8 สัญญาณระดับน้ำตาลในเลือดสูง

ความหวานที่ไม่มีใครอยากได้เลยก็คือ ระดับน้ำตาลในเลือดที่พุ่งสูงขึ้น ซึ่งถ้าเราไม่เจอแบบนี้ได้เป็นดีที่สุด เพราะการมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงเป็นสาเหตุของความเสียหายหลายอย่างกับสุขภาพร่างกายและไม่ว่าคุณจะเป็นโรคเบาหวานหรือไม่ก็ตาม ระดับน้ำตาลที่สูงมากในเลือด ก็ทำให้เกิดความเสียหายทั้งกับระบบประสาท, เนื้อเยื่อ, หลอดเลือด ฯลฯและที่อันตรายก็คือเมื่อระดับน้ำตาลในเลือดไม่ยอมลดลงยังสูงอยู่เป็นเวลานานๆทีนี้แหละค่ะที่ปัญหาซีเรียสต่างๆของสุขภาพก็จะเกิดขึ้นตามมา

ภาวะน้ำตาลในเลือดสูง ( Hyperglycaemia) คืออะไร
คำๆนี้ เป็นศัพท์ทางการแพทย์หมายถึงเมื่อร่างกายมีสภาวะระดับน้ำตาลกลูโคสในเลือดเพิ่มสูงกว่าปกติ ซึ่งเป็นปัญหาหลักของคนที่เป็นโรคเบาหวาน ภาวะนี้สามารถส่งผลกระทบสุขภาพได้ทั้งคนที่เป็นเบาหวานชนิดที่ 1 คือชนิดที่ร่างกายไม่ผลิตอินซูลินและชนิดที่ 2 คือชนิดที่ร่างกายผลิตอินซูลินน้อยเกินไป ทั้งยังรวมไปถึงผู้หญิงที่เป็นเบาหวานขณะตั้งครรภ์อีกด้วย ซึ่งหากไม่ได้รักษาให้ถูกต้อง ความเสียหายสุขภาพอีกมากมายก็จะตามมา เช่น การเสียหายของดวงตา เส้นประสาท ไตและหลอดเลือด ฯลฯ

เหตุผลหนึ่งที่ทำให้คนส่วนมากต้องพบปัญหาสุขภาพจากระดับน้ำตาลในเลือดสูง ก็คือการขาดความรู้และไม่ได้ศึกษาเกี่ยวกับอันตรายของมันให้มากพอ ทำให้ปล่อยปละละเลย ทั้งยังไม่ได้สังเกตถึงสัญญาณที่ร่างกายได้เตือนให้รู้ล่วงหน้าอีกด้วยดังนั้นเพื่อรักษาสุขภาพร่างกายของเราให้ปลอดภัยและรักษาระดับของน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในสมดุลที่ดี เราจึงควรเอาใจใส่กับสัญญาณที่ร่างกายบอกล่วงหน้าเมื่อเกิดปัญหานี้

Health Hyperglycaemia 4

1. กระหายน้ำตลอดเวลา: สาเหตุคือเรื่องของอาการปัสสาวะมากที่เรียกว่าโพลียูเรีย ( polyuria)ที่มีสาเหตุมาจากเมื่อระดับน้ำตาลในเลือดเพิ่มขึ้นสูง ไตของเราก็จะไม่สามารถเก็บกักน้ำไว้ได้ดังนั้น ไตจึงผลิตปัสสาวะปริมาณมากขึ้นเพื่อขจัดกลูโคสส่วนเกินที่ไตไม่สามารถดูดซึมได้สิ่งนี้ทำให้รู้สึกกระหายน้ำตลอดเวลา โดยปกติ ค่าเฉลี่ยของปัสสาวะในผู้ใหญ่ไม่ควรเกินวันละ 3 ลิตร ซึ่งหากมากกว่านั้นก็อาจเป็นสัญญาณนี้ก็ได้
2. บริโภคอาหารมากขึ้น: พฤติกรรมการบริโภคอาหารปริมาณมากขึ้นกว่าเดิม แสดงว่าคุณอาจมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงกว่าปกติก็ได้เพราะกลูโคสจากอาหารที่ถูกย่อยไม่สามารถถูกนำไปหล่อเลี้ยงเซลล์ได้ซึ่งอาจเป็นเพราะการขาดอินซูลินหรือร่างกายเกิดสภาวะดื้อต่ออินซูลิน ( insulin resistance)ทำให้ไม่สามารถแปรสภาพอาหารที่บริโภคให้กลายเป็นพลังงานทำให้รู้สึกไม่มีแรงหรืออ่อนเพลียกว่าปกติ จึงต้องการอาหารมากขึ้นเพื่อจะนำไปผลิตกลูโคส ทำให้เราต้องบริโภคอาหารมากกว่าที่เคย

Health Hyperglycaemia 2

3. ปัสสาวะบ่อย: สัญญาณนี้เกี่ยวเนื่องโดยตรงกับการกระหายน้ำที่เกิดขึ้น นั่นคือไตของเราไม่สามารถดูดซึมและแปรสภาพน้ำตาลส่วนเกินได้ ดังนั้น ทางเดียวที่มันจะสามารถขจัดน้ำตาลนี้ออกไปได้ก็คือผ่านออกมาทางปัสสาวะจึงควรหมั่นสังเกตเวลาที่คุณเข้าห้องน้ำเพื่อปัสสาวะหากพบว่ามันถี่กว่าปกติเช่นทุกๆชั่วโมงละก็ คุณอาจกำลังมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงเกินไปก็เป็นได้ซึ่งคำแนะนำที่ดีที่สุดก็คือไปพบแพทย์เพราะมันอาจหมายถึงปัญหาสุขภาพที่มากกว่านั้น
4. เหนื่อยเรื้อรัง: เราอาจเคยคิดว่าการมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงจะทำให้มีพลังงานมากขึ้นแต่จริงๆแล้วตรงกันข้าม เพราะเมื่อระดับน้ำตาลในเลือดสูง เราก็จะปัสสาวะบ่อยขึ้นและก็จะหิวน้ำบ่อยขึ้น เพราะไตไม่สามารถดูดซึมกลูโคสและนำไปแปรสภาพเป็นพลังงานเมื่อไม่มีพลังงาน ร่างกายก็จะรู้สึกอ่อนแรงและเหนื่อยตลอดเวลา
5. เห็นภาพเบลอ: เมื่อน้ำตาลในเลือดสูง มันก็จะทำให้เลนส์ของนัยน์ตามีบวมตัวขึ้น การมองเห็นภาพของเราก็จะเบลอไม่ชัดเจนซึ่งมันอาจเป็นได้ชั่วคราวหรือตลอดไป ควรพบแพทย์เพื่อรักษาอาการนี้

Health Hyperglycaemia 3

6. ผิวแห้ง: หากพบว่าสัญญาณนี้เกิดขึ้นกับผิว แสดงระดับน้ำตาลในเลือดของเราอาจมีระดับสูงมาระยะหนึ่งแล้วทั้งนี้เพราะระดับน้ำตาลที่สูงทำให้เส้นประสาทเกิดความเสียหายและร่างกายสูญเสียน้ำเร็วกว่าเดิมซึ่งถ้าเป็นแบบนี้นานๆ ระบบประสาทก็จะเสียหายถาวรและผิวหนังก็จะมีความแห้งเกิดขึ้น
7. สมรรถภาพทางเพศลดลง: สำหรับผู้ชายก็คือไม่สามารถควบคุมการหลั่งได้ เนื่องจากการไหลเวียนของเลือดบกพร่องจากระดับน้ำตาลในเลือดสูงที่ไปขัดขวางการไหลเวียนทำความเสียหายให้กับระบบประสาทและหลอดเลือดของอวัยวะต่างๆด้วย
8. น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น: เมื่อระดับน้ำตาลในเลือดสูง โอกาสที่ร่างกายจะเกิดสภาวะดื้อต่ออินซูลิน(insulin resistance) ก็เป็นได้มากขึ้นและเมื่อเกิดขึ้น เซลล์ของร่างกายก็จะไม่มีการตอบรับกับอินซูลินอีกต่อไปทำให้มันยากมากที่เซลล์ในร่างกายจะนำกลูโคสจากกระแสเลือดไปหล่อเลี้ยงส่วนต่างๆและจากสิ่งนี้ ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดของเราเริ่มสะสมตัวสูงขึ้นๆไปเรื่อยๆตามเวลา ทำให้มีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น

Health Hyperglycaemia 1

ทั้งหมดที่เล่ามานี้ คือสัญญาณของการที่ร่างกายเตือนเราเมื่อมีระดับน้ำตาลในเลือดสูง สาเหตุของสิ่งนี้ก็คือโภชนาการที่บกพร่องเป็นสาเหตุหลักการบริโภคอาหารที่ผ่านกระบวนการหลายขั้นตอนหรืออาหารสำเร็จรูปนอกบ้าน ที่เราไม่ทราบขั้นตอนและส่วนผสมในการปรุงเป็นประจำ ตลอดจนอาหารที่มีแคลอรี่สูง ล้วนทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นได้ทั้งนั้นเพราะอาหารเหล่านี้ร่างกายก็จะย่อยมันอย่างรวดเร็ว ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่ดีเพราะจะทำให้น้ำตาลในเลือดพุ่งขึ้นฮวบฮาบ ทั้งยังไปเพิ่มระดับคอเลสเตอรอลชนิดเลวให้สูงขึ้นได้เช่นกัน

นอกจากนี้ น้ำตาลในเลือดสูงก็ยังมีสาเหตุอื่นๆได้แก่ ความเครียด, ความเจ็บป่วยจากโรคบางอย่างเช่น ไข้หวัด, การขาดการออกกำลังกาย, ภาวะขาดน้ำ, การได้รับยาสเตียรอยด์หรือยาบางชนิด รวมทั้งการรักษาภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ ( Hypoglycaemia) ด้วยวิธีที่รุนแรงเกินไป ก็อาจทำให้เกิดภาวะนี้ได้ ซึ่งหากคุณพบสัญญาณเตือนเหล่านี้ ก็ควรเปลี่ยนแปลงอาหารที่บริโภค เลี่ยงอาหารที่ทำให้ระดับน้ำตาลสูงขึ้นเช่นน้ำอัดลม, ดื่มน้ำสะอาดให้มากขึ้น, ออกกำลังกายสม่ำเสมอ การเดินเร็วๆวันละ 30-45นาทีขึ้นไป ก็จะช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ดี ทั้งช่วยให้น้ำหนักลดลงได้ด้วย และหากรู้สึกว่าตัวเองมีความเสี่ยง ก็ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจระดับน้ำตาลในเลือดอย่างสม่ำเสมอ ก็จะป้องกันได้ดีที่สุด
เล่ามาทั้งหมดนี้

เอาเป็นว่าถ้ามีหนุ่มๆให้ชอคโกแล็ตมา สาวๆก็ควรบริโภคแค่ชิ้นสองชิ้น แล้วเก็บความหวานไว้ที่หัวใจไม่ใช่ที่ในกระแสเลือดของเรา ก็จะหวานกันได้สุขภาพดีกว่านะคะ 

รับมืออย่างไรกับ PM 2.5 และสภาวะร่างกายขาดคอลลาเจน

เมื่อเราพูดถึงอันตรายของฝุ่น PM 2.5ที่อนุภาคเล็กละเอียดของมันสามารถแทรกซึมเข้าไปทำให้เกิดโรคอันตรายได้หลายๆอย่าง ซึ่งหนึ่งในสาเหตุสำคัญของการเกิดโรคเหล่านั้นก็คือ การผลิตคอลลาเจนของร่างกายที่ลดน้อยลงหรือ Collagen Deficiency ซึ่งคอลลาเจน มีความสำคัญต่อร่างกายมากกว่าแค่เรื่องริ้วรอยของผิวหนังเพราะการขาดคอลลาเจนจะนำไปสู่โรคอันตรายในระยะยาววันนี้ เรามาเข้าใจความสำคัญของคอลลาเจนและความเกี่ยวข้องกับ PM 2.5 เพื่อรับมือด้วยกัน

“คอลลาเจน” ไม่ใช่มีแค่ที่ผิวหนัง
“คอลลาเจน” โปรตีนที่มีลักษณะเส้นใยสายเกลียวที่มีหน่วยโมเลกุลเกี่ยวพันมากมาย ผิวหนังของเรา จะมีคอลลาเจนส่วนประกอบหลักเรียกว่า เคราติน (Keratin)ทำให้ผิวแข็งแรงยืดหยุ่น นอกจากนี้คอลลาเจนก็ยังสร้างความยืดหยุ่นให้ผนังหลอดเลือด เป็นส่วนประกอบสำคัญของเยื่อกระจกตาและเลนส์ตา, เส้นเอ็น, กล้ามเนื้อ,เนื้อเยื่อของอวัยวะทุกส่วน, เส้นเลือด,เส้นผมและเล็บโดยทำหน้าที่เหมือนกาวยึดติดเนื้อเยื่อต่างๆให้ติดกัน ช่วยป้องกันร่างกายจากการดูดซึมเชื้อแบคทีเรียและไวรัสต่างๆทั้งช่วยป้องกันความเสียหายของเนื้อเยื่ออวัยวะจากมลพิษอีกด้วยซึ่งชนิดของคอลลาเจนทั้งหมดจะแบ่งเป็น 16 กลุ่มใหญ่ๆ แต่ชนิดที่ประกอบอยู่ในร่างกายมนุษย์จะมี 5 กลุ่มคือกลุ่มที่ 1, 2, 3, 5 และ 10 ได้แก่

