เลี่ยงอาหารเหล่านี้ เพื่อจะใส่บิกินี่ได้สวย

 

คราวก่อนคุยกันถึงเหตุผลดีๆที่เราควรไปเที่ยวทะเล เมื่อไปทะเลก็ควรมีรูปสวยๆในชุดว่ายน้ำไว้ภูมิใจ แต่ถ้าท้องอืดเพราะมัวเพลินกับอาหาร ก็คงไม่กล้าหยิบชุดว่ายน้ำมาใส่ มาดูอาหารเสี่ยงกลุ่มนี้ที่เป็นศัตรูกับชุดว่ายน้ำของคุณและระวังไว้

 

ท้องอืดเพราะอาหาร FODMAP

ท้องอืด เกิดขึ้นเมื่อมีแกสหรือของเหลวสะสมในระบบทางเดินอาหาร หรือเมื่อแบคทีเรียในลำไส้ใหญ่ มีความลำบากในการย่อยอาหารบางชนิด โดยเฉพาะอาหารคาร์โบไฮเดรตที่มีน้ำตาลจากธรรมชาติสูงหรืออาหาร FODMAP ( Fermentable Oligo-Di-Monosaccharide and Polyols) ที่ทำให้ลำไส้แปรปรวน เมื่อร่างกายไม่สามารถย่อยโมเลกุลน้ำตาลเหล่านี้ได้ มันก็จะเดินทางไปยังลำไส้ใหญ่ส่วนโคลอน โดยไม่ได้มีการย่อยเกิดขึ้น และแบคทีเรียในลำไส้ใหญ่ก็จะหมักมันเอาไว้ ทำให้เกิดแกสและท้องอืด และนี่คืออาหารเสี่ยงที่คุณควรรู้

 

1. ผักสดตระกูลกะหล่ำ: ดอกกะหล่ำ, บร็อคโคลี, กะหล่ำปลี จะทำให้ท้องอืดและมีแกสเมื่อเราบริโภคมันแบบดิบๆ เพราะมันมีไฟเบอร์ในปริมาณสูงมาก ซึ่งทำให้ร่างกายย่อยได้ลำบากทั้งมันยังมีสาร ราฟฟิโนส (raffinose) ซึ่งเป็นโมเลกุลของน้ำตาลที่จัดอยู่ในอาหารกลุ่ม FODMAP ทำให้เกิดแกสในช่องท้องหลังจากบริโภคเข้าไป

แก้ไขโดย: แค่นำมันไปนึ่งเพื่อให้นุ่ม ไฟเบอร์ในอาหารก็จะอ่อนตัวลงจนร่างกายย่อยมันได้ง่ายขึ้น หรือนำไปปั่นละเอียดทำเป็นซุป หรือต้มเป็นซุปผักก็ได้ ไม่ควรบริโภคแบบสดจิ้มกับดิปต่างๆ และหากคุณบริโภคผักตระกูลนี้ที่มีสีเขียวเข้มแล้วท้องอืดบ่อยๆ ก็ให้ลองแทนที่มันด้วยผักที่มีไฟเบอร์สีเขียวน้อยกว่าเช่นผักกาด หรือเปลี่ยนเป็นกะหล่ำปลีดองหรือซาวร์เคร้าส์(sauerkraut) ที่ย่อยง่ายกว่าเพราะมันถูกย่อยมาแล้วในกระบวนการหมัก

 

2. เครื่องดื่มมีฟอง: การอัดแกสในกระบวนการผลิตเครื่องดื่มเหล่านี้ จะไปสร้างฟองอากาศขึ้นในทางเดินระบบลำไส้ ทำให้ท้องอืด

แก้ไขโดย: เปลี่ยนมาดื่มน้ำผลไม้คั้นสด หรือน้ำแร่ที่มีไซรัปมะนาว (lime cordial)แทน หรือเครื่องดื่มที่ไม่ได้ใช้วิธีอัดแกสลงในส่วนผสมเช่น switchel ซึ่งเป็นเครื่องดื่มหมักที่มีจุลินทรีย์โปรไบโอติกอย่าง switchel ส่วนประกอบหลักของเครื่องดื่มนี้คือน้ำส้มแอปเปิ้ลไซเดอร์ที่ไม่ได้ผ่านการพาสเจอร์ไรซ์และน้ำแร่ที่ไม่อัดแกส

 

healthbikini02

 

3. หัวหอม: เป็นพืชที่มี FODMAP สูงเพราะมีสารฟรุคแทน( fructans) ซึ่งเป็นน้ำตาลในกลุ่มอาหาร FODMAP แม้จะบริโภคเพียงเล็กน้อยก็จะส่งผลต่อระบบการย่อย เช่น ทำให้เกิดกรดไหลย้อน,อาหารไม่ย่อย แม้จะนำไปปรุงสุกแล้วก็อาจลดอาการเหล่านี้ได้ในบางคนเท่านั้น

แก้ไขโดย: แทนที่จะบริโภคสดๆ ให้นำมันไปแช่ในน้ำมันมะกอกและนำไปปรุงอาหาร ก็จะช่วยให้ท้องอืดน้อยลง และไม่ควรทดแทนมันด้วยหอมแดงเพราะก็มี FODMAP สูงใกล้เคียงกัน

 

4. แอปเปิ้ล: นักโภชนาการแนะนำว่า ถ้าคุณท้องอืดบ่อยๆ ควรเปลี่ยนแอปเปิ้ลมาเป็นพวกเบอร์รี่หรือแคนตาลูป เพราะถึงแม้แอปเปิ้ลจะอุดมด้วยสารอาหาร แต่มันก็มีน้ำตาลฟรุคโตสที่สูงที่สุดในผลไม้ทั้งหมด ทำให้เป็นอาหาร FODMAP สูง ทั้งปริมาณไฟเบอร์สูงในแอปเปิ้ลก็ทำให้ร่างกายย่อยได้ยาก

แก้ไขโดย: เปลี่ยนเป็นผลไม้ที่มี FODMAP ต่ำเช่นเบอร์รี่, แคนตาลูป, องุ่นหรือกล้วย หรือถ้าเป็นแอปเปิ้ลซอสหรือแอปเปิ้ลปรุงสุกแล้ว ก็จะช่วยให้ร่างกายสามารถย่อยมันได้ดีขึ้น

 

healthbikini05

 

5. น้ำตาลแอลกอฮอล์: คือสารให้ความหวานทดแทน เช่นไซลิทอล, แมนิทอล และซอร์บิทอล มักใช้ในอาหารสำเร็จรูปที่ระบุว่ามีแคลอรี่ต่ำ เช่นในกราโนลาบาร์และซีเรียลบางชนิด น้ำตาลนี้จะเกี่ยวข้องกับปัญหาระบบการย่อยเช่นการมีแกสในช่องท้องและท้องร่วง

แก้ไขโดย: ใช้หญ้าหวานสเตเวียหรือเมเปิ้ลไซรัปบริสุทธิ์ 100% ที่มี FODMAP ต่ำ นอกจากนี้ สารทดแทนความหวานอื่นๆที่อุดมด้วยฟรุคโตสก็เป็นสิ่งควรเลี่ยงเช่นคอร์นไซรัป, น้ำตาลจากอ้อย, น้ำตาลทรายแดง, น้ำตาลบีทรูท และน้ำผึ้งก็มีฟรุคโตสในปริมาณสูงซึ่งอาจทำให้ท้องอืดได้

 

6. กระเทียม: พืชนี้เป็นพี่น้องกับหัวหอม จึงมี FODMAPสูงเช่นกัน โดยเฉพาะเมื่อบริโภคสดๆ และยังคงทำให้ท้องอืดได้ถึงแม้จะนำไปปรุงแล้วก็ตาม

แก้ไขโดย: นำไปผ่านความร้อนก่อนจะดีกว่าบริโภคสดๆ แต่ถ้าทำแล้วไม่ช่วยอะไรละก็ ให้แทนที่มันด้วยต้นหอม ซึ่งจะมี FODMAP ต่ำกว่า และรสชาติใกล้เคียงที่สุดเมื่อนำมาทำอาหาร

 

healthbikini03

 

7. ถั่วต่างๆ: ถั่วชนิดต่างๆ เป็นอาหารที่ไม่แนะนำสำหรับผู้ที่ท้องอืดบ่อยๆ เพราะมีปริมาณ FODMAP สูง จากโมเลกุลของน้ำตาลชื่อว่า อัลฟา กาแลคโตไซด์ (alpha-galactoside)

แก้ไขโดย: แทนที่มันด้วยอาหารโปรตีนที่มี FODMAPต่ำเช่น เนื้อวัวที่เลี้ยงในทุ่งหญ้าออร์แกนิก หรือไข่ไก่ ก็ช่วยลดท้องอืดได้ และทำให้ร่างกายได้รับวิตามินและแร่ธาตุอื่นๆเพิ่มขึ้นอีกด้วย เพราะทั้งสองสิ่งที่ใช้ทดแทนนี้ไม่มีกรดไฟติกทั้งมีวิตามินและแร่ธาตุสูงกว่า

 

8. ธัญพืช: ธัญพืชอย่างเช่นข้าวโอ๊ต, ข้าวและข้าวสาลี เป็นสิ่งที่นักโภชนาการไม่แนะนำให้บริโภคสำหรับผู้ที่ท้องอืดบ่อยๆ เพราะมีไฟเบอร์ในปริมาณสูง และมี FODMAPสูงด้วย ทำให้ระบบการย่อยที่มีปัญหายิ่งเลวร้ายลงไปอีก

แก้ไขโดย: เลือกพาสต้าที่ทำจากซุคคินี (zucchini) ซึ่งจะมี FODMAP น้อยกว่าพาสต้าจากข้าวสาลี หรือเลือกควินัว ซึ่งเป็นอาหารใกล้เคียงพืชตระกูลผักโขม แต่ให้แช่มันค้างคืนไว้หนึ่งคืนก่อนนำมาปรุงอาหารเพื่อลดกรดไฟติก

 

9. เห็ด: ในเห็ดมีสาร polyols ทำให้มันมี FODMAP สูง นอกจากนี้ ตามธรรมชาติของเห็ด คือพืชในตระกูลเชื้อราฟังใจ ( fungi) ซึ่งจะไปรบกวนระบบการย่อยอาหารได้ โดยเฉพาะในผู้ที่มีการเจริญเติบโตของเชื้อราแคนดิดา( candida)ภายในร่างกาย ซึ่งเป็นอาการติดเชื้อของทางเดินของลำไส้ ทำให้อาการยิ่งเลวร้ายขึ้น

แก้ไขโดย: การหาสิ่งทดแทนเห็ด ขึ้นอยู่กับว่าจุดประสงค์ที่คุณใส่เห็ดลงในอาหารนั้นๆ เพราะต้องการอะไรระหว่างรสชาติหรือเนื้อสัมผัสของมัน ถ้าเป็นเรื่องของเนื้อสัมผัส สามารถใช้ซุคคินี่ผัด ( zucchini) ทดแทนได้ แต่ถ้าเป็นเรื่องของรสชาติ ก็ให้ใช้น้ำซุปต้มประดูกใส่สาหร่ายคอมบุ (kombu) และเติมเกลือลงไปเล็กน้อย ก็จะให้รสชาติที่ใกล้เคียงกัน

 

healthbikini04

 

10. ผลิตภัณฑ์นม: เป็นอาหารที่มักทำให้คนท้องอืดเพราะมันย่อยยากจากการมีน้ำตาลแลคโตสสูง ซึ่งการย่อยน้ำตาลแลคโตส ร่างกายจะต้องมีเอนไซม์ที่ชื่อว่าแลคตาส ( lactase) สำหรับย่อยน้ำตาลนี้โดยเฉพาะ แต่บางคนร่างกายก็ผลิตเอนไซม์นี้ไม่เพียงพอ หรือหยุดผลิตไปแล้วหลังผ่านช่วงการให้นมบุตร ทำให้ไม่สามารถย่อยน้ำตาลนี้ได้ นอกจากนี้ พบว่า คาเซอิน ( Casein) โปรตีนชนิดหนึ่งในผลิตภัณฑ์นม ก็ทำให้เกิดอาการติดเชื้อในผนังของลำไส้ได้ เช่นกัน ซึ่งการติดเชื้อนี้จะนำไปสู่อาการท้องอืด

แก้ไขโดย: ใช้กะทิหรือนมจากถั่ว เช่น นมอัลมอนด์ ทดแทนได้ดี ทั้งมีวิตามินและแร่ธาตุจำเป็นต่อร่างกาย

 

