City Break Rome Part I

“.. เพราะมันเคยมีประโยคภาษาละตินในยุคกลางที่เขียนว่า “sifuerisRōmae, Rōmānōvīvitōmōre; sifuerisalibī, vīvitōsīcutibī หรือแปลเป็นภาษาอังกฤษง่ายๆ ว่า “ When in Rome, do as the Romans do”…

ถ้าจะพูดถึงเมืองที่ทำให้เราตกหลุมรักแบบไม่ยาก ถึงแม้คุณจะเป็นคนเรื่องมากก็อาจตกหลุมรักไปแบบไม่รู้ตัวนั้น มันคงต้องเป็นเมืองที่มีเสน่ห์ไม่เบา อาจไม่สวยเพอร์เฟคแต่เสน่ห์มันต้องเร้าใจแน่ๆ ใช่แล้วครับผมกำลังพาคุณไปเที่ยวกรุงโรมา หรือ กรุงโรมในภาษาอังกฤษ มีฉายาว่า“The Eternal City” หรือ “อมตะนคร” ต้นกำเนิดอารยะธรรมของโลกตะวันตก ในทุกด้านทุกแขนงของโลกปัจจุบันไม่ว่าจะเป็นศาสตร์สาขาไหน ศิลปกรรม, สถาปัตยกรรม, วิศวกรรม, รัฐศาสตร์การเมืองการปกครอง รวมถึงวัฒนธรรมการกินการดื่มที่ตกทอดกันต่อมาถึงทุกวันนี้ เมืองนี้มีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมายที่สุดเมืองหนึ่งของโลกเพราะมันมีอายุกว่า 2000 ปี และมีความยิ่งใหญ่ที่สุดดังมีคำเปรียบเปรยความยิ่งใหญ่ที่ว่า “ถนนทุกสายนั้นมุ่งสู่กรุงโรม”

หลายๆ คนคิดว่าเรารู้จักกรุงโรมดีเพราะเคยไปเที่ยวมาแล้ว แต่จริงๆ อาจมีอีกหลายอย่างหลายแง่หลากมุมที่เรายังไม่ได้สัมผัส ลองมาดูกันครับว่าถ้าเราได้มีโอกาสได้มาใช้เวลาแบบเบรกสั้นๆซัก 4-5 วันในโรม เราจะมีอะไรทำหรือควรต้องทำบ้างหรือควรทำอะไรแบบที่คนโรมันทำบ้าง…เพราะมันเคยมีประโยคภาษาละตินในยุคกลางที่เขียนว่า “ sifuerisRōmae, Rōmānōvīvitōmōre; sifuerisalibī, vīvitōsīcutibī หรือแปลเป็นภาษาอังกฤษง่ายๆว่า “ When in Rome, do as the Romans do” หมายถึงการที่เราเป็นแขกไปเยี่ยมใครที่ไหนนั้น มันเป็นความสุภาพ และเป็นการให้เกียรติเจ้าภาพหรือเจ้าบ้าน หากเราจะทำตามขนบธรรมเนียมของเขา ซึ่งเขาก็มักจะให้เกียรติเราเป็นการตอบแทน…

เบรกพักในโรม (เลือกย่านโรงแรมที่พัก)
การมาอยู่ในเมืองใหญ่ที่ไหนๆ ก็ควรมีการวางแผนก่อนว่าเราควรจะพักย่านไหนดี มันสะดวกกับการเดินทางไปไหนมาไหนของเราใน 4-5 วันนี้หรือไม่ เราจึงควรทำการบ้านเรื่องย่านที่พักให้ดี ซึ่งผมก็ได้ช่วยทำการบ้านมาให้แล้วสำหรับเมืองนี้
ย้อนประวัติศาสตร์กลับไปกว่า 3000 ปี หรือประมาณ 800 ปีก่อนคริสตกาล มีตำนานเรื่องนางหมาป่าที่มาแวะดื่มน้ำที่ฝั่งแม่น้ำไตเบอร์ ณ จุดที่ตั้งโรมในปัจจุบัน แต่เมื่อก่อนมันก็คือป่าที่มีเนินเขาอยู่รายรอบบริเวณถึง 7 ลูก (ซึ่งต่อมามีชื่อเรียกตามที่ปรากฏข้างล่างนี้) ในวันนั้นนางหมาป่าได้พบเด็กฝาแฝดแบเบาะ 2 คนลอยน้ำมาเกยตื้นอยู่จึงนำมาเลี้ยง และตั้งชื่อว่า Romulus กับ Remus แต่ทั้งสองโตขึ้นมาก็ไม่มีใครยอมใครแม้เป็นพี่น้องกัน เพราะเก่งกล้าทั้งคู่ เช่นมีการถกเถียงกันว่าควรจะสร้างเมืองบนเนินเขาลูกไหนดี Romulus ว่าควรเป็นเขา Palatineแต่ Remus บอกต้องเป็นเขา Aventine ทำให้ในที่สุดก็ทะเลาะกันแล้วน้องก็แพ้พี่ไป โดนผู้ที่สนับสนุนตัวพี่ Romulus ให้ขึ้นครองราชย์จัดการสังหารผู้น้อง Remus ไป ต่อมาก็เลยตั้งชื่อเมืองที่อยู่บนเขา Palentine ตามชื่อตัวเองว่า Rome…

 

City Break ROME Part I 3

The Seven Hills of Rome (ในวงเล็บเป็นภาษาละติน ตามด้วยภาษาอิตาเลียน)
• Aventine Hill (Latin, Aventinus; Italian, Aventino)
• Caelian Hill (Cælius, Celio)
• Capitoline Hill (Capitolinus, Campidoglio)
• Esquiline Hill (Esquilinus, Esquilino)
• Palatine Hill (Palatinus, Palatino)
• Quirinal Hill (Quirinalis, Quirinale)
• Viminal Hill (Viminalis, Viminale)

แต่ผมไม่ได้จะแนะนำให้คุณหาโรงแรมที่พักบนเขาแต่ละลูกเหล่านี้ เพราะจริงๆ แล้วในวันนี้เราแทบจะไม่เห็นเนินเขาเล่านี้ในโรม เนื่องจากมันแค่เป็นเนินเขาเตี้ยๆ และการสร้างเมืองในยุคต่างๆ ก็สร้างซ้อนๆ ทับกันมาแบบขนมชั้นคือมีการถมสูงขึ้นไปเรื่อยจนเนินเขาไม่มีความเด่นชัด นี่เป็นสาเหตุหนึ่งที่รถไฟใต้ดินในโรมมีไม่กี่สถานี และเส้นทางก็ไม่ครอบคลุมนัก เพราะการขุดแต่ละแห่งแต่ละครั้งจะเจอแต่โบราณสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ ทำให้ขุดไปไม่ถึงไหนเพราะโบราณสถาน/วัตถุ มันสำคัญกว่ารถไฟใต้ดิน ขอกลับมาเรื่องย่านที่พักที่แนะนำดีกว่าเอาเป็นว่าผมมีให้เลือก 4 แบบนี้

