จามเสียงดังกลั้นได้ไหม แล้วจะเป็นอย่างไรกับสุขภาพ

ฮัดเช้ยๆ! เวลานี้ไปไหนๆ เราก็จะได้ยินแต่เสียงจามใช่ไหมคะ แน่นอนเพราะเป็นทั้งช่วงหน้าฝนทั้งช่วงการระบาดของไข้หวัดใหญ่ ไม่นับการจามเพราะมีคนพูดถึงอีกต่างหาก!แถมบางคนเวลาจามก็เสียงดังจนสะดุ้งกันไปทั้งห้อง จนแอบนึกไม่ได้ว่านี่เธอจะต้องเสียงดังเบอร์นี้เลยหรือ แล้วสังเกตไหมว่าถ้าเป็นคนสนิทกันที่จามเสียงดังแล้วเราทักเขาเรื่องนี้ เขาก็มักจะตอบว่า “ก็มันห้ามไม่ได้นี่นา”

เรื่องนี้แหละค่ะที่กำลังจะมาตอบ ว่าการจามเสียงดังนี่เราจะบังคับมันได้ไหม..หรือจริงๆแล้วมันมีอะไรมากกว่าแค่เรื่องของระดับเสียงในการจาม เช่นปัญหาสุขภาพใดๆ หรือเปล่าหรือถ้าคุณเป็นคนที่จามเสียงดังเอง คุณก็จะได้พบคำตอบบางอย่างที่อยู่ใกล้ตัวคุณ มาค่ะมารู้กัน!

“การจาม” คืออะไร และทำไมเราต้องจาม

Health COLD and Sneeze

มีความเชื่อกันว่าการจาม คือระบบการป้องกันตัวเองอย่างหนึ่งของร่างกาย ที่เกิดขึ้นเพื่อป้องกันระบบทางเดินหายใจของเราจากสิ่งที่เป็นพิษต่างๆที่จะเข้าสู่ร่างกายทางระบบหายใจโดยทางจมูกการจามจะเป็นการผลักดันควันพิษ ตลอดจนอณูโมเลกุลเล็กๆต่างๆและส่วนประกอบอันตรายจากสิ่งแวดล้อมที่จะเข้าสู่อวัยวะภายในร่างกาย

ศจ. ริชาร์ด ฮาร์วีย์ แห่งโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยเซนต์วินเซนท์แอนด์แมคควารี ของเมืองซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลียระบุว่า การจาม เปรียบเสมือนการลั่นไกปืน เมื่อระบบประสาทในช่องจมูกของเราตรวจจับได้ว่ามีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในช่องจมูกเช่นอุณหภูมิที่เปลี่ยนไปหรือกำลังได้รับความระคายเคืองหรือแม้แต่เกิดความเจ็บปวดบางอย่างขึ้น นี่คือเหตุผลว่าทำไมแม้แต่ลมจากเครื่องปรับอากาศ ควันไฟ หรือความร้อนจากแสงแดด ก็สามารถทำให้คุณจามได้ นอกจากนี้ การถูกรบกวนหรือความระคายเคืองนี้ซึ่งที่เกิดขึ้นในโพรงจมูก ทำให้มีน้ำมูกและมีอาการคันตามมา ซึ่งในขณะที่คุณรู้สึกแบบนั้น คุณก็จะต้องการกลั้นหายใจชั่วขณะไปด้วยพร้อมๆกัน ปฏิกิริยาของการกลั้นหายใจแบบไม่รู้ตัวของคุณนี้เอง ที่นำร่างกายไปสู่สภาวะ “การระเบิดเพื่อปลดปล่อยอากาศออกมา” ในช่องโพรงจมูก นั่นก็คือการจามนั่นเอง

แล้วทำไมเวลาจามต้องมีเสียงดัง
เสียงดังของการจาม มาจากอากาศที่ได้รับการกดดันและระเบิดออกมาทางปากหรือจมูกของคุณ ทฤษฎีสุขภาพบอกไว้ว่าเสียงจามของคนๆหนึ่งจะดังหรือค่อยแค่ไหนนั้น ขึ้นอยู่กับศักยภาพของปอดซึ่งมีองค์ประกอบมากมาย อาทิ ความแข็งแรง, ขนาด, และความสามารถในการเก็บกักลมหายใจ ว่าเก็บได้นานแค่ไหนนั่นหมายความว่า“ยิ่งคุณกลั้นหายใจได้นานเท่าไหร่ คุณก็จะจามได้เสียงดังเท่านั้น”นั่นเองค่ะ

สถาบันการวัดระดับความดังของเสียงในเมืองบริสเบน รัฐควีนสแลนด์ ประเทศออสเตรเลียได้ทำการวัดอัตราเฉลี่ยของเสียงจามในผู้ชาย ที่วัดได้ในระยะห่างจากตัวเขาประมาณ 60 ซ.ม จะมีเสียงดังประมาณ 90 เดซิเบลซึ่งความดังนี้จะเท่ากับระดับเดียวกับความดังของเสียงเครื่องตัดหญ้า แต่ถ้าหากผู้ชายคนนั้นจามโดยมีสิ่งใดปกปิดปากอยู่ เช่นมือหรือผ้าเช็ดหน้า ระดับเสียงจามของเขาก็จะลดลงอยู่ที่ประมาณ 80เดซิเบล อันนี้ขอเล่าเป็นความรู้เพิ่มเติมให้หน่อยนะคะว่า ปกติแล้ว เสียงสนทนาของคนเราจะมีระดับความดังของเสียงอยู่ที่ประมาณ 60 เดซิเบล

จามดังหรือจามค่อย เราบังคับตัวเองได้หรือไม่

Health COLD and Sneeze 3

ในขณะที่เราไม่สามารถหยุดสภาวะในโพรงจมูกของเราจากอาการคันและมีน้ำมูกได้ แต่หลายคนก็คิดว่า เราก็สามารถบังคับให้ตัวเองจามด้วยเสียงที่ค่อยกว่านี้ และก็น่าจะมีวิธีการที่ช่วยให้ดีกว่าจะปล่อยมันให้ดังไปทั่วทิศแบบนี้ได้ไม่ใช่หรือ ซึ่งเรื่องนี้ ศจ. ฮาร์วีย์ได้พูดถึงการที่เรามักจะใช้วิธีสงบเสียงจามให้ค่อยลง ด้วยการหยิกหรือถูที่จมูก หรือโดยการจามให้ลมผ่านออกมาทางรูจมูกแทนที่จะจามออกทางปาก ว่าการทำทั้งสองแบบนี้มันก็ทำได้ แต่ก็เป็นดาบสองคม ในเรื่องของสุขภาพร่างกายเช่นกันนอกจากนี้ ก็มีข้อเปรียบเทียบง่ายๆที่เห็นชัดระหว่างก็คือ“ ถ้าคุณจามทางปากมันอาจเสียงดังกว่า แต่ถ้าคุณจามทางจมูก ช่องทางการหายใจของคุณก็อาจจะเลอะเทอะและเปียกแฉะจากน้ำมูกได้มากขึ้น”

เสียงจามบอกสถานะและวัฒนธรรมของสังคม
จากข้างต้นเราพูดถึงการจามเสียงดังในแง่ของสุขภาพ แต่ถ้าพูดถึงในแง่ของทฤษฎีทางพฤติกรรมแล้วละก็ ได้มีการศึกษาเรื่องนี้อย่างจริงจังไว้โดยดร. บาร์บารา เอเวอร์ส อาจารย์คณะสังคมวิทยา มหาวิทยาลัยเมอร์ดอช ประเทศออสเตรเลียฝั่งตะวันตก ซึ่งระบุว่าการจามเสียงดังหรือค่อยของคนทั่วไปนั้น นอกจากจะเป็นเรื่องของโพรงจมูกแล้ว มันยังเกี่ยวข้องกับเรื่องระดับชนชั้นทางสังคมของคนๆนั้นอีกด้วยซึ่งเรื่องนี้ ได้เคยมีหนังสือเรื่อง มารยาทที่ไม่เหมาะสมของโพรงจมูก(Poor Nasal Etiquettes) ที่มีมาตั้งแต่ศตวรรษที่15ซึ่ง ดร. เอเวอร์ส ระบุว่าเพราะหนังสือนี้ได้ทำขึ้นเมื่อหลายปีที่ผ่านมา ทำให้มีคำแนะนำบางเรื่องที่เปลี่ยนแปลงไปเพื่อให้เหมาะสมกับพฤติกรรมและเวลาเพราะเรื่อมารยาทบางเรื่องในหนังสือนี้ ก็ได้รับการปฏิบัติที่เหมาะสมจากผู้คนในปัจจุบัน จนไม่จำเป็นต้องหยิบยกมาเป็นกรณีอีกแล้ว เช่นเรื่องมารยาทของการสั่งน้ำมูก

แต่ในวันนี้ ก็ยังคงมีกฎสังคมต่างๆ ที่พูดถึงเรื่องนี้ไว้ในหลายๆประเทศ ซึ่งก็จะมีข้อแตกต่างกันไปบ้างในวัฒนธรรม ว่าอะไรบ้างที่ผู้หญิงและผู้ชายควรทำหรือไม่ควรทำเช่นบางประเทศบอกว่า “ ถ้าคุณเป็น “ สุภาพสตรี” คุณก็ต้องไม่จามเสียงดัง ในขณะที่ถ้าคุณเป็นผู้ชายคุณก็จะสามารถทำสิ่งนี้ได้”แต่ผู้ชายชาวญี่ปุ่นไม่ได้อยู่ในกฎข้อนี้ เพราะวัฒนธรรมของชาวญี่ปุ่น ไม่ว่าผู้หญิงหรือผู้ชาย การจามเสียงดังถือเป็นพฤติกรรมที่หยาบคายด้วยกันทั้งสิ้น หรือในประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษส่วนมากก็จะบอกกันมาว่า“การจามเบาๆคือมารยาทที่สุภาพกว่าการปล่อยให้เสียงจามทั้งหมดออกมา”

จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเรากลั้นการจาม

Health COLD and Sneeze 2

ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพระบบการหายใจระบุว่า มันไม่เคยมีการแนะนำให้เราพยายามกลั้นการจามเอาไว้ เพราะการจาม คือการระเบิดแบบย่อมๆที่เกิดขึ้นในภายในศีรษะของเราและสามารถจะบังคับหรือกดดันอากาศให้ไปสู่พื้นที่ภายในร่างกายที่มันไม่ควรจะไปได้ “ มันค่อนข้างจะเป็นการตอบรับของระบบหายใจที่ทรงพลังมากอยู่’ ฮาร์วีย์ระบุ ในขณะเดียวกัน ก็มีการระบุในวารสาร The British Medical Journal ของปีที่ผ่านมาด้วยถึงกรณีศึกษาของผู้ชายชาวอังกฤษ วัย 34 ปีคนหนึ่งที่พบว่ามีรูรั่วขนาดใหญ่เกิดขึ้นกับภายในช่องลำคอของเขา เนื่องจากความพยายามที่จะกลั้นการจามที่ทรงพลังของตัวเอง ซึ่งผู้ชายคนนั้น พยายามที่จะกลั้นการระเบิดจามที่รุนแรงของเขาด้วยการปิดปากและอุดรูจมูกของตัวเองทั้งสองข้างซึ่งผลของมันก็คือไปกดดันทำให้เกิดรูที่คอหอย ซึ่งหมายถึงท่อกล้ามเนื้อในลำคอที่อยู่ด่นหลังของโพรงจมูกไปถึงบริเวณเหนือต่อจากหลอดลมและหลอดอาหารในไม่ช้าหลังจากทำแบบนี้ เขาก็พบว่าเกิดความเจ็บปวดอย่างมากเมื่อจะกลืนอาหาร รวมทั้งเสียงพูดที่เคยมีก็หายไปด้วยจนทำให้เขาต้องเข้ารักษาตัวเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ที่โรงพยาบาล ในช่วงที่ทำการรักษาอยู่นั้น เขาก็จะถูกให้อาหารทางสายยางและต้องให้ยาปฏิชีวนะชนิดฉีดเข้าเส้นเลือดดำเพื่อป้องกันการติดเชื้อต่อมาเมื่อชายผู้นี้ถูกส่งตัวกลับบ้านพร้อมคำแนะนำว่าไม่ให้เขาจามด้วยวิธีอุดจมูกตัวเองอีกในอนาคตนอกจากชายคนนี้แล้ว ก็เคยมีกรณีศึกษาของชายอีกคนหนึ่งอายุ 38 ปี ที่อยู่ในเมืองบอสตัน สหรัฐอเมริกา ที่กระดูกของกล่องเสียงหักเมื่อเขาอุดปากและหยิกจมูกของตัวเองระหว่างที่กำลัง “ ระเบิด” เสียงจามออกมา

เล่ามาถึงตอนนี้ หลายคนที่รู้สึกว่าตัวเองจามเสียงดัง ก็คงพิจารณาได้ว่าควรจะรู้สึกและจัดการกับมันอย่างไรนะคะ ส่วนคนที่ได้ยินเสียงจามดังๆก็คงจะทำความเข้าใจกับพฤติกรรมของคนรอบตัวได้ดีขึ้น แต่อยากบอกว่า ไม่ว่าคุณจะจามเสียงดังระดับไหน ก็คงไม่มีใครว่าอะไรถ้าหากคุณทำพฤติกรรมนี้ด้วยการใช้มือหรือกระดาษทิชชูปิดปากไว้ ซึ่งนอกจากจะช่วยให้เสียงค่อยลงได้บ้างแล้ว ก็ยังไม่ทำให้เกิดการแพร่กระจายของเชื้อโรคไปสู่คนอื่นๆด้วย เรื่องของการจามที่เล่าให้ฟังในวันนี้ก็คงจะมีเพียงเท่านี้

 

รักษาสุขภาพ พักผ่อนให้เพียงพอ จะได้ไม่เป็นไข้หวัด รวมทั้งหลีกเลี่ยงการอยู่ในที่ๆอากาศมีมลพิษเอาไว้ ก็จะช่วยให้สุขภาพปอดและระบบทางเดินหายใจไม่ต้องพบกับปัญหากันค่ะ

สัญญาณโรคเบาหวานที่รู้ได้ในผู้หญิงเท่านั้น

“เบาหวาน” เป็นโรคที่เป็นกันได้ทั้งผู้ชายและผู้หญิง ถึงแม้โรคนี้จะไม่ติดต่อ แต่ก็เป็นโรคเรื้อรังที่อันตรายไม่น้อย เพราะมันทำให้เกิดโรคร้ายอื่นๆ ตามมารวมทั้งความเสียหายของอวัยวะสำคัญต่างๆ ในอนาคตด้วยยิ่งผู้หญิงมีวัยเพิ่มขึ้นเท่าไหร่ ก็จะมีโอกาสเสี่ยงที่จะเป็นโรคนี้กันได้มากขึ้นเท่านั้น และก็ไม่รู้ว่าเป็นโชคดีหรือโชคร้ายสำหรับผู้หญิงเราที่เราจะได้รับสัญญาณของอาการเริ่มต้นโรคเบาหวานโดยที่ผู้ชายจะไม่มีสัญญาณเตือนเหล่านี้

รู้จัก “เบาหวาน”

Health Diabetes 2

ทำไมถึงเป็นโรคเบาหวาน…เพราะบริโภคของหวานมากเกินไปใช่ไหม เรามักได้ยินคำถามหรือความเชื่อนี้บ่อยๆ ดังนั้น ก่อนจะมาคุยเรื่องสัญญาณเตือน เรามารู้เรื่องจริงๆของการเกิดโรคนี้กันก่อนค่ะอย่างที่รู้กันว่า ร่างกายของเราจะได้รับพลังงานจากอาหารที่เราบริโภคเข้าไป ทำให้มีเรี่ยวแรงได้ตลอดวันทีนี้เมื่อพูดถึงอวัยวะภายในร่างกายของเรา ก็จะมีอวัยวะหนึ่งที่เรียกว่า“ตับอ่อน” เป็นอวัยวะรูปร่างแบนๆยาวๆตั้งอยู่ในบริเวณช่องท้อง ด้านหลังของกระเพาะอาหาร ตับอ่อนจะทำหน้าที่ผลิตอินซูลิน ซึ่งเป็นฮอร์โมนสำคัญที่ใช้ในการเปลี่ยนกลูโคสจากอาหารมาเป็นพลังงานให้ร่างกายทีนี้ถ้ากระบวนการผลิตอินซูลินของตับอ่อนถูกรบกวน หรือถ้าเซลล์ของร่างกายไม่สามารถตอบรับอินซูลินได้ตามที่ร่างกายต้องการในยามปกติกลูโคสจากอาหาร ก็จะไม่สามารถถูกส่งผ่านทางกระแสเลือดเข้ามาสู่เซลล์ของร่างกายได้ผลก็คือ ทำให้กลูโคสในเลือดมีระดับสูงในขณะเดียวกันเซลล์ต่างๆของร่างกายก็จะไม่ได้รับพลังงานที่เพียงพอเซลล์ก็จะสูญเสียความสามารถในการทำงาน ซึ่งทางการแพทย์จะเรียกภาวะนี้ว่าโรคเบาหวาน (diabetes) ระดับน้ำตาลในเลือดที่สูงขึ้นนี้มันก็จะเป็นอันตรายอย่างมากต่อร่างกาย เพราะมันจะไปทำความเสียหายต่อเส้นประสาทและเส้นเลือดทั้งยังนำไปสู่ความเสี่ยงการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ,ภาวะไตล้มเหลว, ปัญหาของนัยน์ตาและความเสียหายของเท้าฯลฯ