เห็นไหมคะว่า อาหารธรรมดาๆที่สุดที่เราบริโภคกันนี่แหละ ก็คืออาหารที่ทำให้ท้องอืด เป็นอุปสรรคต่อการใส่ชุดว่ายน้ำรับร้อยได้ แต่อีกส่วนหนึ่งของอาการนี้ ก็เป็นเพราะไลฟสไตล์ของเราด้วยเช่นกัน เช่น บริโภคอาหารเร็วเกินไป, หรือบริโภคในขณะร่างกายถูกรบกวนจากการเล่นมือถือ หรือทำกิจกรรมอื่นๆไปด้วย ระบบการย่อยจึงทำงานได้ไม่เต็มที่ การเคี้ยวอาหารไม่ละเอียด ก็เป็นสาเหตุของท้องอืดได้ด้วยเช่นกัน หน้าร้อนนี้ ควรดูแลเรื่องอาหารเป็นพิเศษ นอกจากกินร้อนช้อนกลางล้างมือแล้ว ก็ต้องเลือกอาหารที่ทำให้เราดูดีด้วย ทีนี้ก็หุ่นสวยแล้วโพสต์รูปบิกินี่กันได้เลยค่ะ

เหตุผลสุขภาพดี ที่ทำให้ควรไปเที่ยวทะเล

 

เสียงนุ่มนวลของเกลียวคลื่นที่ซัดสู่ชายหาดเป็นระยะๆ ลำแสงสดใสของดวงอาทิตย์ที่ส่องผ่านแพก้อนเมฆ ให้ท้องฟ้าเป็นสีฟ้าสวยตัดกับสีขาวของหาดทรายที่ทอดยาวสุดสายตาตามแนวขนานเส้นขอบฟ้าเหมือนไม่มีที่สิ้นสุดแค่ได้สัมผัสตัวอักษรที่เล่าผ่านสายตา ก็เห็นภาพความสุขสงบผ่อนคลายของวันพักผ่อนชายทะเลเข้ามาในความคิดความสงบสวยงามของธรรมชาติ ที่รอให้คนที่อยู่แต่ในห้องสี่เหลี่ยมของออฟฟิศหลายๆชั่วโมงอย่างเรา ออกไปสัมผัสอิสระที่แสวงหาทั้งทางร่างกายและจิตใจ

 

แต่ถ้าคุณต้องการเหตุผลที่มากกว่านี้ เพื่อจะเขียนลาส่งให้เจ้านาย แล้วไปสัมผัสกับชายหาดให้สะดวกใจละก็ มาดูความจริงจากนผู้เชี่ยวชาญด้านประสาทวิทยาที่จะมาเล่าให้ฟังว่า แสงแดด, หาดทราย และชายทะเล สามารถช่วยฟื้นฟูร่างกายและจิตใจให้เราได้อย่างไรบ้าง

 

สุขภาพดีๆที่ได้จากชายหาด:

นักประสาทวิทยาและผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพบำบัดจากสิ่งแวดล้อมหลายคน ระบุถึงผลดีของการไปเที่ยวชายทะเล โดยชี้ให้เห็นถึง สภาพแวดล้อมของธรรมชาติของหาดทรายและทะเล ที่ช่วยฟื้นฟูสุขภาพ ซึ่งจากการศึกษาพบว่า การได้อยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีความงดงามตามธรรมชาติเช่นที่ริมหาดทราย หรือน้ำตกธรรมชาติ ที่มีอากาศสดชื่นและเต็มไปด้วยต้นไม้ จะให้ผลดีต่อฟื้นฟูสุขภาพร่างกายและระบบประสาทที่เหนื่อยล้าจากการทำงาน ได้มากกว่าการออกกำลังกายในฟิตเนส หรือการเที่ยวหาความบันเทิงเช่นในโรงหนัง หรือในสถานที่ที่มีการปรุงแต่งสิ่งแวดล้อมเพื่อเลียนแบบธรรมชาติ ซึ่งมันไม่ทำให้เราได้สัมผัสกับธรรมชาติที่แท้จริง

 

และถ้าหากเราต้องการไปเที่ยวทะเลให้ผ่อนคลายจากความเหนื่อยล้าให้ได้ผลดีเป็นพิเศษ นักประสาทวิทยาก็ยังมีคำแนะนำว่า เราควรเลือกไปในวันที่มีสภาพแวดล้อมพิเศษด้วย เพื่อให้ได้รับการฟื้นฟูสุขภาพเต็มที่อย่างที่ต้องการ ให้เลือกไปในวันที่อากาศไม่ร้อนเกินไป บรรยากาศชายทะเลมีอุณหภูมิพอเหมาะ ลมพัดอ่อนๆและที่สำคัญคือผู้คนไม่พลุกพล่านมาก แบบนี้จึงจะเป็นสภาพแวดล้อมที่ดีต่อการฟื้นฟูสุขภาพมากที่สุด เมื่อเรานั่งลงพักผ่อนบนชายหาดที่ไม่มีมีผู้คนพลุกพล่านเกินไป นักเดินทางที่หลงรักความงดงามของทะเล มักเลือกไปทะเลในวันธรรมดาที่อากาศสดใส และมีสภาพแวดล้อมที่ไม่แน่นเต็มไปด้วยผู้คน ซึ่งผู้คนมากมายเหล่านั้น มักจะไปเพื่อความสนุกสนานมากกว่าจะผ่อนคลายหรือฟื้นฟูสุขภาพให้กับตัวเอง และเมื่อคุณไปในเวลาเดียวกัน ก็ยากที่จะหาความผ่อนคลายได้จริงๆ

 

healthsea02

 

1. แสงแดด: เราต่างรู้กันดีว่า มันมีความเสี่ยงของสุขภาพที่จะออกไปพบแสงแดดเมื่อไปเที่ยวทะเล แต่ก็ต้องไม่ลืมว่า มันก็มีผลกำไรต่อสุขภาพอยู่ด้วยในขณะเดียวกัน เพราะเมื่อผิวของเราสัมผัสกับแสงแดดโดยตรง ร่างกายก็จะสร้างวิตามินดี ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้ร่างกายสามารถดูดซึมแคลเซียมและสร้างกระดูกที่แข็งแรง ซึ่งวิตามินดีนี้ส่วนใหญ่ร่างกายเราจะได้รับจากการบริโภคอาหาร แต่จริงๆแล้ว การได้รับวิตามินดีที่ดีที่สุด ก็คือได้จากแสงแดด ซึ่งเพียงแค่ 10 นาทีที่ได้ออกไปสัมผัสแสงแดดยามเช้าจากภายนอก ก็สามารถทำไห้เราได้รับวิตามินดีในปริมาณที่พอเพียงต่อหนึ่งวันได้แล้ว ร่างกายของเราสามารถผลิตวิตามินดีได้ 10,000 ถึง 25,000 IU โดยใช้เวลาเพียงเล็กน้อย เพียงแค่เราออกไปกลางแจ้งและผิวของเราเริ่มเป็นสีชมพูเรื่อๆเท่านั้น และการสัมผัสกับแสงแดดอ่อนๆ ก็ให้ผลกำไรในการช่วยเพิ่มเอ็นดอร์ฟิน ซึ่งเป็นฮอร์โมนแห่งความสุข ทั้งยังช่วยเพิ่มภูมิคุ้มเกี่ยวกับโรคออโต้อิมมูน ซึ่งเกิดจากภูมิต้านทานร่างกายบกพร่องอีกด้วย แต่เพื่อให้คุณได้รับผลดีจากแสงแดดอย่างเต็มที่ ก็ควรจำกัดการออกแดดนี้ให้ไม่มากเกินไปจนเกิดความเสี่ยงของโรคมะเร็งผิวหนัง โดยถ้าคุณต้องอยู่ในแสงแดดมากกว่า 2-3 นาที ก็ควรสวมเสื้อผ้าที่ปกป้องผิวและทาผลิตภัณฑ์กันแดดที่มีค่าเอสพีเอฟตั้งแต่ 30 หรือกว่านั้น

 

healthsea03

 

2. หาดทราย: รู้ไหมว่าส้นเท้าของคุณมีต่อมเหงื่อและเส้นประสาทอยู่ในจำนวนมากกว่าทุกๆส่วนของร่างกาย เมื่อเทียบพื้นที่กันต่อหนึ่งตารางเซ็นติเมตร ดังนั้น การเดินเท้าเปล่าริมชายหาดจะช่วยกระตุ้นเท้าได้มากกว่า และไม่เพียงแค่คุณจะได้กระตุ้นปลายเส้นประสาทเท้าเท่านั้น แต่ยังได้เพิ่มความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อเท้าของคุณด้วย ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่สามารถทำได้เมื่อคุณสวมรองเท้า นอกจากนี้ ในทางธรรมชาติบำบัด การเดินเท้าเปล่า ยังทำให้คุณเปิดประสาทสัมผัสเพื่อสื่อสารกับพื้นโลกอย่างแท้จริง ความนุ่มนวลของเม็ดทราย จะช่วยฟื้นฟูอารมณ์จิตใจให้ผ่อนคลาย เป็นเวลาที่คุณจะได้รับความรู้สึกจากผืนโลก เพื่อเชื่อมต่อร่างกายเข้ากับพลังงานที่โลกมอบให้กับเรา ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่มีในไลฟสไตล์ชีวิตยุคใหม่ และการวิจัยพบว่าการเดินเท้าเปล่าบนผืนทรายนั้น เราจะต้องใช้พลังงานมากกว่าการเดินลนพื้นปกตืประมาณ 1.6 to 2.5 เท่า ทำให้กล้ามเนื้อเท้าทำงานเป็นระบบเชื่อมต่อกันได้ดีกว่า แต่ถ้าคุณรู้สึกว่าการวิ่งบนหาดทรายนานๆเหนื่อยเกินไป ก็ให้เดินหรือวิ่งที่พื้นทรายบริเวณอยู่ใกล้ๆน้ำทะเล ซึ่งพื้นผิวตรงนั้นจะช่วยให้รู้สึกผ่อนคลายได้มาก

 

healthsea04

 

3. ทะเล: ในน้ำทะเลอุดมไปด้วยแร่ธาตุที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ทั้งแมกนีเซียม, โปตัสเซียมและไอโอดีน ซึ่งช่วยให้ร่างกายต่อสู้กับอาการติดเชื้อต่างๆ ทั้งยังให้ผลในการบำบัดโรค และช่วยในการล้างพิษได้ด้วย การว่ายน้ำจะช่วยลดความเหนื่อยล้า เพิ่มกำไรที่ดีต่อสุขภาพโดยรวม การศึกษาแสดงว่าการว่ายน้ำและการออกกำลังกายในน้ำ จะช่วยลดความวิตกกังวลและหดหู่เศร้าหมอง นอกจากนี้ การว่ายน้ำยังเป็นการออกกำลังกายที่ดีที่สุด ให้ทั้งความสนุกสนานและกล้ามเนื้อหลักของเราก็สามารถใช้งานทุกๆส่วนได้อย่างเต็มที่ น้ำจะช่วยลดแรงกระแทกได้นุ่มนวลกว่าการออกกำลังชนิดอื่นๆ หากร่างกายได้ว่ายน้ำเป็นประจำสัปดาห์ละสองชั่วโมงครึ่ง ก็จะช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคเรื้อรัง และช่วยฟื้นฟูระบบหัวใจให้ทำงานดีขึ้น การว่ายน้ำ จึงเป็นการออกกำลังกายที่แพทย์มักแนะนำ สำหรับผู้ที่มีอาการบาดเจ็บจากการออกกำลังชนิดอื่นๆมาแล้ว หรือผู้ที่มีอาการปวดข้อ ปวดกล้ามเนื้อ ก็จะสามารถพัฒนาอาการให้ดีขึ้นได้ด้วยการว่ายน้ำนี้

 

ที่เล่ามาทั้งหมด ก็น่าจะเป็นเหตุผลที่ดี ให้คุณลุกจากโต๊ะทำงานที่นั่งอยู่วันละนานๆ เพื่อเก็บของแล้วไปชายทะเลกัน อย่าลืมเอาเรื่องนี้แนบท้ายใบลาให้เจ้านายอ่านด้วยล่ะ จะได้เข้าใจเหตุผลดีๆที่คุณจะไปพักผ่อนรับร้อนนี้ ขอให้เที่ยวสนุก สุขภาพดีกับบรรยากาศรับร้อนชายทะเลกันทุกคนค่ะ

เปิดพฤติกรรมที่ทำให้คุณ “แก่” เร็ว

 

สังเกตไหมเวลาไปงานรวมรุ่นว่าเพื่อนบางคนเวลาก็ทำอะไรเธอไม่ได้ แต่บางคนก็แล้วไปเลย ว่าแล้วกลับมาก็ต้องรีบส่องกระจกดูตัวเอง ต้องยอมรับว่า สิ่งที่ทำให้คนวัยเดียวกันดูแก่เร็วหรือช้ากว่ากันนั้นก็คือ ไลฟสไตล์ของแต่ละคนนั่นเอง อะไรบ้างที่ทำให้คุณแก่เร็วกว่าเพื่อนๆ มาเรียนรู้กันเพื่อบอกตัวเองว่าทีหลังอย่าทำ

 