 

1.หากต้องการจุดศูนย์กลางของทุกอย่างที่มีความคึกคักหรือหรูฟู่ฟ่า ควรหาที่พักในย่าน Tridente ตริเดนเต้, Trevi เตรวี่ หรือ Borghese โบร์กีสเซ่

City Break ROME Part I 1
รูปย่าน Tridente (Pic.Credit:http://www.approachableworld.com/)

ย่านเหล่านี้น่าจะเป็นทางเลือกที่สมบรูณ์แบบสำหรับผู้ที่ชื่นชอบการช้อปปิ้งและความเท่เก๋เลิศของโรม มีถนนสายหลักอย่าง via del Corso ซึ่งเป็นถนนเก่าแก่ที่สุดของโรม (คล้ายถนนเจริญกรุงของกรุงเทพฯ) ทีมีอายุกว่า 2000 ปีวิ่งตรงมาจากจัตุรัส Popolo ซึ่งหมายถึง People’s Square (หมายเลข 3 ในรูป)จริงๆ แล้วจะเห็นว่ามีถนนหลักเก่าแก่วิ่งเป็นเส้นตรงจากจตุรัสนี้นอกจาก via del Corso ก็มี via del Babuino (วิ่งจากจัตุรัสโปโปโล่สู่บันไดสเปน) และvia di Rripetta (วิ่งจากจัตุรัสมาฝั่งแม่น้ำไตเบอร์หมายเลข 4 ในรูปแล้วสามารถข้ามสะพานไปเที่ยว กรุงวาติกัน ที่อยู่ตามลูกศรหมายเลข 6 ได้)

 

คำอธิบายภาพด้านบน: จัตตุรัส Popolo หรือ People’s square ที่มีเสา obelisk ของกษัตรย์ Ramesses II แห่งอียิปต์ ถูกยึดมาโดยคำสั่งของ Augustus จักรพรรดิโรมันที่ขยายอาณาเขตไปถึงอียิปต์ แต่ตอนนำมาทีแรกจะถูกนำไปตั้งที่สนามแข่งรถเทียมม้า (แบบหนังเรื่องBenHur) ที่circus Maximus ส่วนด้านหลังของภาพจะเห็นวิหารฝาแฝด “twin” churches คือวิหาร Santa Maria in Montesanto (ซ้าย สร้างเมื่อปี1662-75) และ Santa Maria deiMiracoli (ขวา,สร้างเมื่อปี1675-79) จะเห็นทางเข้าถนน Via del Corso ที่อยู่ระหว่างวิหารทั้งสองส่วนถนนด้านซ้ายจะเป็น via del Babuino ตรงไปย่านบันไดสเปนและถนนด้านขวาคือถนน via di Rripetta ที่นี่จะมีส่วนคล้ายหรือถือเป็นต้นแบบของจัตุรัสคองคอร์ดในกรุงปารีส ทีมีเสาโอเบรีสค์ที่นำมาโดยนโปเลียนจักรพรรดิที่นิยมวิธีการแบบจักรพรรดิโรมันไม่ว่าจะวิธีการรบหรือการสร้างประตูชัยหรือการสวมมงกุฎใบมะกอกเมื่อได้รับชัยชนะ ที่เหมือนมากอีกเรื่องคือจัตุรัส Popoloก็เคยเป็นลานประหาร มาก่อนแนวเดียวกับจัตุรัสคองคอร์ดที่เคยใช้ประหารชีวิตนักโทษการเมืองรวมทั้งกษัตริย์หลุยส์ที่16 มาแล้วในช่วงปฎิวัติฝรั่งเศส

 

City Break ROME Part I 2

ส่วนบรรดาร้าน High end fashion designers ก็จะอยู่แถวถนน,Via Condotti (หมายเลข 8 ในรูป) อย่าลืมแวะดื่มกาแฟที่ร้าน Caffe Greco ซึ่งคือร้านกาแฟที่เก่าแก่ที่สุดของโรม(หมายเลข 7 ในรูป) และจัตุรัสสปาญญ่าหรือย่านบันไดสเปน piazza di spagna (หมายเลข 2 ในรูป) ที่เดินเพลินได้ทั้งวันแม้แต่ไม่ชอบช้อปก็มีมุมสวยๆ ให้ถ่ายรูปเยอะนอกจากการถ่ายแบบ street photographer คือถ่ายอากัปกริยาของคนที่มาเดินแถวนี้

จากย่านตริเดนเต้ลงใต้มาหน่อยก็เป็นย่านเตรวี่เดินไม่ไกลนักที่นี่มีน้ำพุเตรวี่ และมีจัตุรัส(Piazza) ดังๆ อยู่อีกหลายแห่ง เช่น piazza Colonna ที่มีอนุสาวรีย์ของจักรพรรดิโรมันที่เฉลียวฉลาดที่สุดพระองค์หนึ่งที่ชื่อ Marcus Aurelius สร้างมาคั้งแต่ ค.ศ. 180 เพื่อเฉลิมฉลองชัยชนะในศึกครั้งสำคัญ หรือแถวใกล้ๆ กับวิหารโรมันพันปีอย่างวิหารปานเตออน Pantheon ก็มีจัตุรัสโนวาน่า piazza Novana ซึ่งเป็นจัตุรัสที่สวยที่สุดของโรมและเต็มไปด้วยร้านอาหารร้านกาแฟที่มีความคึกคักทั้งกลางวันกลางคืน และหากชอบบรรยากาศแบบตลาดกลางแจ้งก็เดินต่อไปหน่อยที่ Piazza Campo de’ Fiori
City Break ROME Part I 9 rome piazza navona

คำอธิบายภาพด้านบน: จัตุรัสนาโวนา ที่สร้างขึ้น ณ จุดที่เคยเป็นสนามกีฬาที่จักรพรรดิ Titus Flavius Domitianus สร้างเป็นของขวัญประชากรโรมในปี ค.ศ. 80 ใช้แข่งกีฬาแบบกรีซ คือใช้แข่งประสิทธิภาพของนักกีฬาคนล้วนไม่แข่งรถเทียมม้าแบบ circus maximus แต่สนามกีฬาที่นี่ไม่แข็งแรงนักจึงพังไปเลย ทำให้ลานนี้กลายเป็นตลาดกลางเมืองอยู่นานก่อนตลาดจะถูกย้ายไปอยู่ที่ Piazza Campo de’ Fioriจุดเด่นของที่นีคือน้ำพุทั้ง 3 แห่งโดยเฉพาะตรงกลางชื่อน้ำพุแห่งแม่น้ำทั้ง 4 (Fontana dei Quattro Fiumiเสร็จในปี1651) ที่เป็นฝีมือของแบร์ดินี่ (Gian Lorenzo Bernini) ปรมาจารย์ด้านการแกะสลักหินอ่อนในยุคเรเนซองส์ 