โรคเบาหวานจะจำแนกออกเป็นสองประเภทด้วยกันคือเบาหวานประเภทที่ 1 ( Type 1 diabetes) เกิดจากความผิดปกติของร่างกายตั้งแต่กำเนิดที่ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายได้มีการทำลายเซลล์ของตับอ่อนของตัวเองกับอีกประเภทคือโรคเบาหวานชนิดที่ 2( Type 2 diabetes)เกิดจากเซลล์ของร่างกายมีภาวะการดื้อต่ออินซูลิน หรือ insulin resistance ซึ่งชนิดนี้แหละค่ะที่เรามักเป็นกันมาก โดยในระยะแรกๆของการเกิดโรคนี้ก็คือตับอ่อนจะเริ่มต้นผลิตอินซูลินในปริมาณที่มากขึ้นกว่าเดิมเพื่อที่จะเอาชนะภาวะดื้ออินซูลินที่เกิดขึ้นของร่างกายและก็เพื่อที่จะตอบสนองความต้องการของร่างกายที่ต้องการอินซูลินเพิ่มขึ้นด้วยทีนี้พอเป็นแบบนี้ไปนานๆเข้าตับอ่อนก็เริ่มอ่อนแอและไม่สามารถผลิตอินซูลินในปริมาณที่เหมาะสม

Health Diabetes 3

ยิ่งเราอ้วนหรือมีน้ำหนักตัวเกินมาตรฐานมากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งมีความเสี่ยงสูงมากขึ้นต่อการเป็นโรคเบาหวานประเภท 2 เพราะการมีเนื้อเยื่อไขมันมากๆ จะไปซ้ำเติมภาวะการดื้ออินซูลินนี้ได้เพราะฉะนั้น ต้องระวังอย่าตามใจปากเกินไปในเรื่องการบริโภคนะคะ นอกจากนี้ ก็ยังพบว่า ยีนหรือกรรมพันธุ์ ก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้มีความเสี่ยงสูงต่อโรคเบาหวานทั้งสองชนิดนี้ได้เช่นกัน ถ้าใครมีประวัติครอบครัวเป็นโรคนี้ ก็ควรต้องระวังตัวไว้ป็นพิเศษด้วย

จะรู้ได้อย่างไรว่าเป็นโรคเบาหวานประเภทไหน
อย่างไรก็ตาม โรคเบาหวานประเภทที่ 1 มักเกิดในคนที่มีอายุน้อยๆหรือในเด็กในขณะที่โรคเบาหวานประเภท 2 มักจะเกิดขึ้นกับคนสูงวัยหรือเมื่อเรามีอายุเพิ่มมากขึ้น ก็มีโอกาสที่จะเป็นโรคนี้ได้ โดยอาการของโรคเบาหวานโดยทั่วไปที่เราควรสังเกตตัวเองให้ดีๆ ได้แก่ความรู้สึกกระหายน้ำเพิ่มขึ้น, ปัสสาวะบ่อยครั้งขึ้น, น้ำหนักตัวลดลงโดยไม่ได้ตั้งใจจะลดน้ำหนัก ซึ่งจะเกิดร่วมกับความรู้สึกหิวบ่อยและบริโภคมากขึ้นแต่น้ำหนักตัวกลับลดลง,คลื่นไส้อาเจียน, เหนื่อยมากผิดปกติ, มองเห็นภาพเบลอที่สำคัญคือเนื้อเยื่อต่างๆจะใช้รักษาตัวเองนานกว่าปกติเมื่อเกิดปัญหาใดๆหรือเกิดบาดแผล ซึ่งใครรู้สึกว่ากำลังมีอาการเหล่านี้อยู่ ก็ควรไปพบแพทย์อย่ารอช้า

อาการโรคเบาหวานที่เกิดเฉพาะกับผู้หญิงเท่านั้น

Health Diabetes 1

คราวนี้ก็จะมาเล่าถึงอาการบางอย่างของโรคเบาหวาน ที่มันจะมีการระบุว่าจะเกิดขึ้นเฉพาะกับผู้หญิงเท่านั้น เนื่องจากสภาวะฮอร์โมนและจิตใจของผู้หญิงที่แตกต่างจากผู้ชาย ทำให้ผู้หญิงได้รับสัญญาณเตือนของโรคเบาหวานที่ผู้ชายจะไม่ได้รับได้แก่
1. มีการติดเชื้อราเกิดขึ้นบ่อยๆและซ้ำๆ: การที่เรามีระดับน้ำตาลในเลือดที่สูงขึ้นก็จะไปสนับสนุนการเติบโตของเชื้อราแคนดิดาและผลคือการคันเรื้อรังในช่องคลอด, การมีแผลในช่องปากบ่อยๆ, การมีของเหลวข้นๆหลั่งจากช่องคลอด,รวมทั้งการเกิดความเจ็บปวดเมื่อมีเพศสัมพันธ์
2. ภาวะถุงน้ำรังไข่หลายใบ (Polycystic ovary syndrome): สภาวะร่างกายดื้ออินซูลินจะไปกระตุ้นมดลูกและต่อมอะดรีนัลให้ผลิตฮอร์โมนแอนโดรเจน ซึ่งเป็นฮอร์โมนเพศชายให้สูงขึ้นกว่าปกตินำไปสู่การลดลงของการตกไข่, พัฒนาการของถุงน้ำในรังไข่, สภาวะมีบุตรยาก, การเกิดขนในบริเวณที่ไม่ต้องการเช่นริมฝีปากหรือที่ต่างๆ,การเกิดสิวเรื้อรังในหลากหลายรูปแบบ ดังนั้นใครเป็นสิวนานๆหรือมีจู่ๆก็เกิดมีขนดกขึ้นมา ก็ต้องนึกถึงเรื่องนี้ไว้บ้าง
3. ความบกพร่องของสมรรถภาพทางเพศ (Sexual dysfunction): ความเสียหายของเส้นประสาทและการลดลงของเลือดที่ไปหล่อเลี้ยงอวัยวะต่างๆของร่างกายซึ่งมีสาเหตุมาจากการเป็นโรคเบาหวานทำให้เกิดความแห้งของช่องคลอด นำไปสู่ความเจ็บปวดเมื่อมีเพศสัมพันธ์ ทำให้ความต้องการทางเพศลดลงด้วย
4. การติดเชื้อในท่อปัสสาวะ: โดยสภาพสรีระของผู้หญิงเราก็จะมีแนวโน้มการเกิดโรคติดเชื้อของท่อปัสสาวะได้ง่ายกว่าผู้ชายอยู่แล้วซึ่งผู้หญิงที่เป็นโรคเบาหวานก็จะยิ่งมีความเสี่ยงสูงขึ้นไปอีกทำให้รู้สึกเจ็บปวดเมื่อปัสสาวะ รวมทั้งอาการแสบร้อน, คันหรือสีปัสสาวะมีการเปลี่ยนแปลง

 

ทั้งหมดนี้คืออาการของโรคเบาหวานในช่วงเริ่มต้น ที่เกิดขึ้นเฉพาะผู้หญิงเท่านั้น ใครรู้สึกตัวว่ากำลังอยู่ในความเสี่ยง ก็ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจและรักษาให้ถูกต้องโดยเร็ว เพราะโรคนี้อันตราย ถ้าทิ้งไว้นานๆก็จะทำให้เกิดปัญหาถึงขั้นสูญเสียอวัยวะได้ รีบจัดการปัญหาตั้งแต่เริ่มต้นกันดีกว่า โรคร้ายจะได้หายและมีสุขภาพดีกันทุกคน

ระวังการบริโภคยาถ้าไม่อยากสูญเสียความจำ

วันก่อนนั่งดูเฟสบุค มีเรื่องราวของเพื่อนหลายคนที่ดูแลคุณพ่อคุณแม่สูงวัย ก็ได้พบว่า มีเพื่อนจำนวนไม่น้อยที่พบกับปัญหาผู้ใหญ่ในบ้านป่วยด้วยโรคอัลไซเมอร์หรือการสูญเสียความจำ บางคนเชื่อว่านี่เป็นเรื่องของกรรมพันธุ์ ถึงกับรำพึงในเฟสของตัวเองว่า“สักวันเราก็จะต้องพบประสบการณ์นี้แบบเดียวกับท่าน”ทำให้คิดว่ามันเป็นแบบนั้นอย่างเลี่ยงไม่ได้จริงๆหรือ

จากการระบุจากสถิติขององค์การอาหารและยาสหรัฐอเมริกาที่พบว่า โรคความจำเสื่อมหรือการสูญเสียความจำนั้น ถึงแม้กรรมพันธุ์เป็นปัจจัยหนึ่ง แต่สาเหตุสำคัญในปัจจุบันที่ทำให้เกิดโรคสูญเสียนี้ก็คือ สาเหตุจากการใช้ยา ซึ่งอาการสูญเสียความจำนี้ เป็นผลข้างเคียงหนึ่งจากการบริโภคยาบางอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานานๆ นอกจากนี้ จากสถิติยังพบว่า การเสียชีวิตของคนอเมริกันจากปฏิกิริยาข้างเคียงการใช้ยา เป็นสาเหตุการเสียชีวิตของประชากรมากกว่า 100,000 คนต่อปีทั้งยังเป็นสาเหตุของการป่วยเข้าโรงพยาบาลอีกกว่า1 ล้าน 5 แสนคน ซึ่งเคสเกิดจากผลข้างเคียงของการใช้ยาทั้งสิ้น

ยาในสามกลุ่มหลักนี้ ถูกพบว่านำไปสู่ผลข้างเคียงที่หลากหลายรวมทั้งความเสี่ยงการสูญเสียความจำเมื่อสูงวัย

Health and Drugs 3

1. ยานอนหลับ (sleeping drugs): นอกจากจะนำไปสู่การเสียความจำยังเป็นสาเหตุของอาการสมองเบลอเมื่อป่วยหนักหรืออยู่ในช่วงโคม่าและการเสียความจำชั่วคราวในคนที่บริโภคแอลกอฮอล์สิ่งที่ต้องรู้ก็คือ การนอนหลับโดยใช้ยานอนหลับนี้ไม่ได้ทำให้ร่างกายรู้สึกสดชื่นจากการได้นอนเพียงพอแต่อย่างใดและร่างกายก็ไม่ได้ซ่อมแซมตัวเองได้ดีขึ้นจากการนอนหลับเพราะยานี้ด้วย ยานอนหลับบางชนิดจะนำไปสู่การเห็นภาพหลอน, ความรู้สึกตื่นกลัวตอนกลางคืน, เดินละเมอ, และหลับในเมื่อขับรถ

2. ยาลดไขมันในกระแสโลหิต ( statin drugs): ยากลุ่มนี้มีฤทธ์ช่วยลดระดับไขมันชนิดเลวในกระแสโลหิต ซึ่งไขมันชนิดนี้จะถูกสร้างขึ้นที่ตับ ยาจะไปยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ HMG-CoA reductaseซึ่งทำหน้าที่เปลี่ยนสารจำพวกคอเลสเตอรอลที่อยู่ในกระแสโลหิต แต่ขณะเดียวกัน มันก็ถูกพบว่าเป็นยากลุ่มหนึ่งที่อาจทำความเสียหายให้กับสมอง ซึ่งคนไข้ที่เป็นโรคของคอเลสเตอรอลมักจะได้รับการสั่งยากลุ่มนี้ให้บริโภค เพื่อรักษาสมดุลระดับคอเลสเตอรอลของร่างกายซึ่งสิ่งที่ควรรู้ก็คือสมองของเรานั้น ถูกสร้างขึ้นโดยมีส่วนประกอบหลักถึงหนึ่งส่วนสี่มาจากคอเลสเตอรอล ซึ่งเป็นส่วนควบคุมการสั่งงานด้านกระบวนการคิด, ความทรงจำและการเรียนรู้ ดังนั้น การได้รับยากลุ่มนี้เป็นประจำ ก็เป็นไปได้ที่จะเสี่ยงต่อการสูญเสียความจำหรือผลข้างเคียงที่คล้ายกัน

3. ยา “ ต้าน” อาการต่างๆ(“anti” Drugs): หมายถึงยาทั้งหมดที่ใช้คำว่า “ต้าน” หรือ “anti” เช่น ยาต้านการแพ้(anti-histamines), ยาปฏิชีวนะ (antibiotics), ยาต้านความหดหู่ (anti-depressants), ยาต้านอาการทางจิตประสาท(anti-psychotics), ยาต้านการเกร็งของกล้ามเนื้อ(antispasmodics), ยาลดความดันโลหิตสูง(antihypertensive)ยาในกลุ่มทั้งหมดนี้จะมีผลกับระดับของสารอะซิทิลโคลีน (acetylcholine) ในร่างกายซึ่งเป็นสารสำคัญของระบบสื่อประสาทใช้เพื่อเก็บความทรงจำและพัฒนาการเรียนรู้, การเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อและความคิดการบริโภคยาเหล่านี้เป็นประจำ จะทำให้ระดับสารนี้ลดลงและเกิดอาการอาทิ ความจำเสื่อม, กล้ามเนื้ออ่อนแรง, มองเห็นภาพเบลอ, โรคสมองเสื่อม (dementia), การเพ้อจากสมองสับสน, การสูญเสียกลไกของจิตใต้สำนึกทำให้คุมตัวเองไม่ได้, การเห็นภาพหลอน ฯลฯ

Health and Drugs 2

ดร. ริชาร์ด ซี. โมหส์ คณะจิตเวชศาสตร์โรงพยาบาลเมาท์ ไซนาย สหรัฐอเมริกาได้รวบรวมกลุ่มของยาที่อาจเป็นความเสี่ยงต่อการสูญเสียความทรงจำของสมอง หากใช้ต่อเนื่องเป็นประจำอันได้แก่:
– ยาปฏิชีวนะหรือยาแอนตี้ไบโอติก(Antibiotics)เช่นควิโนโลน (quinolone)
– ยานอนหลับ –เช่นแอมเบียน(Ambien), ลูเนสต้า (Lunesta), และโซนาต้า (Sonata)
– ยาระงับความเจ็บปวด –เช่น มอร์ฟีน (morphine), โคเดอีน (codeine), เฮโรอีน (heroin)
– อินซูลิน (Insulin)
– ยาในกลุ่มคีโมเธอราพี (Chemotherapy drugs)
– ยาแก้โรคลมชัก – เช่นไดแลนทิน (Dilantin), เฟนีโทอิน(phenytoin)
– ยากลุ่มบาร์บิทูเรท(barbiturate)เคยถูกใช้เป็นยานอนหลับและคลายกังวล ปัจจุบันก็ยังมีที่ถูกใช้เป็นยากันชักอยู่บ้าง – เช่นเนมบูทาล (Nembutal),ฟีโนบาร์บิทัล ( Phenobarbital), เซโคนาล (Seconal) และอามิทัล(Amytal)
– ยาต้านอาการทางจิต (Antipsychotic) – เช่นเมลลาริล (Mellaril),ฮาลโดล(Haldol)
– ยารักษาโรคพาร์กินสัน –เช่นอะโทรพีน(atropine), ไกลโคไพโรเลท (glycopyrrolate), สโคโพลามีน(scopolamine)
– ยากลุ่มเบนโซไดอะซีพีน(Benzodiazepine) เป็นยารักษาอาการจิตเวชที่ทำให้เกิดการผ่อนคลายของกล้ามเนื้อ ซึ่งแพทย์อาจสั่งยานี้เพื่อให้ผู้ป่วยสลบก่อนจะทำหัตถการเพื่อการผ่าตัด เป็นยากลุ่มที่มีการสั่งจ่ายมากที่สุดในสหรัฐอเมริกา ยานี้จะไปเปลี่ยนแปลงผลของสารสื่อประสาทคือกาบา ( GABA) หรือชื่อเต็มคือgamma – aminobutyric acid ยับยั้งการทำงานของนิวรอนในระบบประสาทส่วนกลางเช่นซาแนกซ์ (Xanax), แวเลียม (Valium), ดาลเมน (Dalmane), อาทิแวน (Ativan)
– ยาฆ่าเชื้อและยาต้านโรคภูมิแพ้ เช่น ควินิดีน Quinidineซึ่งใช้รักษาโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ,มาลาเรีย, อาการติดเชื้อต่างๆ ซึ่งต้องใช้โดยแพทย์เท่านั้น
– ยากลุ่มเบต้าบลอกเกอร์ (Beta blockers) เป็นยาใช้รักษาโรคหลายชนิดเช่น รักษาความดันโลหิตสูง, ภาวะหัวใจเต้นผิดปกติ, โรคต้อหิน, โรควิตกกังวล, ไมเกรน, ภาวะต่อมไทรอยด์ทำงานมากเกินไป ยานี้จะไปยับยั้งการทำงานของสารสื่อประสาทนอร์อิพิเนฟริน (Norepinephrine) และอิพิเนฟริน Epinephrine หรือที่รู้จักในชื่อของอดรีนาลีน
– ยารักษาโรคความดันโลหิตสูง (High blood pressure drugs)
– ยาอินเตอร์เฟอรอน (Interferon) เป็นยาใช้รักษาไวรัสตับอักเสบ โดยยาจะไปยับยั้งไวรัสและการแบ่งตัวของไวรัส ซึ่งยานี้มีผลข้างเคียงค่อนข้างมาก เป็นยาโปรตีนสังเคราะห์ ช่วยให้ร่างกายสร้างโปรตีนในโลหิตเพื่อต่อสู้กับไวรัส เพื่อจะไปยับยั้งเอนไซม์ที่ทำหน้าที่แบ่งตัวทำให้ไวรัสในร่างกายลดจำนวนลง
– ยานาโปรเซน (Naproxen) เป็นยาแก้ปวดในกลุ่มเอ็นเซด ใช้ลดอาการปวด การอักเสบ, รูมาตอยด์, ข้ออักเสบจากสะเก็ดเงิน, เก๊าท์, เอ็นกล้ามเนื้ออักเสบ ฯลฯยาจะไปยับยั้งการทำงานของเอนไซม์และการแข็งตัวของเกล็ดเลือด เป็นยาอันตรายที่ต้องให้แพทย์สั่งเท่านั้น
– ยาต้านโรคซึมเศร้าในกลุ่มไตรไซคลิก (Tricyclic antidepressants)
– ยาเมทิลโดปา (Methyldopa) เป็นยาลดความดันโลหิตสูงในภาวะตั้งครรภ์ของผู้หญิง ยานี้จะไปขยายหลอดเลือด การใช้ต้องได้รับการยืนยันจากแพทย์เท่านั้นเพราะเป็นยาอันตราย
– ยาลิเทียม (Lithium) เป็นยาใช้รักษาอารมณ์ดีที่ตื่นตัวผิดปกติในผู้ป่วยโรคไบโพลาร์ เป็นยารักษาโรคทางจิตเวชที่เกี่ยวกับความยับยั้งชั่งใจ
– ยาต้านการแพ้ (Antihistamine)
– ยาสเตียรอยด์ (Steroid)

