“Villa Suasana” การใช้ชีวิตที่ใกล้ชิดธรรมชาติและความยั่งยืนแบบมีสไตล์ ที่บันยัน ไทยแลนด์ หัวหิน

🔹The Editors Society 🔹 ได้มีโอกาสไปสัมผัสกับประสบการณ์แห่งไลฟ์สไตล์สุดเก๋ที่ บันยัน ไทยแลนด์, หัวหิน  อีกชุมชนใหม่สำหรับคนแอคทีฟสุขภาพดีใกล้ชายหาดหัวหิน แหล่งพักผ่อนยอดนิยมของไทย ที่เชิญคนมีสไตล์มาร่วมสัมผัสโครงการที่อยู่อาศัยในคอนเซ็ปต์ใหม่ “Villa Suasana” เป็นการเปิดตัววิลล่าตัวอย่างที่จะสะท้อนให้เห็นการใช้ชีวิตที่ใกล้ชิดธรรมชาติและความยั่งยืนแบบมีสไตล์

018

สำหรับ Villa Suasana นี้ได้ถูกออกแบบมาเพื่อคนรุ่นใหม่คู่รัก และครอบครัวที่ต้องการใช้ชีวิตอย่างอิสระ ชื่อของโครงการมาจากภาษาบาหลีที่แปลว่า “บรรยากาศ” ตัวโครงการเป็นพูลวิลล่า มีทั้งแบบ 2 ห้องนอนและ 3 ห้องนอนมีพื้นที่ใช้สอยระหว่าง 137-227 ตารางเมตร เพดานสูงที่ให้ความโปร่ง โล่ง สว่างด้วยแสงธรรมชาติ บริเวณบ้านมีพื้นที่กว้างขวางบนที่ดินขนาดระหว่าง 108.75 – 204 ตารางว

เป็นการใช้ชีวิตแบบทันสมัย ใส่ใจความยั่งยืน วิลล่าแต่ละหลังจะมีดีไซน์ที่ทันสมัย สื่ออารมณ์สนุกสนาน มีความสมดุลอย่างลงตัวระหว่างความเป็นส่วนตัวและความอบอุ่นผ่อนคลาย  ห้องนอนแต่ละห้องอยู่แยกจากกันและมีความเป็นส่วนตัวสูง แต่ทุกห้องเชื่อมต่อกับพื้นที่ส่วนกลางได้อย่างสะดวกสบาย  มีระเบียงกว้างขวางติดสระว่ายน้ำส่วนตัว  ครัวที่ออกแบบอย่างทันสมัยและมีการเล่นระดับของพื้นในตัววิลล่า การตกแต่งภายในที่กว้างขวาง และสว่าง  เพดานสูงช่วยให้รู้สึกโล่งสบาย

ทางด้านแนวคิดการออกแบบของโครงการ ให้ความสำคัญกับความยั่งยืนเป็นอย่างมาก มีการใช้งานที่เน้นความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม วิลล่าแต่ละหลังของ Villa Suasana ติดตั้งแผงวงจรพลังงานแสงอาทิตย์  ผนังกันความร้อน สระว่ายน้ำที่เป็นน้ำเกลือ น้ำประปากรอง และระบบอัตโนมัติอัจฉริยะภายในบ้านสำหรับควบคุมระบบไฟส่องสว่าง  นอกจากจะเป็นการออกแบบที่เน้นการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมแล้วยังช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงาน ขณะเดียวกันก็เพิ่มมูลค่าสำหรับผู้ที่ต้องการปล่อยเช่าหรือขายต่ออีกด้วย

004

อีกทั้งยังใช้วัสดุคุณภาพพรีเมียม Villa Suasana มอบความสบายใจให้แก่ผู้เป็นเจ้าของอย่างเต็มที่ ทั้งตัวบ้านที่สร้างด้วยวัสดุก่อสร้างที่คัดสรรมาอย่างดี ตัวบ้านที่แข็งแรงทนทาน และบริการดูแลรักษาหลังการขาย นอกจากนี้ ในการก่อสร้าง ยังได้ผู้อำนวยการโครงการบันยัน เรสซิเดนซ์ จากประเทศเนเธอแลนด์ที่มากด้วยประสบการณ์เป็นผู้ดูแลอย่างใกล้ชิด

บันยัน เรสซิเดนซ์ ได้รับรางวัล “โครงการบ้านที่อยู่อาศัยยอดเยี่ยมในหัวหิน” จาก PropertyGuru Thailand Property Awards 2022 ซึ่งแสดงถึงคุณภาพอันโดดเด่นของโครงการ   โดยคณะกรรมการผู้ตัดสินรางวัลเป็นผู้เชี่ยวชาญในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ โดยพิจารณาจากการออกแบบที่ทันสมัยของตัววิลล่า ความสะดวกสบายในการอยู่อาศัย และสิ่งแวดล้อมที่ดี

011

ชุมชนคนแอคทีฟสุขภาพดี

012

Villa Suasana เป็นส่วนหนึ่งของโครงการบันยัน เรสซิเดนซ์ที่กว้างขวาง และปลอดภัยด้วยรั้วรอบขอบชิด และมีการดูแลความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมงทุกวัน วิลล่าแต่ละหลังโอบล้อมอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่เน้นความเป็นธรรมชาติ มองเห็นทิวเขาสวยงามทั้งสองด้าน สามารถขับรถไปถึงชายหาดสวยงามได้ในไม่กี่นาที และอยู่ไม่ไกลจากบันยัน กอล์ฟ คลับซึ่งเป็นสนามกอล์ฟระดับโลก  ศูนย์รวมการออกกำลังกายที่ทรู อารีนา สปอร์ต เซ็นเตอร์ และใจกลางเมืองหัวหิน  รวมทั้งยังอยู่ใกล้ศูนย์สุขภาพนานาชาติ อย่าง Be Well สำหรับครอบครัวในโครงการบันยัน ไทยแลนด์, หัวหิน อีกด้วย

013

เทียส ควั๊น ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของกลุ่มบันยันประเทศไทย กล่าวว่า “ตลอดกว่า 15 ปีที่ผ่านมา บันยันได้พัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยที่ทำให้ทุกคนได้มีบ้านในฝัน บ้านพักตากอากาศ หรือการลงทุนเพื่ออนาคต  เพราะสำหรับเราแล้ว เจ้าของบ้านทุกท่านจะต้องมี “ชีวิตที่ดี” ในชุมชนที่มีคุณภาพ   โครงการ Villa Suasana เป็นที่อยู่อาศัยในคอนเซ็ปต์ที่เน้นธรรมชาติ และการใช้ชีวิตแบบยั่งยืน แนวคิดนี้จะผลักดันให้หัวหินเป็นสถานที่สำหรับคนเมือง นักธุรกิจและนักลงทุนที่มีความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมมาอยู่ร่วมกันมากขึ้น”

เจ้าของบ้านในโครงการยังจะได้รับสิทธิพิเศษในการออกรอบที่ บันยัน กอล์ฟ คลับ ในราคาพิเศษ และเป็นสมาชิก บันยัน พริวิเลจ คลับ เพื่อรับส่วนลดจากร้านอาหารชั้นนำ บีชคลับ ศูนย์กีฬา ศูนย์สุขภาพ และอื่นๆ อีกมากมายทั่วหัวหินกว่า 60 แห่ง

015

สำหรับแนวโน้มใหม่ของการใช้ชีวิ

001

โครงการ Villa Suasana เป็นอีกก้าวหนึ่งที่นำบันยันเข้ามาเป็นหนึ่งในผู้สร้างเทรนด์ให้กับครอบครัวคนกรุงเทพที่ต้องการใช้เวลาว่างใกล้ชิดธรรมชาติและผ่อนคลายที่ชายหาดมากขึ้น  ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนในปัจจุบันให้เปลี่ยนไปใช้ชีวิตที่มีความยืดหยุ่นมากขึ้น ทำงานที่บ้านกันให้เป็นเรื่องปกติ ซึ่งในปัจจุบันต่างก็เลือกที่จะเลี่ยงการจราจรวุ่นวายซึ่งทำให้เสียเวลามากไปกับการเดินทางในแต่ละวัน

002

โครงการ Villa Suasana อยู่ห่างจากกรุงเทพฯ ขับรถเพียงแค่ 2.5 ชั่วโมง  หัวหินเป็นเมืองตากอากาศยอดนิยมของคนกรุงเทพ และได้รับความนิยมสูงจากชาวต่างชาติที่ย้ายมาอาศัยอยู่ที่นี่  รวมทั้งยังเป็นเมืองที่น่ารัก มีเสน่ห์แบบไทยทำให้เป็นที่นิยมมากสำหรับคนไทย โดยเฉพาะหลังจากการระบาดของโควิดเนื่องจากเป็นเมืองที่น่าอยู่ มีคนที่มีไลฟ์สไตล์แบบแอคทีฟและมีสุขภาพดี  มีการพัฒนาสาธารณูปโภคต่างๆ มากมาย เช่น ทางยกระดับใหม่ รถไฟรางคู่ และสนามบินหัวหิน

พิเศษสุดโปรโมชั่นฉลองเปิดตัว

เพื่อฉลองการเปิดตัววิลล่าตัวอย่างของ Villa Suasana บันยัน ไทยแลนด์, หัวหิน ได้เตรียมข้อเสนอพิเศษ สำหรับลูกค้าใหม่ ซึ่งจะได้รับสกูตเตอร์ไฟฟ้า Segway Ninebot 2 คันเพื่อการเดินทางรอบโครงการได้อย่างสะดวกโดยใช้พลังงานสะอาดและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม  และเตาบาร์บีคิวZiegler & Brown จากออสเตรเลีย ข้อเสนอพิเศษนี้เฉพาะช่วงเปิดตัวจนถึงวันที่ 31 สิงหาคมนี้เท่านั้น

014

019

ลูกค้าสามารถเลือกที่จะตกแต่งบ้านได้ตามความต้องการ วิลล่าแบบสแตนดาร์ด มีให้เลือกทั้งแบบ 2 ห้องนอนพื้นที่ใช้สอย 137 ตารางเมตร  แบบ 3 ห้องนอน พื้นที่ใช้สอย 189 ตารางเมตร โดยทั้งสองแบบมีระเบียงด้านนอกอาคารและสระว่ายน้ำส่วนตัว   วิลล่าแบบดีลักซ์ ซึ่งมีแบบ 2 ห้องนอนพื้นที่ใช้สอย 150 ตารางเมตร และแบบ 3 ห้องนอน พื้นที่ใช้สอย 227 ตารางเมตร  โดยทั้งสองแบบมีพื้นที่ทั้งภายในและภายนอกอาคารกว้างขวาง และมีสระว่ายน้ำส่วนตัว

030

021

023

024

020

Villa Suasana เปิดตัวในราคาเริ่มต้น 9.9 ล้านบาท – 16.9ล้านบาท ท่านสามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.banyanthailand.com/residences/villa-suasana หรือโทร. 032 538 888

007

008

009

010

ปีชงคืออะไร? ทำความรู้จัก เจาะลึก “ปีชง” แบบละเอียดพร้อมวิธีแก้ชงเสริมดวง

ไม่ต้องเป็นสายมูฯ ก็รู้ว่า ความปังปุริเย่ของคน มันต้องอาศัยความเก่งและความเฮงไปด้วยจริงไหม… มาเสริมสร้างความเฮง ขจัดเรื่องร้ายๆ ที่อาจจะเป็นอุปสรรค ขัดขวางความปังของเรากันดีกว่า ประเดิมปีใหม่จีนด้วยการแก้ชง เสริมดวงให้ชีวิตสดใส แต่ก่อนจะเข้าสู่ขั้นตอนว่าจะแก้ชงได้อย่างไร มาเจาะลึก พร้อมทำความรู้จักกันให้ถ่องแท้ก่อนว่า “ปีชงคืออะไร” ใครต้องแก้ชงบ้าง แล้วทำไมต้องพากันไปแก้ชง!? ความสงสัยเรื่องแก้ชงจะหายไปตั้งแต่นี้ต่อไป เพราะ Surekrub จะพาไปทำความเข้าแบบละเอียด ไขทุกความสงสัยของการแก้ชง

“ปีชง” คืออะไร?

“ปีชง” เป็นเรื่องของโหราศาสตร์จีน ที่แบ่งพลังกาลเวลาออกเป็น 60 ช่วงเวลา เรียกว่า “ไท้ส่วย” (เทพเจ้าคุ้มครองดวงชะตา) ซึ่งเป็นเทพที่มีอิทธิพลต่อการดำเนินชีวิตของคนโดยตรง ซึ่งแต่ละช่วงเวลาก็จะจับคู่เป็นมิตรและปะทะกัน ซึ่งคำว่า “ชง” นี้ มีความหมายว่า “การปะทะ” เมื่อไหร่ก็ตามที่พลังกาลเวลา (ไท้ส่วย) ในปีนั้น มาจับคู่กับพลังกาลเวลา (ไท้ส่วย) ในดวงชะตาปีเกิด ปีนั้นก็จะกลายเป็นปีชง และเมื่อก้าวเข้าสู่ปีชงแล้ว ปีนั้นก็จะเกิดเรื่องร้ายในชีวิต มีผลกระทบที่ไม่ดีเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเคราะห์กรรม อุบัติเหตุ สุขภาพ หรืออุปสรรคเรื่องอื่นๆ ที่เข้ามารุมเร้ากันไม่หยุดหย่อน

 “ชงเต็ม” และ “ชงร่วม” คืออะไร?

ในแต่ละปี จะมีปีเกิดถึง 4 ปีนักษัตรด้วยกัน ที่เกี่ยวข้องกับ“ปีชง” โดยแบ่งออกเป็น 1 ปีนักษัตรที่เป็นปีชงเต็ม หรือชง 100% ซึ่งเป็นปีนักษัตรที่ได้รับผลกระทบจากเรื่องร้ายไปเต็มๆ ส่วนอีก 3 ปีนักษัตร ถือเป็นปีชงร่วม ที่จะได้รับผลกระทบน้อยกว่าปีชงเต็มนั่นเอง ได้แก่

1. ปีชง: ชงเต็ม หรือ ชง 100% เป็นปีนักษัตรได้รับผลกระทบมากที่สุด สำหรับปีชง 2564 คือปีมะแม
2. ปีคัก: ปีนักษัตรเดียวกับปีนั้นๆ ปีฉลู
3. ปีเฮ้ง: ปีนักษัตรที่ได้รับผลกระทบเรื่องเคราะห์กรรม ปีมะโรง

4. ปีผั่ว: ปีนักษัตรได้รับผลกระทบสุขภาพ ปีจอ

ธูป

วัด

หากปีชงก็ควรแก้ชง!