กลุ่มที่ 1: มีปริมาณมากที่สุดคือคอลลาเจนที่เป็นส่วนประกอบของร่างกายเช่นกระดูก, อวัยวะต่างๆ, ผิวหนัง,เส้นเอ็นและหลอดเลือด
กลุ่มที่ 2: คอลลาเจนใช้สร้างกระดูกอ่อน อาการเจ็บข้อต่อ, โรคไขข้อต่างๆ มาจากการขาดคอลลาเจนกลุ่มนี้ ซึ่งรวมทั้งกระดูกอ่อนในกล่องเสียง, หูและทางเดินหายใจ
กลุ่มที่ 3: คอลลาเจนที่เรียกกันว่า “ เส้นใยไฟเบอร์” มีโครงสร้างเป็นตาข่ายไขว้กันเหมือนแห ช่วยให้ผิวหนังยืดหยุ่นกระชับ เป็นกลุ่มที่สร้างเส้นเลือดและเนื้อเยื่อในหัวใจ การขาดคอลลาเจนชนิดนี้จึงเสี่ยงต่อเส้นเลือดแตก
กลุ่มที่ 5: คอลลาเจนใช้สร้างเนื้อเยื่อบุพื้นผิวของเซลล์ (Basal lamina) ซึ่งเนื้อเยื่อนี้มีหน้าที่รวมถึงการหลั่ง การดูดซึม, การป้องกัน, การขนส่งระหว่างเซลล์,ฯลฯ คอลลาเจนชนิดนี้เช่นผิวเปลือกนอกของเส้นผมและรกเด็ก
กลุ่มที่ 10: คอลลาเจนใช้สร้างกระดูกใหม่และเนื้อเยื่อกระดูก มีหน้าที่สำคัญในการรักษากระดูกแตกและซ่อมแซมข้อต่อ

PM 2.5 กับอันตรายต่อร่างกาย

Health PM 2.5 -4

PM 2.5 คือฝุ่นมลพิษที่มีแหล่งกำเนิดหลากหลาย ทั้งการเผาวัสดุในที่โล่ง, ควันไอเสียรถยนต์, โรงงานอุตสาหกรรม ฯลฯนักวิชาการระบุว่า อันตรายของมันไม่ใช่แค่ขนาดที่เล็ก 2.5 ไมครอนเท่านั้น แต่มันยังมีสารโลหะหนักและเชื้อจุลินทรีย์ก่อโรคที่ติดมาด้วย ยิ่งมลพิษนี้มีขนาดเล็กเท่าไหร่ พื้นที่ผิวสัมผัสสารโลหะหนักและจุลินทรีย์ก็จะยิ่งมาก และขนาดที่เล็กมากก็ทำให้สามารถเข้าไปลึกถึงก้านหรือขั้วปอดของมนุษย์ได้ พร้อมทั้งนำสารอันตรายและจุลินทรีย์เข้าไปด้วย ผลก็คือทำให้เกิดกลายพันธุ์ของทารกในครรภ์มารดา และเพิ่มความเสี่ยงโรคมะเร็งปอดให้มากขึ้นถึง 36%

เมื่อ PM 2.5 พบกับคอลลาเจนในร่างกาย
ก่อนอื่น ต้องเข้าใจก่อนว่า สารพิษและจุลินทรีย์ใน PM2.5 ที่เข้าสู่ร่างกายนั้น จะเข้าไปโดย “ การหายใจ” ของเราเท่านั้น ไม่ใช่การแทรกทะลุผิวหนังเข้าไปจับกับเซลล์ในร่างกายแต่อย่างใดเพราะผิวหนังของเรามีระบบป้องกันตัวตามธรรมชาติอยู่ไม่ให้สิ่งใดแทรกซึมลงไปได้ง่ายๆ สิ่งที่PM2.5 จะทำได้ก็คือการรบกวนผิวหนังชั้นนอกของเราให้ระคายเคืองเกิดอาการต่างๆ เช่นแสบคันตา เป็นผื่น เป็นสิว หรือโรคผื่นภูมิแพ้ต่างๆของผิวหนัง ฯลฯ เหมือนที่ฝุ่นธรรมดาก็ทำอยู่แล้ว แต่ที่มีอาการมากขึ้นก็เพราะปริมาณของมันที่มากขึ้น และความเล็กละเอียดที่ทำให้มันจับกับผิวหนังชั้นนอกได้มากขึ้นนั่นเอง

เมื่อเราหายใจเอา PM 2.5 เข้าไป มลพิษและเชื้อโรคที่ติดอยู่ด้วยก็จะเข้าสู่ร่างกาย ไปรบกวนทุกๆการทำงานของร่างกายรวมทั้งกระบวนการผลิตคอลลาเจนด้วยเมื่อระบบการผลิตคอลลาเจนเกิดปัญหา ก็จะนำเราไปสู่ปัญหาสุขภาพต่างๆตามมาเช่น โรคปอด, โรคทางเดินหายใจ, โรคหลอดเลือดสมองหรือ Stroke ฯลฯเพราะร่างกายต้องใช้คอลลาเจนเป็นส่วนสำคัญในการสร้างอวัยวะในทุกๆส่วน การขาดคอลลาเจนจะนำร่างกายไปสู่สภาวะของโรคกลุ่มที่เรียกว่า Collagen Deficiency Syndrome ซึ่งเป็นกลุ่มโรคระบบภูมิคุ้มกันบกพร่อง

สัญญาณที่บอกว่าร่างกายขาดคอลลาเจน:
โดยปกติแล้ว ความสามารถผลิตคอลลาเจนของร่างกายจะลดลงตามความเสื่อมธรรมชาติ เช่น วัยเพิ่มขึ้น, การสูบบุหรี่,การสัมผัสรังสียูวีและมลภาวะ ฯลฯสัญญาณที่เห็นได้ของการขาดคอลลาเจน ได้แก่:

Health PM 2.5 -3

1. ใบหน้าที่ลีบตอบและผิวใต้ตาที่ยุบตัวลง:วัยที่เพิ่มขึ้น จะทำให้คอลลาเจนบนใบหน้าและผิวหนังที่เคยอิ่มเต็มเปล่งปลั่งลดลงไปเรื่อยๆเป็นสัญญาณแรกของการสูญเสียคอลลาเจนของร่างกายผิวใต้ตาจะยุบตัวและมีสีคล้ำรวมทั้งผิวแก้มที่เริ่มบางตัวลงด้วย
2. ปวดตามข้อต่อ:เนื้อเยื่อคล้ายยางที่เชื่อมปกคลุมส่วนปลายกระดูกท่อนยาวบริเวณข้อต่อเป็นส่วนที่สร้างขึ้นจากคอลลาเจนจำนวนมากการสูญเสียคอลลาเจนบริเวณนี้ ทำให้ช่วงต่อของกระดูกสองท่อนเสียดสีกันมากขึ้น จะเกิดการปวดข้อต่อเมื่อเคลื่อนไหวรวมถึงการเจ็บที่เส้นเอ็นและกล้ามเนื้อด้วย
3. โรคลำไส้รั่ว:คอลลาเจนคือส่วนประกอบสำคัญในเยื่อบุผนังลำไส้ การลดลงของมันจึงอาจนำไปสู่“โรคลำไส้รั่ว (leaky gut syndrome)ที่มีอาการเช่นท้องผูก, ท้องร่วง, สมองเบลอ, เหนื่อยเรื้อรัง,และความบกพร่องของภูมิคุ้มกันร่างกาย
4.สูญเสียความคล่องตัว:โรคของภูมิคุ้มกันบกพร่อง โดยเฉพาะโรคลูปัสและรูมาตอยด์ทำให้สูญเสียความเคลื่อนไหวของร่างกายที่เคยคล่องตัว เนื่องจากคอลลาเจนรอบๆข้อต่อเกิดการติดเชื้อ

นอกจากเรื่องริ้วรอยความชราแล้ว การขาดคอลลาเจนก็จะทำให้เจ็บกล้ามเนื้อเกิดปัญหาการไหลเวียนของโลหิต ที่จะมีอาการเจ็บหน้าอก เวียนศีรษะ เหนื่อยเรื้อรังและปวดศีรษะบ่อยๆอีกปัญหาหนึ่งที่เห็นชัดก็คือเซลลูไลท์ ผิวที่ขาดคอลลาเจนจะขาดความยืดหยุ่น ทำให้ไขมันใต้ผิวดันชั้นตาข่ายเส้นใยไฟเบอร์ของผิวหนังขึ้นมา เกิดผิวขรุขระ ซึ่งรังสียูวีและมลพิษจากPM2.5 ก็มีส่วนสนับสนุนให้สัญญาณเหล่านี้เกิดเร็วขึ้นด้วย

โรคภูมิคุ้มกันบกพร่องจากการขาดคอลลาเจน (COLLAGEN DEFICIENCY SYNDROME)
การขาดคอลลาเจนจะทำให้เกิดโรคของภูมิคุ้มกันบกพร่อง เนื่องจากอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่รับสารพิษเข้าสู่ร่างกาย โรคของภูมิคุ้มกันที่เกิดจากการขาดคอลลาเจนนี้ได้แก่ โรคลูปัสหรือที่รู้จักในชื่อของโรค SLE, โรครูมาตอยด์, โรคหลอดเลือดขมับอักเสบ(Temporal Artheritis) ที่หลอดเลือดรอบขมับเกิดการติดเชื้อทำให้มองเห็นภาพซ้อน, มีไข้, เหนื่อย, เจ็บและติดขัดสะโพกเคลื่อนไหวไม่สะดวก, นัยน์ตาหนึ่งข้างสูญเสียการมองเห็น, ปวดขากรรไกร, เบื่ออาหาร, เจ็บไหล่และไหล่ติดขัด, น้ำหนักลดฮวบฮาบเฉียบพลัน,ปวดบริเวณรอบๆขมับโดยมีอาการปวดหลากหลาย
ดูแลคอลลาเจนในร่างกายให้สมดุล
การบริโภคอาหารที่อุดมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ วิตามินซีและแร่ธาตุต่างๆ จะช่วยรักษาสมดุลการผลิตคอลลาเจนของร่างกายจากภายใน เช่นเดียวกับอาหารที่อุดมด้วยโปรตีนเช่นนมและเนื้อสัตว์ ก็จะช่วยให้ร่างกายผลิตเนื้อเยื่อซ่อมแซมตัวเองได้ดีขึ้น ส่วนการบริโภคผลิตภัณฑ์เสริมอาหารคอลลาเจน เป็นสิ่งที่ต้องระวังเพราะผลิตภัณฑ์เหล่านี้มักผลิตจากส่วนประกอบของปลาทะเล ซึ่งอาจเกิดการแพ้ได้ ทั้งร่างกายก็จะดูดซึมคอลลาเจนเหล่านี้ไปใช้ได้จริงน้อยมากเพราะจะถูกกรดในกระเพาะอาหารย่อยสลายไปหมดก่อนอีกเรื่องที่ควรทำคือดื่มน้ำสะอาดให้มากขึ้นเพื่อชะล้างสารพิษ

อร่อยสดชื่นด้วยน้ำเลมอน-แตงกวาอินฟิวชั่น

Health PM 2.5 -5

ง่ายๆกับการดูแลสุขภาพแบบธรรมชาติกับวิตามินซีจากเลมอนและคุณสมบัติดีๆอีกมากมายจากแตงกวาที่ให้ความสดชื่น เนื้อข้างในผลแตงกวาอุดมด้วยสารซิลิคอนไดอ็อกไซด์(silicon dioxcide) ที่ช่วยลดการเกิดสิวและเพิ่มความยืดหยุ่นให้เนื้อเยื่อเมล็ดแตงกวายังอุดมด้วยวิตามินบี 3 และโปตัสเซียม ช่วยลดริ้วรอย, รอยสิวและสัญญาณความชราของผิวน้ำของแตงกวาอุดมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระเช่น อัลฟ่าและเบต้าแคโรทีน, ซ๊แซนทิน (zeaxanthin), ลูทีน ( lutein), โปตัสเซียม,วิตามิน A และ D ช่วยต้านอนุมูลอิสระและล้างพิษ, ลดความดันโลหิต,ลดความเสี่ยงของโรคStroke โรคหัวใจ โรคไตและปัญหาสายตา สารซิลิคอน แคลเซียมและฟอสฟอรัส ในแตงกวา ช่วยให้เส้นผมแข็งแรงงอกเร็วและเป็นเงางาม

สูตรน้ำเลมอน – แตงกวา อินฟิวชั่น:
ล้างเลมอนและแตงกวาในปริมาณเท่าๆกันให้สะอาด ใช้แปรงถูเปลือกให้ทั่วๆ หั่นเลมอนและแตงกวาเป็นแผ่นหนาพอสมควรทั้งเปลือกใส่ลงไปในน้ำแร่หรือน้ำสะอาด แช่ตู้เย็นไว้ 1 คืนแล้วดื่มตอนเช้า

ช่วยร่างกายฟื้นฟูการผลิตคอลลาเจน:

Health PM 2.5 -2

ถึงแม้เราจะห้ามการสูญเสียคอลลาเจนของร่างกายไม่ได้ แต่เราก็ช่วยสนับสนุนการสร้างคอลลาเจนได้ ด้วยสิ่งเหล่านี้:
– ควบคุมสิ่งที่”ควบคุมได้”:การสูบบุหรี่นอกจากจะเพิ่มปริมาณ PM 2.5 ในอากาศแล้ว ก็ยังเป็นสาเหตุใหญ่ของการทำให้สูญเสียคอลลาเจนในร่างกายได้พอๆกับอันตรายจากรังสียูวี ดังนั้นควรเลิกสูบบุหรี่เพื่อพัฒนาสุขภาพผิวและยกระดับการผลิตคอลลาเจนให้กับร่างกายของเรา
– อโลเวรา:วุ้นของต้นอโลเวราหรือว่านหางจระเข้ มีคุณสมบัติในการรักษาบาดแผลและดูแลผิวหนัง ทั้งยังสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตคอลลาเจนให้กับร่างกายได้ด้วย มีการศึกษาพบว่าการบริโภควุ้นจากพืชชนิดนี้ทั้งในรูปแบบอาหารและผลิตภัณฑ์เสริมอาหารก็จะช่วยฟื้นฟูการผลิตคอลลาเจนในร่างกายได้ในระดับหนึ่ง
– โสม:เป็นสมุนไพรมีคุณสมบัติในการต้านความชรา ด้วยสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยปกป้องเซลล์และสุขภาพผิวหนัง ชาวจีนเชื่อว่าโสมสามารถช่วยสนับสนุนพัฒนาการของการผลิตคอลลาเจน ทั้งช่วยลดความเสียหายของเซลล์จากการได้รับมลพิษได้ด้วย อย่างไรก็ตาม การบริโภคโสมเป็นสิ่งควรระวังสำหรับผู้เป็นโรคหัวใจ โรคความดันโลหิต จึงควรปรึกษาแพทย์ก่อนเพื่อความปลอดภัย