คุณทำงานหลายอย่างในเวลาเดียวกัน: การทำงานหลากหลายหน้าที่อาจฟังดูเหมือนมีประสิทธิภาพ แต่ความเหนื่อยล้าก็จะโจมตีร่างกายคุณจากหลายทางด้วยเช่นกัน และจริงๆแล้วคือคุณจะทำอะไรไม่เสร็จสักอย่าง ทำให้เหนื่อยล้ากว่าปกติ ความเหนื่อยนี้จะนำไปสู่การเกิดอนุมูลอิสระไปทำลายเซลล์และเป็นสาเหตุของความชรา ดังนั้น แทนที่จะทำทุกอย่างในเวลาเดียวกัน ก็ควรโฟกัสที่งานชิ้นเดียวให้เสร็จเป็นเรื่องๆไปแล้วจึงค่อยเริ่มงานชิ้นใหม่

 

คุณไม่เคยปฏิเสธขนมหวาน: นี่คือการเพิ่มจำนวนกิโลกรัมส่วนเกินให้ร่างกาย และเพิ่มจำนวนปีให้กับใบหน้าของคุณด้วย โมเลกุลของน้ำตาลจะไปจับตัวกับโปรตีนไฟเบอร์ในเซลล์ นี่คือปฏิกิริยาไกลเคชั่น ที่ออกมาในรูปของรอยคล้ำดำของผิวรอบดวงตา, สีผิวไม่สม่ำเสมอ, ผิวบวมน้ำ, เส้นริ้วรอยและรอยยับย่น, การหย่อนคล้อยของใบหน้าและการขยายกว้างของรูขุมขน ดังนั้น ให้งดของหวานหากคุณจะรักษาความอ่อนเยาว์ของผิวเอาไว้

 

healthage03

 

คุณนอนน้อยกว่าห้าชั่วโมงต่อคืนเป็นประจำ: สิ่งนี้ไม่เพียงทำให้เกิดถุงบวมคล้ำใต้ตาเท่านั้น แต่ยังทำให้คุณอายุสั้นลงอีกด้วย ควรนอนหลับให้ได้คืนละไม่ต่ำกว่าเจ็ดชั่วโมง และหากคุณขาดพลังงานในช่วงกลางวัน, ขาดสมาธิทำงาน, น้ำหนักขึ้นโดยไม่ทราบสาเหตุ ให้รีบเข้านอนแต่หัวค่ำเพื่อให้ได้สุขภาพที่ดีขึ้น

 

คุณนั่งดูทีวีแบบมาราธอนตลอดคืน: การทดลองในออสเตรเลียพบว่า คนที่ใช้เวลาประมาณ 6 ชั่วโมงต่อวันในการนั่งเฝ้าหน้าจอทีวี จะมีอายุสั้นกว่าคนที่ไม่ได้เห็นว่าทีวีเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต ถึง 22% สิ่งที่ให้ผลมากเรื่องนี้ก็คือ เรื่องของการนั่งติดที่ไม่มีกิจกรรมเคลื่อนไหวร่างกายหลายๆชั่วโมง เพราะเมื่อคุณนั่งอยู่นานกว่า 30 นาที ร่างกายของคุณก็จะเริ่มส่งน้ำตาลเข้าไปสู่เซลล์ ทำให้มีแนวโน้มต่อการมีน้ำหนักเกินและเป็นโรคอ้วนในที่สุด ดังนั้น ให้ลุกขึ้นทุกๆ 30 นาทีและเดินไปรอบๆบ้าง

คุณไม่ใช้อายครีม: อายครีมดีๆจะช่วยชลอการเกิดริ้วรอยของผิวรอบดวงตา ซึ่งเป็นผิวที่บางกว่าผิวส่วนอื่นๆของใบหน้า ผิวรอบตาที่มีความชุ่มชื่น จะทำให้หน้าดูอ่อนเยาว์กว่าอายุจริงได้หลายปี อายครีมที่ได้ผลดีที่สุด ก็คืออายครีมที่มีส่วนผสมของสารให้ความชุ่มชื้นผิว, กรดไฮยาลูรอนิก, และวิตามินซี ที่จะช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอิลาสติน เพื่อให้ผิวกระชับ

 

healthage04

 

คุณใช้ครีมกันแดดเฉพาะบางโอกาสเท่านั้น: การวิ่ง, การขับรถ, และการเดินไปมาในที่ต่างๆ สิ่งเหล่านี้ทำความเสียหายให้กับผิวได้มากกว่าการใช้เวลาทั้งวันอยู่ที่ชายหาดด้วยซ้ำ ถ้าหากคุณทำสิ่งเหล่านี้โดยไม่มีครีมกันแดดปกป้องผิว การพบกับรังสียูวีคือต้นเหตุของผิวแก่ก่อนวัย ควรปกป้องผิวด้วยครีมกันแดดทุกวันโดยเลือกค่าเอสพีเอฟระหว่าง 30 – 50

 

คุณใช้เมคอัพมากเกินไป: การเมคอัพมากเกินไปทำให้คุณดูแก่ และก็จะแก่ลงจริงๆภายในเวลาไม่กี่ปี นี่คือการระบุของแพทย์ผิวหนังยิ่งถ้าเป็นผลิตภณฑ์ที่มีเบสส่วนผสมของน้ำมัน (oil based products) ที่จะไปอุดตันรูขุมขนและทำให้เกิดสิวขึ้น ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของน้ำหอมและสารระคายเคืองและแอลกอฮอล์ ก็ทำให้ผิวแห้งและเกิดริ้วรอยย่น

 

คุณนอนให้ใบหน้าจมอยู่ในหมอน: การนอนคว่ำหรือการนอนตะแคงให้ใบหน้าจมอยู่ในหมอน จะทำให้เกิดริ้วรอยชราสะสมเนื้อเยื่อเกี่ยวพันและคอลลาเจนในใบหน้าของคุณก็จะเริ่มอ่อนแอมากขึ้นตามอายุที่เพิ่มขึ้น ดังนั้น เมื่อคุณนอนในท่าที่ใบหน้าถูกกดทับแบบเดิมๆทุกคืน ผิวของคุณก็จะไม่เรียบนุ่มนวล ไม่สามารถยืดหยุ่นตัวได้เร็วเหมือนเดิม เส้นริ้วรอยจากการกดทับบนหมอนนี้ สามารถกลายเป็นริ้วรอยถาวร ควรนอนหงายหรือซื้อหมอนผ้าซาตินเรียบลื่นที่ผิวหน้าจะไม่ถูกกดทับ

 

คุณดื่มเครื่องดื่มด้วยหลอดดูด: การดื่มเครื่องดื่นสีเข้มๆด้วยหลอดดูด อาจช่วยให้ฟันคุณไม่เปลี่ยนเป็นสีเข้มจากคราบที่ติดฟัน แต่มันจะทำให้เกิดรอยย่นของผิวรอบดวงตาหากคุณทำเป็นประจำ เพราะการจีบปากบ่อยๆก็จะทำให้เกิดรอยย่นที่รอบริมฝีปาก ดังนั้น รินเครื่องดื่มของคุณใส่แก้วดื่มบ้างจะดีกว่า

 

healthage02

 

คุณงดบริโภคไขมันโดยสิ้นเชิง: ไขมันบางชนิดมีความจำเป็นในการช่วยรักษาความอ่อนเยาว์ของภาพลักษณ์ เช่น กรดไขมันโอเมก้า 3 ที่พบในปลาอุดมด้วยไขมันอย่างปลาแซลมอนและแมคเคอเรล หรือในถั่วเช่นวอลนัทและเมล็ดแฟล็กซ์ กรดไขมันเหล่านี้จะช่วยให้ผิวอิ่มเอิบนุ่มนวล ป้องกันรอยย่น ช่วยฟื้นฟูระบบหัวใจ ซึ่งควรบริโภคปลานี้อย่างน้อยสัปดาห์ละ 2 ครั้ง

 

คุณมีท่าทางทรงตัวที่ไม่เหมาะสม: การนั่งอยู่หน้าคีย์บอร์ดเป็นชั่วโมงๆ จะทำให้กระดูกสันหลังผิดรูป กระดูกสันหลังของเราจะมีสมดุลอยู่ที่เป็นรูปโค้งตัว เอส เพื่อที่จะรักษาสมดุลการทรงตัว การอยู่ในท่าทรงตัวที่ไม่เหมาะสม จะทำให้กล้ามเนื้อ, หมอนรองกระดูก และกระดูกเหนื่อยล้ากว่าปกติ ตามมาด้วยอาการปวดและเหนื่อยล้าของกล้ามเนื้อ และเกิดกระดูกสันหลังเสื่อมและผิดรูปอย่างถาวร ควรฝึกหัดตัวเองให้มีท่าทรงตัวที่ดี ท่าการนั่งที่ถูกคือ หู, ไหล่, และสะโพก ควรจะอยู่ในระนาบเป็นเส้นตรงเดียวกันเมื่อคุณนั่งลงบนเก้าอี้

 

ใครไม่อยากแก่ อ่านแล้วก็อย่าลืมกลับไปปรับปรุงพฤติกรรมกันให้ดีๆ ไปงานเลี้ยงรุ่นคราวหน้าจะได้ตอบคำถามไปทำอะไรมาถึงดูเด็กลงกันแน่นอนค่ะ

เรียนรู้มารยาทเมื่อเข้าคลาสโยคะ

 

โยคะ กิจกรรมออกกำลังกายสุดฮิตของสาวหุ่นดี การเข้าคลาสโยคะเป็นความสนุกสนาน ตราบใดที่คุณยังไม่ถูกรบกวนด้วยบรรยากาศหรือพฤติกรรมของคนรอบข้าง หรือบางทีตัวคุณเองนั่นแหละ ที่อาจมีพฤติกรรมรบกวนคนอื่นโดยไม่รู้ตัวจากเรื่องปูเสื่อโยคะ ไปจนถึงเรื่องการใช้มือถือระหว่างคลาส เหล่านี้คือมารยาทที่ครูฝึกอยากให้คุณรู้

 

โยคะ เป็นการออกกำลังกายที่บางคนกลัวโดยเฉพาะมือใหม่ เพราะมันไม่ใช่แค่ต้องเรียนรู้ภาษาแปลกๆของชื่อท่าต่างๆและฝึกควบคุมการทรงตัวให้ได้ตามท่าเท่านั้น แต่มันเป็นสิ่งแตกต่างมากๆจากคลาสฟิตเนสปกติของคุณ และก็จะมีเรื่องของมารยาทสำคัญๆที่คุณควรจะรู้ทั้งมือใหม่และมือเก่าเพื่อจะได้ไม่พลาด

 

1. อย่าใส่น้ำหอมจัดๆก่อนไปเข้าคลาส: คลาสโยคะส่วนมาก จะเน้นเรื่องการฝึกกำหนดลมหายใจ จึงต้องมีการหายใจเข้าออกลึกๆ ซึ่งสิ่งที่ทุกคนต้องการก็คือความสงบที่จะไม่ถูกครอบงำด้วยสัมผัสของกลิ่น ไมว่าจะเป็นน้ำหอม, โลชั่นทาผิวหรือบอดี้สเปรย์ก็ตาม

 

2. คิดก่อนจะปูเสื่อโยคะ: ไม่ควรปูเสื่อใกล้กับคนอื่นมากเกินไป เพราะมันอาจมีความเสี่ยงของท่าบางท่า เช่นสุริยนมัสการ ที่แต่ละคนต้องใช้พื้นที่มากพอควร แต่ถ้าคลาสโยคะที่คุณเรียนคนแน่นมาก ก็ให้วางเสื่อของคุณในแนวเอียงๆของพื้นที่ว่างที่เหลืออยู่ ดูว่ามันไม่ไปทับกับเสื่อของคนอื่น สิ่งนี้จะช่วยคุณให้เลี่ยงการ การแกว่งแขนหรือสะโพกใส่หน้าคนอื่นเวลาที่คุณฝึกท่า นี่คือคำแนะนำของครูฝึกโยคะหลายสถาบัน

 

3. คุยก่อนเข้าคลาสให้น้อยที่สุด: ถ้าหากคุณไปเรียนโยคะกับเพื่อนๆ พยายามส่งเสียงให้น้อยที่สุดขณะรอครูฝึกเริ่มการสอน สิ่งนี้สำคัญมาก ควรระลึกเสมอว่า การที่คนเข้ามาฝึกโยคะกัน ก็เพื่อปิดการติดต่อกับโลกภายนอกและหาความสงบ ซึ่งมันจะทำได้ยากหากแวดล้อมด้วยพวกช่างคุย

 

healthyoga03

 

4. ถอดรองเท้าก่อนเดินเข้าคลาส: สตูดิโอโยคะส่วนมาก จะมีที่ในล็อกเกอร์ไว้ให้ใส่รองเท้า ซึ่งคุณควรใช้มันมากกว่าจะถือมันเข้าไปในห้องฝึกด้วยนะ และควรเข้าไปในห้องด้วยสภาพเท้าเปล่าหรือสวมถุงเท้าเท่านั้น

 

