บำรุงราษฎร์ ครบรอบ 40 ปี มั่นใจศักยภาพการแพทย์ครบทุกมิติ นำไทยสู่แถวหน้าด้านการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ของโลก

จากการประชุมศูนย์กลางด้านการแพทย์ ปี 2561 รายงานว่ามีผู้ป่วยต่างชาติมาใช้บริการในด้านการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ ประมาณ 3.4 ล้านครั้ง สร้างรายได้ให้ประเทศกว่า 1.4 แสนล้านบาท และไทยยังมีสถานบริการสุขภาพผ่านมาตรฐานคุณภาพสถานพยาบาลระดับสากลJCI ถึง 68 แห่ง มากที่สุดในอาเซียน สะท้อนให้เห็นถึงความได้เปรียบในการแข่งขันด้าน Medical Hub ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายประเทศ

Bumrungrad -13

ภญ.อาทิรัตน์ จารุกิจพิพัฒน์ ผู้อำนวยการด้านบริหาร (CEO) โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์

Bumrungrad -7

ในโอกาสครบรอบ 40 ปี โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ภญ.อาทิรัตน์ จารุกิจพิพัฒน์ ผู้อำนวยการด้านบริหาร (CEO) โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ เปิดเผยว่า นับตั้งแต่วันแรกที่เปิดให้บริการคือวันที่ 17 กันยายน 2523 บำรุงราษฎร์ให้การบริบาลผู้ทั้งคนไทยและคนทั่วโลกมาถึง 40 ปีการรักษาคือหัวใจสำคัญที่เรายึดมั่นมาตลอดโดยยึดผู้ป่วยเป็นศูนย์กลางเพื่อส่งมอบการรักษาและประสบการณ์ที่ดีที่สุดด้วยคุณภาพมาตรฐานและความปลอดภัย รวมทั้งความพยายามที่จะยกระดับคุณภาพการรักษาและการบริการอยู่ตลอดเวลาอย่างต่อเนื่อง เป็นผลสืบเนื่องในวันนี้ โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ได้กลายเป็นที่ประจักษ์และได้รับการยอมรับว่า เป็นต้นแบบและจุดหมายหมายปลายทางของการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ของโลก (Medical Tourism Destination) โดยโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์เป็นโรงพยาบาลแห่งแรกของโลกที่ได้การประกาศรับรองจาก Global Healthcare Accreditation (GHA) COVID-19 ซึ่งเป็นการรับรองด้านมาตรฐานความปลอดภัยระดับสากลสำหรับการจัดการการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ

Bumrungrad -1

ด้วยประสบการณ์กว่า 40 ปีของโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ เรายังคงมุ่งมั่นในการขับเคลื่อนองค์กรสู่การบริบาลสุขภาพแบบองค์รวมระดับโลก โดยบำรุงราษฎร์ได้ยกระดับสู่โรงพยาบาลในการรักษาขั้นจตุตถภูมิ (Quaternary Care) ซึ่งจะอยู่บนยอดปิระมิดสูงสุดในการรักษาพยาบาล เป็นการให้การบริบาลทางการแพทย์ที่มีความซับซ้อนอย่างมากด้วยนวัตกรรมขั้นสูง เราได้เล็งเห็นเทรนด์โลกด้าน Wellness จึงได้ทำงานร่วมกับศูนย์ส่งเสริมสุขภาพไวทัลไลฟ์ ซึ่งเป็นศูนย์สุขภาพการแพทย์เชิงป้องกันแห่งแรกในภูมิภาคเอเชีย ที่มีประสบการณ์กว่า 20 ปี เพื่อให้การดูแลสุขภาพครอบคลุมในทุกมิติ ตามแนวคิดการแพทย์แบบผสมผสาน (Integrated Medicine) ทั้งในด้านการแพทย์แผนปัจจุบัน (Conventional medicine) และการรักษาเชิงป้องกัน (Preventive Medicine) แบบองค์รวม ซึ่งเป็นเทรนด์ของการดูแลสุขภาพ ที่มีการวิเคราะห์เชิงลึกถึงระดับพันธุกรรม ด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรมทางการแพทย์ เพื่อค้นหาความเสี่ยงในการเกิดโรคในอนาคต รวมถึงวางแผนการดูแลรักษาแบบเฉพาะบุคคล (Personalized Medicine) เพื่อผลลัพธ์การรักษาที่มีประสิทธิภาพ ภายใต้มาตรฐานและคุณภาพระดับสากล

Bumrungrad -6

รศ.นพ. ทวีสิน ตันประยูร ผู้อำนวยการปฏิบัติการทางการแพทย์ โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ กล่าวว่า ตลอด 4 ทศวรรษ บำรุงราษฎร์ได้ทำงานร่วมกันอย่างสอดประสาน ระหว่างแพทย์ผู้ชำนาญการต่างสาขากับบุคลากรทางการแพทย์ในหลายสาขาวิชาชีพ เพราะโดยลำพังแพทย์เองก็ไม่สามารถดูแลรักษาผู้ป่วยได้อย่างมีประสิทธิภาพ โชคดีที่เรามีทีมที่มีประสิทธิภาพ ทั้งแพทย์เฉพาะทาง อาทิ แพทย์ผู้ชำนาญการเฉพาะทางระบบประสาท ทางลิ้นหัวใจ หัวใจเต้นผิดจังหวะ ทารกแรกเกิด มะเร็งเฉพาะส่วนมีพยาบาลวิชาชีพเฉพาะทางในหลายสาขา เช่น พยาบาลเฉพาะทางผู้ป่วยวิกฤตทารกแรกเกิด ทางด้านหัวใจและหลอดเลือด ทางด้านออร์โธปิดิกส์ รวมถึงเภสัชกรวิชาชีพกว่า 100 คน ที่มีความชำนาญเฉพาะทาง เช่น เภสัชกรด้านมะเร็ง เภสัชกรผู้ป่วยวิกฤต เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีนักกายภาพบำบัด นักโภชนาการ นักเทคนิคการแพทย์ และบุคลากรวิชาชีพอื่นๆ อีกกว่า 4,800 คน ที่ทำงานร่วมกัน ซึ่งพร้อมดูแลผู้ป่วยตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อส่งมอบการดูแลรักษาให้แก่ผู้ป่วยอย่างมีประสิทธิภาพในระยะเวลาอันรวดเร็ว

บำรุงราษฎร์ได้นำเทคโนโลยีที่ทันสมัยเข้ามาช่วยเสริมประสิทธิภาพการรักษาอย่างเหมาะสม เพื่อให้สามารถดูแลรักษาโรคเฉพาะทางและซับซ้อนได้อย่างครอบคลุมและมีผลลัพธ์ที่ดีที่สุด อาทิ ศูนย์หุ่นยนต์ช่วยผ่าตัด (Robotic Surgery Center) เป็นการนำหุ่นยนต์เข้ามาช่วยแพทย์ในการผ่าตัด โดยเฉพาะกับอวัยวะสำคัญต่าง ๆ ที่มีความซับซ้อนละเอียดอ่อน การใช้แขนกลหุ่นยนต์ช่วยผ่าตัด ช่วยให้ได้ผลลัพธ์การรักษาที่ดีขึ้น หรือการนำเทคโนโลยีขั้นสูง AI IBM Watson for Oncology เพื่อวางแผนการรักษาโรคมะเร็งแบบเฉพาะเจาะจงให้ผู้ป่วยแต่ละราย เพื่อรักษาต้นเหตุของโรคอย่างแม่นยำและตรงจุด จากองค์ประกอบ 3 ประการ คือ การบริบาลด้วยความเอื้ออาทร ความร่วมมือระหว่างกัน และการใช้เทคโนโลยีอย่างเหมาะสม จึงทำให้บำรุงราษฎร์ ได้รับความไว้วางใจจากผู้ป่วยทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ เป็นจำนวนกว่า 1.1 ล้านรายในแต่ละปี และทำให้บำรุงราษฎร์ เป็นจุดหมายปลายทางทางการแพทย์ของผู้คนทั่วโลก

Bumrungrad -3

ในช่วงเสวนา “กรณีศึกษาโควิด-19 กับศักยภาพธุรกิจภาคบริการของประเทศไทยสู่อนาคตโลก”จากตัวแทนภาคธุรกิจบริการ ถือเป็นอีกแรงขับเคลื่อนที่จะร่วมฟื้นฟูและสร้างรายได้ให้กับประเทศเพื่อผ่านพ้นวิกฤตครั้งนี้ไปได้

Bumrungrad -8

เริ่มด้วย นายคมกริช ด้วงเงิน ผู้อำนวยการกองสร้างสรรค์สินค้าการท่องเที่ยว การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยให้ความเห็นว่า ยุทธศาสตร์ด้านการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ของ ททท. ช่วง New Normal นี้จะมุ่งทำตลาดแบบเจาะจงกลุ่ม โดยเฉพาะกลุ่ม Health and Wellness ซึ่งจะเน้นเชิงคุณภาพมากกว่าปริมาณ และมุ่งไปสู่การท่องเที่ยว 3 แบบ คือ การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ การท่องเที่ยวร่วมกับการรักษา หรือ Medical Tourism และการท่องเที่ยวเชิงเกษตร/อาหาร โดยจะชูจุดขายเรื่องความปลอดภัย เรื่องเอกลักษณ์ด้านวัฒนธรรมและอาหาร เรื่องความสวยงามของธรรมชาติที่ได้รับการฟื้นฟู และน้ำใจความเอื้ออาทรของคนไทยในการช่วยเหลือเกื้อกูล ขณะเดียวกันก็จะเพิ่มมูลค่าด้วยการพัฒนาบุคลากรด้านการท่องเที่ยว รวมถึงการทำดิจิทัลแพลตฟอร์มให้เกิดในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวร่วมกับการดูแลสุขภาพให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น

Bumrungrad -9

นายธนา เธียรอัจฉริยะ รองผู้จัดการใหญ่อาวุโส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มงานการตลาด และรักษาการ รองผู้จัดการใหญ่อาวุโส ผู้บริหารสูงสุด กลุ่มงานสื่อสารองค์กรและกิจกรรมเพื่อสังคม ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)ให้มุมมองถึงธุรกิจธนาคารว่าโควิด-19 เป็นตัวเร่งดิจิทัลแบงกิ้งส่งผลให้ธนาคารต้องปรับแผนดิจิทัลแบงกิ้งที่เคยวางไว้ที่จะทำในช่วง 2-3 ปีต่อจากนี้ มาเป็นต้องทำให้ได้ภายใน 1-2 เดือน เนื่องจากลูกค้าไม่ต้องการไปสาขาและต้องย้ายการทำธุรกรรมต่าง ๆ มาอยู่บนโทรศัพท์มือถือทั้งหมด รวมถึงปรับวัฒนธรรมองค์กรเพื่อรับวิถีใหม่ โดยหัวใจสำคัญจะอยู่ที่การทำงานให้สำเร็จ ซึ่งเป็นหลักการใหม่ที่เรียกว่า ‘SCB from Anywhere คือ ทำงานที่ไหนก็ได้ แต่ต้องทำงาน เพื่อรองรับลูกค้าให้ได้’ ที่สำคัญวัฒนธรรมองค์กรก็ต้องเอื้อต่อการทดลองสิ่งใหม่ให้ได้ในระยะเวลาอันสั้น เพื่อให้ธนาคารสามารถทดลองสิ่งต่าง ๆ ให้เร็วและไม่กลัวที่จะล้มเหลว แต่ก็ต้องรีบปรับเปลี่ยนให้ดีขึ้นอย่างรวดเร็ว

Bumrungrad -10

ดร.ปิยะพงษ์ ธัญญศรีสังข์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส ฝ่ายบริหาร บริษัท สรรพสินค้าเซ็นทรัล จำกัด ในเครือกลุ่มเซ็นทรัลรีเทล กล่าวว่าห้างเซ็นทรัล ต้องปรับแผนกลยุทธ์ทั้งออฟไลน์และออนไลน์ โดยให้ความสำคัญเรื่องความสะอาดและสุขอนามัยของลูกค้า พนักงาน รวมถึงพนักงานในร้านค้า รวมทั้งนำเทคโนโลยีการอบโอโซน และ UVC มาใช้ในการฆ่าเชื้อโรคบนธนบัตร มีมาตรการ Social Distancing รวมถึงมีการTracking เพื่อติดตามข้อมูลสุขภาพของพนักงาน และลูกค้าที่มาใช้บริการในห้าง ด้านของเทคโนโลยี ได้มีการปรับปรุงพัฒนาระบบต่างๆ เพื่อมอบประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้าในทุกช่องทาง และรองรับความรวดเร็วในการซื้อขายสินค้าผ่านแพลตฟอร์มออมนิแชนเนล และเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ห้างเซ็นทรัลฯ ได้จับมือกับโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ เปิดบริการ ‘Central at Bumrungrad’ ให้ลูกค้าสามารถสั่งซื้อสินค้าผ่านบริการ ‘Chat & Shop’ และ ‘Call & Shop’ ตอบโจทย์ผู้มาพักโรงพยาบาลพร้อมส่งฟรีถึงโรงพยาบาลทุกออเดอร์ไม่มีขั้นต่ำ และจัดส่งภายในวันเดียวกันเมื่อยืนยันออเดอร์ก่อนเวลา 18.00 น. เสมือนยกห้างเซ็นทรัลมาไว้ที่โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์

Bumrungrad -11

คุณนภัส เปาโรหิตย์ Chief Marketing Officer โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ให้ความคิดเห็นว่า ปี 2563 นับเป็นก้าวสำคัญของวงการแพทย์และสาธารณสุขไทยที่จะก้าวสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ จากเหตุการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ได้สะท้อนให้เห็นถึงสปิริตของแพทย์ไทย โรงพยาบาลภาครัฐ และโรงพยาบาลเอกชน ต่างให้ความร่วมมืออย่างสุดความสามารถในการดูแลรักษาคนไทยเพื่อให้ปลอดภัยจากการติดเชื้อโควิด-19 พร้อมรักษาพยาบาลผู้ป่วยให้กลับมาเป็นปกติโดยเร็ว รวมถึงช่วยเหลือสังคมไทยให้ผ่านพ้นวิกฤตครั้งนี้ไปด้วยกัน ทว่าแล้วท่ามกลางวิกฤตยังมีโอกาสที่ประเทศได้สร้างชื่อเสียงด้าน Medical Tourism เพื่อก้าวสู่ศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ อีกทั้งยังมีข้อได้เปรียบในเรื่องคุณภาพของโรงพยาบาล ความชำนาญการของแพทย์ไทย รวมถึงค่ารักษาพยาบาลที่ประหยัดกว่าสหรัฐอเมริกา ประมาณ 40-75% หรือสิงคโปร์ ประมาณ 30% หากเทียบกับในระดับมาตรฐานสากล ซึ่งโครงสร้างค่ารักษาพยาบาลถือเป็นอีกปัจจัยสำคัญในการแข่งขันสู่ Medical Hub ในระดับโลก

