เรียนรู้มารยาทเมื่อเข้าคลาสโยคะ

 

โยคะ กิจกรรมออกกำลังกายสุดฮิตของสาวหุ่นดี การเข้าคลาสโยคะเป็นความสนุกสนาน ตราบใดที่คุณยังไม่ถูกรบกวนด้วยบรรยากาศหรือพฤติกรรมของคนรอบข้าง หรือบางทีตัวคุณเองนั่นแหละ ที่อาจมีพฤติกรรมรบกวนคนอื่นโดยไม่รู้ตัวจากเรื่องปูเสื่อโยคะ ไปจนถึงเรื่องการใช้มือถือระหว่างคลาส เหล่านี้คือมารยาทที่ครูฝึกอยากให้คุณรู้

 

โยคะ เป็นการออกกำลังกายที่บางคนกลัวโดยเฉพาะมือใหม่ เพราะมันไม่ใช่แค่ต้องเรียนรู้ภาษาแปลกๆของชื่อท่าต่างๆและฝึกควบคุมการทรงตัวให้ได้ตามท่าเท่านั้น แต่มันเป็นสิ่งแตกต่างมากๆจากคลาสฟิตเนสปกติของคุณ และก็จะมีเรื่องของมารยาทสำคัญๆที่คุณควรจะรู้ทั้งมือใหม่และมือเก่าเพื่อจะได้ไม่พลาด

 

1. อย่าใส่น้ำหอมจัดๆก่อนไปเข้าคลาส: คลาสโยคะส่วนมาก จะเน้นเรื่องการฝึกกำหนดลมหายใจ จึงต้องมีการหายใจเข้าออกลึกๆ ซึ่งสิ่งที่ทุกคนต้องการก็คือความสงบที่จะไม่ถูกครอบงำด้วยสัมผัสของกลิ่น ไมว่าจะเป็นน้ำหอม, โลชั่นทาผิวหรือบอดี้สเปรย์ก็ตาม

 

2. คิดก่อนจะปูเสื่อโยคะ: ไม่ควรปูเสื่อใกล้กับคนอื่นมากเกินไป เพราะมันอาจมีความเสี่ยงของท่าบางท่า เช่นสุริยนมัสการ ที่แต่ละคนต้องใช้พื้นที่มากพอควร แต่ถ้าคลาสโยคะที่คุณเรียนคนแน่นมาก ก็ให้วางเสื่อของคุณในแนวเอียงๆของพื้นที่ว่างที่เหลืออยู่ ดูว่ามันไม่ไปทับกับเสื่อของคนอื่น สิ่งนี้จะช่วยคุณให้เลี่ยงการ การแกว่งแขนหรือสะโพกใส่หน้าคนอื่นเวลาที่คุณฝึกท่า นี่คือคำแนะนำของครูฝึกโยคะหลายสถาบัน

 

3. คุยก่อนเข้าคลาสให้น้อยที่สุด: ถ้าหากคุณไปเรียนโยคะกับเพื่อนๆ พยายามส่งเสียงให้น้อยที่สุดขณะรอครูฝึกเริ่มการสอน สิ่งนี้สำคัญมาก ควรระลึกเสมอว่า การที่คนเข้ามาฝึกโยคะกัน ก็เพื่อปิดการติดต่อกับโลกภายนอกและหาความสงบ ซึ่งมันจะทำได้ยากหากแวดล้อมด้วยพวกช่างคุย

 

healthyoga03

 

4. ถอดรองเท้าก่อนเดินเข้าคลาส: สตูดิโอโยคะส่วนมาก จะมีที่ในล็อกเกอร์ไว้ให้ใส่รองเท้า ซึ่งคุณควรใช้มันมากกว่าจะถือมันเข้าไปในห้องฝึกด้วยนะ และควรเข้าไปในห้องด้วยสภาพเท้าเปล่าหรือสวมถุงเท้าเท่านั้น

 

5. ห้ามก้าวล่วงเสื่อของคนอื่นเป็นอันขาด: จำไว้ว่า พื้นที่เสื่อโยคะคือบริเวณส่วนตัวของทุกคน มันจึงไม่เหมาะสมอย่างยิ่งที่คุณจะเอาเท้า, มือ หรือใบหน้า หรืออวัยวะส่วนใดๆไปวางบนเสื่อของคนอื่น ไม่ว่าเขาจะอยู่หรือไม่ก็ตาม

 

6. ห้ามเซลฟี่เด็ดขาด: อันนี้จริงจังที่สุดนะ ไม่มีอะไรน่ารำคาญเท่าเวลาที่ทุกคนฝึกอย่างตั้งใจแล้วมีใครวุ่นวายกับการเซลฟี่หรือถ่ายรูปให้หน่อย ไม่ว่าคุณจะแน่ใจความสวยเป๊ะแค่ไหน ให้ถ่ายรูปได้หลังจากคลาสจบแล้วเท่านั้น มันจะเป็นการฝึกโยคะที่ได้ผลดีมาก หากคุณเก็บโทรศัพท์ไว้ในล็อกเกอร์แล้วตั้งใจฝึกจริงๆ และก็ไม่เกิดโอกาสที่เสียงมือถือรบกวนคนอื่นโดยเฉพาะในท่าศวาสนะหรือท่าศพ ซึ่งเป็นท่าสุดท้ายของคลาสที่ทุกคนนอนพักผ่อนคลาย

 

healthyoga02

 

