City Break Paris Part XXXVIII

By Pusit Sansopone

เบรกเที่ยวในกรุงปารีส ตอนที่ 38

Dinner in Paris (Restaurant ตอนที่ 1)
ประสบการณ์อาหารมื้อเย็นในปารีสเมื่อ 2 ตอนที่แล้ว ผมได้แนะนำร้านอาหารในแบบ Brasserie บราสเซรี กันไปแล้ว ซึ่งมันเป็นอะไรที่ค่อนข้าง Traditional คงไว้ซึ่งจารีตประเพณีและการอนุรักษ์เก็บรักษาของดีในอดีตเอาไว้ ไม่ว่าจะเป็นการตกแต่งร้านหรือรายการอาหารที่เป็นอาหารฝรั่งเศสแท้ๆ มาคราวนี้อยากจะแนะนำร้านอาหารในแบบ Restaurant ซึ่งจริงๆแล้วคำว่า Restaurant นั้นก็มาจากภาษาฝรั่งเศสนั่นเอง พวก Bristro, Café หรือ Brasserie มันก็เป็นแขนงหนึ่งหรือ sub-set ของ Restaurant อีกต่อหนึ่งคือทุกแบบก็เสิร์ฟอาหารและเครื่องดื่มทั้งสิ้น แต่ในสมัยก่อนคำว่า Restaurant ในฝรั่งเศสจะหมายถึงร้านอาหารที่เป็นทางทางการที่สุดส่วนใหญ่จะอยู่ในโรงแรม มีเมนูเล่มใหญ่พิมพ์อย่างดีไม่ใช่เขียนบนกระดานดำ, มี Wine List ให้เลือกเยอะจากทุกภูมิภาค ในขณะที่ Bristro อาจมีให้เลือกเฉพาะท้องที่ ในภัตราคารจะมีการจัดโต๊ะ เรียงมีดเรียงแก้วไวน์แดงขาวหรือน้ำแบบเฉพาะเจาะจง มีพนักงานเสิร์ฟแต่งเครื่องแบบดำขาว และผู้ไปใช้บริการก็ต้องมีมารยาทในการกินและการแต่งกาย คือต้อง observe พวกTable Etiquette และ Dress code แต่ยุคสมัยนี้มันเปลี่ยนไปแล้วไม่มีร้านไหนสนใจเรื่องมารยาทหรือการแต่งกายเท่าไร ขอให้เราเอาเงินไปจ่ายเยอะๆเป็นใช้ได้ การเลือก Restaurant สมัยนี้ก็เปลี่ยนไป เพราะจะต้องเน้นเรื่อง Social Media ด้วย จานต้องแต่งสวยร้านต้องมีดาวมิเชลลินมันถึงจะอินเทรนด์

เรารู้กันอยู่ว่าสถาบันมิชลินมันเป็นของฝรั่งเศสและรู้จักอาหารฝรั่งเศสดีที่สุด ทำหน้าที่ตัดสินคัดเลือกอาหารฝรั่งได้อย่างเป็นที่ยอมรับแพ่รหลาย(อาหารชาติอื่นยังไม่เป็นที่ยอมรับเท่าที่ควร) แล้วปารีสก็เป็นเมืองหลวงที่ได้ดาวมิชลินมากกว่าทุกเมืองในยุโรป คือ 100ดวง (ปี2017) โดยเป็นร้านที่ได้ 3 ดาว ถึง 10 ร้าน ไหนๆเรามาถึงปารีสกันแล้วควรหาโอกาสลองร้านอาหารฝรั่งเศสติดดาวสักมื้อก็ไม่เลวนะครับ

ผมก็เลยจะขอแนะนำร้านอาหารติดดาวมิชลินในปารีสแบบ 2 ตอนจบ โดยตอนแรกจะเป็นร้านติดดาว (1-2 ดวง) ที่เราสามารถไปกินได้โดยกระเป๋าไม่ฉีก คือมีราคาสมเหตุผลไม่ต่างกับร้านทั่วไปมากนัก ส่วนตอนที่2 ผมจะแนะนำร้านที่สำหรับผู้ที่ไม่เกี่ยงราคาถ้าดีจริง ก็เลยจะแนะนำเฉพาะร้านที่ได้มิชลิน 3 ดาวในปารีสทั้ง 10 ร้าน
ที่มาของ มิชลินสตาร์เป็นอย่างไร คงไม่พูดถึงแล้วนะครับเพราะน่าจะเคยเขียนถึงไปแล้ว

 

ร้านอาหารติดดาว 8 ร้านในปารีสที่เราสามารถไปกินมื้อเย็นได้ในงบประมาณที่เหมาะสม

1.ร้าน LES FABLES DE LA FONTAINE เล ฟ๊าฟบ์ เดอลา ฟองตานน์
ร้านอาหาร, อาหารทะเล, ฝรั่งเศส, เมดิเตอเรเนียน, $$$

City Break in Paris Restaurant 1 Michelin Star 12

เชฟ David Bottreau ได้รับโอนร้าน Les Fables de la Fontaine มาจากเชฟ Christian Constant ในปี 2548 แล้ว Bottreau ก็ได้นำเชฟสาวดาวรุ่งที่ชื่อ Juliet Sedefdjian มาเป็นหัวหน้าพ่อครัว โดยมีสถาปนิกคือ Luis Aleluia รับผิดชอบออกแบบตกแต่งสถานที่แห่งนี้ให้เรียบง่ายจากวัสดุธรรมชาติเช่นไม้ หินและเหล็กดัด
แล้วก็ตั้งใจเน้นเป็นรายการอาหารทะเลจากทางใต้ (French Riviera) ที่นำเสนอจานคลาสสิกในรูปแบบใหม่ โดยราคานั้นไม่ต่างกับร้านอาหารทั่วๆไปในปารีส คือ เมนูอาหารชุดกลางวันในวันธรรมดาเริ่มต้นจาก 28 ยูโร ส่วนมื้อเย็นจะเป็นเมนูที่น่าตื่นเต้นมากขึ้นใช้ชื่อว่าเมนู Carte Blanche ราคาเริ่มต้นที่ 75 ยูโรคุ้มมากๆ

City Break in Paris Restaurant 1 Michelin Star 16

จานปลาที่ Les Fables de la Fontaine

City Break in Paris Restaurant 1 Michelin Star 18

จานเรียกน้ำย่อยหรือ ENTRÉES ที่ Les Fables de la Fontaine

 

2.Septime เซปติมม์
ร้านอาหารร่วมสมัย, ฝรั่งเศส, $ $ $

City Break in Paris Restaurant 1 Michelin Star 25

Septime เป็นร้านอาหารที่น่าสนใจบนถนน Rue de Charonne ดังนั้นการได้รับยืนยันการจองโต๊ะที่นี่สำหรับมื้อเย็นถือเป็นเรื่องท้าทาย แต่มันเป็นความพยายามที่คุ้มค่าสำหรับประสบการณ์ที่ได้มากินที่นี่แน่นอน อาหารสมัยใหม่สดทันสมัยและนำเสนอได้ดี มีแต่รายการ Tasting Menu 4 steps หรือ 7 steps คือเหมือนเราไม่มีสิทธ์เลือก มันขึ้นอยู่กับเชฟที่นำเสนอและคัดเลือกรายการอาหารที่เหมาะกับวันนั้นเป็นแบบอาหารญี่ปุ่นสไตล์ โอมากาเสะ Omakase อาหารจานพิเศษของที่นี่คือประกอบด้วย raw venison with tarragon เนื้อกวางดิบกับใบเทอรากอน และ Kalamata olives, whiting with endives and orange butter,ปลาทรายแก้วกับมะกอกคาลามาต้า และผักชิโคริกับซอสเนยส้มส่วนของหวานก็พายมะตูมป่น quince and verbena crumble

City Break in Paris Restaurant 1 Michelin Star 2

Paris Cray ที่ Septime
City Break in Paris Restaurant 1 Michelin Star 26

อาหารจานปลาที่ Septime

 

