องเร้าใจแน่ๆ ใช่แล้วครับผมกำลังพาคุณไปเที่ยวกรุงโรมา หรือ กรุงโรมในภาษาอังกฤษ มีฉายาว่า“The Eternal City” หรือ “อมตะนคร” ต้นกำเนิดอารยะธรรมของโลกตะวันตก ในทุกด้านทุกแขนงของโลกปัจจุบันไม่ว่าจะเป็นศาสตร์สาขาไหน ศิลปกรรม, สถาปัตยกรรม, วิศวกรรม, รัฐศาสตร์การเมืองการปกครอง รวมถึงวัฒนธรรมการกินการดื่มที่ตกทอดกันต่อมาถึงทุกวันนี้ เมืองนี้มีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมายที่สุดเมืองหนึ่งของโลกเพราะมันมีอายุกว่า 2000 ปี และมีความยิ่งใหญ่ที่สุดดังมีคำเปรียบเปรยความยิ่งใหญ่ที่ว่า “ถนนทุกสายนั้นมุ่งสู่กรุงโรม”
หลายๆ คนคิดว่าเรารู้จักกรุงโรมดีเพราะเคยไปเที่ยวมาแล้ว แต่จริงๆ อาจมีอีกหลายอย่างหลายแง่หลากมุมที่เรายังไม่ได้สัมผัส ลองมาดูกันครับว่าถ้าเราได้มีโอกาสได้มาใช้เวลาแบบเบรกสั้นๆซัก 4-5 วันในโรม เราจะมีอะไรทำหรือควรต้องทำบ้างหรือควรทำอะไรแบบที่คนโรมันทำบ้าง…เพราะมันเคยมีประโยคภาษาละตินในยุคกลางที่เขียนว่า “ sifuerisRōmae, Rōmānōvīvitōmōre; sifuerisalibī, vīvitōsīcutibī หรือแปลเป็นภาษาอังกฤษง่ายๆว่า “ When in Rome, do as the Romans do” หมายถึงการที่เราเป็นแขกไปเยี่ยมใครที่ไหนนั้น มันเป็นความสุภาพ และเป็นการให้เกียรติเจ้าภาพหรือเจ้าบ้าน หากเราจะทำตามขนบธรรมเนียมของเขา ซึ่งเขาก็มักจะให้เกียรติเราเป็นการตอบแทน…
เบรกพักในโรม (เลือกย่านโรงแรมที่พัก)
การมาอยู่ในเมืองใหญ่ที่ไหนๆ ก็ควรมีการวางแผนก่อนว่าเราควรจะพักย่านไหนดี มันสะดวกกับการเดินทางไปไหนมาไหนของเราใน 4-5 วันนี้หรือไม่ เราจึงควรทำการบ้านเรื่องย่านที่พักให้ดี ซึ่งผมก็ได้ช่วยทำการบ้านมาให้แล้วสำหรับเมืองนี้
ย้อนประวัติศาสตร์กลับไปกว่า 3000 ปี หรือประมาณ 800 ปีก่อนคริสตกาล มีตำนานเรื่องนางหมาป่าที่มาแวะดื่มน้ำที่ฝั่งแม่น้ำไตเบอร์ ณ จุดที่ตั้งโรมในปัจจุบัน แต่เมื่อก่อนมันก็คือป่าที่มีเนินเขาอยู่รายรอบบริเวณถึง 7 ลูก (ซึ่งต่อมามีชื่อเรียกตามที่ปรากฏข้างล่างนี้) ในวันนั้นนางหมาป่าได้พบเด็กฝาแฝดแบเบาะ 2 คนลอยน้ำมาเกยตื้นอยู่จึงนำมาเลี้ยง และตั้งชื่อว่า Romulus กับ Remus แต่ทั้งสองโตขึ้นมาก็ไม่มีใครยอมใครแม้เป็นพี่น้องกัน เพราะเก่งกล้าทั้งคู่ เช่นมีการถกเถียงกันว่าควรจะสร้างเมืองบนเนินเขาลูกไหนดี Romulus ว่าควรเป็นเขา Palatineแต่ Remus บอกต้องเป็นเขา Aventine ทำให้ในที่สุดก็ทะเลาะกันแล้วน้องก็แพ้พี่ไป โดนผู้ที่สนับสนุนตัวพี่ Romulus ให้ขึ้นครองราชย์จัดการสังหารผู้น้อง Remus ไป ต่อมาก็เลยตั้งชื่อเมืองที่อยู่บนเขา Palentine ตามชื่อตัวเองว่า Rome…
The Seven Hills of Rome (ในวงเล็บเป็นภาษาละติน ตามด้วยภาษาอิตาเลียน)