ซึ่งปีนี้ ถือเป็นอีกปีที่มีความท้าทายอย่างมาก เนื่องจากระยะแรกของวิกฤตโควิด-19 ทุกภาคส่วนต่างให้ความสำคัญและฝากความหวังไว้กับบุคลากรทางการแพทย์ ในฐานะโรงพยาบาลเอกชนชั้นนำ จึงต้องก้าวให้เร็วกว่าปกติ ยอมรับการเปลี่ยนแปลง กล้าคิดและกล้าทำในสิ่งใหม่ๆ และตัดสินใจอย่างรวดเร็ว โดยได้เตรียมความพร้อมในเรื่อง บุคลากร องค์ความรู้ นวัตกรรม และเทคโนโลยี รวมถึงได้มีการพัฒนายกระดับการให้บริการต่างๆ เพื่อให้สอดรับกับ New Normal และพฤติกรรมของผู้มาใช้บริการที่เปลี่ยนไปให้ครอบคลุมในทุกมิติเช่น การแยกพื้นที่บริการเพื่อลดความเสี่ยงการติดเชื้อ, บริการ teleconsultation, บริการ Homecare Services หรือชื่อว่า Bumrungrad @ Home Service Center เพื่อให้บริการดูแลสุขภาพอย่างต่อเนื่องถึงบ้านและบริการ “60 Second Service” เพื่อให้บริการขั้นพื้นฐาน เช่น ฉีดวัคซีน และรับยาเป็นไปด้วยความรวดเร็ว เข้าถึงง่าย และปลอดภัยสูงสุดขณะเดียวกันก็ต้องคำนึงถึงความปลอดภัยสูงสุดของผู้ป่วย ซึ่งชาวบำรุงราษฎร์สามารถแก้ปัญหาทันต่อสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีขีดเวลาจำกัดได้เป็นอย่างดี สอดคล้องกับทิศทางขององค์กร เพื่อก้าวสู่โลกแห่งอนาคตในวิถี New Normal

ทั้งนี้ การพัฒนาอุตสาหกรรมการรักษาพยาบาลอย่างยั่งยืนต้องเดินไปพร้อมกันทั้งองคาพยพ นอกจากบุคลากรแพทย์ เทคโนโลยีใหม่ๆ เครื่องมือทันสมัย ตลอดจนคุณภาพการให้บริการแล้วนั้น อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญคือ การสร้างระบบเครือข่ายพันธมิตร เพื่อขยายกลุ่มเป้าหมายฐานลูกค้ากว้างขึ้น ดึงจุดแข็งที่แต่ละองค์กรมี มาแบ่งปันองค์ความรู้ให้กันและกัน ประสานความร่วมมือสร้างการเติบโตไปพร้อมกัน นี่คือหัวใจสำคัญของการสร้างความยั่งยืนในธุรกิจปัจจุบัน

Bumrungrad -12

ปิดท้ายด้วย คุณลิเดีย ศรัณย์รัชต์ ดีน ในฐานะตัวแทนผู้ใช้บริการ แชร์ประสบการณ์ว่าประเทศไทยเป็นประเทศที่มีระบบทางการแพทย์ที่ดีมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก มีโรงพยาบาลที่มีคุณภาพ มีการทำงานอย่างมืออาชีพ มีมาตรการการคัดกรองและคัดแยกที่รัดกุม มีแพทย์ที่เก่งและมีความสามารถสูง มีเครื่องมือเทคโนโลยีที่ทันสมัย มีอุปกรณ์ป้องกันโควิด-19 ที่มีคุณภาพอย่างครบครัน มีการรักษาพยาบาลอย่างมีประสิทธิภาพ ดูแลทั้งสภาพร่างกายและจิตใจ ซึ่งผู้ป่วยเองก็สามารถเข้าถึงบุคลากรทางการแพทย์ได้ง่าย และยังมีค่ารักษาพยาบาลที่เป็นธรรม จากที่ตนป่วยเป็นโควิด-19 ทำให้รู้สึกเข้าใจแพทย์ พยาบาล และทุกสหวิชาชีพที่ต้องทำงานท่ามกลางสภาวะกดดันแต่ทุกคนยอมสละเวลาและอุทิศตนเพื่อประโยชน์ส่วนรวมและเพื่อประเทศชาติ ทำให้รู้สึกศรัทธาในอาชีพ ‘นักรบชุดขาว’ ด้วยใจจริง และขอส่งกำลังใจถึงทุกอาชีพในรั้วโรงพยาบาลทุกคน พร้อมมั่นใจว่าประเทศไทยจะเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางด้านการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ในระดับโลกได้ไม่เป็นรองใคร

Bumrungrad -4

ภญ.อาทิรัตน์ จารุกิจพิพัฒน์ ผู้อำนวยการด้านบริหาร (CEO) โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์

Bumrungrad -5

ผู้บริหารโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ กับ คุณลิเดีย ศรัณย์รัชต์ ดีน

Bumrungrad -2

ดื่มนมอย่างไรไม่ให้เพิ่มน้ำหนักตัว

นมคืออาหารแรกของเราเมื่อลืมตาดูโลก และก็เป็นอาหารจำเป็นของคนทั้งโลกทั้งผสมในชากาแฟหรือบริโภคเดี่ยวๆหลายคนที่จะรู้สึกว่าขาดอะไรไป ถ้าไม่ได้เริ่มต้นวันใหม่ด้วยการดื่มนมสักถ้วยแต่ก็มีการศึกษาที่ระบุว่านมอาจมีผลข้างเคียงที่ควรระวังกับร่างกายของคุณได้ ถ้าดื่มมันไม่ถูกวิธี เช่นปัญหาระบบการย่อย, ท้องอืด, ผื่นแพ้ผิวหนัง, น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นหรือแม้แต่ปัญหาการทำงานของไตที่ผิดปกติ แล้วอะไรคือวิธีดีที่สุดในการดื่มนมให้เพิ่มกำไรสุขภาพ นี่คือความลับที่ต้องเรียนรู้

ประโยชน์ของนม:
นม…ซูเปอร์เครื่องดื่มในความเห็นนักโภชนาการ มันเป็นสิ่งอุดมคุณค่าที่ครบถ้วนต่อร่างกายมากที่สุด ทั้งแร่ธาตุแคลเซียม, แมกนีเซียม, โปตัสเซียม, สังกะสี, วิตามิน, และโปรตีนและยังช่วยในเรื่องต่างๆมากมายอาทิช่วยควบคุมความรู้สึกอยากอาหาร, เป็นเครื่องดื่มที่ดีสำหรับผู้เป็นโรคเบาหวาน, ช่วยให้ระบบการทำงานของหัวใจ, เพิ่มความแข็งแรงให้กระดูกและฟัน, ช่วยลดความหดหู่เหนื่อยล้า,ลดอาการเจ็บป่วยช่วงมีรอบเดือนหรือPMS, เสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ, ช่วยให้ร่างกายชุ่มชื่นจากน้ำที่เป็นส่วนประกอบสำคัญในนมนอกจากนี้ การดื่มนมยังช่วยให้ผิวสวยเปล่งปลั่ง ช่วยให้ผิวไม่แห้งและช่วยผ่อนคลายร่างกายจากสภาวะกรดเกินในกระเพาะอาหาร

ดื่มนมอย่างไรไม่ให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น
มีงานวิจัยหลายชิ้นระบุว่า วิธีดื่มนมแบบผิดๆจะทำให้เกิดผลเสียกับร่างกายโดยเฉพาะกับผิวหนังของเรา บางทีการที่เราเป็นสิวปะทุไม่รู้จักจักหายสักที ก็อาจมีสาเหตุมาจากเรื่องนี้ก็ได้ รวมถึงการเกิดโรคภูมิแพ้, ท้องอืด, ปัญหาของระบบการย่อย ซึ่งหากต้องการขจัดปัญหาให้หมดไปก็ต้องมาเรียนรู้และเข้าใจวิธีการดื่มนมให้ถูกต้องเสียก่อน มาดูปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นกับร่างกายเมื่อเราดื่มนมคู่กับอาหารต่างๆเหล่านี้

Heakth MILK 4

1. นมกับอาหารรสเค็ม: อายุรเวทโบราณบอกไว้ว่าให้เลี่ยงการบริโภคนมควบคู่กับเกลือหรืออาหารที่มีรสเค็มเพราะการทำแบบนี้เหมือนกับเรานำพิษเข้าสู่ร่างกายที่เป็นแบบนี้ก็เพราะนมกับเกลือเมื่ออยู่ด้วยกัน มันจะแสดงออกถึงสภาวะคุณสมบัติของสองสิ่งที่ขัดแย้งกันอย่างชัดเจนตามหลักของอายุรเวท ซึ่งมีเหตุผลทางโภชนวิทยาสนับสนุนเรื่องนี้ว่าเมื่อโซเดียมคือเกลือถูกผสมเข้ากับนมมันจะสามารถไปรบกวนแคลเซียมอิอออน(calcium ion)หรือประจุแคลเซียมของสารแคลเซียมเคซีนเนท(calcium caseinate)สารฟอสโฟโปรตีนที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ซึ่งพบในนมของมนุษย์และสัตว์ ผลเสียนี้อาจไม่ได้แสดงให้เห็นได้ทันที แต่มันจะสะสมและแสดงออกในเวลาต่อมาด้วยปัญหาสุขภาพที่ก่อตัวขึ้นเรื่อยๆนำไปสู่ความผิดปกติต่างๆของร่างกาย, ปัญหาผิวหนัง, แกสในกระเพาะอาหาร ฯลฯ ดังนั้น จึงไม่ควรปรุงอาหารเครื่องเทศที่มีรสเค็มเช่นแกงกะหรี่หรือซอสเค็มต่างๆโดยใช้นมเป็นส่วนผสม และถ้าจะบริโภคสองสิ่งนี้ ก็ให้ทิ้งระยะการบริโภคให้ห่างกันอย่างน้อย 1 ชั่วโมง

2. นมกับอาหารโปรตีน:จากข้อมูลของนักโภชนาการระบุว่า การบริโภคนมคู่กับอาหารโปรตีน จะทำให้เรารู้สึกอิ่มแน่นเกินไปและจะทำให้เกิดปัญหาของระบบการย่อยเพราะความหนักของอาหารทั้งยังทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นอีกด้วยถ้าคุณต้องการบริโภคตามหลักโภชนาการที่ดี ก็ควรเลี่ยงการผสมผสานแบบนี้ แต่ถ้าคุณต้องการเพิ่มน้ำหนักตัว การบริโภคแบบนี้ก็อาจเหมาะสำหรับคุณแต่จำไว้ว่าไม่ควรบริโภคอาหารโปรตีนสองชนิดพร้อมกันในคราวเดียวเพราะถึงอย่างไรมันก็ทำให้เกิดปัญหากับระบบการย่อยอยู่ดี ควรเว้นระยะเวลาให้ห่างกันอย่างน้อย 2 ชั่วโมง

Heakth MILK 2

3. นมกับกล้วยหอม:ศาสตร์อายุรเวทระบุว่า การบริโภคนมคู่กันกับกล้วยหอมนั้นหนักเกินไปสำหรับระบบการย่อย และจะทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นแต่ถ้าคุณชอบสมูตตี้นมปั่นกับกล้วยหอมละก็ ให้โรยผงกระวานและผงลูกจันทน์ป่นลงไปด้วยเพื่อให้มันช่วยกระตุ้นระบบการย่อยอาหารนอกจากนี้ การบริโภคผลไม้รสเปรี้ยวเช่นเชอรี่ สตรอเบอร์รี่ เลมอนและส้ม ร่วมกับนมก็ไม่ใช่สิ่งที่ดีสำหรับร่างกาย เพราะนมเป็นอาหารที่ไม่เข้ากับผลไม้ในกลุ่มนี้ซึ่งถึงแม้มันจะเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับการทำสมูตตี้นมใส่ผลไม้ต่างๆแต่คุณก็ไม่ควรประมาทในเรื่องของระบบการย่อย เพราะผลไม้บางอย่างเมื่อรวมกับผลิตภัณฑ์จากนมจะทำให้เกิดปัญหาการย่อยและกรดเกินในกระเพาะอาหาร เพราะในทางอายุรเวท ผลไม้ทำให้เกิดความร้อนกับระบบการย่อย ในขณะที่นมเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดความเย็นดังนั้นเมื่อรวมกันก็จะเกิดปฏิกิริยาขัดกันในร่างกาย

Heakth MILK 3

4. นมกับมื้ออาหาร:นมไม่ควรจะถูกนำไปบริโภคพร้อมกับกับอาหารใดๆเพราะมันเป็นอาหารที่ครบถ้วนในตัวเองอยู่แล้ว ถ้าทำแบบนั้นก็เท่ากับบริโภคอาหารสองมื้อในคราวเดียวกัน ซึ่งยิ่งทำความกดดันให้ระบบการย่อยทำงานหนักเป็นสองเท่า น้ำหนักตัวก็จะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจำไว้ว่านมต้องการการย่อยที่แยกต่างหากจากอาหารชนิดอื่นๆจึงควรทิ้งระยะห่างของการดื่มนมและมื้ออาหารให้ห่างกันประมาณ 3-4 ชั่วโมงจะดีกว่า

5. นมกับน้ำตาล:น้ำตาลบนโต๊ะอาหาร เป็นน้ำตาลที่ผ่านกระบวนการฟอกสี จึงเป็นคาร์โบไฮเดรตที่ร่างกายจะย่อยสลายเป็นพลังงานได้ง่าย ทั้งมันให้พลังงานที่สูงเกินไปอีกด้วยเมื่อร่างกายได้รับพลังงานสูงๆอย่างกะทันหัน มันก็จะไม่รู้จักวิธีที่จะเก็บกักพลังงานนี้ไว้ใช้ระยะยาว จึงแปรสภาพคาร์โบไฮเดรตที่ได้จากน้ำตาลนี้ ให้กลายเป็นไขมันและส่งไปเก็บไว้ตามอวัยวะต่างๆเช่นที่หน้าท้อง ยิ่งกว่านั้นก็คือเมื่อน้ำตาลผสมรวมกับนมก็จะให้แคลอรี่ที่สูงมาก ทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

ดื่มนมเวลาไหนไม่ให้เพิ่มน้ำหนัก

Heakth MILK 1

การรู้จักเวลาเหมาะสมในการดื่มนม จะทำให้เราได้รับผลกำไรจากมันมากที่สุดอายุรเวทบอกว่า เวลาของการดื่มนมให้ดีต่อร่างกายคือช่วงเช้าและเย็นเมื่อท้องว่าง การดื่มนมตอนเช้าสารอาหารจากนมจะไปช่วยไปเสริมสร้างความแข็งแรงให้ได้เต็มที่ แต่มีข้อเสียคือนมก็อาจจะทำให้คุณรู้สึกเฉื่อยชาไม่กระตือรือร้นเท่าที่ควรเพราะมันไปทำความหนักให้กับระบบการย่อยทั้งหลายคนมักเกิดปัญหาจากกรดในกระเพาะอาหารเมื่อดื่มนมตอนเช้า ถ้าเป็นแบบนี้ก็ให้เปลี่ยนเป็นดื่มนมตอนเย็นแทนซึ่งเวลาที่ดีที่สุดคือหลังพระอาทิตย์ตกเพราะเป็นช่วงเวลาที่เอนไซม์ที่ใช้ในการย่อยนมจะทำงานมีประสิทธิภาพมากที่สุด นอกจากนมจะช่วยเสริมสร้างร่างกายแล้ว ก็ยังช่วยให้นอนหลับได้ดีขึ้นช่วยฟื้นฟูระบบความจำนักอายุรเวทจึงแนะนำว่าควรดื่มนมก่อนนอนหลังมื้อเย็นประมาณ2 ชั่วโมง และนมที่ดีต่อสุขภาพคือนมอุ่นไม่ใช่นมเย็น