 

หวังว่าเรื่องที่เล่าให้ฟังวันนี้ คงให้ประโยชน์และความเข้าใจเรื่องสุขภาพกับทุกท่านไม่มากก็น้อย เรื่องของ PM2.5 แทนที่เราจะมัวแต่กังวลและรอความช่วยเหลือก็มาช่วยกันหาวิธีรับมือกับมันด้วยการดูแลสุขภาพตัวเองกันดีกว่า และสำหรับเรื่องของ PM 2.5 เป็นเรื่องที่ต้องแก้ไขในระยะยาวที่ทุกคนต้องร่วมมือกัน เพียงแค่ทุกๆวันต่อไปนี้ เราถามตัวเองว่า วันนี้ได้ทำอะไรที่จะช่วยลดการก่อ PM 2.5 นี้แล้วหรือยัง ถ้ายังก็จงลงมือทำ ก็ถือว่าได้ทำหน้าที่ดีที่สุดแล้วค่ะ

สูตรไข่ฟริตตาต้า ในวันแห่งความรัก

Valentine’s Day ประวัติจะเป็นมาอย่างไร ทำไมถึงมีวันนี้ขึ้นมา ดูเหมือนจะไม่มีใครสนใจเท่าไรนัก เพราะถึงสนใจไปค้นหากันจริงๆ ก็ดูจะเลือนรางเป็นเพียงคำบอกเล่าต่อกันมา ไม่มีใครยืนยันประวัติที่เริ่มจากนักบุญเซนต์วาเลนไทน์ได้ รู้แต่ว่าในบ้านเราเป็นที่ยอมรับกันเรียบร้อยตั้งแต่ในเมืองกรุงไปจนถึงต่างจังหวัด ถิ่นทุรกันดาร ผู้เฒ่าผู้ใหญ่ไปจนลูกเล็กเด็กแดงแล้ว ว่าเป็นวันแห่งความรัก เป็นวันที่แม่ค้าขายดอกกุหลาบแดง กับคนขายช็อกโกแลต ยิ้มแก้มแทบแตก เพราะขึ้นราคาได้ตามใจชอบ

เมื่อมองย้อนกลับไป เมื่อสมัยเป็นวัยรุ่น เราเองก็เคยว้าวุ่นกังวลใจ กลัวจะไม่ได้ดอกกุหลาบซักดอกในวันนั้น รู้สึกด้อยค่าอย่างไรชอบกล แต่ด้วยวัย ด้วยประสบการณ์ ทำให้ความคิดเราเปลี่ยนไปมาก เรายังเชื่อในความรัก ความหวังดี ที่ผู้คนจะมอบให้กัน และการที่มีคนกำหนดขึ้นมาสักวัน ว่าเป็นวันนี้ วันนั้นมันก็ดีเหมือนกัน ไม่เช่นนั้น ก็นึกๆอยู่ ว่าจะทำอะไรดีๆให้กับคนที่เรารัก ก็ยังไม่ได้ทำสักที เพียงแต่ว่า ความรักในอุดมคติของเราได้เปลี่ยนไป ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงความรักของคู่รัก หรือสามี ภรรยาอีกต่อไป ความรักที่ช่วยจรรโลงจิตใจ ให้มีความหวัง ให้มีความเบิกบาน มีได้มากมายหลายรูปแบบ ตั้งแต่ความรักที่มีต่อพ่อแม่ ต่อผู้มีพระคุณ ต่อคนในครอบครัว ต่อเพื่อนที่ได้เคยร่วมทุกข์ร่วมสุขด้วยกันมายาวนาน บางคนยิ่งกว่าพี่น้องเสียอีก

และเหนือสิ่งอื่นใด ความรักที่มีให้แก่ตัวเอง เราเชื่อว่าเมื่อเรารักและเคารพในตัวเราเอง คนอื่นๆก็จะเห็นคุณค่าและปฏิบัติกับเราแบบนั้นเหมือนกัน

วาเลนไทน์ปีนี้ ลองมองออกไปกว้างๆ ลองนึกกลับไปว่าใครที่ดีกับเราเสมอมา ลองทำอะไรพิเศษใหม่ๆ ด้วยตัวเองให้เป็นของขวัญที่มีคุณค่าทางจิตใจ ให้กับคนที่เรารักลองดูค่ะ

Le Creuset and Frittata for Valentine Day 3

สำหรับผู้ที่ไม่ค่อยมีเวลาทำอาหารแต่อยากจะทำอะไรพิเศษให้คนที่รักในวันนี้ เอาเมนูง่ายๆ อร่อย มาฝากกัน เมนูนี้เอาไว้เป็นเพียงแนวทาง หรือ guideline เราสามารถดัดแปลง เอาอาหารที่มีอยู่ในตู้เย็น ที่เราชอบมาเพิ่มเติม ลดสิ่งที่เราไม่ชอบออกไป เพียงแต่สัดส่วนของไข่และของเหลว ควรจะทำตามในสูตรไปก่อน ต่อเมื่อทำสำเร็จครั้งหนึ่งแล้ว จะเพิ่มจะลดอะไร ก็ค่อยว่ากันค่ะที่สำคัญถ้าใช้กระทะเหล็กหล่อ เคลือบอินาเมล ของ Le Creuset ด้วยแล้ว จะได้ผลลัพธ์ที่แตกต่าง ไข่จะขึ้นฟูสวย คงรูป เพราะความร้อนกระจายทั่วถึง ผิวสัมผัสของไข่ด้านล่างจะเกรียมสวย เพราะความร้อนได้ที่

Le Creuset and Frittata for Valentine Day 1

สูตรไข่ฟริตตาต้า Frittata
เนย 50 กรัม
หอมใหญ่ผัดไฟอ่อนกับเนยจนเป็นสีน้ำตาลเข้ม (ตามชอบ)
พริกหวานย่าง (ตามชอบ) ลอกเปลือก หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ
เห็ดสับผัดกับน้ำมันมะกอก (ตามชอบ)
เบคอน (ตามชอบ) ผัดเอาน้ำมันออกจนเป็นสีเกรียมสวย
มันฝรั่งต้ม (ตามชอบ) หรืออบแล้วหั่นเป็นชิ้นหนาราว 1-2 ซม
Ricotta ชีส 200 กรัม
ไข่ 6 ฟอง
ครีมชนิดวิปปิ้งครีม 150-200 กรัม
Parmesan ชีสขูดให้ได้ ครึ่งถ้วย
ผัก Rockets คลุกกับน้ำมันมะกอกและมะนาว

Le Creuset and Frittata for Valentine Day 5

Le Creuset and Frittata for Valentine Day 6

วิธีทำ
เปิดเตาอบไว้ที่ไฟ 180 องศาเซลเซียส
ตีไข่กับวิปปิ้งครีม เติมเกลือ พริกไทย ใส่ชีสทั้งสองชนิด
ตั้งกระทะไฟกลาง ใส่เนย จนเนยเดือด ใส่ไข่ลงไป ตามด้วย หอมใหญ่ พริกหวาน เห็ด เบคอน มันฝรั่ง ลดไฟลงเป็นไฟอ่อน จนไข่เริ่มเซ็ทตัวแล้ว เอาเข้าเตาอบที่เตรียมไว้ จนไข่ฟูขึ้นเต็มที่แล้ว เปลี่ยนไฟเป็นโหมด ย่าง (grill) ขยับกระทะขึ้นให้ชิดไฟด้านบน เพื่อให้ด้านบนของไข่มีสีสวย ประมาณ 3-5 นาที

พักไว้เพื่อให้ข้างในของไข่สุก เซ็ทตัว ราว 5 นาที ก่อนตัดเสิร์ฟเป็นชิ้นๆ
โรยผัก Rockets ที่คลุกน้ำสลัดๆแล้วไว้ด้านบน
เสิรฟกับขนมปังบาแก้ท ก็อร่อย

Le Creuset and Frittata for Valentine Day 8

Le Creuset and Frittata for Valentine Day 4

จัดโต๊ะสวยๆ ทำอาหารอร่อย ที่ใช้เวลาไม่นานนี้ นั่งลงรับประทานกับคนที่รัก หรือแม้จะทานคนเดียว ก็มีความสุขได้ ขอบคุณตัวเองที่เข้มแข็งฝ่าฝันอุปสรรคต่างๆในชีวิตมาได้จนถึงวันนี้

 

ขอให้วันวาเลนไทน์ปีนี้ เป็นวันที่เรามีความสุขกันอีกวันค่ะ

 

สอบถามข้อมูล หรือติดตามข่าวสารผลิตภัณฑ์เครื่องครัว เลอ ครูเซได้ที่
Facebook:https://Facebook.com/LeCreusetThailand

Instagram: https://www.instagram.com/lecreuset_thailand

Line: Le Creuset Thailand

Tel No.: +669 3131 8876

 

Le Creuset LOGO

เนื้อซี่โครงตุ๋นไวน์แดงในหม้อ Le Creuset

ปีใหม่กำลังจะมาถึง หลายๆคนเริ่มเตรียมเมนูสำหรับงานเลี้ยงกันแล้ว ขอเสนอเมนูที่เหมาะมากไม่ว่าจะจัดงานที่บ้าน หรือจะถือไปร่วมงานกับใครนะคะ นั่นก็คือ เนื้อตุ๋นไวน์แดง ค่ะ

Le Creuset Stewed Ribs with Red Wine 3

สูตรนี้อร่อยมากค่ะ ทำทีไร ใครๆก็ชม มันอร่อยด้วยตัววัตถุดิบเอง ที่ค่อยๆสุกไปอย่างช้าๆ ยิ่งได้อุปกรณ์ที่เหมาะสม คือหม้อของ Le Creuset ที่กระจายความร้อนได้ทั่วถึงแบบนี้ อาหารออกมาอร่อยมาก ดีจนใครๆก็ขอให้ทำเมนูนี้อยู่เรื่อยๆค่ะ

เนื้อซี่โครงตุ๋นไวน์แดงในหม้อ Le Creuset
เครื่องปรุง
เนื้อส่วนซี่โครง หรือเนื้อน่องลาย หรือส่วนแก้มวัว ½ กิโล
หอมหัวใหญ่ 1 หัว (หั่นเต๋า ราวๆ 1 เซ็นติเมตร)
แครอท 1 หัว (หั่นเต๋า ราวๆ 1 เซ็นติเมตร)
ก้านเซเลอรี่ 1 ก้าน (หั่นเต๋า ราวๆ 1 เซ็นติเมตร)
ต้นกระเทียม (เฉพาะส่วนสีขาว) 1 ต้น ซอยบาง
บัลซามิค Balsamic Vinegar 100 gram
มะเขือเทศเข้มข้น 2 ช้อนโต๊ะ
ไวน์แดง 200 ml
น้ำสต๊อกเนื้อ 500 ml
มันฝรั่ง
ช่อ บูเค การ์นี่ (ก้านพาร์สลี่ ใบกระวาน ช่อไทม์ ห่อด้วยใบต้นกระเทียม มัดรวมกัน)
โรสแมรี่
เกลือ พริกไทย
เนย
กระเทียมไทย ทั้งหัวฝานครึ่ง (ใส่หรือไม่ใส่ก็ได้)

Le Creuset Stewed Ribs with Red Wine 1

ผักสำหรับตกแต่ง
มันฝรั่งและแครอท เกลาให้เป็นรูปสวยงาม ผักสีเขียวที่เข้ากันได้ดีคือกะหล่ำดาว Brussels Sprout
ผักเหล่านี้ ต้มหรือลวกแล้วมาผัดเนย เติมไปในจานเวลาจัดเสิร์ฟ

Le Creuset Stewed Ribs with Red Wine 2

วิธีทำ
เทเกลือ พริกไทยลงบนเนื้อซี่โครงให้ทั่ว แล้วทอดเนื้อซี่โครงทั้งหมดด้วยไฟแรง และน้ำมันเพียงเล็กน้อย จนเป็นสีน้ำตาลสวย ยกเนื้อไปพักไว้ในหม้อ Le Creuset

ในกระทะเดิมลดไฟลงเป็นไฟกลางค่อนข้างอ่อน นำหอมใหญ่ แครอท เซเลอรี่ และต้นกระเทียมที่เราหั่นไว้แล้ว ลงไปผัด เติมเนยเล็กน้อย เกลือ พริกไทย

ผัดจนผักเริ่มนิ่ม หอมใหญ่เป็นสีใส ผัดมะเขือเทศเข้มข้น ( Tomato paste 2 ชต) ลงไปผัดให้เข้ากัน
เติม Balsamic Vinegar แล้วปล่อยไว้สักครู่ จนน้ำเริ่มงวดลง เติมไวน์แดง ใช้ไม้พาย หรือตะหลิว ขูดเศษเนื้อที่ติดกระทะออกมาให้มากที่สุด ส่วนนี้เป็นส่วนที่เสริมรสชาติดีที่สุด รอจนไวน์แดงงวดลงเหลือสัก 1/3

เร่งไฟเป็นไฟแรง เติมน้ำสต๊อกเนื้อ ตั้งไฟให้เดือด

นำผักและน้ำสต๊อกนี้เทลงในหม้อรวมกับเนื้อซี่โครงที่พักไว้ในหม้อ ให้น้ำสต๊อกท่วมเนื้อ ถ้าไม่พอให้เติมน้ำเปล่าได้ ตั้งไฟให้เดือดอีกครั้ง ตักฟองออก

ลดไฟลง เติมช่อ บูเค การ์นี่และ ช่อโรสแมรี่ ตั้งเคี่ยวไปเรื่อยๆ คอยตักฟองออกบ้าง จนเนื้อเริ่มนุ่ม ราวๆ2 ชั่วโมงครึ่งหรือกว่านั้น ถ้าเห็นว่าน้ำแห้งไปก็เติมน้ำได้อีก ชิม ปรุงรสด้วยเกลือ พริกไทย