5. ห้ามก้าวล่วงเสื่อของคนอื่นเป็นอันขาด: จำไว้ว่า พื้นที่เสื่อโยคะคือบริเวณส่วนตัวของทุกคน มันจึงไม่เหมาะสมอย่างยิ่งที่คุณจะเอาเท้า, มือ หรือใบหน้า หรืออวัยวะส่วนใดๆไปวางบนเสื่อของคนอื่น ไม่ว่าเขาจะอยู่หรือไม่ก็ตาม

 

6. ห้ามเซลฟี่เด็ดขาด: อันนี้จริงจังที่สุดนะ ไม่มีอะไรน่ารำคาญเท่าเวลาที่ทุกคนฝึกอย่างตั้งใจแล้วมีใครวุ่นวายกับการเซลฟี่หรือถ่ายรูปให้หน่อย ไม่ว่าคุณจะแน่ใจความสวยเป๊ะแค่ไหน ให้ถ่ายรูปได้หลังจากคลาสจบแล้วเท่านั้น มันจะเป็นการฝึกโยคะที่ได้ผลดีมาก หากคุณเก็บโทรศัพท์ไว้ในล็อกเกอร์แล้วตั้งใจฝึกจริงๆ และก็ไม่เกิดโอกาสที่เสียงมือถือรบกวนคนอื่นโดยเฉพาะในท่าศวาสนะหรือท่าศพ ซึ่งเป็นท่าสุดท้ายของคลาสที่ทุกคนนอนพักผ่อนคลาย

 

healthyoga02

 

7 อย่าเข้าคลาสสาย: การเข้าคลาสช้าก็คือการรบกวนความสงบของคนอื่น โดยเฉพาะหากคลาสนั้นเริ่มต้นด้วยการทำสมาธิหรือกำหนดลมหายใจ ยิ่งถ้านี่คือคลาสครั้งแรกของคุณ ก็ยิ่งสำคัญมากที่จะต้องมาก่อนเวลา เพราะสตูดิโอโยคะส่วนมากจะให้คุณกรอกข้อมูลในการเข้าเรียนครั้งแรก จึงควรไปก่อนและตรวจเช็คข้อมูลระเบียบต่างๆให้ครบถ้วนและทำตามอย่างเคร่งครัด

 

8. อย่าออกจากคลาสเร็วเกินไปเมื่อตอนจบ: นึกดูเมื่อจบคลาสและทุกคนยังนอนอยู่ในท่าศวาสนะ แล้วคุณลุกขึ้นเก็บข้าวของเสียงดังเพื่อจะออกไปจากห้องว่ามันรบกวนแค่ไหน ดังนั้น หากคุณรู้ตัวว่าจะต้องออกจากคลาสเร็วกว่าคนอื่น ก็ให้เลือกพื้นที่ๆใกล้ประตูที่สุดที่จะสามารถออกไปได้เงียบๆ

 

เรื่องของมารยาท เป็นสิ่งที่ต้องมีตลอดเวลาไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนกับใคร ไหนๆมาออกกำลังกายเพื่อให้ได้สุขภาพที่ดี ทุกคนที่มาทำกิจกรรมนี้ร่วมกันก็ควรจะได้สุขภาพจิตใจที่ดีกลับไปด้วย ไม่มีอะไรยากถ้าแค่นึกถึงใจเขาใจเราเท่านั้นเองค่ะ ขอให้สนุกกับการออกกำลังกายทุกคนนะคะ

“กิน..ให้ผอม” รู้จักสารอาหารช่วยลดพุง

 

ช่วงนี้เห็นเอวบางๆของแม่นางการะเกดในบุพเพสันนิวาสทีไร ก็อดอิจฉาไม่ได้เลยนะออเจ้า อยากไล่ไขมันออกไปจากพุงกลมๆของเรา ก็ต้องเข้าใจเรื่องสารอาหารช่วยเผาผลาญไขมัน จัดให้ในเรื่องนี้เลยค่ะ

 

1. เผาผลาญไขมันด้วยแคลเซียม ไพรูเวท (Calcium pyruvate): สารนี้มีบทบาทเติมพลังงานให้กับเซลล์ จากการศึกษาของมหาวิทยาลัยพิทสเบิร์ก รัฐเพนซิลเวเนีย สหรัฐอเมริกา พบว่า ผู้ที่ลดน้ำหนักด้วยวิธีบริโภคจำกัดแคลอรี่ หากได้รับสารอาหารนี้ จะลดไขมันลงได้มากกว่าถึง 48% เนื่องจากมันทำให้เซลล์ไขมันถูกเผาผลาญได้มีประสิทธิภาพกว่า สารนี้พบได้ในแอปเปิ้ลแดง, องุ่นแดง, ไวน์แดงและชีส และถ้าจะเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ก็แนะนำในปริมาณบริโภค 1,000 มิลลิกรัมขณะท้องว่างก่อนมื้อเช้าและเย็น

 

healtheat03

 

2. ขับแกสในท้องด้วยเมล็ดยี่หร่า: ท้องอืดก็ทำให้มีพุงได้ เมล็ดยี่หร่าจะช่วยลดแกสเพราะมันมีกรดคุณสมบัติยาขับลมในท้อง ช่วยสนับสนุนแบคทีเรียชนิดดีย่อยสลายอาหาร และขัดขวางการเติบโตของแบคทีเรียชนิดเลวอีกด้วย

 

3. ดูแลสมดุลอินซูลินด้วยอบเชย: สารออกฤทธิ์ชื่อเมทิลไฮดรอกซี ชาลโคน โพลีเมอร์(methylhydroxy chalcone polymer) หรือ MHCP ในอบเชย จะช่วยให้เซลล์ไขมันตอบรับอินซูลินได้ดีขึ้น ร่างกายจึงขนส่งน้ำตาลไปสู่เซลล์และแปรสภาพเป็นพลังงานได้มากขึ้น ทำให้อินซูลินในกระแสเลือดลดต่ำลง การมีอินซูลินสูงจะทำให้ร่างกายสะสมไขมันเอาไว้มาก การบริโภคอบเชย จึงช่วยรักษาระดับอินซูลินและแก้ปัญหาไขมันหน้าท้อง

 

4. ชาเขียวช่วยเผาผลาญไขมัน: สารประกอบโพลีฟีนอลหลักในชาเขียวชื่อว่าเอพิแกลโลคาเทชิน แกลเลท(epigallocatechin gallate) หรือ EGCG ทำให้อุณหภูมิร่างกายสูงขึ้น จึงใช้พลังงานเผาผลาญไขมันเพิ่มขึ้น ชานี้ยังอุดมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยลดการติดเชื้อซึ่งเป็นสาเหตุการเกิดไขมันหน้าท้อง ควรเลือกชาเขียวใบต้มสดจะดีกว่าชนิดผงและผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร

 

healtheat04

 

5. ฟูโคแซนทิน (Fucoxanthin) สารแคโรทีนอยด์ในสาหร่ายทะเลสีน้ำตาลช่วยลดน้ำหนัก : นักวิทยาศาสตร์ได้ให้สารนี้กับหนูทดลองที่เป็นโรคอ้วนและพบว่า มันสามารถลดน้ำหนักลงได้ 5 -10% ซึ่งสารนี้อาจช่วยเพิ่มอัตราการเผาผลาญไขมันในช่องท้อง สาหร่ายนี้จะมีขายในร้านสุขภาพของญี่ปุ่นโดยเฉพาะภายใต้ชื่อว่าวากาเมะ (wakame) และ ฮิจิกิ (hijiki)

 

6. โอเมก้า-3 (Omega-3) ลดไขมันหน้าท้อง: สารนี้ช่วยเก็บกวาดฮอร์โมนคอร์ติซอลและอดรีนาลีนที่พุ่งสูงขึ้น ป้องกันร่างกายเสียหายและการสะสมไขมันที่เกิดจากความเหนื่อยเรื้อรัง พบสารอาหารนี้ในปลาทะเลที่อุดมด้วยไขมันเช่นแซลมอน และในพืชบางชนิดเช่น เมล็ดเจีย (chia seed),เมล็ดแฟล็กซ์ (flaxseed) รวมทั้งผลิตภัณฑ์เสริมอาหารโอเมก้า-3 ก็ช่วยได้

 

7. เคอร์เซทิน (Quercetin) พัฒนาภูมิต้านทาน: สารฟลาโวนอยด์ที่ช่วยต่อสู้ไขมันหน้าท้องได้ดี โดยมันจะไปทำให้เซลล์ไขมันที่เพิ่งก่อตัวหยุดการเจริญเติบโต จึงยับยั้งอัตราการเกิดใหม่ของเซลล์ไขมันได้ดีกว่าสารฟลาโวนอยด์ชนิดอื่นๆ สารนี้มีมากในแอปเปิ้ล,หอมแดง,ชาเขียว, องุ่นแดง, มะเขือเทศ,บร็อคโคลี,เชอรี่, ราสพ์เบอร์รี่,และผักใบสีเขียวเข้ม ซึ่งการรับสารนี้จากอาหารจะให้ผลดีกว่าผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร

 

healtheat02

 

8. เรสเวราทรอล (resveratrol) ฟื้นฟูเมตาบอลิซึ่มให้เผาผลาญแคลอรี่ได้มากขึ้น: สารนี้ยังช่วยควบคุมสมดุลของเอสโตรเจน ซึ่งการมีเอสโตรเจนสูงจะทำให้ร่างกายเพิ่มการสะสมไขมัน เราพบสารนี้ได้ในองุ่นแดง, ไวน์แดง, ถั่วลิสง,และดาร์กชอกโกแล็ต

 

9. วิตามินซี ช่วยลดระดับฮอร์โมนคอร์ติซอลจากความเหนื่อยล้า: การเพิ่มของคอร์ติซอลจะทำให้เกิดการสะสมไขมันหน้าท้อง วิธีคือให้บริโภคอาหารที่อุดมด้วยวิตามินซีอย่างน้อยสองอย่างในแต่ละวัน ได้แก่ส้ม, กีวีและพริกหวานสีเขียว ถ้าเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ก็ให้บริโภควันละ 500 มิลลิกรัมและเลือกสูตร time – released formula

 

10. น้ำช่วยลดไขมันหน้าท้อง: แค่ดื่มน้ำสะอาดประมาณ 17 ออนซ์ เราก็จะมีการเพิ่มขึ้นของอัตราเมตาบอลิซึ่มประมาณ 30% ปริมาณของเหลวที่เพิ่มขึ้นนี้จะสนับสนุนการย่อยสลายของไขมัน ซึ่งสิ่งควรรู้คือ การขาดน้ำสามารถไปลดระดับเมตาบอลิซึ่มของเราได้ จึงแนะนำให้ดื่มน้ำอย่างน้อย 64 ออนซ์ต่อวัน

 

ทั้งหมดคือสารอาหารที่นอกจากช่วยให้พุงหายไปแล้ว ก็ยังช่วยให้เรามีสุขภาพโดยรวมที่ดีขึ้นด้วยกินอย่างไรให้ผอมคำตอบก็คือกินอย่างมีสติและเข้าใจทั้งเรื่องของคุณภาพและปริมาณถ้าทำได้แบบนี้ การกินก็จะเป็นเรื่องดีต่อสุขภาพของทุกคน ยิ่งถ้าออกกำลังกายสม่ำเสมอ เอวบางๆก็จะเป็นของสาวๆออเจ้าทุกคนแน่นอนค่ะ

10 เหตุผลที่ผู้หญิงญี่ปุ่นดูหุ่นดีไม่มีแก่

 

ชาวญี่ปุ่น ได้ชื่อว่ามีความหวังเรื่องมาตรฐานสุขภาพและชีวิตที่สูงมาก สังเกตไหมว่าผู้หญิงญี่ปุ่นไม่ว่าอายุเท่าไหร่ ก็มักจะหารูปร่างแบบโอเวอร์ไซส์ได้ยากมาก แถมยังดูอ่อนเยาว์กว่าอายุจริงด้วย ต้องยกความดีให้ไลฟสไตล์ของพวกเธอ โดยเฉพาะเรื่องอาหารที่ผู้หญิงญี่ปุ่นไม่ได้ต้องการแค่ความอร่อย แต่มันจะต้องเสริมสร้างสุขภาพที่ดีให้ด้วย และนี่คือเหตุผลที่ทำให้ผู้หญิงญี่ปุ่นห่างไกลคำว่าอ้วนและแก่

 

healthjapan04

 

1. พวกเธอดื่มชาเขียว: ผงชาเขียวของญี่ปุ่น อุดมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยชลอความชราและช่วยลดน้ำหนัก ลดความเสี่ยงการเกิดโรคมะเร็งและโรคหัวใจอีกด้วย งานวิจัยพบว่าชาวญี่ปุ่นที่บริโภคชาเขียวจะสามารถลดความเสี่ยงการเสียชีวิตจากโรคหลอดเลือดลงได้ถึง 26% สำหรับผู้ที่ดื่มชาเขียว 5 ถ้วยเป็นประจำทุกวัน

 