ส่วนผู้ที่ต้องการอยู่ใกล้กับปอดของเมืองโรมติดสวนสาธารณะก็ต้องย่านสวนโบกีสเซ่ Borghese (หมายเลข 5 ในรูป) ย่านนี้มีบุกคลิกเคร่งขรึมและเรียบหรู เพราะย่านนี้เปรียบเสมือนย่าน Central Park ในนิวยอร์กนั่นเอง

ที่นี่มีวิลล่าชื่อเดียวกันคือ Villa Borghese ที่น่าเข้าไปชม และต้องบอกว่าวิวโรมจากสวนโบกีสเซ่นั้นจะสวยมากเพราะสวนจะอยู่บนเนินเขาหากไปจากบันไดสเปนก็ต้องปีนขึ้นไปสุดเลยครับแล้วเลี้ยวซ้ายไปก็จะเข้าเขตสวนโบกีสเซ่
City Break ROME Part I

วิวกรุงโรมจากโรงแรม Sofitel Villa Borghese

 

2.หากต้องการความประหยัดเรียบง่าย ควรหาที่พักในย่าน Esquilino เอสกีลิโน, Celio เซลิโอ หรือ San Lorenzo ซานลอเรนโซ
สำหรับท่านที่มองหาที่พักราคาประหยัดหน่อย ไม่ว่าจะsearchโรงแรมแบบประหยัดชื่ออะไรมาก็มักจะตั้งอยู่ย่านเหล่านี้ มันอยู่ใกล้สถานีรถไฟหลักของโรมที่ชื่อ แตร์มินี่ (Termini Railway Station) และก็สะดวกเรื่องเดินทางเพราะมีรถไฟใต้ดินไปในจุดที่คุณต้องการได้ไม่ยาก ผมยังจำได้ว่าการมาโรมครั้งแรกของผมสมัยยังเรียนอยู่นั้นก็มาถึงโดยทางรถไฟ โดยตอนนั้นมาจากฝรั่งเศสแวะเที่ยวฟลอเรนซ์และเซียน่าก่อนมาถึงโรม โรงแรมที่พักตอนนั้นชื่อ พาลาติโน อยู่ไม่ไกลจากสถานีรถไฟนัก

City Break ROME Part I 5 Esquilino

ภาพด้านบนคือ ย่าน Esquilino
3.หากต้องการย่านที่มีความความโรแมนติกแต่ไม่พลุกพล่าน
ควรหาที่พักในย่าน Trastevere ตราส์เตเวเร่ หรือ Gianicolo จานนิโคโล่

City Break ROME Part I 8

ย่านนี้อยู่บนฝั่งขวาของแม่น้ำไตเบอร์ Tiber คนละฝั่งกับย่านนักท่องเที่ยวที่เป็นไปด้วยความพลุกพล่าน ที่นี่เป็นย่านที่มีทิวทัศน์สวยงามโรแมนติก มีบรรยากาศแบบเรียบง่ายสบายไม่เร่งรีบแบบไม่เหมือนเมืองใหญ่ถือเป็นย่านunseenของโรมที่น่าสำรวจอีกแห่งหนึ่ง

 

City Break ROME Part I 11

จัตุรัส  Piazza Santa Maria ในย่าน Trastevere
City Break ROME Part I 10

การหาร้านอาหารกินหรือร้านกาแฟดีๆ ในย่าน Trastevere ไม่ใช่เรื่องยาก

วิวกลางคืนของโรมถ่ายจากเนินเขาแถบย่านจีอานนิโกโล Gianicolo

 

4.หากท่านชอบโบราณสถาน เห็นซากปรักหักพังแบบ Roman ruin แล้วถึงกับอ้าปากค้าง ควรเลือกอยู่ย่าน Monti

ที่นี่สงบเพราะเป็นย่านที่อยู่อาศัยของชาวโรมันจริงๆ ที่อยู่กันมาตั้งแต่โบราณร้านค้าแบบ family-run รวมทั้งร้านอาหารที่เจ้าของทำเอง ที่นี่อยู่ใกล้สนามกีฬาโรมันที่ยิ่งใหญ่คือคลอลอสเซี่ยม และมีสถานีรถไฟใต้ดินที่จะไปส่วนอื่นๆ ของโรมไม่ยากแล้วยังไม่ไกลจากสถานที่โบราณล้ำค่า เช่น Michelangelo’s Moses, Trajan’s Forum, the Roman Forum, St. Mary Major Basilica, Nero’s DomusAurea
City Break ROME Part I 4 colosseum rome Italy

ภาพด้านบนคือ: คอลอสเซี่ยม Colosseum หรือมีอีกชื่อว่า Flavian Amphitheatre มันคือสิ่งมหัศจรรย์ของโลกเก่าที่ผ่านร้อนหนาวมากว่า 2000 ฤดูโดยไม่ได้บุบสลายแบบที่ควรจะเป็น มันเป็นamphitheatreที่ใหญ่ที่สุดที่เคยสร้างมาตั้งแต่ค.ศ. 72-80

 

นั่นแหละครับค้นหาโรงแรมในแบบที่ท่านชอบในย่านเหล่านี้ และคราวหน้าเราจะไปเที่ยวโรมกัน โปรดติดตามนะครับใน City Break Rome Part II

ฉลองปีใหม่แบบพอเพียงกับ Prosecco

Prosecco ไวน์มาแรงแห่งยุคที่เขย่าวงการสปาร์คกลิ้งไวน์ทั่วโลก ด้วยยอดขายที่เพิ่มขี้นทุกปีจนแทบจะเบียดแชมเปญเข้าไปทุกขณะ ในบ้านเราก็เช่นกันตอนนี้คนไทยรู้จัก Prosecco กันมาก ด้วยราคาที่ไม่แพงและรสชาติที่ออกแนวฟรุ้ตตี้ เลยทำให้เครื่องดื่มตัวนี้ครองใจคนไม่ยากนัก