3. BENOIT เบนัวต์
ร้านสไตล์ Bistro, French, $$$

City Break in Paris Restaurant 1 Michelin Star 11

บิสโทรแท้ๆอายุกว่า100ปี ที่เชฟระดับโลก Alain Ducasse ได้มาเป็นเจ้าของ

มีประวัติมากมายที่ Benoit เพราะเป็นร้านเก่าแก่เปิดให้บริการมากว่า100 ปีแล้วตั้งแต่ปีพ.ศ. 2455 ถือเป็นร้านอาหารบิสโทรแบบคลาสสิกเพียงแห่งเดียวของกรุงปารีสที่ได้ดาว Michelin ครอบครัวตระกูล Petit เป็นเจ้าของมา 93 ปีแล้วจึงส่งต่อไปยังทีมงาน Alain Ducasse เชฟระดับโลกที่ได้ดาวเยอะแยะ ตั้งแต่ในปี 2005 บรรยากาศที่นี่อบอุ่นเสมอจากการตกแต่งภายในด้วยกำมะหยี่สีแดงกับขอบทองเหลืองเงาวับ สลับกับกระจกแกะสลักและคอลัมน์หินอ่อน เชฟ Alain Ducasse ตั้งใจที่จะนำเสนอจานคลาสสิกของอาหารฝรั่งเศสทั้งหมด ให้ท่านสามารถสั่งได้ที่นี่ เพราะเดี๋ยวนี้เชฟส่วนใหญ่ไปเน้นจานfusionกันหมด มาที่นี่เพื่อการดูมีรสนิยมในการเลือกร้าน ถ้าต้องการประหยัดก็ให้ลองเมนูอาหารกลางวัน 39 ยูโรที่ การันตีในรสชาติมีการปรุงอย่างรอบคอบ ต้องถือว่าข้อเสนอที่เหมาะสมอย่างยิ่ง

City Break in Paris Restaurant 1 Michelin Star 8

จานเรียกน้ำย่อยที่เบนัวต์

City Break in Paris Restaurant 1 Michelin Star 6

จานปลาที่เบนัวต์

City Break in Paris Restaurant 1 Michelin Star 9

จานหลัก สเต็กกับเห็ดตามฤดู

 

4.LA TABLE D’EUGÈNE ลาต๊าบล์ดูจีนน์
ร้านอาหารฝรั่งเศส $ $ $

City Break in Paris Restaurant 1 Michelin Star 21

ความสมดุลของจารีตประเพณีกับความทันสมัยที่ La Table d’Eugène ได้รับการยึดถือและปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด โดยChefชื่อ Geoffroy Maillard และ sous-chef François Vaudeschamps ทั้ง 2 ร่วมกันสร้างเมนูอาหารที่ซับซ้อน อีกทั้งมีการอัพเดทเมนูทุกสิบวันให้เป็นเมนูตามฤดูกาลโดยแท้ ที่นี่เน้นวัตถุดิบที่เป็นผักสมุนไพรและเนื้อสัตว์จากเครือข่ายผู้ผลิตรายย่อยไม่ใช่สั่งจากsupplierเจ้าใหญ่ เชฟที่นี่ อ้างว่า “การทำอาหารที่นี่ใช้จินตนาการมากกว่าสูตร” ให้ลองสั่งTasting Menu แบบเมนูชิมห้าคอร์ส ในราคา 89 ยูโร หรือถ้าเลือกที่แปดคอร์สไหว ก็ 120 ยูโร จัดไปครับ

City Break in Paris Restaurant 1 Michelin Star 14

อาหารและการตกแต่งจานที่ La Table d’Eugène

 

5.LA TABLE DU 11 ลาต๊าบลืดูอ๊งซ์

ร้านอาหารฝรั่งเศส $ $ $

City Break in Paris Restaurant 1 Michelin Star 17

La Table du 11 ซึ่งเป็นร้านอาหารที่พ่อครัวและคนกินมีความใกล้ชิดกัน เพราะที่นี่จัดห้องที่มีครัวแบบเปิดในบรรยากาศสบายๆ มีหัวหน้าพ่อครัวและเจ้าของคือ Jean-Baptiste Lavergne-Morazzani ได้รับรางวัล ดาวมิชลิน จากประสบการณ์อันยาวนานกว่าทศวรรษที่ทำงานภายใต้เชฟกอร์ดอนแรมเซย์ที่ร้าน Trianon Yannick Allénoที่โรงแรม Le Meurice และกับเชฟ Philippe Bélissent ที่Cobéa Lavergne-Morazzani เชฟได้มาเปิดกิจการที่เป็นอิสระเป็นเจ้าของด้วยตัวเองเป็นครั้งแรกซึ่งมีทำเลอยู่ที่เมืองแวร์ซายย์ หากท่านมีโปรแกรมไปเที่ยวชมพระราชวังแวร์ซายอยู่แล้วห้ามพลาดการได้ไปลองชิมฝีมือเชฟ Jean-Baptiste

 

6.LA TRUFFIÈRE ลาทรูฟแฟร์

ร้านอาหารฝรั่งเศส $ $ $

City Break in Paris Restaurant 1 Michelin Star 15

La Truffière เพิ่งต้อนรับหัวหน้าพ่อครัวคนใหม่ Christophe Poard ไม่นานนี้ ก่อนที่เขาจะมาปารีสเขาเคยทำงานในห้องครัวที่มีชื่อเสียงของ Casino de Deauville ซึ่งเป็นร้านอาหาร Schwarzwald stube ที่มีดาวสามดาวในเมือง Antwerp ในประเทศเบลเยี่ยม และก่อนหน้านั้นที่ Château d’Hassonville เมือง Carlsbad Plaza สาธารณรัฐเช็ก นับตั้งแต่การมาถึงของเขาที่ La Truffière

เขาได้ทำsignature menu ของเขาเพิ่มชื่อเสียงเพิ่มให้กับร้านนี้ เหมาะมากสำหรับคนรักอาหารทะเล และจานชีส signature menu สามคอร์สของร้านนี้สามารถลิ้มลองได้เพียง 40 ยูโร ในมื้อกลางวัน

City Break in Paris Restaurant 1 Michelin Star 1

ภายในร้าน La Truffière

City Break in Paris Restaurant 1 Michelin Star 10

จานปลาที่ La Truffière

 

7.SATURNE ซัตตูเอิน
ร้านอาหารฝรั่งเศส $ $ $

City Break in Paris Restaurant 1 Michelin Star 13

เชฟคู่หูที่อยู่เบื้องหลัง Saturne,ก็คือเชฟ Sven Chartier และเชฟ Ewen Le Moigne ดูมีความเรียบง่ายแต่มีคุณภาพเหนือที่ไหนๆ ผลิตภัณฑ์ที่พวกเขาใช้เป็นของตกแต่งทั้งหมดดูดีมีรสนิยมและมีเอกลักษณ์ยิ่งถ้าได้เห็นตัวเมนูของพวกเขาซึ่งสื่อให้เห็นถึงสิ่งที่ดีที่สุดในสิ่งที่นำเสนอของวันนั้นๆ ร้านอาหารเป็นที่นิยมมากของกลุ่มนักธุรกิจ เมนูอาหารกลางวันแบบสามคอร์สที่ราคาอยู่ที่ 45 ยูโรถือว่ายอดเยี่ยมและต้องลองเมนูอาหารกลางวันแบบ Carte Blanche ในราคา 85 ยูโร หรือถ้าเราเน้นมื้ออาหารค่ำงบประมาณก็เพิ่มขึ้นเล็กน้อยเท่านั้น

City Break in Paris Restaurant 1 Michelin Star 4

City Break in Paris Restaurant 1 Michelin Star 5

บรรยากาศภายในร้านที่เรียบง่าย

City Break in Paris Restaurant 1 Michelin Star 24

ด้านหน้าร้านอาหาร Saturne, ปารีส

 

8.Garance การองซ์
ร้านอาหารฝรั่งเศส $ $ $

City Break in Paris Restaurant 1 Michelin Star 20

Garanc เป็นของเชฟใหญ่ Guillaume Iskandar และ sommelier ผู้รู้ผู้กำกับซื้อเข้าดูแลและแนะนำไวน์ ชื่อGuillaume Muller ซึ่งเคยทำงานร่วมกับceleb chefคือ Alain Passard ที่ร้านอาหาร l’Arpège ซึ่งเป็นร้านมิเชลลินสามดาวของเขาได้ตัดสินใจมาเปิดร้านGaranc แห่งนี้ซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลจาก Les Invalides พวกเขาได้ร่วมกันสร้างประสบการณ์การรับประทานอาหารที่เบ็ดเสร็จในเรื่องการออกแบบและรสชาติที่ต้องจดจำเมนูอาหารกลางวันที่นี่เริ่มต้นเพียง 42 ยูโรส่วนมื้อเย็นก็เพิ่มขึ้นไม่มาก

City Break in Paris Restaurant 1 Michelin Star 7

คุณภาพอาหารที่สัมผัสได้

 