7 อย่าเข้าคลาสสาย: การเข้าคลาสช้าก็คือการรบกวนความสงบของคนอื่น โดยเฉพาะหากคลาสนั้นเริ่มต้นด้วยการทำสมาธิหรือกำหนดลมหายใจ ยิ่งถ้านี่คือคลาสครั้งแรกของคุณ ก็ยิ่งสำคัญมากที่จะต้องมาก่อนเวลา เพราะสตูดิโอโยคะส่วนมากจะให้คุณกรอกข้อมูลในการเข้าเรียนครั้งแรก จึงควรไปก่อนและตรวจเช็คข้อมูลระเบียบต่างๆให้ครบถ้วนและทำตามอย่างเคร่งครัด

 

8. อย่าออกจากคลาสเร็วเกินไปเมื่อตอนจบ: นึกดูเมื่อจบคลาสและทุกคนยังนอนอยู่ในท่าศวาสนะ แล้วคุณลุกขึ้นเก็บข้าวของเสียงดังเพื่อจะออกไปจากห้องว่ามันรบกวนแค่ไหน ดังนั้น หากคุณรู้ตัวว่าจะต้องออกจากคลาสเร็วกว่าคนอื่น ก็ให้เลือกพื้นที่ๆใกล้ประตูที่สุดที่จะสามารถออกไปได้เงียบๆ

 

เรื่องของมารยาท เป็นสิ่งที่ต้องมีตลอดเวลาไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนกับใคร ไหนๆมาออกกำลังกายเพื่อให้ได้สุขภาพที่ดี ทุกคนที่มาทำกิจกรรมนี้ร่วมกันก็ควรจะได้สุขภาพจิตใจที่ดีกลับไปด้วย ไม่มีอะไรยากถ้าแค่นึกถึงใจเขาใจเราเท่านั้นเองค่ะ ขอให้สนุกกับการออกกำลังกายทุกคนนะคะ

10 เหตุผลที่ผู้หญิงญี่ปุ่นดูหุ่นดีไม่มีแก่

 

ชาวญี่ปุ่น ได้ชื่อว่ามีความหวังเรื่องมาตรฐานสุขภาพและชีวิตที่สูงมาก สังเกตไหมว่าผู้หญิงญี่ปุ่นไม่ว่าอายุเท่าไหร่ ก็มักจะหารูปร่างแบบโอเวอร์ไซส์ได้ยากมาก แถมยังดูอ่อนเยาว์กว่าอายุจริงด้วย ต้องยกความดีให้ไลฟสไตล์ของพวกเธอ โดยเฉพาะเรื่องอาหารที่ผู้หญิงญี่ปุ่นไม่ได้ต้องการแค่ความอร่อย แต่มันจะต้องเสริมสร้างสุขภาพที่ดีให้ด้วย และนี่คือเหตุผลที่ทำให้ผู้หญิงญี่ปุ่นห่างไกลคำว่าอ้วนและแก่

 

healthjapan04

 

1. พวกเธอดื่มชาเขียว: ผงชาเขียวของญี่ปุ่น อุดมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยชลอความชราและช่วยลดน้ำหนัก ลดความเสี่ยงการเกิดโรคมะเร็งและโรคหัวใจอีกด้วย งานวิจัยพบว่าชาวญี่ปุ่นที่บริโภคชาเขียวจะสามารถลดความเสี่ยงการเสียชีวิตจากโรคหลอดเลือดลงได้ถึง 26% สำหรับผู้ที่ดื่มชาเขียว 5 ถ้วยเป็นประจำทุกวัน

 

2. พวกเธอบริโภคอาหารหมัก: มิโสะ (miso), เต้าหู้หมัก (tempeh), ชาดำหมัก (kombucha)เป็นอาหารประจำครัวของชาวญี่ปุ่น อาหารเหล่านี้ผ่านกระบวนการหมักแลคโตบาซิลัส ที่สงวนคุณค่าโภชนาการและสร้างเอนไซม์ดีต่อสุขภาพ, กรดไขมันโอเมก้า -3 , วิตามิน,โปรไบโอติกที่ดีต่อระบบการย่อย ช่วยลดน้ำหนักและขับสารพิษ

 

3. พวกเธอบริโภคอาหารทะเล: เนื้อสัตว์แดงเป็นสาเหตุปัญหาสุขภาพ เช่นคอเลสเตอรอลสูง, โรคอ้วน, โรคติดเชื้อต่างๆ คนญี่ปุ่นจึงบริโภคอาหารทะเลเป็นประจำเช่นปลาแซลมอน, ทูน่า, แมคเคอเรล ที่อุดมด้วยโอเมก้า-3 มีประโยชน์ต่อหัวใจ, สมองและระบบร่างกาย ช่วยลดการสะสมไขมันหน้าท้อง แก้ปัญหาสิวและโรคภูมิแพ้ผิวหนัง

 

healthjapan03

 

4. พวกเธอบริโภคในปริมาณน้อย: คนญี่ปุ่น จะฝึกบริโภคอาหารปริมาณน้อยๆตั้งแต่เด็กๆ พวกเขาเชื่อว่ายิ่งบริโภคน้อยไหร่ก็จะมีน้ำหนักส่วนเกินน้อยลงเท่านั้น และก็จะใช้สิ่งนี้ในการนำเสนออาหารด้วยเช่น จะไม่ตักอาหารจนเต็มล้นจาน, จะไม่เสิร์ฟอาหารจานใหญ่ๆ, จะเลือกบริโภคแต่อาหารที่สดใหม่เสมอ และจะตกแต่งอาหาร โดยโชว์ความสดตามธรรมชาติเท่านั้นทั้งสีและวิธีปรุง