Health and Drugs 1

ซึ่งหากใครที่บริโภคยาเหล่านี้อยู่เป็นประจำก็ควรมีการปรึกษาหารือกับแพทย์เป็นระยะๆถึงความปลอดภัยของการใช้ยา และบอกผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นกับคุณให้แพทย์ได้ทราบอย่างละเอียดและหากเป็นได้ ก็ควรหาแนวทางของธรรมชาติบำบัดเพื่อรักษาโรคประจำตัวของคุณ ซึ่งจะให้ผลดีต่อสุขภาพมากกว่าหรืออาจปรึกษาแพทย์เพื่อเปลี่ยนชนิดของยาที่มีความเสี่ยง คู่ไปกับการปรับเปลี่ยนไลฟสไตล์ให้เหมาะสมขึ้นรวมทั้งลดปริมาณยาที่ใช้อยู่

 

รู้แบบนี้แล้วทำให้รู้สึกว่ายังมีโอกาสที่เราจะป้องกันตัวเองจากการสูญเสียความจำได้ถ้าไม่ใช้ยาพร่ำเพรื่อ ขึ้นชื่อว่า “ยา” ก็ควรใช้อย่างระมัดระวังและใช้เท่าที่จำเป็น อีกสิ่งสำคัญที่จะช่วยเราไม่ให้สูญเสียความจำก็คือ การหากิจกรรมที่จะทำให้ร่างกายของเราได้เกิดความกระตือรือร้น มีการตื่นตัวอย่างสม่ำเสมอนอกจากนี้ การบริโภคผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่ช่วยเรื่องความจำการบริโภคอาหารที่มีโภชนาการช่วยพัฒนาสมองลดบริโภคอาหารขยะก็จะช่วยสุขภาพที่ดีโดยรวมของสมองและของร่างกายได้ค่ะ

8 สัญญาณระดับน้ำตาลในเลือดสูง

ความหวานที่ไม่มีใครอยากได้เลยก็คือ ระดับน้ำตาลในเลือดที่พุ่งสูงขึ้น ซึ่งถ้าเราไม่เจอแบบนี้ได้เป็นดีที่สุด เพราะการมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงเป็นสาเหตุของความเสียหายหลายอย่างกับสุขภาพร่างกายและไม่ว่าคุณจะเป็นโรคเบาหวานหรือไม่ก็ตาม ระดับน้ำตาลที่สูงมากในเลือด ก็ทำให้เกิดความเสียหายทั้งกับระบบประสาท, เนื้อเยื่อ, หลอดเลือด ฯลฯและที่อันตรายก็คือเมื่อระดับน้ำตาลในเลือดไม่ยอมลดลงยังสูงอยู่เป็นเวลานานๆทีนี้แหละค่ะที่ปัญหาซีเรียสต่างๆของสุขภาพก็จะเกิดขึ้นตามมา

ภาวะน้ำตาลในเลือดสูง ( Hyperglycaemia) คืออะไร
คำๆนี้ เป็นศัพท์ทางการแพทย์หมายถึงเมื่อร่างกายมีสภาวะระดับน้ำตาลกลูโคสในเลือดเพิ่มสูงกว่าปกติ ซึ่งเป็นปัญหาหลักของคนที่เป็นโรคเบาหวาน ภาวะนี้สามารถส่งผลกระทบสุขภาพได้ทั้งคนที่เป็นเบาหวานชนิดที่ 1 คือชนิดที่ร่างกายไม่ผลิตอินซูลินและชนิดที่ 2 คือชนิดที่ร่างกายผลิตอินซูลินน้อยเกินไป ทั้งยังรวมไปถึงผู้หญิงที่เป็นเบาหวานขณะตั้งครรภ์อีกด้วย ซึ่งหากไม่ได้รักษาให้ถูกต้อง ความเสียหายสุขภาพอีกมากมายก็จะตามมา เช่น การเสียหายของดวงตา เส้นประสาท ไตและหลอดเลือด ฯลฯ

เหตุผลหนึ่งที่ทำให้คนส่วนมากต้องพบปัญหาสุขภาพจากระดับน้ำตาลในเลือดสูง ก็คือการขาดความรู้และไม่ได้ศึกษาเกี่ยวกับอันตรายของมันให้มากพอ ทำให้ปล่อยปละละเลย ทั้งยังไม่ได้สังเกตถึงสัญญาณที่ร่างกายได้เตือนให้รู้ล่วงหน้าอีกด้วยดังนั้นเพื่อรักษาสุขภาพร่างกายของเราให้ปลอดภัยและรักษาระดับของน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในสมดุลที่ดี เราจึงควรเอาใจใส่กับสัญญาณที่ร่างกายบอกล่วงหน้าเมื่อเกิดปัญหานี้

Health Hyperglycaemia 4

1. กระหายน้ำตลอดเวลา: สาเหตุคือเรื่องของอาการปัสสาวะมากที่เรียกว่าโพลียูเรีย ( polyuria)ที่มีสาเหตุมาจากเมื่อระดับน้ำตาลในเลือดเพิ่มขึ้นสูง ไตของเราก็จะไม่สามารถเก็บกักน้ำไว้ได้ดังนั้น ไตจึงผลิตปัสสาวะปริมาณมากขึ้นเพื่อขจัดกลูโคสส่วนเกินที่ไตไม่สามารถดูดซึมได้สิ่งนี้ทำให้รู้สึกกระหายน้ำตลอดเวลา โดยปกติ ค่าเฉลี่ยของปัสสาวะในผู้ใหญ่ไม่ควรเกินวันละ 3 ลิตร ซึ่งหากมากกว่านั้นก็อาจเป็นสัญญาณนี้ก็ได้
2. บริโภคอาหารมากขึ้น: พฤติกรรมการบริโภคอาหารปริมาณมากขึ้นกว่าเดิม แสดงว่าคุณอาจมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงกว่าปกติก็ได้เพราะกลูโคสจากอาหารที่ถูกย่อยไม่สามารถถูกนำไปหล่อเลี้ยงเซลล์ได้ซึ่งอาจเป็นเพราะการขาดอินซูลินหรือร่างกายเกิดสภาวะดื้อต่ออินซูลิน ( insulin resistance)ทำให้ไม่สามารถแปรสภาพอาหารที่บริโภคให้กลายเป็นพลังงานทำให้รู้สึกไม่มีแรงหรืออ่อนเพลียกว่าปกติ จึงต้องการอาหารมากขึ้นเพื่อจะนำไปผลิตกลูโคส ทำให้เราต้องบริโภคอาหารมากกว่าที่เคย

Health Hyperglycaemia 2

3. ปัสสาวะบ่อย: สัญญาณนี้เกี่ยวเนื่องโดยตรงกับการกระหายน้ำที่เกิดขึ้น นั่นคือไตของเราไม่สามารถดูดซึมและแปรสภาพน้ำตาลส่วนเกินได้ ดังนั้น ทางเดียวที่มันจะสามารถขจัดน้ำตาลนี้ออกไปได้ก็คือผ่านออกมาทางปัสสาวะจึงควรหมั่นสังเกตเวลาที่คุณเข้าห้องน้ำเพื่อปัสสาวะหากพบว่ามันถี่กว่าปกติเช่นทุกๆชั่วโมงละก็ คุณอาจกำลังมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงเกินไปก็เป็นได้ซึ่งคำแนะนำที่ดีที่สุดก็คือไปพบแพทย์เพราะมันอาจหมายถึงปัญหาสุขภาพที่มากกว่านั้น
4. เหนื่อยเรื้อรัง: เราอาจเคยคิดว่าการมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงจะทำให้มีพลังงานมากขึ้นแต่จริงๆแล้วตรงกันข้าม เพราะเมื่อระดับน้ำตาลในเลือดสูง เราก็จะปัสสาวะบ่อยขึ้นและก็จะหิวน้ำบ่อยขึ้น เพราะไตไม่สามารถดูดซึมกลูโคสและนำไปแปรสภาพเป็นพลังงานเมื่อไม่มีพลังงาน ร่างกายก็จะรู้สึกอ่อนแรงและเหนื่อยตลอดเวลา
5. เห็นภาพเบลอ: เมื่อน้ำตาลในเลือดสูง มันก็จะทำให้เลนส์ของนัยน์ตามีบวมตัวขึ้น การมองเห็นภาพของเราก็จะเบลอไม่ชัดเจนซึ่งมันอาจเป็นได้ชั่วคราวหรือตลอดไป ควรพบแพทย์เพื่อรักษาอาการนี้

Health Hyperglycaemia 3

6. ผิวแห้ง: หากพบว่าสัญญาณนี้เกิดขึ้นกับผิว แสดงระดับน้ำตาลในเลือดของเราอาจมีระดับสูงมาระยะหนึ่งแล้วทั้งนี้เพราะระดับน้ำตาลที่สูงทำให้เส้นประสาทเกิดความเสียหายและร่างกายสูญเสียน้ำเร็วกว่าเดิมซึ่งถ้าเป็นแบบนี้นานๆ ระบบประสาทก็จะเสียหายถาวรและผิวหนังก็จะมีความแห้งเกิดขึ้น
7. สมรรถภาพทางเพศลดลง: สำหรับผู้ชายก็คือไม่สามารถควบคุมการหลั่งได้ เนื่องจากการไหลเวียนของเลือดบกพร่องจากระดับน้ำตาลในเลือดสูงที่ไปขัดขวางการไหลเวียนทำความเสียหายให้กับระบบประสาทและหลอดเลือดของอวัยวะต่างๆด้วย
8. น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น: เมื่อระดับน้ำตาลในเลือดสูง โอกาสที่ร่างกายจะเกิดสภาวะดื้อต่ออินซูลิน(insulin resistance) ก็เป็นได้มากขึ้นและเมื่อเกิดขึ้น เซลล์ของร่างกายก็จะไม่มีการตอบรับกับอินซูลินอีกต่อไปทำให้มันยากมากที่เซลล์ในร่างกายจะนำกลูโคสจากกระแสเลือดไปหล่อเลี้ยงส่วนต่างๆและจากสิ่งนี้ ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดของเราเริ่มสะสมตัวสูงขึ้นๆไปเรื่อยๆตามเวลา ทำให้มีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น

Health Hyperglycaemia 1

ทั้งหมดที่เล่ามานี้ คือสัญญาณของการที่ร่างกายเตือนเราเมื่อมีระดับน้ำตาลในเลือดสูง สาเหตุของสิ่งนี้ก็คือโภชนาการที่บกพร่องเป็นสาเหตุหลักการบริโภคอาหารที่ผ่านกระบวนการหลายขั้นตอนหรืออาหารสำเร็จรูปนอกบ้าน ที่เราไม่ทราบขั้นตอนและส่วนผสมในการปรุงเป็นประจำ ตลอดจนอาหารที่มีแคลอรี่สูง ล้วนทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นได้ทั้งนั้นเพราะอาหารเหล่านี้ร่างกายก็จะย่อยมันอย่างรวดเร็ว ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่ดีเพราะจะทำให้น้ำตาลในเลือดพุ่งขึ้นฮวบฮาบ ทั้งยังไปเพิ่มระดับคอเลสเตอรอลชนิดเลวให้สูงขึ้นได้เช่นกัน

นอกจากนี้ น้ำตาลในเลือดสูงก็ยังมีสาเหตุอื่นๆได้แก่ ความเครียด, ความเจ็บป่วยจากโรคบางอย่างเช่น ไข้หวัด, การขาดการออกกำลังกาย, ภาวะขาดน้ำ, การได้รับยาสเตียรอยด์หรือยาบางชนิด รวมทั้งการรักษาภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ ( Hypoglycaemia) ด้วยวิธีที่รุนแรงเกินไป ก็อาจทำให้เกิดภาวะนี้ได้ ซึ่งหากคุณพบสัญญาณเตือนเหล่านี้ ก็ควรเปลี่ยนแปลงอาหารที่บริโภค เลี่ยงอาหารที่ทำให้ระดับน้ำตาลสูงขึ้นเช่นน้ำอัดลม, ดื่มน้ำสะอาดให้มากขึ้น, ออกกำลังกายสม่ำเสมอ การเดินเร็วๆวันละ 30-45นาทีขึ้นไป ก็จะช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ดี ทั้งช่วยให้น้ำหนักลดลงได้ด้วย และหากรู้สึกว่าตัวเองมีความเสี่ยง ก็ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจระดับน้ำตาลในเลือดอย่างสม่ำเสมอ ก็จะป้องกันได้ดีที่สุด
เล่ามาทั้งหมดนี้

เอาเป็นว่าถ้ามีหนุ่มๆให้ชอคโกแล็ตมา สาวๆก็ควรบริโภคแค่ชิ้นสองชิ้น แล้วเก็บความหวานไว้ที่หัวใจไม่ใช่ที่ในกระแสเลือดของเรา ก็จะหวานกันได้สุขภาพดีกว่านะคะ 

รับมืออย่างไรกับ PM 2.5 และสภาวะร่างกายขาดคอลลาเจน

เมื่อเราพูดถึงอันตรายของฝุ่น PM 2.5ที่อนุภาคเล็กละเอียดของมันสามารถแทรกซึมเข้าไปทำให้เกิดโรคอันตรายได้หลายๆอย่าง ซึ่งหนึ่งในสาเหตุสำคัญของการเกิดโรคเหล่านั้นก็คือ การผลิตคอลลาเจนของร่างกายที่ลดน้อยลงหรือ Collagen Deficiency ซึ่งคอลลาเจน มีความสำคัญต่อร่างกายมากกว่าแค่เรื่องริ้วรอยของผิวหนังเพราะการขาดคอลลาเจนจะนำไปสู่โรคอันตรายในระยะยาววันนี้ เรามาเข้าใจความสำคัญของคอลลาเจนและความเกี่ยวข้องกับ PM 2.5 เพื่อรับมือด้วยกัน

“คอลลาเจน” ไม่ใช่มีแค่ที่ผิวหนัง
“คอลลาเจน” โปรตีนที่มีลักษณะเส้นใยสายเกลียวที่มีหน่วยโมเลกุลเกี่ยวพันมากมาย ผิวหนังของเรา จะมีคอลลาเจนส่วนประกอบหลักเรียกว่า เคราติน (Keratin)ทำให้ผิวแข็งแรงยืดหยุ่น นอกจากนี้คอลลาเจนก็ยังสร้างความยืดหยุ่นให้ผนังหลอดเลือด เป็นส่วนประกอบสำคัญของเยื่อกระจกตาและเลนส์ตา, เส้นเอ็น, กล้ามเนื้อ,เนื้อเยื่อของอวัยวะทุกส่วน, เส้นเลือด,เส้นผมและเล็บโดยทำหน้าที่เหมือนกาวยึดติดเนื้อเยื่อต่างๆให้ติดกัน ช่วยป้องกันร่างกายจากการดูดซึมเชื้อแบคทีเรียและไวรัสต่างๆทั้งช่วยป้องกันความเสียหายของเนื้อเยื่ออวัยวะจากมลพิษอีกด้วยซึ่งชนิดของคอลลาเจนทั้งหมดจะแบ่งเป็น 16 กลุ่มใหญ่ๆ แต่ชนิดที่ประกอบอยู่ในร่างกายมนุษย์จะมี 5 กลุ่มคือกลุ่มที่ 1, 2, 3, 5 และ 10 ได้แก่