ถึงเวลาเสิร์ฟอาจวางไว้ทั้งหม้อแบบนี้ ให้แขกตักเอง หรือจะจัดเสิร์ฟใส่จาน พร้อมด้วยผักเครื่องเคียงที่ลวกหรือต้มไว้แล้ว มาผัดกับเนยตอนสุดท้ายเพื่อให้เป็นเงาสวยก็ได้ค่ะ

Le Creuset Stewed Ribs with Red Wine 4

 

สอบถามข้อมูล หรือติดตามข่าวสารผลิตภัณฑ์เครื่องครัว เลอ ครูเซได้ที่
Facebook:https://Facebook.com/LeCreusetThailand

Instagram: https://www.instagram.com/lecreuset_thailand

Line: Le Creuset Thailand

Tel No.: +669 3131 8876

Le Creuset LOGO

ไก่อบและผักฤดูหนาว เกรวี่ไวน์แดง

ช่วงเวลาแห่งความรื่นเริงและการเฉลิมฉลองใกล้เข้ามาทุกทีแล้วค่ะ ในโอกาสสุดพิเศษนี้ มาทำไก่อบแสนอร่อยกันค่ะ ไก่อบ หนังกรอบเนื้อนุ่มชุ่มฉ่ำ ราดด้วยเกรวี่ที่ทำเอง รสชาติเข้มข้น แถมเสิร์ฟกับผักที่อบมาจนนุ่มหวาน จะเสิร์ฟในงานเลี้ยงที่บ้านเราเอง หรือจะยกไปร่วมงานกับใคร รับรองว่าเป็นดาวเด่นของงานแน่ๆ

นอกจากความอร่อยเหนือชั้น ไก่อบที่เสิร์ฟมาแบบนี้ มันให้บรรยากาศอบอุ่นของงานคริสต์มาส ดูโก้ ดูแกรนด์ แต่ไม่ได้ยากจนเกินไป และข้อดีของเมนูนี้ก็คือเตรียมไว้ล่วงหน้าได้ ให้สุกไปในเตาอบ เราก็มีเวลาไปเตรียมของอื่นๆ ค่ะ

Happy Holidays ค่ะทุกๆคน

Roast Chicken - Le Creuset 1

วัตถุดิบ

ไก่ขนาด 1 กิโล หรือมากกว่าเล็กน้อย
ปีกไก่ 2 ขีด
น้ำมันพืช เกลือ พริกไทย
ใบ thyme

เกรวี่
หอมหัวใหญ่ 1 หัว แครอท 1/2 หัว – หั่นเต๋าใหญ่ประมาณ 1 ซม
หอมแดง 1 หัว กระเทียม 5-6 กลีบ -สับละเอียด
น้ำเปล่าเล็กน้อย

แป้งสาลี 1/2 ช้อนโต๊ะ
ไวน์แดง 200 มล

ผักต่างๆ ที่ไว้ทานกับไก่อบ
แครอท ฟักทอง มันฝรั่ง หั่นชิ้นใหญ่
บีทรูท -ล้างแล้วอบทั้งเปลือก ก่อนเสิร์ฟค่อยปอกเปลือก แล้วหั่นเป็นชิ้นหนาๆ ตัดเป็นรูปต่างๆ เพื่อตกแต่ง
กะหล่ำดาวลวกในน้ำเดือดผสมเกลือ แล้วน็อคในน้ำเย็นใส่น้ำแข็ง ใส่กระชอนสะเด็ดน้ำแยกไว้ต่างหาก

วิธีทำ
เปิดเตาอบไฟ 200 องศาเซลเซียส
สับกระดูกคอ ออกจากตัวไก่ หั่นขาไก่ตรงช่วงกลางของหน้าแข้งด้วยมีดหั่นขนมปังเพื่อให้กระดูกเรียบสวย
ถ้าซื้อจากร้านหรือซุปเปอร์ที่เขาทำให้เรียบร้อยแล้ว ก็ข้ามขั้นตอนนี้ไปได้เลยค่ะ แต่อาจต้องซื้อกระดูกไก่มาต่างหาก เพื่อมาใส่ในหม้ออบ ไว้ทำเป็นเกรวี่ค่ะ

Roast Chicken - Le Creuset 2

Roast Chicken - Le Creuset 3

ใช้กระดาษทิชชู เช็ดไก่ให้แห้ง ทั้งข้างนอกและข้างใน โรยพริกไทย เกลือลงไปข้างในไก่ แล้วมัดขาไก่ไว้ด้วยกัน(ตรงบริเวณหน้าอกไก่ส่วนบนใกล้ๆคอ จะมีกระดูกชิ้นเล็กๆ เรียกว่า wishbone ชาวบ้านทั่วไปก็จะอบไก่ไปทั้งอย่างนั้น เจอกระดูกชิ้นนี้ก็ใช้ขอพรเสียเลย แต่ถ้าเป็นร้านอาหาร เชฟมักเอากระดูกนี้ออกเสียก่อนค่ะ) ทำไก่เสร็จแล้ว เอาน้ำมันพืชทาให้รอบตัวไก่ด้านนอก โรยเกลือ พริกไทย พักไว้

ใส่ผักที่หั่นเต๋าในข้อ 1 พร้อมทั้งกระดูกไก่ที่สับเป็นชิ้นเล็กๆ และน้ำเปล่าลงในหม้อเหล็กหล่อเคลือบอีนาเมล Le Creuset แล้วตามด้วยไก่ที่เตรียมไว้ โดยเอาด้านข้างไก่ลงก่อน ใส่เนยลงไปสักชิ้นเล็กๆ บนไก่ ก่อนเข้าเตาอบ ตั้งเวลาไว้ 15 นาที คอยตักน้ำในหม้ออบมาราดผิวไก่เป็นระยะๆ เพื่อให้สีสวย แล้วมาพลิกเอาด้านหน้าอกลง หลังสู้ฟ้าหน้าสู้ดิน ครบอีก 15 นาที ระหว่างนั้นอย่าลืมตักเอาน้ำในหม้อมาราดที่ผิวไก่อยู่เรื่อยๆ นอกจากจะได้ไก่อบสีสวยแล้ว ยังได้รสที่ดีด้วยค่ะ ถ้าส่วนปลายปีกและปลายขา ทำท่าจะไหม้ ให้เอากระดาษฟอยด์หุ้มไว้ก่อน

หนสุดท้ายคือพลิกเอาด้านหน้าอกขึ้นนั้น ให้คอยสังเกตว่าบริเวณอกที่นูนขึ้นมาสูงกว่าส่วนอื่น และหน้าขาตรงส่วนสะโพก มักจะไหม้ก่อนส่วนอื่นๆ ให้เอาเบคอนรมควันที่เป็นแผ่นบางๆ มาคลุมไว้เฉพาะจุดที่เสี่ยงต่อการไหม้ ตรงนี้แหละสำคัญเกือบจะที่สุด จะทำให้ไก่ของเราจะสวยเด่นเป็นสง่า ผิวพรรณดูมีราศีกว่าไก่อบที่เห็นกันทั่วๆไปค่ะ อบไก่ด้านที่มีหน้าอกหงายขึ้นนี้ จับเวลา 12-15 นาที ตอนนี้ต้องระวังมากๆค่ะ เพราะส่วนหน้าอกมักจะแห้ง ต้องอย่าให้สุกเกินไป มีวิธีเช็คคือใช้เทอร์โมมิเตอร์เสียบเข้าไปส่วนที่หนาที่สุด ให้อุณหภูมิอยู่ประมาณ 65-68 องศาเซลเซียส ถ้ายังไม่ถึง ให้อบต่อไปอีกสักหน่อย จากนั้นเมื่อมาพักไก่โดยจับตัวไก่ให้ตั้งขึ้น มีตะแกรงรองข้างล่าง รับน้ำจากตัวไก่ ไก่จะสุกต่อไปอีก อุณหภูมิของไก่ วัดเมื่อก่อนเสิร์ฟ ให้อยู่ในช่วง 72-75 องศาก็จะกำลังพอดี

สำหรับผักฤดูหนาวที่จะไว้เสิร์ฟไปข้างๆไก่อบ เอาน้ำมันมะกอกทาเสียหน่อย โรยเกลือบางๆ จะใส่อบไปพร้อมๆกับไก่ หรือจะแยกใส่ถาดเล็กต่างหาก วางไปข้างๆหม้ออบก็แล้วแต่ชอบค่ะ คอยดูฟักทองด้วย ฟักทองจะสุกง่ายที่สุด ยิ่งถ้าหั่นชิ้นบาง ก็อาจเละได้ หมดความอร่อยค่ะ

ได้ของเกือบครบแล้ว ระหว่างที่พักไก่อยู่นั้น มาทำเกรวี่ที่อร่อยมากมายกันค่ะ

เทน้ำที่ได้จากการอบไก่ แยกไว้ต่างหาก

ผัดผักและกระดูกที่อยู่ใต้ไก่อบด้วยไฟแรง ให้จนแห้งเป็นสีน้ำตาล โรยแป้งสาลีลงไป ผัดต่อจนแป้งสุก เติมไวน์แดง ผัดให้เข้ากันและให้ไวน์แดงระเหยไปสักครึ่งหนึ่ง เติมน้ำสต๊อกที่ได้จากการอบไก่ลงไป เติมน้ำเปล่าเล็กน้อย ตั้งไฟจนเดือด ตักเอาไขมันและฟองบนผิวหน้าออก ชิมรสถ้าอ่อนไปให้เติมเกลือ พริกไทย
ลดไฟลงเป็นไฟกลางค่อนข้างอ่อน จนซอสข้นขึ้น กรองเอาผักออก ตั้งไฟกลางต่อไป จนซอสข้นได้ชนิดที่เคลือบหลังช้อนไม้
เร่งไฟขึ้นเป็นไฟกลางแล้ว จึงเติมเนยเย็นที่ตัดเป็นก้อนเล็กๆ ลงไปทีละน้อย ใช้ตะกร้อมือคนให้เข้ากัน

จัดไก่กลับลงไปในหม้อ เรียงผักที่อบไว้แล้วตกแต่งไว้ข้างๆ เกรวี่ใส่ถ้วยเกรวี่แยกไปต่างหาก

Roast Chicken - Le Creuset 4

 

สอบถามข้อมูล หรือติดตามข่าวสารผลิตภัณฑ์เครื่องครัว เลอ ครูเซได้ที่
Facebook:https://Facebook.com/LeCreusetThailand

Instagram: https://www.instagram.com/lecreuset_thailand

Line: Le Creuset Thailand

Tel No.: +669 3131 8876

Le Creuset LOGO

Breakfast Strata (Savory Bread Pudding)

สวัสดีค่ะ วันนี้เอาเมนูไข่ที่ชอบมากมาฝากค่ะ

Le Creuset Breakfast Strata 1

Le Creuset Breakfast Strata 2

ชอบตรงที่มันสะดวก เตรียมไว้ล่วงหน้าได้ จะเสิร์ฟเป็นอาหารเช้าก็ได้ เป็นอาหารงานเลี้ยงมื้อกลางวันก็ได้ จะใส่ไส้อะไรก็ได้หลากหลาย ตามแต่ของที่เรามีอยู่ในบ้าน อารมณ์ประมาณคล้ายๆ กับทาน คีช Quiche แต่ไม่ต้องยุ่งยากทำแป้งพาย

เหมาะมากสำหรับคนที่มีเวลาน้อย เราเตรียมส่วนผสมนี้ใส่ตู้เย็นไว้ก่อนนอน เช้ามาในระหว่างที่เตรียมของอย่างอื่น หรือต้มกาแฟ ก็เอาใส่เตาอบไว้ ใช้เวลาแค่ 20 นาทีหรือกว่านิดหน่อย ก็ได้อาหารเช้า หรืออาหารเลี้ยงแขกที่เรียกเสียงว้าวจากทุกคนได้แล้ว

ตอนที่ออกจากเตา หอมชีส หอมความอร่อย ข้างบนฟูๆ นี่ …..สุดจะบรรยายเลย !