 

นอกจากจะรู้วิธีดื่มนมและเข้าใจเรื่องการบริโภคอาหารต่างๆกับนมอย่างถูกต้องแล้ว ปริมาณและชนิดของอาหาร ตลอดจนการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ก็เป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้คุณควบคุมน้ำหนักตัวที่เหมาะสมไว้ได้และสำหรับก่อนนอนคืนนี้ ก็อย่าลืมให้รางวัลสุขภาพกับร่างกายคุณ ด้วยนมอุ่นๆสักแก้วนะคะ

Club No Sugar ตอบโจทย์เอาใจคนรักสุขภาพ พร้อมเสิร์ฟเมนูอาหารคีโตแบบวาไรตี้ #อร่อยเข้าถึงง่าย

ตามที่ได้ยินมาว่าตอนนี้เดี๋ยวนี้คนรักสุขภาพที่ให้ความสำคัญกับการดูแลตัวเองและเลือกอาหารการกินที่เหมาะกับทั้งไลฟ์สไตล์และสุขภาพกายใจ เขากำลังอินกับเทรนด์อาหารคีโตเจนิคกันเป็นอย่างมาก นั่นเป็นเพราะหลายคนที่ลองทานดูแล้วสุขภาพดีขึ้นจริง โดยเฉพาะคนที่เผชิญหน้ากับโรคเบาหวาน ทำให้ต้องห่างจากพวกแป้งพวกน้ำตาล รวมถึงคนที่กำลังควบคุมน้ำหนัก พอได้มาเข้าสู่โหมดคีโตแล้วมันทั้งใช่และตอบโจทย์สุขภาพไปด้วยกัน

Club No Sugar 3

Club No Sugar 4

Club No Sugar 5

ที่น่าสนใจคือเป็นการกินไขมันในสัดส่วนที่เยอะ แต่ให้ผลในเรื่องของน้ำหนักลดเนื่องจากสัดส่วนการกินแบบคีโต คือ คาร์โบไฮเดรต 5 เปอร์เซ็นต์ โปรตีน 20 เปอร์เซ็นต์ และไขมัน 75 เปอร์เซ็นต์ หลายๆ คนได้หันมาดูแลสุขภาพด้วยการเข้าสู่โหมดการกินอาหารในแนวคีโต (โดยการกินคีโตที่ถูกต้องจะมีกระบวนการในการเตรียมความพร้อมและปรับร่างกายก่อน เพื่อให้ร่างกายเข้าสู่โหมดการนำไขมันมาใช้เป็นพลังงานได้อย่างถูกหลัก) ถ้าเป็นอาหารคีโตจะไม่มีส่วนผสมของแป้ง (ยกเว้นแป้งอัลมอนด์และแป้งมะพร้าว) และจะไม่มีส่วนผสมของน้ำตาล แต่ใช้สารให้ความหวานธรรมชาติแทน เพราะฉะนั้นถึงจะเป็นเมนูคีโต แต่คนทั่วไปก็กินได้ เพราะการตัดแป้งกับน้ำตาลออกไป ยังไงก็ดีต่อสุขภาพอยู่แล้ว และต้องบอกว่ารสชาติของเมนูคีโตไม่แตกต่างจากรสชาติอาหารทั่วไป เพียงแต่ต่างตรงวัตถุดิบที่เลือกใช้

Club No Sugar 9

Club No Sugar 1

Club No Sugar 2

และเพื่อรองรับการเติบโตของคนกินอาหารแนวคีโต Club No Sugar จึงเกิดขึ้น นับเป็นร้านอาหารแนวคีโตขนาดใหญ่และครบวงจร คุณกรรณิกา สุจิวรกุล ผู้เป็นเจ้าของได้พูดถึงจุดเริ่มต้นของร้าน Club No Sugar ให้ทราบว่า “เริ่มต้นจากแนวความคิดที่อยากให้มีสถานที่ที่ชาวคีโต ได้มีโอกาสมาพบปะสังสรรค์ แลกเปลี่ยนความคิดกัน และยังเป็นที่ให้ความรู้เกี่ยวกับคีโตเจนิค ไดเอ็ทอีกด้วย อยากให้เข้ามาแล้วสัมผัสได้ถึงบรรยากาศสบายๆ เหมือนเป็นหลังใหญ่ที่เข้ามาแล้วรู้สึกอบอุ่น เป็นกันเองเหมือนคนในครอบครัว โดยมีอาหารปรุงสด มีเบเกอรี่สดใหม่ และมีซูเปอร์มาร์เก็ตที่รวบรวมเอาวัตถุดิบคีโตมาอยู่ในที่เดียวกัน Club No Sugar เป็นคลับของคนรักสุขภาพ เรียกว่าแวะมาที่ร้านจุดเดียว เรามีทั้งร้านอาหาร คาเฟ่ และซูเปอร์มาร์เก็ตสำหรับจับจ่ายค่ะ”

Club No Sugar คุณกรรณิกา สุจิวรกุล (กรรมการผู้จัดการ)

คุณกรรณิกา สุจิวรกุล (กรรมการผู้จัดการ) Club No Sugar

Club No Sugar คุณพิพัฒน์ เรืองรองหิรัญญา (รองกรรมการผู้จัดการ)

คุณพิพัฒน์ เรืองรองหิรัญญา (รองกรรมการผู้จัดการ) Club No Sugar

สำหรับพื้นที่ภายในร้านได้มีการจัดแบ่งโซน และการจัดวางที่นั่งที่หลากหลาย โซนแรก…คือห้องอาหาร กว้างขวาง มีชั้นล่าง ชั้นลอย ติดแอร์เย็นฉ่ำ ซึ่งอาหารแนวคีโตจะแยกครัวกับอาหารทั่วไป ปรุงฝีมือโดยเชฟที่คร่ำหวอดและมีประสบการณ์ในการทำอาหาร โซนที่สอง…คาเฟ่ บรรยากาศสบายเป็นกันเอง เป็นมุมที่สร้างแรงบันดาลใจ สำหรับมานั่งใช้ความคิด นั่งทำงานชิลล์ ๆ สำหรับคอชา-กาแฟ และเครื่องดื่ม ที่มีบริการทั้งแนวคีโตและเครื่องดื่มกาแฟปกติ รวมถึงซิกเนเจอร์ที่หลายคนมาแล้วพลาดไม่ได้ คือเค้กคีโตหลากหลายรสชาติ ที่อร่อยได้โดยไม่ต้องกลัวอ้วน และที่คั่นตรงกลางระหว่างสองพื้นที่ คือ โซนที่สาม…เอ้าท์ดอร์ เป็นบรรยากาศสวน สบายตาด้วยสีเขียวของต้นไม้ใหญ่ ยังมีปลาคราฟท์หลากสีนับร้อยที่แหวกว่ายอยู่ในบ่อ ทำให้พื้นที่ตรงนี้เป็นมากกว่าโต๊ะนั่งกินอาหาร แต่ยังกลายเป็นมุมพักผ่อนอีกด้วย โดยเฉพาะครอบครัวที่มีเด็กๆ โซนที่สี่…คือ ซูเปอร์มาร์เก็ต ที่จำหน่ายผลิตภัณฑ์สำหรับอาหารคีโต และอาหารเพื่อสุขภาพโดยเฉพาะบรรดาเบเกอรี่ต่าง ๆ ที่นอกจากจะมีหลายแบรนด์แล้ว ทางร้านยังมีครัวสำหรับทำเบเกอรี่และขนมเอง โดยฝีมือเชฟเพรสทรี้ จาก เลอ กอร์ ดอง เบลอ มีขนมอบ สด ใหม่ จากครัวทุกวัน ส่วนทางด้านบนของร้านยังมีพื้นที่อีกหลายห้องสำหรับเป็นห้องจัดงานส่วนตัว จะงานเลี้ยง งานแต่ง งานสังสรรค์ งานสัมนา งานปาร์ตี้ เวิร์คช็อป ฯลฯ

Club No Sugar ไม่เพียงแต่มีเมนูอาหารคีโต แต่ยังมีเมนูอาหารไทย จีน ยุโรป ซึ่งเมนูอาหารทั่วไปก็มีให้เลือกไม่น้อยเช่นกันเรียกว่าคนกินคีโต คนไม่กินคีโต เป็นร้านที่บรรยากาศเหมาะสำหรับทุกเพศ ทุกวัย ไม่ว่าจะมากันเป็นครอบครัว สังสรรค์ก๊วนเพื่อน เฮฮาประสาคนรุ่นใหม่ ก็สามารถร่วมโต๊ะกันได้ด้วยความหลากหลายของอาหารที่ทางร้านมอบให้เป็นทางเลือกสำหรับผู้มาเยือนทุกคนโดยสามารถสร้างโมเมนท์ความสุขร่วมกันได้อย่างลงตัว

Club No Sugar 6

Club No Sugar 8

วันนี้ทางทีมไลฟ์สไตล์ของเว็บไซด์ The Editors Society ได้มาชมบรรยากาศร้านและชิมอาหารทั้งเมนูคีโตและเมนูอาหารทั่วไป ไหนเรามาดูกันสิว่ามีเมนูอะไรบ้าง ถ่ายภาพมาฝากกันแบบรัวๆ

Club No Sugar 11

Club No Sugar 12

หอยเชลล์อบกระเทียม ทานคู่กับคีโตบัน (เมนูคีโต) 350 บาท เมนูใหม่ล่าสุด เลือกหอยเชลล์ตัวใหญ่นำเข้าจากต่างประเทศ มีความครบเรื่อง หอมกรุ่น เพิ่มความอร่อยยิ่งขึ่นเมื่อได้ทานคู่กับขนมปังคีโตบัน

 

Club No Sugar 15

Club No Sugar 16

ผัดไทยเส้นแก้ว (เมนูคีโต) 180 บาท น้ำผัดไทยผ่านการเคี่ยวมาอย่างดี ใส่หลากหลายส่วนผสมที่เป็นสูตรลับของทางร้าน แต่ไม่มีผงชูรส ไม่มีน้ำตาล รสหวานก็ใช้เป็นสารทดแทนความหวาน ถั่วในผัดไทยจะเป็นพวกแมคคาเดเมีย อัลมอนด์ ไม่ใช้ถั่วลิสง ส่วนเส้นแก้วก็ทำจากสาหร่าย

 

Club No Sugar 13

Club No Sugar 14

หมูกระทะ (เมนูคีโต) 380 บาท เป็นอีกหนึ่งเมนูใหม่ที่ได้รับความนิยม น้ำจิ้มที่ทานคู่กันก็จะเป็นน้ำจิ้มคีโต ไม่มีผงชูรส น้ำจิ้มผ่านการเคี่ยวปรุง ใส่เกลือชมพู

 

Club No Sugar 17

ปูม้าผัดพริกเกลือ (เมนูทั่วไป) 350 บาท ไม่มีผงชูรส ผักก็ใช้ผักสดออร์แกนิก

 

Club No Sugar 18

Club No Sugar 19

Blueberry Cheesecake (เมนูคีโต) 165 บาท ชีสเนียนนุ่ม ได้ความเปรี้ยวจากมะนาว มะนาวขูดผสมเข้าไปในเนื้อชีส ชีสเป็นชีสคีโต

Club No Sugar 21

Double Chocolate Cake (เมนูคีโต) 185 บาท แป้งที่ใช้ก็ใช้ผงอัลมอนด์ อัลมอนด์บดละเอียดทำเป็นแป้งเค้ก ให้พลังงานต่ำ เป็นเค้กช็อกโกแลตสอดใส่ด้วยครีมช็อกโกแลต ส่วนด้านบนก็เป็นอัลมอนด์นูคาติน อัลมอนด์อบเคี่ยวคาราเมลหล่อฮังก๊วย

Club No Sugar 22

Strawberry Keto Cake (เมนูคีโต) 185 บาท สตรอว์เบอรี่ที่ใช้จะนำเข้าจากต่างประเทศ เนื้อเค้กวานิลลา แยมสตรอว์เบอรี่

 

Club No Sugar 23

Club No Sugar 24

Triple Fruit Soda (เมนูทั่วไป) 80 บาท มีความเหมือนอิตาเลี่ยนโซดา น้ำไซรัปด้านล่างก็มิกซ์เองโดยใช้ผลไม้สด มีแอ๊ปเปิ้ล กีวี ส้ม มีผลไม้ทั้งหมด 3 ชนิด เหมาะกับเป็นเครื่องดื่มประจำซัมเมอร์ ให้ความสดชื่น กลิ่นหอม ตกแต่งด้วยผลไม้สด

Club No Sugar 25

Black Cocoa Caramel (เมนูคีโต) 180 บาท ไม่ใช่น้ำตาล ใช้วิปปิ้งแทนนม คีโตจะทานนมไม่ได้อยู่แล้ว เพราะฉะนั้นวิปปิ้งที่ใช้จะเป็นวิปปิ้งแท้ 100% ถูกสกัดแยกน้ำตาลออกหมดแล้ว จะใช้สารให้ความหวานแทนน้ำตาล ทำหน้าที่เทียบเท่าน้ำตาล แต่ให้พลังงาน 0 แคลลอรี่ อยากได้หวานมากหรือหวานน้อยก็ขึ้นอยู่กับลูกค้าได้เลย เพราะพลังงานที่ได้เป็น 0 แคลลอรี่อยู่แล้ว ไม่ไปกระตุ้นอินซูลิน ส่วนคาราเมลที่ราดด้านบนก็เป็นผงหล่อฮังก๊วย นำไปเคี่ยวให้เป็นคาราเมล ส่วนอัลมอนด์เป็นอัลมอนด์นูคาติน นำอัลมอนด์อบให้สุกกรอบมาเคี่ยวกับคาราเมลอีกครั้ง มีความหวานแบบปราศจากน้ำตาล

แล้วเดี๋ยวจะพาไปดูซูเปอร์มาร์เก็ตทางด้านบนด้วย มีของคีโตขายเพียบพร้อม กินเสร็จอยากจะซื้อของกลับไปปรุงอาหารทานที่บ้านก็ซื้อที่นี่ได้เลย #ครบจบในที่เดียว

Club No Sugar 26

Club No Sugar 27

Club No Sugar 29

Club No Sugar 28

Club No Sugar 32

Club No Sugar 31

Club No Sugar 30

 