ก่อนที่จะเกิดเรื่องร้ายๆ เรื่องไม่ดีขึ้นในชีวิต คนปีชงเพื่อความสบายใจก็ควรแก้ชง เสริมดวงชะตา เพื่อความปัง ความเฮง ความเป็นสิริมงคลในชีวิต โดยขั้นตอนการแก้ชงนั้นไม่ยากอย่างที่คิด

Step 1: เดินทางไปวัดจีนใกล้บ้าน

Step 2: ซื้อชุดเซ็ทของไหว้ ชุดสะเดาะห์เคราะห์แก้ปีชงพร้อมซองบรรจุดวงชะตา

Step 3: นำซองบรรจุดวงชะตา มาเขียนชื่อ-นามสกุล วันเดือนปีเกิด นำเครื่องแก้ชง (ส้มมงคล 1 จาน) จุดธูปเทียนไหว้องค์เทพไท้ส่วยเอี้ย พร้อมขอพร ฝากดวงชะตา ตามบทสวด “โอม สะ ระ วะ ตะ ถา คะ โต  ศะ นี ศะ สิ ตา ตะปะ เต หูม ผัฏ  หูม มะ มะ หู นิ สะ วา หา” เสร็จแล้วนำธูปไปปักตามจุดที่ทางวัดเตรียมไว้ จากนั้นให้เติมน้ำมันตะเกียง เพื่อให้ชีวิตโชติช่วงตลอดปี

Step 4: นำซองบรรจุดวงชะตาที่เขียนเสร็จแล้ว พร้อมกระดาษเงินกระดาษทอง 13 แผ่น ปัดออกจากตัว 13 ครั้งจากนั้นนำซองบรรจุดวงชะตาไปฝากไว้หน้าองค์เทพไท้ส่วยเอี้ย

Step 5: เผากระดาษเงินกระดาษทอง พร้อมนำผลส้มกลับไปทาน เพื่อสร้างสิริมงคลให้กับชีวิต

แต่ในช่วงยุคโควิด19 แบบนี้การเดินทางออกไปข้างนอก แล้วต้องทำกิจกรรมที่มีคนเยอะเช่นนี้ ค่อนข้างเสี่ยงต่อโรค และเพื่อให้ชีวิตเราไม่ต้องเสี่ยง อะไรที่เลี่ยงได้เราควรเลี่ยง แก้ชง ได้ง่ายๆ แบบไม่ต้องเดินทาง ไม่ต้องเสี่ยงกับโควิด “ประกันแก้ชง” จาก Surekrub จะเดินทางไปแก้ชงให้ที่วัดหน่าจาไท้จื้อ จังหวัดชลบุรี นอกจากแก้ชงให้แล้ว ประกันนี้ยังครอบคลุมไปถึง โควิด19 คุ้มครองอุบัติเหตุ และโจรกรรมอีกด้วย เรียกว่า เป็นประกันแนวใหม่ ที่ตอบโจทย์สายมูได้จริงๆ ใครที่กำลังรู้สึกไม่ดีกับเรื่องความชงของตัวเอง หรือมีเพื่อนก็บอกเพื่อนให้ไว จัดให้ไว ซื้อให้เร็ว ประกันปีชง เรื่องแคล้วคลาดจากร้ายกลายเป็นดีเฮงๆ แน่ปี 2564

ดูรายละเอียดและซื้อประกันปีชง คลิกเลย

วัว

นอกจากแก้ชงที่วัดจีนใกล้บ้านแล้ว ยังมีวิธีแก้ชงอื่นๆ เช่นทำบุญไถ่ชีวิตสัตว์ เช่น โค กระบือ ปล่อยนก ปล่อยปลาการบริจาคเลือด หรือจะไหว้พระ 9 วัด ก็ได้

FYI : สำหรับช่วงเวลาในการแก้ชง คนส่วนใหญ่นิยมเดินทางไปแก้ชงในช่วง “วันตรุษจีน” ซึ่งเป็นวันเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ปีใหม่ของชาวจีน หรือหลังจากวันตรุษจีนเล็กน้อย

 สิ่งที่คนปีชงควรหลีกเลี่ยง

เมื่อชีวิตเดินมาถึงปีชง… สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงในปีนั้นๆได้แก่

1. ไม่ควรไปงานศพ พิธีส่งศพ ฝังศพ หรือนำหีบศพลงหลุมศพ เชื่อกันว่า หากคนปีชงเดินทางไปร่วมงานศพ หรือพิธีกรรมที่กล่าวไปข้างต้นนี้ จะทำให้เจ็บป่วย ธุรกิจการค้าประสบปัญหาได้ หากไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้จริงๆ งานศพนี้สำคัญมาก จำเป็นต้องไป แนะนำให้พกกิ่งใบทับทิมติดตัวไปด้วย หลังกลับจากงานศพ ก่อนเข้าบ้านให้นำน้ำสะอาดใส่กิ่งทับทิม แล้วปัดให้ทั่วตัวก่อนเดินเข้าบ้าน

2. ไม่ควรเดินทางไกล ไปยังสถานที่ที่เสี่ยงอันตรายเด็ดขาด ในช่วงปีนี้อยากให้ระมัดระวังกันเป็นพิเศษ อย่าได้ประสาทเชียว ในกรณีที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ แนะนำให้แก้ชงกันเสียก่อน และพกยันต์ หรือ ฮู๊ ติดตัวไปด้วยจะช่วยได้

พาไปทำความรู้จัก “ปีชงคืออะไร พร้อมขั้นตอนแก้ไขป้องกัน แก้ชงกันไปพอสมควรแล้ว ใครรู้ตัวว่าเป็นปีชงก็อย่าลืมรีบไปแก้ชงกันให้ไว แต่ไม่ว่าจะชงเต็ม ชงร่วม หรือคนไม่ชง ก็ให้ surekrub ช่วยแก้ชงให้ได้ “ประกันแก้ชง” ประกันที่คนชงปี 2564 ต้องมีไว้ ซื้อประกันแก้ชง >> คลิกตรงนี้

บำรุงราษฎร์ ครบรอบ 40 ปี มั่นใจศักยภาพการแพทย์ครบทุกมิติ นำไทยสู่แถวหน้าด้านการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ของโลก

จากการประชุมศูนย์กลางด้านการแพทย์ ปี 2561 รายงานว่ามีผู้ป่วยต่างชาติมาใช้บริการในด้านการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ ประมาณ 3.4 ล้านครั้ง สร้างรายได้ให้ประเทศกว่า 1.4 แสนล้านบาท และไทยยังมีสถานบริการสุขภาพผ่านมาตรฐานคุณภาพสถานพยาบาลระดับสากลJCI ถึง 68 แห่ง มากที่สุดในอาเซียน สะท้อนให้เห็นถึงความได้เปรียบในการแข่งขันด้าน Medical Hub ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายประเทศ

Bumrungrad -13

ภญ.อาทิรัตน์ จารุกิจพิพัฒน์ ผู้อำนวยการด้านบริหาร (CEO) โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์

Bumrungrad -7

ในโอกาสครบรอบ 40 ปี โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ภญ.อาทิรัตน์ จารุกิจพิพัฒน์ ผู้อำนวยการด้านบริหาร (CEO) โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ เปิดเผยว่า นับตั้งแต่วันแรกที่เปิดให้บริการคือวันที่ 17 กันยายน 2523 บำรุงราษฎร์ให้การบริบาลผู้ทั้งคนไทยและคนทั่วโลกมาถึง 40 ปีการรักษาคือหัวใจสำคัญที่เรายึดมั่นมาตลอดโดยยึดผู้ป่วยเป็นศูนย์กลางเพื่อส่งมอบการรักษาและประสบการณ์ที่ดีที่สุดด้วยคุณภาพมาตรฐานและความปลอดภัย รวมทั้งความพยายามที่จะยกระดับคุณภาพการรักษาและการบริการอยู่ตลอดเวลาอย่างต่อเนื่อง เป็นผลสืบเนื่องในวันนี้ โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ได้กลายเป็นที่ประจักษ์และได้รับการยอมรับว่า เป็นต้นแบบและจุดหมายหมายปลายทางของการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ของโลก (Medical Tourism Destination) โดยโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์เป็นโรงพยาบาลแห่งแรกของโลกที่ได้การประกาศรับรองจาก Global Healthcare Accreditation (GHA) COVID-19 ซึ่งเป็นการรับรองด้านมาตรฐานความปลอดภัยระดับสากลสำหรับการจัดการการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ

Bumrungrad -1

ด้วยประสบการณ์กว่า 40 ปีของโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ เรายังคงมุ่งมั่นในการขับเคลื่อนองค์กรสู่การบริบาลสุขภาพแบบองค์รวมระดับโลก โดยบำรุงราษฎร์ได้ยกระดับสู่โรงพยาบาลในการรักษาขั้นจตุตถภูมิ (Quaternary Care) ซึ่งจะอยู่บนยอดปิระมิดสูงสุดในการรักษาพยาบาล เป็นการให้การบริบาลทางการแพทย์ที่มีความซับซ้อนอย่างมากด้วยนวัตกรรมขั้นสูง เราได้เล็งเห็นเทรนด์โลกด้าน Wellness จึงได้ทำงานร่วมกับศูนย์ส่งเสริมสุขภาพไวทัลไลฟ์ ซึ่งเป็นศูนย์สุขภาพการแพทย์เชิงป้องกันแห่งแรกในภูมิภาคเอเชีย ที่มีประสบการณ์กว่า 20 ปี เพื่อให้การดูแลสุขภาพครอบคลุมในทุกมิติ ตามแนวคิดการแพทย์แบบผสมผสาน (Integrated Medicine) ทั้งในด้านการแพทย์แผนปัจจุบัน (Conventional medicine) และการรักษาเชิงป้องกัน (Preventive Medicine) แบบองค์รวม ซึ่งเป็นเทรนด์ของการดูแลสุขภาพ ที่มีการวิเคราะห์เชิงลึกถึงระดับพันธุกรรม ด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรมทางการแพทย์ เพื่อค้นหาความเสี่ยงในการเกิดโรคในอนาคต รวมถึงวางแผนการดูแลรักษาแบบเฉพาะบุคคล (Personalized Medicine) เพื่อผลลัพธ์การรักษาที่มีประสิทธิภาพ ภายใต้มาตรฐานและคุณภาพระดับสากล

Bumrungrad -6

รศ.นพ. ทวีสิน ตันประยูร ผู้อำนวยการปฏิบัติการทางการแพทย์ โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ กล่าวว่า ตลอด 4 ทศวรรษ บำรุงราษฎร์ได้ทำงานร่วมกันอย่างสอดประสาน ระหว่างแพทย์ผู้ชำนาญการต่างสาขากับบุคลากรทางการแพทย์ในหลายสาขาวิชาชีพ เพราะโดยลำพังแพทย์เองก็ไม่สามารถดูแลรักษาผู้ป่วยได้อย่างมีประสิทธิภาพ โชคดีที่เรามีทีมที่มีประสิทธิภาพ ทั้งแพทย์เฉพาะทาง อาทิ แพทย์ผู้ชำนาญการเฉพาะทางระบบประสาท ทางลิ้นหัวใจ หัวใจเต้นผิดจังหวะ ทารกแรกเกิด มะเร็งเฉพาะส่วนมีพยาบาลวิชาชีพเฉพาะทางในหลายสาขา เช่น พยาบาลเฉพาะทางผู้ป่วยวิกฤตทารกแรกเกิด ทางด้านหัวใจและหลอดเลือด ทางด้านออร์โธปิดิกส์ รวมถึงเภสัชกรวิชาชีพกว่า 100 คน ที่มีความชำนาญเฉพาะทาง เช่น เภสัชกรด้านมะเร็ง เภสัชกรผู้ป่วยวิกฤต เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีนักกายภาพบำบัด นักโภชนาการ นักเทคนิคการแพทย์ และบุคลากรวิชาชีพอื่นๆ อีกกว่า 4,800 คน ที่ทำงานร่วมกัน ซึ่งพร้อมดูแลผู้ป่วยตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อส่งมอบการดูแลรักษาให้แก่ผู้ป่วยอย่างมีประสิทธิภาพในระยะเวลาอันรวดเร็ว

บำรุงราษฎร์ได้นำเทคโนโลยีที่ทันสมัยเข้ามาช่วยเสริมประสิทธิภาพการรักษาอย่างเหมาะสม เพื่อให้สามารถดูแลรักษาโรคเฉพาะทางและซับซ้อนได้อย่างครอบคลุมและมีผลลัพธ์ที่ดีที่สุด อาทิ ศูนย์หุ่นยนต์ช่วยผ่าตัด (Robotic Surgery Center) เป็นการนำหุ่นยนต์เข้ามาช่วยแพทย์ในการผ่าตัด โดยเฉพาะกับอวัยวะสำคัญต่าง ๆ ที่มีความซับซ้อนละเอียดอ่อน การใช้แขนกลหุ่นยนต์ช่วยผ่าตัด ช่วยให้ได้ผลลัพธ์การรักษาที่ดีขึ้น หรือการนำเทคโนโลยีขั้นสูง AI IBM Watson for Oncology เพื่อวางแผนการรักษาโรคมะเร็งแบบเฉพาะเจาะจงให้ผู้ป่วยแต่ละราย เพื่อรักษาต้นเหตุของโรคอย่างแม่นยำและตรงจุด จากองค์ประกอบ 3 ประการ คือ การบริบาลด้วยความเอื้ออาทร ความร่วมมือระหว่างกัน และการใช้เทคโนโลยีอย่างเหมาะสม จึงทำให้บำรุงราษฎร์ ได้รับความไว้วางใจจากผู้ป่วยทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ เป็นจำนวนกว่า 1.1 ล้านรายในแต่ละปี และทำให้บำรุงราษฎร์ เป็นจุดหมายปลายทางทางการแพทย์ของผู้คนทั่วโลก

Bumrungrad -3

ในช่วงเสวนา “กรณีศึกษาโควิด-19 กับศักยภาพธุรกิจภาคบริการของประเทศไทยสู่อนาคตโลก”จากตัวแทนภาคธุรกิจบริการ ถือเป็นอีกแรงขับเคลื่อนที่จะร่วมฟื้นฟูและสร้างรายได้ให้กับประเทศเพื่อผ่านพ้นวิกฤตครั้งนี้ไปได้

Bumrungrad -8

เริ่มด้วย นายคมกริช ด้วงเงิน ผู้อำนวยการกองสร้างสรรค์สินค้าการท่องเที่ยว การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยให้ความเห็นว่า ยุทธศาสตร์ด้านการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ของ ททท. ช่วง New Normal นี้จะมุ่งทำตลาดแบบเจาะจงกลุ่ม โดยเฉพาะกลุ่ม Health and Wellness ซึ่งจะเน้นเชิงคุณภาพมากกว่าปริมาณ และมุ่งไปสู่การท่องเที่ยว 3 แบบ คือ การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ การท่องเที่ยวร่วมกับการรักษา หรือ Medical Tourism และการท่องเที่ยวเชิงเกษตร/อาหาร โดยจะชูจุดขายเรื่องความปลอดภัย เรื่องเอกลักษณ์ด้านวัฒนธรรมและอาหาร เรื่องความสวยงามของธรรมชาติที่ได้รับการฟื้นฟู และน้ำใจความเอื้ออาทรของคนไทยในการช่วยเหลือเกื้อกูล ขณะเดียวกันก็จะเพิ่มมูลค่าด้วยการพัฒนาบุคลากรด้านการท่องเที่ยว รวมถึงการทำดิจิทัลแพลตฟอร์มให้เกิดในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวร่วมกับการดูแลสุขภาพให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น

Bumrungrad -9

นายธนา เธียรอัจฉริยะ รองผู้จัดการใหญ่อาวุโส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มงานการตลาด และรักษาการ รองผู้จัดการใหญ่อาวุโส ผู้บริหารสูงสุด กลุ่มงานสื่อสารองค์กรและกิจกรรมเพื่อสังคม ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)ให้มุมมองถึงธุรกิจธนาคารว่าโควิด-19 เป็นตัวเร่งดิจิทัลแบงกิ้งส่งผลให้ธนาคารต้องปรับแผนดิจิทัลแบงกิ้งที่เคยวางไว้ที่จะทำในช่วง 2-3 ปีต่อจากนี้ มาเป็นต้องทำให้ได้ภายใน 1-2 เดือน เนื่องจากลูกค้าไม่ต้องการไปสาขาและต้องย้ายการทำธุรกรรมต่าง ๆ มาอยู่บนโทรศัพท์มือถือทั้งหมด รวมถึงปรับวัฒนธรรมองค์กรเพื่อรับวิถีใหม่ โดยหัวใจสำคัญจะอยู่ที่การทำงานให้สำเร็จ ซึ่งเป็นหลักการใหม่ที่เรียกว่า ‘SCB from Anywhere คือ ทำงานที่ไหนก็ได้ แต่ต้องทำงาน เพื่อรองรับลูกค้าให้ได้’ ที่สำคัญวัฒนธรรมองค์กรก็ต้องเอื้อต่อการทดลองสิ่งใหม่ให้ได้ในระยะเวลาอันสั้น เพื่อให้ธนาคารสามารถทดลองสิ่งต่าง ๆ ให้เร็วและไม่กลัวที่จะล้มเหลว แต่ก็ต้องรีบปรับเปลี่ยนให้ดีขึ้นอย่างรวดเร็ว