เจอกันคราวหน้าจะเป็นตอนจบของ City Break Paris จะปิดท้ายด้วย การแนะนำสุดยอดร้านอาหารฝรั่งเศสในปารีสที่ได้ดาวมิชลิน 3 ดวงซึ่งทั้งหมดมี 10 ร้านด้วยกัน เข้าconcept “ไปทั้งทีต้องมีซักมื้อ” ชื่อจั่วหัวBlogใหม่ในเร็วๆนี้ของผม ที่สามารถใช้เป็นคู่มือการไปกินร้านอาหารในต่างประเทศแบบรู้จริง ไม่ใช่แนะนำแต่ชื่อร้านแล้วไม่รู้จะสั่งอะไร จองอย่างไร งบประมาณเท่าไรต่อมื้อ

City Break Paris Part XXXVII

By Pusit Sansopone

เบรกเที่ยวในกรุงปารีส ตอนที่ 37

Dinner in Paris (Brasserie ตอนที่ 2)
คราวที่แล้วพูดถึงที่มาของบราเซรี่และมีการแนะนำ Brasserie แบบแรกไปคือแบบที่อยู่บริเวณสถานีรถไฟ มาตอน 2 นี้จะแนะนำบราเซรีแบบสุดคลาสสิก 8 แห่งของกรุงปารีสที่มีการตกแต่งร้านตรงกับยุคที่บราเซรี่ถือกำเนิดมาก็คือยุคศิลปะและสถาปัตยกรรมแบบ Art Deco และArt Nuevo ในสมัย Le Bell Époque ที่ปารีสรุ่งเรืองกว่าเมืองไหนๆในยุโรป

1. La Fermette Marbeuf อยู่แถว ถนนช็องเซลีเซ

City Break Paris Part 37 Dinner In Paris 2

La Fermette Marbeuf คือร้านอาหารในกรุงปารีสยุคปี 1900 ที่ห่างจากถนนหลักอย่าง Avenue George V และ Champs-Elysees เพียงไม่กี่ก้าว มันเป็นตัวแทนของร้านบราเซรี่ของยุค Belle Epoque ของศตวรรษที่ผ่านมาอย่างแท้จริง และเมื่อประมาณ 30 ปีที่แล้วได้มีการค้นพบวัสดุตกแต่งของเดิมในยุคก่อนที่ถูกเก็บไว้ แทบจะเป็นเหมือนกับการค้นพบใหม่ของสุสานตุตันคาเมนเลยทีเดียว มันมีวัสดุ เช่น โมเสคยุคอาร์ตนูโว กระจกลายอาร์ตนูโวลวดลายดอกทานตะวัน ลายนกยูง แมลงปอ และผู้หญิงสวย ตลอดจนเสาเหล็กหล่อและเพดานแก้วที่สามารถนำมาตกแต่งใหม่ได้ทั้งหมด

พ่อครัว Gilbert Isaac ก็ยังคงยึดติดกับอาหารคลาสสิกแบบฝรั่งเศส เช่น เนื้อไก่ผสมตับอ่อนกับหอมผัดมัสตาร์ด ปลากระพงย่างทั้งตัวในโป๊ยกั๊กและ Baba Rhum และที่นี่ก็ยังคงเป็นฮอตสปอตสำหรับคนดังในฝรั่งเศสที่จะปรากฏตัวให้เห็นที่ร้านนี้อยู่เสมอ

City Break Paris Part 37 Dinner In Paris 3

Coq au vin ที่  La Fermette Marbeuf ในหม้อเหล็กหล่อยี่ห้อ STAUB จากแค้วน Alsace เช่นเดียวกับต้นฉบับของร้านแบบ  Brasserie

 

2. Chez Jenny ในย่าน Folie-Méricourt

City Break Paris Part 37 Dinner In Paris 4

บราเซรี่ที่มีเสน่ห์และมีคุณค่าทางประวัติศาสตร์แห่งนี้เกิดขึ้นในช่วงปี 1930 แล้วก็เติบโตขึ้นมาต่อเนื่อง เริ่มต้นจากการเป็นร้านอาหารที่โรเบิร์ตเจนนี่ ชาวสตราสบูร์กผู้ก่อตั้ง ได้ทุ่มเทตั้งใจพิสูจน์ฝีมือจน Chez Jenny นั้นไม่ต้องพิสูจน์อะไรอีกแล้ว มันติดลมบนแบบถ้าไม่มีการจองโต๊ะคงจะมีที่นั่งลำบาก ร้านตกแต่งด้วยประดับตกแต่งด้วยโทนสีแดงสว่างไสว ดูมีเสน่ห์แบบร้านโบราณที่มีความขลัง มาลองอาหารแบบอัลซาสที่นี่ไม่ผิดหวังแน่นอน

City Break Paris Part 37 Dinner In Paris 5

Choucroute Strasbourgeoise

City Break Paris Part 37 Dinner In Paris 6

Chez Jenny ยังคงให้บริการอาหาร Alsatian ที่ดีที่สุดแก่ลูกค้าที่ภักดีเสิร์ฟโดยพนักงานเสิร์ฟในชุดประจำถิ่นอัลซาส ต้องลองอาหารที่เป็นไส้กรอกอัลซาสกับมันฝรั่ง จานหลักก็ต้องหมูย่างคาราเมลกับน้ำผึ้งในกะหล่ำปลีดองที่ยอดเยี่ยมและตบท้ายด้วยพุดดิ้งลูกแพร์ตุ๋นกับ Sorbet ลูกแพร์ และ Eau de vie

 

3. Bofinger ย่านเลอมาเร่ส์

City Break Paris Part 37 Dinner In Paris 7

ประวัติร้านนี้เริ่มจากเจ้าของคนแรกที่ชื่อ Bofinger เดิมหนีออกจากบ้านของเขาที่ Alsace ในช่วงสงครามมาตั้งรกรากในปารีส แต่ร้านนี้ก็มีการเปลี่ยนเจ้าของมาหลายครั้ง แต่ยังคงรักษาคุณภาพที่ไร้ที่ติ

Bofinger ดึงดูดฝูงชนจำนวนมากมารับบรรยากาศแบบอาร์ตนูโวที่แท้จริงที่เป็นบรรยากาศของบราสเซอรี่แท้ๆ ในยุค Bell Époque มาที่นี่ควรนั่งชั้นล่างเพื่อบรรยากาศดีที่สุดในการรับประทานอาหาร และถ้าคุณสามารถขอให้นั่งในห้องอาหารหลักใต้โดมกระจกเพื่อประสบการณ์โรแมนติกอย่างแท้จริงก็จะถือว่าไม่เสียเที่ยว

City Break Paris Part 37 Dinner In Paris 8

การเลือกเมนูตามสั่งอาจเริ่มต้นด้วย Langoustine Terrine ตามด้วยปลาแซลมอนทาร์ทปรุงรสเข้มข้น และสเต็กปลา หรือตับของลูกวัวพร้อมกับแตงโมปรุงสุก อีกทางเลือกหนึ่งคือคุณอาจจะทานหอยนางรม ตามด้วยเนื้อสเต็กเนื้อแกะก็ได้ตามด้วย Cheese Plate ก่อนจบด้วยของหวาน

City Break Paris Part 37 Dinner In Paris 9

 

4. La Coupole ย่าน Montparnasse

City Break Paris Part 37 Dinner In Paris 10

La Coupole ใน Montparnasse เป็นบราเซรี่ตกแต่งแบบอาร์ตเดคโคที่ได้รับการยกย่องอย่างไม่ธรรมดา ไม่ว่าในเรื่องความอร่อยของรสชาติอาหารและบรรยากาศในห้องอาหารอันกว้างขวางที่ได้รับการตกแต่งอย่างพิถีพิถัน ถือเป็นแถวหน้าของศิลปะย่าน Rive Gauche ที่บรรดาศิลปินอย่าง Picasso, Jean-Paul Sartre และ Simone de Beauvoir เคยพำนักอยู่และเคยป็นลูกค้าประจำที่นี่ ผู้คนมาที่นี่จากทั่วทุกมุมโลกเพื่อประทับใจกับความงดงามของมัน พื้นที่ทั้งหมด 1000 ตารางเมตรและมีเสาเกะกะอยู่ถึง 33 ต้น เปิดบริการตั้งแต่ปี 1927 แต่เหมือนว่ายิ่งเปิดนานยิ่งดัง อาจเป็นเพราะราคาไม่แพงมาก คุ้มค่าการมาเยือน

City Break Paris Part 37 Dinner In Paris 11

City Break Paris Part 37 Dinner In Paris 12

 