 

5. พวกเธอเดินมากและบ่อยเมื่อไปไหนๆ คนญี่ปุ่นทั้งชายและหญิงจะใช้การเดินเป็นหลัก ซึ่งสิ่งนี้ดีต่อสุขภาพที่สุดถ้าคุณต้องการจะลดน้ำหนัก การเดินช่วยพัฒนาสุขภาพของหลอดเลือด ช่วยคลายความเหนื่อยล้าทั้งช่วยกระตุ้นระดับพลังงานและอารมณ์ให้ดีขึ้นด้วย

 

6. พวกเธอไม่เดินไปพร้อมๆกับบริโภคอาหาร: คนญี่ปุ่นรู้สึกว่าการเดินบริโภคอาหารเป็นกิริยาที่ไม่เหมาะสม พวกเขาถือว่าเวลามื้ออาหารเป็นเวลาของความสงบที่สำคัญพอๆกับการเตรียมตัวสวดมนต์ และจะบริโภคช้าๆเพื่อให้เวลากระเพาะอาหารในการส่งสัญญาณไปยังสมอง ว่าได้รับอาหารเพียงพอหรือยังอีกด้วย

 

7. พวกเธอบริโภคอาหารที่มีหลักการปรุงที่ดี : นอกจากการใช้วัตถุดิบที่ดีต่อสุขภาพแล้ว คนญี่ปุ่นก็ยังใช้หลักการปรุงอาหารที่ดีต่อสุขภาพอีกด้วย โดยจะหลีกเลี่ยงการใช้น้ำมันมากๆเปลี่ยนเป็นใช้การย่าง, การต้มหรือนึ่ง, หรือบริโภคในแบบสดๆเพื่อสงวนคุณค่าโภชนาการไว้ให้มากที่สุด

 

8. พวกเธอฝึกหัดศิลปป้องกันตัว: คนญี่ปุ่นส่วนใหญ่ฝึกหัดศิลปะป้องกันตัวทั้งยูโด, อิโด, คาราเต้ ฯลฯ ซึ่งดีต่อการพัฒนาความฟิตของร่างกาย พัฒนาสุขภาพหลอดเลือดและความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อ ทั้งช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อ, ช่วยลดน้ำหนักและชลอกระบวนการความชราให้ช้าลงด้วย

 

healthjapan02

 

9. พวกเธอหลงรักการอาบน้ำแร่ร้อน: นี่คือสิ่งที่คนญี่ปุ่นฝึกมาตั้งแต่เด็ก ให้เข้าใจคุณสมบัติของน้ำพุร้อนธรรมชาติ ที่ช่วยดูแลสุขภาพด้วยแร่ธาตุที่มีประโยชน์ การอาบน้ำแร่น้ำพุร้อน ช่วยให้ร่างกายดูดซึมสารที่ดีต่อสุขภาพเช่นแคลเซียม, ซิลิกา,แมกนีเซียมและไนอาซิน ซึ่งจะไปพัฒนาการไหลเวียนของโลหิตและออกซิเจนให้สะดวกขึ้น, ช่วยให้นอนหลับดีขึ้นและลดความเหนื่อยล้า ซึ่งคนญี่ปุ่นจะอาบน้ำแร่น้ำพุร้อนอย่างน้อยเดือนละสองครั้ง

 

10. พวกเธอบริโภคของหวานที่ดีต่อสุขภาพ: เมื่อมื้ออาหารจบลง สิ่งที่ผู้หญิงญี่ปุ่นชอบมากกว่าก็คือผลไม้ พวกเธอจะเลี่ยงขนมทำจากแป้งขัดขาวและคาราเมลที่ทำให้น้ำหนักขึ้น ขนมหวานของพวกเธอมักทำจากแป้งบัควีต, ผลไม้สดหรือมันเทศหวาน และถ้าบริโภคขนมหวานแบบตะวันตก เธอก็จะบริโภคในปริมาณน้อยที่สุด

 

การดูแลตัวเองให้มีสุขภาพดี ก็เหมือนกับการจัดบ้าน ถ้าเราทำทุกวันไม่ละเลย บ้านก็จะสะอาดเรียบร้อย การมีสุขภาพดีก็เช่นกัน แค่เราใส่ใจกับสิ่งเล็กๆน้อยๆของกิจวัตรประจำวันที่ทำ เพราะสิ่งเล็กๆเหล่านี้เมื่อรวมกันเข้า ก็จะเป็นผลกำไรต่อสุขภาพอย่างคาดไม่ถึงทีเดียว แล้วทีนี้ผู้หญิงไทย ก็จะสวยสุขภาพดีไม่แพ้ใครแน่นอนค่ะ

“ท้องผูก” กับสาเหตุน่าตกใจที่คุณไม่เคยรู้

 

ถ้าเราจะพูดถึงเรื่องท้องผูกที่คุณอาจมองเป็นเรื่องธรรมดาๆ แต่อาการนี้อาจมีสาเหตุจากปัญหาสุขภาพที่มากกว่านั้นก็ได้ โดยทั่วไป อาการท้องผูกของเรา จะเกิดจากการบริโภคอาหารไฟเบอร์ต่ำ, การไม่สนใจเมื่อร่างกายส่งสัญญาณเตือนให้ขับถ่าย,การดื่มน้ำไม่เพียงพอ, รวมทั้งเรื่องขาดการออกกำลังกาย ที่ทำให้ลำไส้ของเราไม่มีการเคลื่อนไหว นี่คืออาการธรรมดาๆ เพราะมันยังมีสาเหตุที่ซีเรียสกว่านี้อีกมากมายที่คุณอาจไม่เคยสังเกตว่ามันมีอยู่