2. พวกเธอบริโภคอาหารหมัก: มิโสะ (miso), เต้าหู้หมัก (tempeh), ชาดำหมัก (kombucha)เป็นอาหารประจำครัวของชาวญี่ปุ่น อาหารเหล่านี้ผ่านกระบวนการหมักแลคโตบาซิลัส ที่สงวนคุณค่าโภชนาการและสร้างเอนไซม์ดีต่อสุขภาพ, กรดไขมันโอเมก้า -3 , วิตามิน,โปรไบโอติกที่ดีต่อระบบการย่อย ช่วยลดน้ำหนักและขับสารพิษ

 

3. พวกเธอบริโภคอาหารทะเล: เนื้อสัตว์แดงเป็นสาเหตุปัญหาสุขภาพ เช่นคอเลสเตอรอลสูง, โรคอ้วน, โรคติดเชื้อต่างๆ คนญี่ปุ่นจึงบริโภคอาหารทะเลเป็นประจำเช่นปลาแซลมอน, ทูน่า, แมคเคอเรล ที่อุดมด้วยโอเมก้า-3 มีประโยชน์ต่อหัวใจ, สมองและระบบร่างกาย ช่วยลดการสะสมไขมันหน้าท้อง แก้ปัญหาสิวและโรคภูมิแพ้ผิวหนัง

 

healthjapan03

 

4. พวกเธอบริโภคในปริมาณน้อย: คนญี่ปุ่น จะฝึกบริโภคอาหารปริมาณน้อยๆตั้งแต่เด็กๆ พวกเขาเชื่อว่ายิ่งบริโภคน้อยไหร่ก็จะมีน้ำหนักส่วนเกินน้อยลงเท่านั้น และก็จะใช้สิ่งนี้ในการนำเสนออาหารด้วยเช่น จะไม่ตักอาหารจนเต็มล้นจาน, จะไม่เสิร์ฟอาหารจานใหญ่ๆ, จะเลือกบริโภคแต่อาหารที่สดใหม่เสมอ และจะตกแต่งอาหาร โดยโชว์ความสดตามธรรมชาติเท่านั้นทั้งสีและวิธีปรุง

 

5. พวกเธอเดินมากและบ่อยเมื่อไปไหนๆ คนญี่ปุ่นทั้งชายและหญิงจะใช้การเดินเป็นหลัก ซึ่งสิ่งนี้ดีต่อสุขภาพที่สุดถ้าคุณต้องการจะลดน้ำหนัก การเดินช่วยพัฒนาสุขภาพของหลอดเลือด ช่วยคลายความเหนื่อยล้าทั้งช่วยกระตุ้นระดับพลังงานและอารมณ์ให้ดีขึ้นด้วย

 

6. พวกเธอไม่เดินไปพร้อมๆกับบริโภคอาหาร: คนญี่ปุ่นรู้สึกว่าการเดินบริโภคอาหารเป็นกิริยาที่ไม่เหมาะสม พวกเขาถือว่าเวลามื้ออาหารเป็นเวลาของความสงบที่สำคัญพอๆกับการเตรียมตัวสวดมนต์ และจะบริโภคช้าๆเพื่อให้เวลากระเพาะอาหารในการส่งสัญญาณไปยังสมอง ว่าได้รับอาหารเพียงพอหรือยังอีกด้วย

 

7. พวกเธอบริโภคอาหารที่มีหลักการปรุงที่ดี : นอกจากการใช้วัตถุดิบที่ดีต่อสุขภาพแล้ว คนญี่ปุ่นก็ยังใช้หลักการปรุงอาหารที่ดีต่อสุขภาพอีกด้วย โดยจะหลีกเลี่ยงการใช้น้ำมันมากๆเปลี่ยนเป็นใช้การย่าง, การต้มหรือนึ่ง, หรือบริโภคในแบบสดๆเพื่อสงวนคุณค่าโภชนาการไว้ให้มากที่สุด

 

8. พวกเธอฝึกหัดศิลปป้องกันตัว: คนญี่ปุ่นส่วนใหญ่ฝึกหัดศิลปะป้องกันตัวทั้งยูโด, อิโด, คาราเต้ ฯลฯ ซึ่งดีต่อการพัฒนาความฟิตของร่างกาย พัฒนาสุขภาพหลอดเลือดและความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อ ทั้งช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อ, ช่วยลดน้ำหนักและชลอกระบวนการความชราให้ช้าลงด้วย

 

healthjapan02

 

9. พวกเธอหลงรักการอาบน้ำแร่ร้อน: นี่คือสิ่งที่คนญี่ปุ่นฝึกมาตั้งแต่เด็ก ให้เข้าใจคุณสมบัติของน้ำพุร้อนธรรมชาติ ที่ช่วยดูแลสุขภาพด้วยแร่ธาตุที่มีประโยชน์ การอาบน้ำแร่น้ำพุร้อน ช่วยให้ร่างกายดูดซึมสารที่ดีต่อสุขภาพเช่นแคลเซียม, ซิลิกา,แมกนีเซียมและไนอาซิน ซึ่งจะไปพัฒนาการไหลเวียนของโลหิตและออกซิเจนให้สะดวกขึ้น, ช่วยให้นอนหลับดีขึ้นและลดความเหนื่อยล้า ซึ่งคนญี่ปุ่นจะอาบน้ำแร่น้ำพุร้อนอย่างน้อยเดือนละสองครั้ง

 

10. พวกเธอบริโภคของหวานที่ดีต่อสุขภาพ: เมื่อมื้ออาหารจบลง สิ่งที่ผู้หญิงญี่ปุ่นชอบมากกว่าก็คือผลไม้ พวกเธอจะเลี่ยงขนมทำจากแป้งขัดขาวและคาราเมลที่ทำให้น้ำหนักขึ้น ขนมหวานของพวกเธอมักทำจากแป้งบัควีต, ผลไม้สดหรือมันเทศหวาน และถ้าบริโภคขนมหวานแบบตะวันตก เธอก็จะบริโภคในปริมาณน้อยที่สุด

 

การดูแลตัวเองให้มีสุขภาพดี ก็เหมือนกับการจัดบ้าน ถ้าเราทำทุกวันไม่ละเลย บ้านก็จะสะอาดเรียบร้อย การมีสุขภาพดีก็เช่นกัน แค่เราใส่ใจกับสิ่งเล็กๆน้อยๆของกิจวัตรประจำวันที่ทำ เพราะสิ่งเล็กๆเหล่านี้เมื่อรวมกันเข้า ก็จะเป็นผลกำไรต่อสุขภาพอย่างคาดไม่ถึงทีเดียว แล้วทีนี้ผู้หญิงไทย ก็จะสวยสุขภาพดีไม่แพ้ใครแน่นอนค่ะ

“ท้องผูก” กับสาเหตุน่าตกใจที่คุณไม่เคยรู้

 

ถ้าเราจะพูดถึงเรื่องท้องผูกที่คุณอาจมองเป็นเรื่องธรรมดาๆ แต่อาการนี้อาจมีสาเหตุจากปัญหาสุขภาพที่มากกว่านั้นก็ได้ โดยทั่วไป อาการท้องผูกของเรา จะเกิดจากการบริโภคอาหารไฟเบอร์ต่ำ, การไม่สนใจเมื่อร่างกายส่งสัญญาณเตือนให้ขับถ่าย,การดื่มน้ำไม่เพียงพอ, รวมทั้งเรื่องขาดการออกกำลังกาย ที่ทำให้ลำไส้ของเราไม่มีการเคลื่อนไหว นี่คืออาการธรรมดาๆ เพราะมันยังมีสาเหตุที่ซีเรียสกว่านี้อีกมากมายที่คุณอาจไม่เคยสังเกตว่ามันมีอยู่

 

1. โรคต่อมไทรอยด์ทำงานน้อยเกินไป (Hypothyroidism): เมื่อต่อมไทรอยด์ทำงานเฉื่อยชา มันก็จะไปชลอการเผาผลาญอาหารในร่างกายให้ช้าลง รวมทั้งการทำงานของลำไส้ของเราด้วย แต่ก็ไม่ใช่ว่าทุกคนที่เป็นโรคนี้แล้วจะต้องท้องผูกนะคะ เหมือนกับที่อาการท้องผูกก็ไมได้แปลว่าคุณจะต้องมีปัญหาของต่อมไทรอยด์เสมอไปเช่นกัน แต่ถ้าคุณเป็นคนที่ยังอายุน้อยแล้วท้องผูกมากกว่าปกติมานานแล้วละก็ ขอแนะนำให้ไปตรวจเช็คระดับการทำงานของต่อมไทรอยด์ดู เรื่องนี้เป็นคำแนะนำของ ดร. คาร์ลา เอช.กินสเบิร์ก คณะแพทยศาสตร์ มาหวิทาลัยฮาวาร์ด บอสตัน สหรัฐอเมริกา ที่บอกเอาไว้

 

2. บริโภคยาแก้ปวด: ยาแก้ปวดบางชนิด โดยเฉพาะกลุ่มที่มีส่วนผสมของสารเสพติด จะทำให้เกิดท้องผูกได้ หลายคนที่บริโภคยาประเภทนี้แล้วจะมีผลข้างเคียงเรื่องระบบการย่อยอาหาร เพราะมันจะไปทำให้อวัยวะบางอย่างหยุดการทำงาน นอกจากนี้ มีรายงานวิจัยบางชิ้นระบุว่า คนที่บริโภคยาแก้ปวดในกลุ่มแอสไพรินและไอบูโพรเฟนเป็นประจำ ก็อาจมีความเสี่ยงเรื่องท้องผูกนี้ได้เช่นกัน ซึ่งควรระวังไว้บ้าง

 

healthconst02

 

3. ชอคโกแล็ต: หลายคนคงร้องหือม์ เป็นไปได้ยังไงแต่มันมีรายงานบางชิ้นระบุว่า เจ้าขนมหวานนี้อาจทำให้ท้องผูก แอย่าเพิ่งตกใจ เพราะก็มีรายงานอีกส่วนที่ระบุว่ามันอาจช่วยบางคนให้หายท้องผูกได้ด้วยเช่นกัน ตกลงเอายังไงแน่ เรื่องนี้คือในการวิจัยปี 2005 พบว่าคนที่ท้องผูกเรื้อรังหรือที่มีอาการลำไส้แปรปรวนของโรค IBS ( irritable bowel syndrome) จะเสี่ยงเรื่องนี้มากกว่าคนอื่นๆที่ไม่ได้มีปัญหา ดังนั้น หากคุณอยู่ในกลุ่มนี้ การงดหรือลดการบริโภคชอคโกแล็ตลงก็ดี ถ้าคิดว่ามันเป็นสาเหตุท้องผูกของคุณ

 

4. วิตามิน: โดยทั่วไปแล้ว วิตามินไม่ได้ทำให้ท้องผูก แต่ส่วนประกอบบางอย่างของมันเช่น แคลเซียม ธาตุเหล็ก อาจทำให้เกิดปัญหานี้ได้ ซึ่งแพทย์มักให้คนไข้หยุดบริโภคผลิตภัณฑ์เสริมอาหารธาตุเหล็กหรือแคลเซียม ที่บริโภคประจำ ถ้าหากร่างกายเขาไม่ได้ต้องการมันจริงๆ

 

5. บริโภคยาระบายมากเกินไป: ยาระบายบางชนิดจะทำงานกระตุ้นความตื่นตัวของลำไส้ ซึ่งถ้าหากใช้ประจำ ก็จะนำร่างกายไปสู่ภาวะลำไส้ไม่ทำงานบีบตัวถ้าไม่มียามากระตุ้น ดังนั้น จึงไม่ควรบริโภคยาระบายเป็นเวลานานๆ

 

healthconst04

 

6. บริโภคผลิตภัณฑ์นมมากเกินไป: อาหารที่มีปริมาณชีสหรือส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์นมในปริมาณสูง และอาหารไขมันสูงไฟเบอร์ต่ำ เช่นไข่และเนื้อสัตว์ สามารถชลอระบบการย่อยให้ช้าลงได้ ทางที่ดีก็คือ ให้ลดปริมาณอาหารกลุ่มนี้ลง และเพิ่มปริมาณไฟเบอร์ให้มากขึ้นกว่าเดิม 20 to 35 กรัมต่อวัน หรือผสมมันเข้ากับสลัดผักสดหรืออาหารอุดมด้วยไฟเบอร์

 

7. บริโภคยาต้านความหดหู่ ( Antidepressant): อาการท้องผูกสามารถเกิดขึ้นร่วมกับการบริโภคยากลุ่มนี้ ซึ่งมักมีปัญหากับผู้สูงวัยดังนั้น หากคุณหรือผู้ใหญ่ในบ้านกำลังบริโภคยาดังกล่าวและมีอาการท้องผูก ก็คืออาการข้างเคียงของมันซึ่งควรอบกแพทย์เพื่อให้แก้ไขโดยการสั่งยาเพื่อให้อุจจาระอ่อนตัวลงสามารถขับถ่ายได้ง่ายขึ้น

 