5. Brasserie Julien ย่าน Strasbourg-Saint-Denis

City Break Paris Part 37 Dinner In Paris 1

Brasserie Julien หนึ่งในร้านอาหารที่สวยที่สุดในปารีสที่เต็มไปด้วยเสน่ห์แบบอาร์ตนูโว จากเส้นโค้งที่เต็มไปด้วยความรู้สึกของประตูไปยังกระจกแกะสลักอันงดงาม สีโทนอัญมณีสีเขียว ให้ความรู้สึกหนักแน่น มีผนังที่ทาสีอย่างพิถีพิถันตัดกับแถบไม้มะฮอกกานีและพื้นกระเบื้องโมเสคที่มีรายละเอียดแบบมหัศจรรย์ Brasserie Julien เป็นต้นแบบของการศึกษาศิลปในรูปแบบของปารีสแห่งยุค 1900

City Break Paris Part 37 Dinner In Paris 13

ร้านอาหารแห่งนี้เหมือนจะพานักกินให้ได้เดินทางสู่ความรุ่งเรืองของเมืองปารีสในอดีตในยุคแรกที่มีดนตรีแจ๊สและนักเขียนเฮมิงเวย์รวมทั้งนักวาดที่ชื่อปีกัสโซ ดู Brasserie Julien ได้สร้างรูปแบบอาหารที่หรูหราตามแบบฉบับของสไตล์และรสชาติของกรุงปารีสอย่างแท้จริง

 

6. ร้าน Brasserie Floderer หรือเมื่อก่อนนี้เรียกว่าBrasserie Flo, ย่าน Strasbourg-Saint-Denis

City Break Paris Part 37 Dinner In Paris 14

คุ้มค่ากับการค้นหา เหมือนกับคุณได้พบโลกที่ยังยืนนิ่งอยู่ Brasserie Flo เป็นแรงบันดาลใจจากเจ้าของที่เคยทำโรงเบียร์ในเขต Alsace เป็นเวลาหลายปีจึงมีการผสมผสานกันอย่างลงตัวระหว่างอาหารฝรั่งเศสและเยอรมันทำให้ร้านไดเนอร์สแห่งนี้มีความน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง สำหรับนักกินและนักดื่ม

City Break Paris Part 37 Dinner In Paris 15

เมนูที่ทันสมัยของ Brasserie Flo เหมือนเป็นส่วนผสมนานาชาติที่ดีที่สุดจากการสร้างสรรค์อาหารที่คัดสรรมาอย่างดี ในช่วง Paris Fashion Week จะหาโต๊ะยากหน่อยเพราะผู้ที่เคยมาแล้วมักกลับมาซ้ำต่อเนื่อง ต้องลองสั่ง Foie gras และ Chateaubriand Steak ที่นี่

City Break Paris Part 37 Dinner In Paris 16

 

7. ร้าน Le Vaudeville

ร้านอาหาร อันงดงามแห่งนี้ถ้าได้ไปเยี่ยมก็จะเหมือนเราได้ย้อนเวลากลับไปในปี 1920 ที่กรุงปารีส ได้รับการออกแบบโดยทีมงานเดียวกันที่อยู่เบื้องหลังร้าน La Coupole (บราเซอรี่ที่เอ่ยถึงก่อนหน้า) ใช้แรงบันดาลใจและความคิดสร้างสรรค์จากโรงละครเก่าที่อยู่ติดกัน สามารถดึงดูดคนในท้องถิ่นที่สนใจจานหอยนางรมสด, ซุปหอมหอมและสเต็กทาร์ตาร์อาจต่อด้วยเนื้อลูกวัวแม้สั่งเยอะก็ไม่ต้องกลัวว่าต่องจ่ายเยอะ เพราะราคาถือว่ารับได้ทีเดียว

City Break Paris Part 37 Dinner In Paris 17

 

8. ร้าน La Rotonde
ร้านอาหารที่ไม่มีวันตกต่ำราคาไม่แพงแต่หรูหราและอร่อยอย่างนี้ เป็นหนึ่งในร้านอาหาร Brasseries ที่ดีที่สุดในกรุงปารีส ตั้งอยู่ใกล้กับ Rue de la Gaite อยู่ในย่านธุรกิจมานานกว่าศตวรรษและตั้งอยู่ใกล้ย่าน Montparnasse อันทันสมัย ตกแต่งบุภายในด้วยกำมะหยี่สีทับทิมและอุปกรณ์ทองเหลืองเป็นสถานที่ที่ค่อนข้างสมบูรณ์แบบสไตล์คลาสสิกแบบฝรั่งเศส เปิดให้บริการจนถึง 2 นาฬิกาของวันใหม่

City Break Paris Part 37 Dinner In Paris 18

City Break Paris Part 37 Dinner In Paris 19

รูปนี้เป็นรูปที่ช่างภาพหนังสือพิมพิ์ฝรั่งเศส ถ่ายภาพประธานาธิบดีมาครงไว้เมื่อครั้งมารับประธานอาหารที่ร้าน La Rotonde

City Break Paris Part XXXVI

By Pusit Sansopone

เบรกเที่ยวในกรุงปารีส ตอนที่ 36

Dinner in Paris (Brasserie ตอนที่ 1)
ผมได้เคยแนะนำเรื่องอาหารกลางวันในปารีสไปแล้วก่อนหน้านี้ เราได้รู้จักร้านอาหารแบบBistro และ Parisian Café ซึ่งก็เป็นเหมือน All Day Dining ตามหัวมุมถนนต่างๆกันไปแล้ว ในตอนนี้จะพูดถึงมื้อเย็น ซึ่งเป็นมื้อที่เป็นจริงเป็นจังหรือค่อนข้างเป็นทางการหน่อย เพราะชาวปารีสใช้เวลาเฉลี่ยในการกินอาหารมื้อเย็นในภัตตาคาร ไม่ต่ำกว่า 2 ชั่วโมงเลยทีเดียว และเป็นวิถีของชาวฝรั่งเศสที่ถือว่าเป็นช่วงที่มีความสุขที่สุดช่วงหนึ่งของชีวิตประจำวัน ผมก็เลยขอแนะนำทางเลือกมื้อค่ำ ใน 2 รูปแบบ ก็คือถ้าอยากกินแบบหรูหราเป็นทางการหน่อยเราต้องไปร้านอาหารในแบบภัตตาคารที่อาจบริหารโดยเชพที่มีชื่อ Celebrity Chef ติดดาวมิเชลแลง แต่แบบนี้ในปัจจุบันก็หาไม่ยากไม่ว่าเมืองไหนก็มี ทีนี้ถ้าท่านชอบแบบสบายๆไม่ถึงกับformalมากและไปเมืองอื่นไม่ค่อยเจอนอกจากมาปารีสก็ต้องไปร้านแบบ Brasseries ซึ่งวันนี้เราจะแนะนำว่าที่มาของมันและบุคลิกรูปแบบของมันเป็นอย่างไร

City Break Paris Brasseries Dinner in Paris 1

Brasseries
ในช่วงปี 1870-71 ซึ่งเป็นช่วงปีที่หลานของจักรพรรดินโปเลียนที่ 1หรือ หลุยส์ นโปเลียน ได้ขึ้นเป็นประธานาธิบดีของฝรั่งเศสต่อจากการปกครองแบบกษัตริย์ในยุคสุดท้ายของราชวงศ์บูรบง คือพระเจ้าหลุยส์ที่ 18 และพระเจ้าหลุยส์ฟิลลิป ซึ่งในช่วงนี้ฝรั่งเศสก็ทำสงครามอีกครั้งเป็นสงคราม Franco-Prussian War ซึ่งเป็นสงครามก่อนที่รัฐ Prussia จะถูกผนวกรวมเป็นประเทศเยอรมันเพราะตอนนั้นชนชาติเยอรมันประกอบด้วยแคว้นใหญ่ที่มีปรัสเซียและบาวาเรียเป็นหลัก และแคว้นเล็กแคว้นน้อยที่อยู่ภายใต้การปกครองของฝรั่งเศสและออสเตรียเป็นส่วนใหญ่ การรวมชาติเยอรมันครั้งนั้นนำโดย บิสมาร์ค (Otto Von Bismarck) นายกรัฐมนตรีผู้ที่มีวิสัยทัศน์กว้างไกล

บิสมาร์คสรุปว่าฝรั่งเศสและออสเตรียคืออุปสรรคในการรวมชาติเยอรมันจึงทำสงคราม Franco-Prussian War และได้ชัยชนะทำให้แคว้นอัลซาส-ลอเรนน์ Alsace และ Lorraine ของฝรั่งเศสตกไปเป็นของเยอรมัน (ก่อนจะกลับไปเป็นของฝรั่งเศสอีกครั้งหลังจากเยอรมันแพ้สงครามโลกครั้งที่ 1)