• Aventine Hill (Latin, Aventinus; Italian, Aventino)
• Caelian Hill (Cælius, Celio)
• Capitoline Hill (Capitolinus, Campidoglio)
• Esquiline Hill (Esquilinus, Esquilino)
• Palatine Hill (Palatinus, Palatino)
• Quirinal Hill (Quirinalis, Quirinale)
• Viminal Hill (Viminalis, Viminale)
แต่ผมไม่ได้จะแนะนำให้คุณหาโรงแรมที่พักบนเขาแต่ละลูกเหล่านี้ เพราะจริงๆ แล้วในวันนี้เราแทบจะไม่เห็นเนินเขาเล่านี้ในโรม เนื่องจากมันแค่เป็นเนินเขาเตี้ยๆ และการสร้างเมืองในยุคต่างๆ ก็สร้างซ้อนๆ ทับกันมาแบบขนมชั้นคือมีการถมสูงขึ้นไปเรื่อยจนเนินเขาไม่มีความเด่นชัด นี่เป็นสาเหตุหนึ่งที่รถไฟใต้ดินในโรมมีไม่กี่สถานี และเส้นทางก็ไม่ครอบคลุมนัก เพราะการขุดแต่ละแห่งแต่ละครั้งจะเจอแต่โบราณสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ ทำให้ขุดไปไม่ถึงไหนเพราะโบราณสถาน/วัตถุ มันสำคัญกว่ารถไฟใต้ดิน ขอกลับมาเรื่องย่านที่พักที่แนะนำดีกว่าเอาเป็นว่าผมมีให้เลือก 4 แบบนี้
1.หากต้องการจุดศูนย์กลางของทุกอย่างที่มีความคึกคักหรือหรูฟู่ฟ่า ควรหาที่พักในย่าน Tridente ตริเดนเต้, Trevi เตรวี่ หรือ Borghese โบร์กีสเซ่
รูปย่าน Tridente (Pic.Credit:http://www.approachableworld.com/)
ย่านเหล่านี้น่าจะเป็นทางเลือกที่สมบรูณ์แบบสำหรับผู้ที่ชื่นชอบการช้อปปิ้งและความเท่เก๋เลิศของโรม มีถนนสายหลักอย่าง via del Corso ซึ่งเป็นถนนเก่าแก่ที่สุดของโรม (คล้ายถนนเจริญกรุงของกรุงเทพฯ) ทีมีอายุกว่า 2000 ปีวิ่งตรงมาจากจัตุรัส Popolo ซึ่งหมายถึง People’s Square (หมายเลข 3 ในรูป)จริงๆ แล้วจะเห็นว่ามีถนนหลักเก่าแก่วิ่งเป็นเส้นตรงจากจตุรัสนี้นอกจาก via del Corso ก็มี via del Babuino (วิ่งจากจัตุรัสโปโปโล่สู่บันไดสเปน) และvia di Rripetta (วิ่งจากจัตุรัสมาฝั่งแม่น้ำไตเบอร์หมายเลข 4 ในรูปแล้วสามารถข้ามสะพานไปเที่ยว กรุงวาติกัน ที่อยู่ตามลูกศรหมายเลข 6 ได้)
คำอธิบายภาพด้านบน: จัตตุรัส Popolo หรือ People’s square ที่มีเสา obelisk ของกษัตรย์ Ramesses II แห่งอียิปต์ ถูกยึดมาโดยคำสั่งของ Augustus จักรพรรดิโรมันที่ขยายอาณาเขตไปถึงอียิปต์ แต่ตอนนำมาทีแรกจะถูกนำไปตั้งที่สนามแข่งรถเทียมม้า (แบบหนังเรื่องBenHur) ที่circus Maximus ส่วนด้านหลังของภาพจะเห็นวิหารฝาแฝด “twin” churches คือวิหาร Santa Maria in Montesanto (ซ้าย สร้างเมื่อปี1662-75) และ Santa Maria deiMiracoli (ขวา,สร้างเมื่อปี1675-79) จะเห็นทางเข้าถนน Via del Corso ที่อยู่ระหว่างวิหารทั้งสองส่วนถนนด้านซ้ายจะเป็น via del Babuino