8. ความหดหู่เศร้าหมอง: ในทางกลับกันกับข้อที่แล้ว คืออารมณ์หดหู่เศร้าหมอง ก็เป็นสาเหตุท้องผูกได้ ความรู้สึกนี้จะทำให้เกิดการชลอตัวของระบบการทำงานในร่างกาย ซึ่งมีผลกับลำไส้ด้วย ผู้ที่มีอาการโรคลำไส้แปรปรวนหรือ IBS มีความเกี่ยวเนื่องกับความรู้สึกหดหู่ ก็มีความเสี่ยงของท้องผูกได้เช่นกัน

 

9. ยาลดกรด: ยาลดกรดที่ทำให้แสบร้อนในกระเพาะอาหารบางชนิด สามารถทำให้เกิดท้องผูก โดยเฉพาะยาที่มีส่วนผสมของแคลเซียมหรืออลูมิเนียม

 

healthconst03

 

10. โรคความดันโลหิตหรือยาแก้แพ้บางชนิด: อาการท้องผูกเป็นผลข้างเคียงของการใช้ยาบางอย่างที่ใช้รักษาโรคความดันโลหิตสูงและยาขับปัสสาวะ เนื่องจากยาขับปัสสาวะจะไปลดความดันหิตลง โดยเพิ่มการระบายออกทางปัสสาวะ ซึ่งเป็นการขับน้ำออกจากระบบร่างกาย และน้ำคือสิ่งที่ร่างกายใช้รักษาความนุ่มของอุจจาระให้ขับถ่ายได้ง่าย ส่วนยาแอนตี้ฮิสตามีนที่ใช้รักษาอาการแพ้ ก็สามารถเป็นปัญหานี้ได้เพราะมันทำให้ร่างกายเกิดความแห้ง

 

11. โรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง: โรคลำไส้อักเสบเรื้อรังหรือ IBD ( Inflammatory bowel disease) รวมทั้วโรคเรื้อรังของลำไส้ใหญ่หรือ CD ( Crohn’s Disease ) และการมีแผลอักเสบของระบบทางเดินอาหารหรือ UC ( Ulcerative Colitis) ทั้งสองอย่างจะทำให้เป็นตะคริว, น้ำหนักลด, อุจจาระมีเลือด ฯลฯ ซึ่งอาการท้องผูก ก็คือสัญญาณของการติดเชื้อในส่วนปลายของลำไส้ใหญ่ และมันก็สามารถจะขัดขวางการทำงานของลำไส้เล็กได้ แต่ถ้าหากคุณมีอาการท้องผูกเพียงอย่างเดียวโดยไม่มีอาการร่วมอื่นๆ ก็ไม่น่าจะเป็นเรื่องของโรคนี้

 

12. การตั้งครรภ์และการคลอด: ท้องผูกเป็นเรื่องปกติในช่วงตั้งครรภ์ แต่มันก็อาจเป็นปัญหาในการคลอดได้ จากการที่กล้ามเนื้อช่องท้องมีการอุดตัน หรือการให้ยากลุ่มคลายกล้ามเนื้อในระหว่างคลอด นอกจากนี้ ความรู้สึกกลัวอาการไม่สบายต่างๆจากการคลอด ก็อาจเป็นสาเหตุหนึ่งของท้องผูกได้ อาการบาดเจ็บจากการยืดขยายของกล้ามเนื้อในระหว่างการคลอด บางครั้งก็อาจทำความเสียหายให้กล้ามเนื้อและนำไปสู่อาการท้องผูกได้เช่นกัน

 

13. โรคเบาหวานหรือความผิดปกติของระบบประสาท: โรคเบาหวานทำให้เส้นประสาทเกิดความเสียหาย และทำให้ร่างกายสูญเสียความสามารถในการย่อยอาหาร คนที่มีโรคเบาหวานจึงมักท้องผูก และถ้าคุณท้องผูกประจำ ก็ควรไป ตรวจน้ำตาลในกระแสเลือดดูด้วย นอกจากนี้ ความผิดปกติของระบบประสาท เช่นโรคการอักเสบของปลอกประสาทในระบบประสาทส่วนกลาง ( multiple sclerosis) และโรคพาร์กินสัน ก็ทำให้ท้องผูกได้

 

เห็นไหมคะว่า เรื่องเล็กน้อยของร่างกายก็อาจเป็นสัญญาณปัญหาใหญ่ของสุขภาพที่เราไม่คาดคิดได้ ดังนั้น สิ่งสำคัญคือการหมั่นสังเกตตัวเองและอย่าละเลยความผิดปกติใดๆแม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม การทำตัวขี้สงสัยและหาคำตอบให้ได้กับเรื่องสุขภาพ จะช่วยให้เรารับมือปัญหาได้ตั้งแต่ต้นมือค่ะ

เครื่องดื่มควรระวังเมื่อไปสั่งที่บาร์

 

สัปดาห์ที่แล้วเล่าให้ฟังเรื่องออกกำลังกายของสายเบิร์น สัปดาห์นี้มาคุยกันเรื่องนั่งชิลล์ของสายดริ๊งค์กันบ้าง เพราะมีเรื่องเตือนจากนักโภชนาการและเหล่าบาร์เทนเดอร์ว่า เวลาไปสั่งดริ๊งค์ที่บาร์ ให้ระวังเป็นพิเศษกับเครื่องดื่มเหล่านี้ มีอะไรบ้างและเพราะอะไร มาฟังเขาเล่ากันดีกว่า

 

เรามักจะสั่งดริ๊งค์กันด้วยแนวคิดและเหตุผลที่หลากหลาย เช่นสั่งเพราะอยากดื่มมันจริงๆ หรือสั่งเพื่อให้ภาพลักษณ์เราดูดี หรือไม่ก็เพื่อสร้างภาพให้คนรู้สึกว่าเราเชี่ยวชาญเรื่องนี้ ไม่ว่าจะเพราะอะไรก็ตาม เรื่องหนึ่งที่ควรรู้ก็คือ เครื่องดื่มบางอย่างจะทำให้น้ำหนักตัวเราเพิ่มขึ้นได้ง่ายๆ หรือบางอย่างสั่งแล้วเราก็จะถูกเอาเปรียบจากคนขาย แย่กว่านั้นก็คือมีบางอย่างที่ใช้ส่วนผสมเสี่ยงต่ออาหารเป็นพิษ ฯลฯ ซึ่งมีบาร์เพียงไม่กี่แห่งที่จะเข้มงวดกับความสดสะอาดของส่วนผสมอยางตระหนักถึงอันตรายที่แขกจะได้รับ ถ้าหากคุณต้องการคืนสนุกสนานแต่ไม่ต้องการเชื้อแบคทีเรียอาหารเป็นพิษ และก็ไม่อยากได้น้ำหนักตัวเพิ่ม นี่คือเครื่องดื่มที่คุณควรระวังเวลาไปนั่งชิลล์ในบาร์

 

 

healthdrink05

 

 

1. โมฮิโต (Mojito): มันดูเป็นดริ๊งค์ที่สดชื่นและมีสูตรผสมดูดีมีรสนิยม แต่จะบอกให้ว่ามันอาจจะพาแบคทีเรียจากใบมินท์ที่ไม่สะอาดเข้าสู่ร่างกายคุณก็ได้ เพราะความลับจากบาร์เทนเดอร์ทั้งหลายก็คือ ปกติแล้วเจ้าเครื่องดื่มนี้มักไม่มีคนสั่งบ่อยๆ ดังนั้น บาร์บางแห่งก็จะๆไม่ได้สั่งใบมินท์สดมาใช้ทุกวัน แต่จะสั่งครั้งเดียวและใช้อยู่ราวๆ 2-3 วันจึงค่อยสั่งรอบใหม่ ดังนั้นโอกาสที่เจ้าโมฮิโตแพงลิบที่คุณสั่งพิเศษนี้ จะใช้ใบมินท์ค้างเก่าที่ไม่ได้คุณภาพก็มีโอกาสมาก

 

2. ไวท์รัสเชี่ยน (White Russian): ไวท์รัสเชียนมีส่วนผสมหนึ่งที่ควรนึกถึงก็คือนมหรือครีม ซึ่งเป็นส่วนผสมที่เก็บได้ไม่นาน และบาร์มักจะลืมตรวจสอบหรือสั่งของใหม่มาทดแทนของเก่าที่เสื่อมคุณภาพไป และถ้าเวลาบาร์ไม่ได้ใช้ผลิตภัณฑ์พวกนี้มาเป็นนานแล้ว โอกาสที่มันจะหมดอายุก็มีสูง และสามารถเปลี่ยนรสเป็นรสเปรี้ยวที่ใกล้เสียได้ ซึ่งถ้าเอามาผสมให้คุณดื่มเข้าไปไม่อยากนึกต่อเลย!

 

 

healthdrink04

 

 

3. เครื่องดื่มปั่นแช่แข็ง: เป็นเครื่องดื่มหลักช่วงหน้าร้อนซึ่งอัดแน่นไปด้วยแคลอรี่ ทั้งเต็มไปด้วยน้ำตาลจากน้ำผลไม้สำเร็จรูปและมิกเซอร์ แถมเสิร์ฟในแก้วขนาดยักษ์เพื่อให้ดูน่าดื่ม ซึ่งคุณก็ชอบสั่งเพราะจะได้ถ่ายภาพสวยลงในโซเชียลต่างๆ ในวันพักผ่อนที่ริมทะเลหรือสระว่ายน้ำ แนะนำว่าควรสั่งมันดื่มเป็นครั้งคราวไม่ใช่เป็นเครื่องดื่มประจำ

 

4. เบียร์สดในถังเบียร์ที่ดูสกปรก: คำถามก็คือ คุณควรจะสั่งเบียร์สดนี้ดื่มที่บาร์หรือเปล่า มีบาร์เทนเดอร์ที่แชร์ความเห็นเรื่องนี้ให้ฟังก็คือ ก่อนตัดสินใจสั่ง ให้ลองตรวจดูห้องน้ำของร้านดูก่อนบาร์ คุณอาจสงสัยว่ามันเกี่ยวกันตรงไหน คำตอบก็คือ ถ้าบาร์ไหนไม่ได้ทำความสะอาดห้องน้ำสม่ำเสมอ เขาก็จะไม่ได้ทำความสะอาดถังเหล็กที่ใช้บรรจุเบียร์หรือ keg ของร้านด้วยเช่นกัน ทำให้คุณได้ดื่มเบียร์ที่รสชาติเพี้ยนไม่สดจริง ทั้งเสี่ยงกับการใกล้เสียหรือเสื่อมคุณภาพโดยต้องจ่ายในราคาเต็มอีกด้วย นี่คือคำเตือน

 

 

healthdrink02

 

 

5. บลัดดี้ แมรี่ (Bloody Mary): ใครๆบอกว่ามันช่วยแก้อาการแฮงก์โอเวอร์ได้ดี แต่บลัดดี้ แมรี่ หรือเครื่องดื่มใดๆก็ตามที่ใช้ซอสพริกทาบาสโกในส่วนผสม คือสิ่งที่ควรระวังอย่างมากต่อสุขภาพ เพราะมีบาร์เทนเดอร์แค่ไม่กี่คน ที่จะรู้จักถึงวิธีใช้ซอสนี้ในเครื่องดื่มจริงๆ แล้วก็มักจะใส่มันมากเกินไป ทำให้เครื่องดื่มนี้หนักไปด้วยซอสเครื่องเทศซึ่งจะไปล้นระบบการย่อยจนเกิดอาการเช่นปวดท้อง แน่นท้อง หรือไม่สบายตัวได้ นี่คือสิ่งต้องระวังมาก

 

6. เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ผสมเครื่องดื่มชูกำลัง: มันคือเครื่องดื่มหวานซ่าให้พลังงานสูงที่เต็มไปด้วยเหล้าหวานและคาเฟอีน ที่จะไปกระตุ้นสมองให้ตื่นตัว เมื่อคาเฟอีนอยู่กับแอลกอฮอล์ มันจะให้ผลกระทบที่ตรงกันข้ามกันต่อร่างกาย เป็นการส่งข้อมูลที่ปนเปทำให้ร่างกายสับสน รบกวนการทำงานของหัวใจ ทำให้มีปัญหาการนอนหลับ และยังทำให้ดื่มมากเกินควร เพราะคาเฟอีนจะไปปิดกั้นปฏิกิริยาการง่วงตามธรรมชาติของร่างกายต่อการดื่ม

 

7. ลองไอแลนด์ไอซ์ที (Long Island Iced Tea): ระวังพายุเหล้าหวานลิเคียวร์ 5 ชนิดที่ท้อปด้วยโคลา ประดังใส่เข้ามาแบบไม่ต้องยั้งคิดในดริ๊งค์นี้กันเลย สิ่งต้องรู้อีกอย่างก็คือ มันทีส่วนผสมที่ร้ายแรงด้วยปริมาณแอลกอฮอล์ที่มากมาย ทั้งสูตรของมันในบาร์และแห่งก็จะต่างกันไป บางแห่งสามารถมีแคลอรี่ได้ถึง 780 แคอรี่ต่อแก้วเลยทีเดียวจากที่นักโภชนาการเคยพบมา อีกเรื่องคือ มันจะทำให้คุณดูเป็นนักดื่มปัญญาอ่อนถ้าคุณมีอายุเกิน 25 ปี