Bumrungrad -10

ดร.ปิยะพงษ์ ธัญญศรีสังข์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส ฝ่ายบริหาร บริษัท สรรพสินค้าเซ็นทรัล จำกัด ในเครือกลุ่มเซ็นทรัลรีเทล กล่าวว่าห้างเซ็นทรัล ต้องปรับแผนกลยุทธ์ทั้งออฟไลน์และออนไลน์ โดยให้ความสำคัญเรื่องความสะอาดและสุขอนามัยของลูกค้า พนักงาน รวมถึงพนักงานในร้านค้า รวมทั้งนำเทคโนโลยีการอบโอโซน และ UVC มาใช้ในการฆ่าเชื้อโรคบนธนบัตร มีมาตรการ Social Distancing รวมถึงมีการTracking เพื่อติดตามข้อมูลสุขภาพของพนักงาน และลูกค้าที่มาใช้บริการในห้าง ด้านของเทคโนโลยี ได้มีการปรับปรุงพัฒนาระบบต่างๆ เพื่อมอบประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้าในทุกช่องทาง และรองรับความรวดเร็วในการซื้อขายสินค้าผ่านแพลตฟอร์มออมนิแชนเนล และเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ห้างเซ็นทรัลฯ ได้จับมือกับโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ เปิดบริการ ‘Central at Bumrungrad’ ให้ลูกค้าสามารถสั่งซื้อสินค้าผ่านบริการ ‘Chat & Shop’ และ ‘Call & Shop’ ตอบโจทย์ผู้มาพักโรงพยาบาลพร้อมส่งฟรีถึงโรงพยาบาลทุกออเดอร์ไม่มีขั้นต่ำ และจัดส่งภายในวันเดียวกันเมื่อยืนยันออเดอร์ก่อนเวลา 18.00 น. เสมือนยกห้างเซ็นทรัลมาไว้ที่โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์

Bumrungrad -11

คุณนภัส เปาโรหิตย์ Chief Marketing Officer โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ให้ความคิดเห็นว่า ปี 2563 นับเป็นก้าวสำคัญของวงการแพทย์และสาธารณสุขไทยที่จะก้าวสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ จากเหตุการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ได้สะท้อนให้เห็นถึงสปิริตของแพทย์ไทย โรงพยาบาลภาครัฐ และโรงพยาบาลเอกชน ต่างให้ความร่วมมืออย่างสุดความสามารถในการดูแลรักษาคนไทยเพื่อให้ปลอดภัยจากการติดเชื้อโควิด-19 พร้อมรักษาพยาบาลผู้ป่วยให้กลับมาเป็นปกติโดยเร็ว รวมถึงช่วยเหลือสังคมไทยให้ผ่านพ้นวิกฤตครั้งนี้ไปด้วยกัน ทว่าแล้วท่ามกลางวิกฤตยังมีโอกาสที่ประเทศได้สร้างชื่อเสียงด้าน Medical Tourism เพื่อก้าวสู่ศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ อีกทั้งยังมีข้อได้เปรียบในเรื่องคุณภาพของโรงพยาบาล ความชำนาญการของแพทย์ไทย รวมถึงค่ารักษาพยาบาลที่ประหยัดกว่าสหรัฐอเมริกา ประมาณ 40-75% หรือสิงคโปร์ ประมาณ 30% หากเทียบกับในระดับมาตรฐานสากล ซึ่งโครงสร้างค่ารักษาพยาบาลถือเป็นอีกปัจจัยสำคัญในการแข่งขันสู่ Medical Hub ในระดับโลก

ซึ่งปีนี้ ถือเป็นอีกปีที่มีความท้าทายอย่างมาก เนื่องจากระยะแรกของวิกฤตโควิด-19 ทุกภาคส่วนต่างให้ความสำคัญและฝากความหวังไว้กับบุคลากรทางการแพทย์ ในฐานะโรงพยาบาลเอกชนชั้นนำ จึงต้องก้าวให้เร็วกว่าปกติ ยอมรับการเปลี่ยนแปลง กล้าคิดและกล้าทำในสิ่งใหม่ๆ และตัดสินใจอย่างรวดเร็ว โดยได้เตรียมความพร้อมในเรื่อง บุคลากร องค์ความรู้ นวัตกรรม และเทคโนโลยี รวมถึงได้มีการพัฒนายกระดับการให้บริการต่างๆ เพื่อให้สอดรับกับ New Normal และพฤติกรรมของผู้มาใช้บริการที่เปลี่ยนไปให้ครอบคลุมในทุกมิติเช่น การแยกพื้นที่บริการเพื่อลดความเสี่ยงการติดเชื้อ, บริการ teleconsultation, บริการ Homecare Services หรือชื่อว่า Bumrungrad @ Home Service Center เพื่อให้บริการดูแลสุขภาพอย่างต่อเนื่องถึงบ้านและบริการ “60 Second Service” เพื่อให้บริการขั้นพื้นฐาน เช่น ฉีดวัคซีน และรับยาเป็นไปด้วยความรวดเร็ว เข้าถึงง่าย และปลอดภัยสูงสุดขณะเดียวกันก็ต้องคำนึงถึงความปลอดภัยสูงสุดของผู้ป่วย ซึ่งชาวบำรุงราษฎร์สามารถแก้ปัญหาทันต่อสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีขีดเวลาจำกัดได้เป็นอย่างดี สอดคล้องกับทิศทางขององค์กร เพื่อก้าวสู่โลกแห่งอนาคตในวิถี New Normal

ทั้งนี้ การพัฒนาอุตสาหกรรมการรักษาพยาบาลอย่างยั่งยืนต้องเดินไปพร้อมกันทั้งองคาพยพ นอกจากบุคลากรแพทย์ เทคโนโลยีใหม่ๆ เครื่องมือทันสมัย ตลอดจนคุณภาพการให้บริการแล้วนั้น อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญคือ การสร้างระบบเครือข่ายพันธมิตร เพื่อขยายกลุ่มเป้าหมายฐานลูกค้ากว้างขึ้น ดึงจุดแข็งที่แต่ละองค์กรมี มาแบ่งปันองค์ความรู้ให้กันและกัน ประสานความร่วมมือสร้างการเติบโตไปพร้อมกัน นี่คือหัวใจสำคัญของการสร้างความยั่งยืนในธุรกิจปัจจุบัน

Bumrungrad -12

ปิดท้ายด้วย คุณลิเดีย ศรัณย์รัชต์ ดีน ในฐานะตัวแทนผู้ใช้บริการ แชร์ประสบการณ์ว่าประเทศไทยเป็นประเทศที่มีระบบทางการแพทย์ที่ดีมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก มีโรงพยาบาลที่มีคุณภาพ มีการทำงานอย่างมืออาชีพ มีมาตรการการคัดกรองและคัดแยกที่รัดกุม มีแพทย์ที่เก่งและมีความสามารถสูง มีเครื่องมือเทคโนโลยีที่ทันสมัย มีอุปกรณ์ป้องกันโควิด-19 ที่มีคุณภาพอย่างครบครัน มีการรักษาพยาบาลอย่างมีประสิทธิภาพ ดูแลทั้งสภาพร่างกายและจิตใจ ซึ่งผู้ป่วยเองก็สามารถเข้าถึงบุคลากรทางการแพทย์ได้ง่าย และยังมีค่ารักษาพยาบาลที่เป็นธรรม จากที่ตนป่วยเป็นโควิด-19 ทำให้รู้สึกเข้าใจแพทย์ พยาบาล และทุกสหวิชาชีพที่ต้องทำงานท่ามกลางสภาวะกดดันแต่ทุกคนยอมสละเวลาและอุทิศตนเพื่อประโยชน์ส่วนรวมและเพื่อประเทศชาติ ทำให้รู้สึกศรัทธาในอาชีพ ‘นักรบชุดขาว’ ด้วยใจจริง และขอส่งกำลังใจถึงทุกอาชีพในรั้วโรงพยาบาลทุกคน พร้อมมั่นใจว่าประเทศไทยจะเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางด้านการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ในระดับโลกได้ไม่เป็นรองใคร

Bumrungrad -4

ภญ.อาทิรัตน์ จารุกิจพิพัฒน์ ผู้อำนวยการด้านบริหาร (CEO) โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์

Bumrungrad -5

ผู้บริหารโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ กับ คุณลิเดีย ศรัณย์รัชต์ ดีน

Bumrungrad -2

จามเสียงดังกลั้นได้ไหม แล้วจะเป็นอย่างไรกับสุขภาพ

ฮัดเช้ยๆ! เวลานี้ไปไหนๆ เราก็จะได้ยินแต่เสียงจามใช่ไหมคะ แน่นอนเพราะเป็นทั้งช่วงหน้าฝนทั้งช่วงการระบาดของไข้หวัดใหญ่ ไม่นับการจามเพราะมีคนพูดถึงอีกต่างหาก!แถมบางคนเวลาจามก็เสียงดังจนสะดุ้งกันไปทั้งห้อง จนแอบนึกไม่ได้ว่านี่เธอจะต้องเสียงดังเบอร์นี้เลยหรือ แล้วสังเกตไหมว่าถ้าเป็นคนสนิทกันที่จามเสียงดังแล้วเราทักเขาเรื่องนี้ เขาก็มักจะตอบว่า “ก็มันห้ามไม่ได้นี่นา”

เรื่องนี้แหละค่ะที่กำลังจะมาตอบ ว่าการจามเสียงดังนี่เราจะบังคับมันได้ไหม..หรือจริงๆแล้วมันมีอะไรมากกว่าแค่เรื่องของระดับเสียงในการจาม เช่นปัญหาสุขภาพใดๆ หรือเปล่าหรือถ้าคุณเป็นคนที่จามเสียงดังเอง คุณก็จะได้พบคำตอบบางอย่างที่อยู่ใกล้ตัวคุณ มาค่ะมารู้กัน!

“การจาม” คืออะไร และทำไมเราต้องจาม

Health COLD and Sneeze

มีความเชื่อกันว่าการจาม คือระบบการป้องกันตัวเองอย่างหนึ่งของร่างกาย ที่เกิดขึ้นเพื่อป้องกันระบบทางเดินหายใจของเราจากสิ่งที่เป็นพิษต่างๆที่จะเข้าสู่ร่างกายทางระบบหายใจโดยทางจมูกการจามจะเป็นการผลักดันควันพิษ ตลอดจนอณูโมเลกุลเล็กๆต่างๆและส่วนประกอบอันตรายจากสิ่งแวดล้อมที่จะเข้าสู่อวัยวะภายในร่างกาย

ศจ. ริชาร์ด ฮาร์วีย์ แห่งโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยเซนต์วินเซนท์แอนด์แมคควารี ของเมืองซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลียระบุว่า การจาม เปรียบเสมือนการลั่นไกปืน เมื่อระบบประสาทในช่องจมูกของเราตรวจจับได้ว่ามีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในช่องจมูกเช่นอุณหภูมิที่เปลี่ยนไปหรือกำลังได้รับความระคายเคืองหรือแม้แต่เกิดความเจ็บปวดบางอย่างขึ้น นี่คือเหตุผลว่าทำไมแม้แต่ลมจากเครื่องปรับอากาศ ควันไฟ หรือความร้อนจากแสงแดด ก็สามารถทำให้คุณจามได้ นอกจากนี้ การถูกรบกวนหรือความระคายเคืองนี้ซึ่งที่เกิดขึ้นในโพรงจมูก ทำให้มีน้ำมูกและมีอาการคันตามมา ซึ่งในขณะที่คุณรู้สึกแบบนั้น คุณก็จะต้องการกลั้นหายใจชั่วขณะไปด้วยพร้อมๆกัน ปฏิกิริยาของการกลั้นหายใจแบบไม่รู้ตัวของคุณนี้เอง ที่นำร่างกายไปสู่สภาวะ “การระเบิดเพื่อปลดปล่อยอากาศออกมา” ในช่องโพรงจมูก นั่นก็คือการจามนั่นเอง

แล้วทำไมเวลาจามต้องมีเสียงดัง
เสียงดังของการจาม มาจากอากาศที่ได้รับการกดดันและระเบิดออกมาทางปากหรือจมูกของคุณ ทฤษฎีสุขภาพบอกไว้ว่าเสียงจามของคนๆหนึ่งจะดังหรือค่อยแค่ไหนนั้น ขึ้นอยู่กับศักยภาพของปอดซึ่งมีองค์ประกอบมากมาย อาทิ ความแข็งแรง, ขนาด, และความสามารถในการเก็บกักลมหายใจ ว่าเก็บได้นานแค่ไหนนั่นหมายความว่า“ยิ่งคุณกลั้นหายใจได้นานเท่าไหร่ คุณก็จะจามได้เสียงดังเท่านั้น”นั่นเองค่ะ

สถาบันการวัดระดับความดังของเสียงในเมืองบริสเบน รัฐควีนสแลนด์ ประเทศออสเตรเลียได้ทำการวัดอัตราเฉลี่ยของเสียงจามในผู้ชาย ที่วัดได้ในระยะห่างจากตัวเขาประมาณ 60 ซ.ม จะมีเสียงดังประมาณ 90 เดซิเบลซึ่งความดังนี้จะเท่ากับระดับเดียวกับความดังของเสียงเครื่องตัดหญ้า แต่ถ้าหากผู้ชายคนนั้นจามโดยมีสิ่งใดปกปิดปากอยู่ เช่นมือหรือผ้าเช็ดหน้า ระดับเสียงจามของเขาก็จะลดลงอยู่ที่ประมาณ 80เดซิเบล อันนี้ขอเล่าเป็นความรู้เพิ่มเติมให้หน่อยนะคะว่า ปกติแล้ว เสียงสนทนาของคนเราจะมีระดับความดังของเสียงอยู่ที่ประมาณ 60 เดซิเบล

จามดังหรือจามค่อย เราบังคับตัวเองได้หรือไม่

Health COLD and Sneeze 3

ในขณะที่เราไม่สามารถหยุดสภาวะในโพรงจมูกของเราจากอาการคันและมีน้ำมูกได้ แต่หลายคนก็คิดว่า เราก็สามารถบังคับให้ตัวเองจามด้วยเสียงที่ค่อยกว่านี้ และก็น่าจะมีวิธีการที่ช่วยให้ดีกว่าจะปล่อยมันให้ดังไปทั่วทิศแบบนี้ได้ไม่ใช่หรือ ซึ่งเรื่องนี้ ศจ. ฮาร์วีย์ได้พูดถึงการที่เรามักจะใช้วิธีสงบเสียงจามให้ค่อยลง ด้วยการหยิกหรือถูที่จมูก หรือโดยการจามให้ลมผ่านออกมาทางรูจมูกแทนที่จะจามออกทางปาก ว่าการทำทั้งสองแบบนี้มันก็ทำได้ แต่ก็เป็นดาบสองคม ในเรื่องของสุขภาพร่างกายเช่นกันนอกจากนี้ ก็มีข้อเปรียบเทียบง่ายๆที่เห็นชัดระหว่างก็คือ“ ถ้าคุณจามทางปากมันอาจเสียงดังกว่า แต่ถ้าคุณจามทางจมูก ช่องทางการหายใจของคุณก็อาจจะเลอะเทอะและเปียกแฉะจากน้ำมูกได้มากขึ้น”

เสียงจามบอกสถานะและวัฒนธรรมของสังคม
จากข้างต้นเราพูดถึงการจามเสียงดังในแง่ของสุขภาพ แต่ถ้าพูดถึงในแง่ของทฤษฎีทางพฤติกรรมแล้วละก็ ได้มีการศึกษาเรื่องนี้อย่างจริงจังไว้โดยดร. บาร์บารา เอเวอร์ส อาจารย์คณะสังคมวิทยา มหาวิทยาลัยเมอร์ดอช ประเทศออสเตรเลียฝั่งตะวันตก ซึ่งระบุว่าการจามเสียงดังหรือค่อยของคนทั่วไปนั้น นอกจากจะเป็นเรื่องของโพรงจมูกแล้ว มันยังเกี่ยวข้องกับเรื่องระดับชนชั้นทางสังคมของคนๆนั้นอีกด้วยซึ่งเรื่องนี้ ได้เคยมีหนังสือเรื่อง มารยาทที่ไม่เหมาะสมของโพรงจมูก(Poor Nasal Etiquettes) ที่มีมาตั้งแต่ศตวรรษที่15ซึ่ง ดร. เอเวอร์ส ระบุว่าเพราะหนังสือนี้ได้ทำขึ้นเมื่อหลายปีที่ผ่านมา ทำให้มีคำแนะนำบางเรื่องที่เปลี่ยนแปลงไปเพื่อให้เหมาะสมกับพฤติกรรมและเวลาเพราะเรื่อมารยาทบางเรื่องในหนังสือนี้ ก็ได้รับการปฏิบัติที่เหมาะสมจากผู้คนในปัจจุบัน จนไม่จำเป็นต้องหยิบยกมาเป็นกรณีอีกแล้ว เช่นเรื่องมารยาทของการสั่งน้ำมูก