 

1. โรคต่อมไทรอยด์ทำงานน้อยเกินไป (Hypothyroidism): เมื่อต่อมไทรอยด์ทำงานเฉื่อยชา มันก็จะไปชลอการเผาผลาญอาหารในร่างกายให้ช้าลง รวมทั้งการทำงานของลำไส้ของเราด้วย แต่ก็ไม่ใช่ว่าทุกคนที่เป็นโรคนี้แล้วจะต้องท้องผูกนะคะ เหมือนกับที่อาการท้องผูกก็ไมได้แปลว่าคุณจะต้องมีปัญหาของต่อมไทรอยด์เสมอไปเช่นกัน แต่ถ้าคุณเป็นคนที่ยังอายุน้อยแล้วท้องผูกมากกว่าปกติมานานแล้วละก็ ขอแนะนำให้ไปตรวจเช็คระดับการทำงานของต่อมไทรอยด์ดู เรื่องนี้เป็นคำแนะนำของ ดร. คาร์ลา เอช.กินสเบิร์ก คณะแพทยศาสตร์ มาหวิทาลัยฮาวาร์ด บอสตัน สหรัฐอเมริกา ที่บอกเอาไว้

 

2. บริโภคยาแก้ปวด: ยาแก้ปวดบางชนิด โดยเฉพาะกลุ่มที่มีส่วนผสมของสารเสพติด จะทำให้เกิดท้องผูกได้ หลายคนที่บริโภคยาประเภทนี้แล้วจะมีผลข้างเคียงเรื่องระบบการย่อยอาหาร เพราะมันจะไปทำให้อวัยวะบางอย่างหยุดการทำงาน นอกจากนี้ มีรายงานวิจัยบางชิ้นระบุว่า คนที่บริโภคยาแก้ปวดในกลุ่มแอสไพรินและไอบูโพรเฟนเป็นประจำ ก็อาจมีความเสี่ยงเรื่องท้องผูกนี้ได้เช่นกัน ซึ่งควรระวังไว้บ้าง

 

healthconst02

 

3. ชอคโกแล็ต: หลายคนคงร้องหือม์ เป็นไปได้ยังไงแต่มันมีรายงานบางชิ้นระบุว่า เจ้าขนมหวานนี้อาจทำให้ท้องผูก แอย่าเพิ่งตกใจ เพราะก็มีรายงานอีกส่วนที่ระบุว่ามันอาจช่วยบางคนให้หายท้องผูกได้ด้วยเช่นกัน ตกลงเอายังไงแน่ เรื่องนี้คือในการวิจัยปี 2005 พบว่าคนที่ท้องผูกเรื้อรังหรือที่มีอาการลำไส้แปรปรวนของโรค IBS ( irritable bowel syndrome) จะเสี่ยงเรื่องนี้มากกว่าคนอื่นๆที่ไม่ได้มีปัญหา ดังนั้น หากคุณอยู่ในกลุ่มนี้ การงดหรือลดการบริโภคชอคโกแล็ตลงก็ดี ถ้าคิดว่ามันเป็นสาเหตุท้องผูกของคุณ

 

4. วิตามิน: โดยทั่วไปแล้ว วิตามินไม่ได้ทำให้ท้องผูก แต่ส่วนประกอบบางอย่างของมันเช่น แคลเซียม ธาตุเหล็ก อาจทำให้เกิดปัญหานี้ได้ ซึ่งแพทย์มักให้คนไข้หยุดบริโภคผลิตภัณฑ์เสริมอาหารธาตุเหล็กหรือแคลเซียม ที่บริโภคประจำ ถ้าหากร่างกายเขาไม่ได้ต้องการมันจริงๆ

 

5. บริโภคยาระบายมากเกินไป: ยาระบายบางชนิดจะทำงานกระตุ้นความตื่นตัวของลำไส้ ซึ่งถ้าหากใช้ประจำ ก็จะนำร่างกายไปสู่ภาวะลำไส้ไม่ทำงานบีบตัวถ้าไม่มียามากระตุ้น ดังนั้น จึงไม่ควรบริโภคยาระบายเป็นเวลานานๆ

 

healthconst04

 

6. บริโภคผลิตภัณฑ์นมมากเกินไป: อาหารที่มีปริมาณชีสหรือส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์นมในปริมาณสูง และอาหารไขมันสูงไฟเบอร์ต่ำ เช่นไข่และเนื้อสัตว์ สามารถชลอระบบการย่อยให้ช้าลงได้ ทางที่ดีก็คือ ให้ลดปริมาณอาหารกลุ่มนี้ลง และเพิ่มปริมาณไฟเบอร์ให้มากขึ้นกว่าเดิม 20 to 35 กรัมต่อวัน หรือผสมมันเข้ากับสลัดผักสดหรืออาหารอุดมด้วยไฟเบอร์

 