Le Creuset Breakfast Strata 3

Le Creuset Breakfast Strata 4

Breakfast Strata (Savory Bread Pudding)

ส่วนผสม :

สำหรับใส่ใน Le Creuset Cocotte จำนวน 5 ใบ

ไข่ 4 ฟอง นม 1 ถ้วย ครีม 1 ถ้วย
แป้งอเนกประสงค์ 2 ช้อนโต๊ะครึ่ง (ข้อนี้ถ้าไม่ชอบตัดออกได้)
ขนมปังเก่าสักวันสองวัน เอาขอบ (เปลือก) ออก ในที่นี้ใช้ขนมปังโฮลวีท
หัวหอมใหญ่ สับหยาบๆ ชีสขูด เช่น Cheddar cheese, parmesan, Gruyère, Ricotta
ไส้ที่จะใส่ สามารถพลิกแพลงไปได้ตามชอบ เช่น เห็ดผัดกับน้ำมันมะกอก เกลือ พริกไทย ใส่ใบพาร์สลี่ย์สับ หรือ แฮมหั่นเต๋า หรือผักขมลวกบีบน้ำออก ผัดกับน้ำมันมะกอก กระเทียม/ พริกหวานย่าง/ เบคอนผัดกับหอมใหญ่/ ไก่ย่างฉีกเป็นเส้นๆ / ไส้กรอกหั่นเต๋าผัด

ที่ทำวันนี้เราใส่ เบคอนผัดกับหอมใหญ่ ผัดจนหอมใหญ่นิ่มเป็นสีน้ำตาลสวย แล้วใส่ มะเขือเทศอบแห้ง (sun-dried tomato)

วิธีทำ :
ตีไข่พอแตก เติมแป้ง คนให้เข้ากัน แล้วเติมนม ปรุงรสด้วยเกลือ พริกไทย ถ้าชอบรสจัด อาจเติมผง All spice, Cajun powder หรือ nutmeg ตีหรือคนให้จนส่วนผสมเข้ากันดี
หั่นขนมปังให้เป็นแผ่นบางๆ เรียงไว้ที่ก้นถ้วย ราดด้วยส่วนผสมนมและไข่ที่เตรียมไว้พอให้ชุ่ม

จากนั้นเรียงส่วนผสมที่เราเตรียมไว้สำหรับให้เป็นไส้ โรยชีส ครึ่งหนึ่งของที่ขูดเตรียมไว้ แล้วเรียงขนมปังที่หั่นเป็นแผ่นไว้ทับลงไปอีกชั้น กดให้แน่นๆ แล้วราดด้วยส่วนผสมนมกับไข่อีกครั้ง

โรยทับด้วยชีสที่เหลือ ปิดด้วยกระดาษแรป หรือฝา พักไว้ในตู้เย็นอย่างน้อย 1 ชั่วโมง หรือถ้าจะให้ดี ก็พักไว้หนึ่งคืนในตู้เย็น

วางบนถาด แล้วเข้าอบที่ไฟ 180 องศามีพัดลมช่วย ใช้เวลา 20-23 นาที แล้วแต่ความร้อนของเตาแต่ละบ้าน ถ้าหากใส่ในภาชนะที่ใหญ่กว่านี้ ชามเดียวเลย ก็ให้เพิ่มเวลาอบออกไป

 

สังเกตุว่าได้ที่แล้ว เมื่อชีสข้างหน้าเป็นสีน้ำตาลทอง ส่งกลิ่นหอมฟุ้งน่ารับประทาน

 

สอบถามข้อมูล หรือติดตามข่าวสารผลิตภัณฑ์เครื่องครัว เลอ ครูเซได้ที่
Facebook:https://Facebook.com/LeCreusetThailand

Instagram: https://www.instagram.com/lecreuset_thailand

Line: Le Creuset Thailand

Tel No.: +669 3131 8876

 

Le Creuset LOGO

อ้วนเกินไปเพราะภาวะขาดไทรอยด์ ( หรือเปล่า )

ถ้าวันหนึ่งอยู่ดีๆก็น้ำหนักขึ้นเอาๆ ไดเอ็ตยังไงก็ลดไม่ลง หากเกิดสิ่งนี้ขึ้นละก็เรื่องแรกที่ควรนึกถึงเลยก็คือ “กำลังพบกับภาวะขาดไทรอยด์อยู่หรือเปล่า” Hypothyroidism หรือภาวะขาดไทรอยด์นี้เป็นหนึ่งในปัญหาสุขภาพที่ในต่างประเทศกำลังให้ความสำคัญ เพราะมีผู้หญิงจำนวนมากที่พบกับสิ่งนี้โดยไม่รู้ตัวทำให้ลดน้ำหนักไม่ลงไปเรื่อยๆพร้อมสุขภาพย่ำแย่จากโรคต่างๆที่ตามมา

รู้จักกับต่อมไทรอยด์:

Health-Hypothyroidism-1

ต่อมไทรอยด์ เป็นต่อมเล็กๆรูปร่างคล้ายปีกผีเสื้ออยู่ที่บริเวณคอของเรา ทำหน้าที่ควบคุมเมตาบลิซึ่มหรือระบบเผาผลาญอาหารที่เราบริโภคเข้าไป ซึ่งถ้ามันมีปัญหา ก็หมายถึงระบบเผาผลาญอาหารของเราก็จะมีปัญหาไปด้วยและปัญหาสุขภาพอื่นๆ ต่อมไทรอยด์จะใช้ไอโอดีนจากเลือดของเราไปผลิตฮอร์โมนไทรอยด์2 ชนิดชื่อไทรไอโอโดทีโรนีน (Triiodothyronine) หรือT3และไทร็อกซีน(Thyroxine) หรือ T4เพื่อให้ร่างกายเผาผลาญอาหาร ซึ่งในสมองของเราก็จะมีต่อมไฮโปทาลามัส(hypothalamus)ทำหน้าที่ผลิตฮอร์โมน TSH ที่จะส่งสัญญาณไปยังต่อมพิทูอิทารี(pituitary)ว่าจะให้ต่อมไทรอยด์ผลิต T3 และ T4 มากหรือน้อยแค่ไหน ถ้าในเลือดมีระดับ T3และ T4ต่ำ พิทูอิทารี่ก็จะผลิต THS มากขึ้นเพื่อกระตุ้นให้เกิดการผลิตฮอร์โมนไทรอยด์แต่ถ้าT3 และ T4 ในเลือดสูงเกินไป พิทูอิทารี่ก็จะลดการปล่อยสาร TSH สู่ไทรอยด์เพื่อลดระดับการผลิตฮอร์โมนไทรอยด์ให้กับร่างกายนั่นเอง

ภาวะขาดไทรอยด์เกิดจากอะไร:
ภาวะขาดไทรอยด์หรือ Hypothyroidism เป็นภาวะที่พบบ่อยประมาณ 2-5% ของประชากร และพบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชายประมาณ 2-8 เท่า สาเหตุแรกก็คือความผิดปกติของพันธุกรรมตั้งแต่กำเนิดส่วนสาเหตุอื่นๆเช่นความผิดปกติของต่อมพิทูอิทารี่ ที่ผลิตสาร TSH กำหนดปริมาณการผลิตไทรอยด์ผิดปกติหรือสาเหตุจากการตั้งครรภ์ ที่หลังการคลอดแล้วผู้หญิงจะมีภาวะไทรอยด์ต่ำต่อมไทรอยด์ผลิตฮอร์โมนน้อยลง ซึ่งถ้าเป็นแล้วไม่ได้รักษาก็จะเกิดโรคอื่นๆตามมาเช่นโรคอ้วน,โรคปวดข้อ,โรคหัวใจจากระดับไขมันเลวหรือ LDL ที่สูงขึ้นเรื่อยๆนำไปสู่ภาวะหัวใจล้มเหลว,โรคของภูมิคุ้มกันทำลายตนเอง (Autoimmune Disease)ที่ระบบภูมิคุ้มกันร่างกายผลิตแอนตี้บอดี้ขึ้นมาทำลายเนื้อเยื่อภายในร่างกายเช่นโรคไทรอยด์อักเสบฮาชิโมโต ( Hashimoto’s Thyroiditis)

จะสังเกตอย่างไรว่าขาดไทรอยด์:

Health-Hypothyroidism-4

เส้นผมและผิวหนังเปลี่ยนไป – เส้นผมที่เคยเงางามกลับแห้งหยาบ,หลุดร่วงง่ายผิวหนังก็จะหยาบแห้งดูหนาเป็นสะเก็ด
ปัญหาของลำไส้ – ท้องผูกเรื้อรัง,ท้องร่วง,โรคลำไส้แปรปรวน IBS (irritable bowel syndrome)
ปวดข้อหรือกล้ามเนื้อ – กล้ามเนื้อแขนอ่อนแอลง, มีการกดทับของเส้นประสาท(carpal tunnel)ที่แขนหรือมือ
คอเลสเตอรอลสูงขึ้น – เนื่องจากร่างกายไม่ตอบรับการออกกำลังกายและโปรแกรมควบคุมอาหารที่ทำอยู่ รวมทั้งไม่ตอบรับการยาลดคอเลสเตอรอลที่บริโภคอยู่ด้วย
ประจำเดือนผิดปกติ – ประจำเดือนมามากและบ่อยกว่าเดิม เจ็บปวดช่วงมีประจำเดือน หรือระยะประจำเดือนสั้นและน้อยกว่าปกติ สีจางหรือเข้มกว่าปกติ ฯลฯ
หดหู่หงุดหงิดง่ายและกังวล – ซึ่งควบคุมตัวเองไม่ได้ ก็อาจเป็นอาการหนึ่งของโรคไทรอยด์เช่นกัน
น้ำหนักเพิ่มขึ้นเร็วและคุมไม่ได้ – สิ่งนี้ก็เป็นสัญญาณสำคัญของโรคขาดไทรอยด์
ความรู้สึกไม่สบายบริเวณคอหรือคอบวมใหญ่ขึ้น – จะรู้สึกเวลาสวมเสื้อคอสูงหรือผูกเนคไท
ประวัติครอบครัว – ถ้ามีหรือเคยมีคนในครอบครัวเป็นโรคไทรอยด์ก็จะมีความเสี่ยงมากกว่าคนอื่น
เหนื่อยมากผิดปกติ – เช่นเหนื่อยหมดแรงเมื่อตื่นนอนหรือเหนื่อยจนทำงานไม่ไหว

อาหารควรเลี่ยงของภาวะขาดไทรอยด์

Health-Hypothyroidism-2

ปัญหาหลักของโรคนี้คือ ระบบการย่อยอาหารชลอตัวลงทำให้อ้วนขึ้นอย่างรวดเร็วเพราะควบคุมน้ำหนักไม่ได้การเลิกสูบบุหรี่,หลีกเลี่ยงโปตัสเซียมฯลฯเป็นการดูแลวิธีธรรมชาติที่ช่วยให้การทำงานของต่อมไทรอยด์ดีขึ้นควรเลี่ยงอาหารที่อุดมด้วยสารกอยโทรเจน ( goitrogens) ซึ่งเป็นสารรบกวนการผลิตฮอร์โมนไทรอยด์ของร่างกายซึ่งจะไปยับยั้งการทำงานของต่อมไทรอยด์ ทำให้ไม่สามารถผลิตฮอร์โมนได้อย่างเหมาะสมซึ่งอาหารที่ควรเลี่ยงได้แก่
1. ผัก: เลี่ยงผักตระกูลกะหล่ำเช่นบร็อคโคลี, บ็อกชอย,สเปราท์, กะหล่ำปลี, ดอกกะหล่ำ, แรดิช , คะน้า,วอเตอร์เครส ฯลฯผักเหล่านี้มีสารกอยโทรเจน(goitrogen) สูง จึงนอกจากยับยั้งการสร้างฮอร์โมนแล้วยังทำให้ร่างกายนำไอโอดีนในเลือดไปใช้ได้น้อยกว่าปกติ การบริโภคผักตระกูลนี้มากเกินไป จะทำให้ท้องอืดและขาดสารไอโอดีนจนเป็นโรคคอพอกได้ แต่สารนี้จะสลายตัวไปเมื่อได้รับความร้อน ทั้งควรเลี่ยงผักที่มีสารไทโอไซยาเนท (thiocyanate)ซึ่งมีผลเสียต่อโรคของต่อมไทรอยด์ เช่น หน่อไม้, ข้าวโพด, เมล็ดแฟล็กซ์, ถั่วลิมา (lima bean), มันเทศ ฯลฯ
2. อาหารกลูเตน: เช่นแป้งสาลี, จมูกข้าวสาลีหรือวีทเจิร์ม ( wheatgerm) , ข้าวไรน์, ข้าวบาร์เลย์ ฯลฯแต่บริโภคแป้งหรือธัญพืชที่ปลอดกลูเตนได้เช่นข้าวกล้อง, ไรซ์เค้ก(rice cakes), ไรซ์นูดเดิ้ล, ข้าวตัง, บัควีท, ควินัว , ข้าวโอ๊ต, ซีเรียล ฯลฯ หรือพาสต้าและขนมเบเกอรี่ที่ปลอดกลูเตน
3. ผลไม้: เลี่ยงลูกพีช, แพร์ และสตรอเบอร์รี่
4. ถั่วต่างๆ: เลี่ยงถั่วเหลืองและผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง, ถั่วลิสง,เมล็ดสน ฯลฯ
5. น้ำมัน: เลี่ยงน้ำมันคาโนลา, น้ำมันถั่วเหลือง, น้ำมันเมล็ดแฟล็กซ์, น้ำมันปลา, น้ำมันเมล็ดคำฝอย ( Safflower oil), น้ำมันข้าวโพด,น้ำมันพืชและน้ำมันจากเมล็ดพืชต่างๆ
6. เครื่องดื่มแอลกอฮอล์
7. อาหารสำเร็จรูปหรือกึ่งสำเร็จรูปทุกชนิด
8. อื่นๆ: อาทิ หัวหอมสด,ผักชี, คาโมมายล์ฯลฯ

ที่ให้เลี่ยงก็เพราะอาหารเหล่านี้มีสารกอยโทรเจนสูง โดยเฉพาะถ้าบริโภคแบบสดๆกอยโทรเจนจะไปยับยั้งการดูดซึมไอโอดีนเข้าสู่ร่างกาย ขัดขวางการผลิตฮอร์โมนของต่อมไทรอยด์ แล้วก็ระวังโปรตีนจากถั่วเหลืองด้วย เพราะโปรตีนนี้จะมีสารไอโซฟลาโวนที่จะไปกระตุ้นแอนตี้บอดี้ของไทรอยด์ ทำให้เกิดการติดเชื้อได้ง่ายขึ้นและไอโซฟลาโวนยังขัดขวางการดูดซึมไอโอดีน ทำให้เกิดโรคคอพอกง่ายขึ้นด้วยนี่คือข้อมูลวิจัยที่ตีพิมพ์ใน the Journal of Clinical Endocrinology and Metabolism และที่ควรเลี่ยงอาหารกลูเตน ก็เพราะการวิจัยพบว่า 90% ของปัญหาขาดไทรอยด์คือเรื่องของการมีภูมิคุ้มกันบกพร่อง (autoimmune) ซึ่งโมเลกุลของไทรอยด์และไกลอาดิน (gliadin) สารโปรตีนชนิดหนึ่งในกลูเตนจะมีโครงสร้างคล้ายกัน ทำให้เมื่อเราบริโภคกลูเตนระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายของเราก็จะยิ่งเพิ่มการยับยั้งการผลิตฮอร์โมนของไทรอยด์อาหารที่ควรระวังอีกอย่างก็คือ ไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อนหรือ Polyunsaturated fats ( PUFAs)เช่นในน้ำมันเมล็ดแฟล็กซ์, คาโนลา,น้ำมันปลาฯลฯอาหารนี้จะแฝงด้วยเอนไซม์โปรทีโอไลติก(proteolytic enzyme)ที่ขัดขวางระบบการย่อย ทั้งควรหยุดดื่มแอลกอฮอล์เช่นเบียร์, ไวน์หรือลิเคียวร์ ซึ่งมีสารไฟโตเอสโตรเจน ที่จะไปกระตุ้นการเปลี่ยนฮอร์โมนเทสโตสเตอโรนเป็นฮอร์โมนเอสโตรเจนทั้งยังไปลดการผลิตฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนและเพิ่มการผลิตฮอร์โมนโปรแลกติน ซึ่งจะมีผลกับภาวะผิดปกติของไทรอยด์ทั้งควรเลี่ยงอาหารสำเร็จรูปและอาหารอุดมด้วยน้ำตาลที่จะทำให้เกิดการติดเชื้อในร่างกายและเปลี่ยน T4 ให้เป็น T3