แต่ในวันนี้ ก็ยังคงมีกฎสังคมต่างๆ ที่พูดถึงเรื่องนี้ไว้ในหลายๆประเทศ ซึ่งก็จะมีข้อแตกต่างกันไปบ้างในวัฒนธรรม ว่าอะไรบ้างที่ผู้หญิงและผู้ชายควรทำหรือไม่ควรทำเช่นบางประเทศบอกว่า “ ถ้าคุณเป็น “ สุภาพสตรี” คุณก็ต้องไม่จามเสียงดัง ในขณะที่ถ้าคุณเป็นผู้ชายคุณก็จะสามารถทำสิ่งนี้ได้”แต่ผู้ชายชาวญี่ปุ่นไม่ได้อยู่ในกฎข้อนี้ เพราะวัฒนธรรมของชาวญี่ปุ่น ไม่ว่าผู้หญิงหรือผู้ชาย การจามเสียงดังถือเป็นพฤติกรรมที่หยาบคายด้วยกันทั้งสิ้น หรือในประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษส่วนมากก็จะบอกกันมาว่า“การจามเบาๆคือมารยาทที่สุภาพกว่าการปล่อยให้เสียงจามทั้งหมดออกมา”

จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเรากลั้นการจาม

Health COLD and Sneeze 2

ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพระบบการหายใจระบุว่า มันไม่เคยมีการแนะนำให้เราพยายามกลั้นการจามเอาไว้ เพราะการจาม คือการระเบิดแบบย่อมๆที่เกิดขึ้นในภายในศีรษะของเราและสามารถจะบังคับหรือกดดันอากาศให้ไปสู่พื้นที่ภายในร่างกายที่มันไม่ควรจะไปได้ “ มันค่อนข้างจะเป็นการตอบรับของระบบหายใจที่ทรงพลังมากอยู่’ ฮาร์วีย์ระบุ ในขณะเดียวกัน ก็มีการระบุในวารสาร The British Medical Journal ของปีที่ผ่านมาด้วยถึงกรณีศึกษาของผู้ชายชาวอังกฤษ วัย 34 ปีคนหนึ่งที่พบว่ามีรูรั่วขนาดใหญ่เกิดขึ้นกับภายในช่องลำคอของเขา เนื่องจากความพยายามที่จะกลั้นการจามที่ทรงพลังของตัวเอง ซึ่งผู้ชายคนนั้น พยายามที่จะกลั้นการระเบิดจามที่รุนแรงของเขาด้วยการปิดปากและอุดรูจมูกของตัวเองทั้งสองข้างซึ่งผลของมันก็คือไปกดดันทำให้เกิดรูที่คอหอย ซึ่งหมายถึงท่อกล้ามเนื้อในลำคอที่อยู่ด่นหลังของโพรงจมูกไปถึงบริเวณเหนือต่อจากหลอดลมและหลอดอาหารในไม่ช้าหลังจากทำแบบนี้ เขาก็พบว่าเกิดความเจ็บปวดอย่างมากเมื่อจะกลืนอาหาร รวมทั้งเสียงพูดที่เคยมีก็หายไปด้วยจนทำให้เขาต้องเข้ารักษาตัวเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ที่โรงพยาบาล ในช่วงที่ทำการรักษาอยู่นั้น เขาก็จะถูกให้อาหารทางสายยางและต้องให้ยาปฏิชีวนะชนิดฉีดเข้าเส้นเลือดดำเพื่อป้องกันการติดเชื้อต่อมาเมื่อชายผู้นี้ถูกส่งตัวกลับบ้านพร้อมคำแนะนำว่าไม่ให้เขาจามด้วยวิธีอุดจมูกตัวเองอีกในอนาคตนอกจากชายคนนี้แล้ว ก็เคยมีกรณีศึกษาของชายอีกคนหนึ่งอายุ 38 ปี ที่อยู่ในเมืองบอสตัน สหรัฐอเมริกา ที่กระดูกของกล่องเสียงหักเมื่อเขาอุดปากและหยิกจมูกของตัวเองระหว่างที่กำลัง “ ระเบิด” เสียงจามออกมา

เล่ามาถึงตอนนี้ หลายคนที่รู้สึกว่าตัวเองจามเสียงดัง ก็คงพิจารณาได้ว่าควรจะรู้สึกและจัดการกับมันอย่างไรนะคะ ส่วนคนที่ได้ยินเสียงจามดังๆก็คงจะทำความเข้าใจกับพฤติกรรมของคนรอบตัวได้ดีขึ้น แต่อยากบอกว่า ไม่ว่าคุณจะจามเสียงดังระดับไหน ก็คงไม่มีใครว่าอะไรถ้าหากคุณทำพฤติกรรมนี้ด้วยการใช้มือหรือกระดาษทิชชูปิดปากไว้ ซึ่งนอกจากจะช่วยให้เสียงค่อยลงได้บ้างแล้ว ก็ยังไม่ทำให้เกิดการแพร่กระจายของเชื้อโรคไปสู่คนอื่นๆด้วย เรื่องของการจามที่เล่าให้ฟังในวันนี้ก็คงจะมีเพียงเท่านี้

 

รักษาสุขภาพ พักผ่อนให้เพียงพอ จะได้ไม่เป็นไข้หวัด รวมทั้งหลีกเลี่ยงการอยู่ในที่ๆอากาศมีมลพิษเอาไว้ ก็จะช่วยให้สุขภาพปอดและระบบทางเดินหายใจไม่ต้องพบกับปัญหากันค่ะ

สัญญาณโรคเบาหวานที่รู้ได้ในผู้หญิงเท่านั้น

“เบาหวาน” เป็นโรคที่เป็นกันได้ทั้งผู้ชายและผู้หญิง ถึงแม้โรคนี้จะไม่ติดต่อ แต่ก็เป็นโรคเรื้อรังที่อันตรายไม่น้อย เพราะมันทำให้เกิดโรคร้ายอื่นๆ ตามมารวมทั้งความเสียหายของอวัยวะสำคัญต่างๆ ในอนาคตด้วยยิ่งผู้หญิงมีวัยเพิ่มขึ้นเท่าไหร่ ก็จะมีโอกาสเสี่ยงที่จะเป็นโรคนี้กันได้มากขึ้นเท่านั้น และก็ไม่รู้ว่าเป็นโชคดีหรือโชคร้ายสำหรับผู้หญิงเราที่เราจะได้รับสัญญาณของอาการเริ่มต้นโรคเบาหวานโดยที่ผู้ชายจะไม่มีสัญญาณเตือนเหล่านี้

รู้จัก “เบาหวาน”

Health Diabetes 2

ทำไมถึงเป็นโรคเบาหวาน…เพราะบริโภคของหวานมากเกินไปใช่ไหม เรามักได้ยินคำถามหรือความเชื่อนี้บ่อยๆ ดังนั้น ก่อนจะมาคุยเรื่องสัญญาณเตือน เรามารู้เรื่องจริงๆของการเกิดโรคนี้กันก่อนค่ะอย่างที่รู้กันว่า ร่างกายของเราจะได้รับพลังงานจากอาหารที่เราบริโภคเข้าไป ทำให้มีเรี่ยวแรงได้ตลอดวันทีนี้เมื่อพูดถึงอวัยวะภายในร่างกายของเรา ก็จะมีอวัยวะหนึ่งที่เรียกว่า“ตับอ่อน” เป็นอวัยวะรูปร่างแบนๆยาวๆตั้งอยู่ในบริเวณช่องท้อง ด้านหลังของกระเพาะอาหาร ตับอ่อนจะทำหน้าที่ผลิตอินซูลิน ซึ่งเป็นฮอร์โมนสำคัญที่ใช้ในการเปลี่ยนกลูโคสจากอาหารมาเป็นพลังงานให้ร่างกายทีนี้ถ้ากระบวนการผลิตอินซูลินของตับอ่อนถูกรบกวน หรือถ้าเซลล์ของร่างกายไม่สามารถตอบรับอินซูลินได้ตามที่ร่างกายต้องการในยามปกติกลูโคสจากอาหาร ก็จะไม่สามารถถูกส่งผ่านทางกระแสเลือดเข้ามาสู่เซลล์ของร่างกายได้ผลก็คือ ทำให้กลูโคสในเลือดมีระดับสูงในขณะเดียวกันเซลล์ต่างๆของร่างกายก็จะไม่ได้รับพลังงานที่เพียงพอเซลล์ก็จะสูญเสียความสามารถในการทำงาน ซึ่งทางการแพทย์จะเรียกภาวะนี้ว่าโรคเบาหวาน (diabetes) ระดับน้ำตาลในเลือดที่สูงขึ้นนี้มันก็จะเป็นอันตรายอย่างมากต่อร่างกาย เพราะมันจะไปทำความเสียหายต่อเส้นประสาทและเส้นเลือดทั้งยังนำไปสู่ความเสี่ยงการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ,ภาวะไตล้มเหลว, ปัญหาของนัยน์ตาและความเสียหายของเท้าฯลฯ

โรคเบาหวานจะจำแนกออกเป็นสองประเภทด้วยกันคือเบาหวานประเภทที่ 1 ( Type 1 diabetes) เกิดจากความผิดปกติของร่างกายตั้งแต่กำเนิดที่ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายได้มีการทำลายเซลล์ของตับอ่อนของตัวเองกับอีกประเภทคือโรคเบาหวานชนิดที่ 2( Type 2 diabetes)เกิดจากเซลล์ของร่างกายมีภาวะการดื้อต่ออินซูลิน หรือ insulin resistance ซึ่งชนิดนี้แหละค่ะที่เรามักเป็นกันมาก โดยในระยะแรกๆของการเกิดโรคนี้ก็คือตับอ่อนจะเริ่มต้นผลิตอินซูลินในปริมาณที่มากขึ้นกว่าเดิมเพื่อที่จะเอาชนะภาวะดื้ออินซูลินที่เกิดขึ้นของร่างกายและก็เพื่อที่จะตอบสนองความต้องการของร่างกายที่ต้องการอินซูลินเพิ่มขึ้นด้วยทีนี้พอเป็นแบบนี้ไปนานๆเข้าตับอ่อนก็เริ่มอ่อนแอและไม่สามารถผลิตอินซูลินในปริมาณที่เหมาะสม

Health Diabetes 3

ยิ่งเราอ้วนหรือมีน้ำหนักตัวเกินมาตรฐานมากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งมีความเสี่ยงสูงมากขึ้นต่อการเป็นโรคเบาหวานประเภท 2 เพราะการมีเนื้อเยื่อไขมันมากๆ จะไปซ้ำเติมภาวะการดื้ออินซูลินนี้ได้เพราะฉะนั้น ต้องระวังอย่าตามใจปากเกินไปในเรื่องการบริโภคนะคะ นอกจากนี้ ก็ยังพบว่า ยีนหรือกรรมพันธุ์ ก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้มีความเสี่ยงสูงต่อโรคเบาหวานทั้งสองชนิดนี้ได้เช่นกัน ถ้าใครมีประวัติครอบครัวเป็นโรคนี้ ก็ควรต้องระวังตัวไว้ป็นพิเศษด้วย

จะรู้ได้อย่างไรว่าเป็นโรคเบาหวานประเภทไหน
อย่างไรก็ตาม โรคเบาหวานประเภทที่ 1 มักเกิดในคนที่มีอายุน้อยๆหรือในเด็กในขณะที่โรคเบาหวานประเภท 2 มักจะเกิดขึ้นกับคนสูงวัยหรือเมื่อเรามีอายุเพิ่มมากขึ้น ก็มีโอกาสที่จะเป็นโรคนี้ได้ โดยอาการของโรคเบาหวานโดยทั่วไปที่เราควรสังเกตตัวเองให้ดีๆ ได้แก่ความรู้สึกกระหายน้ำเพิ่มขึ้น, ปัสสาวะบ่อยครั้งขึ้น, น้ำหนักตัวลดลงโดยไม่ได้ตั้งใจจะลดน้ำหนัก ซึ่งจะเกิดร่วมกับความรู้สึกหิวบ่อยและบริโภคมากขึ้นแต่น้ำหนักตัวกลับลดลง,คลื่นไส้อาเจียน, เหนื่อยมากผิดปกติ, มองเห็นภาพเบลอที่สำคัญคือเนื้อเยื่อต่างๆจะใช้รักษาตัวเองนานกว่าปกติเมื่อเกิดปัญหาใดๆหรือเกิดบาดแผล ซึ่งใครรู้สึกว่ากำลังมีอาการเหล่านี้อยู่ ก็ควรไปพบแพทย์อย่ารอช้า

อาการโรคเบาหวานที่เกิดเฉพาะกับผู้หญิงเท่านั้น

Health Diabetes 1

คราวนี้ก็จะมาเล่าถึงอาการบางอย่างของโรคเบาหวาน ที่มันจะมีการระบุว่าจะเกิดขึ้นเฉพาะกับผู้หญิงเท่านั้น เนื่องจากสภาวะฮอร์โมนและจิตใจของผู้หญิงที่แตกต่างจากผู้ชาย ทำให้ผู้หญิงได้รับสัญญาณเตือนของโรคเบาหวานที่ผู้ชายจะไม่ได้รับได้แก่
1. มีการติดเชื้อราเกิดขึ้นบ่อยๆและซ้ำๆ: การที่เรามีระดับน้ำตาลในเลือดที่สูงขึ้นก็จะไปสนับสนุนการเติบโตของเชื้อราแคนดิดาและผลคือการคันเรื้อรังในช่องคลอด, การมีแผลในช่องปากบ่อยๆ, การมีของเหลวข้นๆหลั่งจากช่องคลอด,รวมทั้งการเกิดความเจ็บปวดเมื่อมีเพศสัมพันธ์
2. ภาวะถุงน้ำรังไข่หลายใบ (Polycystic ovary syndrome): สภาวะร่างกายดื้ออินซูลินจะไปกระตุ้นมดลูกและต่อมอะดรีนัลให้ผลิตฮอร์โมนแอนโดรเจน ซึ่งเป็นฮอร์โมนเพศชายให้สูงขึ้นกว่าปกตินำไปสู่การลดลงของการตกไข่, พัฒนาการของถุงน้ำในรังไข่, สภาวะมีบุตรยาก, การเกิดขนในบริเวณที่ไม่ต้องการเช่นริมฝีปากหรือที่ต่างๆ,การเกิดสิวเรื้อรังในหลากหลายรูปแบบ ดังนั้นใครเป็นสิวนานๆหรือมีจู่ๆก็เกิดมีขนดกขึ้นมา ก็ต้องนึกถึงเรื่องนี้ไว้บ้าง
3. ความบกพร่องของสมรรถภาพทางเพศ (Sexual dysfunction): ความเสียหายของเส้นประสาทและการลดลงของเลือดที่ไปหล่อเลี้ยงอวัยวะต่างๆของร่างกายซึ่งมีสาเหตุมาจากการเป็นโรคเบาหวานทำให้เกิดความแห้งของช่องคลอด นำไปสู่ความเจ็บปวดเมื่อมีเพศสัมพันธ์ ทำให้ความต้องการทางเพศลดลงด้วย
4. การติดเชื้อในท่อปัสสาวะ: โดยสภาพสรีระของผู้หญิงเราก็จะมีแนวโน้มการเกิดโรคติดเชื้อของท่อปัสสาวะได้ง่ายกว่าผู้ชายอยู่แล้วซึ่งผู้หญิงที่เป็นโรคเบาหวานก็จะยิ่งมีความเสี่ยงสูงขึ้นไปอีกทำให้รู้สึกเจ็บปวดเมื่อปัสสาวะ รวมทั้งอาการแสบร้อน, คันหรือสีปัสสาวะมีการเปลี่ยนแปลง

 