 

recommend-drink-prosecco-3

Prosecco เป็นสปาร์คกลิ้งไวน์สัญชาติอิตาเลี่ยน ผลิตที่แคว้น Veneto และ Friuli Venezia Giulia ทำจากองุ่นพันธุ์ Glera และ Prosecco มีความแตกต่างกับแชมเปญตรงกรรมวิธีการผลิต โดย Prosecco นั้นจะผลิตโดยวิธีที่เรียกว่า Tank Method ก็คือการหมักตัวครั้งที่สองที่จะทำให้เกิดฟองนั้นเกิดขึ้นในแทงค์ความดัน ผลลัพธ์ที่ได้จึงทำให้ Prosecco มีความหอมของผลไม้นำ โดยวิธีแบบแทงค์นี้เหมาะสำหรับใช้กับสปาร์คกลิ้งไวน์ที่ทำจากองุ่นที่มีกลิ่นหอมอยู่แล้ว และโดยส่วนตัวองุ่น Glera เป็นองุ่นที่ให้กลิ่นหอมของแอบเปิ้ลเขียว เลมอน และ มะนาวเขียว จึงทำให้ Prosecco เป็นที่ชื่นชอบของหลายๆ คน เพราะดื่มง่าย สดชื่น ราคาไม่แพง

 

recommend-drink-prosecco-2

recommend-drink-prosecco-4

Prosecco ที่จะแนะนำในครั้งนี้เป็น Prosecco ยี่ห้อ Pitars ซึ่งเป็น Prosecco คุณภาพดี รูปลักษณ์สวยหรู โดย Pittaro เป็นตระกูลเก่าแก่แห่ง Friuli ผลิตไวน์มายาวนาน จากไร่องุ่น Braida Santa Cecilia และ Rivolto ที่มีดินที่เพอร์เฟคสำหรับองุ่นและมีภูเขาที่ช่วยบดบังลมหนาวจากทางเหนือ และมีทะเล Adriatic ที่ช่วยให้ลมทะเลอ่อนๆ Pitars ผลิต Prosecco หลายรุ่น เช่นรุ่น Millesimato มาในขวดสีทองอร่าม เป็นไวน์สีทองอ่อนมีกลิ่นหอมของแอบเปิ้ล ลูกแพร์สุกฉ่ำ และดอกไม้สีขาว อีกตัวนึงคือรุ่น Cuvee Prestige อันนี้มาในขวดสีดำ ฉลากสีฟ้า เป็นไวน์เบาๆสีทองอ่อน กลิ่นหอมฟุ้งของแอบเปิ้ล และมะนาว ไวน์สองตัวนี้เป็นไวน์ที่เหมาะที่จะดื่มเป็น Aperitif แต่เอาเข้าจริงๆ อากาศชิวๆ แบบนี้จะเปิดดื่มทั้งวันก็ยังได้ ฉลองกันตั้งแต่สายยันดึกไปจนถึงเคาท์ดาวน์ได้เลย ราคาสบายกระเป๋าอีกต่างหาก

 

หาซื้อ Pitars ได้ตามร้านขายไวน์ทั่วไปหรือ www.passiondelivery.com

*** พิเศษสุดสำหรับแฟนๆ ของ The Editors Society เมื่อช้อปปิ้งผลิตภัณฑ์ของ Passion Delivery ผ่านทางเว็บไซด์ของ The Editors Society จะได้รับส่วนลด 200 บาทจากการสั่งซื้อของครั้งแรก เมื่อช้อปขั้นต่ำ 1,000 บาท เพียงใส่โค้ด PDEDITOR ในช่องลดราคาก่อนเช็คเอ้าท์จาก www.passiondelivery.com ***

 

เครดิตภาพ : 1, 2, 3, 4,

Craft Beer – เบียร์เทรนด์ใหม่แห่งยุคมิลเลนเนียม

ในยุคมิลเลนเนียมนี้ เครื่องดื่มที่ต้องยอมรับว่ามาแรงแซงโค้งก็เห็นจะเป็นเบียร์ Craft Beer โดยเฉพาะวงการเบียร์ในหลายๆ ประเทศเริ่มมีการปฏิวัติฉีกกฎและไม่ยึดติดกับรูปแบบเดิม จริงๆ Craft Beer มีหลากหลายยี่ห้อเหลือเกิน วันนี้เราจะมาแนะนำให้รู้จักยี่ห้อหนึ่งที่มีขายในบ้านเรา

 

how-to-drink-craft-beer-3

how-to-drink-craft-beer-4

จริงๆ แล้วเบียร์ในโลกนี้แบ่งออกได้เป็นสองกลุ่มใหญ่ๆ กลุ่มแรกก็คือกลุ่มเบียร์ลาเกอร์ (Lager) ซึ่งเบียร์เจ้าใหญ่ๆที่ผลิตในบ้านเราจะเป็นประเภทนี้ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นเบียร์สิงห์ ช้าง หรือไฮเนเก้น พวกนี้จะเป็นเบียร์ที่ดื่มง่ายๆ เบาๆ เย็นกริบๆ คนไทยคุ้นเคยดี กับอีกกลุ่มหนึ่งคือเบียร์ประเภทเอล (Ale) เป็นเบียร์ที่กำลังมาแรงในหมู่ผู้ผลิตCraft Beer และผู้ที่ชื่นชอบความแตกต่างฉีกกฎการดื่มเบียร์แบบเดิมๆ และค่อนข้างจะเป็นเบียร์ของนักดื่มเบียร์จริงจัง

การผลิตเบียร์ไม่ได้มีอะไรมาก หากคุณมีธัญพืช เช่น ข้าวบาร์เลย์ ข้าวสาลี มียีสต์ มีน้ำ และมีดอกฮ็อปส์ คุณก็สามารถผลิตเบียร์ได้ เราจึงอาจเคยเห็นผู้ผลิตเบียร์รายย่อยที่ทำเบียร์ดื่มกันเองตามบ้าน แต่จะอร่อยหรือไม่อร่อยนั้นคงต้องขึ้นกับฝีมือ