การปรุง, การแช่, การหมัก, หรือการต้มอาหารที่อุดมด้วยกอยโทรเจนจะช่วยสลายหรือลดคุณสมบัติด้านลบของอาหารเหล่านี้ลงไปได้ มหาวิทยาลัยแมรี่แลนด์ ระบุว่าการปรุงแบบช้าๆหรือ slow-cookedจะช่วยลดผลด้านลบที่ผักเหล่านี้มีลงไปได้แต่ยกเว้นสารไอโซฟลาโวนจากถั่วเหลือง ที่จะไม่ถูกทำลายลงไปเมื่อผ่านความร้อนเหมือนสารอื่นๆจึงควรเลี่ยงอาหารจากถั่วเหลืองไว้จะดีกว่า

บริโภคอะไรในภาวะขาดไทรอยด์: มาดูว่าสามารถบริโภคอะไรได้บ้าง

Health-Hypothyroidism-3

1. ผลไม้: ผลไม้แทบทุกชนิดดีสำหรับภาวะขาดไทรอยด์เช่นบลูเบอร์รี่, ราสพ์เบอร์รี่, เชอรี่และมะม่วง อุดมด้วยสารต้านอนมูลอิสระผลไม้ตระกูลซีตรัสและกีวี ก็อุดมด้วยวิตามินซี ทั้งหมดนี้ช่วยป้องกันต่อมไทรอยด์ แต่ให้เลี่ยงสตรอเบอร์รี่, ลูกแพร์และพีช ซึ่งเป็นกลุ่มผลไม้มีสารกอยโทรเจน
2. แซลมอน: อุดมด้วยโปรตีน, สารต้านอนุมูลอิสระแซลมอนที่เลี้ยงในน้ำเย็นธรรมชาติ เป็นอาหารที่ดีสำหรับภาวะขาดไทรอยด์เพราะปลานี้มีโปรตีนสูงและมีกรดไขมันโอเมก้า-3 ที่ช่วยลดการบวมของโรคคอพอก และยังอุดมด้วยเซเลเนียมและวิตามินบี 12ซึ่งเป็นสารอาหารช่วยการทำงานของต่อมไทรอยด์
3. บราซิลนัท (Brazil nut): ถั่วชนิดนี้อุดมด้วยแร่ธาตุเซเลเนียม ซึ่งเป็นแร่ธาตุสร้างสมดุลให้กับฮอร์โมนไทรอยด์ช่วยต้านการติดเชื้อและยับยั้งการพัฒนาของโรคคอพอกบราซิลนัทยังช่วยให้มีอารมณ์ดีซึ่งเป็นสิ่งสำคัญสำหรับคนที่มีภาวะนี้ที่มักจะมีความเครียดแค่บริโภคบราซิลนัทไม่กี่เมล็ดต่อวัน ก็จะได้โดสของเซเลเนียมที่ร่างกายต้องการแล้วแต่ไม่ควรบริโภคเซเลเนียมประเภทผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพราะการได้รับเซเลเนียมมากเกินไปอาจเกิดพิษนำไปสู่ปัญหาเช่นผมร่วงและหัวใจวายได้
4. สาหร่ายทะเล: สลัดสาหร่ายทะเลอุดมด้วยไอโอดีนซึ่งจำเป็นต่อต่อมไทรอยด์แต่ก็อย่าบริโภคมากเกินไป เพราะถ้าไอโอดีนมากเกินไปก็จะเป็นอันตรายได้เหมือนกัน
5. กรีกโยเกิร์ต: อุดมด้วยไอโอดีนและข้อดีก็คือคุณไม่ต้องกังวลว่าจะได้รับไอโอดีนมากเกินไปเพราะในกรีกโยเกิร์ตหนึ่งถ้วยขนาดมาตรฐานจะมีไอโอดีนอยู่เพียงครึ่งหนึ่งของปริมาณแนะนำให้บริโภคต่อวันหรือRDIลองผสมมันกับผลไม้เช่นบลูเบอร์รี่หรือมะม่วงเป็นอาหารเช้าก็อร่อยและให้คุณค่าโภชนาการที่ดี

เครื่องดื่มเหมาะสมของภาวะขาดไทรอยด์
แครนเบอร์รี่ เป็นผลไม้ที่อุดมด้วยไอโอดีน ซึ่งเป็นแร่ธาตุสำคัญช่วยควบคุมสมดุลการทำงานของต่อมไทรอยด์วิตามินซีจากมะนาวและส้ม มีสารต้านอนุมูลอิสระช่วยฟื้นฟูสุขภาพของต่อมไทรอยด์ขิง อุดมด้วยแมกนีเซียม ช่วยการทำงานของไทรอยด์ซินนามอนหรืออบเชยอุดมด้วยสารต้านการติดเชื้อ

ส่วนผสม: น้ำแร่หรือน้ำกรอง 7 ถ้วย, น้ำแครนเบอร์รี่ 100% 1 ถ้วย, น้ำมะนาวสด ¼ ช้อนโต๊ะ, น้ำส้มคั้นสด ¾ ช้อนโต๊ะ, ขิงป่น ¼ ช้อนโต๊ะ, ผงอบเชย ½ ช้อนโต๊ะ

วิธีทำ: นำน้ำแร่ไปต้มให้เดือด ใส่น้ำแครนเบอร์รี่และเครื่องเทศทั้งหมดลงไป คนให้เข้ากันประมาณ 20 นาทีจึงยกลงจากเตาพักไว้ให้เย็นเมื่อเย็นแล้วเติมน้ำมะนาวและน้ำส้มคั้นสดคนให้เข้ากันอีกครั้งใช้ดื่มหรือจิบได้ตลอดวันอร่อยและแนะนำให้ดื่มสัปดาห์ละครั้ง

การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมบริโภคอาหารและไลฟสไตล์ บริโภคโปรตีนและผักให้มากขึ้นเพื่อควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด, บริโภคโยเกิร์ต,งดคาเฟอีนและบุหรี่, ใช้ชีวิตผ่อนคลายจากความเครียด, ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ที่สำคัญมากคืออย่าอดนอนและควรพักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อให้ร่างกายซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอไป สำหรับทางการแพทย์จะรักษาโดยแพทย์อาจให้ยาบำบัดภาวะพร่องฮอร์โมนซึ่งเรียกว่ายาเลโวไทรอซีน เพื่อช่วยรักษาอาการให้ดีขึ้นที่เล่าเรื่องของ Hypothyroidism ให้ทราบกันนี้ไม่ได้จะให้คุณเกิดความวิตกหรือหวาดกลัวมากเกินไปนะคะ แต่การหาความรู้และดูแลตัวเองอย่างรอบด้าน หมั่นสังเกตและไม่ละเลยต่อความเปลี่ยนแปลงต่างๆที่เกิดขึ้นกับตัวเรา ไม่ว่าจะเล็กน้อยเพียงใดก็ตาม เท่านี้คุณก็จะมีสุขภาพและรูปร่างที่ดีไปพร้อมๆกันค่ะ

เค้กช็อกโกแลต ไร้แป้ง กับลูกพรุนและวิสกี้

เค้กนี้อร่อยมาก จนลูกสาวสั่งห้ามทำอีก!

Le Creuset and Flourless Chocolate Cake with Prune and Whisky 2

สูตรนี้ได้มาจาก The Violet Bakery Cookbook ซึ่งเชฟ Claire Ptak นี้เป็นคนที่ได้รับเลือกให้ทำเค้กแต่งงานให้กับ Prince Harry และ Meghan Markle เมื่อไม่นานมานี้
สูตรทุกสูตรในหนังสือเล่มนี้ทำออกมาแล้วดี สมกับที่เป็นเชฟขนมดังเป็นลำดับต้นๆ แต่ทุกครั้งที่ทำขนมตามสูตรของเธอก็ทำในพิมพ์ธรรมดา มาวันนี้นึกอยากทดลองว่า ถ้าทำในหม้อเหล็กหล่อ Le Creuset แล้วจะเป็นยังไง เพราะเท่าที่รู้จักคุณสมบัติของเครื่องครัวชนิดนี้ คือให้ความร้อนกระจายสม่ำเสมอ และร้อนนาน คิดๆแล้วก็คล้ายๆกับ Convection Oven ที่เชฟมืออาชีพทั้งหลายชอบใช้กัน ลองทำสูตรเดียวกัน เปรียบเทียบกับใช้พิมพ์ธรรมดา ปรากฏว่า ขนมที่ใช้หม้อ HEART COCOTTE นี้ ให้เนื้อสัมผัสที่ดีกว่า จนเราเองก็แปลกใจ เนื้อขนมนุ่มนวล moist และเก็บความหอมของเหล้า ของส่วนผสมได้ดีจริงๆ

Le Creuset and Flourless Chocolate Cake with Prune and Whisky 1

มาลองทำกันดูค่ะ

สำหรับ 1 สูตร ใช้หม้อ Le Creuset HEART COCOTTE 20CM ถ้าใช้หม้อ HEART COCOTTE 16 CM แบบในรูปใช้เพียง ½ สูตรสำหรับพอทานได้ 6-8 คน

ทาเนยด้านในหม้อบางๆ ตัดกระดาษเป็นรูปหัวใจรองไว้ที่ก้นหม้อ และอีกสองแผ่นเป็นแผ่นยาวๆ กรุไว้ด้านในเพื่อให้ยกเค้กขึ้นมาได้

วัตถุดิบ
125 g ลูกพรุนชนิดไม่มีเม็ด
40 g วิสกี้ ชนิดใดก็ได้
240 g ช็อกโกแลต 70% (มีขายตามร้านBakery Supply) ในสูตรนี้ใช้ของยี่ห้อ Cacao Barry
200 g เนยจืด
5 ฟองไข่ แยกเป็นไข่ขาว ไข่แดง
100 g น้ำตาล แบ่งเป็น ½ กับ ½
¼ tsp เกลือทะเล
150 g ผงอัลมอนด์

วิธีทำ
แช่ลูกพรุนไว้ในเหล้าวิสกี้ล่วงหน้า อย่างน้อยครึ่งชั่วโมง ยิ่งถ้าแช่ไว้ข้ามคืน (ปิดฝา อยู่ในตู้เย็น) ยิ่งดี

ก่อนนำมาใช้ หนึ่งเม็ด ให้ผ่าสี่ แล้วผ่าอีกทีเป็นแปดชิ้นเล็กๆ

อุ่นเตาไว้ที่ 175 องศา โปรแกรมที่มีพัดลมช่วย(160 C -Convection Oven)
เริ่มด้วยการตุ๋นช็อกโกแลต โดยตั้งหม้อใส่น้ำเพียงเล็กน้อย ตั้งไฟจนเริ่มเป็นไอน้ำ ลดเป็นไฟอ่อน แล้ววางชามทนไฟที่มีขนาดเท่ากับปากหม้อพอดี ลงบนปากหม้อ ไม่ให้ก้นชามโดนน้ำ วิธีนี้เรียกในหมู่คนทำขนมว่า Bain-Marie ใส่ช็อกโกแลตและเนยจืดลงไปในชาม คนเป็นครั้งคราว ให้ช็อกโกแลตกับเนยละลายเข้ากันดีปิดไฟ ยกออกจากเตา เช็ดก้นชาม ระวังอย่าให้ส่วนผสมโดนน้ำ ช็อกโกแลตกับน้ำไม่ถูกกัน

ตีไข่แดงกับน้ำตาลครึ่งหนึ่งจนขึ้นขาวฟู ใส่ลงในส่วนผสมช็อกโกแลตที่เย็นแล้ว ตามด้วย ลูกพรุน และผงอัลมอนด์พักไว้

จากนั้นตีไข่ขาวกับน้ำตาลอีกครึ่งที่เหลือและเกลือที่เตรียมไว้ จนขึ้นยอดอ่อน

ตักไข่ขาวทีละ ¼ ลงไปผสมกับ ส่วนผสมช็อกโกแลต อย่างเบามือ (fold)

เทลงในพิมพ์ที่เตรียมไว้ นำเข้าเตาอบ ใช้เวลา 25 นาที (หมุนกลับด้านของเค้กเมื่อเวลาผ่านไปครึ่งหนึ่ง) โดยให้ใช้ไม้แหลมๆ หรือที่เช็คเค้ก ลองจิ้มดูส่วนที่หนาที่สุดของเค้กก่อนเวลาที่ตั้งไว้สัก 5-10 นาที เพราะความร้อนของเตาอบแต่ละบ้านไม่เท่ากัน ถ้าหากไม้หรือก้านที่เสียบลงไป เวลาที่ดึงออกมาแล้ว ไม่มีเศษเค้กติดมา แสดงว่าสุกดีแล้ว

 

ส่วนตัวเวลาอบเค้กช็อกโกแลต โดยเฉพาะอย่างยิ่งเค้กที่ไม่มีแป้งนี้ (ไม่ต้องกลัวว่าแป้งจะไม่สุก) มักจะเอาออกก่อนเวลาตามสูตรสัก 5 นาที เพราะชอบให้ตรงกลางยังแฉะๆอยู่ ลองปรับเวลาทำดูกับเตาที่บ้านของคุณค่ะ จะสุกมากสุกน้อย รสชาติเค้กอันนี้ดีแน่ๆ ทานแล้วหยุดไม่ได้จริงๆค่ะ