ทั้งหมดนี้คืออาการของโรคเบาหวานในช่วงเริ่มต้น ที่เกิดขึ้นเฉพาะผู้หญิงเท่านั้น ใครรู้สึกตัวว่ากำลังอยู่ในความเสี่ยง ก็ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจและรักษาให้ถูกต้องโดยเร็ว เพราะโรคนี้อันตราย ถ้าทิ้งไว้นานๆก็จะทำให้เกิดปัญหาถึงขั้นสูญเสียอวัยวะได้ รีบจัดการปัญหาตั้งแต่เริ่มต้นกันดีกว่า โรคร้ายจะได้หายและมีสุขภาพดีกันทุกคน

ดื่มนมอย่างไรไม่ให้เพิ่มน้ำหนักตัว

นมคืออาหารแรกของเราเมื่อลืมตาดูโลก และก็เป็นอาหารจำเป็นของคนทั้งโลกทั้งผสมในชากาแฟหรือบริโภคเดี่ยวๆหลายคนที่จะรู้สึกว่าขาดอะไรไป ถ้าไม่ได้เริ่มต้นวันใหม่ด้วยการดื่มนมสักถ้วยแต่ก็มีการศึกษาที่ระบุว่านมอาจมีผลข้างเคียงที่ควรระวังกับร่างกายของคุณได้ ถ้าดื่มมันไม่ถูกวิธี เช่นปัญหาระบบการย่อย, ท้องอืด, ผื่นแพ้ผิวหนัง, น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นหรือแม้แต่ปัญหาการทำงานของไตที่ผิดปกติ แล้วอะไรคือวิธีดีที่สุดในการดื่มนมให้เพิ่มกำไรสุขภาพ นี่คือความลับที่ต้องเรียนรู้

ประโยชน์ของนม:
นม…ซูเปอร์เครื่องดื่มในความเห็นนักโภชนาการ มันเป็นสิ่งอุดมคุณค่าที่ครบถ้วนต่อร่างกายมากที่สุด ทั้งแร่ธาตุแคลเซียม, แมกนีเซียม, โปตัสเซียม, สังกะสี, วิตามิน, และโปรตีนและยังช่วยในเรื่องต่างๆมากมายอาทิช่วยควบคุมความรู้สึกอยากอาหาร, เป็นเครื่องดื่มที่ดีสำหรับผู้เป็นโรคเบาหวาน, ช่วยให้ระบบการทำงานของหัวใจ, เพิ่มความแข็งแรงให้กระดูกและฟัน, ช่วยลดความหดหู่เหนื่อยล้า,ลดอาการเจ็บป่วยช่วงมีรอบเดือนหรือPMS, เสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ, ช่วยให้ร่างกายชุ่มชื่นจากน้ำที่เป็นส่วนประกอบสำคัญในนมนอกจากนี้ การดื่มนมยังช่วยให้ผิวสวยเปล่งปลั่ง ช่วยให้ผิวไม่แห้งและช่วยผ่อนคลายร่างกายจากสภาวะกรดเกินในกระเพาะอาหาร

ดื่มนมอย่างไรไม่ให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น
มีงานวิจัยหลายชิ้นระบุว่า วิธีดื่มนมแบบผิดๆจะทำให้เกิดผลเสียกับร่างกายโดยเฉพาะกับผิวหนังของเรา บางทีการที่เราเป็นสิวปะทุไม่รู้จักจักหายสักที ก็อาจมีสาเหตุมาจากเรื่องนี้ก็ได้ รวมถึงการเกิดโรคภูมิแพ้, ท้องอืด, ปัญหาของระบบการย่อย ซึ่งหากต้องการขจัดปัญหาให้หมดไปก็ต้องมาเรียนรู้และเข้าใจวิธีการดื่มนมให้ถูกต้องเสียก่อน มาดูปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นกับร่างกายเมื่อเราดื่มนมคู่กับอาหารต่างๆเหล่านี้

Heakth MILK 4

1. นมกับอาหารรสเค็ม: อายุรเวทโบราณบอกไว้ว่าให้เลี่ยงการบริโภคนมควบคู่กับเกลือหรืออาหารที่มีรสเค็มเพราะการทำแบบนี้เหมือนกับเรานำพิษเข้าสู่ร่างกายที่เป็นแบบนี้ก็เพราะนมกับเกลือเมื่ออยู่ด้วยกัน มันจะแสดงออกถึงสภาวะคุณสมบัติของสองสิ่งที่ขัดแย้งกันอย่างชัดเจนตามหลักของอายุรเวท ซึ่งมีเหตุผลทางโภชนวิทยาสนับสนุนเรื่องนี้ว่าเมื่อโซเดียมคือเกลือถูกผสมเข้ากับนมมันจะสามารถไปรบกวนแคลเซียมอิอออน(calcium ion)หรือประจุแคลเซียมของสารแคลเซียมเคซีนเนท(calcium caseinate)สารฟอสโฟโปรตีนที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ซึ่งพบในนมของมนุษย์และสัตว์ ผลเสียนี้อาจไม่ได้แสดงให้เห็นได้ทันที แต่มันจะสะสมและแสดงออกในเวลาต่อมาด้วยปัญหาสุขภาพที่ก่อตัวขึ้นเรื่อยๆนำไปสู่ความผิดปกติต่างๆของร่างกาย, ปัญหาผิวหนัง, แกสในกระเพาะอาหาร ฯลฯ ดังนั้น จึงไม่ควรปรุงอาหารเครื่องเทศที่มีรสเค็มเช่นแกงกะหรี่หรือซอสเค็มต่างๆโดยใช้นมเป็นส่วนผสม และถ้าจะบริโภคสองสิ่งนี้ ก็ให้ทิ้งระยะการบริโภคให้ห่างกันอย่างน้อย 1 ชั่วโมง

2. นมกับอาหารโปรตีน:จากข้อมูลของนักโภชนาการระบุว่า การบริโภคนมคู่กับอาหารโปรตีน จะทำให้เรารู้สึกอิ่มแน่นเกินไปและจะทำให้เกิดปัญหาของระบบการย่อยเพราะความหนักของอาหารทั้งยังทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นอีกด้วยถ้าคุณต้องการบริโภคตามหลักโภชนาการที่ดี ก็ควรเลี่ยงการผสมผสานแบบนี้ แต่ถ้าคุณต้องการเพิ่มน้ำหนักตัว การบริโภคแบบนี้ก็อาจเหมาะสำหรับคุณแต่จำไว้ว่าไม่ควรบริโภคอาหารโปรตีนสองชนิดพร้อมกันในคราวเดียวเพราะถึงอย่างไรมันก็ทำให้เกิดปัญหากับระบบการย่อยอยู่ดี ควรเว้นระยะเวลาให้ห่างกันอย่างน้อย 2 ชั่วโมง

Heakth MILK 2

3. นมกับกล้วยหอม:ศาสตร์อายุรเวทระบุว่า การบริโภคนมคู่กันกับกล้วยหอมนั้นหนักเกินไปสำหรับระบบการย่อย และจะทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นแต่ถ้าคุณชอบสมูตตี้นมปั่นกับกล้วยหอมละก็ ให้โรยผงกระวานและผงลูกจันทน์ป่นลงไปด้วยเพื่อให้มันช่วยกระตุ้นระบบการย่อยอาหารนอกจากนี้ การบริโภคผลไม้รสเปรี้ยวเช่นเชอรี่ สตรอเบอร์รี่ เลมอนและส้ม ร่วมกับนมก็ไม่ใช่สิ่งที่ดีสำหรับร่างกาย เพราะนมเป็นอาหารที่ไม่เข้ากับผลไม้ในกลุ่มนี้ซึ่งถึงแม้มันจะเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับการทำสมูตตี้นมใส่ผลไม้ต่างๆแต่คุณก็ไม่ควรประมาทในเรื่องของระบบการย่อย เพราะผลไม้บางอย่างเมื่อรวมกับผลิตภัณฑ์จากนมจะทำให้เกิดปัญหาการย่อยและกรดเกินในกระเพาะอาหาร เพราะในทางอายุรเวท ผลไม้ทำให้เกิดความร้อนกับระบบการย่อย ในขณะที่นมเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดความเย็นดังนั้นเมื่อรวมกันก็จะเกิดปฏิกิริยาขัดกันในร่างกาย

Heakth MILK 3

4. นมกับมื้ออาหาร:นมไม่ควรจะถูกนำไปบริโภคพร้อมกับกับอาหารใดๆเพราะมันเป็นอาหารที่ครบถ้วนในตัวเองอยู่แล้ว ถ้าทำแบบนั้นก็เท่ากับบริโภคอาหารสองมื้อในคราวเดียวกัน ซึ่งยิ่งทำความกดดันให้ระบบการย่อยทำงานหนักเป็นสองเท่า น้ำหนักตัวก็จะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจำไว้ว่านมต้องการการย่อยที่แยกต่างหากจากอาหารชนิดอื่นๆจึงควรทิ้งระยะห่างของการดื่มนมและมื้ออาหารให้ห่างกันประมาณ 3-4 ชั่วโมงจะดีกว่า

5. นมกับน้ำตาล:น้ำตาลบนโต๊ะอาหาร เป็นน้ำตาลที่ผ่านกระบวนการฟอกสี จึงเป็นคาร์โบไฮเดรตที่ร่างกายจะย่อยสลายเป็นพลังงานได้ง่าย ทั้งมันให้พลังงานที่สูงเกินไปอีกด้วยเมื่อร่างกายได้รับพลังงานสูงๆอย่างกะทันหัน มันก็จะไม่รู้จักวิธีที่จะเก็บกักพลังงานนี้ไว้ใช้ระยะยาว จึงแปรสภาพคาร์โบไฮเดรตที่ได้จากน้ำตาลนี้ ให้กลายเป็นไขมันและส่งไปเก็บไว้ตามอวัยวะต่างๆเช่นที่หน้าท้อง ยิ่งกว่านั้นก็คือเมื่อน้ำตาลผสมรวมกับนมก็จะให้แคลอรี่ที่สูงมาก ทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

ดื่มนมเวลาไหนไม่ให้เพิ่มน้ำหนัก

Heakth MILK 1

การรู้จักเวลาเหมาะสมในการดื่มนม จะทำให้เราได้รับผลกำไรจากมันมากที่สุดอายุรเวทบอกว่า เวลาของการดื่มนมให้ดีต่อร่างกายคือช่วงเช้าและเย็นเมื่อท้องว่าง การดื่มนมตอนเช้าสารอาหารจากนมจะไปช่วยไปเสริมสร้างความแข็งแรงให้ได้เต็มที่ แต่มีข้อเสียคือนมก็อาจจะทำให้คุณรู้สึกเฉื่อยชาไม่กระตือรือร้นเท่าที่ควรเพราะมันไปทำความหนักให้กับระบบการย่อยทั้งหลายคนมักเกิดปัญหาจากกรดในกระเพาะอาหารเมื่อดื่มนมตอนเช้า ถ้าเป็นแบบนี้ก็ให้เปลี่ยนเป็นดื่มนมตอนเย็นแทนซึ่งเวลาที่ดีที่สุดคือหลังพระอาทิตย์ตกเพราะเป็นช่วงเวลาที่เอนไซม์ที่ใช้ในการย่อยนมจะทำงานมีประสิทธิภาพมากที่สุด นอกจากนมจะช่วยเสริมสร้างร่างกายแล้ว ก็ยังช่วยให้นอนหลับได้ดีขึ้นช่วยฟื้นฟูระบบความจำนักอายุรเวทจึงแนะนำว่าควรดื่มนมก่อนนอนหลังมื้อเย็นประมาณ2 ชั่วโมง และนมที่ดีต่อสุขภาพคือนมอุ่นไม่ใช่นมเย็น

 

นอกจากจะรู้วิธีดื่มนมและเข้าใจเรื่องการบริโภคอาหารต่างๆกับนมอย่างถูกต้องแล้ว ปริมาณและชนิดของอาหาร ตลอดจนการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ก็เป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้คุณควบคุมน้ำหนักตัวที่เหมาะสมไว้ได้และสำหรับก่อนนอนคืนนี้ ก็อย่าลืมให้รางวัลสุขภาพกับร่างกายคุณ ด้วยนมอุ่นๆสักแก้วนะคะ

ระวังการบริโภคยาถ้าไม่อยากสูญเสียความจำ

วันก่อนนั่งดูเฟสบุค มีเรื่องราวของเพื่อนหลายคนที่ดูแลคุณพ่อคุณแม่สูงวัย ก็ได้พบว่า มีเพื่อนจำนวนไม่น้อยที่พบกับปัญหาผู้ใหญ่ในบ้านป่วยด้วยโรคอัลไซเมอร์หรือการสูญเสียความจำ บางคนเชื่อว่านี่เป็นเรื่องของกรรมพันธุ์ ถึงกับรำพึงในเฟสของตัวเองว่า“สักวันเราก็จะต้องพบประสบการณ์นี้แบบเดียวกับท่าน”ทำให้คิดว่ามันเป็นแบบนั้นอย่างเลี่ยงไม่ได้จริงๆหรือ

จากการระบุจากสถิติขององค์การอาหารและยาสหรัฐอเมริกาที่พบว่า โรคความจำเสื่อมหรือการสูญเสียความจำนั้น ถึงแม้กรรมพันธุ์เป็นปัจจัยหนึ่ง แต่สาเหตุสำคัญในปัจจุบันที่ทำให้เกิดโรคสูญเสียนี้ก็คือ สาเหตุจากการใช้ยา ซึ่งอาการสูญเสียความจำนี้ เป็นผลข้างเคียงหนึ่งจากการบริโภคยาบางอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานานๆ นอกจากนี้ จากสถิติยังพบว่า การเสียชีวิตของคนอเมริกันจากปฏิกิริยาข้างเคียงการใช้ยา เป็นสาเหตุการเสียชีวิตของประชากรมากกว่า 100,000 คนต่อปีทั้งยังเป็นสาเหตุของการป่วยเข้าโรงพยาบาลอีกกว่า1 ล้าน 5 แสนคน ซึ่งเคสเกิดจากผลข้างเคียงของการใช้ยาทั้งสิ้น

ยาในสามกลุ่มหลักนี้ ถูกพบว่านำไปสู่ผลข้างเคียงที่หลากหลายรวมทั้งความเสี่ยงการสูญเสียความจำเมื่อสูงวัย

Health and Drugs 3

1. ยานอนหลับ (sleeping drugs): นอกจากจะนำไปสู่การเสียความจำยังเป็นสาเหตุของอาการสมองเบลอเมื่อป่วยหนักหรืออยู่ในช่วงโคม่าและการเสียความจำชั่วคราวในคนที่บริโภคแอลกอฮอล์สิ่งที่ต้องรู้ก็คือ การนอนหลับโดยใช้ยานอนหลับนี้ไม่ได้ทำให้ร่างกายรู้สึกสดชื่นจากการได้นอนเพียงพอแต่อย่างใดและร่างกายก็ไม่ได้ซ่อมแซมตัวเองได้ดีขึ้นจากการนอนหลับเพราะยานี้ด้วย ยานอนหลับบางชนิดจะนำไปสู่การเห็นภาพหลอน, ความรู้สึกตื่นกลัวตอนกลางคืน, เดินละเมอ, และหลับในเมื่อขับรถ

2. ยาลดไขมันในกระแสโลหิต ( statin drugs): ยากลุ่มนี้มีฤทธ์ช่วยลดระดับไขมันชนิดเลวในกระแสโลหิต ซึ่งไขมันชนิดนี้จะถูกสร้างขึ้นที่ตับ ยาจะไปยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ HMG-CoA reductaseซึ่งทำหน้าที่เปลี่ยนสารจำพวกคอเลสเตอรอลที่อยู่ในกระแสโลหิต แต่ขณะเดียวกัน มันก็ถูกพบว่าเป็นยากลุ่มหนึ่งที่อาจทำความเสียหายให้กับสมอง ซึ่งคนไข้ที่เป็นโรคของคอเลสเตอรอลมักจะได้รับการสั่งยากลุ่มนี้ให้บริโภค เพื่อรักษาสมดุลระดับคอเลสเตอรอลของร่างกายซึ่งสิ่งที่ควรรู้ก็คือสมองของเรานั้น ถูกสร้างขึ้นโดยมีส่วนประกอบหลักถึงหนึ่งส่วนสี่มาจากคอเลสเตอรอล ซึ่งเป็นส่วนควบคุมการสั่งงานด้านกระบวนการคิด, ความทรงจำและการเรียนรู้ ดังนั้น การได้รับยากลุ่มนี้เป็นประจำ ก็เป็นไปได้ที่จะเสี่ยงต่อการสูญเสียความจำหรือผลข้างเคียงที่คล้ายกัน