 

how-to-drink-craft-beer-6

เบียร์ที่อยากแนะนำในวันนี้เป็นเบียร์เชื้อสายอเมริกา พอพูดถึงเบียร์อเมริกาหลายๆ คนอาจนึกถึงยี่ห้อใหญ่ๆ ดังๆ ที่มักมีรสชาติอ่อนๆ ไม่ค่อยถูกปากคนไทยเท่าไหร่ แต่เบียร์ยี่ห้อ Rogue เป็นCraft เบียร์แนวใหม่มีถิ่นกำเนิดที่รัฐโอเรกอน ซึ่งทั้งปลูกข้าวบาร์เลย์ และปลูกต้นฮอปส์เอง จริงๆ แล้ว Rogue ผลิตเบียร์หลายรุ่น แต่วันนี้ขอแนะนำสองตัว ตัวแรกชื่อ Rogue Dead Guy เป็นเอลสีอำพัน หอมกลิ่นมอลต์ น้ำผึ้ง และฮอปส์ มีเนื้อสัมผัสปานกลางถึงเข้นข้น อีกตัวนึงชื่อ Rogue Hazelnut Brown Nectar เป็นเอลอีกเช่นกัน แต่ตัวนี้ผู้ผลิตใส่เฮเซลนัทสกัดลงไปเพื่อให้มีกลิ่นหอมลงตัวของถั่วเฮเซลนัท น่าจะถูกใจนักดื่มสุภาพสตรีทั้งหลาย เบียร์ทั้งสองตัวนี้เป็นเบียร์ที่เหมาะที่จะทานกับอาหารโดยเฉพาะพวกเนื้อสัตว์ ประเภทเนื้อวัวกับเนื้อหมู แต่เอาเข้าจริงๆ ฉันชอบทานเดี่ยวๆ มีกับแกล้มง่ายๆ พวกถั่วหรือกับเพรทเซลก็อร่อยสุขใจแล้ว

 

หาซื้อ Rogue Beer ได้ที่ Beervana และ www.passiondelivery.com

 

 *** พิเศษสุดสำหรับแฟนๆ ของ The Editors Society เมื่อช้อปปิ้งผลิตภัณฑ์ของ Passion Delivery ผ่านทางเว็บไซด์ของ The Editors Society จะได้รับส่วนลด 200 บาทจากการสั่งซื้อของครั้งแรก เมื่อช้อปขั้นต่ำ 1,000 บาท เพียงใส่โค้ด PDEDITOR ในช่องลดราคาก่อนเช็คเอ้าท์จาก www.passiondelivery.com ***

 

เครดิตภาพ : 1, 2, 3, 4, 5, 6

 

Cava – สปาร์คกลิ้งไวน์ ทางเลือกที่ดี ราคาสบายกระเป๋า

ถึงช่วงเวลาแห่งการเฉลิมฉลองแล้ว ถึงแม้ว่าปีนี้อาจไม่ค่อยมีกะจิตกะใจอยากจะออกมาเฮฮาปาร์ตี้อะไรมากมายแต่อาจจะมีบางวันที่เราอยากฉลองเทศกาลปลายปีกันแบบเงียบๆ ส่วนตัวนิดนึง และหากไม่อยากลงทุนเปิดแชมเปิญขวดละหลายพันแต่อยากดื่มอะไรที่คล้ายๆ กันในราคาสบายกระเป๋า วันนี้จะขอแนะนำไวน์ตัวนึงที่อาจเป็นหนึ่งในทางเลือกนั้นได้

 

how-to-drink-sparkling-wine-1

how-to-drink-sparkling-wine-with-appetizer

คาว่า Cava เป็นสปาร์คกลิ้งไวน์สัญชาติสเปนที่ถือได้ว่ามีความใกล้เคียงแชมเปญเป็นอย่างมาก เพราะคาว่าผลิตด้วยกรรมวิธีที่เรียกว่า Traditional Method ซึ่งเป็นวิธีเดียวกับที่แชมเปญทำ นั่นก็คือการทำให้เกิดพรายฟองโดยการหมักตัวของยีสต์ครั้งที่สองในขวด ซึ่งการหมักตัวของยีสต์ครั้งที่สองนี่เองที่ทำให้ไวน์ในขวดนั้นมีฟอง เพราะยีสต์จะผลิตก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกมานั่นเอง โดยไม่ได้มีการอัดก๊าซเหมือนน้ำอัดลมแต่อย่างใด การทำให้เกิดฟองในไวน์มีหลายวิธี แต่วิธี Traditional Method นั้นถือว่าเป็นวิธีดั้งเดิม มีกระบวนการผลิตที่ซับซ้อน และทำให้เกิดรสชาติอันบ่งบอกถึงเอกลักษณ์และคุณภาพ  ซึ่งสมัยก่อนผู้ผลิตประเทศอื่นมักใช้คำว่า Champagne Method บนฉลาก แต่ปัจจุบันไม่อนุญาตให้ใช้คำนี้กันแล้ว เพราะชาว Champagne ได้จดลิขสิทธิ์การใช้ชื่อนี้ไปแล้วเรียบร้อย เราจึงเห็นคำว่า Traditional Method บนฉลากของไวน์ที่ไม่ได้มาจากแคว้นแชมเปญแต่ผลิตด้วยกรรมวิธีแบบนี้ รวมทั้งคาว่าด้วย

 

how-to-drink-sparkling-wine-with-salad

how-to-drink-sparkling-wine-with-appetizer-1

คาว่าส่วนใหญ่ผลิตที่แคว้นกาตาลุญญา ใกล้ๆ บาร์เซโลน่า ทำจากองุ่นสามพันธุ์ผสมกัน ได้แก่ Macabeo Parellada และ Xarel-lo ซึ่งเป็นองุ่นพื้นเมือง โดยคาว่าที่ในวันนี้เป็นของ Louis de Vernier มีสีทองอ่อนพรายฟองละเอียดเป็นสาย มีกลิ่นหอมของเลมอน แอปเปิ้ลเขียว และหอมขนมปังบริออชจางๆ เป็นคาว่าที่มีแอซิดิตี้ค่อนข้างสูง น้ำหนักเบา และแอลกอฮอล์ปานกลางจึงเหมาะสำหรับดื่มเป็น aperitif หรือเรียกน้ำย่อยก่อนอาหาร หรือจะดื่มกับ appetizer เบาๆ เช่น อาหารทะเลสดๆ และสลัดเบาๆ และที่สำคัญคือคาว่าตัวนี้มีระดับความหวานที่เรียกว่า Brut Nature ซึ่งแปลว่าไม่มีการใส่น้ำตาลลงไปเพิ่มเลย จึงน่าจะเหมาะกับสาวๆ ที่กำลังควมคุมน้ำหนัก เรียกได้ว่าดื่มได้ ไม่ต้องกลัวอ้วน

 

สามารถซื้อ Louis de Vernier Cava Brut Nature ได้ที่ www.passiondelivery.com

 

*** พิเศษสุดสำหรับแฟนๆ ของ The Editors Society เมื่อช้อปปิ้งผลิตภัณฑ์ของ Passion Delivery ผ่านทางเว็บไซด์ของ The Editors Society จะได้รับส่วนลด 200 บาทจากการสั่งซื้อของครั้งแรก เมื่อช้อปขั้นต่ำ 1,000 บาท เพียงใส่โค้ด PDEDITOR ในช่องลดราคาก่อนเช็คเอ้าท์จาก www.passiondelivery.com ***

 