ตรงไปย่านบันไดสเปนและถนนด้านขวาคือถนน via di Rripetta ที่นี่จะมีส่วนคล้ายหรือถือเป็นต้นแบบของจัตุรัสคองคอร์ดในกรุงปารีส ทีมีเสาโอเบรีสค์ที่นำมาโดยนโปเลียนจักรพรรดิที่นิยมวิธีการแบบจักรพรรดิโรมันไม่ว่าจะวิธีการรบหรือการสร้างประตูชัยหรือการสวมมงกุฎใบมะกอกเมื่อได้รับชัยชนะ ที่เหมือนมากอีกเรื่องคือจัตุรัส Popoloก็เคยเป็นลานประหาร มาก่อนแนวเดียวกับจัตุรัสคองคอร์ดที่เคยใช้ประหารชีวิตนักโทษการเมืองรวมทั้งกษัตริย์หลุยส์ที่16 มาแล้วในช่วงปฎิวัติฝรั่งเศส
ส่วนบรรดาร้าน High end fashion designers ก็จะอยู่แถวถนน,Via Condotti (หมายเลข 8 ในรูป) อย่าลืมแวะดื่มกาแฟที่ร้าน Caffe Greco ซึ่งคือร้านกาแฟที่เก่าแก่ที่สุดของโรม(หมายเลข 7 ในรูป) และจัตุรัสสปาญญ่าหรือย่านบันไดสเปน piazza di spagna (หมายเลข 2 ในรูป) ที่เดินเพลินได้ทั้งวันแม้แต่ไม่ชอบช้อปก็มีมุมสวยๆ ให้ถ่ายรูปเยอะนอกจากการถ่ายแบบ street photographer คือถ่ายอากัปกริยาของคนที่มาเดินแถวนี้
จากย่านตริเดนเต้ลงใต้มาหน่อยก็เป็นย่านเตรวี่เดินไม่ไกลนักที่นี่มีน้ำพุเตรวี่ และมีจัตุรัส(Piazza) ดังๆ อยู่อีกหลายแห่ง เช่น piazza Colonna ที่มีอนุสาวรีย์ของจักรพรรดิโรมันที่เฉลียวฉลาดที่สุดพระองค์หนึ่งที่ชื่อ Marcus Aurelius สร้างมาคั้งแต่ ค.ศ. 180 เพื่อเฉลิมฉลองชัยชนะในศึกครั้งสำคัญ หรือแถวใกล้ๆ กับวิหารโรมันพันปีอย่างวิหารปานเตออน Pantheon ก็มีจัตุรัสโนวาน่า piazza Novana ซึ่งเป็นจัตุรัสที่สวยที่สุดของโรมและเต็มไปด้วยร้านอาหารร้านกาแฟที่มีความคึกคักทั้งกลางวันกลางคืน และหากชอบบรรยากาศแบบตลาดกลางแจ้งก็เดินต่อไปหน่อยที่ Piazza Campo de’ Fiori
คำอธิบายภาพด้านบน: จัตุรัสนาโวนา ที่สร้างขึ้น ณ จุดที่เคยเป็นสนามกีฬาที่จักรพรรดิ Titus Flavius Domitianus สร้างเป็นของขวัญประชากรโรมในปี ค.ศ. 80 ใช้แข่งกีฬาแบบกรีซ คือใช้แข่งประสิทธิภาพของนักกีฬาคนล้วนไม่แข่งรถเทียมม้าแบบ circus maximus แต่สนามกีฬาที่นี่ไม่แข็งแรงนักจึงพังไปเลย ทำให้ลานนี้กลายเป็นตลาดกลางเมืองอยู่นานก่อนตลาดจะถูกย้ายไปอยู่ที่ Piazza Campo de’ Fioriจุดเด่นของที่นีคือน้ำพุทั้ง 3 แห่งโดยเฉพาะตรงกลางชื่อน้ำพุแห่งแม่น้ำทั้ง 4 (Fontana dei Quattro Fiumiเสร็จในปี1651) ที่เป็นฝีมือของแบร์ดินี่ (Gian Lorenzo Bernini) ปรมาจารย์ด้านการแกะสลักหินอ่อนในยุคเรเนซองส์
ส่วนผู้ที่ต้องการอยู่ใกล้กับปอดของเมืองโรมติดสวนสาธารณะก็ต้องย่านสวนโบกีสเซ่ Borghese (หมายเลข 5 ในรูป) ย่านนี้มีบุกคลิกเคร่งขรึมและเรียบหรู เพราะย่านนี้เปรียบเสมือนย่าน Central Park ในนิวยอร์กนั่นเอง