3. ยา “ ต้าน” อาการต่างๆ(“anti” Drugs): หมายถึงยาทั้งหมดที่ใช้คำว่า “ต้าน” หรือ “anti” เช่น ยาต้านการแพ้(anti-histamines), ยาปฏิชีวนะ (antibiotics), ยาต้านความหดหู่ (anti-depressants), ยาต้านอาการทางจิตประสาท(anti-psychotics), ยาต้านการเกร็งของกล้ามเนื้อ(antispasmodics), ยาลดความดันโลหิตสูง(antihypertensive)ยาในกลุ่มทั้งหมดนี้จะมีผลกับระดับของสารอะซิทิลโคลีน (acetylcholine) ในร่างกายซึ่งเป็นสารสำคัญของระบบสื่อประสาทใช้เพื่อเก็บความทรงจำและพัฒนาการเรียนรู้, การเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อและความคิดการบริโภคยาเหล่านี้เป็นประจำ จะทำให้ระดับสารนี้ลดลงและเกิดอาการอาทิ ความจำเสื่อม, กล้ามเนื้ออ่อนแรง, มองเห็นภาพเบลอ, โรคสมองเสื่อม (dementia), การเพ้อจากสมองสับสน, การสูญเสียกลไกของจิตใต้สำนึกทำให้คุมตัวเองไม่ได้, การเห็นภาพหลอน ฯลฯ

Health and Drugs 2

ดร. ริชาร์ด ซี. โมหส์ คณะจิตเวชศาสตร์โรงพยาบาลเมาท์ ไซนาย สหรัฐอเมริกาได้รวบรวมกลุ่มของยาที่อาจเป็นความเสี่ยงต่อการสูญเสียความทรงจำของสมอง หากใช้ต่อเนื่องเป็นประจำอันได้แก่:
– ยาปฏิชีวนะหรือยาแอนตี้ไบโอติก(Antibiotics)เช่นควิโนโลน (quinolone)
– ยานอนหลับ –เช่นแอมเบียน(Ambien), ลูเนสต้า (Lunesta), และโซนาต้า (Sonata)
– ยาระงับความเจ็บปวด –เช่น มอร์ฟีน (morphine), โคเดอีน (codeine), เฮโรอีน (heroin)
– อินซูลิน (Insulin)
– ยาในกลุ่มคีโมเธอราพี (Chemotherapy drugs)
– ยาแก้โรคลมชัก – เช่นไดแลนทิน (Dilantin), เฟนีโทอิน(phenytoin)
– ยากลุ่มบาร์บิทูเรท(barbiturate)เคยถูกใช้เป็นยานอนหลับและคลายกังวล ปัจจุบันก็ยังมีที่ถูกใช้เป็นยากันชักอยู่บ้าง – เช่นเนมบูทาล (Nembutal),ฟีโนบาร์บิทัล ( Phenobarbital), เซโคนาล (Seconal) และอามิทัล(Amytal)
– ยาต้านอาการทางจิต (Antipsychotic) – เช่นเมลลาริล (Mellaril),ฮาลโดล(Haldol)
– ยารักษาโรคพาร์กินสัน –เช่นอะโทรพีน(atropine), ไกลโคไพโรเลท (glycopyrrolate), สโคโพลามีน(scopolamine)
– ยากลุ่มเบนโซไดอะซีพีน(Benzodiazepine) เป็นยารักษาอาการจิตเวชที่ทำให้เกิดการผ่อนคลายของกล้ามเนื้อ ซึ่งแพทย์อาจสั่งยานี้เพื่อให้ผู้ป่วยสลบก่อนจะทำหัตถการเพื่อการผ่าตัด เป็นยากลุ่มที่มีการสั่งจ่ายมากที่สุดในสหรัฐอเมริกา ยานี้จะไปเปลี่ยนแปลงผลของสารสื่อประสาทคือกาบา ( GABA) หรือชื่อเต็มคือgamma – aminobutyric acid ยับยั้งการทำงานของนิวรอนในระบบประสาทส่วนกลางเช่นซาแนกซ์ (Xanax), แวเลียม (Valium), ดาลเมน (Dalmane), อาทิแวน (Ativan)
– ยาฆ่าเชื้อและยาต้านโรคภูมิแพ้ เช่น ควินิดีน Quinidineซึ่งใช้รักษาโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ,มาลาเรีย, อาการติดเชื้อต่างๆ ซึ่งต้องใช้โดยแพทย์เท่านั้น
– ยากลุ่มเบต้าบลอกเกอร์ (Beta blockers) เป็นยาใช้รักษาโรคหลายชนิดเช่น รักษาความดันโลหิตสูง, ภาวะหัวใจเต้นผิดปกติ, โรคต้อหิน, โรควิตกกังวล, ไมเกรน, ภาวะต่อมไทรอยด์ทำงานมากเกินไป ยานี้จะไปยับยั้งการทำงานของสารสื่อประสาทนอร์อิพิเนฟริน (Norepinephrine) และอิพิเนฟริน Epinephrine หรือที่รู้จักในชื่อของอดรีนาลีน
– ยารักษาโรคความดันโลหิตสูง (High blood pressure drugs)
– ยาอินเตอร์เฟอรอน (Interferon) เป็นยาใช้รักษาไวรัสตับอักเสบ โดยยาจะไปยับยั้งไวรัสและการแบ่งตัวของไวรัส ซึ่งยานี้มีผลข้างเคียงค่อนข้างมาก เป็นยาโปรตีนสังเคราะห์ ช่วยให้ร่างกายสร้างโปรตีนในโลหิตเพื่อต่อสู้กับไวรัส เพื่อจะไปยับยั้งเอนไซม์ที่ทำหน้าที่แบ่งตัวทำให้ไวรัสในร่างกายลดจำนวนลง
– ยานาโปรเซน (Naproxen) เป็นยาแก้ปวดในกลุ่มเอ็นเซด ใช้ลดอาการปวด การอักเสบ, รูมาตอยด์, ข้ออักเสบจากสะเก็ดเงิน, เก๊าท์, เอ็นกล้ามเนื้ออักเสบ ฯลฯยาจะไปยับยั้งการทำงานของเอนไซม์และการแข็งตัวของเกล็ดเลือด เป็นยาอันตรายที่ต้องให้แพทย์สั่งเท่านั้น
– ยาต้านโรคซึมเศร้าในกลุ่มไตรไซคลิก (Tricyclic antidepressants)
– ยาเมทิลโดปา (Methyldopa) เป็นยาลดความดันโลหิตสูงในภาวะตั้งครรภ์ของผู้หญิง ยานี้จะไปขยายหลอดเลือด การใช้ต้องได้รับการยืนยันจากแพทย์เท่านั้นเพราะเป็นยาอันตราย
– ยาลิเทียม (Lithium) เป็นยาใช้รักษาอารมณ์ดีที่ตื่นตัวผิดปกติในผู้ป่วยโรคไบโพลาร์ เป็นยารักษาโรคทางจิตเวชที่เกี่ยวกับความยับยั้งชั่งใจ
– ยาต้านการแพ้ (Antihistamine)
– ยาสเตียรอยด์ (Steroid)

Health and Drugs 1

ซึ่งหากใครที่บริโภคยาเหล่านี้อยู่เป็นประจำก็ควรมีการปรึกษาหารือกับแพทย์เป็นระยะๆถึงความปลอดภัยของการใช้ยา และบอกผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นกับคุณให้แพทย์ได้ทราบอย่างละเอียดและหากเป็นได้ ก็ควรหาแนวทางของธรรมชาติบำบัดเพื่อรักษาโรคประจำตัวของคุณ ซึ่งจะให้ผลดีต่อสุขภาพมากกว่าหรืออาจปรึกษาแพทย์เพื่อเปลี่ยนชนิดของยาที่มีความเสี่ยง คู่ไปกับการปรับเปลี่ยนไลฟสไตล์ให้เหมาะสมขึ้นรวมทั้งลดปริมาณยาที่ใช้อยู่

 

รู้แบบนี้แล้วทำให้รู้สึกว่ายังมีโอกาสที่เราจะป้องกันตัวเองจากการสูญเสียความจำได้ถ้าไม่ใช้ยาพร่ำเพรื่อ ขึ้นชื่อว่า “ยา” ก็ควรใช้อย่างระมัดระวังและใช้เท่าที่จำเป็น อีกสิ่งสำคัญที่จะช่วยเราไม่ให้สูญเสียความจำก็คือ การหากิจกรรมที่จะทำให้ร่างกายของเราได้เกิดความกระตือรือร้น มีการตื่นตัวอย่างสม่ำเสมอนอกจากนี้ การบริโภคผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่ช่วยเรื่องความจำการบริโภคอาหารที่มีโภชนาการช่วยพัฒนาสมองลดบริโภคอาหารขยะก็จะช่วยสุขภาพที่ดีโดยรวมของสมองและของร่างกายได้ค่ะ

ป้องกันไข้หวัดใหญ่ในบ้านคุณ

เมื่อเร็วๆนี้ เราคงได้ยินกันว่า องค์การอนามัยโลกหรือ WHO รวมทั้งกระทรวงสาธารณสุขของประเทศไทยได้ออกมาเตือนให้เราเตรียมตัวรับมือกับการแพร่ระบาดอีกครั้งของโรคไข้หวัดใหญ่ ซึ่งคาดว่าในปี 2562 นี้จะรุนแรงขึ้น ส่งผลให้มีอัตราการเสียชีวิตของประชากรโลกในช่วงการระบาดได้มากถึง 290,000 – 650,000 คนต่อปีเลยทีเดียว สายพันธุ์ของโรคนี้ที่พบมากคือสายพันธุ์บี พบในกลุ่มเด็กมากกว่าผู้ใหญ่ถึง 9 เท่า นี่คือตัวเลขประมาณการณ์ซึ่งคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะการระบาดของเชื้อไวรัส H1N1 ที่สถิติพบว่า ทุกๆ1 คนใน 5 คนจะมีการติดเชื้อโรคนี้และในจำนวนผู้ติดเชื้อทั้งหมดจะมีผู้ที่อาการหนักอยู่ราว 3-5 ล้านคนทีเดียว สิ่งสำคัญก็คือ มีเชื้อไข้หวัดอยู่รอบตัวทั้งในที่ทำงานและคนที่เราต้องติดต่อด้วย ปัญหาคือทำอย่างไรเราถึงจะไม่นำโรคนี้หรือโรคใดๆก็ตามไปแพร่เชื้อต่อให้กับคนในบ้าน

มีกิจวัตรประจำวันหลายๆอย่างที่เราทำและมันก็เป็นพาหะนำเชื้อโรคเข้าไปในบ้านและส่งต่อให้กับสมาชิกในครอบครัวโดยไม่รู้ตัวมาดูเคล็ดลับต่อไปนี้ ซึ่งจะช่วยให้บ้านของเราปลอดจากโรคไข้หวัดใหญ่และเชื้อโรคต่างๆดีขึ้นกว่าเดิม

Protection Influenza 3

1. อย่าลืมล้างนิ้วหัวแม่มือ:การล้างมือเป็นวิธีฆ่าเชื้อโรคที่ได้ผลที่สุดแต่เราก็มักจะลืมล้างนิ้วหัวแม่มือหรือนิ้วโป้งเพราะมัวใส่ใจกับนิ้วชี้ถึงนิ้วก้อยมากกว่าซึ่งนิ้วหัวแม่มือเป็นนิ้วที่สัมผัสเชื้อโรคต่างๆมากที่สุด จากพื้นผิวของสิ่งต่างๆเช่น ปุ่มโทรศัพท์มือถือ, รีโมทคอนโทรล ฯลฯ ซึ่งมักเป็นนิ้วที่เราละเลยบ่อยๆเมื่อล้างมือ
2. อย่าวางกระเป๋าหรือถุงบนพื้น:การทำแบบนั้นเป็นการเปิดทางให้เชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายได้ง่ายขึ้นโดยเฉพาะพื้นในห้องน้ำหรือในร้านอาหารเพราะถุงและกระเป๋านั้น มักทำจากผ้าหรือหนังสัตว์ ซึ่งมีโอกาสติดเชื้อโรคจากพื้นได้ง่ายมากควรใช้สบู่อ่อนๆผสมน้ำอุ่น นำผ้านุ่มๆชุบส่วนผสมเช็ดกระเป๋าให้ทั่วเพื่อขจัดฝุ่นและเชื้อแบคทีเรียออกไป
3. เก็บแปรงสีฟันแยกจากของคนอื่น:โรคไข้หวัดใหญ่, โรคอาหารเป็นพิษ, เชื้อแบคทีเรียอีโคไลสาเหตุของโรคท้องร่วงตลอดจนเชื้อราต่างๆ จะเจริญเติบโตได้ดีบนแปรงสีฟัน การเก็บแปรงสีฟันของทุกคนไว้ในภาชนะเดียวกันจะทำให้เชื้อโรคถ่ายโอนถึงกันได้ควรนำแปรงสีฟันใส่กล่องปิดฝาบนตัวแปรงให้มิดชิด แล้วเก็บแยกออกจากแปรงสีฟันของคนอื่นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีคนในบ้านป่วยเป็นไข้หวัดหรือไข้หวัดใหญ่
4. เช็ดฆ่าเชื้อโรคบนมือจับทุกอย่างในบ้าน:เรามักทำความสะอาดลูกบิดประตู แต่ลืมดูแลอุปกรณ์มือจับอื่นๆในบ้านเช่นมือจับบานเปิดตู้ในครัว มือจับตู้เย็น ลิ้นชักและตู้เสื้อผ้ามือจับเหล่านี้เป็นที่สะสมเชื้อโรคได้มาก ทั้งทุกคนในบ้านมักสัมผัสเป็นประจำด้วยควรเช็ดทำความสะอาดมันด้วยผ้านุ่มๆชุบน้ำยาฆ่าเชื้อโรคหรือแอลกอฮอล์ทุกๆ 1-2 วันและทำทุกวันหรือเมื่อมีคนในบ้านป่วยด้วยไข้หวัด

Protection Influenza 2

5. วางรองเท้าไว้นอกบ้าน:อย่าลืมว่ารองเท้าของเราคือสิ่งที่ใช้เดินตระเวณไปทุกหนแห่งในทุกๆวัน และถ้าหากเราใส่มันย่ำเข้ามาในพื้นบ้าน บนพรมและที่ต่างๆนั่นก็คือการทำให้เชื้อโรคจากนอกบ้านกระจายไปทั่วในบ้าน ซึ่งเราและทุกคนก็จะเจ็บป่วยจากเชื้อโรคนั้น
6. อย่าบริโภคอาหารบนโต๊ะทำงาน:บนโต๊ะทำงานมีจำนวนเชื้อโรคที่มากและสกปรกกว่าบนที่นั่งชักโครกในห้องน้ำถึง 100 เท่า นี่เป็นการศึกษาจากสถิติของหลายๆสำนักออกมายืนยันเพราะเหตุนี้ การบริโภคมื้อเที่ยงบนโต๊ะทำงานจึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ เพราะมือของคุณจะต้องสัมผัสกับพื้นผิวโต๊ะที่เต็มไปด้วยเชื้อโรค ดังนั้น ถ้าจะบริโภคอาหารให้ไปที่ห้องพักดื่มกาแฟหรือห้องครัวของออฟฟิศ แล้วก็อย่าลืมฆ่าเชื้อโรคที่มือก่อนด้วยการใช้ผ้านุ่มชุบน้ำยาหรือแอลกอฮอล์เจล เช็ดมือให้สะอาดก่อนจะหยิบแซนวิชขึ้นมาบริโภค
7. อย่าเอาโทรศัพท์เข้าห้องน้ำ:อะไรก็ตามที่หยิบติดมือเข้าไปในห้องน้ำ มันสามารถจะเปื้อนเชื้อโรคได้ทั้งนั้นจากสถิติพบว่า 16% ของโทรศัพท์มือถือได้รับเชื้อโรคจากสถานที่แห่งนี้ ดังนั้นเพื่อฆ่าเชื้อโรค ให้ทำความสะอาดมือถือด้วยผ้าชุบแอลกอฮอล์และซื้อแผ่นเช็ดทำความสะอาดใส่ในกระเป๋าหรือในรถ เพื่อเช็ดเป็นประจำ