เครดิตภาพ : 1, 2, 3, 4, 5, 6

Organic Wine – ปลอดภัยไร้สารตกค้าง

ทุกวันนี้อาหารที่เรารับประทานส่วนใหญ่มีสารเคมีตกค้างแทบทั้งสิ้น ผักผลไม้ที่เราคิดว่ามีประโยชน์แท้จริงแล้วหากไม่ระวังเราอาจรับยาฆ่าแมลงที่ตกค้างอยู่ได้ ไม่มากก็น้อย ทั้งนี้ทราบหรือไม่ว่าไวน์ก็หนีไม่พ้น เคยมีการศึกษาที่ประเทศฝรั่งเศสในปี 2009 และ 2010 พบว่ามีโมเลกุลสารเคมีทั้งจากยาฆ่าแมลงและยาฆ่าเชื้อราตกค้างในไวน์ถึงกว่า 50 โมเลกุลด้วยกัน ถึงแม้ว่าแต่ละโมเลกุลนั้นมีปริมาณที่ไม่มากและไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย แต่หากใครที่ดื่มไวน์ทุกวันๆ ก็อาจเสี่ยงต่อการมีสารเคมีสะสมในร่างกายได้

 

how-to-drink-organic-wine-3

how-to-drink-organic-wine-4

how-to-drink-organic-wine-6

ในการปลูกองุ่นนั้น ผู้ปลูกทั่วไปมีความจำเป็นต้องใช้สารเคมีเป็นจำนวนมาก เพราะองุ่นเป็นผลไม้ที่มีความเสี่ยงต่อศัตรูพืชและเชื้อราสูงพอสมควร แต่ปัจจุบันเริ่มมีผู้ผลิตหลายๆ เจ้าหันมาผลิตไวน์แบบออร์แกนิกและแบบไบโอไดนามิกกันมากขึ้น เพราะพวกเขาเชื่อว่าการใช้วิธีตามธรรมชาติในการปลูกพืช เมื่อสภาพแวดล้อมมีความอุดมสมบูรณ์ ดินสมบูรณ์ ต้นองุ่นย่อมแข็งแรงผลิตผลองุ่นที่มีคุณภาพตามไปด้วย

 

how-to-drink-organic-wine-2

จริงๆ บ้านเรามีไวน์ออร์แกนิกขายอยู่เยอะพอสมควร แต่บางทีก็ต้องศึกษากันเอาเองว่าผู้ผลิตคนไหนผลิตไวน์แบบออร์แกนิก เพราะเขามักไม่ระบุบนฉลาก สำหรับไวน์ที่อยากแนะนำในครั้งนี้ชื่อไวน์ Terre de Garance โดย Domaine Rouge Garance นี้เป็นไวน์ Côtes du Rhône จากลุ่มแม่น้ำ Rhône โดยผลิตที่เมือง Saint Hilaire d’Ozilhan ไม่ไกลจาก Pont du Gard จุดท่องเที่ยวอันเลื่องชื่อทางตอนใต้ของฝรั่งเศส เป็นไวน์ออร์แกนิกที่แน่นอนว่ามีการใช้สารเคมีน้อยที่สุด แม้กระทั่งยีสต์ที่ใช้ในการหมักไวน์ยังเป็นยีสต์ธรรมชาติที่พบได้บนผลองุ่น

 

how-to-drink-organic-wine-5

6004101_Figs_2014-0829_CL-Figs-180

how-to-drink-organic-wine-3-pasta

ไวน์ตัวนี้ทำจากองุ่นหลายพันธุ์ หลักๆ ก็มี Grenach Syrah และ Cinsault เป็นไวน์สีแดงทับทิมสด มีกลิ่นหอมของผลไม้แดงประเภท Red Currant และ Raspberry ทั้งยังมีบอดี้ปานกลางไม่หนักมาก กลมกล่อม ดื่มง่าย เหมาะที่จะทานคู่กับซี่โครงแกะย่าง หรือพาสต้า เช่น สปาเกตตี้โบลองเนส และชีสต่างๆ

 

หาซื้อ Terre de Garance ได้ที่ www.passiondelivery.com 

*** พิเศษสุดสำหรับแฟนๆ ของ The Editors Society เมื่อช้อปปิ้งผลิตภัณฑ์ของ Passion Delivery ผ่านทางเว็บไซด์ของ The Editors Society จะได้รับส่วนลด 200 บาทจากการสั่งซื้อของครั้งแรก เมื่อช้อปขั้นต่ำ 1,000 บาท เพียงใส่code PDEDITOR ในช่องลดราคาก่อนเช็คเอ้าท์จาก www.passiondelivery.com ***

 

เครดิตภาพ : 1, 2, 3, 4, 5, 6, 7, 8, 9

 

Chablis…ไวน์ดีที่ไม่ค่อยพลาด

*** พิเศษสุดสำหรับแฟนๆ ของ The Editors Society เมื่อช้อปปิ้งผลิตภัณฑ์ของ Passion Delivery ผ่านทางเว็บไซด์ของ The Editors Society จะได้รับส่วนลด 200 บาทจากการสั่งซื้อของครั้งแรก เมื่อช้อปขั้นต่ำ 1,000 บาท เพียงใส่code PDEDITOR ในช่องลดราคาก่อนเช็คเอ้าท์จาก www.passiondelivery.com ***

 

ปกติมักจะมีคนมาถามอยู่เสมอว่าจะดื่มไวน์อะไรดี ให้ช่วยแนะนำไวน์ให้หน่อย ส่วนใหญ่แล้วมีไวน์อยู่ตัวหนึ่งที่จะแนะนำบ่อยมาก(เพราะเป็นหนึ่งในไวน์โปรดของผู้เขียน) แนะนำทุกครั้งไม่มีพลาด ไวน์ตัวนั้นคือ Chablis

 

how-to-drink-chablis-wine-2

chardonnay-1

chardonnay-2

Chablis เป็นไวน์ขาวที่มาจากแคว้นเบอร์กันดี ทำจากองุ่นพันธุ์ชาร์ดอนเนย์ซึ่งเป็นองุ่นฮอตฮิตสุดคลาสสิค เป็นที่โปรดปรานของคนทุกเพศทุกวัย น่าจะเพราะชาร์ดอนเนย์นั้นตามธรรมชาติของมันจะมีรสชาติกลางๆ จึงสามารถนำมาผลิตเป็นไวน์แบบไหนก็ได้ เลยเป็นที่นิยมปลูกอย่างกว้างขวาง โดยทำได้ทั้งไวน์แบบเบาๆ ดื่มแล้วสดชื่น ไปจนถึงไวน์เข้มข้นหนักแน่นกลิ่นโอ๊ค เปรียบได้กับไอศครีมวานิลาที่รสชาติกลางๆ คลาสสิคจะทานกับอะไรก็ได้ จะราดสตรอเบอรี่ ราดช็อคโกแลต หรือราดซอสคาราเมล ไอศครีมวานิลาก็รับได้หมด