กลุ่มที่ 1: มีปริมาณมากที่สุดคือคอลลาเจนที่เป็นส่วนประกอบของร่างกายเช่นกระดูก, อวัยวะต่างๆ, ผิวหนัง,เส้นเอ็นและหลอดเลือด
กลุ่มที่ 2: คอลลาเจนใช้สร้างกระดูกอ่อน อาการเจ็บข้อต่อ, โรคไขข้อต่างๆ มาจากการขาดคอลลาเจนกลุ่มนี้ ซึ่งรวมทั้งกระดูกอ่อนในกล่องเสียง, หูและทางเดินหายใจ
กลุ่มที่ 3: คอลลาเจนที่เรียกกันว่า “ เส้นใยไฟเบอร์” มีโครงสร้างเป็นตาข่ายไขว้กันเหมือนแห ช่วยให้ผิวหนังยืดหยุ่นกระชับ เป็นกลุ่มที่สร้างเส้นเลือดและเนื้อเยื่อในหัวใจ การขาดคอลลาเจนชนิดนี้จึงเสี่ยงต่อเส้นเลือดแตก
กลุ่มที่ 5: คอลลาเจนใช้สร้างเนื้อเยื่อบุพื้นผิวของเซลล์ (Basal lamina) ซึ่งเนื้อเยื่อนี้มีหน้าที่รวมถึงการหลั่ง การดูดซึม, การป้องกัน, การขนส่งระหว่างเซลล์,ฯลฯ คอลลาเจนชนิดนี้เช่นผิวเปลือกนอกของเส้นผมและรกเด็ก
กลุ่มที่ 10: คอลลาเจนใช้สร้างกระดูกใหม่และเนื้อเยื่อกระดูก มีหน้าที่สำคัญในการรักษากระดูกแตกและซ่อมแซมข้อต่อ

PM 2.5 กับอันตรายต่อร่างกาย

Health PM 2.5 -4

PM 2.5 คือฝุ่นมลพิษที่มีแหล่งกำเนิดหลากหลาย ทั้งการเผาวัสดุในที่โล่ง, ควันไอเสียรถยนต์, โรงงานอุตสาหกรรม ฯลฯนักวิชาการระบุว่า อันตรายของมันไม่ใช่แค่ขนาดที่เล็ก 2.5 ไมครอนเท่านั้น แต่มันยังมีสารโลหะหนักและเชื้อจุลินทรีย์ก่อโรคที่ติดมาด้วย ยิ่งมลพิษนี้มีขนาดเล็กเท่าไหร่ พื้นที่ผิวสัมผัสสารโลหะหนักและจุลินทรีย์ก็จะยิ่งมาก และขนาดที่เล็กมากก็ทำให้สามารถเข้าไปลึกถึงก้านหรือขั้วปอดของมนุษย์ได้ พร้อมทั้งนำสารอันตรายและจุลินทรีย์เข้าไปด้วย ผลก็คือทำให้เกิดกลายพันธุ์ของทารกในครรภ์มารดา และเพิ่มความเสี่ยงโรคมะเร็งปอดให้มากขึ้นถึง 36%

เมื่อ PM 2.5 พบกับคอลลาเจนในร่างกาย
ก่อนอื่น ต้องเข้าใจก่อนว่า สารพิษและจุลินทรีย์ใน PM2.5 ที่เข้าสู่ร่างกายนั้น จะเข้าไปโดย “ การหายใจ” ของเราเท่านั้น ไม่ใช่การแทรกทะลุผิวหนังเข้าไปจับกับเซลล์ในร่างกายแต่อย่างใดเพราะผิวหนังของเรามีระบบป้องกันตัวตามธรรมชาติอยู่ไม่ให้สิ่งใดแทรกซึมลงไปได้ง่ายๆ สิ่งที่PM2.5 จะทำได้ก็คือการรบกวนผิวหนังชั้นนอกของเราให้ระคายเคืองเกิดอาการต่างๆ เช่นแสบคันตา เป็นผื่น เป็นสิว หรือโรคผื่นภูมิแพ้ต่างๆของผิวหนัง ฯลฯ เหมือนที่ฝุ่นธรรมดาก็ทำอยู่แล้ว แต่ที่มีอาการมากขึ้นก็เพราะปริมาณของมันที่มากขึ้น และความเล็กละเอียดที่ทำให้มันจับกับผิวหนังชั้นนอกได้มากขึ้นนั่นเอง

เมื่อเราหายใจเอา PM 2.5 เข้าไป มลพิษและเชื้อโรคที่ติดอยู่ด้วยก็จะเข้าสู่ร่างกาย ไปรบกวนทุกๆการทำงานของร่างกายรวมทั้งกระบวนการผลิตคอลลาเจนด้วยเมื่อระบบการผลิตคอลลาเจนเกิดปัญหา ก็จะนำเราไปสู่ปัญหาสุขภาพต่างๆตามมาเช่น โรคปอด, โรคทางเดินหายใจ, โรคหลอดเลือดสมองหรือ Stroke ฯลฯเพราะร่างกายต้องใช้คอลลาเจนเป็นส่วนสำคัญในการสร้างอวัยวะในทุกๆส่วน การขาดคอลลาเจนจะนำร่างกายไปสู่สภาวะของโรคกลุ่มที่เรียกว่า Collagen Deficiency Syndrome ซึ่งเป็นกลุ่มโรคระบบภูมิคุ้มกันบกพร่อง

สัญญาณที่บอกว่าร่างกายขาดคอลลาเจน:
โดยปกติแล้ว ความสามารถผลิตคอลลาเจนของร่างกายจะลดลงตามความเสื่อมธรรมชาติ เช่น วัยเพิ่มขึ้น, การสูบบุหรี่,การสัมผัสรังสียูวีและมลภาวะ ฯลฯสัญญาณที่เห็นได้ของการขาดคอลลาเจน ได้แก่:

Health PM 2.5 -3

1. ใบหน้าที่ลีบตอบและผิวใต้ตาที่ยุบตัวลง:วัยที่เพิ่มขึ้น จะทำให้คอลลาเจนบนใบหน้าและผิวหนังที่เคยอิ่มเต็มเปล่งปลั่งลดลงไปเรื่อยๆเป็นสัญญาณแรกของการสูญเสียคอลลาเจนของร่างกายผิวใต้ตาจะยุบตัวและมีสีคล้ำรวมทั้งผิวแก้มที่เริ่มบางตัวลงด้วย
2. ปวดตามข้อต่อ:เนื้อเยื่อคล้ายยางที่เชื่อมปกคลุมส่วนปลายกระดูกท่อนยาวบริเวณข้อต่อเป็นส่วนที่สร้างขึ้นจากคอลลาเจนจำนวนมากการสูญเสียคอลลาเจนบริเวณนี้ ทำให้ช่วงต่อของกระดูกสองท่อนเสียดสีกันมากขึ้น จะเกิดการปวดข้อต่อเมื่อเคลื่อนไหวรวมถึงการเจ็บที่เส้นเอ็นและกล้ามเนื้อด้วย
3. โรคลำไส้รั่ว:คอลลาเจนคือส่วนประกอบสำคัญในเยื่อบุผนังลำไส้ การลดลงของมันจึงอาจนำไปสู่“โรคลำไส้รั่ว (leaky gut syndrome)ที่มีอาการเช่นท้องผูก, ท้องร่วง, สมองเบลอ, เหนื่อยเรื้อรัง,และความบกพร่องของภูมิคุ้มกันร่างกาย
4.สูญเสียความคล่องตัว:โรคของภูมิคุ้มกันบกพร่อง โดยเฉพาะโรคลูปัสและรูมาตอยด์ทำให้สูญเสียความเคลื่อนไหวของร่างกายที่เคยคล่องตัว เนื่องจากคอลลาเจนรอบๆข้อต่อเกิดการติดเชื้อ

นอกจากเรื่องริ้วรอยความชราแล้ว การขาดคอลลาเจนก็จะทำให้เจ็บกล้ามเนื้อเกิดปัญหาการไหลเวียนของโลหิต ที่จะมีอาการเจ็บหน้าอก เวียนศีรษะ เหนื่อยเรื้อรังและปวดศีรษะบ่อยๆอีกปัญหาหนึ่งที่เห็นชัดก็คือเซลลูไลท์ ผิวที่ขาดคอลลาเจนจะขาดความยืดหยุ่น ทำให้ไขมันใต้ผิวดันชั้นตาข่ายเส้นใยไฟเบอร์ของผิวหนังขึ้นมา เกิดผิวขรุขระ ซึ่งรังสียูวีและมลพิษจากPM2.5 ก็มีส่วนสนับสนุนให้สัญญาณเหล่านี้เกิดเร็วขึ้นด้วย

โรคภูมิคุ้มกันบกพร่องจากการขาดคอลลาเจน (COLLAGEN DEFICIENCY SYNDROME)
การขาดคอลลาเจนจะทำให้เกิดโรคของภูมิคุ้มกันบกพร่อง เนื่องจากอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่รับสารพิษเข้าสู่ร่างกาย โรคของภูมิคุ้มกันที่เกิดจากการขาดคอลลาเจนนี้ได้แก่ โรคลูปัสหรือที่รู้จักในชื่อของโรค SLE, โรครูมาตอยด์, โรคหลอดเลือดขมับอักเสบ(Temporal Artheritis) ที่หลอดเลือดรอบขมับเกิดการติดเชื้อทำให้มองเห็นภาพซ้อน, มีไข้, เหนื่อย, เจ็บและติดขัดสะโพกเคลื่อนไหวไม่สะดวก, นัยน์ตาหนึ่งข้างสูญเสียการมองเห็น, ปวดขากรรไกร, เบื่ออาหาร, เจ็บไหล่และไหล่ติดขัด, น้ำหนักลดฮวบฮาบเฉียบพลัน,ปวดบริเวณรอบๆขมับโดยมีอาการปวดหลากหลาย
ดูแลคอลลาเจนในร่างกายให้สมดุล
การบริโภคอาหารที่อุดมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ วิตามินซีและแร่ธาตุต่างๆ จะช่วยรักษาสมดุลการผลิตคอลลาเจนของร่างกายจากภายใน เช่นเดียวกับอาหารที่อุดมด้วยโปรตีนเช่นนมและเนื้อสัตว์ ก็จะช่วยให้ร่างกายผลิตเนื้อเยื่อซ่อมแซมตัวเองได้ดีขึ้น ส่วนการบริโภคผลิตภัณฑ์เสริมอาหารคอลลาเจน เป็นสิ่งที่ต้องระวังเพราะผลิตภัณฑ์เหล่านี้มักผลิตจากส่วนประกอบของปลาทะเล ซึ่งอาจเกิดการแพ้ได้ ทั้งร่างกายก็จะดูดซึมคอลลาเจนเหล่านี้ไปใช้ได้จริงน้อยมากเพราะจะถูกกรดในกระเพาะอาหารย่อยสลายไปหมดก่อนอีกเรื่องที่ควรทำคือดื่มน้ำสะอาดให้มากขึ้นเพื่อชะล้างสารพิษ

อร่อยสดชื่นด้วยน้ำเลมอน-แตงกวาอินฟิวชั่น

Health PM 2.5 -5

ง่ายๆกับการดูแลสุขภาพแบบธรรมชาติกับวิตามินซีจากเลมอนและคุณสมบัติดีๆอีกมากมายจากแตงกวาที่ให้ความสดชื่น เนื้อข้างในผลแตงกวาอุดมด้วยสารซิลิคอนไดอ็อกไซด์(silicon dioxcide) ที่ช่วยลดการเกิดสิวและเพิ่มความยืดหยุ่นให้เนื้อเยื่อเมล็ดแตงกวายังอุดมด้วยวิตามินบี 3 และโปตัสเซียม ช่วยลดริ้วรอย, รอยสิวและสัญญาณความชราของผิวน้ำของแตงกวาอุดมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระเช่น อัลฟ่าและเบต้าแคโรทีน, ซ๊แซนทิน (zeaxanthin), ลูทีน ( lutein), โปตัสเซียม,วิตามิน A และ D ช่วยต้านอนุมูลอิสระและล้างพิษ, ลดความดันโลหิต,ลดความเสี่ยงของโรคStroke โรคหัวใจ โรคไตและปัญหาสายตา สารซิลิคอน แคลเซียมและฟอสฟอรัส ในแตงกวา ช่วยให้เส้นผมแข็งแรงงอกเร็วและเป็นเงางาม

สูตรน้ำเลมอน – แตงกวา อินฟิวชั่น:
ล้างเลมอนและแตงกวาในปริมาณเท่าๆกันให้สะอาด ใช้แปรงถูเปลือกให้ทั่วๆ หั่นเลมอนและแตงกวาเป็นแผ่นหนาพอสมควรทั้งเปลือกใส่ลงไปในน้ำแร่หรือน้ำสะอาด แช่ตู้เย็นไว้ 1 คืนแล้วดื่มตอนเช้า

ช่วยร่างกายฟื้นฟูการผลิตคอลลาเจน:

Health PM 2.5 -2

ถึงแม้เราจะห้ามการสูญเสียคอลลาเจนของร่างกายไม่ได้ แต่เราก็ช่วยสนับสนุนการสร้างคอลลาเจนได้ ด้วยสิ่งเหล่านี้:
– ควบคุมสิ่งที่”ควบคุมได้”:การสูบบุหรี่นอกจากจะเพิ่มปริมาณ PM 2.5 ในอากาศแล้ว ก็ยังเป็นสาเหตุใหญ่ของการทำให้สูญเสียคอลลาเจนในร่างกายได้พอๆกับอันตรายจากรังสียูวี ดังนั้นควรเลิกสูบบุหรี่เพื่อพัฒนาสุขภาพผิวและยกระดับการผลิตคอลลาเจนให้กับร่างกายของเรา
– อโลเวรา:วุ้นของต้นอโลเวราหรือว่านหางจระเข้ มีคุณสมบัติในการรักษาบาดแผลและดูแลผิวหนัง ทั้งยังสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตคอลลาเจนให้กับร่างกายได้ด้วย มีการศึกษาพบว่าการบริโภควุ้นจากพืชชนิดนี้ทั้งในรูปแบบอาหารและผลิตภัณฑ์เสริมอาหารก็จะช่วยฟื้นฟูการผลิตคอลลาเจนในร่างกายได้ในระดับหนึ่ง
– โสม:เป็นสมุนไพรมีคุณสมบัติในการต้านความชรา ด้วยสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยปกป้องเซลล์และสุขภาพผิวหนัง ชาวจีนเชื่อว่าโสมสามารถช่วยสนับสนุนพัฒนาการของการผลิตคอลลาเจน ทั้งช่วยลดความเสียหายของเซลล์จากการได้รับมลพิษได้ด้วย อย่างไรก็ตาม การบริโภคโสมเป็นสิ่งควรระวังสำหรับผู้เป็นโรคหัวใจ โรคความดันโลหิต จึงควรปรึกษาแพทย์ก่อนเพื่อความปลอดภัย

 

หวังว่าเรื่องที่เล่าให้ฟังวันนี้ คงให้ประโยชน์และความเข้าใจเรื่องสุขภาพกับทุกท่านไม่มากก็น้อย เรื่องของ PM2.5 แทนที่เราจะมัวแต่กังวลและรอความช่วยเหลือก็มาช่วยกันหาวิธีรับมือกับมันด้วยการดูแลสุขภาพตัวเองกันดีกว่า และสำหรับเรื่องของ PM 2.5 เป็นเรื่องที่ต้องแก้ไขในระยะยาวที่ทุกคนต้องร่วมมือกัน เพียงแค่ทุกๆวันต่อไปนี้ เราถามตัวเองว่า วันนี้ได้ทำอะไรที่จะช่วยลดการก่อ PM 2.5 นี้แล้วหรือยัง ถ้ายังก็จงลงมือทำ ก็ถือว่าได้ทำหน้าที่ดีที่สุดแล้วค่ะ

เปลี่ยนความเชื่อสุขภาพรับปีใหม่

ปีใหม่ ทุกคนก็ตั้งใจจะดูแลสุขภาพตัวเองให้ดีกว่าปีเก่าที่ผ่านมา แต่ถ้าจะให้ดีจริงๆก็ต้องปรับเปลี่ยนความเชื่อเดิมๆบางเรื่องของคุณด้วย อย่าเชื่อทุกเรื่องที่ได้ยินมา เพราะบางเรื่องมันก็เป็นแค่คำบอกเล่าเท่านั้น วันนี้มาชวนให้ปรับทัศนคติสุขภาพด้วยกันค่ะ