Protection Influenza 4

8. ตุนโยเกิร์ตใส่ตู้เย็นไว้บริโภค:จากการวิจัยเชื่อว่าจุลินทรีย์โปรไบโอติกในโยเกิร์ตอาจมีศักยภาพในการช่วยต้านเชื้อไวรัสจากโรคหวัดได้ในระดับหนึ่งมีการศึกษาที่ตีพิมพ์ในวารสาร the Canadian Medical Association Journal แนะนำว่าโปรไบโอติกสามารถช่วยยับยั้งการติดเชื้อของระบบทางเดินหายใจช่วงบน ผลไม้เช่นบลูเบอร์รี่และเบอร์รี่สีเข้ม ก็ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพระบบภูมิคุ้มกันโรคได้ดี
9. เปลี่ยนผ้าปูที่นอนทุกสองสัปดาห์:ผ้าปูที่นอนเป็นเหล่งสะสมของเชื้อโรคอย่าใช้ผ้าปูที่นอนครั้งละนานๆเกิน2 สัปดาห์และจะดีกว่าถ้าเปลี่ยนมันได้ทุกๆสัปดาห์ให้ซักผ้าปูที่นอน ปลอกหมอน และผ้าเช็ดตัวในน้ำร้อน ตากแดดหรืออบให้แห้งสนิทเพื่อฆ่าเชื้อโรค

Protection Influenza 1

10. ฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่:เพื่อป้องกันไข้หวัดใหญ่ ควรฉีดวัคซีนป้องกันตั้งแต่เนิ่นๆ และถึงจะฉีดวัคซีนนี้แล้ว ก็ควรศึกษาวิธีป้องกันตัวเองจากเชื้อโรคนี้ด้วย เพราะการฉีดวัคซีนไม่ได้แปลว่าจะป้องกันได้ร้อยเปอร์เซ็นต์
11. ใส่ใจดูแลสัตว์เลี้ยง:เมื่อช่วงต้นปีนี้มีเรื่องของไวรัสจากสุนัข ที่สามารถแพร่เชื้อมาสู่มนุษย์ได้ในสหรัฐอเมริกา และในขณะที่ไวรัสไข้หวัดใหญ่ในสายพันธุ์ที่เป็นกับสุนัข ก็จะมีความแตกต่างกับไวรัสโรคนี้ที่เป็นกับมนุษย์แต่มันก็จะทำให้สุนัขของเราเป็นส่วนหนึ่งของความเสี่ยงได้เช่นกันจึงควรระวังและใส่ใจมันให้มากขึ้น

 

ทุกครั้งที่มีคนในบ้านเจ็บป่วย นอกจากจะเป็นความกังวลใจแล้ว ก็ยังเป็นสัญญาณให้เราต้องเพิ่มความใส่ใจของสุขอนามัยในบ้านให้มากขึ้นอีกด้วย มาทำพื้นที่แห่งความสุขของครอบครัวแห่งนี้ ให้เป็นที่ปลอดภัยของสุขภาพด้วยกัน แค่เราใส่ใจในรายละเอียดเพิ่มขึ้นอีกนิด ก็จะได้สิ่งดีๆกลับคืนมามากมายค่ะ

8 สัญญาณระดับน้ำตาลในเลือดสูง

ความหวานที่ไม่มีใครอยากได้เลยก็คือ ระดับน้ำตาลในเลือดที่พุ่งสูงขึ้น ซึ่งถ้าเราไม่เจอแบบนี้ได้เป็นดีที่สุด เพราะการมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงเป็นสาเหตุของความเสียหายหลายอย่างกับสุขภาพร่างกายและไม่ว่าคุณจะเป็นโรคเบาหวานหรือไม่ก็ตาม ระดับน้ำตาลที่สูงมากในเลือด ก็ทำให้เกิดความเสียหายทั้งกับระบบประสาท, เนื้อเยื่อ, หลอดเลือด ฯลฯและที่อันตรายก็คือเมื่อระดับน้ำตาลในเลือดไม่ยอมลดลงยังสูงอยู่เป็นเวลานานๆทีนี้แหละค่ะที่ปัญหาซีเรียสต่างๆของสุขภาพก็จะเกิดขึ้นตามมา

ภาวะน้ำตาลในเลือดสูง ( Hyperglycaemia) คืออะไร
คำๆนี้ เป็นศัพท์ทางการแพทย์หมายถึงเมื่อร่างกายมีสภาวะระดับน้ำตาลกลูโคสในเลือดเพิ่มสูงกว่าปกติ ซึ่งเป็นปัญหาหลักของคนที่เป็นโรคเบาหวาน ภาวะนี้สามารถส่งผลกระทบสุขภาพได้ทั้งคนที่เป็นเบาหวานชนิดที่ 1 คือชนิดที่ร่างกายไม่ผลิตอินซูลินและชนิดที่ 2 คือชนิดที่ร่างกายผลิตอินซูลินน้อยเกินไป ทั้งยังรวมไปถึงผู้หญิงที่เป็นเบาหวานขณะตั้งครรภ์อีกด้วย ซึ่งหากไม่ได้รักษาให้ถูกต้อง ความเสียหายสุขภาพอีกมากมายก็จะตามมา เช่น การเสียหายของดวงตา เส้นประสาท ไตและหลอดเลือด ฯลฯ

เหตุผลหนึ่งที่ทำให้คนส่วนมากต้องพบปัญหาสุขภาพจากระดับน้ำตาลในเลือดสูง ก็คือการขาดความรู้และไม่ได้ศึกษาเกี่ยวกับอันตรายของมันให้มากพอ ทำให้ปล่อยปละละเลย ทั้งยังไม่ได้สังเกตถึงสัญญาณที่ร่างกายได้เตือนให้รู้ล่วงหน้าอีกด้วยดังนั้นเพื่อรักษาสุขภาพร่างกายของเราให้ปลอดภัยและรักษาระดับของน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในสมดุลที่ดี เราจึงควรเอาใจใส่กับสัญญาณที่ร่างกายบอกล่วงหน้าเมื่อเกิดปัญหานี้

Health Hyperglycaemia 4

1. กระหายน้ำตลอดเวลา: สาเหตุคือเรื่องของอาการปัสสาวะมากที่เรียกว่าโพลียูเรีย ( polyuria)ที่มีสาเหตุมาจากเมื่อระดับน้ำตาลในเลือดเพิ่มขึ้นสูง ไตของเราก็จะไม่สามารถเก็บกักน้ำไว้ได้ดังนั้น ไตจึงผลิตปัสสาวะปริมาณมากขึ้นเพื่อขจัดกลูโคสส่วนเกินที่ไตไม่สามารถดูดซึมได้สิ่งนี้ทำให้รู้สึกกระหายน้ำตลอดเวลา โดยปกติ ค่าเฉลี่ยของปัสสาวะในผู้ใหญ่ไม่ควรเกินวันละ 3 ลิตร ซึ่งหากมากกว่านั้นก็อาจเป็นสัญญาณนี้ก็ได้
2. บริโภคอาหารมากขึ้น: พฤติกรรมการบริโภคอาหารปริมาณมากขึ้นกว่าเดิม แสดงว่าคุณอาจมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงกว่าปกติก็ได้เพราะกลูโคสจากอาหารที่ถูกย่อยไม่สามารถถูกนำไปหล่อเลี้ยงเซลล์ได้ซึ่งอาจเป็นเพราะการขาดอินซูลินหรือร่างกายเกิดสภาวะดื้อต่ออินซูลิน ( insulin resistance)ทำให้ไม่สามารถแปรสภาพอาหารที่บริโภคให้กลายเป็นพลังงานทำให้รู้สึกไม่มีแรงหรืออ่อนเพลียกว่าปกติ จึงต้องการอาหารมากขึ้นเพื่อจะนำไปผลิตกลูโคส ทำให้เราต้องบริโภคอาหารมากกว่าที่เคย

Health Hyperglycaemia 2

3. ปัสสาวะบ่อย: สัญญาณนี้เกี่ยวเนื่องโดยตรงกับการกระหายน้ำที่เกิดขึ้น นั่นคือไตของเราไม่สามารถดูดซึมและแปรสภาพน้ำตาลส่วนเกินได้ ดังนั้น ทางเดียวที่มันจะสามารถขจัดน้ำตาลนี้ออกไปได้ก็คือผ่านออกมาทางปัสสาวะจึงควรหมั่นสังเกตเวลาที่คุณเข้าห้องน้ำเพื่อปัสสาวะหากพบว่ามันถี่กว่าปกติเช่นทุกๆชั่วโมงละก็ คุณอาจกำลังมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงเกินไปก็เป็นได้ซึ่งคำแนะนำที่ดีที่สุดก็คือไปพบแพทย์เพราะมันอาจหมายถึงปัญหาสุขภาพที่มากกว่านั้น
4. เหนื่อยเรื้อรัง: เราอาจเคยคิดว่าการมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงจะทำให้มีพลังงานมากขึ้นแต่จริงๆแล้วตรงกันข้าม เพราะเมื่อระดับน้ำตาลในเลือดสูง เราก็จะปัสสาวะบ่อยขึ้นและก็จะหิวน้ำบ่อยขึ้น เพราะไตไม่สามารถดูดซึมกลูโคสและนำไปแปรสภาพเป็นพลังงานเมื่อไม่มีพลังงาน ร่างกายก็จะรู้สึกอ่อนแรงและเหนื่อยตลอดเวลา
5. เห็นภาพเบลอ: เมื่อน้ำตาลในเลือดสูง มันก็จะทำให้เลนส์ของนัยน์ตามีบวมตัวขึ้น การมองเห็นภาพของเราก็จะเบลอไม่ชัดเจนซึ่งมันอาจเป็นได้ชั่วคราวหรือตลอดไป ควรพบแพทย์เพื่อรักษาอาการนี้

Health Hyperglycaemia 3

6. ผิวแห้ง: หากพบว่าสัญญาณนี้เกิดขึ้นกับผิว แสดงระดับน้ำตาลในเลือดของเราอาจมีระดับสูงมาระยะหนึ่งแล้วทั้งนี้เพราะระดับน้ำตาลที่สูงทำให้เส้นประสาทเกิดความเสียหายและร่างกายสูญเสียน้ำเร็วกว่าเดิมซึ่งถ้าเป็นแบบนี้นานๆ ระบบประสาทก็จะเสียหายถาวรและผิวหนังก็จะมีความแห้งเกิดขึ้น
7. สมรรถภาพทางเพศลดลง: สำหรับผู้ชายก็คือไม่สามารถควบคุมการหลั่งได้ เนื่องจากการไหลเวียนของเลือดบกพร่องจากระดับน้ำตาลในเลือดสูงที่ไปขัดขวางการไหลเวียนทำความเสียหายให้กับระบบประสาทและหลอดเลือดของอวัยวะต่างๆด้วย
8. น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น: เมื่อระดับน้ำตาลในเลือดสูง โอกาสที่ร่างกายจะเกิดสภาวะดื้อต่ออินซูลิน(insulin resistance) ก็เป็นได้มากขึ้นและเมื่อเกิดขึ้น เซลล์ของร่างกายก็จะไม่มีการตอบรับกับอินซูลินอีกต่อไปทำให้มันยากมากที่เซลล์ในร่างกายจะนำกลูโคสจากกระแสเลือดไปหล่อเลี้ยงส่วนต่างๆและจากสิ่งนี้ ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดของเราเริ่มสะสมตัวสูงขึ้นๆไปเรื่อยๆตามเวลา ทำให้มีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น

Health Hyperglycaemia 1

ทั้งหมดที่เล่ามานี้ คือสัญญาณของการที่ร่างกายเตือนเราเมื่อมีระดับน้ำตาลในเลือดสูง สาเหตุของสิ่งนี้ก็คือโภชนาการที่บกพร่องเป็นสาเหตุหลักการบริโภคอาหารที่ผ่านกระบวนการหลายขั้นตอนหรืออาหารสำเร็จรูปนอกบ้าน ที่เราไม่ทราบขั้นตอนและส่วนผสมในการปรุงเป็นประจำ ตลอดจนอาหารที่มีแคลอรี่สูง ล้วนทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นได้ทั้งนั้นเพราะอาหารเหล่านี้ร่างกายก็จะย่อยมันอย่างรวดเร็ว ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่ดีเพราะจะทำให้น้ำตาลในเลือดพุ่งขึ้นฮวบฮาบ ทั้งยังไปเพิ่มระดับคอเลสเตอรอลชนิดเลวให้สูงขึ้นได้เช่นกัน

นอกจากนี้ น้ำตาลในเลือดสูงก็ยังมีสาเหตุอื่นๆได้แก่ ความเครียด, ความเจ็บป่วยจากโรคบางอย่างเช่น ไข้หวัด, การขาดการออกกำลังกาย, ภาวะขาดน้ำ, การได้รับยาสเตียรอยด์หรือยาบางชนิด รวมทั้งการรักษาภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ ( Hypoglycaemia) ด้วยวิธีที่รุนแรงเกินไป ก็อาจทำให้เกิดภาวะนี้ได้ ซึ่งหากคุณพบสัญญาณเตือนเหล่านี้ ก็ควรเปลี่ยนแปลงอาหารที่บริโภค เลี่ยงอาหารที่ทำให้ระดับน้ำตาลสูงขึ้นเช่นน้ำอัดลม, ดื่มน้ำสะอาดให้มากขึ้น, ออกกำลังกายสม่ำเสมอ การเดินเร็วๆวันละ 30-45นาทีขึ้นไป ก็จะช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ดี ทั้งช่วยให้น้ำหนักลดลงได้ด้วย และหากรู้สึกว่าตัวเองมีความเสี่ยง ก็ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจระดับน้ำตาลในเลือดอย่างสม่ำเสมอ ก็จะป้องกันได้ดีที่สุด
เล่ามาทั้งหมดนี้

เอาเป็นว่าถ้ามีหนุ่มๆให้ชอคโกแล็ตมา สาวๆก็ควรบริโภคแค่ชิ้นสองชิ้น แล้วเก็บความหวานไว้ที่หัวใจไม่ใช่ที่ในกระแสเลือดของเรา ก็จะหวานกันได้สุขภาพดีกว่านะคะ 

รับมืออย่างไรกับ PM 2.5 และสภาวะร่างกายขาดคอลลาเจน

เมื่อเราพูดถึงอันตรายของฝุ่น PM 2.5ที่อนุภาคเล็กละเอียดของมันสามารถแทรกซึมเข้าไปทำให้เกิดโรคอันตรายได้หลายๆอย่าง ซึ่งหนึ่งในสาเหตุสำคัญของการเกิดโรคเหล่านั้นก็คือ การผลิตคอลลาเจนของร่างกายที่ลดน้อยลงหรือ Collagen Deficiency ซึ่งคอลลาเจน มีความสำคัญต่อร่างกายมากกว่าแค่เรื่องริ้วรอยของผิวหนังเพราะการขาดคอลลาเจนจะนำไปสู่โรคอันตรายในระยะยาววันนี้ เรามาเข้าใจความสำคัญของคอลลาเจนและความเกี่ยวข้องกับ PM 2.5 เพื่อรับมือด้วยกัน

“คอลลาเจน” ไม่ใช่มีแค่ที่ผิวหนัง
“คอลลาเจน” โปรตีนที่มีลักษณะเส้นใยสายเกลียวที่มีหน่วยโมเลกุลเกี่ยวพันมากมาย ผิวหนังของเรา จะมีคอลลาเจนส่วนประกอบหลักเรียกว่า เคราติน (Keratin)ทำให้ผิวแข็งแรงยืดหยุ่น นอกจากนี้คอลลาเจนก็ยังสร้างความยืดหยุ่นให้ผนังหลอดเลือด เป็นส่วนประกอบสำคัญของเยื่อกระจกตาและเลนส์ตา, เส้นเอ็น, กล้ามเนื้อ,เนื้อเยื่อของอวัยวะทุกส่วน, เส้นเลือด,เส้นผมและเล็บโดยทำหน้าที่เหมือนกาวยึดติดเนื้อเยื่อต่างๆให้ติดกัน ช่วยป้องกันร่างกายจากการดูดซึมเชื้อแบคทีเรียและไวรัสต่างๆทั้งช่วยป้องกันความเสียหายของเนื้อเยื่ออวัยวะจากมลพิษอีกด้วยซึ่งชนิดของคอลลาเจนทั้งหมดจะแบ่งเป็น 16 กลุ่มใหญ่ๆ แต่ชนิดที่ประกอบอยู่ในร่างกายมนุษย์จะมี 5 กลุ่มคือกลุ่มที่ 1, 2, 3, 5 และ 10 ได้แก่