ด้วยความที่ Chablis อยู่ตอนเหนือสุดของแคว้นซึ่งมีอากาศค่อนข้างหนาว เพราะฉะนั้นไวน์ Chablis จึงมีบอดี้ที่ไม่หนักหน่วงซะเท่าไหร่ และมีกลิ่นหอมของแอปเปิ้ลเขียว ลูกแพร์ และพวกผลไม้รสเปรี้ยวต่างๆ และที่สำคัญไวน์จาก Chablis มักมีกลิ่นของแร่ธาตุ (Mineral) อันเป็นเอกลักษณ์ที่ทำให้ Chablis เป็นไวน์ที่มีเสน่ห์ไม่เหมือนใคร

white wine

Chablis เป็นไวน์ที่มีทั้งระดับทั่วไปและระดับ Premier Cru และ Grand Cru แต่วันนี้ขอแนะนำไวน์ระดับทั่วไปก่อน เพราะจะดื่มง่ายกว่า โดยขอแนะนำไวน์จากผู้ผลิตที่ชื่อ Joseph Faiveley ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ผลิตที่ใหญ่ที่สุด และดีที่สุดของเบอร์กันดีเลยก็ว่าได้ โดย Chablis ตัวนี้เป็นไวน์ที่เข้าถึงง่าย โดยเฉพาะปี 2014 ถือว่าเป็นปีที่ดีของ Chablis เพราะอากาศดี แดดเยอะ จึงทำให้องุ่นสุกกำลังดี (เนื่องจาก Chablis อยู่ค่อนข้างไปทางเหนือ บางปีองุ่นจะไม่ค่อยสุก) เมื่อองุ่นสุกคุณภาพดีก็จะส่งผลให้ไวน์มีความเข้มข้น และมีกลิ่นหอมของผลไม้สุกมากขึ้น เช่นแทนที่จะเป็นกลิ่นแอปเปิ้ลเขียว ไวน์ตัวนี้มีกลิ่นของแอปเปิ้ลสีเหลือง และAcidity จะไม่บาดแหลม

 

how-to-drink-chablis-wine-4

Chablis เป็นไวน์ที่เข้ากับอาหารหลากหลาย ด้วยความที่มี Acidity ค่อนข้างสูง อาหารจานแรกที่นึงถึงเลยคือหอยนางรมสด เวลาทานก็บีบมะนาวให้น้อยหน่อยอาศัยความเปรี้ยวของไวน์แทน หรือจะเป็นอาหารทะเลต่างๆ ว่ามาเลย Chablis เอาอยู่  ส่วนอาหารไทยก็เหมาะไม่แพ้กัน พวกยำต่างๆ หรือจะทานกับซูชิก็ได้ไม่ผิดอะไร

 

เพราะฉะนั้น…นึกอะไรไม่ออก เลือก Chablis

หาซื้อ Chablis ได้ที่ www.passiondelivery.com

 

เครดิตภาพ : 1, 2, 3, 4, 5, 6, 7, 8

Beaujolais – ไวน์ดีที่คนมองข้าม

Beaujolais ไวน์ที่หลายๆคนอาจไม่ค่อยคุ้นเคย หรือถ้ารู้จักก็มักมองข้าม อาจจะด้วยภาพลักษณ์ที่ดูเป็นไวน์ฟรุ๊ตตี้ๆ เบาๆ เลยมักไม่เป็นที่นิยมในหมู่นักดื่มไวน์ที่ออกแนวซีเรียสนิดนึง แต่จริงๆแล้ว Beaujolais มีอะไรมากกว่านั้น

 

beaujolais

how-to-drink-beaujolais-5

Beaujolais เป็นเขตผลิตไวน์ที่อยู่ทางใต้ของแคว้นเบอร์กันดีอันเลื่องชื่อ ผลิตไวน์แดงจากองุ่นพันธุ์ Gamay ซึ่งเป็นองุ่นที่เมื่อทำเป็นไวน์แล้วจะมีรสชาติและกลิ่นของผลไม้แดงจำพวก เบอร์รี่ เชอรี่และสตรอเบอรี่ และด้วยความที่ไวน์มักมีแทนนินค่อนข้างต่ำ จึงเป็นไวน์ที่ดื่มง่ายไม่ต้องเก็บนาน ไวน์ Beaujolais มีสามระดับ ไล่ไปตั้งแต่ระดับล่างสุด หรือ Beaujolais AOC ทั่วๆไป ไวน์ระดับนี้ไม่ค่อยมีอะไรน่าสนใจมาก เบาๆ ดื่มง่ายๆ ออกเปรี้ยวนำ ถัดมาดีขึ้นมาหน่อยจะเป็น Beaujolais Villages ซึ่งไวน์ระดับนี้จะมีความเข้มขึ้นมาทั้งสีและรสชาติ ส่วนระดับสูงสุดซึ่งเป็นระดับของไวน์ที่จะแนะนำในวันนี้เรียกว่าระดับ Beaujolais Crus ซึ่งมีทั้งหมด 10 Crus ( ไร่องุ่น) โดยไวน์ระดับนี้ถึงแม้ว่าจะยังคงมีความฟรุตตี้อยู่แต่ในขณะเดียวกันก็ยังมีความซับซ้อน เข้มข้น หรูหรา โดย Beaujolais Cru นี้ บางตัวสามารถเก็บได้นานถึง 10 ปี และเมื่อถึงวันนั้นบางตัวยังอาจมีลักษณะคล้ายคลึงกับไวน์เบอร์กันดีพี่ใหญ่ทางตอนเหนือเลยทีเดียว (แต่ราคาสบายกระเป๋ากว่ามาก)

 

chateau-de-la-chaize

how-to-drink-beaujolais-2

ไวน์ที่อยากแนะนำวันนี้เป็นไวน์ Beaujolais ของ Chateau de La Chaize ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ผลิตที่ใหญ่ที่สุด เก่าแก่และมีชื่อเสียงที่สุดของดินแดนนี้ โดยมาจาก Cru ที่ชื่อ Brouilly โดยเป็น Cru ที่ใหญ่ที่สุดและเป็นหนึ่งใน Cru ที่มีชื่อเสียงของ Beaujolaisไวน์สีแดงเข้มตัวนี้มีกลิ่นหอมของแยมสตรอเบอรี่ แครนเบอรี่ และเชอรี่ อันเป็นเอกลักษณ์ รสชาติมีความนุ่มละมุน กลมกล่อม ไม่เปรี้ยวเกินไป และแทนนินกำลังดีไม่น้อยจนไร้น้ำหนัก นับว่าเป็น Beaujolais ที่มีความสง่างามไม่ใช่เล่นๆ