1. ผักสดมีวิตามินมากกว่าผักแช่แข็ง การบริโภคของสดใหม่คือหลักของโภชนาการที่ดี แต่ผักแช่แข็งก็ไม่ได้มีคุณภาพด้อยกว่าผักสดเสมอไป ขึ้นกับคุณภาพความ “สด” มากกว่าลองนึกดูว่าผักสดที่เราซื้อมาระยะเวลาที่มันต้องผ่านการขนส่ง, การทำความสะอาด, การบรรจุ ก็ใช้เวลาไม่น้อยแต่ถ้าผักที่เก็บมานั้นถูกผ่านกระบวนการแช่แข็งทันที โอกาสที่จะเก็บวิตามินในตัวไว้ได้ก็มีมากกว่า เพราะใช้เวลาน้อยกว่า เรื่องนี้สมาคมนักโภชนาการของประเทศออสเตรเลียระบุว่า สารอาหารสำคัญที่สูญหายไปของผักสดก็คือวิตามินซียิ่งวางทิ้งไว้นานเท่าไหร่ก็จะสูญเสียมากเท่านั้นซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับผักแช่แข็งที่ถูกนำมาผ่านกระบวนการทันทีกลับสามารถรักษาวิตามินซีไว้ได้ดีกว่าด้วยเทคโนโลยีที่ก้าวหน้า เมื่อรู้แล้วคุณก็ไม่น่าจะปฏิเสธผักแช่แข็งอีกต่อไป

Health Attitude Right or Wrong 1

2. สายตามีปัญหาเพราะดูทีวีใกล้จอมากไป เราได้ยินเรื่องนี้มาตั้งแต่เด็กๆซึ่งดร. เพอร์กรีน ฮอร์ตัน นายกสมาคมนักทัศนมาตร ซึ่งเป็นสมาคมผู้เชี่ยวชาญด้านสายตาของประเทศออสเตรเลีย(The Optometrists AssociationAustralia)อธิบายว่าผลที่แน่นอนของการดูทีวีใกล้กว่า 1.5 เมตรนั้นก็คือจะทำให้ดูรายการได้ไม่สนุกเต็มที่เพราะมันใกล้เกินไปและแม้ว่าจะมีผลตามมาคือความเหนื่อยล้าของสายตา ตาเจ็บเพราะกล้ามเนื้อตาทำงานหนักกว่าระยะการมองปกติแต่มันก็จะเป็นผลแค่ชั่วคราวซึ่งหายได้เมื่อพักสายตา ไม่ได้ทำให้เกิดความเสียหายถาวรในระยะยาวตามที่เคยเข้าใจแต่อย่างใด อย่างไรก็ตาม ดร. ฮอร์ตันแนะนำว่าถ้าพบว่ามองภาพในทีวีไม่ชัดเจนก็ควรไปตรวจสายตา “ เพราะมันอาจเป็นปัญหาอื่นๆที่ซ่อนตัวอยู่เช่นสายตาสั้นหรือสายตาเอียง ซึ่งไม่ได้เกิดขึ้นเพราะนั่งใกล้จอมากไป แต่ว่าเป็นเพราะปัญหานี้ทำให้คุณต้องนั่งใกล้ต่างหาก
3. ถ้าคุณเคยผ่าตัดเอามดลูกออกไปแล้ว ก็ไม่ต้องตรวจแพ็พสเมียร์อีก ถึงแม้จะผ่าตัดมดลูกไปแล้ว ก็ยังต้องตรวจแพ็พสเมียร์อย่างต่อเนื่องเพื่อหาความผิดปกติอื่นๆที่อาจเกิดขึ้น“ผู้หญิงส่วนมากมักสับสนระหว่างการตรวจแพ็พสเมียร์หามะเร็งปากมดลูก( Pap smear)กับการตรวจภายใน ( vaginal examination)”ดร.ซู เรดดิช สูตินรีแพทย์ของสถาบันสุขภาพสตรีแห่งชาติ ประเทศออสเตรเลีย ระบุ“ถ้าคุณเคยตัดมดลูกเพราะสาเหตุจากโรคมะเร็ง คุณก็ควรจะตรวจ แพ็พสเมียร์ ทุกๆปี หรือถ้าคุณตัดมดลูกเพราะสภาวะอื่นๆเช่นเยื่อบุมดลูกขึ้นผิดที่(endometriosis)คุณก็ยังต้องตรวจภายในทุกปีหรือถ้าคุณตัดมดลูกออกไปโดยที่ยังมีส่วนคอของมดลูกเหลืออยู่ก็จะยังคงต้องตรวจแพ็พหรือ Pap Test นี้อย่างสม่ำเสมอ”
4. หักข้อนิ้วบ่อยๆจะเป็นโรคข้ออักเสบ(arthritis) การหักข้อนิ้วเสียงดังกร๊อบแกร๊บในที่ทำงาน มันก็จะรบกวนคนอื่นๆ และทุกครั้งที่เสียงข้อนิ้วดังขึ้น ก็หมายถึงการก่อตัวของกาซไนโตรเจนที่จะเกิดขึ้นในข้อกระดูกจากพฤติกรรมนี้แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ข้อกระดูกเสียหายอย่างถาวรแต่อย่างใดและก็ไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆกับโรคข้ออักเสบด้วยนี่คือการระบุของ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ นายแพทย์เกรม โจนส์ผู้อำนวยการสมาคมโรคกระดูกและข้อของประเทศออสเตรเลียอย่างไรก็ตาม การหักข้อนิ้วบ่อยๆ อาจทำให้เกิดข้อกระดูกถูกยืดขยายออกซ้ำๆมากเกินไปซึ่งมันจะไปเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคข้อเสื่อม(Osteoarthritis)ในอนาคต

Health Attitude Right or Wrong 4

5. น้ำมันพืชดีต่อสุขภาพหัวใจ มันขึ้นอยู่กับว่าเรานำน้ำมันพืชชนิดใดมาใช้ นี่คือการระบุของนักโภชนาการดร.ทาเนีย เฟอร์ราเร็ตโตสมาคมโภชนาการของออสเตรเลีย “ น้ำมันพืชบางชนิดเช่นน้ำมันปาล์มและน้ำมันมะพร้าวที่มีไขมันอิ่มตัวระดับสูงเมื่อนำมาเป็นส่วนผสมของบิสกิต และระบุที่ฉลากอาหารว่า“ ผลิตจากน้ำมันพืช (contains vegetable oil)” โดยไม่บอกว่าใช้น้ำมันอะไรน้ำมันพืชบางอย่างก็เป็นอันตรายเช่น น้ำมันพืชที่ผ่านการเติมไฮโดรเจนทำให้กลายเป็นไขมันทรานส์ ที่ไปเพิ่มคอเลสเตอรอลชนิดเลวและลดคอเลสเตอรอลชนิดดี ดังนั้น ควรอ่านฉลากให้ถี่ถ้วนสำหรับน้ำมันพืชที่ดีต่อสุขภาพเช่นน้ำมันมะกอกแบบ extra virgin, น้ำมันคาโนลามีกรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว ( mono-unsaturated fat) ช่วยลดระดับคอลเสเตอรอลชนิดเลว, น้ำมันทานตะวัน มีกรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน(polyunsaturatedfat)ช่วยลดความเสี่ยงโรคหัวใจ
6. ถ้าเจ็บหน้าอกคืออาการของหัวใจวายเฉียบพลัน ผู้ชายส่วนมากที่หัวใจวายเฉียบพลันมักรู้สึกเจ็บจากการบีบที่ทำให้เจ็บปวดในช่องอก แต่สำหรับผู้หญิงที่เป็นโรคเบาหวานและผู้สูงอายุอาการเจ็บปวดมักน้อยกว่านั้นหรืออาจไม่รู้สึกเลยเมื่อเกิดหัวใจวายเฉียบพลัน “ ผศ. คอน อาโรนีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคหัวใจ สมาคมโรคหัวใจแห่งชาติของออสเตรเลีย ระบุ “ แทนที่จะเจ็บหน้าอก ก็อาจมีอาการอื่นๆที่เกิดขึ้นต่อเนื่องประมาณ 15-20 นาที เช่นแน่นอึดอัดที่บริเวณหน้าอก แขน คอและขากรรไกรถ้าความรู้สึกนี้แผ่เป็นวงกว้างและนานนั่นคืออาการของโรคหัวใจวายเฉียบพลันที่หากเกิดขึ้นซ้ำๆ ก็จำเป็นมากที่ต้องไปพบแพทย์โดยด่วน คนที่เป็นโรคเบาหวานและผู้สูงอายุมักรู้สึกถึงอาการเหล่านี้น้อยกว่า เนื่องจากระบบประสาทตอบรับความเจ็บปวดไม่ได้มีประสิทธิภาพเท่าคนปกติและก็ยังหาเหตุผลไม่ได้ว่าทำไมอาการนี้จึงเกิดกับเพศหญิงมากกว่าชาย

Health Attitude Right or Wrong 2

7. ใช้ภาชนะอลูมิเนียมจะเสี่ยงต่อโรคสมองเสื่อม มีการพูดถึงกันมากมายถึงความเกี่ยวข้องของโรคสมองเสื่อมอัลไซเมอร์กับสารอลูมิเนียม ที่เราใช้ในผลิตภัณฑ์ตั้งแต่กระทะไปจนถึงเครื่องสำอางและน้ำดื่ม อย่างไรก็ตาม จากการวิจัยของมหาวิทยาลัยเคนตักกีประเทศสหรัฐอเมริกา ที่ตรวจหาปริมาณสารอลูมิเนียมในผู้ป่วยอัลไซเมอร์จำนวนหนึ่ง ก็พบว่าผู้ป่วยกลุ่มนี้ไม่ได้มีสารนี้ในปริมาณมากผิดปกติแต่อย่างใด การวิจัยนี้ได้ลบความเชื่อที่ว่าคนกลุ่มนี้เป็นอัลไซเมอร์เพราะดื่มน้ำที่มีส่วนประกอบของอลูมิเนียมในปริมาณสูงมาเป็นเวลานานๆและความเสี่ยงของสารอลูมิเนียมกับอัลไซเมอร์ก็มีเพียงเล็กน้อยมาก

Health Attitude Right or Wrong 5

8. ถ้าฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่แล้วเราก็จะไม่เป็นไข้หวัดใดๆอีก ไม่จริง เพราะวัคซีนที่ผลิตเพื่อป้องกันไข้หวัดใหญ่ในแต่ละปีนั้น จะผลิตขึ้นโดยมีหลักการใหญ่ว่าปีนั้นๆเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ที่ระบาดในช่วงหน้าหนาวของยุโรปนั้น เป็นสายพันธุ์อะไรในเวลานั้น ” ดังนั้นในแต่ละปีวัคซีนเหล่านี้ก็จะมีการผลิตที่เปลี่ยนแปลงไป เพื่อให้เหมาะสมกับสายพันธุ์ของเชื้อไวรัสที่ถูกพบ ซึ่งนอกจากไวรัสสายพันธุ์นั้นแล้ว มันก็ยังมีไวรัสโรคหวัดอีกหลายสายพันธุ์ที่อยู่ในอากาศ วัคซีนจึงไม่ได้ป้องกันโรคหวัดทุกชนิด” นี่คือการอธิบายของ ดร.จอห์น กูล็อตตา นายกสมาคมอายุรแพทย์ของออสเตรเลียอย่างไรก็ตาม ดร.จอห์นแนะนำว่า การฉีดวัคซีนนี้จำเป็นกับ “ผู้มีความเสี่ยงสูง” ซึ่งได้แก่ผู้ที่อายุเกิน 65 ปีซึ่งมีประวัติของการเป็นโรคหอบหืด, โรคของะบบทางเดินหายใจ, โรคหลอดเลือดหัวใจตลอดจนคนทำงานเกี่ยวกับสุขภาพที่ต้องอยู่กับเด็กๆเป็นประจำที่ต้องสัมผัสกับเชื้อไวรัสโรคหวัดหลากหลายสายพันธุ์ด้วย “ วัคซีนจะช่วยลดความเสี่ยงที่พวกเขาต้องเผชิญกับไวรัสหวัดหลากหลายสายพันธุ์เป็นประจำทำให้ร่างกายมีภูมิคุ้มกันต่ำ
9. วัคซีนทำจากเชื้อโรค ร่างกายเราจึงอาจเจ็บป่วยจากเชื้อโรคนั้นได้ มีคำอธิบายของ ดร. จอห์น กูล็อตตาว่า “ถึงแม้วัคซีนบางชนิดจะทำให้เกิดผลข้างเคียงหลังการฉีดได้ก็ตาม แต่มันก็ไม่สามารถทำให้เกิดโรคต่างๆจากวัคซีนเพราะเชื้อโรคในวัคซีนเป็นเชื้อโรคที่ตายแล้วหรืออ่อนแอจนไม่สามารถทำให้เกิดโรคต่างๆได้ เชื้อโรคเหล่านี้จะ”อนุญาต”ให้ร่างกาย “เรียนรู้” ในการตอบรับและสร้างภูมิคุ้มกันเพื่อต่อสู้กับมันเมื่อวัคซีนเข้าสู่ร่างกาย ร่างกายก็จะสร้างภูมิต้านทานและทำลายเชื้อโรคนี้ได้อย่างรวดเร็วโดยไม่สามารถทำให้ติดเชื้อใดๆได้

Health Attitude Right or Wrong 3

10. ถ้าตั้งครรภ์อยู่และครรภ์อยู่ในระดับต่ำ ก็จะได้ลูกชาย “ลักษณะหน้าท้องเมื่อตั้งครรภ์ไม่มีความเกี่ยวข้องกับเรื่องเพศของทารกในครรภ์เลย”ดร. กูล็อตตา ยืนยัน “เพราะสภาพครรภ์ของผู้หญิงแต่ละคนเป็นเรื่องเฉพาะตัวขึ้นกับขนาดและรูปร่างของหน้าท้อง, ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อหน้าท้องการยืดหยุ่นของผิวหนัง ฯลฯหากคุณต้องการรู้เพศของทารกในครรภ์ก่อนคลอด อัลตร้าซาวนด์เป็นวิธีที่ดีที่สุด

 

ความเชื่อเหล่านี้ บางอย่างก็เป็นอันตราย และบางอย่างถึงแม้ไม่ทำให้เกิดอันตราย แต่ก็ทำให้เกิดความไม่สะดวกในการใช้ชีวิตประจำวัน เมื่อรู้และเข้าใจอย่างถูกต้อง ก็จะทำให้เราปรับวิธีดูแลตัวเองได้อย่างเหมาะสม ยังมีเรื่องราวสนุกๆของสุขภาพอีกมากมายให้ติดตาม ขอให้ทุกท่านมีสุขภาพดีในปีใหม่นี้กันทุกท่านค่ะ

ดูแลสุขภาพตับ เตรียมรับปาร์ตี้

ช่วงนี้ใกล้ถึงเทศกาลฉลองสิ้นปี ก่อนที่สายปาร์ตี้ทั้งหลายจะสนุกสนานกับเทศกาล เราก็ควรมาเตรียมร่างกายให้พร้อมกันดีกว่า เพราะการที่จะ work hard, play harder ให้สนุกพร้อมสุขภาพดี ร่างกายก็ต้องพร้อมด้วย

ตับ อวัยวะต้องใส่ใจก่อนไปเลี้ยงฉลอง
ตับของเราคือต่อมที่ใหญ่ที่สุดของร่างกาย อวัยวะนี้ไม่มีเส้นประสาท มันก็จะทำงานตลอดเวลาโดยไม่มีการหยุดพักไม่มีโอทีเหมือนเราที่ก้มหน้าก้มตาโหมงานกันนั่นแหละตับ จะทำหน้าที่ทั้งสังเคราะห์ เผาผลาญอาหาร ทำลายสารพิษและปรับสมดุลของฮอร์โมน มันจะผลิตน้ำดีและเอนไซม์ที่ทำหน้าที่ขับสารพิษในกระแสโลหิต ซึ่งพฤติกรรมของฤดูปาร์ตี้ที่เรามักทำกันคือ นอนดึก ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ บริโภคอาหารคอเลสเตอรอลสูงและปริมาณมากเกินไป นอกเหนือจากการโหมทำงานหนักเพื่อให้มีเวลาไปฉลองกับเพื่อนๆ สิ่งเหล่านี้แหละที่ทำให้ตับของคุณต้องทำงานหนักมากในช่วงส่งท้ายปี เพราะมันจะต้องกรองสารพิษในปริมาณมากขึ้นกว่าปกติ ดังนั้น ก่อนถึงช่วงเทศกาลฉลองที่จะมาถึงเร็วๆนี้ มาลองสำรวจตัวเองดูว่า ตับของคุณสะสมสารพิษไว้มากเกินไปหรือเปล่า