 

8. ยินโทนิค (Gin Tonic): เจ้าเครื่องดื่มรสซ่านี้ มีแคลอรี่อยู๋ถึง 124 แคลอรี่ต่อแก้วจากน้ำตาลในส่วนผสม ซึ่งมันดูเหมือนจะเป็นเครื่องดื่มสุขภาพ แต่จริงๆแล้วไม่ใช่เลย

 

 

healthdrink03

 

 

9. ช็อต (Shot): เป็นเครื่องดื่มที่มักสั่งในการฉลองหรือปาร์ตี้ แต่มันเป็นช่องทางหนึ่งที่บาร์จะชาร์จราคาคุณได้มากขึ้นกับการได้รับเครื่องดื่มที่ปริมาณน้อยกว่า เคยสังเกตไหมว่าแก้วช็อตมักทำสวยงาม และก็ดูเหมือนแว่นขยายที่สามารถเห็นภาพขยายลวงสายตาได้ ซึ่งสิ่งนี้จะให้ภาพเหมือนว่าคุณได้รับเครื่องดื่มในปริมาณมาก แต่จะบอกให้ว่าจริงๆ บาร์หลายแห่งที่ใช้แก้วช็อตที่จุเครื่องดื่มน้อยกว่าแก้วขนาด 2 ออนซ์มาตรฐาน

 

10. เครื่องดื่มเป็นเซ็ทกับอาหารหรือของขบเคี้ยวให้ฟรี: อย่าลืมว่า แค่แอลกอฮอล์อย่างเดียวก็ให้แคลอรี่มากอยู่แล้ว ยิ่งไปจับคู่มันกับอาหารในบาร์อย่างมันทอด ก็จะยิ่งทำให้แถมแคลอรี่เข้าไปโดยไม่มีโภชนาการที่ดีใดๆเลย

 

คราวนี้ก็ได้รู้เรื่องควรระวังของเครื่องดื่มเหล่านี้ แล้วก็อย่าลืมด้วยนะคะว่า การมึนเมา จะทำให้ความยับยั้งชั่งใจของคุณลดลง ซึ่งหมายถึงคุณมีแนวโน้มจะทำพฤติกรรมไม่เหมาะสมได้ง่ายขึ้นเช่น การตะโกนหรือขาดการควบคุมตัวเอง แล้วเวลาไปนั่งชิลล์ ก็อย่าลืมด้วยว่าจุดมุ่งหมายของบาร์ก็คือ การมุ่งเรื่องรายได้โดยไม่ได้คิดถึงสุขภาพดีแต่อย่างใด ให้ระวังเมนูโปรโมชั่นหรือการสั่งอาหารเครื่องดื่มในช่วงเวลา Happy Hour ไว้ให้มากๆ รักษาสุขภาพกันด้วยค่ะ

คุณออกกำลังกายมากเกินไปอยู่หรือเปล่า

 

ถ้าคุณออกกำลังกายทุกวันแต่ก็ไม่เห็นมีพัฒนาการใดๆ หรือรู้สึกว่าเหนื่อยเรื้อรังหลังการออกกำลังกาย หรือมีสิ่งผิดปกติใดๆอื่นๆเกิดขึ้นกับคุณจากกิจกรรมนี้ สิ่งที่เรากำลังจะบอกคุณก็คือ อาจเป็นเพราะคุณออกกำลังกายมากเกินไปก็ได้

 

คุณออกกำลังกายเกินพอดีหรือเปล่า

จากที่เราเชื่อกันว่า การออกกำลังกายเป็นประจำคือความจำเป็นของสุขภาพดี เพราะมันจะช่วยให้เราสามารถคุมน้ำหนักตัวได้ช่วยพัฒนาการของจิตใจ และลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็ง แม้งานวิจัยบางชิ้นก็ยังระบุว่า การออกกำลังกายแบบหนักหน่วง จะช่วยให้คุณมีชีวิตยืนยาวขึ้น แต่มันเป็นไปได้เหมือนกัน ที่คุณจะทำสิ่งที่ใครๆว่าดีนี้มากเกินไปจนเกิดผลเสียกับตัวเอง หลายๆเรื่อง ตั้งแต่การเจ็บปวดเรื้อรังในส่วนต่างๆ หรือเรื่องสมดุลของอารมณ์ที่ถูกรบกวน ถ้าคุณกำลังเป็นแบบนี้อยู่ ก็ควรรับรู้ว่านี่คือสิ่งเตือนว่าคุณกำลังออกกำลังกายมากเกินไป มาเรียนรู้เพื่อปรับพฤติกรรมให้เสียเหงื่อแล้วได้สุขภาพที่ดีกันเถอะ

 

อย่าฆ่าตัวตายด้วยการออกกำลังกายมากเกินไป

เคยไหมที่เวลาออกกำลังจนเหนื่อยโทรมอยู่ในฟิตเนส แล้วคุณก็ยังบอกตัวเองว่า “ทำต่อไปอีก..มากขึ้นอีก อย่าหยุด! ที่บอกตัวเองแบบนี้เพราะคุณรู้สึกว่า นี่ขนาดคุณใช้เวลาเป็นชั่วโมงๆอยู่ในฟิตเนส เพื่อออกกำลังกายแบบที่ทำเป็นประจำ ก็ยังไม่เห็นผลว่าร่างกายของคุณมีพัฒนาการดีขึ้นกว่าตอนนี้สักเท่าไหร่เลย ผิดกับช่วงแรกๆที่ออกกำลังแล้วเห็นพัฒนาการเร็วมาก ไมเคิล โลวิทท์ นักจิตวิทยาการออกกำลังกายของลอส แองเจลิส อธิบายเรื่องนี้ว่า “ นั่นเป็นเพราะคุณออกกำลังกายแบบเดิมๆซ้ำๆมาเป็นเวลานานจนร่างกายคุณพัฒนามาถึงจุดสูงสุดสำหรับการทำแบบนี้แล้ว มันจึงไม่มีความก้าวหน้าใดๆเกิดขึ้นอีก และหากคุณยังฝืนทำสิ่งเดิมๆนี้ให้นานขึ้น ก็อาจจะนำไปสู่การบาดเจ็บหรือรู้สึกเบื่อหน่ายได้อีกด้วย” ทุกๆเดือน ที่ฟิตเนสระดับคุณภาพหลายๆแห่ง จะมีการปรับเปลี่ยนโปรแกรมการออกกำลังกายให้กับลูกค้า “ คนส่วนมากจะคิดแค่เรื่องการเปลี่ยนวิธีออกกำลังกาย” โลวิทท์ระบุ “ แต่จริงๆแล้ว คุณสามารถจะปรับเปลี่ยนได้ทั้งเรื่องอัตราความช้าเร็ว, จำนวนเวลาที่ออกกำลังกาย, จำนวนเซ็ทของคลาส รวมถึงความเข้มข้นของวิธีการออกกำลังในแต่ละเซ็ท ทั้งความเร็วและจังหวะของการเคลื่อนไหว ซึ่งทั้งหมดนี้ควรจะได้มีการถูกปรับเปลี่ยนบ้าง ไม่ใช่ซ้ำเดิมๆ การปรับเปลี่ยนในเรื่องเล็กน้อยเช่น เปลี่ยนกลุ่มของกล้ามเนื้อที่ต้องการออกกำลังกาย,เปลี่ยนการออกกำลังที่ทำแบบเซ็ทยาวๆครั้งเดียว มาเป็นแบบเซ็ทสั้นๆโดยหยุดพักเป็นช่วงๆก็ได้ ซึ่งผลตอบแทนที่จะได้รับก็คือ ช่วยลดเวลาเข้าฟิตเนสให้น้อยลงแต่เผาผลาญแคลอรี่ได้มากขึ้น ทั้งสามารถปรับสภาพกล้ามเนื้อได้ดีขึ้นอีกด้วย

 

หัวใจของคุณมีอัตราการเต้นเร็วเกินไป

 

healthexcer03

 

อย่าเพิ่งด่วนสรุปว่าที่หัวใจเต้นเร็วนั้นเพราะคุณดื่มกาแฟมากเกินไป เพราะมันมีสาเหตุที่หลากหลาย รวมทั้งจากการออกกำลังกายของคุณด้วย “ การออกกำลังกายมากเกินไปจะทำให้เกิดความเจ็บปวด, การขาดน้ำ หรือขาดสมดุลของเกลือแร่ในร่างกาย ซึ่งทั้งหมดนี้สามารถนำไปสู่การที่หัวใจเราเต้นเร็วกว่าอัตราปกติได้ ” นี่คือการระบุของ ดร. แคธริน เบอร์ลาเชอร์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านหัวใจ ผู้อำนวยการคณะแพทยศาสตร์ของมหาวิทยาลัยพิทสเบิร์ก ถ้าหัวใจของคุณเต้นเร็วกว่าปกติ คุณอาจต้องทบทวนพฤติกรรมที่เคยทำมา รวมทั้งการดื่มน้ำให้มากขึ้น มันสามารถฟื้นฟูและช่วยลดความผิดปกตินี้ได้ เพราะหากร่างกายได้รับน้ำเพียงพอ หัวใจของคุณก็จะไม่ต้องทำงานหนักกว่าปกติเพื่อที่จะสูบฉีดโลหิต

 

คุณคิดว่าความเจ็บปวดกล้ามเนื้อคือรางวัลของร่างกายที่ดีกว่า

ความเจ็บปวดบางอย่างจากการออกกำลังกายเป็นเรื่องปกติ เช่นคุณอาจปวดกล้ามเนื้อบ้างหลังออกกำลังกาย แต่มันก็ไม่ควรเกิดขึ้นแบบเรื้อรัง “ ถ้าหากคุณมีอาการเจ็บปวดนี้มายาวนาน แปลว่าร่างกายคุณไม่ได้มีการซ่อมแซมตัวเองอย่างเหมาะสม การฟื้นตัวจะเกิดขึ้นได้ ก็ต่อเมื่อกล้ามเนื้อและระบบประสาทได้รับสารอาหารและการพักผ่อนที่เพียงพอ จึงจะสามารถปรับสภาพร่างกายให้ไปสู่ความฟิต ซึ่งคิดอีกด้านก็คือ ความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นหลังการออกกำลังกาย ไม่ได้แปลว่ามันคือผลกำไร ดังนั้น ควรลดการออกกำลังหนักๆที่จะนำไปสู่ความเจ็บปวด โดยให้ทำแค่ไม่เกิน 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ และออกกำลังแบบผ่อนคลายอย่างแอโรบิกทดแทน ในวันที่ร่างกายต้องการพักฟื้น

 

การออกกำลังกายทำให้คุณรู้สึกหดหู่

 

healthexcer04

 

การออกกำลังกายควรเพิ่มความสดชื่นให้กับคุณ ไม่ใช่หงุดหงิดหรือเศร้าหมอง หากมันทำให้คุณรู้สึกทางลบเมื่อไหร่ แปลว่าคุณกำลังมีปัญหากับมันแล้วละ คุณอาจต้องการเวลาหนึ่งสัปดาห์เต็มๆเพื่อให้ร่างกายได้พักผ่อนและปรับตัวให้เต็มที่ ความเหนื่อยล้า จะนำไปสู่ความรู้สึกถูกรบกวน, หดหู่เศร้าหมอง, เบื่ออาหาร, นอนไม่หลับ ทั้งหมดนี้เป็นสาเหตุของการหมดเรี่ยวแรง หากรู้สึกแบบนี้ ลองเปลี่ยนวิธีออกกำลังกายที่เคย มาเป็นการออกกำลังแบบฟื้นฟูร่างกายเช่นเล่นโยคะ แล้วคุณอาจแปลกใจที่ร่างกายและจิตใจมีการตอบรับที่ดีขึ้น จากการที่คุณให้เวลามันเพื่อฟื้นฟูพลังงาน

 

คุณจำไม่ได้ว่าครั้งสุดท้ายที่สนุกกับการออกกำลังกายคือเมื่อไหร่

สิ่งที่คุณต้องการเมื่อไปออกกำลังกายคือความรู้สึกเหนื่อย การมีเหงื่อออกและความท้าทายกับตัวเองที่จะเกิดขึ้นในช่วงเวลานั้นๆ แต่สิ่งที่คุณไม่ได้ต้องการก็คือความรู้สึกกลัวการเข้าฟิตเนส เรื่องนี้ อดัม โรซาน โคชด้านการออกกำลังกายและโภชนาการ ได้แนะนำให้คุณคิดถึงเวลาการเข้าฟิตเนสว่า มันคือการ “พักผ่อนและเข้าไปเล่น”เพื่อจะสร้างความสนุกบางทีผมก็จะชวนลูกค้าของผมรวมกลุ่มเล่นเกมส์สนุกๆด้วยกันไปด้วย มันช่วยให้คนรู้สึกสนุกสนานขึ้น แทนที่จะตั้งหน้าตั้งตาออกกำลังเพื่อไปสู่เป้าหมายที่ตั้งไว้อย่างเข้มงวด เพราะถ้าคุณสนุก มันก็จะเปลี่ยนความรู้สึกเข้มงวดนั้นเป็นเกมส์ที่ท้าทาย