 

สอบถามข้อมูล หรือติดตามข่าวสารผลิตภัณฑ์เครื่องครัว เลอ ครูเซได้ที่
Facebook:https://Facebook.com/LeCreusetThailand

Instagram: https://www.instagram.com/lecreuset_thailand

Line: Le Creuset Thailand

Tel No.: +669 3131 8876

 

Le Creuset LOGO

ซุปบีทรูท

ตอนที่บอกหนูทดลองที่อยู่ในบ้าน ว่าแม่จะทำ ‘ซุปบีทรูท’ แบบสไตล์ของชาติยูเครน ตามสูตรในหนังสือ The Immigrant Cookbook- Recipes that Make America Great ลูกสาวทำอ้ำๆอึ้งๆ ประมาณว่าไม่ค่อยชอบรสชาติของบีทรูทสักเท่าไหร่ แต่สุดท้ายเมื่อทำเสร็จแล้ว ทุกคนก็แปลกใจ ว่าสูตรนี้อร่อยจริงๆ ไม่เหมือนที่เคยรับประทานมา คนที่บอกไม่ค่อยชอบบีทรูทเท่าไหร่คนนั้น ชิมจนหมดถ้วยทุกครั้งที่แม่ทดลองทำติดๆ กันในช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมา
ขอยืมคำพูดของช่างภาพที่มาถ่ายทำ วิธีการทำซุป เป็นรูปแบบของวีดิโอ และได้ชิมซุปนี้เมื่อเสร็จแล้วว่า
“ผมอยากจะถ่ายรูปให้ถ่ายทอดรสชาติของความอร่อยนี้ออกมาให้ได้จัง”
สำหรับคนทำอาหาร นี่คือคำชมที่ยอดเยี่ยมที่สุด

Beetroot Soup with Le Creuset 1

บีทรูทเป็นวัตถุดิบราคาไม่แพง ประโยชน์ก็มีมากมาย แต่คนมักติดว่า ถ้าหากทำไม่ดี มันจะมีรสขื่นๆของผักชนิดนี้ติดอยู่ วิธีที่จะทำให้บีทรูททานอร่อย อย่างหนึ่งก็คืออบในเตาอบให้นานสักหน่อย จนบีทรูทหวาน รสขื่นหายไป
ในสูตรนี้นอกจากเราจะอบบีทรูทเสียก่อนแล้ว เรายังแต่งรสให้สดชื่นขึ้นด้วยมะเขือเทศ ใช้น้ำส้มสายชูไวน์แดงมาตัดรส และสุดท้ายเพิ่มความอร่อยด้วยน้ำเชื่อมเมเปิ้ล
วันนี้เชฟเลือกใช้ หม้อขนาด 20 เซนติเมตรของ Le Creuset ซึ่งช่วยกระจายความร้อนได้ดี เหมาะมากกับการทำซุปชนิดนี้ ได้ซุปที่รสชาติดี สีสวย แบบนี้ แถมวิธีการทำก็ไม่ยาก ลองหัดทำดู แล้วมอบให้คุณแม่ คุณแม่คนไหนๆ ก็คงมีความสุขที่สุดเลยค่ะ

Beetroot Soup with Le Creuset 2

ซุปบีทรูท BORSCHT
บีทรูท 1 กิโล (ล้างและขูดเปลือกให้สะอาด)
น้ำมันพืช (คาโนล่า) 1 ช้อนโต๊ะ
หอมใหญ่ 1 หัว (สับเป็นชิ้นเล็กๆ)
กระเทียม 4 กลีบ (สับหยาบ)
ผักชีลาว 1 กำ (มัดไว้ด้วยกัน) เก็บไว้แต่งหน้าจานสักช่อ
มะเขือเทศกระป๋อง 3/4 ถ้วย หรือ 170 กรัม (สับหยาบ)
น้ำสต๊อกเนื้อหรือหมู 3 ถ้วย (170 กรัม)
น้ำเชื่อมเมเปิ้ล 2 ช้อนโต๊ะ
น้ำส้มสายชูทำจากไวน์แดง 2-3 ช้อนโต๊ะ (Red Wine Vinegar)
ใบกระวาน 1-2 ใบ
เกลือ พริกไทย
เสิร์ฟกับ Horseradish หรือ Crème Fraîche

• เปิดเตาไว้ที่อุณหภูมิ 200 อบบีทรูททั้งเปลือกไปจนนิ่ม ประมาณ 1 ถึง 1 ชั่วโมงครึ่ง เมื่อเย็นลงแล้วปอกเปลือก หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ
• ผัดหอมใหญ่กับน้ำมันในหม้อด้วยไฟกลางค่อนข้างอ่อน จนกระทั่งหอมใหญ่สุกใส เติมกระเทียมลงไปผัดสักครู่ ใส่น้ำส้มไวน์แดง ผัดไปจนน้ำส้มระเหยออกไปสักครึ่ง แล้วจึงใส่เนื้อบีทรูท และเนื้อมะเขือเทศ คนให้เข้ากัน เร่งไฟขึ้นเป็นไฟกลางค่อนข้างแรง จนหอมใหญ่กลายเป็นสีม่วงแดงเหมือนบีทรูท (ประมาณ 3 นาที) เติมน้ำสต๊อก น้ำเชื่อมเมเปิ้ล ผักชีลาว และใบกระวาน เร่งไฟสักครู่ให้ส่วนผสมเดือด แล้วลดไฟลงเป็นไฟอ่อน ปิดฝา ตั้งบนไฟต่อไปราวๆ 10-15 นาที จนกระทั่งผักสุกนิ่ม ปรุงรสด้วยเกลือ พริกไทย
• เช็คความข้นของซุป เมื่อได้ที่แล้ว เอาออกจากเตา พอเริ่มเย็นลงให้เอาใบกระวานและผักชีลาวออก แล้วเอาซุปนี้ไปปั่น กรองแยกกากทิ้งไป จะเสิร์ฟอุ่นๆ หรือจะนำส่วนผสมซุปนี้กลับไปตั้งไฟ ให้ร้อนทั่วก็ได้

Beetroot Soup with Le Creuset 3

 

เสิร์ฟกับ Horseradish ขูด หรือ ตัก Crème Fraîche หยอดลงไปบนซุป แล้วแต่งด้วยช่อผักชีลาวก็ได้

 

สอบถามข้อมูล หรือติดตามข่าวสารผลิตภัณฑ์เครื่องครัว เลอ ครูเซได้ที่

Facebook:https://Facebook.com/LeCreusetThailand

Instagram: https://www.instagram.com/lecreuset_thailand

Line: Le Creuset Thailand

Tel No.: +669 3131 8876

 

Le Creuset LOGO

ดูเทรนด์สุขภาพเมื่อไร้ไขมันทรานส์

ช่วงนี้ไม่มีประเด็นสุขภาพไหนจะถูกพูดถึงอย่างกว้างขวางเท่าเรื่องการประกาศห้ามใช้ไขมันทรานส์ในอาหาร ที่กระทรวงสาธารณสุขจะให้มีผลใช้บังคับในอีก 180 วันหลังจากวันประกาศนี้ คำถามก็คือ แล้วไลฟ์สไตล์การบริโภคของเราจะต้องปรับตัวไปทางไหน และมีอะไรจะเข้ามาทดแทนสิ่งนี้และมีผลอย่างไรกับพฤติกรรมการบริโภคในปัจจุบันและอนาคต มาคุยเรื่องนี้กันค่ะ

Health Trans Fatty 1

“ไขมันทรานส์” มาจากไหน
ไขมันทรานส์ เป็นไขมันเกิดจากการเติมไฮโดรเจนบางส่วนลงไปในไขมันไม่อิ่มตัวจากพืช กระบวนการนี้เรียกว่า partially hydrogenation จริงๆมันเกิดขึ้นตั้งแต่ปี 1890 โดย พอล ซาบาทีเย(Paul Sabatier)นักเคมีชาวฝรั่งเศสเป็นผู้ค้นพบวิธีการนี้ แต่เขาใช้มันในการทดลองทางเคมีเท่านั้น จนเมื่อปี 1901 วิลเฮล์ม นอร์แมนน (Wilhelm Normann)นักเคมีชาวเยอรมัน ได้นำวิธีการนี้มาใช้กับวงการอาหารโดยเติมไฮโดรเจนบางส่วนลงในน้ำมันและทำได้สำเร็จในปี 1902 ต่อมาในปี 1905 – 1910 มันก็ได้รับความนิยมมากขึ้นๆ โดยมียอดขายถึง 3,000 ตันในอังกฤษเมื่อปี 1909

ช่วงต้นศตวรรษที่ 20 สหรัฐอเมริกาได้มีการนำเข้าถั่วเหลืองเข้ามาในประเทศ น้ำมันถั่วเหลืองก็ถือกำเนิดขึ้นอันเป็นผลผลิตจากการนำเข้านี้ ได้มีการเติมไฮโดรเจนลงในน้ำมันถั่วเหลือง เพื่อให้กลายสภาพเป็นไขมันใช้ในการทำเบเกอรี่และพบว่าไขมันนี้ให้คุณสมบัติพิเศษที่ดีกว่าเนยสดนั่นคือสามารถเก็บนอกตู้เย็นได้โดยไม่ละลาย และเกลี่ยได้ดีทันทีบนขนมปัง ทั้งทำให้อาหารกรอบอร่อยเก็บได้นานและรสชาติดี ต้นทุนการผลิตก็ต่ำกว่าไขมันทรานส์จากถั่วเหลืองนี้จึงเริ่มถูกใช้ในการทำขนมปัง เค้กและคุกกี้อย่างแพร่หลายมีการนำน้ำมันพืชชนิดต่างๆมาเติมไฮโดรเจนเพื่อใช้ในสหรัฐอเมริกาและยุโรป ซึ่งในช่วงแรกมีการระบุว่าปลอดภัยกว่าเนยซึ่งเป็นไขมันอิ่มตัว

นอกจากนี้ กระแสสุขภาพที่พูดถึงการบริโภคไขมันอิ่มตัวหรือ SFA ( saturated fat) ว่าเป็นอันตรายต่อสุขภาพ ก็ทำให้เกิดความพยายามจะหาสิ่งทดแทนเนยสดซึ่งเป็นไขมันอิ่มตัวแต่ปัญหาก็คือไขมันไม่อิ่มตัวหรือ UFA (unsaturated fat) มักเก็บไม่ได้นานทั้งเมื่อถูกความเย็นก็จะเป็นไขทำให้ใช้ไม่สะดวก การเติมไฮโดรเจนลงไปในบางส่วน ช่วยให้ไขมันเก็บได้นานขึ้นไม่เป็นไข ทั้งให้เนื้อสัมผัสอร่อยขึ้นด้วย ไขมันทรานส์หรือ TFA ( trans fat)จึงครองตลาดตั้งแต่นั้นมา แม้ว่าในต้นปี 1956 จะเป็นครั้งแรกที่วงการวิทยาศาสตร์เริ่มพูดถึงความเสี่ยงของไขมันทรานส์ต่อโรคหัวใจและหลอดเลือดในสมองแต่ก็ยังไม่มีใครให้ความสำคัญเพราะมุ่งเรื่องอันตรายจากไขมันอิ่มตัวมากกว่า

เมื่อโลกเริ่มตระหนักอันตรายของไขมันทรานส์

Health Trans Fatty 2

การศึกษาเรื่องอันตรายของไขมันทรานส์เริ่มชัดเจนขึ้นเมื่อต้นปี 1990 และปี 1994 ก็มีการระบุว่า ไขมันทรานส์เป็นต้นเหตุของการเสียชีวิตด้วยโรคหัวใจของคนอเมริกันถึงสองหมื่นคน ซึ่งช่วงนั้นมีอาหารไขมันทรานส์แพร่หลายทั้งในอเมริกาและยุโรป ทำให้เกิดแคมเปญการต่อต้านและนำไปสู่ความเปลี่ยนแปลงในวงการอาหารอย่างมาก

ถ้าดูจากตัวเลขก็จะพบว่า ไขมันทรานส์ถูกมองเป็นฮีโร่ในวงการอาหารมาเกินกว่า50 ปี กว่าความคิดนี้จะเปลี่ยนไป ด้วยข้อมูลที่ระบุในงานวิจัยซึ่งแหล่งไขมันทรานส์ที่ทำให้เกิดปัญหามากที่สุดก็คือ จากมาร์การีนหรือเนยเทียมนั่นเอง ที่นอกจากมันจะไปเพิ่มคอเลสเตอรอลชนิดเลวหรือ LDL แล้ว ก็ยังไปลดคอเลสเตอรอลชนิดดีหรือ HDL ในร่างกายลงด้วย สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาของสหรัฐฯ หรือ FDA ในช่วงแรกๆ ได้ออกกฎหมายให้มีการระบุปริมาณไขมันทรานส์ที่มีในอาหารและบางรัฐก็มีกฎหมายห้ามใช้ไขมันทรานส์โดยสิ้นเชิงเช่นเดียวกับหลายประเทศของยุโรป จนถึงปี 2013 ที่FDAสหรัฐอเมริกาได้ออกมาระบุชัดเจนว่าไขมันทรานส์ไม่ปลอดภัยต่อการบริโภค

จะเห็นว่า ในสหรัฐอเมริกาและยุโรป เขามีการห้ามใช้ไขมันทรานส์นี้มานานกว่าสิบปีแล้ว แต่บ้านเราเพิ่งจะขยับตัว ดังนั้น เราอาจไม่ต้องกังวลมากนักกับอาหารที่นำเข้าจากประเทศเหล่านี้ เพราะเขาเลิกใช้กันก่อนเรามานานแล้วยิ่งแบรนด์ใหญ่ๆเขาก็ต้องรักษาชื่อเสียงกับผู้บริโภคของเขาด้วย สิ่งที่เราควรกลัวกันก็คือบรรดาขนมเบเกอรี่ข้างทางในบ้านเราที่ไม่เคยมีการระบุส่วนผสมที่ชัดเจน ไม่มีการรับรองความปลอดภัยจากองค์กรใดๆและขายโดยใช้การโฆษณาว่าเป็น “ โฮมเมด” ขนมพวกนี้มีความเสี่ยงเพราะเราไม่รู้ที่มาที่ไปของส่วนผสม และบริโภคโดยอาศัยความไว้ใจเพียงอย่างเดียว ขนมเหล่านี้จะมีไขมันทรานส์ที่ใช้แพร่หลายก็คือมาร์การีนหรือเนยเทียม ที่ทำให้อร่อยและเก็บได้นาน ที่สำคัญคือต้นทุนต่ำ ดังนั้น ถ้าพบว่าขนมที่ซื้อข้างทางทั้งอร่อยทั้งเก็บได้นานทั้งราคาถูก ก็อย่าเพิ่งดีใจซื้อมาบริโภคเพราะเขาใช้ไขมันทรานส์เป็นส่วนผสม