7. บริโภคยาต้านความหดหู่ ( Antidepressant): อาการท้องผูกสามารถเกิดขึ้นร่วมกับการบริโภคยากลุ่มนี้ ซึ่งมักมีปัญหากับผู้สูงวัยดังนั้น หากคุณหรือผู้ใหญ่ในบ้านกำลังบริโภคยาดังกล่าวและมีอาการท้องผูก ก็คืออาการข้างเคียงของมันซึ่งควรอบกแพทย์เพื่อให้แก้ไขโดยการสั่งยาเพื่อให้อุจจาระอ่อนตัวลงสามารถขับถ่ายได้ง่ายขึ้น

 

8. ความหดหู่เศร้าหมอง: ในทางกลับกันกับข้อที่แล้ว คืออารมณ์หดหู่เศร้าหมอง ก็เป็นสาเหตุท้องผูกได้ ความรู้สึกนี้จะทำให้เกิดการชลอตัวของระบบการทำงานในร่างกาย ซึ่งมีผลกับลำไส้ด้วย ผู้ที่มีอาการโรคลำไส้แปรปรวนหรือ IBS มีความเกี่ยวเนื่องกับความรู้สึกหดหู่ ก็มีความเสี่ยงของท้องผูกได้เช่นกัน

 

9. ยาลดกรด: ยาลดกรดที่ทำให้แสบร้อนในกระเพาะอาหารบางชนิด สามารถทำให้เกิดท้องผูก โดยเฉพาะยาที่มีส่วนผสมของแคลเซียมหรืออลูมิเนียม

 

healthconst03

 

10. โรคความดันโลหิตหรือยาแก้แพ้บางชนิด: อาการท้องผูกเป็นผลข้างเคียงของการใช้ยาบางอย่างที่ใช้รักษาโรคความดันโลหิตสูงและยาขับปัสสาวะ เนื่องจากยาขับปัสสาวะจะไปลดความดันหิตลง โดยเพิ่มการระบายออกทางปัสสาวะ ซึ่งเป็นการขับน้ำออกจากระบบร่างกาย และน้ำคือสิ่งที่ร่างกายใช้รักษาความนุ่มของอุจจาระให้ขับถ่ายได้ง่าย ส่วนยาแอนตี้ฮิสตามีนที่ใช้รักษาอาการแพ้ ก็สามารถเป็นปัญหานี้ได้เพราะมันทำให้ร่างกายเกิดความแห้ง

 

11. โรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง: โรคลำไส้อักเสบเรื้อรังหรือ IBD ( Inflammatory bowel disease) รวมทั้วโรคเรื้อรังของลำไส้ใหญ่หรือ CD ( Crohn’s Disease ) และการมีแผลอักเสบของระบบทางเดินอาหารหรือ UC ( Ulcerative Colitis) ทั้งสองอย่างจะทำให้เป็นตะคริว, น้ำหนักลด, อุจจาระมีเลือด ฯลฯ ซึ่งอาการท้องผูก ก็คือสัญญาณของการติดเชื้อในส่วนปลายของลำไส้ใหญ่ และมันก็สามารถจะขัดขวางการทำงานของลำไส้เล็กได้ แต่ถ้าหากคุณมีอาการท้องผูกเพียงอย่างเดียวโดยไม่มีอาการร่วมอื่นๆ ก็ไม่น่าจะเป็นเรื่องของโรคนี้

 

12. การตั้งครรภ์และการคลอด: ท้องผูกเป็นเรื่องปกติในช่วงตั้งครรภ์ แต่มันก็อาจเป็นปัญหาในการคลอดได้ จากการที่กล้ามเนื้อช่องท้องมีการอุดตัน หรือการให้ยากลุ่มคลายกล้ามเนื้อในระหว่างคลอด นอกจากนี้ ความรู้สึกกลัวอาการไม่สบายต่างๆจากการคลอด ก็อาจเป็นสาเหตุหนึ่งของท้องผูกได้ อาการบาดเจ็บจากการยืดขยายของกล้ามเนื้อในระหว่างการคลอด บางครั้งก็อาจทำความเสียหายให้กล้ามเนื้อและนำไปสู่อาการท้องผูกได้เช่นกัน

 

13. โรคเบาหวานหรือความผิดปกติของระบบประสาท: โรคเบาหวานทำให้เส้นประสาทเกิดความเสียหาย และทำให้ร่างกายสูญเสียความสามารถในการย่อยอาหาร คนที่มีโรคเบาหวานจึงมักท้องผูก และถ้าคุณท้องผูกประจำ ก็ควรไป ตรวจน้ำตาลในกระแสเลือดดูด้วย นอกจากนี้ ความผิดปกติของระบบประสาท เช่นโรคการอักเสบของปลอกประสาทในระบบประสาทส่วนกลาง ( multiple sclerosis) และโรคพาร์กินสัน ก็ทำให้ท้องผูกได้

 

เห็นไหมคะว่า เรื่องเล็กน้อยของร่างกายก็อาจเป็นสัญญาณปัญหาใหญ่ของสุขภาพที่เราไม่คาดคิดได้ ดังนั้น สิ่งสำคัญคือการหมั่นสังเกตตัวเองและอย่าละเลยความผิดปกติใดๆแม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม การทำตัวขี้สงสัยและหาคำตอบให้ได้กับเรื่องสุขภาพ จะช่วยให้เรารับมือปัญหาได้ตั้งแต่ต้นมือค่ะ

เครื่องดื่มควรระวังเมื่อไปสั่งที่บาร์

 