ช่วงนี้เองที่ชาวอัลซาส (หรือที่เรียกว่า Alsatians อัลเซเชี่ยน ซึ่งท่านที่เลี้ยงสุนัขจะรู้ดีว่าสุนัขพันธุ์ German Sheppard นั้นก็มีต้นกำเนิดมาจากอัลซาสเพราะมักเรียกว่าพันธุ์ อัลเซเชี่ยน) อพยพหนีเข้ามาอยู่ในปารีส และเนื่องจากชาวอัลซาสนั้นรับวัฒนธรรมเยอรมันมาเต็มๆ เพราะเขตนี้อยู่ติดพรมแดนเยอรมัน พอเข้ามาปารีสจึงมาเปิดร้านอาหารในแบบที่ขายไส้กรอกกับกระหล่ำปลีดอง ที่เยอรมันเรียกว่า Sauerkraut (ในฝรั่งเศสเรียกว่า Choucroute ชูครุท) เป็นหลัก และนำวัฒนธรรมการดื่มเบียร์เข้ามา ดังนั้น ร้านอาหารแบบชาวอัลซาสจึงเป็นเหมือน,ไมโครบริวเวอรี่ (Micro Brewery) คือมักมี Beer from tap หรือเบียร์สดขาย ซึ่งเรียกแบบฝรั่งเศสก็คือ Brasserie (บราสเซรี) นั่นเอง

บุคลิกรูปแบบของ Brasserie นั้นมันแตกต่างจาก Bistro ซึ่งมักเป็นร้านเล็กๆ แต่บราเซรี่ มันมักเป็นร้านขนาดใหญ่มีหลายโต๊ะ

City Break Paris Brasseries Dinner in Paris 2

แล้วมันก็ไม่เชิงเป็นโรงเบียร์ (Beer Hall) ที่มีบุคลิกแบบโรงเตี๊ยม Tavern ในสไตล์ยุโรปยุคกลางเหมือนของอังกฤษหรือเยอรมัน เพราะการตกแต่ง Brasseries นั้นมันดูหรูหรากว่ามาก แต่ลดทอนความโอ่อ่าฟุ่มเฟือยในสไตล์พระเจ้าหลุยส์ลงมา โดยผสมผสานความเป็นธรรมชาติ มีลวดลายเหล็กดัด ในแบบสถาปัตยกรรมยุค Art Nouveau ซึ่งเกิดในช่วงยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม ใกล้เคียงกับช่วงสงครามฝรั่งเศส-ปรัสเซีย 1870-1871 นั่นเอง บางร้านก็มีสไตล์ Art Deco ซึ่งก็เป็นสถาปัตยกรรมของยุคถัดมาก่อนเข้าช่วงสงครามโลกครั้งที่1 และในช่วงว่างระหว่างสงครามปรัสเซียจนถึงสงครามโลกครั้งที่ 1นั้นเองที่ปารีสพุ่งขึ้นสู่ช่วงpeak หรือช่วงทอง Golden Era ในภาษาฝรั่งเศสเรียกว่าช่วง La Belle Époque มีความเจริญด้านอุตสาหกรรม สถาปัตยกรรมและศิลปะทุกแขนง ไม่ว่าจะเป็นด้านบันเทิง หรือชิ้นงานศิลป์ ซึ่งผมเคยอธิบายไปก่อนหน้าในตอนก่อนๆนี้จึงไม่ขออธิบายซ้ำแต่เพียงจะบอกว่าหากท่านต้องการบรรยากาศย้อนยุคกลับไปในช่วง La Belle Époque นั้นก็นี่เลยครับ ให้เลือกไปกินอาหารเย็นสักมื้อที่ร้าน brasserie เก่าแก่ เดิมๆที่ยังมีเมนูพิเศษแบบดั่งเดิม เช่น เนื้อวัว Chateaubriand ในซอส Bearnaise หรือปลา Sole ในซอสMeunière ตบด้วย Rum Baba พร้อมกับครีมวานิลลาที่เสิร์ฟโดยพนักงานเสิร์ฟมือโปรในชุดดำขาว โดยมีค่าใช้จ่ายมาตรฐานในช่วงระหว่าง 18 ถึง 30 ยูโรสำหรับอาหารจานหลัก(Main Course) หรือถ้าเลือกเป็นชุดเมนูอาหาร 3 คอร์ส ก็ประมาณ 45-90 ยูโร ถือว่าราคาคุ้มค่าสำหรับประสบการณ์แบบปารีสแท้ๆ …ผมเลยจะขอแนะนำร้านดังต่อไปนี้

แบบแรกคือแบบ Brasserie ที่อยู่บริเวณสถานีรถไฟ ต้องบอกว่าในยุคเริ่มต้นของร้านอาหารแบบนี้มันอยู่ในช่วงการเดินทางด้วยรถไฟกำลังเริ่มเฟื่องฟู (ยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม)จึงไม่แปลกเลยที่จะมีการลงทุนทำร้านอาหารดีไว้ที่สถานีรถไฟ หรือใกล้ๆสถานีรถไฟต่างๆในปารีส เพื่อต้อนรับนักเดินทางที่มาถึงปารีสจากที่ต่างๆ หรือจะเก็บไปกินก่อนกลับก็แล้วแต่

ผมขอแนะนำร้าน Brasserie ที่อยู่บริเวณสถานีรถไฟ สัก 3 แห่งที่เก่าแก่และมีชื่อมาถึงปัจจุบัน
Terminus Nord สถานีรถไฟเหนือ Gare du Nord (credit pic from: http://www.maksinwee.com)

City Break Paris Brasseries Dinner in Paris 3

Terminus Nord เปิดมาตั้งแต่ปี 1925 ตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับสถานีรถไฟด้านทิศเหนือ Gare du Nord ที่ใช้เดินทางไปอังกฤษ,เบลเยี่ยม,เนเธอร์แลนด์ มันเป็นเหมือนร้านต้นแบบของร้านอาหารแบบกรุงปารีส ยินดีเสมอที่จะต้อนรับผู้มาเยือน City of Light มหานครแห่งสีสันแห่งนี้ มีเพดานที่ตกแต่งยอดเยี่ยมด้วยโคมไฟระย้าสไตล์ Art Deco มีกระจกสีสันสดใสตกแต่งด้วยลาย Mucha ทำให้ Terminus Nord มีศิลปในแบบผสมกับ Art Nouveau ด้วยจึงมีเสน่ห์ดูยั่วยวน แบบปารีสแท้ ที่นี่มีชีวิตชีวาและเต็มไปด้วยชาวปารีสเองและผู้มาเยือนที่เป็นทั้งนักธุรกิจและนักท่องเที่ยวมารวมตัวกัน เพื่อจะได้เพลิดเพลินไปกับเมนูในบราสเซอรี่แบบฝรั่งเศสแท้ๆ ที่ผสมผสานระหว่างอาหารสไตล์ปารีสแบบดั้งเดิมและในแบบที่เสิร์ฟในชนบทและสร้างสรรค์โดยพ่อครัว Pascal Boulogne

และแน่นอนว่าที่นี่มีไวน์ชั้นดีของแต่ภูมิภาคเพื่อให้รสอาหารมันถึงรสถึงชาติมากขึ้นไปอีก จึงขอแนะนำ Terminus Nord ที่ๆจะให้ประสบการณ์มื้อเย็นที่น่าจดจำสำหรับทุกคนที่มาเที่ยวกรุงปารีสแบบ ‘The Ultimate Parisian Experience’

City Break Paris Brasseries Dinner in Paris 4

City Break Paris Brasseries Dinner in Paris 5

Choucroute Garnie เมนูหลักที่เป็นอาหารอัลซาส Alsatian แท้ๆที่เหมือนอาหารเยอรมัน Sauerkraut กับไส้กรอกนั่นเอง แต่รสชาติของฝรั่งเศสนุ่มนวลกว่าเหมาะกับการตบด้วยไวน์ขาว เพราะของเยอรมันนั้นมักหนักไปทางเค็มซึ่งเหมาะกับการดื่มเบียร์

City Break Paris Brasseries Dinner in Paris 6

หอยเอสกาโกต์ หรือ Burgundy Snails หมักด้วยไวน์ Chablis

Le Train Bleu ที่สถานีลิยง Gare de Lyon
หากท่านจะมุ่งลงใต้ด้วยรถไฟแบบ Mr.Bean ที่จะลงไปเที่ยว Cote d’azur ชายฝั่งภาคใต้ของฝรั่งเศส ในภาพยนต์เรื่องMr. Bean’s Holiday (2007) ท่านก็น่าจะเผื่อเวลาเพื่อแวะกินร้านอาหาร ‘เลอแทรงน์เบลอ’ เช่นเดียวกันนะครับ