Club No Sugar บริหารงานโดย คุณกรรณิกา สุจิวรกุล (กรรมการผู้จัดการ) คุณพิพัฒน์ เรืองรองหิรัญญา (รองกรรมการผู้จัดการ) บริการเมนูคีโต และอาหารทั่วไปไทย จีน ยุโรป รวมถึงห้องจัดเลี้ยง ตั้งอยู่ที่ถ.พระราม 3 บางโพงพาง ยานนาวา กรุงเทพฯ(เลยซอยพระราม 3 ซ. 39 มาประมาณ 200 เมตร ร้านอยู่ติดริมถนน) เปิดบริการทุกวัน ตั้งแต่เวลา 08: 30–22: 00 น. ทางร้านมีบริการ delivery โดยไลน์แมน สำรองที่นั่ง โทร.063-146-8224 คลิกดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ facebook : club no sugar ig :clubnosugar Line@ : @clubnosugar

ป้องกันไข้หวัดใหญ่ในบ้านคุณ

เมื่อเร็วๆนี้ เราคงได้ยินกันว่า องค์การอนามัยโลกหรือ WHO รวมทั้งกระทรวงสาธารณสุขของประเทศไทยได้ออกมาเตือนให้เราเตรียมตัวรับมือกับการแพร่ระบาดอีกครั้งของโรคไข้หวัดใหญ่ ซึ่งคาดว่าในปี 2562 นี้จะรุนแรงขึ้น ส่งผลให้มีอัตราการเสียชีวิตของประชากรโลกในช่วงการระบาดได้มากถึง 290,000 – 650,000 คนต่อปีเลยทีเดียว สายพันธุ์ของโรคนี้ที่พบมากคือสายพันธุ์บี พบในกลุ่มเด็กมากกว่าผู้ใหญ่ถึง 9 เท่า นี่คือตัวเลขประมาณการณ์ซึ่งคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะการระบาดของเชื้อไวรัส H1N1 ที่สถิติพบว่า ทุกๆ1 คนใน 5 คนจะมีการติดเชื้อโรคนี้และในจำนวนผู้ติดเชื้อทั้งหมดจะมีผู้ที่อาการหนักอยู่ราว 3-5 ล้านคนทีเดียว สิ่งสำคัญก็คือ มีเชื้อไข้หวัดอยู่รอบตัวทั้งในที่ทำงานและคนที่เราต้องติดต่อด้วย ปัญหาคือทำอย่างไรเราถึงจะไม่นำโรคนี้หรือโรคใดๆก็ตามไปแพร่เชื้อต่อให้กับคนในบ้าน

มีกิจวัตรประจำวันหลายๆอย่างที่เราทำและมันก็เป็นพาหะนำเชื้อโรคเข้าไปในบ้านและส่งต่อให้กับสมาชิกในครอบครัวโดยไม่รู้ตัวมาดูเคล็ดลับต่อไปนี้ ซึ่งจะช่วยให้บ้านของเราปลอดจากโรคไข้หวัดใหญ่และเชื้อโรคต่างๆดีขึ้นกว่าเดิม

Protection Influenza 3

1. อย่าลืมล้างนิ้วหัวแม่มือ:การล้างมือเป็นวิธีฆ่าเชื้อโรคที่ได้ผลที่สุดแต่เราก็มักจะลืมล้างนิ้วหัวแม่มือหรือนิ้วโป้งเพราะมัวใส่ใจกับนิ้วชี้ถึงนิ้วก้อยมากกว่าซึ่งนิ้วหัวแม่มือเป็นนิ้วที่สัมผัสเชื้อโรคต่างๆมากที่สุด จากพื้นผิวของสิ่งต่างๆเช่น ปุ่มโทรศัพท์มือถือ, รีโมทคอนโทรล ฯลฯ ซึ่งมักเป็นนิ้วที่เราละเลยบ่อยๆเมื่อล้างมือ
2. อย่าวางกระเป๋าหรือถุงบนพื้น:การทำแบบนั้นเป็นการเปิดทางให้เชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายได้ง่ายขึ้นโดยเฉพาะพื้นในห้องน้ำหรือในร้านอาหารเพราะถุงและกระเป๋านั้น มักทำจากผ้าหรือหนังสัตว์ ซึ่งมีโอกาสติดเชื้อโรคจากพื้นได้ง่ายมากควรใช้สบู่อ่อนๆผสมน้ำอุ่น นำผ้านุ่มๆชุบส่วนผสมเช็ดกระเป๋าให้ทั่วเพื่อขจัดฝุ่นและเชื้อแบคทีเรียออกไป
3. เก็บแปรงสีฟันแยกจากของคนอื่น:โรคไข้หวัดใหญ่, โรคอาหารเป็นพิษ, เชื้อแบคทีเรียอีโคไลสาเหตุของโรคท้องร่วงตลอดจนเชื้อราต่างๆ จะเจริญเติบโตได้ดีบนแปรงสีฟัน การเก็บแปรงสีฟันของทุกคนไว้ในภาชนะเดียวกันจะทำให้เชื้อโรคถ่ายโอนถึงกันได้ควรนำแปรงสีฟันใส่กล่องปิดฝาบนตัวแปรงให้มิดชิด แล้วเก็บแยกออกจากแปรงสีฟันของคนอื่นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีคนในบ้านป่วยเป็นไข้หวัดหรือไข้หวัดใหญ่
4. เช็ดฆ่าเชื้อโรคบนมือจับทุกอย่างในบ้าน:เรามักทำความสะอาดลูกบิดประตู แต่ลืมดูแลอุปกรณ์มือจับอื่นๆในบ้านเช่นมือจับบานเปิดตู้ในครัว มือจับตู้เย็น ลิ้นชักและตู้เสื้อผ้ามือจับเหล่านี้เป็นที่สะสมเชื้อโรคได้มาก ทั้งทุกคนในบ้านมักสัมผัสเป็นประจำด้วยควรเช็ดทำความสะอาดมันด้วยผ้านุ่มๆชุบน้ำยาฆ่าเชื้อโรคหรือแอลกอฮอล์ทุกๆ 1-2 วันและทำทุกวันหรือเมื่อมีคนในบ้านป่วยด้วยไข้หวัด

Protection Influenza 2

5. วางรองเท้าไว้นอกบ้าน:อย่าลืมว่ารองเท้าของเราคือสิ่งที่ใช้เดินตระเวณไปทุกหนแห่งในทุกๆวัน และถ้าหากเราใส่มันย่ำเข้ามาในพื้นบ้าน บนพรมและที่ต่างๆนั่นก็คือการทำให้เชื้อโรคจากนอกบ้านกระจายไปทั่วในบ้าน ซึ่งเราและทุกคนก็จะเจ็บป่วยจากเชื้อโรคนั้น
6. อย่าบริโภคอาหารบนโต๊ะทำงาน:บนโต๊ะทำงานมีจำนวนเชื้อโรคที่มากและสกปรกกว่าบนที่นั่งชักโครกในห้องน้ำถึง 100 เท่า นี่เป็นการศึกษาจากสถิติของหลายๆสำนักออกมายืนยันเพราะเหตุนี้ การบริโภคมื้อเที่ยงบนโต๊ะทำงานจึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ เพราะมือของคุณจะต้องสัมผัสกับพื้นผิวโต๊ะที่เต็มไปด้วยเชื้อโรค ดังนั้น ถ้าจะบริโภคอาหารให้ไปที่ห้องพักดื่มกาแฟหรือห้องครัวของออฟฟิศ แล้วก็อย่าลืมฆ่าเชื้อโรคที่มือก่อนด้วยการใช้ผ้านุ่มชุบน้ำยาหรือแอลกอฮอล์เจล เช็ดมือให้สะอาดก่อนจะหยิบแซนวิชขึ้นมาบริโภค
7. อย่าเอาโทรศัพท์เข้าห้องน้ำ:อะไรก็ตามที่หยิบติดมือเข้าไปในห้องน้ำ มันสามารถจะเปื้อนเชื้อโรคได้ทั้งนั้นจากสถิติพบว่า 16% ของโทรศัพท์มือถือได้รับเชื้อโรคจากสถานที่แห่งนี้ ดังนั้นเพื่อฆ่าเชื้อโรค ให้ทำความสะอาดมือถือด้วยผ้าชุบแอลกอฮอล์และซื้อแผ่นเช็ดทำความสะอาดใส่ในกระเป๋าหรือในรถ เพื่อเช็ดเป็นประจำ

Protection Influenza 4

8. ตุนโยเกิร์ตใส่ตู้เย็นไว้บริโภค:จากการวิจัยเชื่อว่าจุลินทรีย์โปรไบโอติกในโยเกิร์ตอาจมีศักยภาพในการช่วยต้านเชื้อไวรัสจากโรคหวัดได้ในระดับหนึ่งมีการศึกษาที่ตีพิมพ์ในวารสาร the Canadian Medical Association Journal แนะนำว่าโปรไบโอติกสามารถช่วยยับยั้งการติดเชื้อของระบบทางเดินหายใจช่วงบน ผลไม้เช่นบลูเบอร์รี่และเบอร์รี่สีเข้ม ก็ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพระบบภูมิคุ้มกันโรคได้ดี
9. เปลี่ยนผ้าปูที่นอนทุกสองสัปดาห์:ผ้าปูที่นอนเป็นเหล่งสะสมของเชื้อโรคอย่าใช้ผ้าปูที่นอนครั้งละนานๆเกิน2 สัปดาห์และจะดีกว่าถ้าเปลี่ยนมันได้ทุกๆสัปดาห์ให้ซักผ้าปูที่นอน ปลอกหมอน และผ้าเช็ดตัวในน้ำร้อน ตากแดดหรืออบให้แห้งสนิทเพื่อฆ่าเชื้อโรค

Protection Influenza 1

10. ฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่:เพื่อป้องกันไข้หวัดใหญ่ ควรฉีดวัคซีนป้องกันตั้งแต่เนิ่นๆ และถึงจะฉีดวัคซีนนี้แล้ว ก็ควรศึกษาวิธีป้องกันตัวเองจากเชื้อโรคนี้ด้วย เพราะการฉีดวัคซีนไม่ได้แปลว่าจะป้องกันได้ร้อยเปอร์เซ็นต์
11. ใส่ใจดูแลสัตว์เลี้ยง:เมื่อช่วงต้นปีนี้มีเรื่องของไวรัสจากสุนัข ที่สามารถแพร่เชื้อมาสู่มนุษย์ได้ในสหรัฐอเมริกา และในขณะที่ไวรัสไข้หวัดใหญ่ในสายพันธุ์ที่เป็นกับสุนัข ก็จะมีความแตกต่างกับไวรัสโรคนี้ที่เป็นกับมนุษย์แต่มันก็จะทำให้สุนัขของเราเป็นส่วนหนึ่งของความเสี่ยงได้เช่นกันจึงควรระวังและใส่ใจมันให้มากขึ้น

 

ทุกครั้งที่มีคนในบ้านเจ็บป่วย นอกจากจะเป็นความกังวลใจแล้ว ก็ยังเป็นสัญญาณให้เราต้องเพิ่มความใส่ใจของสุขอนามัยในบ้านให้มากขึ้นอีกด้วย มาทำพื้นที่แห่งความสุขของครอบครัวแห่งนี้ ให้เป็นที่ปลอดภัยของสุขภาพด้วยกัน แค่เราใส่ใจในรายละเอียดเพิ่มขึ้นอีกนิด ก็จะได้สิ่งดีๆกลับคืนมามากมายค่ะ

รับมืออย่างไรกับ PM 2.5 และสภาวะร่างกายขาดคอลลาเจน

เมื่อเราพูดถึงอันตรายของฝุ่น PM 2.5ที่อนุภาคเล็กละเอียดของมันสามารถแทรกซึมเข้าไปทำให้เกิดโรคอันตรายได้หลายๆอย่าง ซึ่งหนึ่งในสาเหตุสำคัญของการเกิดโรคเหล่านั้นก็คือ การผลิตคอลลาเจนของร่างกายที่ลดน้อยลงหรือ Collagen Deficiency ซึ่งคอลลาเจน มีความสำคัญต่อร่างกายมากกว่าแค่เรื่องริ้วรอยของผิวหนังเพราะการขาดคอลลาเจนจะนำไปสู่โรคอันตรายในระยะยาววันนี้ เรามาเข้าใจความสำคัญของคอลลาเจนและความเกี่ยวข้องกับ PM 2.5 เพื่อรับมือด้วยกัน

“คอลลาเจน” ไม่ใช่มีแค่ที่ผิวหนัง
“คอลลาเจน” โปรตีนที่มีลักษณะเส้นใยสายเกลียวที่มีหน่วยโมเลกุลเกี่ยวพันมากมาย ผิวหนังของเรา จะมีคอลลาเจนส่วนประกอบหลักเรียกว่า เคราติน (Keratin)ทำให้ผิวแข็งแรงยืดหยุ่น นอกจากนี้คอลลาเจนก็ยังสร้างความยืดหยุ่นให้ผนังหลอดเลือด เป็นส่วนประกอบสำคัญของเยื่อกระจกตาและเลนส์ตา, เส้นเอ็น, กล้ามเนื้อ,เนื้อเยื่อของอวัยวะทุกส่วน, เส้นเลือด,เส้นผมและเล็บโดยทำหน้าที่เหมือนกาวยึดติดเนื้อเยื่อต่างๆให้ติดกัน ช่วยป้องกันร่างกายจากการดูดซึมเชื้อแบคทีเรียและไวรัสต่างๆทั้งช่วยป้องกันความเสียหายของเนื้อเยื่ออวัยวะจากมลพิษอีกด้วยซึ่งชนิดของคอลลาเจนทั้งหมดจะแบ่งเป็น 16 กลุ่มใหญ่ๆ แต่ชนิดที่ประกอบอยู่ในร่างกายมนุษย์จะมี 5 กลุ่มคือกลุ่มที่ 1, 2, 3, 5 และ 10 ได้แก่

กลุ่มที่ 1: มีปริมาณมากที่สุดคือคอลลาเจนที่เป็นส่วนประกอบของร่างกายเช่นกระดูก, อวัยวะต่างๆ, ผิวหนัง,เส้นเอ็นและหลอดเลือด
กลุ่มที่ 2: คอลลาเจนใช้สร้างกระดูกอ่อน อาการเจ็บข้อต่อ, โรคไขข้อต่างๆ มาจากการขาดคอลลาเจนกลุ่มนี้ ซึ่งรวมทั้งกระดูกอ่อนในกล่องเสียง, หูและทางเดินหายใจ
กลุ่มที่ 3: คอลลาเจนที่เรียกกันว่า “ เส้นใยไฟเบอร์” มีโครงสร้างเป็นตาข่ายไขว้กันเหมือนแห ช่วยให้ผิวหนังยืดหยุ่นกระชับ เป็นกลุ่มที่สร้างเส้นเลือดและเนื้อเยื่อในหัวใจ การขาดคอลลาเจนชนิดนี้จึงเสี่ยงต่อเส้นเลือดแตก
กลุ่มที่ 5: คอลลาเจนใช้สร้างเนื้อเยื่อบุพื้นผิวของเซลล์ (Basal lamina) ซึ่งเนื้อเยื่อนี้มีหน้าที่รวมถึงการหลั่ง การดูดซึม, การป้องกัน, การขนส่งระหว่างเซลล์,ฯลฯ คอลลาเจนชนิดนี้เช่นผิวเปลือกนอกของเส้นผมและรกเด็ก
กลุ่มที่ 10: คอลลาเจนใช้สร้างกระดูกใหม่และเนื้อเยื่อกระดูก มีหน้าที่สำคัญในการรักษากระดูกแตกและซ่อมแซมข้อต่อ