สัปดาห์ที่แล้วเล่าให้ฟังเรื่องออกกำลังกายของสายเบิร์น สัปดาห์นี้มาคุยกันเรื่องนั่งชิลล์ของสายดริ๊งค์กันบ้าง เพราะมีเรื่องเตือนจากนักโภชนาการและเหล่าบาร์เทนเดอร์ว่า เวลาไปสั่งดริ๊งค์ที่บาร์ ให้ระวังเป็นพิเศษกับเครื่องดื่มเหล่านี้ มีอะไรบ้างและเพราะอะไร มาฟังเขาเล่ากันดีกว่า

 

เรามักจะสั่งดริ๊งค์กันด้วยแนวคิดและเหตุผลที่หลากหลาย เช่นสั่งเพราะอยากดื่มมันจริงๆ หรือสั่งเพื่อให้ภาพลักษณ์เราดูดี หรือไม่ก็เพื่อสร้างภาพให้คนรู้สึกว่าเราเชี่ยวชาญเรื่องนี้ ไม่ว่าจะเพราะอะไรก็ตาม เรื่องหนึ่งที่ควรรู้ก็คือ เครื่องดื่มบางอย่างจะทำให้น้ำหนักตัวเราเพิ่มขึ้นได้ง่ายๆ หรือบางอย่างสั่งแล้วเราก็จะถูกเอาเปรียบจากคนขาย แย่กว่านั้นก็คือมีบางอย่างที่ใช้ส่วนผสมเสี่ยงต่ออาหารเป็นพิษ ฯลฯ ซึ่งมีบาร์เพียงไม่กี่แห่งที่จะเข้มงวดกับความสดสะอาดของส่วนผสมอยางตระหนักถึงอันตรายที่แขกจะได้รับ ถ้าหากคุณต้องการคืนสนุกสนานแต่ไม่ต้องการเชื้อแบคทีเรียอาหารเป็นพิษ และก็ไม่อยากได้น้ำหนักตัวเพิ่ม นี่คือเครื่องดื่มที่คุณควรระวังเวลาไปนั่งชิลล์ในบาร์

 

 

healthdrink05

 

 

1. โมฮิโต (Mojito): มันดูเป็นดริ๊งค์ที่สดชื่นและมีสูตรผสมดูดีมีรสนิยม แต่จะบอกให้ว่ามันอาจจะพาแบคทีเรียจากใบมินท์ที่ไม่สะอาดเข้าสู่ร่างกายคุณก็ได้ เพราะความลับจากบาร์เทนเดอร์ทั้งหลายก็คือ ปกติแล้วเจ้าเครื่องดื่มนี้มักไม่มีคนสั่งบ่อยๆ ดังนั้น บาร์บางแห่งก็จะๆไม่ได้สั่งใบมินท์สดมาใช้ทุกวัน แต่จะสั่งครั้งเดียวและใช้อยู่ราวๆ 2-3 วันจึงค่อยสั่งรอบใหม่ ดังนั้นโอกาสที่เจ้าโมฮิโตแพงลิบที่คุณสั่งพิเศษนี้ จะใช้ใบมินท์ค้างเก่าที่ไม่ได้คุณภาพก็มีโอกาสมาก

 

2. ไวท์รัสเชี่ยน (White Russian): ไวท์รัสเชียนมีส่วนผสมหนึ่งที่ควรนึกถึงก็คือนมหรือครีม ซึ่งเป็นส่วนผสมที่เก็บได้ไม่นาน และบาร์มักจะลืมตรวจสอบหรือสั่งของใหม่มาทดแทนของเก่าที่เสื่อมคุณภาพไป และถ้าเวลาบาร์ไม่ได้ใช้ผลิตภัณฑ์พวกนี้มาเป็นนานแล้ว โอกาสที่มันจะหมดอายุก็มีสูง และสามารถเปลี่ยนรสเป็นรสเปรี้ยวที่ใกล้เสียได้ ซึ่งถ้าเอามาผสมให้คุณดื่มเข้าไปไม่อยากนึกต่อเลย!

 

 

healthdrink04

 

 

3. เครื่องดื่มปั่นแช่แข็ง: เป็นเครื่องดื่มหลักช่วงหน้าร้อนซึ่งอัดแน่นไปด้วยแคลอรี่ ทั้งเต็มไปด้วยน้ำตาลจากน้ำผลไม้สำเร็จรูปและมิกเซอร์ แถมเสิร์ฟในแก้วขนาดยักษ์เพื่อให้ดูน่าดื่ม ซึ่งคุณก็ชอบสั่งเพราะจะได้ถ่ายภาพสวยลงในโซเชียลต่างๆ ในวันพักผ่อนที่ริมทะเลหรือสระว่ายน้ำ แนะนำว่าควรสั่งมันดื่มเป็นครั้งคราวไม่ใช่เป็นเครื่องดื่มประจำ

 

4. เบียร์สดในถังเบียร์ที่ดูสกปรก: คำถามก็คือ คุณควรจะสั่งเบียร์สดนี้ดื่มที่บาร์หรือเปล่า มีบาร์เทนเดอร์ที่แชร์ความเห็นเรื่องนี้ให้ฟังก็คือ ก่อนตัดสินใจสั่ง ให้ลองตรวจดูห้องน้ำของร้านดูก่อนบาร์ คุณอาจสงสัยว่ามันเกี่ยวกันตรงไหน คำตอบก็คือ ถ้าบาร์ไหนไม่ได้ทำความสะอาดห้องน้ำสม่ำเสมอ เขาก็จะไม่ได้ทำความสะอาดถังเหล็กที่ใช้บรรจุเบียร์หรือ keg ของร้านด้วยเช่นกัน ทำให้คุณได้ดื่มเบียร์ที่รสชาติเพี้ยนไม่สดจริง ทั้งเสี่ยงกับการใกล้เสียหรือเสื่อมคุณภาพโดยต้องจ่ายในราคาเต็มอีกด้วย นี่คือคำเตือน