6 สัญญาณร่างกายที่บอกปัญหาตับ
สิ่งที่ต้องรู้ก็คือ ถ้าตับของเราเต็มไปด้วยสารพิษสะสมและไม่ได้ขจัดออกไปอย่างถูกวิธีตับก็จะเก็บกักเซลล์ไขมันเอาไว้และเซลล์นี้ก็จะพอกตัวหนาขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะที่รอบเอวไขมันที่ตับสะสมนี้จะมี 2 ชนิดด้วยกันคือ 1. ไขมันที่มาจากการดื่มแอลกอฮอล์มากๆแอลกอฮอล์ก็จะถูกแปรสภาพเป็นไขมันพอกตับ 2. ไขมันที่มาจากสิ่งที่ไม่ใช่แอลกอฮอล์เช่นอาหารคอเลสเตอรอลสูง,อาหารฟาสท์ฟู้ด,อาหารดัดแปลงพันธุกรรมและอาหารที่เต็มไปด้วยสารเคมีในอุตสาหกรรมผลิตอาหาร ซึ่งจะมีสัญญาณร่างกายให้สังเกตคือ
1. น้ำหนักตัวเพิ่มโดยไม่รู้สาเหตุ:เมื่อตับไม่สามารถขจัดสารพิษออกไปได้ทั้งหมด ต่อให้เราลดแคลอรี่ที่เคยบริโภคลงไปและการออกกำลังกายหนักแค่ไหน มันก็จะไม่ช่วยให้น้ำหนักลดลง เพราะสารพิษที่อยู่ในเซลล์ไขมันที่ร่างกายสะสมเอาไว้ไม่ได้ถูกกรองออกไปยิ่งกว่านั้นเมื่อตับทำหน้าที่เผาผลาญไขมันได้ไม่เต็มที่ก็จะมีไขมันสะสมและไหลเวียนจากลำไส้ผ่านท่อน้ำดีกลับเข้าไปสู่อวัยวะต่างๆ
2. ลมหายใจมีกลิ่น:หากสุขอนามัยช่องปากไม่ได้มีปัญหาใดๆ แต่ก็ยังมีกลิ่นไม่พึงประสงค์เกิดขึ้นได้ละก็อาจแปลว่าเราอาจมีปัญหาสุขภาพตับก็ได้ ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจเช็คให้แน่ใจ

Health Ready To Party 3

3. เหนื่อยไม่มีแรงตลอดเวลา:สารพิษที่สะสมในร่างกายจะไปขัดขวางระบบเมตาบอลิซึ่มของกล้ามเนื้อทำให้กล้ามเนื้อเจ็บปวดและร่างกายหมดแรงเมื่อนานๆเข้า ความเหนื่อยนี้จะกลายเป็นความรู้สึกหดหู่ และการควบคุมอารมณ์ไม่ได้ในที่สุด
4. เหงื่อออกมากผิดปกติ:เมื่อประสิทธิภาพการทำงานของตับลดลงอุณหภูมิของร่างกายก็จะสูงขึ้นและส่งต่ออุณหภูมิที่สูงนี้ไปถึงอวัยวะอื่นๆ รวมทั้งผิวหนังซึ่งเป็นอวัยวะใหญ่ที่สุดของร่างกายผิวหนังก็จะพยายามจะทำให้ร่างกายเย็นลงโดยการหลั่งเหงื่อออกมาในปริมาณมากกว่าปกติ
5. เป็นสิวเรื้อรัง:เราอาจนึกไม่ถึงว่าสิวที่เป็นเรื้อรังมีที่มาจากความผิดปกติของตับ เพราะสารพิษที่สะสมอยู่ในตับนั้น ทำให้เกิดความไม่สมดุลย์ของฮอร์โมนซึ่งสิ่งนี้ทำให้เราเกิดสิวและสิวที่มีสาเหตุจากสิ่งนี้ ก็จะไม่สามารถรักษาได้แค่การทายาแก้สิวเพราะมันมีต้นเหตุจากความบกพร่องของอวัยวะภายใน

Health Ready To Party 2

6. โรคภูมิแพ้:ตับที่สุขภาพดี ก็จะสร้างสารแอนตี้บอดี้เพื่อต่อสู้กับสิ่งที่ทำให้ร่างกายมีความอ่อนไหวออกไปได้หมดแต่เมื่อการทำงานของตับบกพร่อง ร่างกายก็จะเก็บกักสารพิษที่ทำให้เกิดการแพ้เอาไว้และเมื่อมีสารพิษนี้อยู่มากๆ สมองของเราก็จะตอบสนองด้วยการผลิตสารฮิสตามีน(histamine) เพื่อจะขจัดสารพิษนี้ออกไปซึ่งปริมาณของฮิสตามีนที่ร่างกายผลิตออกมามากๆนี้เองที่นำเราไปสู่อาการภูมิแพ้ต่างๆเช่นการคัน, ผื่นลมพิษ, ปวดศีรษะ ฯลฯ ซึ่งเป็นปฏิกิริยาจากการที่ฮิสตามีนพยายามขจัดสารพิษ

ขจัดสารพิษสะสมในตับ
ถ้าหากคุณพบว่ากำลังมีอาการข้างต้นนี้ก็อย่าเพิ่งตกใจค่ะ เพราะเราสามารถเปลี่ยนหรือลดปริมาณของสารพิษที่สะสมในตับลงได้ ส่วนหนึ่งที่สำคัญมากก็คือการบริโภคอาหารที่มีคุณค่าโภชนาการซึ่งได้ผลมากในการเปลี่ยนสภาพของตับจากที่มีปัญหาให้กลับมามีสุขภาพดีอีกครั้งควรจำกัดปริมาณของอาหารคาร์โบไฮเดรตโดยเฉพาะแป้งและน้ำตาล ลดปริมาณผลไม้รสหวานที่เคยบริโภคให้น้อยลง นอกจากนี้ มีข้อมูลการวิจัยพบว่าการบริโภคดาร์กชอกโกแลตที่มีปริมาณกาเกามากกว่า 70% ขึ้นไป ก็เป็นสิ่งที่นักโภชนาการชาวญี่ปุ่นแนะนำสำหรับผู้ที่มีปัญหาของตับรวมทั้งการลดอาหารที่ใช้เครื่องปรุงรสปริมาณมากๆ และให้บริโภคอาหารที่ยังคงรสธรรมชาติของวัตถุดิบไว้มากที่สุด

นอกจากนี้ อาหารและสมุนไพรธรรมชาติที่ถูกระบุว่าช่วยดูแลตับได้คือ ขิง, รากแดนเดเลี่ยน(dandelion root) และมิลค์ ทิสเทิล ( milk thistle) ซึ่งเป็นพืชที่ให้คุณสมบัติในการทำความสะอาดให้กับอวัยวะในร่างกายและก็มีอาหารที่ช่วยสุขภาพของตับได้เช่นกรีกโยเกิร์ต นอกจากนี้นักโภชนาการยังแนะนำวิธีบริโภคอาหารเพื่อขจัดพิษสะสมในตับให้ได้ผลในระยะยาวก็คือ ไม่บริโภคอาหารหลายๆชนิดพร้อมๆกันในมื้อเดียว เช่นในงานปาร์ตี้ที่เรามักบริโภคเนื้อสัตว์ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ร่วมกับผักผลไม้ต่างๆและของขบเคี้ยวและขนมหวานอย่างไม่ยั้ง การบริโภคแบบนี้จะทำให้เลือดไม่สะอาดและเพิ่มภาระของตับในการสลายสารพิษสิ่งที่ควรทำก็คือ ให้เลือกบริโภคผักผลไม้สด เลี่ยงผลไม้รสหวานจัดและขนมหวาน มองหาโปรตีนจากปลาและบริโภคเนื้อสัตว์แดงในปริมาณน้อยที่สุด และปิดท้ายมื้ออาหารด้วยโปรไบโอติกเช่นโยเกิร์ตที่ไม่มีน้ำตาลมากเกินไป

เมนูเพื่อสุขภาพตับที่ดี

Health Ready To Party 4

หั่นกล้วยหอมสุก 1 ผลเป็นชิ้นหนาพอควร ใส่ลงในกรีกโยเกิร์ต 1 ถ้วยนำขิงสดความยาวประมาณ 1 นิ้วมาปั่นให้ละเอียดใส่ลงไปด้วย หรือจะใช้ขิงผงประมาณ ½ ช้อนชา แล้วใส่เนยถั่ว 2 ช้อนโต๊ะ ถ้าหากมีแดนเดเลี่ยนผง ก็ให้ใส่ลงไปด้วย 1 ช้อนชาผสมทุกอย่างเข้าด้วยกันและเสิร์ฟทันที อาจเติมผลไม้หรือธัญพืชที่คุณชอบเพิ่มลงไปได้ บริโภคเมนูนี้สัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง เป็นสูตรเมนูที่นักธรรมชาติบำบัดแนะนำเพื่อช่วยทำความสะอาดตับ

 

นอกจากนี้ สิ่งที่ควรระวังในช่วงเวลางานฉลองก็คือ อย่าลืมจำกัดปริมาณแอลกอฮอล์ที่คุณดื่ม และอย่าใช้ยาพร่ำเพรื่อเพราะจะทำให้ร่างกายเพิ่มการสะสมสารพิษอย่าลืมว่า ตับของคุณเป็นอวัยวะที่พิเศษกว่าอวัยวะอื่นๆ ตรงที่ถ้าหากคุณดูแลมันอย่างดี มันก็จะดูแลคุณให้มีสุขภาพดีได้อย่างยืนยาว ขอให้สนุกกับเทศกาลและฉลองกันอย่างมีสุขภาพดีทุกท่านค่ะ

เคล็ดลับสุขภาพดีหน้าหนาว

ฤดูหนาว..เป็นช่วงที่กลางคืนจะยาวกว่ากลางวัน ทั้งอากาศในฤดูหนาวก็จะแห้งกว่าฤดูร้อนเนื่องจากความชื้นในอากาศลดลง และสิ่งนี้เองที่ทำให้เราเจ็บป่วย เพราะเชื้อไวรัสจะเจริญเติบโตในฤดูนี้ง่ายกว่าฤดูอื่นๆ สำหรับในบ้านเราในต่างจังหวัดหลายแห่ง ก็จะมีอุณหภูมิลดลงทำให้พบกับความหนาวเย็น มาเรียนรู้เคล็ดลับดูแลสุขภาพที่จะช่วยให้เรามีสุขภาพดีในช่วงหนาวนี้
1. ทำตัวให้กระฉับกระเฉงอยู่เสมอ: หากคุณเดินทางไปในที่ๆมีอากาศหนาว แม้ความหนาวเย็นของอากาศจะทำให้คุณไม่อยากขยับไปไหนก็ตาม แต่การทำตัวกระฉับกระเฉงตลอดเวลา จะช่วยควบคุมการทำงานของเมลาโทนินในร่างกายให้สมดุล ให้พยายามอยู่ในที่มีแสงสว่างอย่างน้อยวันละ 2 ครั้งๆละ 25 นาทีและหาเวลาออกกำลังกายเช่นการเต้นแอโรบิก เพื่อให้คุณไม่มีปัญหาอาการอารมณ์หดหู่ในฤดูหนาวหรือ SAD Seasonal Affective Disorder ที่คนส่วนใหญ่มักเป็นเวลาเดินทางไปต่างประเทศที่มีอากาศมืดครึ้ม
2. หาวลาพักผ่อนในแสงแดดอ่อนๆ:  แสงแดดคือแหล่งพลังงานสำคัญในการสร้างวิตามินดีให้กับร่างกาย การสัมผัสแสงแดดอ่อนๆยามเช้า จะทำให้ร่างกายผลิตฮอร์โมนเซโรโทนินซึ่งเป็นฮอร์โมนแห่งความสุข ทำให้มีอารมณ์ดี หาเวลาในฤดูหนาวไปเที่ยวพักผ่อนสถานที่สวยๆและธรรมชาติงดงาม ที่ให้คุณได้พักผ่อนร่างกายและจิตใจ

Healthy In Winter Season 2

3. บริโภคโปรตีนให้มากขึ้น: โปรตีนจากเนื้อสัตว์เช่นเนื้อไก่ลอกหนัง ไก่งวง และปลาแซลมอนถั่วและธัญพืชต่างๆ จะช่วยให้ร่างกายผลิตสารทริปโตฟาน (Tryptophan)ให้พยายามเพิ่มการบริโภคอาหารเหล่านี้แทนมันฝรั่งและพาสต้า ซึ่งจะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดพุ่งสูงและตกลงฉับพลัน ทำให้เกิดปัญหาของอารมณ์และสุขภาพตามมา
4. เพิ่มปริมาณแบคทีเรียที่ดีในลำไส้: กว่า 90% ของสารเซโรโทนินจะถูกผลิตขึ้นในส่วนของลำไส้ที่มีกรดอะมิโนทริปโตฟานอยู่ในนั้น การเพิ่มแบคทีเรียที่ดีนี้จะช่วยให้ลำไส้มีสุขภาพดียิ่งขึ้นในฤดูหนาว และมีประสิทธิภาพผลิตกรดอะมิโนดังกล่าวได้ดีขึ้นด้วย วิธีง่ายๆก็คือการบริโภคอาหารโปรไบโอติกเช่นโยเกิร์ต ซึ่งจะช่วยให้ร่างกายมีพัฒนาการที่ดีด้านอารมณ์
5. ให้ความสำคัญกับสมอง: สารเซโรโทนินจะถูกขนส่งไปยังเซลล์ระบบประสาทส่วนต่างๆของร่างกายโดยโปรตีนที่มีชื่อว่า SERTซึ่งจากการวิจัยของมหาวิทยาลัยโคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์คพบว่าคนที่มีสภาวะอารมณ์ที่ดีในฤดูหนาว จะมีระดับของโปรตีนนี้สูงกว่าในคนที่มีสภาวะหดหู่จากสภาพอากาศ

Healthy In Winter Season 1

6. ดูแลปอดให้แข็งแรง: เพราะฤดูหนาวเป็นช่วงที่อากาศเย็นและเชื้อไวรัสเติบโตได้ดี การดูแลสุขภาพปอดจึงเป็นสิ่งที่จะช่วยให้คุณพ้นจากโรคระบบทางเดินหายใจได้ ควรหาเวลาไปเดินเล่นในที่ๆมีอากาศบริสุทธิ์อย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง ระหว่างเดินให้โฟกัสที่การหายใจลึกๆเพื่อให้ปอดได้มีโอกาสขยายและทำงานได้เต็มที่ หายใจเข้าทางจมูกช้าๆให้รู้สึกถึงลมหายใจที่เข้าไปข้างในส่วนท้อง จากนั้นหายใจออกช้าๆผ่านริมฝีปากจนรู้สึกว่าลมออกมาจนหมด
7. ปรับพฤติกรรมบริโภค: ในช่วงฤดูหนาว ร่างกายมักมีปัญหาของระบบการย่อย เนื่องจากการปรับตัวให้เหมาะกับสภาพอากาศดังนั้น จึงควรปรับพฤติกรรมการบริโภคอาหารของคุณ ด้ววยการเคี้ยวอาหารให้ละเอียดขึ้น และบริโภคมื้อกลางวันเป็นมื้อใหญ่ มื้อเย็นให้น้อยลงหรือเปลี่ยนเมนูให้ย่อยง่ายขึ้น เพื่อช่วยให้นอนหลับได้สนิทขึ้น ระวังการบริโภคผลไม้รสหวานจัดและไม่ควรบริโภคผลไม้ทันทีขณะที่กระเพาะของคุณเต็มไปด้วยอาหารโปรตีนและไขมันเพราะร่างกายจะไม่สามารถย่อยผลไม้นั้นได้ง่ายๆ ทำให้เกิดแกสในกระเพาะอาหารและท้องอืด ให้เปลี่ยนมาบริโภคผลไม้ในมื้อเช้าขณะท้องว่าง หรือตอนบ่าย 3 โมงเมื่อร่างกายได้ย่อยอาหารกลางวันแล้ว จะสอดคล้องกับระบบการย่อยมากกว่า
8. เพิ่มเครื่องเทศในมื้ออาหาร: ขิง เป็นพืชสมุนไพรที่ช่วยระบบการย่อยและแก้อาการท้องอืด, พริกช่วยให้ระบบเมตาบอลิซึมของร่างกายเผาผลาญอาหารได้เร็วขึ้น, ซินนามอนหรืออบเชย มีสารต้านอนุมูลอิสระในระดับสูงและช่วยเผาผลาญไขมันที่เก็บกักไว้บรืเวณหน้าท้องได้ดี, ขมิ้น ช่วยการทำงานของข้อต่อ ลดอาการอักเสบติดเชื้อของข้อต่อที่ทำให้เกิดอาการปวดบวม อย่าลืมบริโภคพืชสมุนไพรเหล่านี้เพื่อช่วยยกระดับสุขภาพที่ดีในช่วงหน้าหนาว
9. เปลี่ยนผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผมและผิว: หากสภาพอากาศที่แห้งจากความชื้นที่ลดลงทำให้ผิวและหนังศีรษะของคุณแห้งกว่าปกติ ซึ่งจะสังเกตได้จากมีอาการแห้งและคัน ให้เปลี่ยนแชมพูและคลีนเซอร์เป็นสูตรที่อ่อนโยนลง จะช่วยแก้ปัญหานี้ได้หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของเรตินอลและสารแอนตี้แบคทีเรีย ซึ่งส่วนใหญ่จะทำให้ผิวแห้ง หากคุณเป็นสิวและจะเป็นต้องใช้ผลิตภัณฑ์เพื่อขัดลอกเซลล์ผิวเสื่อมสภาพ ก็ให้เปลี่ยนจากชนิดที่มีส่วนผสมของเอเอชเอ (AHA) มาเป็นบีเอชเอ (BHA) ที่อ่อนโยนกว่า แต่หากยังรู้สึกว่ามีอาการแห้งและคันอยู่ ก็ให้เพิ่มการบริโภคผลิตภัณฑ์เสริมอาหารกลุ่มน้ำมันปลาหรือวิตามินอีในมื้ออาหารเพื่อช่วยให้ผิวหนังมีน้ำมันหล่อเลี้ยงมากขึ้น