กลุ่มที่ 1: มีปริมาณมากที่สุดคือคอลลาเจนที่เป็นส่วนประกอบของร่างกายเช่นกระดูก, อวัยวะต่างๆ, ผิวหนัง,เส้นเอ็นและหลอดเลือด
กลุ่มที่ 2: คอลลาเจนใช้สร้างกระดูกอ่อน อาการเจ็บข้อต่อ, โรคไขข้อต่างๆ มาจากการขาดคอลลาเจนกลุ่มนี้ ซึ่งรวมทั้งกระดูกอ่อนในกล่องเสียง, หูและทางเดินหายใจ
กลุ่มที่ 3: คอลลาเจนที่เรียกกันว่า “ เส้นใยไฟเบอร์” มีโครงสร้างเป็นตาข่ายไขว้กันเหมือนแห ช่วยให้ผิวหนังยืดหยุ่นกระชับ เป็นกลุ่มที่สร้างเส้นเลือดและเนื้อเยื่อในหัวใจ การขาดคอลลาเจนชนิดนี้จึงเสี่ยงต่อเส้นเลือดแตก
กลุ่มที่ 5: คอลลาเจนใช้สร้างเนื้อเยื่อบุพื้นผิวของเซลล์ (Basal lamina) ซึ่งเนื้อเยื่อนี้มีหน้าที่รวมถึงการหลั่ง การดูดซึม, การป้องกัน, การขนส่งระหว่างเซลล์,ฯลฯ คอลลาเจนชนิดนี้เช่นผิวเปลือกนอกของเส้นผมและรกเด็ก
กลุ่มที่ 10: คอลลาเจนใช้สร้างกระดูกใหม่และเนื้อเยื่อกระดูก มีหน้าที่สำคัญในการรักษากระดูกแตกและซ่อมแซมข้อต่อ

PM 2.5 กับอันตรายต่อร่างกาย

Health PM 2.5 -4

PM 2.5 คือฝุ่นมลพิษที่มีแหล่งกำเนิดหลากหลาย ทั้งการเผาวัสดุในที่โล่ง, ควันไอเสียรถยนต์, โรงงานอุตสาหกรรม ฯลฯนักวิชาการระบุว่า อันตรายของมันไม่ใช่แค่ขนาดที่เล็ก 2.5 ไมครอนเท่านั้น แต่มันยังมีสารโลหะหนักและเชื้อจุลินทรีย์ก่อโรคที่ติดมาด้วย ยิ่งมลพิษนี้มีขนาดเล็กเท่าไหร่ พื้นที่ผิวสัมผัสสารโลหะหนักและจุลินทรีย์ก็จะยิ่งมาก และขนาดที่เล็กมากก็ทำให้สามารถเข้าไปลึกถึงก้านหรือขั้วปอดของมนุษย์ได้ พร้อมทั้งนำสารอันตรายและจุลินทรีย์เข้าไปด้วย ผลก็คือทำให้เกิดกลายพันธุ์ของทารกในครรภ์มารดา และเพิ่มความเสี่ยงโรคมะเร็งปอดให้มากขึ้นถึง 36%

เมื่อ PM 2.5 พบกับคอลลาเจนในร่างกาย
ก่อนอื่น ต้องเข้าใจก่อนว่า สารพิษและจุลินทรีย์ใน PM2.5 ที่เข้าสู่ร่างกายนั้น จะเข้าไปโดย “ การหายใจ” ของเราเท่านั้น ไม่ใช่การแทรกทะลุผิวหนังเข้าไปจับกับเซลล์ในร่างกายแต่อย่างใดเพราะผิวหนังของเรามีระบบป้องกันตัวตามธรรมชาติอยู่ไม่ให้สิ่งใดแทรกซึมลงไปได้ง่ายๆ สิ่งที่PM2.5 จะทำได้ก็คือการรบกวนผิวหนังชั้นนอกของเราให้ระคายเคืองเกิดอาการต่างๆ เช่นแสบคันตา เป็นผื่น เป็นสิว หรือโรคผื่นภูมิแพ้ต่างๆของผิวหนัง ฯลฯ เหมือนที่ฝุ่นธรรมดาก็ทำอยู่แล้ว แต่ที่มีอาการมากขึ้นก็เพราะปริมาณของมันที่มากขึ้น และความเล็กละเอียดที่ทำให้มันจับกับผิวหนังชั้นนอกได้มากขึ้นนั่นเอง

เมื่อเราหายใจเอา PM 2.5 เข้าไป มลพิษและเชื้อโรคที่ติดอยู่ด้วยก็จะเข้าสู่ร่างกาย ไปรบกวนทุกๆการทำงานของร่างกายรวมทั้งกระบวนการผลิตคอลลาเจนด้วยเมื่อระบบการผลิตคอลลาเจนเกิดปัญหา ก็จะนำเราไปสู่ปัญหาสุขภาพต่างๆตามมาเช่น โรคปอด, โรคทางเดินหายใจ, โรคหลอดเลือดสมองหรือ Stroke ฯลฯเพราะร่างกายต้องใช้คอลลาเจนเป็นส่วนสำคัญในการสร้างอวัยวะในทุกๆส่วน การขาดคอลลาเจนจะนำร่างกายไปสู่สภาวะของโรคกลุ่มที่เรียกว่า Collagen Deficiency Syndrome ซึ่งเป็นกลุ่มโรคระบบภูมิคุ้มกันบกพร่อง

สัญญาณที่บอกว่าร่างกายขาดคอลลาเจน:
โดยปกติแล้ว ความสามารถผลิตคอลลาเจนของร่างกายจะลดลงตามความเสื่อมธรรมชาติ เช่น วัยเพิ่มขึ้น, การสูบบุหรี่,การสัมผัสรังสียูวีและมลภาวะ ฯลฯสัญญาณที่เห็นได้ของการขาดคอลลาเจน ได้แก่:

Health PM 2.5 -3

1. ใบหน้าที่ลีบตอบและผิวใต้ตาที่ยุบตัวลง:วัยที่เพิ่มขึ้น จะทำให้คอลลาเจนบนใบหน้าและผิวหนังที่เคยอิ่มเต็มเปล่งปลั่งลดลงไปเรื่อยๆเป็นสัญญาณแรกของการสูญเสียคอลลาเจนของร่างกายผิวใต้ตาจะยุบตัวและมีสีคล้ำรวมทั้งผิวแก้มที่เริ่มบางตัวลงด้วย
2. ปวดตามข้อต่อ:เนื้อเยื่อคล้ายยางที่เชื่อมปกคลุมส่วนปลายกระดูกท่อนยาวบริเวณข้อต่อเป็นส่วนที่สร้างขึ้นจากคอลลาเจนจำนวนมากการสูญเสียคอลลาเจนบริเวณนี้ ทำให้ช่วงต่อของกระดูกสองท่อนเสียดสีกันมากขึ้น จะเกิดการปวดข้อต่อเมื่อเคลื่อนไหวรวมถึงการเจ็บที่เส้นเอ็นและกล้ามเนื้อด้วย
3. โรคลำไส้รั่ว:คอลลาเจนคือส่วนประกอบสำคัญในเยื่อบุผนังลำไส้ การลดลงของมันจึงอาจนำไปสู่“โรคลำไส้รั่ว (leaky gut syndrome)ที่มีอาการเช่นท้องผูก, ท้องร่วง, สมองเบลอ, เหนื่อยเรื้อรัง,และความบกพร่องของภูมิคุ้มกันร่างกาย
4.สูญเสียความคล่องตัว:โรคของภูมิคุ้มกันบกพร่อง โดยเฉพาะโรคลูปัสและรูมาตอยด์ทำให้สูญเสียความเคลื่อนไหวของร่างกายที่เคยคล่องตัว เนื่องจากคอลลาเจนรอบๆข้อต่อเกิดการติดเชื้อ

นอกจากเรื่องริ้วรอยความชราแล้ว การขาดคอลลาเจนก็จะทำให้เจ็บกล้ามเนื้อเกิดปัญหาการไหลเวียนของโลหิต ที่จะมีอาการเจ็บหน้าอก เวียนศีรษะ เหนื่อยเรื้อรังและปวดศีรษะบ่อยๆอีกปัญหาหนึ่งที่เห็นชัดก็คือเซลลูไลท์ ผิวที่ขาดคอลลาเจนจะขาดความยืดหยุ่น ทำให้ไขมันใต้ผิวดันชั้นตาข่ายเส้นใยไฟเบอร์ของผิวหนังขึ้นมา เกิดผิวขรุขระ ซึ่งรังสียูวีและมลพิษจากPM2.5 ก็มีส่วนสนับสนุนให้สัญญาณเหล่านี้เกิดเร็วขึ้นด้วย

โรคภูมิคุ้มกันบกพร่องจากการขาดคอลลาเจน (COLLAGEN DEFICIENCY SYNDROME)
การขาดคอลลาเจนจะทำให้เกิดโรคของภูมิคุ้มกันบกพร่อง เนื่องจากอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่รับสารพิษเข้าสู่ร่างกาย โรคของภูมิคุ้มกันที่เกิดจากการขาดคอลลาเจนนี้ได้แก่ โรคลูปัสหรือที่รู้จักในชื่อของโรค SLE, โรครูมาตอยด์, โรคหลอดเลือดขมับอักเสบ(Temporal Artheritis) ที่หลอดเลือดรอบขมับเกิดการติดเชื้อทำให้มองเห็นภาพซ้อน, มีไข้, เหนื่อย, เจ็บและติดขัดสะโพกเคลื่อนไหวไม่สะดวก, นัยน์ตาหนึ่งข้างสูญเสียการมองเห็น, ปวดขากรรไกร, เบื่ออาหาร, เจ็บไหล่และไหล่ติดขัด, น้ำหนักลดฮวบฮาบเฉียบพลัน,ปวดบริเวณรอบๆขมับโดยมีอาการปวดหลากหลาย
ดูแลคอลลาเจนในร่างกายให้สมดุล
การบริโภคอาหารที่อุดมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ วิตามินซีและแร่ธาตุต่างๆ จะช่วยรักษาสมดุลการผลิตคอลลาเจนของร่างกายจากภายใน เช่นเดียวกับอาหารที่อุดมด้วยโปรตีนเช่นนมและเนื้อสัตว์ ก็จะช่วยให้ร่างกายผลิตเนื้อเยื่อซ่อมแซมตัวเองได้ดีขึ้น ส่วนการบริโภคผลิตภัณฑ์เสริมอาหารคอลลาเจน เป็นสิ่งที่ต้องระวังเพราะผลิตภัณฑ์เหล่านี้มักผลิตจากส่วนประกอบของปลาทะเล ซึ่งอาจเกิดการแพ้ได้ ทั้งร่างกายก็จะดูดซึมคอลลาเจนเหล่านี้ไปใช้ได้จริงน้อยมากเพราะจะถูกกรดในกระเพาะอาหารย่อยสลายไปหมดก่อนอีกเรื่องที่ควรทำคือดื่มน้ำสะอาดให้มากขึ้นเพื่อชะล้างสารพิษ

อร่อยสดชื่นด้วยน้ำเลมอน-แตงกวาอินฟิวชั่น

Health PM 2.5 -5

ง่ายๆกับการดูแลสุขภาพแบบธรรมชาติกับวิตามินซีจากเลมอนและคุณสมบัติดีๆอีกมากมายจากแตงกวาที่ให้ความสดชื่น เนื้อข้างในผลแตงกวาอุดมด้วยสารซิลิคอนไดอ็อกไซด์(silicon dioxcide) ที่ช่วยลดการเกิดสิวและเพิ่มความยืดหยุ่นให้เนื้อเยื่อเมล็ดแตงกวายังอุดมด้วยวิตามินบี 3 และโปตัสเซียม ช่วยลดริ้วรอย, รอยสิวและสัญญาณความชราของผิวน้ำของแตงกวาอุดมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระเช่น อัลฟ่าและเบต้าแคโรทีน, ซ๊แซนทิน (zeaxanthin), ลูทีน ( lutein), โปตัสเซียม,วิตามิน A และ D ช่วยต้านอนุมูลอิสระและล้างพิษ, ลดความดันโลหิต,ลดความเสี่ยงของโรคStroke โรคหัวใจ โรคไตและปัญหาสายตา สารซิลิคอน แคลเซียมและฟอสฟอรัส ในแตงกวา ช่วยให้เส้นผมแข็งแรงงอกเร็วและเป็นเงางาม

สูตรน้ำเลมอน – แตงกวา อินฟิวชั่น:
ล้างเลมอนและแตงกวาในปริมาณเท่าๆกันให้สะอาด ใช้แปรงถูเปลือกให้ทั่วๆ หั่นเลมอนและแตงกวาเป็นแผ่นหนาพอสมควรทั้งเปลือกใส่ลงไปในน้ำแร่หรือน้ำสะอาด แช่ตู้เย็นไว้ 1 คืนแล้วดื่มตอนเช้า

ช่วยร่างกายฟื้นฟูการผลิตคอลลาเจน:

Health PM 2.5 -2

ถึงแม้เราจะห้ามการสูญเสียคอลลาเจนของร่างกายไม่ได้ แต่เราก็ช่วยสนับสนุนการสร้างคอลลาเจนได้ ด้วยสิ่งเหล่านี้:
– ควบคุมสิ่งที่”ควบคุมได้”:การสูบบุหรี่นอกจากจะเพิ่มปริมาณ PM 2.5 ในอากาศแล้ว ก็ยังเป็นสาเหตุใหญ่ของการทำให้สูญเสียคอลลาเจนในร่างกายได้พอๆกับอันตรายจากรังสียูวี ดังนั้นควรเลิกสูบบุหรี่เพื่อพัฒนาสุขภาพผิวและยกระดับการผลิตคอลลาเจนให้กับร่างกายของเรา
– อโลเวรา:วุ้นของต้นอโลเวราหรือว่านหางจระเข้ มีคุณสมบัติในการรักษาบาดแผลและดูแลผิวหนัง ทั้งยังสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตคอลลาเจนให้กับร่างกายได้ด้วย มีการศึกษาพบว่าการบริโภควุ้นจากพืชชนิดนี้ทั้งในรูปแบบอาหารและผลิตภัณฑ์เสริมอาหารก็จะช่วยฟื้นฟูการผลิตคอลลาเจนในร่างกายได้ในระดับหนึ่ง
– โสม:เป็นสมุนไพรมีคุณสมบัติในการต้านความชรา ด้วยสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยปกป้องเซลล์และสุขภาพผิวหนัง ชาวจีนเชื่อว่าโสมสามารถช่วยสนับสนุนพัฒนาการของการผลิตคอลลาเจน ทั้งช่วยลดความเสียหายของเซลล์จากการได้รับมลพิษได้ด้วย อย่างไรก็ตาม การบริโภคโสมเป็นสิ่งควรระวังสำหรับผู้เป็นโรคหัวใจ โรคความดันโลหิต จึงควรปรึกษาแพทย์ก่อนเพื่อความปลอดภัย

 

หวังว่าเรื่องที่เล่าให้ฟังวันนี้ คงให้ประโยชน์และความเข้าใจเรื่องสุขภาพกับทุกท่านไม่มากก็น้อย เรื่องของ PM2.5 แทนที่เราจะมัวแต่กังวลและรอความช่วยเหลือก็มาช่วยกันหาวิธีรับมือกับมันด้วยการดูแลสุขภาพตัวเองกันดีกว่า และสำหรับเรื่องของ PM 2.5 เป็นเรื่องที่ต้องแก้ไขในระยะยาวที่ทุกคนต้องร่วมมือกัน เพียงแค่ทุกๆวันต่อไปนี้ เราถามตัวเองว่า วันนี้ได้ทำอะไรที่จะช่วยลดการก่อ PM 2.5 นี้แล้วหรือยัง ถ้ายังก็จงลงมือทำ ก็ถือว่าได้ทำหน้าที่ดีที่สุดแล้วค่ะ