 

 

healthdrink02

 

 

5. บลัดดี้ แมรี่ (Bloody Mary): ใครๆบอกว่ามันช่วยแก้อาการแฮงก์โอเวอร์ได้ดี แต่บลัดดี้ แมรี่ หรือเครื่องดื่มใดๆก็ตามที่ใช้ซอสพริกทาบาสโกในส่วนผสม คือสิ่งที่ควรระวังอย่างมากต่อสุขภาพ เพราะมีบาร์เทนเดอร์แค่ไม่กี่คน ที่จะรู้จักถึงวิธีใช้ซอสนี้ในเครื่องดื่มจริงๆ แล้วก็มักจะใส่มันมากเกินไป ทำให้เครื่องดื่มนี้หนักไปด้วยซอสเครื่องเทศซึ่งจะไปล้นระบบการย่อยจนเกิดอาการเช่นปวดท้อง แน่นท้อง หรือไม่สบายตัวได้ นี่คือสิ่งต้องระวังมาก

 

6. เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ผสมเครื่องดื่มชูกำลัง: มันคือเครื่องดื่มหวานซ่าให้พลังงานสูงที่เต็มไปด้วยเหล้าหวานและคาเฟอีน ที่จะไปกระตุ้นสมองให้ตื่นตัว เมื่อคาเฟอีนอยู่กับแอลกอฮอล์ มันจะให้ผลกระทบที่ตรงกันข้ามกันต่อร่างกาย เป็นการส่งข้อมูลที่ปนเปทำให้ร่างกายสับสน รบกวนการทำงานของหัวใจ ทำให้มีปัญหาการนอนหลับ และยังทำให้ดื่มมากเกินควร เพราะคาเฟอีนจะไปปิดกั้นปฏิกิริยาการง่วงตามธรรมชาติของร่างกายต่อการดื่ม

 

7. ลองไอแลนด์ไอซ์ที (Long Island Iced Tea): ระวังพายุเหล้าหวานลิเคียวร์ 5 ชนิดที่ท้อปด้วยโคลา ประดังใส่เข้ามาแบบไม่ต้องยั้งคิดในดริ๊งค์นี้กันเลย สิ่งต้องรู้อีกอย่างก็คือ มันทีส่วนผสมที่ร้ายแรงด้วยปริมาณแอลกอฮอล์ที่มากมาย ทั้งสูตรของมันในบาร์และแห่งก็จะต่างกันไป บางแห่งสามารถมีแคลอรี่ได้ถึง 780 แคอรี่ต่อแก้วเลยทีเดียวจากที่นักโภชนาการเคยพบมา อีกเรื่องคือ มันจะทำให้คุณดูเป็นนักดื่มปัญญาอ่อนถ้าคุณมีอายุเกิน 25 ปี

 

8. ยินโทนิค (Gin Tonic): เจ้าเครื่องดื่มรสซ่านี้ มีแคลอรี่อยู๋ถึง 124 แคลอรี่ต่อแก้วจากน้ำตาลในส่วนผสม ซึ่งมันดูเหมือนจะเป็นเครื่องดื่มสุขภาพ แต่จริงๆแล้วไม่ใช่เลย

 

 

healthdrink03

 

 

9. ช็อต (Shot): เป็นเครื่องดื่มที่มักสั่งในการฉลองหรือปาร์ตี้ แต่มันเป็นช่องทางหนึ่งที่บาร์จะชาร์จราคาคุณได้มากขึ้นกับการได้รับเครื่องดื่มที่ปริมาณน้อยกว่า เคยสังเกตไหมว่าแก้วช็อตมักทำสวยงาม และก็ดูเหมือนแว่นขยายที่สามารถเห็นภาพขยายลวงสายตาได้ ซึ่งสิ่งนี้จะให้ภาพเหมือนว่าคุณได้รับเครื่องดื่มในปริมาณมาก แต่จะบอกให้ว่าจริงๆ บาร์หลายแห่งที่ใช้แก้วช็อตที่จุเครื่องดื่มน้อยกว่าแก้วขนาด 2 ออนซ์มาตรฐาน

 

10. เครื่องดื่มเป็นเซ็ทกับอาหารหรือของขบเคี้ยวให้ฟรี: อย่าลืมว่า แค่แอลกอฮอล์อย่างเดียวก็ให้แคลอรี่มากอยู่แล้ว ยิ่งไปจับคู่มันกับอาหารในบาร์อย่างมันทอด ก็จะยิ่งทำให้แถมแคลอรี่เข้าไปโดยไม่มีโภชนาการที่ดีใดๆเลย

 

คราวนี้ก็ได้รู้เรื่องควรระวังของเครื่องดื่มเหล่านี้ แล้วก็อย่าลืมด้วยนะคะว่า การมึนเมา จะทำให้ความยับยั้งชั่งใจของคุณลดลง ซึ่งหมายถึงคุณมีแนวโน้มจะทำพฤติกรรมไม่เหมาะสมได้ง่ายขึ้นเช่น การตะโกนหรือขาดการควบคุมตัวเอง แล้วเวลาไปนั่งชิลล์ ก็อย่าลืมด้วยว่าจุดมุ่งหมายของบาร์ก็คือ การมุ่งเรื่องรายได้โดยไม่ได้คิดถึงสุขภาพดีแต่อย่างใด ให้ระวังเมนูโปรโมชั่นหรือการสั่งอาหารเครื่องดื่มในช่วงเวลา Happy Hour ไว้ให้มากๆ รักษาสุขภาพกันด้วยค่ะ