Healthy In Winter Season 3

10. ดื่มกาแฟเฉพาะตอนเช้า: หากคุณดื่มกาแฟเป็นประจำและรู้สึกว่านอนหลับยากขึ้นในฤดูหนาว นั่นเป็นเพราะร่างกายของคุณสามารถเผาผลาญคาเฟอีนได้ช้ากว่าปกติ คาเฟอีนจึงยังค้างอยู่ในกระแสเลือดและรบกวนระบบการนอนหลับ ซึ่งโดยปกติในร่างกายของเราจะผลิตสารเคมีชนิดหนึ่งที่มีชื่อว่าอะดีโนซีน ( adenosine) เป็นสารที่ทำให้นอนหลับคาเฟอีนจะไปปิดกั้นตัวรับอะดีโนซีนหรือ adenosine receptors ในเซลล์ร่างกาย และ “หลอก”ร่างกายว่ามันเหนื่อยล้าน้อยกว่าที่เป็นจริง รวมทั้งไปยืดเวลาที่ร่างกายควรจะส่งสัญญาณว่าคุณควรนอนหลับพักผ่อนให้ช้าลงดังนั้น หากคุณอยากนอนหลับดีขึ้น ให้เลี่ยงการดื่มกาแฟหลังเที่ยงและระวังกาแฟปลอดคาเฟอีนบางแบรนด์ที่ยังมีคาเฟอีนเหลืออยู่เคล็ดลับหนึ่งที่ช่วยได้ก็คือ หลังดื่มกาแฟให้ดื่มน้ำอัดแกสหรือ sparkling waterตามทุกครั้ง เครื่องดื่มที่แนะนำว่าเหมาะสมกับคุณช่วงก่อนนอนคือชาคาโมมายล์

 

ทั้งหมดเป็นเคล็ดลับรับลมหนาวอย่างสุขภาพดีที่รวบรวมมาฝากกันและในโลกแห่งการเดินทางไร้พรมแดน มันก็เป็นไปได้ที่เราจะต้องพบกับความหนาวเย็นของหิมะหรืออากาศเมื่อเดินทางไปต่างประเทศ การเตรียมพร้อมทุกสถานการณ์จะทำให้เราผ่านหน้าหนาวนี้ไปได้อย่างไม่มีปัญหา ไม่ว่าจะอยู่ที่ส่วนใดของมุมโลกค่ะ

เรื่องพลาดที่เรามักทำเมื่อดื่มน้ำผักผลไม้

ช่วงนี้ของเทศกาลกินเจเดือนนี้หลายคนก็จะหันมาบริโภคผักผลไม้กันมากขึ้น น้ำผักและน้ำผลไม้คั้นสดจึงเป็นเครื่องดื่มสุขภาพที่ขายดีทั้งแบบทำเองและซื้อสำเร็จรูป แต่บางทีการดื่มน้ำผักผลไม้ก็อาจให้ประโยชน์ได้ไม่เต็มที่จากสิ่งที่เราพลาดไปในข้อปฏิบัติง่ายๆนี่เอง ลองมาดูกันค่ะว่ามีเรื่องไหนบ้าง
1. ไม่ดื่มน้ำผักผลไม้ในขณะที่ท้องว่าง: ถ้าคุณเคยดื่มน้ำผักผลไม้แล้วเกิดอาการแสบร้อนกลางอกหรือที่เรียกว่าฮาร์ทเบิร์นละก็ ให้ลองสังเกตว่าคุณดื่มมันในเวลาไหน ในช่วงที่ท้องว่างหรือหลังจากบริโภคอาหารแล้วซึ่งถ้าเป็นอย่างหลัง ก็เป็นไปได้มากที่คุณจะมีอาการนี้เพราะการดื่มน้ำผักผลไม้คั้นสดควรจะดื่มเมื่อท้องคุณยังว่างอยู่เท่านั้น เพื่อไม่ให้ประโยชน์ของมันถูกลดทอนลงไป และมีปัญหาระบบการย่อยอย่างที่เป็นอยู่การดื่มน้ำผลไม้ขณะท้องว่างยังช่วยให้สารอาหารสำคัญในน้ำผลไม้สามารถถูกดูดซึมโดยตรงเข้าสู่กระแสโลหิตของเราอีกด้วย ลองนึกดูสิคะว่า ถ้าเราบริโภคอาหารเข้าไปจนเต็มกระเพาะ อาหารเหล่านั้นก็จะไปปิดกั้นการดูดซึมทำให้ช้าลงช่วงเวลาดีที่สุดของการดื่มน้ำผักผลไม้คือถ้าเป็นหลังมื้ออาหาร ให้รอประมาณ 2 ชั่วโมงหรือถ้าเป็นก่อนมื้ออาหาร ให้ดื่มก่อนการบริโภคมื้ออาหารประมาณ 20 นาที

Fruit Vegetable Juice 3

2. คุณรอนานเกินไปกว่าจะดื่มน้ำที่ทำไว้: ทันทีที่ผักผลไม้สดถูกคั้นน้ำออกมาเพื่อรอดื่ม น้ำนั้นก็จะสัมผัสกับอากาศ ทำให้เอนไซม์เริ่มด้อยคุณภาพลงเรื่อยๆทั้งสูญเสียรสชาติที่ดี ถ้าคุณสังเกตก็จะพบว่าน้ำผลไม้ที่คั้นสดใหม่กับน้ำที่ตั้งทิ้งไว้นานๆ จะมีรสชาติแตกต่างกันมาก และคุณก็จะไม่ได้รับพลังงานเท่าที่ควร วิธีคั้นน้ำที่ถูกต้องก็คือควรใช้เบลนเดอร์ที่มีมอร์เตอร์แรงและใบมีดสำหรับหั่นเป็นแบบคู่ เพื่อให้กระบวนการคั้นทำได้เร็วและสดที่สุด ทั้งควรดื่มน้ำนั้นภายใน 5 นาทีหลังจากที่คั้นมันออกมาและถ้าจะใส่เหยือกแช่ตู้เย็น ก็ควรเทน้ำให้อยู่ในระดับเต็มใกล้ขอบเหยือกมากที่สุดเพื่อให้มีอากาศเข้าไปได้น้อยที่สุด ปิดฝาเหยือกให้แน่น ควรแช่เย็นมันเอาไว้ตลอดเวลาก่อนดื่มครั้งต่อไปสิ่งสำคัญมากในการเลือกซื้อน้ำผักผลไม้คั้นสดที่วางขายก็คือ ต้องดูด้วยว่ามันแช่เย็นไว้ในอุณหภูมิที่เหมาะสมหรือเปล่า เพราะน้ำผักผลไม้สดๆที่ไม่มีการพาสเจอร์ไรซ์ หากตั้งทิ้งไว้ก็จะเกิดความอุ่นของอุณหภูมิขึ้น ทำให้แบคทีเรียในน้ำนั้นเจริญเติบโตได้ง่าย น้ำผักผลไม้คั้นสดที่ลดราคามักมีคุณภาพต่ำเพราะคุณค่าโภชนาการด้อยลง ควรระวังให้ดีๆ

Fruit Vegetable Juice 1

3. คุณใช้ผลไม้รสหวานและผักหลายชนิดเกินไป: ผลไม้รสหวานและผักบางอย่างเช่นแตงโม, แอปเปิ้ล, ลูกแพร์และแครอท เป็นพืชผักที่เต็มไปด้วยสารอาหารแต่ถ้าคุณนำมันมารวมกันเพื่อทำน้ำผักผลไม้คั้นสิ่งที่เกิดขึ้นก็คือปริมาณน้ำตาลและฟรุคโตสในระดับสูงสุดที่จะไปมีผลเสียต่อระดับอินซูลินในร่างกายให้พุ่งสูงขึ้นทำให้คุณเกิดความหิวบ่อยขึ้น เสี่ยงต่อโรคเบาหวานและโรคอื่นๆจากการมีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นดังนั้น เวลาจะทำน้ำผักผลไม้คั้นสด ให้เลือกผักหรือผลไม้ที่มีรสหวานอย่างใดอย่างหนึ่งเพียง 1 ชนิดเท่านั้นเช่นให้ใช้แครอทผสมกับเซเลอรี่ แต่ไม่ควรใส่แตงโมหรือแอปเปิ้ลลงไปเพิ่มอีก เป็นต้นแอปเปิ้ลเขียว ก็เป็นผลไม้ที่ดีในการเพิ่มความหวานควรจำไว้ว่าในการดื่มน้ำผักผลไม้นั้น ระดับของน้ำตาลและฟรุคโตสของส่วนผสม คือสิ่งสำคัญมากที่ต้องนึกถึงก่อนเรื่องอื่นๆ โดยส่วนตัวแล้ว ดิฉันไม่แนะนำให้เพิ่มผลไม้ลงในน้ำผักที่คั้นสด แต่ถ้าคุณต้องการรสหวาน ก็ให้ดื่มน้ำแครอทคั้นสดหรือเติมแครอทลงในน้ำผักก็จะได้ความหวานที่เพียงพอแล้วทั้งมีประโยชน์ต่อสุขภาพสายตาด้วย บีทรูท ก็เป็นผักให้ความหวานที่น่าสนใจ เพราะมันช่วยการล้างพิษของร่างกายนอกจากนี้ มะนาวและเลมอน ก็จะมีระดับน้ำตาลต่ำมากและไม่มีผลเสียกับระดับของอินซูลินในร่างกายเหมือนผลไม้อื่นๆ

Fruit Vegetable Juice 2

4. คุณดื่มน้ำผักผลไม้คั้นสดแทนการบริโภคมื้ออาหาร: น้ำผักผลไม้ไม่ใช่สิ่งที่คุณจะดื่มเพื่อเป็นข้ออ้างในการงดมื้ออาหารแล้วใช้มันทดแทนเพราะจริงๆแล้ว หน้าที่ของมันคือเพื่อเรียกน้ำย่อยหรือเพื่อให้กระเพาะเตรียมพร้อมในการรับอาหารมื้อต่อไป การได้รับวิตามินและแร่ธาตุจากน้ำผลไม้ ก็เหมือนกับเวลาที่เราบริโภคผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่เราควรบริโภคมันในช่วง 20 นาทีก่อนการบริโภคมื้ออาหารเต็มแน่นอนค่ะที่มันเป็นเรื่องยากในชีวิตประจำวันที่เราจะบริโภคผักผลไม้ให้ได้ตามปริมาณที่นักโภชนาการแนะนำคือ 6-8 จานต่อวันในทุกๆวัน และมันก็ยากที่เราจะบริโภคผักเป็นอาหารเช้าทั้งปริมาณผักผลไม้ของมื้อกลางวันนอกบ้านก็มักจะเล็กน้อยมากซึ่งไม่พอสุขภาพที่ดีของร่างกายน้ำผักผลไม้คั้นสดจึงช่วยให้เราได้พบกำไรสุขภาพนี้ให้คิดถึงการดื่มน้ำผักผลไม้เหมือนการที่คุณบริโภคผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ไม่ใช่แทนมื้ออาหาร ก็จะให้ผลดีกับสุขภาพอย่างมากนอกจากนี้การดื่มมันก่อนมื้ออาหาร ก็จะช่วยลดปริมาณคาร์โบไฮเดรตที่เรามักจะบริโภคเกินขนาดในแต่ละมื้ออีกด้วย

5. คุณไม่ได้ “เคี้ยว” น้ำผักผลไม้ที่ดื่มเข้าไป: ใช่ค่ะ คุณอ่านไม่ผิดหรอก น้ำผักผลไม้คืออาหารอย่างหนึ่งที่เราควรจะได้ “เคี้ยว” มันด้วยเมื่อบริโภคมันเข้าไป การเคลื่อนไหวขากรรไกรขึ้นลงสักสองสามวินาทีก่อนที่คุณจะกลืนน้ำผักผลไม้นั้นๆลงไป จะทำให้เกิดการปลดปล่อยเอนไซม์ย่อยอาหารของน้ำลายให้รวมกับน้ำผลไม้นั้นๆด้วยช่วยในการส่งผ่านสารอาหารที่มีประโยชน์ด้านโภชนาการเข้าสู่เซลล์ร่างกายของคุณได้ดีขึ้น

6. คุณไม่ล้างเครื่องคั้นทันทีหลังการใช้: แน่นอนที่การทำความสะอาดเครื่องคั้นน้ำผักผลไม้เป็นเรื่องยุ่งยากและใช้เวลาเกินกว่าที่คุณจะไปทำงานทันในตอนเช้า แต่จริงๆแล้วคุณก็ยังไม่ต้องทำความสะอาดมันแบบครบขั้นตอนก็ได้ เพียงแค่ล้างน้ำให้สะอาดก่อนแล้วค่อยมาจัดเต็มเอาในตอนเย็นทำแบบนี้เครื่องของคุณก็จะไม่มีคราบสีของผักผลไม้ติดแน่นทั้งยังไม่เป็นแหล่งสะสมของแบคทีเรียไปตลอดวันด้วย

Fruit Vegetable Juice

7. คุณใช้ผักผลไม้ชนิดเดิมๆซ้ำซาก: ความหลากหลายคือเครื่องกระตุ้นความสดใสให้ชีวิต และมันยังเป็นกุญแจสำคัญที่จะทำให้คุณปลอดภัยและหลีกเลี่ยงอาการผิดปกติของฮอร์โมนจำไว้ว่า ให้สลับเปลี่ยนชนิดของผักผลไม้ที่นำมาคั้นบ้าง อย่าใช้แต่ผักโขม กะหล่ำปลี หรือผักชนิดใดซ้ำซากติดต่อกันหลายๆสัปดาห์ เพราะมันจะไปมีผลเสียกับการผลิตฮอร์โมนของต่อมไทรอยด์ ทำให้เกิดการสร้างกรดอ็อกซาลิก(oxalic acid)ที่ทำให้สมดุลของวิตามินและแร่ธาตุในร่างกายเสียไปจากการได้รับสารอาหารเดิมซ้ำๆและขาดสารอาหารอื่นๆที่ควรจะถูกเติมเต็ม

8. คุณหยุดบริโภคน้ำผักผลไม้เพราะเชื่อว่าการดื่มสมูตตี้ให้ผลดีกว่า: ไม่มีวิธีใดที่จะทำให้เราได้ประโยชน์ทางโภชนาการจากผักและผลไม้สดได้มากเท่ากับการคั้นน้ำบริโภคสดๆที่จะให้พลังงานที่ดีและยาวนานอย่างที่เป็นความมหัศจรรย์ของธรรมชาติที่มอบเป็นของขวัญให้มนุษย์ด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์ในผักผลไม้ และเป็นสิ่งที่สมูตตี้ไม่สามารถให้คุณด้วยความรู้สึกสดชื่นและเติมเต็มพลังงานนี้หากคุณดูในกระจก ก็จะเห็นภาพของคุณที่มีหน้าตาสดใสดูมีพลังมากขึ้นเมื่อได้ดื่มน้ำผักผลไม้คั้นสดดังกล่าวการดื่มน้ำผักผลไม้คั้นสด ยังช่วยลดการใช้พลังงานของร่างกายในการย่อยอาหาร ทำให้เซลล์มีเวลาในการซ่อมแซมตัวเองได้มากขึ้นดังนั้น อย่ารอจนเกิดเจ็บป่วยแล้วถึงจะหันมาดื่มน้ำผักผลไม้นี้ เพราะยิ่งคุณดื่มมันเป็นประจำได้เร็วเท่าไหร่ ก็เท่ากับได้สร้างภูมิต้านทานให้ร่างกายต่อสู้กับโรคภัยได้ดีขึ้นเท่านั้น ก่อนจบวันนี้ ดิฉันมีสูตรน้ำผักผลไม้เพื่อสุขภาพ มาให้คุณได้ลองไปทำกันดู อร่อยใช้ได้เลยค่ะ ขอให้กินเจอย่างมีสุขภาพดี ได้รับพลังจากพืชผักธรรมชาติสดใสกันทุกท่านนะคะ