PM 2.5 กับอันตรายต่อร่างกาย

Health PM 2.5 -4

PM 2.5 คือฝุ่นมลพิษที่มีแหล่งกำเนิดหลากหลาย ทั้งการเผาวัสดุในที่โล่ง, ควันไอเสียรถยนต์, โรงงานอุตสาหกรรม ฯลฯนักวิชาการระบุว่า อันตรายของมันไม่ใช่แค่ขนาดที่เล็ก 2.5 ไมครอนเท่านั้น แต่มันยังมีสารโลหะหนักและเชื้อจุลินทรีย์ก่อโรคที่ติดมาด้วย ยิ่งมลพิษนี้มีขนาดเล็กเท่าไหร่ พื้นที่ผิวสัมผัสสารโลหะหนักและจุลินทรีย์ก็จะยิ่งมาก และขนาดที่เล็กมากก็ทำให้สามารถเข้าไปลึกถึงก้านหรือขั้วปอดของมนุษย์ได้ พร้อมทั้งนำสารอันตรายและจุลินทรีย์เข้าไปด้วย ผลก็คือทำให้เกิดกลายพันธุ์ของทารกในครรภ์มารดา และเพิ่มความเสี่ยงโรคมะเร็งปอดให้มากขึ้นถึง 36%

เมื่อ PM 2.5 พบกับคอลลาเจนในร่างกาย
ก่อนอื่น ต้องเข้าใจก่อนว่า สารพิษและจุลินทรีย์ใน PM2.5 ที่เข้าสู่ร่างกายนั้น จะเข้าไปโดย “ การหายใจ” ของเราเท่านั้น ไม่ใช่การแทรกทะลุผิวหนังเข้าไปจับกับเซลล์ในร่างกายแต่อย่างใดเพราะผิวหนังของเรามีระบบป้องกันตัวตามธรรมชาติอยู่ไม่ให้สิ่งใดแทรกซึมลงไปได้ง่ายๆ สิ่งที่PM2.5 จะทำได้ก็คือการรบกวนผิวหนังชั้นนอกของเราให้ระคายเคืองเกิดอาการต่างๆ เช่นแสบคันตา เป็นผื่น เป็นสิว หรือโรคผื่นภูมิแพ้ต่างๆของผิวหนัง ฯลฯ เหมือนที่ฝุ่นธรรมดาก็ทำอยู่แล้ว แต่ที่มีอาการมากขึ้นก็เพราะปริมาณของมันที่มากขึ้น และความเล็กละเอียดที่ทำให้มันจับกับผิวหนังชั้นนอกได้มากขึ้นนั่นเอง

เมื่อเราหายใจเอา PM 2.5 เข้าไป มลพิษและเชื้อโรคที่ติดอยู่ด้วยก็จะเข้าสู่ร่างกาย ไปรบกวนทุกๆการทำงานของร่างกายรวมทั้งกระบวนการผลิตคอลลาเจนด้วยเมื่อระบบการผลิตคอลลาเจนเกิดปัญหา ก็จะนำเราไปสู่ปัญหาสุขภาพต่างๆตามมาเช่น โรคปอด, โรคทางเดินหายใจ, โรคหลอดเลือดสมองหรือ Stroke ฯลฯเพราะร่างกายต้องใช้คอลลาเจนเป็นส่วนสำคัญในการสร้างอวัยวะในทุกๆส่วน การขาดคอลลาเจนจะนำร่างกายไปสู่สภาวะของโรคกลุ่มที่เรียกว่า Collagen Deficiency Syndrome ซึ่งเป็นกลุ่มโรคระบบภูมิคุ้มกันบกพร่อง

สัญญาณที่บอกว่าร่างกายขาดคอลลาเจน:
โดยปกติแล้ว ความสามารถผลิตคอลลาเจนของร่างกายจะลดลงตามความเสื่อมธรรมชาติ เช่น วัยเพิ่มขึ้น, การสูบบุหรี่,การสัมผัสรังสียูวีและมลภาวะ ฯลฯสัญญาณที่เห็นได้ของการขาดคอลลาเจน ได้แก่:

Health PM 2.5 -3

1. ใบหน้าที่ลีบตอบและผิวใต้ตาที่ยุบตัวลง:วัยที่เพิ่มขึ้น จะทำให้คอลลาเจนบนใบหน้าและผิวหนังที่เคยอิ่มเต็มเปล่งปลั่งลดลงไปเรื่อยๆเป็นสัญญาณแรกของการสูญเสียคอลลาเจนของร่างกายผิวใต้ตาจะยุบตัวและมีสีคล้ำรวมทั้งผิวแก้มที่เริ่มบางตัวลงด้วย
2. ปวดตามข้อต่อ:เนื้อเยื่อคล้ายยางที่เชื่อมปกคลุมส่วนปลายกระดูกท่อนยาวบริเวณข้อต่อเป็นส่วนที่สร้างขึ้นจากคอลลาเจนจำนวนมากการสูญเสียคอลลาเจนบริเวณนี้ ทำให้ช่วงต่อของกระดูกสองท่อนเสียดสีกันมากขึ้น จะเกิดการปวดข้อต่อเมื่อเคลื่อนไหวรวมถึงการเจ็บที่เส้นเอ็นและกล้ามเนื้อด้วย
3. โรคลำไส้รั่ว:คอลลาเจนคือส่วนประกอบสำคัญในเยื่อบุผนังลำไส้ การลดลงของมันจึงอาจนำไปสู่“โรคลำไส้รั่ว (leaky gut syndrome)ที่มีอาการเช่นท้องผูก, ท้องร่วง, สมองเบลอ, เหนื่อยเรื้อรัง,และความบกพร่องของภูมิคุ้มกันร่างกาย
4.สูญเสียความคล่องตัว:โรคของภูมิคุ้มกันบกพร่อง โดยเฉพาะโรคลูปัสและรูมาตอยด์ทำให้สูญเสียความเคลื่อนไหวของร่างกายที่เคยคล่องตัว เนื่องจากคอลลาเจนรอบๆข้อต่อเกิดการติดเชื้อ

นอกจากเรื่องริ้วรอยความชราแล้ว การขาดคอลลาเจนก็จะทำให้เจ็บกล้ามเนื้อเกิดปัญหาการไหลเวียนของโลหิต ที่จะมีอาการเจ็บหน้าอก เวียนศีรษะ เหนื่อยเรื้อรังและปวดศีรษะบ่อยๆอีกปัญหาหนึ่งที่เห็นชัดก็คือเซลลูไลท์ ผิวที่ขาดคอลลาเจนจะขาดความยืดหยุ่น ทำให้ไขมันใต้ผิวดันชั้นตาข่ายเส้นใยไฟเบอร์ของผิวหนังขึ้นมา เกิดผิวขรุขระ ซึ่งรังสียูวีและมลพิษจากPM2.5 ก็มีส่วนสนับสนุนให้สัญญาณเหล่านี้เกิดเร็วขึ้นด้วย

โรคภูมิคุ้มกันบกพร่องจากการขาดคอลลาเจน (COLLAGEN DEFICIENCY SYNDROME)
การขาดคอลลาเจนจะทำให้เกิดโรคของภูมิคุ้มกันบกพร่อง เนื่องจากอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่รับสารพิษเข้าสู่ร่างกาย โรคของภูมิคุ้มกันที่เกิดจากการขาดคอลลาเจนนี้ได้แก่ โรคลูปัสหรือที่รู้จักในชื่อของโรค SLE, โรครูมาตอยด์, โรคหลอดเลือดขมับอักเสบ(Temporal Artheritis) ที่หลอดเลือดรอบขมับเกิดการติดเชื้อทำให้มองเห็นภาพซ้อน, มีไข้, เหนื่อย, เจ็บและติดขัดสะโพกเคลื่อนไหวไม่สะดวก, นัยน์ตาหนึ่งข้างสูญเสียการมองเห็น, ปวดขากรรไกร, เบื่ออาหาร, เจ็บไหล่และไหล่ติดขัด, น้ำหนักลดฮวบฮาบเฉียบพลัน,ปวดบริเวณรอบๆขมับโดยมีอาการปวดหลากหลาย
ดูแลคอลลาเจนในร่างกายให้สมดุล
การบริโภคอาหารที่อุดมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ วิตามินซีและแร่ธาตุต่างๆ จะช่วยรักษาสมดุลการผลิตคอลลาเจนของร่างกายจากภายใน เช่นเดียวกับอาหารที่อุดมด้วยโปรตีนเช่นนมและเนื้อสัตว์ ก็จะช่วยให้ร่างกายผลิตเนื้อเยื่อซ่อมแซมตัวเองได้ดีขึ้น ส่วนการบริโภคผลิตภัณฑ์เสริมอาหารคอลลาเจน เป็นสิ่งที่ต้องระวังเพราะผลิตภัณฑ์เหล่านี้มักผลิตจากส่วนประกอบของปลาทะเล ซึ่งอาจเกิดการแพ้ได้ ทั้งร่างกายก็จะดูดซึมคอลลาเจนเหล่านี้ไปใช้ได้จริงน้อยมากเพราะจะถูกกรดในกระเพาะอาหารย่อยสลายไปหมดก่อนอีกเรื่องที่ควรทำคือดื่มน้ำสะอาดให้มากขึ้นเพื่อชะล้างสารพิษ

อร่อยสดชื่นด้วยน้ำเลมอน-แตงกวาอินฟิวชั่น

Health PM 2.5 -5

ง่ายๆกับการดูแลสุขภาพแบบธรรมชาติกับวิตามินซีจากเลมอนและคุณสมบัติดีๆอีกมากมายจากแตงกวาที่ให้ความสดชื่น เนื้อข้างในผลแตงกวาอุดมด้วยสารซิลิคอนไดอ็อกไซด์(silicon dioxcide) ที่ช่วยลดการเกิดสิวและเพิ่มความยืดหยุ่นให้เนื้อเยื่อเมล็ดแตงกวายังอุดมด้วยวิตามินบี 3 และโปตัสเซียม ช่วยลดริ้วรอย, รอยสิวและสัญญาณความชราของผิวน้ำของแตงกวาอุดมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระเช่น อัลฟ่าและเบต้าแคโรทีน, ซ๊แซนทิน (zeaxanthin), ลูทีน ( lutein), โปตัสเซียม,วิตามิน A และ D ช่วยต้านอนุมูลอิสระและล้างพิษ, ลดความดันโลหิต,ลดความเสี่ยงของโรคStroke โรคหัวใจ โรคไตและปัญหาสายตา สารซิลิคอน แคลเซียมและฟอสฟอรัส ในแตงกวา ช่วยให้เส้นผมแข็งแรงงอกเร็วและเป็นเงางาม

สูตรน้ำเลมอน – แตงกวา อินฟิวชั่น:
ล้างเลมอนและแตงกวาในปริมาณเท่าๆกันให้สะอาด ใช้แปรงถูเปลือกให้ทั่วๆ หั่นเลมอนและแตงกวาเป็นแผ่นหนาพอสมควรทั้งเปลือกใส่ลงไปในน้ำแร่หรือน้ำสะอาด แช่ตู้เย็นไว้ 1 คืนแล้วดื่มตอนเช้า

ช่วยร่างกายฟื้นฟูการผลิตคอลลาเจน:

Health PM 2.5 -2

ถึงแม้เราจะห้ามการสูญเสียคอลลาเจนของร่างกายไม่ได้ แต่เราก็ช่วยสนับสนุนการสร้างคอลลาเจนได้ ด้วยสิ่งเหล่านี้:
– ควบคุมสิ่งที่”ควบคุมได้”:การสูบบุหรี่นอกจากจะเพิ่มปริมาณ PM 2.5 ในอากาศแล้ว ก็ยังเป็นสาเหตุใหญ่ของการทำให้สูญเสียคอลลาเจนในร่างกายได้พอๆกับอันตรายจากรังสียูวี ดังนั้นควรเลิกสูบบุหรี่เพื่อพัฒนาสุขภาพผิวและยกระดับการผลิตคอลลาเจนให้กับร่างกายของเรา
– อโลเวรา:วุ้นของต้นอโลเวราหรือว่านหางจระเข้ มีคุณสมบัติในการรักษาบาดแผลและดูแลผิวหนัง ทั้งยังสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตคอลลาเจนให้กับร่างกายได้ด้วย มีการศึกษาพบว่าการบริโภควุ้นจากพืชชนิดนี้ทั้งในรูปแบบอาหารและผลิตภัณฑ์เสริมอาหารก็จะช่วยฟื้นฟูการผลิตคอลลาเจนในร่างกายได้ในระดับหนึ่ง
– โสม:เป็นสมุนไพรมีคุณสมบัติในการต้านความชรา ด้วยสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยปกป้องเซลล์และสุขภาพผิวหนัง ชาวจีนเชื่อว่าโสมสามารถช่วยสนับสนุนพัฒนาการของการผลิตคอลลาเจน ทั้งช่วยลดความเสียหายของเซลล์จากการได้รับมลพิษได้ด้วย อย่างไรก็ตาม การบริโภคโสมเป็นสิ่งควรระวังสำหรับผู้เป็นโรคหัวใจ โรคความดันโลหิต จึงควรปรึกษาแพทย์ก่อนเพื่อความปลอดภัย

 

หวังว่าเรื่องที่เล่าให้ฟังวันนี้ คงให้ประโยชน์และความเข้าใจเรื่องสุขภาพกับทุกท่านไม่มากก็น้อย เรื่องของ PM2.5 แทนที่เราจะมัวแต่กังวลและรอความช่วยเหลือก็มาช่วยกันหาวิธีรับมือกับมันด้วยการดูแลสุขภาพตัวเองกันดีกว่า และสำหรับเรื่องของ PM 2.5 เป็นเรื่องที่ต้องแก้ไขในระยะยาวที่ทุกคนต้องร่วมมือกัน เพียงแค่ทุกๆวันต่อไปนี้ เราถามตัวเองว่า วันนี้ได้ทำอะไรที่จะช่วยลดการก่อ PM 2.5 นี้แล้วหรือยัง ถ้ายังก็จงลงมือทำ ก็ถือว่าได้ทำหน้าที่ดีที่สุดแล้วค่ะ

ดื่มน้ำมากเกินไป…ไม่ใช่เรื่องดีต่อสุขภาพ

วันนี้คุณดื่มน้ำมากเกินไปหรือเปล่า…ลองเช็คดู

น้ำเป็นสิ่งสำคัญสำหรับสิ่งมีชีวิต เป็นสิ่งสำคัญสำหรับกิจกรรมทุกสิ่งของเราทั้งเรื่องของสุขภาพเรื่องของความงาม และการใช้ชีวิต การขาดน้ำของร่างกายคือสาเหตุของสิว, ท้องอืด, น้ำหนักที่ลดลงได้ยากซี่งความคิดนี้ทำให้เราบอกตัวเองให้ดื่มน้ำมากๆระหว่างวันแต่อย่าลืมว่า ของทุกอย่างที่ดีมันก็ต้องมีความ “พอดี” ด้วย เพราะถ้ามากเกินไป ของที่ดีก็จะกลายเป็นไม่ดีไปได้