City Break Paris Brasseries Dinner in Paris 7

สำหรัประวัติของที่นี่ก็ต้องย้อนกลับไปเมื่อปารีสกำลังจะได้รับการจัดแสดงนิทรรศการสากลครั้งใหม่ในปี 1900 (พ.ศ. 2443) หลังจากที่สถานีรถไฟ Saint-Lazare สร้างเสร็จและเปิดไปในปีในปี 1889(พ.ศ.2432 ปีเดียวกับที่หอไอเฟลสร้างเสร็จและมีการจัดแสดงนิทรรศการสากลครั้งแรก) ก็ได้มีการเปิดตัวสถานีลิยง Gare de Lyon เพื่อรองรับการขยายธุรกิจของ บริษัท PLM กับเส้นทางเดินรถไฟใหม่ Paris Lyon Marseille ซึ่งดำเนินการสายของเครือข่ายตะวันออกเฉียงใต้เมื่อปลายศตวรรษที่ 19 โครงการนี้ได้รับมอบหมายให้เป็นสถาปนิก Marius Toudoire ผู้สร้างหอระฆัง (Tower-tower) ขนาด 64 เมตรและอาคาร façade อนุสาวรีย์ของสถานี ซึ่งถือเป็นแลนด์มาร์คแห่งหนึ่งของปารีสได้เลยทีเดียว

การบริหารจัดการของบริษัทรถไฟต้องจัดการเรื่องอาหารที่ดีเยี่ยมเป็นจุดขายของเส้นทางนี้ จำเป็นต้องมี Catering ที่มีชื่อเสียงเป็นสัญลักษณ์ของการเดินทางที่เน้นความหรูหรา สะดวกสบาย โครงการร้านอาหารที่ชื่อบุฟเฟ่ต์ที่สถานีจึงเกิดขึ้นโดยสถาปนิกคนเดียวกัน

ร้านอาหารบุฟเฟ่ต์ที่สถานีด้รับการทำพิธีเปิดโดยประธานาธิบดีแห่ง สาธารณะรัฐ คือ Emile Loubet ในปี 1901

จนกระทั่งในปี1963 (ในปีพ. ศ. 2506) อัลเบิร์ตชัล wได้เปลี่ยนชื่อร้านบุฟเฟ่ต์เป็นร้าน “เลอรถไฟ Bleu” (รถไฟสีฟ้า) เพื่อเป็นตำนานของเส้นทาง« Paris-Vintimille »ซึ่งเป็นเส้นทางลงใต้ที่มีจุดหมายปลายทางเป็น Côte d’Azur

การแกะสลักการขึ้นรูป Moldings โคมไฟระย้าและภาพเฟรสโกครอบคลุมผนังทั้งหมดของร้านอาหารนั้นมีความประณีตประดิษฐไม่ต่างกับพิพิธภัณฑ์ในทศวรรษที่ 1900 มีการใช้ศิลปินชาวฝรั่งเศสจำนวนยี่สิบเจ็ดคนที่ได้รับรางวัลประกวดงานศิลปที่กรุงโรม( Prix de Rome )ในช่วงนั้นมาช่วยกันทำ
มีภาพวาดบนผืนผ้าใบ41ภาพที่วาดโดยศิลปินที่ประสบความสำเร็จมากชองยุคนั้นได้แก่ François Flameng, Henri Gervex, Gaston Casimir Saint-Pierre, René Billotte พวกเขาเน้นให้เห็นมุมมองของเมืองใหญ่และงานของบริษัทรถไฟ PLM ช่วง ศตวรรษที่ 20: Paris, Lyon, Marseille, Orange, Villefranche, Monaco, Nice, Saint-Honorat, the Mont-Blanc massif, etc.

City Break Paris Brasseries Dinner in Paris 8

ห้องอาหารที่ชื่อรถไฟสีฟ้าขบวนนี้ สวยงามด้วยภาพจิตรกรรมฝาผนังโบราณและม้านั่งไม้โอ๊กใหญ่ อบอวลไปด้วยบรรยากาศแบบหรูคลาสสิกแบบฝรั่งเศส และแน่นอนว่าที่นี่เสิร์ฟอาหารฝรั่งเศสคลาสสิกด้วยเช่นกัน เป็นต้นว่า กุ้งก้ามกรามที่เสิร์ฟบนสลัดน้ำมันวอลนัท ที่แนะนำให้เป็น Starter

ตามด้วย Pistachio-studded saucisson de Lyon

City Break Paris Brasseries Dinner in Paris 10

City Break Paris Brasseries Dinner in Paris 11

City Break Paris Brasseries Dinner in Paris 12

นอกจากบรรยากาศเป็นที่น่ารื่นรมย์แล้ว ราคาอาหารและไวน์ก็มีราคาสมเหตุสมผลทีเดียว ไม่ควรพลาดชิมนะครับ มีอยู่ช่วงหนึ่งที่ร้านนี้มีแฟนประจำเป็น Celeb เช่น Coco Chanel, Salvador Dali และ Brigitte Bardot

ร้าน MOLLARD ที่อยู่แถวสถานีรถไฟ Saint-Lazare

City Break Paris Brasseries Dinner in Paris 13

ในประวัติศาสตร์ของปารีส เมื่อวันที่ 27 สิงหาคม ค.ศ. 1837 นับเป็นความสำเร็จของระบบรถไฟของฝรั่งเศส เพราะถือวันนี้เป็นจุดเริ่มต้นด้วยการมีขบวนรถไฟแห่งแรกจาก สถานีรถไฟ Saint-Lazare ไปยัง Saint-Germain ย่านแซง – ลาซาร์ตอนนั้นยังเป็นย่านชานเมืองเกือบเป็นชนบท

City Break Paris Brasseries Dinner in Paris 14

ต่อมาย่านนี้ก็เจริญขึ้นเพราะในช่วง ค.ศ. 1862-1867 มีการก่อสร้างวิหาร Saint-Augustin โดย BALTARD จึงตามมาด้วยอาคารพาณิชย์และเกิดร้านอาหารที่ถือว่าเป็นเสมือน Brasserie แห่งแรกของกรุงปารีสที่มีชื่อว่าMOLLARD

City Break Paris Brasseries Dinner in Paris 15

ร้านสร้างในรูปแบบที่ทันสมัยมีการตกแต่งสถานที่อย่างสวยงามที่สุดของกรุงปารีส
ในปี ค. ศ.1896 นั้น MOLLARD สร้างเสร็จถือเป็นร้านอาหารที่เก๋ไก๋ที่สุดและเป็นจุดนัดพบของผู้ที่ต้องการความหรูหรา ถือเป็นร้านที่มีขนาดใหญ่ที่สุดทันสมัยที่สุดจากกรุงปารีส

City Break Paris Brasseries Dinner in Paris 16

จนถึงทุกวันนี้แม้ว่า MOLLARD จะดูเก่าแก่ไปตามกาลเวลา แต่มันก็ยังเปิดบริการให้ผู้มาเยือนที่ต้องการสัมผัสรสชาติ ของปารีสแท้ๆ และความขลังของประวัติความเป็นมาที่เก่าแก่ของร้านที่มีอายุกว่า 180 ปีแห่งนี้ของปารีส

City Break Paris Brasseries Dinner in Paris 17

City Break Paris Brasseries Dinner in Paris 18

เมนูกุ้ง Lobster Termidor ของร้าน Moullard

City Break Paris Brasseries Dinner in Paris 19

เมนู Plateaux Royal หรือ ทะเลรวมมิตร

 

City Break Paris Part XXV

By Pusit Sansopone

เบรกเที่ยวในกรุงปารีส ตอนที่ 25
เมื่อคราวที่แล้วผมได้พูดถึง ‘หอยนางรมฝรั่งเศส’ ว่ามีที่มาจากภูมิภาคไหนเมืองไหนกัน แล้วก็มีรูปแบบหรือชื่อเรียกว่าอย่างไรกันไปแล้ว คราวนี้จะเป็นเกร็ดความรู้เพิ่มเติมและจะแนะนำร้านว่าถ้าอยู่ในปารีสแล้วอยากกินหอยนางรมขึ้นมาควรไปกินร้านไหนที่ขึ้นชื่อเรื่องนี้

ฤดูเก็บเกี่ยวหอยนางรม:
จริงๆ แล้วเราสามารถหาหอยนางรมกินได้ตลอดปีในฝรั่งเศส แต่ว่าถ้าเป็นช่วงเก็บเกี่ยวได้หอยตัวอวบอ้วนดีนั้นเขาบอกว่าให้เลือกกินในเดือนที่มีตัว ‘R’ เริ่มจาก September ไปจนถึง March คงเป็นเพราะเดือน May ไปจนถึง August ซึ่งไม่มีตัว ‘R’ นั้นอากาศมันอบอุ่นเกินไป แบคทีเรียในน้ำมีเยอะแต่พออากาศหนาวแบคทีเรียอยู่ไม่ได้ สรุปก็คือหอยนางรมจะมีสุขภาพดีสมบรูณ์เมื่ออากาศเย็น