LEMON LIME GREEN JUICE:
เวลาเตรียม: 5 นาที, รวมเวลาที่ใช้ทั้งหมด 5 นาที เสิร์ฟได้ 2 ที่
ส่วนผสม:
– ผักใบเขียวเลือกตามชอบ 1 กำ ( ผักโขม, กะหล่ำปลี, และขอแนะนำผักสวิสชาร์ด ( Swiss chard)เป็นผักตระกูลเดียวกับบีทรูทแต่จะไม่มีหัว ใช้ใบและก้านรับประทาน ไม่ขมไม่เหม็นเขียว รสจืดๆ, ผักคะน้าหรือ Chinese broccoli)
– แตงกวา 2 ผล
– สมุนไพรเช่นผักชี, ต้นหอมหรือสะระแหน่ ½ ช่อ
– เลมอนปอกเปลือกออก 1 ผล
– มะนาวปอกเปลือกออก 1 ผล
– แอปเปิ้ลเขียว 1 ผล ( อาจไม่ใช้ก็ได้ตามชอบ)
วิธีทำ:
1. ล้างผักทั้งหมดให้สะอาดและนำไปใส่ชามใบ ใหญ่
2. นำไปคั้นน้ำตามลำดับดังนี้คือ – ผักใบเขียว, สมุนไพร, เลมอน, ไลม์, แตงกวา, แอปเปิ้ล
3. ผสมทุกอย่างเข้าด้วยกัน คนให้ทั่วก่อนเสิร์ฟ
4. ล้างทำความสะอาดเครื่องคั้นน้ำผลไม้ทันทีเมื่อใช้เสร็จ
หมายเหตุ: แช่เย็นผักผลไม้ก่อนนำมาคั้นเพิ่มความอร่อยสดชื่น และควรเลือกผักผลไม้ออร์แกนิกถ้าทำได้

เรื่องควรรู้ก่อนแมมโมแกรมครั้งแรกของคุณ

เดือนตุลาคมแห่งคำเตือนสุขภาพเรื่องมะเร็งเต้านม การตรวจแมมโมแกรมจะเป็นเรื่องหนึ่งที่เรากลัวๆกล้าๆทั้งมีคำถามในใจเกิดขึ้นมากมาย…จะไปตรวจที่ไหนดี…มันเจ็บมากไหม…ใช้เวลาตรวจนานแค่ไหนเพราะต้องมาทำงานต่อ…อายุเท่านี้ควรไปตรวจหรือยัง ฯลฯ ยิ่งจะถามมากขึ้นถ้าเป็นแมมโมแกรมครั้งแรกของคุณ วันนี้เรามีคำตอบพร้อมความรู้ที่มีประโยชน์สำหรับมือใหม่ไปตรวจแมมโมแกรมซึ่งเป็นสิ่งที่คุณควรทำในเดือนตุลาคมนี้

ความเชื่อเรื่องแมมโมแกรม… เรามีคำตอบ:
ก่อนแมมโมแกรมครั้งแรก คุณก็คงต้องสงสัยว่ามันคืออะไรทำยังไงใช่ไหมคะ แมมโมแกรม พูดง่ายๆก็คือการเอ็กซเรย์เต้านมด้วยรังสีชนิดพิเศษ เพื่อตรวจดูเนื้อเยื่อเต้านมหาความผิดปกติที่อาจเกิดขึ้น ไม่ว่าเป็นมะเร็งหรือเรื่องอื่นๆเช่น หินปูนที่มีลักษณะผิดปกติ หรือรอยโรคใดๆที่มีขนาดเล็กก็ตาม แต่เพราะส่วนมากเราจะใช้แมมโมแกรมเพื่อตรวจวินิจฉัยมะเร็งเต้านมเป็นส่วนใหญ่ ก็เลยทำให้ผู้หญิงเรารู้สึกกลัวและไม่ไปตรวจแมมโมแกรมกันด้วย 3 เหตุผลก็คือ

– เชื่อว่ารังสีเอ็กซเรย์จากแมมโมแกรมเสี่ยงกับการเกิดมะเร็งเต้านม: เรื่องนี้ต้องบอกว่ารังสีเอ็กซเรย์ที่ใช้ตรวจแมมโมแกรมนั้นเป็นรังสีที่มีความเข้มข้นต่ำมาก เรียกได้ว่าต่ำกว่ารังสีที่ใช้ในการเอ็กซเรย์ปอดด้วยซ้ำไป ดังนั้น มันจึงเป็นไปได้ยากมากที่แมมโมแกรมจะเป็นสาเหตุของมะเร็งเต้านม

– กลัวว่าถ้าไปตรวจแล้วจะพบว่าตัวเองเป็นโรคนี้:จากข้อมูลสถิติของสถาบันมะเร็งในหลายๆประเทศระบุว่า โดยเฉลี่ยแล้ว ตัวเลขข้อมูลในจำนวนผู้ที่มาตรวจแมมโมแกรมจำนวน 1,000 คน จะมีเพียง 2 หรือ 3 คนเท่านั้นที่ถูกพบว่าเป็นโรคมะเร็งเต้านมแล้วแบบนี้คุณจะกลัวอยู่ทำไม

Health Mammogram 3

– กลัวความเจ็บที่จะเกิดขึ้นจากการตรวจ: เป็นอีกเรื่องที่คนส่วนใหญ่มักคิดกัน ซึ่งความเจ็บจากการตรวจแมมโมแกรม ไมมีอะไรผิดปกติไปจากความเจ็บอื่นๆที่เกิดจากกระบวนการตรวจรักษาทางการแพทย์ เช่นที่คุณไปฉีดยาหรือเจาะเลือดตรวจสุขภาพเลยแค่ที่สำคัญคือแมมโมแกรมจะเป็นกุญแจสำคัญทำให้สามารถดักจับมะเร็งเต้านมที่ซ่อนอยู่ไม่ให้ลุกลาม ทั้งสามารถรักษาให้หายขาดได้ถ้าพบแต่เนิ่นๆดังนั้น ถามว่าจะยอมเจ็บจากแมมโมแกรมหรือจะยอมตายจากมะเร็งเต้านมที่เป็นแล้วรักษาไม่ทัน ดิฉันว่าเราน่าจะได้พบคำตอบแล้ว

ทีนี้พอคิดจะไปตรวจก็พบว่าแต่ละองค์กรก็มีคำแนะนำเรื่องอายุที่ควรไปตรวจแตกต่างกันไป ทำให้เริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าจะเริ่มแมมโมแกรมครั้งแรกอายุเท่าไหร่ดี โดยปกติผู้หญิงควรตรวจแมมโมแกรมครั้งแรกเมื่ออายุ 40 ปี แต่อาจก่อนหรือหลังนี้ขึ้นกับไลฟสไตล์ความเสี่ยงของแต่ละคน เช่น การสูบบุหรี่, ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์, ใช้ชีวิตในสภาวะแวดล้อมที่มีมลภาวะ, การมีประวัติของยีนที่ผิดปกติ ( Gene mutation) ซึ่งกรณ๊นี้ควรตรวจตั้งแต่อายุ 25 ปีขึ้นไปฯลฯ ซึ่งหากใครมีไลฟสไตล์อย่างที่ว่านี้ ก็ควรจะเริ่มแมมโมแกรมให้เร็วขึ้นก่อนอายุ 40 ปี

มีคำแนะนำจากรังสีแพทย์ถึงสิ่งที่คุณควรทำก่อนไปตรวจแมมโมแกรม ข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้คุณไปตรวจแมมโมแกรมอย่างสะดวกสบายมากขึ้นและก็ยังทำให้สามารถอ่านผลของแมมโมแกรมได้แม่นยำขึ้นด้วย

Health Mammogram 4

1. ไม่ควรทายาระงับกลิ่นตัว แป้งฝุ่น หรือโลชั่นใดๆบริเวณเต้านมและรักแร้: สารอลูมิเนียมในผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นตัวและคราบโลชั่นกับผงแป้งจะรบกวนผลของแมมโมแกรมเพราะมันจะไปปรากฎชัดเป็นจุดขาวๆอยู่บนฟิล์มเอ็กซเรย์ ซึ่งทำให้วินิจฉัยสับสนเพราะมันดูคล้ายกับจุดขาวของเซลล์ที่เป็นเซลล์มะเร็ง และถึงแม้คุณจะไม่ได้ทาผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นตัวที่เต้านมของคุณก็ตาม แต่การทำแมมโมแกรมจะถ่ายภาพจากส่วนใต้รักแร้ด้วยดังนั้น ผลิตภัณฑ์ใดๆที่ถูกทาลงบนผิวที่ใกล้เคียง ก็จะไปมีผลกับภาพถ่ายแมมโมแกรมทั้งสิ้นจึงควรเช็ดออกให้เรียบร้อยก่อนไปรับการตรวจ
2. สวมชุดแบบ 2 ชิ้นท่อนบนท่อนล่างในวันไปตรวจ: ชุดแบบนี้จะทำให้คุณผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้ารับการตรวจได้สะดวกกว่าเพราะจะถอดเฉพาะเสื้อท่อนบน ไม่ต้องถอดทั้งตัวแบบชุดเดรสติดกันทั้งยังใช้เวลาสั้นกว่าด้วย
3. นัดตรวจแมมโมแกรมหลังมีประจำเดือน: ในช่วงที่มีประจำเดือนเต้านมจะมีความอ่อนไหวทำให้เกิดความเจ็บได้มากกว่าปกติ เพราะการตรวจแมมโมแกรมจะต้องวางเต้านมลงบนจานแผ่นราบ2 แผ่นและบีบอัดเพื่อถ่ายภาพเนื้อทุกส่วนของเต้านมได้ชัดเจนจึงควรนัดตรวจเป็นช่วง1 สัปดาห์หลังจากหมดช่วงประจำเดือนเรียบร้อยแล้ว ซึ่งเป็นช่วงที่ฮอร์โมนเข้าสู่ระดับคงที่
4. เลือกศูนย์ตรวจที่ใช้เครื่องมือทันสมัยและมีมาตรฐานรับรอง: โรงพยาบาลหรือศูนย์การแพทย์ที่ทันสมัยจะมีการรับรองมาตรฐานของเครื่องมือ จึงวินิจฉัยได้แม่นยำกว่า เจ็บน้อยกว่า และใช้เวลาในการตรวจน้อยกว่าด้วยนอกจากนี้ก็จะมีเจ้าหน้าที่และแพทย์ที่ตรวจและอ่านผลการถ่ายภาพเต้านมตลอดทั้งวัน ซึ่งจะมีประสบการณ์มากกว่าและเห็นเคสที่หลากหลายกว่า ซึ่งหมายถึงคุณจะได้รับการอ่านผลที่ดีกว่าด้วย

Health Mammogram 2

5. บริโภคยาแก้ปวดก่อนทำแมมโมแกรม: การทำแมมโมแกรมต้องมีการบีบอัดเต้านม อาจทำให้คุณเกิดความเจ็บขึ้นได้ซึ่งบางคนแก้ปัญหานี้ด้วยการบริโภคยาแก้ปวดทั่วไปซึ่งก็อาจช่วยลดปัญหาลงได้บ้าง
6. เรียนรู้ประวัติครอบครัวของคุณเอง: แพทย์อาจถามคุณถึงประวัติครอบครัวเกี่ยวกับการเป็นมะเร็งเต้านม เพราะสิ่งนี้ก็เป็นตัวชี้วัดความเสี่ยงของคุณได้อย่างหนึ่ง และถึงแม้ว่าประวัติครอบครัวของคุณ จะไม่เคยมีใครเป็นโรคนี้ก็ตาม แต่ก็มีผู้หญิงจำนวนมากที่เป็นมะเร็งเต้านม ทั้งๆที่ประวัติครอบครัวไม่เคยมีใครเป็นโรคนี้มาก่อน ซึ่งแพทย์ก็จะมุ่งไปที่พฤติกรรมไลฟสไตล์ประจำวันเช่น การสูบบุหรี่ ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หรือมีน้ำหนักตัวมากเกินไป

Health Mammogram 6

7. ตอบรับนัดทำแมมโมแกรมให้เร็วที่สุด: โดยปกติการทำแมมโมแกรมจะใช้เวลาค่อนข้างเร็วคือราวๆ 15-30 นาทีต่อ 1 คนขั้นตอนคือเมื่อคุณเช็คอินแล้ว คุณก็จะถูกนำไปที่ห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อเปลี่ยนชุดท่อนบนเตรียมตัวสำหรับถ่ายภาพเต้านมซึ่งนักเทคนิคจะถ่ายภาพเต้านมทั้งหมด 4 ภาพด้วยกันคือภาพเต้านมที่ถูกบีบอัดจากด้านบนลงล่างแต่ละข้างๆละหนึ่งภาพ และภาพเต้านมที่ถูกบีบอัดจากด้านข้างของเต้านมแต่ละข้างๆละหนึ่งภาพ การถ่ายภาพจะใช้ระบบภาพดิจิตอล ภาพทั้งหมดจะปรากฎบนหน้าจอหากภาพไม่ชัดเจนก็จะถ่ายใหม่ซ้ำๆจนกว่าจะพอใจ หลังจากถ่ายภาพแล้ว คุณก็สามารถกลับบ้านได้โดยปกติแล้ว รังสีแพทย์จะอ่านผลแมมโมแกรมของคุณหลังจากนั้นหรือสองสามวันต่อมาแต่ถ้าถ่ายถาพออกมาแล้วเห็นชัดเจนว่ามีความผิดปกติเช่นมีก้อนบวมหรือมีสารคัดหลั่งใดๆออกมาจากเต้านม รังสีแพทย์ก็จะอ่านผลภาพนั้นๆทันทีและนัดหมายให้คุณมาพบในครั้งต่อไป
8. หลังจากการตรวจจะมีจดหมายหรืออีเมล์แจ้งผล: ซึ่งเมล์ที่ส่งให้คุณจะใช้คำพูดที่เข้าใจง่ายไม่ใช้ศัพท์ทางการแพทย์ซับซ้อน บอกขั้นตอนต่อไปที่คุณควรปฏิบัติถ้าผลการตรวจของคุณไม่มีปัญหาเมล์ก็จะแนะนำว่าคุณควรมารับการตรวจอีกครั้งเมื่อไหร่แต่ถ้าพบว่ามีความผิดปกติใดๆแพทย์ก็จะเรียกให้คุณกลับมาในอีกสองสามวันเพื่อถ่ายภาพเต้านมอีกครั้ง หรือเพื่อแนะนำขั้นตอนปฏิบัติที่คุณควรทำระหว่างแมมโมแกรมครั้งต่อไป

Health Mammogram 5

9. ในกรณีที่เสริมเต้านม ก็ทำแมมโมแกรมได้และควรทำด้วย: จุดประสงค์ของการตรวจแมมโมแกรมในผู้ที่เสริมเต้านม จะทำเพื่อสองอย่างด้วยกันคืออย่างแรก แมมโมแกรมสามารถตรวจความสมบูรณ์ของเต้านมที่เสริมไปแล้วจากภาพถ่ายที่ได้และอย่างที่สองคือตรวจหามะเร็งเต้านมได้อีกด้วยนั่นคือหลังจากที่ดูเรื่องการเสริมเต้านมแล้วก็จะดูสภาพของเนื้อเยื่อเต้านมโดยรวมในบริเวณรอบๆเต้าที่ผ่านการเสริมไปนั้นซึ่งสำหรับผู้ที่เสริมเต้านม คุณก็จะต้องถ่ายภาพเต้านมมากกว่า 4 ภาพที่ผู้หญิงเต้านมปกติถ่ายกัน แต่แมมโมแกรมก็เป็นวิธีสร้างความมั่นใจให้คุณว่าเต้านมที่ผ่านการเสริมมาแล้วมีสภาพปกติดีและปลอดภัยจากโรคร้ายนี้แน่นอน

ที่เล่ามาทั้งหมดนี้เห็นหรือยังคะว่า แมมโมแกรมไม่เพียงแต่จะช่วยพาคุณไปสู่ความมั่นใจว่าปลอดภัยจากโรคมะเร็งเต้านมอย่างแน่นอนเท่านั้นแต่มันยังช่วย “ดักจับ” มะเร็งเต้านมไว้ให้สามารถรักษาได้ในระยะเนิ่นๆอีกด้วยการทำแมมโมแกรม จะทำความสงบให้จิตใจคุณในระยะยาว อย่ากลัวความเจ็บปวดในระยะสั้นๆของการตรวจ จนยอมพาตัวเองไปสู่ระยะของโรครายที่เยียวยาได้ยากขึ้น กรณีหลังนี้ต่างหากที่จะนำความกังวลมาให้คุณยาวนานกว่า

 

ไม่มีใครดูแลสุขภาพของคุณได้ดีเท่าตัวคุณเอง โดยเฉพาะสุขภาพของเต้านมซึ่งเป็นอวัยวะบ่งบอกความเป็นเพศหญิง มาดูแลสุขภาพเต้านมให้มีสุขภาพดีตลอดไปกันค่ะ