การบอกตัวเองให้ดื่มน้ำมากๆ ก็จะเป็นไปได้ที่ทำให้คุณทำร้ายตัวเองด้วยการดื่มน้ำมากเกินไป เรื่องนี้ฟังดูแปลกๆใช่ไหมคะแต่มันคือความจริง การดื่มน้ำมากเกินไปก็สามารถทำให้ร่างกายเกิดอันตรายได้เท่าๆกับการขาดน้ำ เพราะมันจะทำให้ปริมาณของเหลวในร่างกายเกิดการท่วมล้นขาดสมดุลเพราะมีของเหลวในปริมาณมากเกินที่ไตจะทำงานตามปกติของมันได้ นอกจากนี้คำแนะนำที่ให้ดื่มน้ำวันละ 8 แก้ว ก็ไม่ได้บอกว่าควรดื่มเวลาไหนอย่างไร ซึ่งสิ่งนี้ต่างหากคือสิ่งที่คุณควรรู้และทำ

เพราะปริมาณน้ำที่เหมาะสมที่ควรดื่ม เป็นเรื่องของแต่ละบุคคล

Drink Water Visual 1

เมื่อจะบอกตัวเองว่าควรดื่มน้ำกี่แก้ว สิ่งที่ควรเข้าใจก็คือองค์ประกอบในการตัดสินเรื่องนี้นั้นมีหลากหลาย อัน ได้แก่ :
– ขนาดตัวของคุณ ( Body Size) คนตัวเล็กกับคนตัวใหญ่ย่อมต้องการน้ำในปริมาณที่ต่างกัน
– ระดับความกระตือรือร้นของพฤติกรรมที่ทำประจำวัน (Level of Daily Activities) นักกีฬากับคนที่นั่งทำงานกับโต๊ะออฟฟิศก็จะมีปริมาณน้ำที่ต้องการแตกต่างกันออกไปด้วย
– พื้นที่ที่คุณอาศัยอยู่และระดับอุณหภูมิในพื้นที่นั้นๆ (Area of Living and Temperature Level) พื้นที่ในเมืองที่เต็มไปด้วยมลพิษและสิ่งก่อสร้างคอนกรีตที่มีอุณหภูมิความร้อนของอากาศภายนอกและความแห้งเย็นจากเครื่องปรับอากาศภายในอาคาร คนที่อาศัยอยู่ก็ย่อมต้องการน้ำในปริมาณต่างจากบ้านชนบทในป่าเขาหรือทะเลที่มีภูมิอากาศอีกอย่างหนึ่ง

ทั้งสามสิ่งข้างต้นคือองค์ประกอบของการดื่มน้ำที่เราควรนึกถึง แล้วทีนี้คำถามก็คือ จะกำหนดมาตรฐานของระดับการดื่มน้ำของแต่ละคนได้อย่างไร ซึ่งวิธีการดื่มน้ำที่ถูกต้องก็คือ ให้คุณตั้งเป้าหมายว่าแต่ละวันจะดื่มน้ำให้ได้เท่ากับ “ครึ่งหนึ่ง”ของค่าน้ำหนักตัวที่เป็นปอนด์ของคุณเช่นถ้าคุณหนัก 140 ปอนด์หรือประมาณ 64 กิโลกรัม คุณก็ควรจะดื่มน้ำให้ได้วันละ 70 ออนซ์หรือประมาณ 1.9 มิลลิลิตรหรือเกือบ 2 ลิตร แต่ถ้าคุณน้ำหนักตัวน้อยกว่านี้ ปริมาณน้ำที่ควรดื่มก็จะลดลงตามไปด้วย (1 กิโลกรัมเท่ากับ 2.2 ปอนด์ และ1 ออนซ์เท่ากับ 28.41 มิลลิลิตร)ตัวอย่างนี้จะเป็นไอเดียที่ดีใรการคำนวณปริมาณน้ำโดยเฉลี่ยที่คุณควรดื่มแต่ละวัน จากนั้นเมื่อนำมาเทียบกับพฤติกรรมการใช้ชีวิตและพื้นที่ๆคุณอยู่แล้ว ความต้องการน้ำของร่างกายคุณก็อาจมีการบวกลบได้ประมาณ 10-15% ซึ่งการดื่มน้ำมากๆจนเกินกว่าปริมาณที่ร่างกายควรได้รับ นอกจากจะไม่มีประโยชน์แล้ว ยังกลับเกิดโทษได้ด้วย

5 สัญญาณร่างกายว่าคุณดื่มน้ำมากเกินไป:
1. สีปัสสาวะใสเหมือนน้ำ: คุณอาจคิดว่านี่คือตัวบ่งชี้ที่ดีของสุขภาพแต่ที่จริงแล้ว สีปัสสาวะที่ใสเกินไปก็น่าห่วงเช่นกันเพราะมันหมายถึงร่างกายของคุณกำลังได้รับความชุ่มชื้นมากเกินไปปกติแล้ว สีของปัสสาวะที่ดีควรมีสีเหลืองใสจางๆไม่ใช่ใสเหมือนน้ำ

Drink Water 2

2. เซลล์บวม: ส่วนประกอบสำคัญของเซลล์ในร่างกายของเราคือโปตัสเซียมกับโซเดียม ซึ่งแร่ธาตุทั้งสองต้องมีความสมดุลจึงจะทำให้ระบบโลหิตสมดุลทั้งปริมาณและความดันโลหิตซึ่งโลหิตในร่างกายเราจะมีการสกัดของเหลวส่วนเกินออกไปและแปรสภาพมันให้เป็นปัสสาวะ หากร่างกายเรามีน้ำมากเกินการใช้งาน สิ่งที้เกิดขึ้นก็คือระดับโซเดียมในโลหิตก็จะเจือจางซึ่งเมื่อโลหิตที่มีโซเดียมเจือจางนี้ไปหล่อเลี้ยงเซลล์ ผลที่ตามมาก็คือในเซลล์ก็จะมีน้ำมากกว่าที่ควรจะเป็นทำให้เซลล์เกิดบวมตัวจากน้ำที่คั่งอยู่นั้นซึ่งหากสิ่งนี้เกิดขึ้นกับอวัยวะบางส่วนเช่นกับระบบประสาทนิวรอนของสมอง ซึ่งเป็นเซลล์ของระบบประสาทที่มีพื้นที่เล็กมากๆอยู่ในกระโหลกศีรษะ การบวมตัวของนิวรอนก็จะทำให้เกิดอันตรายถึงเสียชีวิตได้เพราะสมองได้เกิดการบาดเจ็บขึ้น
3. คลื่นไส้: สิ่งนี้เกิดจากการมีระดับของโปตัสเซียมในเซลล์ต่ำเกินไป ทำให้คุณรู้สึกคลื่นไส้อยากอาเจียน
4. กล้ามเนื้อเกร็งและเป็นตะคริวบ่อยๆ: เรามักคิดว่าตะคริวเกิดจากการขาดน้ำ แต่จริงๆแล้วการดื่มน้ำมากเกินไป ก็ทำให้เกิดเป็นตะคริวได้จากการที่สารอิเล็คโทรไลท์ในร่างกายเช่นสารโซเดียมมีปริมาณลดลงซึ่งเราสามารถทดแทนสารอิเล็คโทรไลท์ที่ลดลงไปนี้ได้ ด้วยการดื่มน้ำที่มีสารอิเลคโทรไลท์ตามธรรมชาติเช่นน้ำมะพร้าว ก็จะช่วยคืนสมดุลให้ร่างกาย
5. ความเหนื่อยล้า: ลองนึกภาพดูว่า ถ้าไตของเราถูกสั่งให้ทำงานหนักเกินขีดจำกัด ด้วยการต้องกรองของเสียออกจากน้ำปริมาณมากที่ดื่มเข้าไปแล้วจะเกิดอะไรขึ้นกับมันอวัยวะทุกอย่างในร่างกายเมื่อต้องทำงานหนักก็ย่อมเหนื่อยล้าและชลอการทำงานลงเหมือนที่เราทำงานหนักจนขี้เกียจตื่นเช้าเพื่อไปทำงานนั่นแหละ ไตของคุณก็จะทำงานช้าลงและเกิดปัญหาสุขภาพในระยะยาว

ตารางเวลาการดื่มน้ำ 8 แก้วที่เหมาะสม:

Drink Water 1

การดื่มน้ำ 8 แก้วต่อวัน ถ้าดื่มให้ถูกเวลาก็จะเป็นการดื่มน้ำที่ให้ประโยชน์ ลองพิจารณาข้อมูลการดื่มน้ำข้างล่างนี้

6.00 – 7.00 น.: น้ำแก้วแรกหลังจากตื่นนอน
ข้อดี: น้ำแก้วนี้จะช่วยขจัดมลพิษที่ตกค้างช่วยทำความชุ่มชื่นให้กับสมองช่วยกระตุ้นระบบการย่อยเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการย่อยอาหารเช้าของคุณอย่างมีประสิทธิภาพ

8.00 – 9.00 น.: น้ำแก้วที่สองหนึ่งชั่วโมงหลังอาหารเช้า
ข้อดี: ช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน, ช่วยสมดุลกรดด่างของร่างกาย,ช่วยหล่อลื่นข้อต่อและกระดูกอ่อน

11.30 – 12.00 น.: น้ำแก้วที่สาม ครึ่งชั่วโมงก่อนมื้อเที่ยง
ข้อดี: ช่วยให้ร่างกายเผาผลาญไขมันส่วนเกิน, ช่วยฟื้นฟูระบบเมตาบอลิซึ่มใน 30-40 นาทีหลังจากการดื่มน้ำ, ช่วยให้ระบบการย่อยอาหารทำงานได้ดีขึ้น

13.00– 14.00 น.: น้ำแก้วที่สี่ หนึ่งชั่วโมงหลังมื้อเที่ยง
ข้อดี: ป้องกันร่างกายจากความชราก่อนวัย, ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตโลหิตและเซลล์กล้ามเนื้อ

15.00 – 16.00 น.: น้ำแก้วที่ห้า ครึ่งชั่วโมงก่อนพักดื่มกาแฟหรือชาตอนบ่าย
ข้อดี: ช่วยจำกัดการผลิตกรดในร่างกายให้น้อยลง, ขจัดสารพิษออกจากร่างกาย

17.00 – 19.00 น.: น้ำแก้วที่หก หนึ่งชั่วโมงก่อนมื้อเย็น
ข้อดี: ป้องกันการบริโภคอาหารมากเกินไป, ช่วยลดความเสี่ยงการเกิดมะเร็งลำไส้ลงได้ 45%

20.00 – 21.00 น.: น้ำแก้วที่เจ็ด หนึ่งชั่วโมงหลังมื้อเย็น
ข้อดี: ช่วยให้ร่างกายดูดซึมสารอาหารได้ดีขึ้น, ป้องกันท้องผูก

21.30 – 22.00 น. PM: น้ำแก้วที่แปดครึ่งชั่วโมงก่อนนอน
ข้อดี: ช่วยเติมเต็มของเหลวที่ร่างกายสูญเสียไป, ป้องกันการเกิดโรค Stroke หรือหลอดเลือดสมองอุดตันและโรคหัวใจ

 

นี่คือระยะเวลาของการดื่มน้ำที่ช่วยสุขภาพอย่างเหมาะสม อย่างไรก็ตาม คุณอาจดื่มน้ำในช่วงเวลาอื่นๆเสริมจากช่วงเวลาหลักที่ว่านี้ก็ได้เพื่อให้ร่างกายได้รับน้ำในปริมาณเท่าที่ต้องการ เรื่องเล็กๆน้อยๆที่เราทำเป็นประจำ หากใส่ใจในรายละเอียดและทำได้ถูกวิธี ก็จะเพิ่มผลกำไรสุขภาพให้เราได้มากมาย ว่าแล้วก็ต้องขอไปดื่มน้ำแก้วต่อไปตามเวลาก่อน พบกันใหม่คราวหน้าค่ะ

แอลกอฮอล์กับร่างกายเมื่อวัย 30+

 

รู้ไหมว่าเจ้าเครื่องดื่มนี้ทำอะไรคุณบ้างเมื่อวัยเพิ่มขึ้น

 

 

เราคงเคยได้ยินที่เขาบอกให้ “งดเหล้าเข้าพรรษา” กันในช่วงนี้ แต่ถ้าคุณได้รู้ว่า เจ้าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จะทำให้เกิดอะไรกับร่างกายคุณบ้างเมื่อวัยย่างเข้าเลข 30 คุณอาจจะไม่แตะต้องมันตลอดไปก็ได้!