วิธีการกินหอยแบบชาวฝรั่งเศส:

City Break Paris Oyster Story in Paris 18

ในขณะที่คนไทยเราอาจคิดถึงน้ำจิ้มอาหารทะเลเมื่อเห็นหอยนางรมอยู่ตรงหน้า แต่ในฝรั่งเศสเนื่องจากหอยนางรมนั้นควรต้องpairกับไวน์ขาวที่รสกริ๊บและไม่หวานหรือ Dry& Crisp** เช่น Muscadet หรือ Sauvignon Blanc แต่ Sancerre หรือ Chablis/Chardonnay ก็ไปได้สวย ถ้าชอบแบบมีฟองก็ต้อง Champagnes ไปเลย ก่อนจะไปต่อขอแชร์**ความหมายของ Dry White Wine เล็กน้อย คือไวน์ขาวที่จะจัดว่าเป็นประเภท Dry หรือภาษาฝรั่งเศสใช้คำว่า ‘SEC’ ก็คือจะไม่หวานอาจมีรสเปรี้ยวของกรด(acidic= pH below 7.) แบบมะนาวหรือส้มนิดหน่อย ในทาง ทฤษฎีคำว่าไม่หวานก็คือมีปริมาณน้ำตาลอยู่ต่ำกว่า 4 กรัมต่อลิตร แต่ถ้ามากกว่า 4 กรัมแต่ไม่เกิน 12 กรัมต่อลิตร จะเรียกว่า Medium Dry หรือหวานน้อย

City Break Paris Oyster Story in Paris 14

ดังนั้นถ้าใช้น้ำจิ้มรสเผ็ดมันจะฆ่า (Over Power) รสชาติของไวน์ขาวราคาแพงไปหมด ชาวฝรั่งเศสจึงใช้น้ำจิ้มเป็นน้ำมะนาวเหลืองไม่กี่หยดหรือ Traditional Sauce ที่เรียกว่า มินโยเนต (Mignonette) ซอสที่ทำจากหอม Shallots สับละเอียดผสมกับน้ำส้มสายชู ไวน์แดง และเนื่องจากตัวหอยเองจะมีรสเค็ม (Briny) ของน้ำทะเลติดอยู่ แล้วเราก็ไม่ควรไปเพิ่มความเค็มด้วยเกลือใดๆ แต่ก็ใช่ว่าหอยนางรมแต่ละประเภทจะมีรสเหมือนกัน เราก็ควรเรียนรู้แบบเดียวกับการดื่มไวน์นั่นเอง ว่ารสของหอยนางรมนั้นมันมีกี่รูปแบบและมันใช้ศัพท์เฉพาะที่เรียกแบบไหน ดูตัวอย่างจากรูปข้างล่างนี้เราก็น่าจะพอได้ไอเดียครับ

City Break Paris Oyster Story in Paris 8

ภาพด้านบนนี้ อธิบายถึงรูปและรสที่แตกต่างกันของหอยนางรมแบบที่อยู่ตลาดบนได้ดี

City Break Paris Oyster Story in Paris 6

City Break Paris Oyster Story in Paris 20

อุปกรณ์และวิธีการแกะหอย

เพื่อรักษากลิ่นรส หอยนางรมจะไม่ถูกแกะล้างหรือนำไปแช่น้ำ มันมักจะอยู่ในเปลือกจนกระทั่งมาเสิร์ฟเราซึ่งขั้นตอนสำคัญก็คือมันจะต้องผ่านกรรมวิธีการแกะโดยผู้ชำนาญในการแกะหอยนางรมหรือเรียกว่า Ecailleur (Oyster Shucker) ซึ่งการแกะนั้นบ่อยครั้งทำแค่เปิดฝาเท่านั้นแม้แต่เอ็นกล้ามเนื้อ (Adductor) ที่ติดเปลือก ก็จะไม่หั่นออกให้ เพื่อโชว์ความสด เราจะต้องใช้มีดหรือส้อมเล็กๆ ค่อยๆ งัดแงะเอาเอง ควรบีบมะนาวเล็กน้อยและหรือใส่ซอส Mignonette ในเปลือกหอยแล้วก็ยกทั้งเปลือกกระดกเทเข้าปากพร้อมเงยหน้าตามจังหวะ, มีคำแนะนำจากผู้สันทัดกรณี บอกว่าวิธีที่จะมีความสุขกับการกินหอยนางรมนั้นให้ใช้หลักการเดียวกับการลิ้มรสชาติไวน์คือให้ดมกลิ่นความสดของมันก่อนที่รินมันเข้าปากพร้อมกับน้ำคลุกคลิกที่ประกอบด้วยซอสหรือน้ำมะนาวที่เราใส่ผสมผสานกับน้ำจากตัวหอย แล้วเคี้ยว 2-3 ครั้งจึงกลืน

City Break Paris Oyster Story in Paris 24

City Break Paris Oyster Story in Paris 25

ประโยชน์หรือคุณค่าทางโภชนาการ
เนื่องจากสมัยนี้นั้นมีข้อเท็จจริงมากมายที่ออกมาในรูปแบบของ Advertorial ไม่ว่าจะกินเบียร์กินไวน์กินไข่มันกลายเป็นมีประโยชน์ไปซะหมดป้องกันโรคร้ายโน่นนี่นั่น ผมก็เลยจะไม่ชี้นำใดๆ เพราะเราไม่ได้เป็นผู้ทำวิจัยเองเอาเป็นว่าแนะนำให้ใช้หลักเกณฑ์ ‘เดินสายกลางและคิดบวก’ ก็คืออะไรก็แล้วแต่ที่มนุษย์เรากินกันมากว่า 2,000 ปีแล้ว เช่นหอยนางรมก็นิยมกินมาตั้งแต่สมัยโรมัน ถ้าบริโภคในปริมาณพอเหมาะมันก็น่าจะมีประโยชน์ด้านใดด้านหนึ่ง อย่างน้อยก็ด้านจิตใจถ้าเราคิดบวก เช่นถ้าเราคิดว่ากินแล้วมันช่วยเพิ่มพลังทางเพศ ก็กินไปเลยครับ จากนั้นคุณก็จะเต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ เพราะเรื่องเพศมันอาจจะต้องการแค่ความมั่นใจในตัวเองก็ได้

ความเชื่อเรื่องการกินหอยนางรมแล้วเพิ่มพลังทางเพศ (Aphrodisiac)อาจเป็นเพราะว่าหอยนางรมมีสารzinc อยู่มาก ซึ่งว่ากันว่าคนที่สมถะภาพทางเพศถดถอย (Impotence)ไปก็เพราะขาดzinc นี่แหละ สำหรับประโยชน์อื่นๆน่าจะมีคำอธิบายในรูปข้างล่างนี้ครบถ้วนแล้ว

City Break Paris Oyster Story in Paris 21

กินหอยนางรมที่ไหนดีในปารีส

หอยนางรมนั้นมีขายเยอะไปหมดในบรรดาร้านอาหารทั้งหลายของเมืองแห่งอาหารอย่างปารีส แต่จะมีร้านไหนที่ขึ้นชื่อเรื่องหอยนางรมคุณภาพบ้าง ต้องลองเช็คร้านข้างล่างนี้ดูครับ

 

Atao

City Break Paris Oyster Story in Paris 16

City Break Paris Oyster Story in Paris 19

นักออกแบบแฟชั่นและสไตล์ลิสต์ที่ชื่อ Laurence Mahéo ได้รับมรดกเป็นฟาร์มหอยนางรมที่บริตตานีหลังจากที่พ่อของเธอเสียชีวิต ในช่วงแรกเธอก็ขายส่งหอยจากฟาร์มนี้ให้กับโรงแรมชื่อดังอย่าง Le Meurice ต่อมาก็เลยมาเปิดร้านเป็นของตัวเองที่ปารีสตั้งชื่อว่าร้าน Atao ซึ่งเป็นร้านอาหารทะเลสไตล์ ‘ฮิป’ (ที่อยู่ 86 rue Lemercier, 17e,tel. 01-46-27-81-12) เธอได้พ่อครัวชาวญี่ปุ่นมาช่วยทำให้ได้อาหารทะเลที่แตกต่าง เช่น การผัดอาหารทะเลโดยใช้เหล้าสาเก Sautéed In Sake