 

ทำวันพักผ่อนให้ได้พักผ่อนอย่างดีที่สุด

ช่วยร่างกายของคุณให้ฟื้นฟูตัวเองด้วยวิธีเหล่านี้

 

healthexcer02

 

1. บริโภคอาหารที่ดีและอย่าให้ร่างกายขาดน้ำ ให้ร่างกายได้รับอาหารที่มีคุณค่าโภชนาการสูงอย่างเช่นเนื้อสัตว์ปลอดไขมันและพืชผักต่างๆ และดื่มน้ำที่สะอาดในปริมาณมากเพียงพอ

2. เดินให้มากขึ้น การเดินในระยะทางยาวๆจะช่วยเพิ่มอัตราการไหลเวียนของโลหิตที่ไปเลี้ยงกล้ามเนื้อส่วนต่างๆของร่างกาย ทำให้ออกซิเจนไปซ่อมแซมเนื้อเยื่อที่เสียหายได้ดีขึ้น

3. เลี่ยงบริโภคอาหารขยะ จำไว้ว่าวันพักผ่อนไม่ใช่วันที่คุณจะทำร้ายตัวเองด้วยอาหารเหล่านี้

4. อย่านอนดึกหรืออดนอน การนอนหลับพักผ่อนเพียงพอ คือกุญแจสำคัญของร่างกายในการฟื้นฟูตัวเอง ซ่อมแซมกล้ามเนื้อและรีเซ็ทสมองให้แจ่มใส การนอนหลับไม่พอจะไปเพิ่มความอยากอาหาร และผลักดันร่างกายให้เข้าสู่ความเหนื่อยเรื้อรัง ทำให้ยากต่อการบรรลุเป้าหมายที่จะมีสุขภาพดีได้

ตื่นตอนดึก… ปัญหาสุขภาพที่ร่างกายบอกคุณ

 

มีใครที่นอนตอนกลางคืนแล้วพบว่า ตัวเองชอบตื่นขึ้นตอนดึกๆในเวลาเดียวกันเป็นประจำทุกคืนหรือเปล่าคะ ยิ่งถ้าตื่นตอนช่วงเวลาตี 3 ถึงตี 5 ด้วยละก็ มันอาจแปลว่าร่างกายคุณกำลังบอกเรื่องปัญหาสุขภาพที่คุณมีอยู่ก็เป็นได้ มาลองอ่านเรื่องนี้ดูแล้วคุณจะเข้าใจ

 

ศาสตร์การแพทย์แผนจีนเชื่อว่า พลังงานในร่างกายของเราที่เรียกว่า “ชี่” ( Qi) นั้น จะไหลเวียนผ่านเส้นทางในร่างกายที่เรียกว่า เส้นเมอริเดียน ซึ่งตามหลักของระบบนาฬิกาชีวภาพของแพทย์แผนจีน ในหนึ่งวัน จะมีพลังงานชี่ที่วิ่งผ่านเส้นเมอริเดียนแตกต่างกันออกไปในเวลาที่ต่างกัน เพื่อส่งพลังงานไปยังอวัยวะต่างๆให้มีสุขภาพดี การเจ็บป่วยของอวัยวะจะเกิดขึ้นหากพลังงานชี่ขาดความสมดุล ไม่สามารถไหลผ่านเส้นเมอริเดียนได้สะดวก และอาการที่บอกถึงความเจ็บป่วยของอวัยวะก็คือ การที่เราตื่นนอนในตอนดึกๆในเวลาเดียวกันเป็นประจำนั่นเอง

 

ทีนี้มาดูกันค่ะว่า การตื่นตอนดึกๆในเวลาไหน จะเกี่ยวข้องกับปัญหาอวัยวะส่วนใดบ้าง:

 

ระหว่างสามทุ่มถึงห้าทุ่ม:

นี่อาจเป็นเวลาที่หลายคนบอกว่าฉันยังไม่เข้านอนเลย ใช่ค่ะ แต่จากสถิติพบว่า เวลานี้ มักเป็นเวลาที่เราส่วนมากกำลังจะเข้านอน ซึ่งหากคุณเป็นคนหนึ่งที่เข้านอนเวลานี้และรู้สึกว่าหลับได้ยากแล้วละก็ มีคำอธิบายว่า มันอาจเป็นเพราะร่างกายคุณเหนื่อยเกินไปในตอนกลางวัน ทำให้มันพยายามต่อสู้กับจิตใต้สำนึกที่จะนอนให้หลับอยู่ ถ้าลองมองดูให้ดีๆ คุณอาจพบว่านอกจากจะไม่หลับแล้ว ยังมีความกลัวหรือความวิตกกังวลของคุณที่เดิดเมื่อกลางวันที่จะเปล่งเสียงดังชัดเจนมากขึ้นในช่วงเวลานี้ที่กำลังเข้านอน ทำให้คุณรู้สึกไม่ปลอดภัยหรือกังวลอยู่จนไม่อาจนอนหลับได้

 

ตามหลักแพทย์แผนจีน ช่วงเวลานี้ร่างกายจะส่งพลังงานเพื่อฟื้นฟูระบบประสาทและภูมิคุ้มกันต่างๆ ดังนั้น ถ้าหากเมื่อกลางวันคุณรู้สึกว่าตัวเองกำลังป่วย คุณก็จะรู้สึกว่าอาการป่วยนั้นรุนแรงมากขึ้นในเวลานี้แหละ ถ้าหากคุณพบว่าตัวเองมีปัญหานี้แล้วละก็ ให้สวดมนต์หรือทำสมาธิเพื่อสงบจิตใจจากความกังวลที่ได้รับมา

 

ระหว่างห้าทุ่มถึงตีหนึ่ง:

 

 

healthwake04

 

เป็นช่วงเวลาที่ร่างกายจะส่งพลังเพื่อฟื้นฟูกระเพาะปัสสาวะ ซึ่งหากคุณตื่นตอนดึกๆในช่วงเวลานี้ มันก็จะเกิดการปิดกั้นของพลังงานที่ส่งผ่านเส้นเมอริเดียนไปยังอวัยวะดังกล่าว คำอธิบายเรื่องนี้ก็คือ พฤติกรรมทางอารมณ์ของคุณที่จริงจังกับการตัดสินตัวเองหรือคนอื่นๆอย่างเด็ดขาดเกินไป มีการศึกษาพบว่า คนที่ผิดหวังหรืออกหักเรื่องความรัก มักจะตื่นนอนในช่วงเวลานี้ เพราะถูกกระตุ้นด้วยอารมณ์ด้านลบของตัวเอง นอกจากนี้ ความหมายอีกอย่างก็คือ มันอาจแปลว่า ร่างกายคุณต้องการไขมันที่มีคุณภาพกว่าไขมันที่คุณบริโภคอยู่นี้ก็เป็นได้ วิธีที่จะผ่อนคลายให้ร่างกายก็คือ เรียนรู้ที่จะใช้ชีวิตอย่างไม่คาดหวังมากเกินไป ให้อภัยกับตัวเองและผู้คนรอบตัว และตัดสินสิ่งต่างๆให้น้อยลงไม่ว่าจะเป็นตัวคุณเอง, คนอื่นๆหรือเหตุการณ์ใดๆที่เข้ามาในชีวิตของคุณ ไม่ว่าอดีต ปัจจุบันหรืออนาคต

 

ระหว่างตี 1 ถึงตี 3:

 

healthwake02

 

นี่เป็นเวลาที่ถูกพบว่ามีคนตื่นขึ้นมาตอนดึกมากที่สุด ซึ่งเวลานี้เป็นเวลาที่ร่างกายจะส่งพลังงานไปเสริมสร้างตับให้มีความแข็งแรงมากที่สุด ตับของเรามีหน้าที่รักษาสมดุลของฮอร์โมน, สมดุลระบบย่อยอาหาร และช่วยขจัดสารพิษที่เข้าสู่ร่างกายทั้งจากการบริโภค และจากความเหนื่อยล้าในชีวิตประจำวัน การตื่นในเวลานี้ อาจบ่งชี้ว่าอวัยวะนี้อ่อนแอ ผลคือทำให้เกิดอารมณ์ด้านลบได้ง่าย ทั้งความโกรธ ความวิตกกังวล และอารมณ์อื่นๆ ซึ่งถ้าคุณค้นพบสาเหตุปัญหา และควบคุมมันโดยวางตัวให้อยู่เหนือสถานการณ์เพื่อมองสะท้อนให้เห็นความจริงว่าอะไรคือสาเหตุที่ทำให้คุณรู้สึกแบบนั้น พูดกับตัวเองด้วยความรู้สึกด้านบวกเพื่อแก้ปัญหาทีละขั้นๆเหมือนการคลายเชือกทีละปมอย่างใจเย็น

 

นอกจากนี้ การตื่นในช่วงเวลานี้อาจบอกว่า ร่างกายของคุณมีพลังหยางมากเกินไป ลองจัดสมดุลให้ร่างกายมีพลังหยินเพิ่มขึ้น ด้วยการบริโภคอาหารธาตุเย็นเพื่อช่วยให้รู้สึกผ๋อนคลายมากขึ้น

 

ระหว่างตี 3 ถึงตี 5:

เป็นช่วงเวลาที่พลังจะถูกส่งเพื่อสร้างความแข็งแรงให้กับปอดที่จะได้รับการฟื้นฟูพลังมากที่สุดของวัน การหายใจที่เกิดขึ้นในช่วงนี้จะทำให้ร่างกายเกิดความผ่อนคลายที่สุด ดังนั้น หากคุณตื่นตอนดึกในเวลานี้ ก็อาจบอกได้ว่า ปอดของคุณอาจมีเกิดปัญหาเรื่องของการไหลผ่านของออกซิเจน นอกจากนี้ ปอดยังเป็นอวัยวะที่รับอารมณ์ด้านลบเมื่อเราเศร้าหรือหดหู่อีกด้วย ดังนั้น หากคุณกำลังรู้สึกดังกล่าว คุณก็อาจจะตื่นในช่วงนี้ได้ด้วยเช่นกัน และเพื่อที่จะออกจากอารมณ์เศร้าของคุณ ให้เชื่อในกระแสของโลกว่าทุกสิ่งก็จะผ่านพ้นไป ความทุกข์ของคุณก็เช่นกัน แค่หายใจเข้าออกลึกๆก็จะทำให้ผ่อนคลายและเสริมสร้างความมั่นใจในตัวเองขึ้นมาได้มากแล้ว

 

ระหว่างตี 5 ถึง 7 โมงเช้า:

 

healthwake03

 

นี่คือเวลาที่พลังเมอริเดียนจะถูกส่งไปที่ลำไส้ใหญ่ของคุณ เพื่อกระตุ้นและเป็นเรื่องของการปลดปล่อยจากการถูกควบคุมใดๆ ลำไส้ใหญ่มีหน้าที่ทำความสะอาดพิษสะสมในร่างกาย ที่ส่วนใหญ่มาจากระบบการย่อย การตื่นในเวลานี้จึงบอกว่าเกิดความอ่อนแอกับลำไส้ใหญ่ของคุณ ซึ่งสาเหตุหนึ่งที่ทำให้คุณตื่นในเวลานี้ ก็คือเมื่ออารมณ์ใดๆของคุณได้ถูกปิดกั้นไว้ไม่ให้แสดงออกมา ด้วยทัศนคติที่สะสมมานานๆ การตื่นจึงเป็นสัญญาณว่าคุณต้องการปลดปล่อยอารมณ์นั้นที่พร้อมจะปะทุออกมา ลองสวดมนต์หรือทำกิจกรรมให้ร่างกายผ่อนคลาย ใช้พลังของความสงบ สมาธิ อาจฝึกโยคะหรือทำกิจกรรมเพื่อล้างพิษที่สะสมอยู่ในร่างกายก็จะช่วยได้

 

เหล่านี้คือสิ่งที่ศาสตร์แพทย์แผนจีนโบราณได้บอกไว้เกี่ยวกับการตื่นกลางดึก ที่เกี่ยวข้องกับปัญหาร่างกายของเรา หวังว่าคงจะมีประโยชน์กับทุกท่านบ้างนะคะ การฟังเสียงความต้องการของร่างกาย คือปัจจัยสำคัญที่สุดที่จะทำให้เรามีสุขภาพดีอย่างต่อเนื่อง อะไรก็ตามที่ร่างกายกำลังพยายามจะส่งข่าวมาถึงคุณ ก็อย่าลืมรับฟังกันให้ดีด้วยค่ะ