ทำความเข้าใจประกาศห้ามใช้ไขมันทรานส์
ถ้าเราอ่านประกาศกระทรวงสาธารณสุขเรื่องนี้ให้ดีๆก็จะพบว่า การห้ามนั้นจะมีผลบังคับใช้ในอีก 180 วันหรือ 6 เดือนข้างหน้า ซึ่งจริงๆแล้วในทางปฏิบัติก่อนจะมีการเผยแพร่ประกาศฉบับนี้ ก็ได้มีการเรียกประชุมผู้ผลิตอาหารและแจ้งให้ทราบล่วงหน้าก่อนแล้วเพื่อให้เตรียมตัวปรับเปลี่ยนสูตรการผลิตไม่ให้กระทบกับภาพรวมอุตสาหกรรมอาหาร ซึ่งผู้ผลิตก็ได้รับทราบและให้ความร่วมมือเตรียมพร้อมกันมาเป็นเวลากว่า 1 ปีในการปรับเปลี่ยนสูตร ดังนั้น ในช่วงนี้ที่มีประกาศนี้ออกมาผู้ผลิตจึงมีความพร้อมอยู่นานแล้ว ส่วนสาเหตุของเวลาการบังคับใช้ใน 180 วันนั้น ก็เพื่อให้ผู้ผลิตได้ไปปรับปรุงด้านรายละเอียดอื่นๆเช่น การพิมพ์ฉลากระบุส่วนประกอบอาหาร ฯลฯซึ่งปกติผู้ผลิตแบรนด์อุตสาหกรรมใหญ่ ก็จะมีการแจกแจงส่วนประกอบอาหารและรับอนุญาตเรียบร้อยแล้วก่อนวางจำหน่ายจึงไม่น่าจะต้องกังวลให้มากเกินไป

รู้ไหมว่าในอาหารธรรมชาติก็มีไขมันทรานส์ได้เช่นกัน
อีกเรื่องที่อยากให้รู้ก็คือ ไขมันทรานส์ไม่ได้เกิดจากกระบวนการทางวิทยาศาสตร์แต่เพียงแหล่งเดียว แต่ในอาหารธรรมชาติก็อาจมีไขมันนี้ได้เช่นกัน เช่นในเนื้อสัตว์, นม, และผลิตภัณฑ์จากนม เนื่องจากสัตว์เหล่านี้จะมีการผลิตไขมันทรานส์เกิดขึ้นได้ในกระเพาะอาหารและลำไส้ของมัน แต่ยังไม่มีการพบว่าไขมันทรานส์ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ จะมีผลกระทบต่อสุขภาพเหมือนไขมันทรานส์จากอุตสาหกรรม

จะใช้น้ำมันอะไรให้ปลอดจากไขมันทรานส์

Health Trans Fatty 4

มีคำถามว่า เมื่อน้ำมันพืชที่ขายในท้องตลาดมีไขมันทรานส์ งั้นเราใช้น้ำมันหมูหรือน้ำมันมะพร้าวจะปลอดภัยกว่าไหมคำตอบก็คือน้ำมันหมูเป็นไขมันอิ่มตัวหรือ SFAยังไงก็มีโอกาสจะทำให้ไขมันในเลือดสูง เสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือดสมองได้ง่ายกว่าน้ำมันพืช ส่วนน้ำมันมะพร้าว ก็ยิ่งหนักเข้าไปอีกเพราะมีกรดไขมันอิ่มตัวสูงกว่าน้ำมันหมู ทั้งยังเกิดควันได้ง่ายเมื่อถูกความร้อน ที่สำคัญคือน้ำมันนี้ไม่เหมาะอย่างยิ่งกับคนเป็นโรคหัวใจน้ำมันถั่วเหลือง มีกรดไขมันอิ่มตัวน้อยและทนความร้อนไม่เกิดควันง่ายถือว่าใช้ได้น้ำมันรำข้าว ดีกว่าน้ำมันถั่วเหลืองเพราะมีกรดไขมันอิ่มตัวต่ำ ทั้งทนต่อความร้อนได้มากกว่าน้ำมันถั่วเหลืองน้ำมันปาล์มไม่แนะนำเพราะมีกรดไขมันอิ่มตัวพอๆกับน้ำมันหมู ส่วนน้ำมันทานตะวัน แม้จะมีกรดไขมันอิ่มตัวน้อย แต่เก็บได้ไม่ทน น้ำมันคาโนลา มีกรดไขมันอิ่มตัวน้อยที่สุด ใช้ได้ดีรองจากน้ำมันรำข้าวสุดท้ายคือน้ำมันมะกอก ส่วนตัวแล้วชอบอันนี้ที่สุดและใช้ประจำเป็นน้ำมันที่มีการระบุจากนักโภชนาการว่ามีกรดไขมันอิ่มตัวน้อยและมีกรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวสูงที่สุด ซึ่งถ้าจะใช้ทอดหรือผัดแนะนำว่าควรเลือกแบบ light เพราะกลิ่นไม่แรงมาก

ในน้ำมันและไขมันทุกชนิด จะมีกรดไขมันทั้งสามแบบคือ กรดไขมันอิ่มตัว (SFA), กรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว(MUFA)และกรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน(PUFA) ผสมผสานกันอยู่ไม่มีน้ำมันชนิดใดที่จะมีกรดไขมันแบบใดแบบหนึ่งเพียงแบบเดียว แต่สัดส่วนของกรดไขมันกลุ่มไหนมากกว่าก็จะถูกจัดประเภทให้อยู่ในกลุ่มนั้นและต้องเข้าใจด้วยว่า จะเป็นน้ำมันอะไรก็ตาม ถ้าใช้ทอดซ้ำๆหรือทอดด้วยความร้อนสูงมากๆนานๆ ก็จะทำให้เกิดไขมันทรานส์ได้ทั้งนั้นจากกระบวนการปรุงอาหาร ดังนั้น การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของตัวเอง จากการชอบบริโภคอาหารทอดหรือขนมเบเกอรี่มีความเสี่ยงทั้งหลาย มาเป็นการบริโภคผักผลไม้สดให้มากขึ้น รวมทั้งบริโภคอาหารที่ปรุงด้วยการอบ นึ่ง หรือต้ม เป็นหลักจะปลอดภัยที่สุด

เรื่องน่ารู้ของกรดไขมัน

Health Trans Fatty 3
กรดไขมันอิ่มตัว ( saturated fatty acid หรือ SFA)ถูกจัดให้เป็นไขมันที่ไม่ดี เพราะทำให้เกิดผลเสียเส้นเลือดในหัวใจและสมองเกิดการอุดตันได้ง่ายขึ้น ที่พบมากจะเป็นไขมันจากสัตว์เช่นน้ำมันหมู, ไขมันวัว, เนยสด ที่พบในพืชเช่นกะทิซึ่งเป็นไขมันจากมะพร้าว
กรดไขมันไม่อิ่มตัว ( unsaturated fatty acid หรือ UFA)ซึ่งจะแบ่งย่อยออกเป็น 2 ประเภทคือ กรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว (monounsaturated fatty acid หรือ MUFA)และกรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน(polyunsatulated fatty acid หรือ PUFA)ซึ่งไขมันนี้ถูกจัดให้เป็นไขมันที่ดีและช่วยลดความเสี่ยงหลายอย่างของสุขภาพกรดไขมันนี้เช่นกรดไขมันโอเมก้า-3 และโอเมก้า-6ซึ่งพบได้ในพืชและปลา
กรดไขมันทรานส์(Trans-fatty acid หรือ TFA)เป็นกรดไขมันที่เกิดจากการเติมไฮโดรเจนเข้าไปในน้ำมันพืชบางส่วนหรือpartial hydrogenationเพื่อเปลี่ยนกรดไขมันไม่อิ่มตัวหรือUFA ให้กลายเป็นกรดไขมันอิ่มตัวหรือSFA เพื่อให้กลายเป็นของแข็งในอุณหภูมิห้องซึ่งถ้าเติมไฮโดรเจนจนเต็มส่วนหรือfully hydrogenation ก็จะได้น้ำมันที่มีไขมันอิ่มตัวทั้งหมด แต่ถ้าเติมเพียงบางส่วน ก็จะได้ไขมันทรานส์

เขาปรับเปลี่ยนไขมันทรานส์อย่างไรให้กับผู้บริโภค

Health Trans Fatty 5

ในต่างประเทศทั้งสหรัฐอเมริกาและยุโรป ต้นปี 2007 ได้ตั้งเป้าที่จะเลิกใช้ไขมันทรานส์นี้มานานแล้วตั้งแต่ปี 2007ผู้ผลิตหลายรายได้มีการปรับสูตรเพื่อให้ได้มาตรฐานตามกฎของสหรัฐอเมริกาที่ตั้งไว้ว่า “อาหารที่เสิร์ฟจะต้องมีไขมันทรานส์เป็น 0 กรัม“ได้มีการใช้วิธีการผสมน้ำมันหรือmix oil โดยการผสมกลุ่มน้ำมันได้แก่ น้ำมันมะกอกกับน้ำมันถั่วเหลืองและน้ำมันคาโนลา นำมาผสมเข้ากับน้ำ, โมโนกลีเซอไรด์และกรดไขมัน เข้าด้วยกันเพื่อผลิตเป็นไขมันที่เหมาะจะใช้ปรุงอาหาร นอกจากนี้ การปรับสูตรการผลิตอาหารเพื่อเปลี่ยนจากการใช้ไขมันทรานส์ ซึ่งผู้ผลิตสามารถเลือกทำได้ด้วยวิธีต่างๆเช่น
1. การใช้น้ำมันปาล์มที่ผ่านกระบวนการกลั่นแบบสมบูรณ์หรือ (fully refined) แทนน้ำมันที่ผ่านกระบวนการเติมไฮโดรเจนบางส่วน ( Partial Hydrogenation)ซึ่งน้ำมันที่กลั่นแบบสมบูรณ์นี้จะปลอดภัยจากไขมันทรานส์
2. การใช้กระบวนการผสมผสานน้ำมัน(oil blending)ทำให้ได้น้ำมันผสมทางเลือกใหม่ในการทำอาหาร วิธีนี้จะดึงจุดเด่นของน้ำมันแต่ละชนิดนำมาผสมกัน ให้เป็นน้ำมันผสมที่มีสัดส่วนของกรดไขมันที่สมบูรณ์ เหมาะกับวิธีใช้ปรุงอาหาร ซึ่งใช้สัดส่วนการผสมที่สอดคล้องกับคำแนะนำขององค์การอนามัยโลก น้ำมันที่เบลนด์ได้จะเหมาะสมกับวิธีปรุงอาหารแต่ละวิธีโดยไม่เกิดสารพิษหรือสารก่อมะเร็ง ซึ่งขณะนี้มีน้ำมันนี้มีวางขายแล้วในท้องตลาด
3. การใช้กระบวนการผลิตด้วยวิธี fractionation เป็นการแยกเอาไขมันของน้ำมันออกด้วยความเย็นแล้วกรองเอาไขมันนั้นไปผ่านความเย็นอีกครั้งจนเป็นของแข็งใช้เป็น shortening ทำขนมแทนมาร์การีนมักใช้น้ำมันรำข้าวเพราะมีคุณภาพดี
4. การทำ full hydrogenation คือแทนที่จะเติมไฮโดรเจนเพียงบางส่วนแบบที่ทำกับไขมันทรานส์ ก็เติมลงไปจนเต็มส่วนให้ไขมันนั้นกลายเป็นไขมันอิ่มตัวทั้งหมด แล้วจึงเอามาทำ oil blending กับน้ำมันปกติ วิธีนี้ก็จะได้ shortening ที่ไม่มีไขมันทรานส์ แต่ก็จะมีไขมันอิ่มตัวอยู่ในนั้นแทน ซึ่งก็จะทำให้กลับสู่บริบทของการบริโภคไขมันอิ่มตัว ซึ่งแม้จะมีความเสี่ยงสุขภาพ แต่ก็จะลดข้อเสียข้อหนึ่งของไขมันทรานส์ในเรื่องการไปลดปริมาณ HDL ในร่างกายลงไปได้

เมื่อเห็นแล้วว่า ผู้ผลิตทั้งหลายเขามีความพร้อมที่จะปรับเปลี่ยนผลิตภัณฑ์ให้ปลอดจากไขมันทรานส์ เราก็ไม่ต้องกังวลให้มากไปทีนี้ก็ต้องถามตัวเราเองว่าพร้อมที่จะเปลี่ยนพฤติกรรมบริโภคของตัวเองหรือยัง ยุคนี้ขนมอร่อยๆพวกเบเกอรี่มีมากมาย จะห้ามใจไม่ให้บริโภคเลยก็คงยากแต่ก็ควรทำความเข้าใจในส่วนประกอบผลิตภัณฑ์อาหาร และหมั่นหาความรู้ด้านวิทยาศาสตร์การอาหารเพื่อรู้ว่าสิ่งที่เราบริโภคนั้นมีความเสี่ยงมากแค่ไหนจะได้เลือกสิ่งที่ดีที่สุดเพื่อสุขภาพที่ดีของเรา หวังว่าเรื่องที่เล่ามานี้ จะทำให้คุณคลายความกังวลเรื่องไขมันทรานส์ลงไปได้บ้างนะคะ