 

Le Bar a Huitres

City Break Paris Oyster Story in Paris 3

เป็นร้านอาหารทะเลชื่อดัง มีถึง 4 สาขาทั่วเมือง (112 boulevard du Montparnasse, 14e, 01-43-20-71-01; 33 Boulevard Beaumarchais, 3e, 01-48-87-98-92; 33 rue Saint-Jacques, 5e, 01-44-07-27- 37; 69 avenue de Wagram, 17e, 01-43-80-63-54) โดดเด่นด้วยการตกแต่งภายในแบบทันสมัยมีเอกลักษณเฉพาะตัวคือจะมีตู้น้ำทะเลอยู่ในร้าน และที่สำคัญทางร้านได้เน้นคัดเลือกเลือกหอยหอยนางรมที่ยอดเยี่ยมจากฟาร์ม Ostreiculteur Yvon Madec ในบริตตานีและหอยนางรมที่หายาก เช่น Etang de Diana จากเกาะคอร์ซิก้า อาหารทะเลอื่น ๆ ก็มีมากอยู่ ถ้าชอบสถานที่แบบหรูหน่อยก็แนะนำที่นี่นะครับ

City Break Paris Oyster Story in Paris 4

รูปบนเป็นร้าน Le Bar a Huitres สาขา Saint-Germain rue Saint-Jacques, 5e

City Break Paris Oyster Story in Paris 5

รูปบนเป็นร้าน Le Bar a Huitresสาขา Place des Vosges Boulevard Beaumarchais, 3e

 

L’Ecailler du Bistrot

City Break Paris Oyster Story in Paris 23

City Break Paris Oyster Story in Paris 7

ไม่แปลกใจเลยว่าบริสโตรแห่งนี้มักจะเต็มตลอดเวลาอาจเป็นเพราะมันอยู่ใกล้ๆกับบริสโตรชื่อดังของเขต 11 ที่ชื่อ Le Paul Bert Bistro (22 Rue Paul Bert, 11e, 01-43-72-76-77) ซึ่งดูเหมือนเจ้าของร้านทั้งสองจะเป็นญาติกันด้วย แต่ร้านนี้ให้บริการหอยนางรมที่ยอดเยี่ยม เนื่องจากสุภาพสตรีเจ้าของร้านที่ชื่อGwenaëlle Cadoret มีคุณพ่อซึ่งเป็นผู้มีชื่อเสียงจากการทำฟาร์มหอยนางรมอยู่ที่ Riec-sur-Belon ใน บริตตานี และจะให้สิทธิพิเศษกับร้านนี้โดยการคัดเลือกอย่างดีก่อนที่จะsupplyให้บริสโตรแห่งนี้เป็นอันดับแรกอีกด้วย มาที่นี่ต้องลองสั่งจานปลา Sole Meunière ด้วยนะครับเด็ดมากร้านนี้ผมไปลองมาแล้วครับ

 

Garnier

City Break Paris Oyster Story in Paris 13

อยู่ตรงข้ามถนนจากสถานีรถไฟแซงต์ ลาซาร์ (Gare Saint Lazare) ในละแวกเดียวกับย่านช็อปปิ้งที่มีห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ Printemps และ Galeries Lafayette ถ้าท่านมาช็อปปิ้งแถวนี้ต้องแวะครับ ผมไปลองมาแล้วแต่เป็นมื้อเย็น มันคือร้านอาหารทะเลที่เป็นที่นิยม (111 Rue St Lazare, 8e, 01-43-87-50-40) แต่หากมาคนเดียวหรืออยากกินแต่หอยนางรม ที่นี่ก็มีเคาร์เตอร์บาร์หอยรมอยู่ไกล้ประตูหน้าซึ่งเหมาะสำหรับการรับประทานอาหารแบบเดี่ยวหรืออาหารเที่ยงแบบง่ายๆ

City Break Paris Oyster Story in Paris 1

 

 

L’ Huîtrier

City Break Paris Oyster Story in Paris 15

Francisco Pires ซึ่งเป็นผู้ชำนาญในการแกะหอยนางรมหรือเรียกว่า Ecailleur (Oyster Shucker)ไม่ใช่ผู้ชำนาญธรรมดา แต่ได้ตำแหน่งชนะเลิศผู้ที่แกะหอยนางรมที่ดีที่สุดในประเทศฝรั่งเศสโดยได้รับรางวัลจากการแข่งขันประจำปีที่รัฐบาลจัดมาหลายครั้งแล้ว Francisco Pires เล็งเห็นโอกาสก็เลยตั้งร้านอาหารทะเลขายหอยนางรมที่ชื่อ L ‘Huîtrier (16 Rue Saussier-Leroy, 17e, 01-40-54-83-44) ดังนั้นหากคุณได้ไปกินหอยที่ร้านนี้ให้ลองยืนดูเขาทำงานก่อน คือเขาจะแกะหอยจานที่จะเสิร์ฟคุณเป็นการโชว์ฝีมือให้ประจักษ์

 

Huîtrerie Régis

City Break Paris Oyster Story in Paris 22

ร้านนี้แฟนหอยนางรมทุกคนรู้จักดีมันอยู่ในย่านทันสมัย Saint-Germain-des-Pres (3 Rue Montfaucon, 6e, 01-44-41-10-07) ร้านก็ไม่ใหญ่มากแต่คนที่เข้าไปกินดูเหมือนจะเป็นคนดังๆ ของวงการแฟชั่นฝรั่งเศสรวมทั้งวงการอื่นๆ เพราะที่นี่เสิร์ฟหอยนางรมที่มาจาก Marennes- Oléron ซึ่งเป็นทีเด็ด ส่วนจานรองก็เป็นกุ้งต้มและหอยเม่นทะเล แน่นอนว่าเสบียง อาหารอาจดูน้อยแต่ร้านนี้ไม่ขาดเรื่องเสบียงไวน์ขาวจากย่าน Loire Valley เป็นอะไรที่มันเข้ากันได้ดีกับหอยจาก Marennes- Oléron เป็นอย่างดีครับ

ก่อนจบเรื่องแนะนำร้านจะของปิดท้ายด้วยการแนะนำร้านแบบ “Good Deal”! สัก 3 ร้านครับ

 

Le Mary Celeste (เล มารี เซเล่ส)

1 Rue Commines, 75003 Paris, France

City Break Paris Oyster Story in Paris 17

เริ่มด้วยหอยนางรมที่ร้านแบบเรียบง่ายคือราคาเริ่มจากตัวละ1€ เท่านั้นในช่วง Happy Hours แถมที่นี่ใช้ซอสที่ปรุงแบบเผ็ดใส่เครื่องเทศเยอะสไตล์ซอสของชาวเอเซียแบบเรา

 

Le Bouillon de l’Est! (เลอบุยยองเดอเลส)
5, rue d’Alsace, 75010

City Break Paris Oyster Story in Paris 9

ร้านนี้ทุกวันพุธตั้งแต่6โมงเย็น เราสามารถกินหอยนางรมชิลลาโด( Gillardeau oysters)ที่ได้ฉายาว่าเป็นโรลสรอยส์ของหอยนางรมราคาเพียงตัวละ 1€ หาได้ที่ไหนกันละครับ แถมยังมีดนตรีสดเล่นให้ดูอีกด้วย บรรยากาศแบบปารีสบิสโทรแท้ๆ เยี่ยมครับ

 

LE COMPTOIR DES MERS (เลอ กอมพ์ตัวร์เดส์แมรส์)

1, rue de Turenne, 75004

สำหรับคนที่กินหอยแบบไม่ยั้งคงต้อง มาที่นี่แล้วละครับ “all you can eat” Oyster Buffet ในราคาต่อท่านที่ 36€ ที่สำคัญมันไม่ได้มีให้เลือกแต่หอยพื้นๆ มันมีหอยระดับ Grand Cru ให้เราเลือกกินไม่อั้นเช่น Belon, Gillardeau, Isigny, Fine de Claire และเนื่องจากที่นี่มีแผนกที่ขายอาหารทะเลด้วยสำหรับท่านที่อยากจะมี”ปาร์ตี้หอย”ที่บ้านหรือที่โรงแรมที่เราพักที่นี่ยังมี take-away หรือสั่ง Delivery มาก็ได้ แค่หาไวน์ขาวดีๆ กลับมาด้วยคุณก็สามารถปาร์ตี้(หอย)ส่วนตัวได้ไม่ยาก

 

Credit: Alexander Lobrano, http://www.insidr.paris

 

โปรดติดตาม City Break Paris ในตอนต่อไปได้ที่นี่ครับ