ที่นี่มีวิลล่าชื่อเดียวกันคือ Villa Borghese ที่น่าเข้าไปชม และต้องบอกว่าวิวโรมจากสวนโบกีสเซ่นั้นจะสวยมากเพราะสวนจะอยู่บนเนินเขาหากไปจากบันไดสเปนก็ต้องปีนขึ้นไปสุดเลยครับแล้วเลี้ยวซ้ายไปก็จะเข้าเขตสวนโบกีสเซ่
วิวกรุงโรมจากโรงแรม Sofitel Villa Borghese
2.หากต้องการความประหยัดเรียบง่าย ควรหาที่พักในย่าน Esquilino เอสกีลิโน, Celio เซลิโอ หรือ San Lorenzo ซานลอเรนโซ
สำหรับท่านที่มองหาที่พักราคาประหยัดหน่อย ไม่ว่าจะsearchโรงแรมแบบประหยัดชื่ออะไรมาก็มักจะตั้งอยู่ย่านเหล่านี้ มันอยู่ใกล้สถานีรถไฟหลักของโรมที่ชื่อ แตร์มินี่ (Termini Railway Station) และก็สะดวกเรื่องเดินทางเพราะมีรถไฟใต้ดินไปในจุดที่คุณต้องการได้ไม่ยาก ผมยังจำได้ว่าการมาโรมครั้งแรกของผมสมัยยังเรียนอยู่นั้นก็มาถึงโดยทางรถไฟ โดยตอนนั้นมาจากฝรั่งเศสแวะเที่ยวฟลอเรนซ์และเซียน่าก่อนมาถึงโรม โรงแรมที่พักตอนนั้นชื่อ พาลาติโน อยู่ไม่ไกลจากสถานีรถไฟนัก
ภาพด้านบนคือ ย่าน Esquilino
3.หากต้องการย่านที่มีความความโรแมนติกแต่ไม่พลุกพล่าน
ควรหาที่พักในย่าน Trastevere ตราส์เตเวเร่ หรือ Gianicolo จานนิโคโล่
ย่านนี้อยู่บนฝั่งขวาของแม่น้ำไตเบอร์ Tiber คนละฝั่งกับย่านนักท่องเที่ยวที่เป็นไปด้วยความพลุกพล่าน ที่นี่เป็นย่านที่มีทิวทัศน์สวยงามโรแมนติก มีบรรยากาศแบบเรียบง่ายสบายไม่เร่งรีบแบบไม่เหมือนเมืองใหญ่ถือเป็นย่านunseenของโรมที่น่าสำรวจอีกแห่งหนึ่ง
จัตุรัส Piazza Santa Maria ในย่าน Trastevere
การหาร้านอาหารกินหรือร้านกาแฟดีๆ ในย่าน Trastevere ไม่ใช่เรื่องยาก
วิวกลางคืนของโรมถ่ายจากเนินเขาแถบย่านจีอานนิโกโล Gianicolo
4.หากท่านชอบโบราณสถาน เห็นซากปรักหักพังแบบ Roman ruin แล้วถึงกับอ้าปากค้าง ควรเลือกอยู่ย่าน Monti
ที่นี่สงบเพราะเป็นย่านที่อยู่อาศัยของชาวโรมันจริงๆ ที่อยู่กันมาตั้งแต่โบราณร้านค้าแบบ family-run รวมทั้งร้านอาหารที่เจ้าของทำเอง ที่นี่อยู่ใกล้สนามกีฬาโรมันที่ยิ่งใหญ่คือคลอลอสเซี่ยม และมีสถานีรถไฟใต้ดินที่จะไปส่วนอื่นๆ ของโรมไม่ยากแล้วยังไม่ไกลจากสถานที่โบราณล้ำค่า เช่น Michelangelo’s Moses, Trajan’s Forum, the Roman Forum, St. Mary Major Basilica, Nero’s DomusAurea
ภาพด้านบนคือ: คอลอสเซี่ยม Colosseum หรือมีอีกชื่อว่า Flavian Amphitheatre มันคือสิ่งมหัศจรรย์ของโลกเก่าที่ผ่านร้อนหนาวมากว่า 2000 ฤดูโดยไม่ได้บุบสลายแบบที่ควรจะเป็น มันเป็นamphitheatreที่ใหญ่ที่สุดที่เคยสร้างมาตั้งแต่ค.ศ. 72-80
นั่นแหละครับค้นหาโรงแรมในแบบที่ท่านชอบในย่านเหล่านี้ และคราวหน้าเราจะไปเที่ยวโรมกัน โปรดติดตามนะครับใน City Break Rome Part II