 

how-to-drink-beaujolais-7

how-to-drink-beaujolais-3

ส่วนใหญ่แล้วคนมักนิยมทาน Beaujolais กับอาหารง่ายๆ เช่นกับพวกชีส และ Cold Cuts ต่างๆ ทั้งปาเต้ และเทอรีน แต่เนื่องจาก Chateau de La Chaize ตัวนี้ค่อนข้างออกแนวซีเรียสจึงสามารถทานได้กับไก่ หมู เป็ด หรือจะเป็นเนื้อวัวย่างเบาๆ ก็ยังได้ และที่สำคัญ Beaujolais เป็นไวน์แดงเพียงไม่กี่ตัวที่สามารถทานแบบแช่เย็นเล็กน้อยได้ จึงน่าจะเหมาะกับอากาศบ้านเราเป็นที่สุด

 

หาซื้อ Chateau de La Chaize ได้ที่ www.passiondelivery.com 

 

เครดิตภาพ : 1, 2, 3, 4, 5, 6, 7, 8

ลไมย์ – รัมไทยไม่แพ้ชาติใดในโลก

รัม เครื่องดื่มนี้มีถิ่นกำเนิดที่ประเทศแถบแคริบเบียนที่มีประวัติอันยาวนานน่าสนใจ แฝงไปกับวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ของประเทศเหล่านั้น  แต่ละประเทศไม่ว่าจะเป็นจาไมก้า คิวบา มาร์ตินิก เฮติ เวเนซูเอล่า และอื่นๆ อีกในระแวกนั้น ต่างก็ล้วนแต่มีวัฒนธรรมการผลิตและดื่มรัมทั้งสิ้น เมื่อเราดื่มรัมก็เหมือนเรากำลังดื่มชีวิตความเป็นอยู่ของคนในประเทศนั้นๆ

 

recommend-rum-by-beverage-expert-4

รัมมีทั้งแบบดาร์ครัมและไวท์รัม  ดาร์ครัมก็คือรัมที่ผ่านการบ่มในถังไม้โอ๊คและ/หรือผ่านการแต่งสีด้วยคาราเมล รัมประเภทนี้นิยมนำมาดื่มเพียวๆ หรือผสมน้ำเพื่อให้ปรุงแต่งน้อยที่สุด เพราะกลิ่นและรสชาติจะออกเข้มข้นมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวอยู่แล้ว สำหรับคนไทยเราน่าจะคุ้นเคยกับไวท์รัมกันมากกว่า รัมประเภทนี้มักไม่เคยผ่านการบ่มในไม้จึงมีสีขาวใสรสชาติอ่อน นิยมนำรัมประเภทนี้มาทำค็อกเทล นอกจากนี้ก็มีโกลเด้นรัม กับสไปซ์รัมที่บ้านเราอาจไม่ได้เห็นบ่อยนัก

 

recommend-rum-by-beverage-expert-1

recommend-rum-by-beverage-expert-2

อย่างที่กล่าวไปเนื่องจากรัมมักมีถิ่นกำเนิดจากประเทศติดทะเล เพราะฉะนั้นอาจจะเป็นเหตุบังเอิญก็ได้ที่ค็อกเทลที่มีรัมเป็นส่วนประกอบมักเป็นค็อกเทลที่เหมาะสำหรับดื่มในเวลาเราไปเที่ยวทะเล หรือเมื่ออยู่ริมสระว่ายน้ำ หรือในวันอากาศร้อนๆ เพราะคนมักนำรัมไปผสมกับน้ำผลไม้ต่างๆให้หอมหวานชื่นใจ เช่น โมฮิโต้ ค็อกเทลยอดนิยมตลอดกาลที่นำไวท์รัมผสมกับน้ำตาลทราย น้ำมะนาว โซดาและสะระแหน่ หรือจะเป็่น Daiquiri ค็อกเทลสุดคลาสสิคอันเป็นค็อกเทลโปรดของ Ernest Hemmingway ซึ่งก็เป็นรัมผสมกับน้ำมะนาวและน้ำเชื่อม และสามารถเพิ่มรสชาติหลากหลายลงไป เช่น สตรอเบอรี่ไดคีรี่ แถมจะนำไปปั่นจนเย็นเจี๊ยบก็สามารถทำได้

รัมจะเป็นรัมไม่ได้ถ้าไม่มีอ้อย จริงๆ แล้วผู้ผลิตมักใช้กากน้ำตาลอ้อยในการผลิตรัมแต่ก็มีหลายประเทศที่ใช้น้ำอ้อยสด (บางที่เรียกรัมชนิดนี้ว่า Rhum Agricole) ซึ่งผลที่ได้ก็จะมีความต่างกันอยู่บ้าง เพราะฉะนั้นประเทศใดก็ตามที่ปลูกอ้อยประเทศนั้นก็สามารถผลิตรัมได้ รวมทั้งประเทศไทย วันนี้ขอแนะนำรัมไทยยี่ห้อเก๋ชื่อ ลไมย์ (Lamai Thai Rum)

 

recommend-rum-by-beverage-expert-3

recommend-rum-by-beverage-expert-5

ลไมย์เป็นรัมที่ผลิตจากน้ำอ้อยที่ผ่านการสกัดเย็น เพื่อให้ได้รสชาติอันบริสุทธิ์ก่อนจะนำไปหมักและกลั่นเพื่อให้ได้รัมที่มีกลิ่นหอมรสชาตินุ่มละมุนปากสมชื่อจริงๆ เป็นรัมที่มีกลิ่นหอมสะอาดๆ ของหญ้าตัดใหม่ และต้นอ้อยสด กลิ่นจางๆ ของแอปเปิ้ลเขียว ลไมย์ไทยรัมบรรจุมาในขวดเซรามิคจากลำปางจึงถือได้ว่าเป็นการใช้ภูมิปัญญาของคนไทยตั้งแต่ต้นจนจบ ดีแท้ไม่ต้องง้อเหล้าต่างชาติให้เสียดุลการค้า  อีกทั้งยังมีภาพลักษณ์สุดเก๋จึงไม่แปลกที่บาร์ส่วนใหญ่จึงนิยมมีลไมย์ไว้เป็นอีกหนึ่งทางเลือกให้กับลูกค้าเวลาดื่มค็อกเทล

 

หาซื้อลไมย์ได้ที่  www.passiondelivery.com

เครดิตภาพ : 1, 2, 3, 4, 5, 6, 7