 

 

ถึงแม้ว่าการดื่มไวน์สักแก้วสองแก้วในโอกาสพิเศษ จะเป็นเรื่องที่ใครๆเขาก็ทำกันเป็นปกติก็ตาม แต่เมื่อเราอายุมากขึ้น ระบบการเผาผลาญแอลกอฮอล์ในร่างกายก็จะเริ่มชะลอตัวลง ซึ่งหมายความว่า แม้แอลกอฮอล์ในปริมาณเพียงเล็กน้อยที่เราดื่มเข้าไป ก็จะทำให้เกิดผลเสียอันยิ่งใหญ่ต่อสุขภาพได้อย่างที่เราไม่คาดคิด ตับของเรา ที่เคยทำงานย่อยสลายแอลกอฮอล์ได้ดีเมื่อครั้งที่เราอายุน้อยๆ ก็จะทำงานได้ไม่ดีเท่าแต่ก่อน ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นตามมาก็คือ แอลกอฮอล์และผลข้างเคียงต่างๆของมัน ก็จะคงค้างอยู่ในร่างกายเราได้นานขึ้น” นี่คือสิ่งที่ ดร. แอนดรู รอชฟอร์ด แห่งองค์กร ดริ๊งไวส์ ได้ให้คำแนะนำ “ นอกจากนี้ เมื่ออายุเรามากขึ้น น้ำในระบบร่างกายของเราก็จะมีปริมาณน้อยลง ซึ่งเท่ากับไปเพิ่มความเข้มข้นให้แอลกอฮอล์ที่ค้างอยู่ในร่างกาย ให้เข้มข้นขึ้นกว่าเมื่อก่อนนั่นเอง”

 

 

และนี่คือสิ่งที่แอลกอฮอล์ทำกับร่างกายคุณเมื่อวัยเข้าเลข 30+:

 

 

algohol004

 

 

เส้นรอบเอวของคุณ:

เมื่อวัยเข้าสู่เลข 30+ ระบบการเผาผลาญอาหารในร่างกายก็จะเริ่มช้าลง ทำให้จำนวนแคลอรี่ที่จะสะสมเพิ่มมากขึ้นด้วย โดยเฉพาะแคลอรี่จากการตกค้างของแอลอกอฮอล์ที่ไม่สามารถผาผลาญออกไปได้

 

ไวน์หนึ่งแก้วธรรมดาๆขนาด 150 มล. จะมีปริมาณแคลอรี่อยู่ที่ 430 แคลอรี่ ซึ่งมากกว่าบิสกิตชอคโกแล็ต 1 ชิ้น” นี่คือการระบุของนักโภชนาการชาวอังกฤษ อลิสัน แมคอาลิส “ เมื่อระบบการเผาผลาญอาหารในร่างกายชะลอตัวลง การดื่มแอลกอฮอล์แต่ละครั้งก็จะต้องใช้เวลาและพื้นที่มากขึ้นในการเผาผลาญ และสิ่งนี้เองที่ทำให้น้ำหนักตัวของคุณเพิ่มขึ้นได้มากกว่าและเร็วกว่าเดิมเมื่อวัยเพิ่มชึ้น ดังนั้น สิ่งที่อยากแนะนำก็คือ ให้คุณคิดถึงแอลกอฮอล์ว่ามันคืออาหารขยะประเภทหนึ่ง ที่คุณจะบริโภคมันได้บ้างเป็นครั้งคราว ในปริมาณน้อยที่สุดที่จะทำได้” นี่คือคำแนะนำจากอลิสัน แมคอาลิส

 

 

ผิวพรรณของคุณ:

เมื่อแอลกอฮอล์เข้าสู่ระบบร่างกาย มันก็จะไปขยายหลอดเลือดแดง และเมื่อวัยเพิ่มขึ้น หลอดเลือดเหล่านี้ก็จะอ่อนแอและสูญเสียความสามารถที่จะหดตัวกลับมาเหมือนเดิม ทำให้ผิวเกิดรอยแดง และรอยเส้นเลือดที่ขยายตัวชัด ขึ้น “ นอกจากนี้ แอลกอฮอล์ยังทำให้กิดความเสี่ยงของผิวในอาการแพ้ต่างๆ เช่น โรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนังอักเสบ ซึ่งเป็นโรคผิวหนังที่มักเกิดขึ้นในวัย 30 – 50 ปี ” เป็นการระบุของ ดร. ไมเคิล ริช ผู้อำนวยการศูนย์ผิวหนังของเมลเบิร์น ออสเตรเลีย ดังนั้น ถ้าหากคุณมีแนวโน้มเป็นผื่นแพ้ง่ายหรือมีผิวหน้าแดงง่ายกว่าปกติ ก็ควรจำกัดการบริโภคแอลกอฮอล์ รวมทั้งอาหารที่มรสจัดต่างๆ ทั้งไม่ควรอยู่ในที่ๆมีอากาศร้อนมากๆ ซึ่งจะทำให้หลอดเลือดแดงขยายตัวได้ง่ายๆ

 

 

การทำเลเซอร์ทรีทเมนท์ จะช่วยแก้ปัญหาหลอดเลือดแดงปรากฎชัดเจนได้ดี ทั้งแอลกอฮอล์ยังทำให้ผิวขาดน้ำ เกิดเป็นริ้วรอย ดังนั้น สิ่งที่ควรรู้อีกอย่างของกฎการดื่มแอลกอฮอล์ก็คือ “ ให้ดื่มน้ำตาม 1 แก้ว หลังจากการดื่มแอลกอฮอล์ 1 แก้วทุกครั้ง”

 

 

algohol005

 

 

ระดับความเหนื่อยล้าในร่างกายคุณ:

เมื่ออายุน้อยๆ หลายคนมักใช้แอลกอฮอล์เป็นตัวช่วยปลุกพลังงานให้ร่างกาย โดยคิดว่าเป็นเรื่องที่ใครๆก็ทำกัน แต่รู้ไหมว่า จากพฤติกรรมนี้แหละที่ทำให้เมื่ออายุมากขึ้น เราก็จะใช้แอลกอฮอล์เพื่อผ่อนคลายในชีวิตประจำวัน เพราะการทำแบบนี้เท่ากับคุณเริ่มต้นให้ความเชื่อถือกับแอลกอฮอล์ และนำมันมาเชื่อมโยงกับการแก้ไขความเหนื่อยล้า ทำให้คุณก็จะต้องเริ่มต้นดื่มมันเป็นประจำทุกวัน ยิ่งเราดื่มมากเท่าไหร่ เราก็จะยิ่งกลายเป็นคนติดแอลกอฮอล์ได้ง่ายขึ้นเท่านั้น เพราะเราจะยึดเหนี่ยวมันมากขึ้นเมื่อรู้สึกว่าต้องการความผ่อนคลาย ทั้งๆที่มีทางอื่นที่ดีและเหมาะสมกว่านี้ ดังนั้น ถ้าคุณกำลังตกอยู่ในอาการขกับดักที่จะต้องออกไปชิลล์เอาท์ในตอนกลางคืนด้วยการดริ๊งค์กันเป็นประจำแล้วละก็ วิธีที่จะแก้ไขได้ง่ายๆก็คือ หยุดดื่มมันโดยเริ่มจากในบ้านของคุณก่อนเป็นที่แรก ทิ้งเหล้าทุดขวดในบ้านไปให้หมด เพราะถ้าคุณมีมันอยู่ในบ้าน คุณก็จะดื่มมันในปริมาณมากกว่าปกติ เพราะคุณเป็นเจ้าของมันทั้งขวด ” เป็นคำแนะนำจาก ศจ.ไบเกน

 

 

ตับของคุณ:

การชะลอตัวของประสิทธิภาพการทำงานของตับ คือสิ่งที่เป็นผลด้านลบจากการดื่มแอลกอฮอล์ที่จะเกิดขึ้นกับเราเมื่อวัยเพิ่มขึ้น ซึ่งบอกได้ว่า แอลกอฮอล์ มีอืมธิพลอย่างมากกับอวัยวะส่วนนี้

 

 

มีสารชนิดหนึ่งที่เรียกว่า อะซิทัลดิไฮด์ (acetaldehyde) เป็นสารที่จะถูกผลิตออกมาเมื่อแอลกอฮอล์ในร่างกายถูกย่อยสลายลงไป สารนี้เป็นพิษอย่างมากต่อเซลล์ ยิ่งอายุมากขึ้นร่างกายของเราก็จะยิ่งเก็บมันเอาไว้ได้นานขึ้น สารนี้จะทำให้เกิดรอยแผลขึ้นที่ตับ และแผลนี้ก็จะลุกลามมากขึ้นจนประสิทธิภาพการทำงานของตับเริ่มลดลง แต่ก็อย่าเพิ่งตกใจจนเกินไปเพราะมีข่าวดีที่จะบอกให้รู้ว่า ถึวจะดื่มแอลกอฮอล์เข้าไปจนตับมีรอยแผล แต่ตับของเราก็มีความสามารถที่จะฟื้นฟูตัวเองเรื่องนี้ได้ ถ้าเรางดดื่มแอลกอฮอล์หลังจากที่ดื่มไปแล้วประมาณ 2 วัน ก็จะเป็นการให้เวลากับตับเพื่อซ่อมแซมตัวเองจากแผลดังกล่าว

 

 

ถ้าคุณดื่มในขนาดแก้วมาตรฐานครั้งละไม่เกิน 2 แก้วต่อครั้ง และใช้เวลาหยุดพักประมาณ 2-3 วันหลังจากนั้น ตับของคุณก็จะไม่มีปัญหาไมว่าคุณจะมีอายุเท่าไหร่ก็ตาม” ดร. โรชฟอร์ดระบุ

 

 

algohol003

 

 

หัวใจของคุณ:

มีความเชื่อว่า การดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณเล็กน้อยจะช่วยป้องกันโรคหัวใจ แต่ที่จริงแล้ว สำหรับผู้หญิงช่วงหลังวัยทองที่ระดับฮอร์โมนตามธรรมชาติของเพศหญิงลดลงอย่างรวดเร็ว การดื่มกลับจะทำให้เพิ่มความเสี่ยงต่อหัวใจวายเฉียบพลันได้ง่ายขึ้น “สำหรับคนทั่วไป การดื่มปริมาณ 1 แก้วมาตรฐานไม่เกิน 3 ครั้งต่อสัปดาห์ จะไปลดความดันโลหิตให้ต่ำลง ทำให้มีผลทางบวกกับระบบหลอดเลือดแดงของหัวใจ” ดร.โรชฟอร์ดระบุ “ แต่หากดื่มมากเกินไป ก็จะทำให้คุณสมบัติการป้องกันนี้สูญหายไปด้วย”

 

 

อารมณ์ของคุณ:

อาจมีบางช่วงเวลาของชีวิต ที่เราจะใช้แอลกอฮอล์เป็นสิ่งฟื้นฟูอารมณ์ แต่จากการศึกษาของ ศจ.ไบเกนพบว่า ผลกระทบของแอลกอฮอล์ที่มีต่ออารมณ์ของเรานั้น บ่อยครั้งที่มันจะขึ้นอยู่กับเหตุผลในขณะที่เราดื่มมันเข้าไปด้วย “ ถ้าหากว่าคุณดื่มมันเพราะคุณได้รับเลี้ยงยินดีสักเรื่อง มันก็จะช่วยขยายความรื่นรมย์นั้นๆให้มากขึ้น แต่ก็อย่าลืมว่า มันก็อาจเป็นต้นเหตุของพฤติกรรมเมามายเกินขอบเขตที่เลวร้ายได้ เพราะมันไปขัดขวางการทำงานของสมองส่วนที่ควบคุมเรื่องความกระตือรือร้นและการมีเหตุผลตัดสินถูกผิดต่างๆ รวมทั้งการตัดสินใจ ทำให้คุณสามารถทำอะไรโดยไม่ยั้งคิด นอกจากนี้ การดื่มมากเกินไปก็จะไปลดระดับฮอร์โมนเซโรโทนินในสมอง ทำให้คนติดเหล้ามักเป็นคนหงุดหงิดฉุนเฉียวง่ายๆ

คำแนะนำก็คือ ให้เลี่ยงจากแอลกอฮอล์เมื่อรู้สึกว่ากำลังเจอเรื่องหนักๆในชีวิต อย่าดื่มมันเพื่อหนีปัญหา แต่ให้คุณหันไปทำสิ่งอื่นๆที่คุณรัก ก็จะช่วยเชียร์ให้คุณรู้สึกดีขึ้นอย่างยาวนานกว่า

 

 

algohol002

 

 

ข่าวดีที่ควรรู้!

เมื่ออายุมากขึ้น อาการแฮงก์โอเวอร์ก็จะน้อยลงด้วย: จากการศึกษาพบว่า คนอายุ 18-29 ปี จะมีอาการแฮงก์โอเวอร์มากกว่าคนอายุ 60 ปีขึ้นไปถึง 10 เท่า ซึ่งพัฒนาการของเรื่องความต้านทานต่อแอลกอฮอล์นี้ อาจมีคำอธิบายได้ข้อหนึ่งคือเรื่องของ “ความฉลาดรู้คิด” ที่มีมากขึ้นตามวัยเป็นส่วนสำคัญ “ จากประสบการณ์ที่ได้เรียนรู้ ทำให้คุณสามารถจัดการกับอาการแฮงก์นี้ได้โดยดื่มมันให้น้อยลงกว่าเดิม ซึ่งจากสถิติพบว่า คนอายุน้อยๆมักดื่มในปริมาณ 9 แก้วต่อครั้ง ในขณะที่คนอายุมากจะหยุดอยู่ที่ค่าเฉลี่ยประมาณ 6 แก้วต่อครั้ง เพราะประสบการณ์สอนให้รู้ว่าถ้าดื่มในปริมาณเท่าเดิม จะต้องพบความเลวร้ายในวันต่อมาก็เป็นได้ ” เป็นการระบุของนักเขียน ดร.ริชาร์ด สตีเฟน จากมหาวิทยาลัยคึล ประเทศอังกฤษ

กว่าจะได้หุ่นฟิตเฟิร์ม #แม่บริท Britney Spears ต้องฝึกซ้อมบอดี้วิทยายุทธถึงขั้นไหน

ผ่านไปแล้วกับงานคอนแห่งชาติกับงานคอนเสิร์ต Britney Spears Live in Bangkok 2017 ถือเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นเหมือนเป็นของขวัญกล่องใหญ่โตให้กับบรรดาแฟนคลับทั้งไทยและทั่วโลกของเจ้าหญิงแห่งวงการเพลงป๊อป Britney Spears ที่ครองตำแหน่งตลอดกาลใน 3 โลก

Britney Spears Concert Live in Bangkok 2017

Britney Spears Concert Live in Bangkok 2017-1

Britney Spears Concert Live in Bangkok 2017-2

ภาพคอนเสิร์ต : Britney Spears Live in Bangkok 2017 จาก BEC TERO Entertainment

งานนี้ ‘แม่บริท’ นำความบันเทิงพร้อมกับโชว์จัดเต็มแสงสีเสียง ขนทัพทีมแดนเซอร์ที่เต้นมันส์หยดเคียงข้างเธอ และอีกสิ่งที่ไม่พูดถึงไม่ได้ก็คือการแต่งตัวในชุดตัวเล็กน้อยนิดแต่มีความเซ็กซี่ในชุดเอง แต่ละชุดล้วนพร้อมโชว์ทุกสัดส่วนของ ‘บริทนีย์ สเปียร์ส’ ให้อวดรูปร่างอย่างถึงที่สุด

ถ้าคุณยังจำกันได้ล่ะก็ จะมีอยู่ช่วงเวลานานพอสมควรที่อยู่ๆ เธอก็เกิดปล่อยตัวมากเป็นพิเศษ จนทำให้ต้องสูญเสียรูปร่างที่ดูเป๊ะเว่อร์นั้นไป แต่เมื่อได้ชื่อว่าเป็นศิลปินระดับโลกแล้วล่ะนะ อย่างไงก็ต้องกลับมาพร้อมทำหน้าที่ให้ดีที่สุด และแล้วบริทนีย์ก็กลับมาทวงบัลลังก์คืนได้สำเร็จ

britney-spears V Magazine 2

britney-spears V Magazine 1

PHOTOGRAPHY: MARIO TESTINO STYLING: ROBBIE SPENCER V Magazine 2016

 

Gotta get those workouts in, even on the road ???? Can’t wait for tomorrow’s sold out show in Hong Kong!!

A post shared by Britney Spears (@britneyspears) on

เธอวางแผนออกกำลังกายอย่างหนัก ยิ่งช่วงแรกๆ เห็นว่าต้องพุ่งเข้ายิมทุกวัน เทคิวเวลาทั้งหมดให้แบบเต็มสุด มีทั้งบริหารร่างกายทั้งเต้น เธอบอกว่ามันไม่ใช่เรื่องสนุกเลยซักนิด แถมยังต้องใช้ความอดทนสูงมากซะด้วย

ไม่เท่านั้นค่ะ หลายคนคงนึกว่าแค่ให้เวลาวิ่งเข้ายิมจับอุปกรณ์ต่างๆ กับการเต้นกระหน่ำ แม่บริทของเหล่าเราคงพอพึงใจในชีวิตแล้วใช่ไหม คำตอบคือไม่และไม่ เพราะเธอยังยินยอมใช้เวลาไปกับการเข้าโยคะสตูดิโอ เพื่อไปเรียนและฝึกโยคะอยู่อย่างสม่ำเสมอ ด้วยความหลงใหลในศาสตร์โยคะ และรู้ดีว่าถ้าทำจริงจังแล้วล่ะก็จะได้ทั้งเรื่องสุขภาพกาย ใจ และรูปร่างแบบเน้นๆ
วันนี้เราก็เลยตามแม่บริทมาฝีกโยคะ ขอท่าที่เธอฝึกฝนและเล่นเป็นประจำ จะมีท่าไม้ตายอะไรบ้างไปดูกัน

 

Yoga Boat Pose

ท่าเรือ (Boat Pose)
เริ่มฝึกง่ายๆ ด้วยการนั่งลงกับพื้นให้หลังตั้งตรง ขาเหยียดตรง หายใจเข้า เหยียดแขนชี้ไปข้างหน้า หายใจออกแล้วเอนตัวไปข้างหลัง ค่อยๆ เกร็งหน้าท้องแล้วยกขาขึ้นจากพื้น ทำมุมประมาณ 45 องศา ปลายเท้าอยู่สูงเหนือระดับศีรษะ
จากนั้นยกแขนขึ้นให้แขนเหยียดตรงขนานกับพื้นในแนวเดียวกับหัวไหล่ พลิกฝ่ามือหันเข้าหาขา พยายามทรงตัวให้อยู่ในท่าสมดุล ให้น้ำหนักลงที่ก้น ค้างอยู่ท่านี้ประมาณ 10-20 วินาที หากฝึกจนเก่งแล้วให้ค่อยๆ เพิ่มเวลาขึ้นเป็น 1 นาที ถ้าเพิ่งเริ่มฝึกใหม่ๆ อาจจะยกขาเหยียดขึ้นไม่ได้นาน ให้หาผ้ายืด หรือเข็มขัดมาคล้องปลายเท้าแล้วใช้มือดึงพยุงตัวเอาไว้

Yoga Crescent Lunge Pose

ท่าพระจันทร์เสี้ยว (Crescent Lunge Pose)
ช่วยยืดเส้นของสะโพก ด้านหน้าของต้นขาและกระดูกเชิงกราน เสริมสร้างขาและกล้ามเนื้อหลัง ของแถมคือสร้างความแข็งแรงให้ไหล่ได้ด้วย ท่าพระจันทร์เสี้ยวยังช่วยเพิ่มอัตราการเต้นของหัวใจ จึงทำให้ช่วยเร่งระบบการเผาผลาญให้ทำงานได้ดีขึ้น
เริ่มต้นด้วยการโก้งโค้งตัวคล้ายท่า Downward Facing Dog จากนั้นให้ยกขาข้างใดข้างหนึ่งขึ้นชันไว้ด้านหน้า โดยที่ขาอีกข้างอยู่ด้านหลังวางราบไปกับพื้น เหยียดตัวขึ้นตรงพร้อมชูแขนทั้งสองข้างขึ้น ท่านี้ช่วยอะไร: ช่วยให้เกิดความยืดหยุ่นบริเวณสะโพก, ต้นขา ข้อห้าม: หลีกเลี่ยงท่านี้ถ้าคุณมีปัญหาเกี่ยวกับเข่า

Yoga Warrior II Pose

ท่านักรบ 2 (Warrior II Pose)
วิธีการฝึก : ยืนตรงเท้าชิด หายใจออกช้าๆ กระโดดแยกเท้าออกกว้าง 3-4 ฟุต กางแขนออกขนานกับพื้น แล้วหมุนเท้าซ้ายไปทางซ้าย 90 องศา ส่วนเท้าขวาเฉียงมาทางซ้ายเล็กน้อย แล้วงอเข่าซ้ายลงจนสะโพกซ้ายอยู่ในระดับเข่าซ้าย เข่าซ้ายและส้นเท้าซ้ายอยู่ในแนวเดียวกันในแนวดิ่ง ขาขวาเหยียดตึง จากนั้นเหยียดแขนทั้งสองข้างกางออก แขนซ้ายไปทางซ้าย แขนขวาไปทางขวา แขนทั้งสองขนานกับพื้น หันหน้าไปทางซ้ายมองที่ปลายนิ้ว ยืดเอว ลำตัวและแขนไปทางซ้ายให้มากที่สุด ค้างไว้ 30 วินาที – 1 นาที คลายท่า แล้วสลับข้าง ทำท่าเดิม
ประโยชน์ : 1.ทำให้กล้ามเนื้อต้นขา น่อง ข้อเท้า หลัง มีความแข็งแรง 2.กระตุ้นอวัยวะในช่องท้อง 3.ลดอาการปวดหลัง

Yoka Bow Pose

ท่าคันธนู (Bow Pose)
เริ่มจากนอนคว่ำ ให้เท้าแยกออกจากกันโดยพอประมาณ ให้หน้าผากจรดกับพื้น จากนั้นงอเข่าแล้วใช้มือทั้งสองข้างจับข้อเท้าทั้งสองข้าง ยกตัวและศีรษะขึ้น ใช้มือดึงข้อเท้าเพื่อให้ต้นขาและเข่าลอยขึ้นจากพื้น (ยกขึ้นให้สูงเท่าที่จะทำได้) และพยายามบีบขาให้ชิดติดกัน ทำค้างไว้ประมาณ 30 วินาที
ท่านี้ช่วยอะไร : สามารถกระตุ้นอวัยวะภายในบริเวณช่องท้อง(ช่วยระบายลมในท้อง) และเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อหลัง, หัวไหล่, เอว ทั้งนี้ยังสามารถช่วยลดไขมันหน้าท้องและช่วยเรื่องระบบย่อยอาหารได้
ข้อห้าม : ผู้มีอาการท้องร่วง ความดันต่ำ โรคหัวใจ หอบหืด ปวดศีรษะและนอนไม่หลับ ควรหลีกเลี่ยงท่านี้

Yoga Camel Pose

ท่าอูฐ (Camel Pose)
วิธีการฝึก : 1.คุกเข่า นั่งบนส้นเท้า ปลายเท้าเหยียดตรง 2.เอามือซ้ายจับข้อเท้าซ้าย มือขวาจับข้อเท้าขวา (หรืออาจจะวางฝ่ามือบนฝ่าเท้าทั้งสองข้าง) 3.ขณะหายใจเข้าก็ยกก้นขึ้นจากส้นเท้า แอ่นหลัง ยืดหน้าท้องไปข้างหน้า และเงยศีรษะไปด้านหลังให้มากที่สุด 4.ค้างอยู่ในท่านี้ให้นานจนกระทั่งหายใจออก จึงกลับไปนั่งบนส้นเท้าเหมือนท่าเริ่มต้น 5.หากคุณจะหายใจขณะฝึกก็ให้ค้างท่านี้ไว้ 1-2 นาที
ประโยชน์ : 1.อาจจะเป็นท่าฝึกเริ่มต้นของการฝึกท่าอื่นๆเนื่องจากฝึกง่ายและมีความยืดหยุ่นสูง 2. มีการยืดกล้ามเนื้อหน้าท้อง ต้นขา น่อง กล้ามเนื้อหลังและสะโพก 3.กระตุ้นอวัยวะในช่องท้องและคอ
ข้อห้ามฝึก : ความดันโลหิตสูงหรือต่ำ, นอนไม่หลับ, ปวดศีรษะไมเกรน, โรคที่กระดูกต้นคอและหลัง

 

เครดิตภาพ : 1, 2, 3, 4, 5, 6, 7, 8, 9

9 เหตุผลที่ทำให้คุณยินยอมโดยดี ออกกำลังกายกับคุณแฟน #เราจะหุ่นดีไปด้วยกัน #งานดีทั้งคู่

ต้องยอมรับจริงๆ ค่ะ ว่าเรื่องการออกกำลังกาย รวมถึงการกินอาหารคลีน ถูกบรรจุให้เป็นไลฟ์สไตล์ของคนยุคดิจิตอลได้แบบเนียนๆ ทำให้หลายๆ คนที่เคยบ่นแต่ว่าไม่มีเวลาไปออกกำลังกายเลยเนี่ย ชักจะเริ่มหันมาจริงจังและดูแลตัวเองมากยิ่งขึ้น #ไลฟ์สไตล์น่าชื่นชม

 

Couples Workout 11 Mark Kim

คิมเบอร์ลี่ & หมาก-ปริญ

Couples Workout 11 Chippy Antoin

ชิปปี้ & อองตวน

 

แรกเลยอาจจะมองดูว่าเป็นการอยากทำตามคนดังที่เราชื่นชอบ คนที่เรามองว่าเขาคือ #MyIdol ในเรื่องการดูแลตัวเอง แต่เราว่าหลังๆ มานี้ เริ่มไม่ใช่เรื่องของเทรนด์หรือเรื่องอยากทำตามใครซักคนแล้วล่ะค่ะ เพราะอะไรนะเหรอ?

Couples Workout 9

ผลลัพธ์ที่ได้ไงคะจะเป็นตัวบอกคุณเอง ว่าคุณจะไปต่อหรือหยุดทุกอย่างไว้แค่นี้ แหม! ก็ในเมื่อหุ่นเปลี่ยนไป จินตนการค่ะเหมือนมีภาพคู่แฝดมายืนเทียบกัน จากหุ่นที่ดูใหญ่โตมีไขมันเก็บสะสม กลายมาเป็นสาวร่างเล็กและดูสุขภาพแข็งแรงขึ้นมาก มีกล้ามท้อง มีมัดกล้าม…สร้างความพราวในชีวิต มีแต่เสียงชื่นชม รวมถึงแฟนคุณเองยังชมแล้วชมอีก

เรามาเพิ่มความน่ารักน่าอิจฉาให้ชีวิตมากขึ้นกันดีกว่า #ชวนแฟนไปออกกำลังกาย เอ! แต่มันจะมีเรื่องดีๆ ที่เราจะได้กลับมาใช่ไหม ถ้ากล้าชวนแล้วเขาตามมาจริงอ่ะ…มีเหตุผลอะไรบ้างมาดูกัน

 

Couples Workout 3

Couples Workout 10

1. กำลังใจที่มาพร้อมความกดดัน การมาออกกำลังกายก็ต้องการกำลังใจเหมือนกันนะคุณ พยายามมากๆ ชักเริ่มเหนื่อย แล้วพอเหนื่อยใกล้ขีดสุด คุณก็จะเริ่มแสดงความอ่อนแอผสมงอแง จุดนี้เองถ้าแฟนไปด้วย เขาก็จะเริ่มมองหน้าให้กำลังใจ ผมเชื่อคุณทำได้ ทำได้สิ พูดบ่อยๆ น้ำเสียงเขาก็จะเริ่มกดดันเราไปเองค่ะ

2.ใจอยากเลิกแต่มันทำไม่ได้ หลังจากที่คุณออกกำลังกายได้พักใหญ่ คุณเองอาจจะคิดว่านี่ฉันเต็มที่แล้วนะ 20-30 นาที สุดๆ แล้ว แต่คุณแฟนจะไม่คิดอย่างคุณเลยซักนิด เวลาเท่านี้สำหรับเขามันเป็นแค่วอร์มอัพชัดๆ แล้วไง! คุณก็จะเริ่มเห็นดีด้วย มันก็ไม่นานเท่าไหร่ เออใช่! ฉันแค่วอร์ม ฮึดเล่นต่ออีกซักชั่วโมงแล้วค่อยว่ากัน สู้ๆ

3. เราจะไม่บ่นใส่กัน เราทั้งคู่สูญเสียพลังงานไปกับการเล่นฟิตเนส เผาผลาญแคลอรี่ เสียเหงื่อ แต่เราก็จะไม่เบือนหน้าหนีกัน เธอมีเหงื่อ ฉันก็มีเหงื่อ เพราะฉะนั้นอย่ามาติติงกันเรื่องกลิ่นตัวไม่หอม เหอะจบนะ!

4. ควบคุมอาหารเป็นเรื่องของเรา เรื่องไดเอทจะไม่ใช่เรื่องของใครคนใดคนหนึ่ง จะซื้อหรือจะทำอาหารคลีน เราก็กินอาหารเมนูเดียวกันได้สบายๆ ไม่ต้องเกรงใจกัน

5. วันตามใจปาก คุมเข้มเรื่องอาหารกันมานานพอควร ต้องมีซักวันที่ตั้งไว้เป็นวันของเรา #วันตามใจปาก อยากกินอะไรกินได้ บุฟเฟ่ต์ซักมื้อชวนกันไปเลยค่ะ ไม่ต้องมานั่งแอบกินคนเดียวในมุมมืดๆ

 

Couples Workout 8

Couples Workout 6

6. ทำให้เราได้รู้จักกันมากขึ้น ช่วงเวลาที่เราออกกำลังด้วยกัน ความจริงจังผสมความตั้งใจที่จะทำสิ่งใดให้สำเร็จ คุณเองก็จะมีโอกาสได้เห็นสีหน้าและแววตาแบบนี้จากคนที่คุณรัก คือเป็นอีกมุมที่ผู้หญิงทุกคนอยากเห็นจากเขา #ความจริงจังของเขาสร้างความมั่นใจให้เรา

7. นวดแขนขาให้กัน เมื่อความเมื่อยล้ามาเยือน ขอพักแป๊บ! มันก็ต้องมีการนวดผ่อนคลายกันบ้างค่ะ นวดแขนขาให้กัน …ซีนนี้ดี๊ดี

8. อยากเห็นหน้าสดของฉันมากใช่ไหม ผู้หญิงเราชอบคิดไปเองตลอด ตั้งความกลัวไว้ก่อน ไม่อยากให้ผู้ชายเห็นหน้าสด กลัวเขารับไม่ได้ ก็เลยมาจบที่เมคอัพแบบเนียนขั้นเทพ จะมากหรือน้อยแล้วแต่ตามระดับความกลัว ทีนี้พอคุณได้มาใช้เวลาออกกำลังกายกับเขา คุณก็ลองพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส แรกๆ อาจแต่งน้อยหน่อยค่อยๆ แต่งน้อยลงเรื่อยๆ จนไม่แต่งเลย ในที่สุดเขาก็จะเข้าใจ เคยชิน และยอมรับได้ในความหน้าสดของคุณแล้วล่ะค่ะ

9. อยากไปออกกำลังกายทุกวัน เพราะการที่มีแฟนเราออกกำลังกายเคียงข้างกัน ได้ใช้เวลาด้วยกัน ยิ่งถ้าคู่ไหนเขาไม่ค่อยมีเวลาเจอกัน เขาจะยิ่งรู้สึกดีมากๆ เลยค่ะ จุดนี้เองจะทำให้คู่รักมีความรักและเข้าใจกันมากขึ้น ทำให้ปัญหาที่จะมีก็ไม่มีซะงั้น …ส่งผลให้ชีวิตการงานดีอีกด้วย #เรื่องส่วนตัวโอเคงานก็โอเค

 

เครดิตภาพ : 1, 2, 3, 4, 5, 6, 7, 8, 9