คุณออกกำลังกายมากเกินไปอยู่หรือเปล่า

 

ถ้าคุณออกกำลังกายทุกวันแต่ก็ไม่เห็นมีพัฒนาการใดๆ หรือรู้สึกว่าเหนื่อยเรื้อรังหลังการออกกำลังกาย หรือมีสิ่งผิดปกติใดๆอื่นๆเกิดขึ้นกับคุณจากกิจกรรมนี้ สิ่งที่เรากำลังจะบอกคุณก็คือ อาจเป็นเพราะคุณออกกำลังกายมากเกินไปก็ได้

 

คุณออกกำลังกายเกินพอดีหรือเปล่า

จากที่เราเชื่อกันว่า การออกกำลังกายเป็นประจำคือความจำเป็นของสุขภาพดี เพราะมันจะช่วยให้เราสามารถคุมน้ำหนักตัวได้ช่วยพัฒนาการของจิตใจ และลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็ง แม้งานวิจัยบางชิ้นก็ยังระบุว่า การออกกำลังกายแบบหนักหน่วง จะช่วยให้คุณมีชีวิตยืนยาวขึ้น แต่มันเป็นไปได้เหมือนกัน ที่คุณจะทำสิ่งที่ใครๆว่าดีนี้มากเกินไปจนเกิดผลเสียกับตัวเอง หลายๆเรื่อง ตั้งแต่การเจ็บปวดเรื้อรังในส่วนต่างๆ หรือเรื่องสมดุลของอารมณ์ที่ถูกรบกวน ถ้าคุณกำลังเป็นแบบนี้อยู่ ก็ควรรับรู้ว่านี่คือสิ่งเตือนว่าคุณกำลังออกกำลังกายมากเกินไป มาเรียนรู้เพื่อปรับพฤติกรรมให้เสียเหงื่อแล้วได้สุขภาพที่ดีกันเถอะ

 

อย่าฆ่าตัวตายด้วยการออกกำลังกายมากเกินไป

เคยไหมที่เวลาออกกำลังจนเหนื่อยโทรมอยู่ในฟิตเนส แล้วคุณก็ยังบอกตัวเองว่า “ทำต่อไปอีก..มากขึ้นอีก อย่าหยุด! ที่บอกตัวเองแบบนี้เพราะคุณรู้สึกว่า นี่ขนาดคุณใช้เวลาเป็นชั่วโมงๆอยู่ในฟิตเนส เพื่อออกกำลังกายแบบที่ทำเป็นประจำ ก็ยังไม่เห็นผลว่าร่างกายของคุณมีพัฒนาการดีขึ้นกว่าตอนนี้สักเท่าไหร่เลย ผิดกับช่วงแรกๆที่ออกกำลังแล้วเห็นพัฒนาการเร็วมาก ไมเคิล โลวิทท์ นักจิตวิทยาการออกกำลังกายของลอส แองเจลิส อธิบายเรื่องนี้ว่า “ นั่นเป็นเพราะคุณออกกำลังกายแบบเดิมๆซ้ำๆมาเป็นเวลานานจนร่างกายคุณพัฒนามาถึงจุดสูงสุดสำหรับการทำแบบนี้แล้ว มันจึงไม่มีความก้าวหน้าใดๆเกิดขึ้นอีก และหากคุณยังฝืนทำสิ่งเดิมๆนี้ให้นานขึ้น ก็อาจจะนำไปสู่การบาดเจ็บหรือรู้สึกเบื่อหน่ายได้อีกด้วย” ทุกๆเดือน ที่ฟิตเนสระดับคุณภาพหลายๆแห่ง จะมีการปรับเปลี่ยนโปรแกรมการออกกำลังกายให้กับลูกค้า “ คนส่วนมากจะคิดแค่เรื่องการเปลี่ยนวิธีออกกำลังกาย” โลวิทท์ระบุ “ แต่จริงๆแล้ว คุณสามารถจะปรับเปลี่ยนได้ทั้งเรื่องอัตราความช้าเร็ว, จำนวนเวลาที่ออกกำลังกาย, จำนวนเซ็ทของคลาส รวมถึงความเข้มข้นของวิธีการออกกำลังในแต่ละเซ็ท ทั้งความเร็วและจังหวะของการเคลื่อนไหว ซึ่งทั้งหมดนี้ควรจะได้มีการถูกปรับเปลี่ยนบ้าง ไม่ใช่ซ้ำเดิมๆ การปรับเปลี่ยนในเรื่องเล็กน้อยเช่น เปลี่ยนกลุ่มของกล้ามเนื้อที่ต้องการออกกำลังกาย,เปลี่ยนการออกกำลังที่ทำแบบเซ็ทยาวๆครั้งเดียว มาเป็นแบบเซ็ทสั้นๆโดยหยุดพักเป็นช่วงๆก็ได้ ซึ่งผลตอบแทนที่จะได้รับก็คือ ช่วยลดเวลาเข้าฟิตเนสให้น้อยลงแต่เผาผลาญแคลอรี่ได้มากขึ้น ทั้งสามารถปรับสภาพกล้ามเนื้อได้ดีขึ้นอีกด้วย

 

หัวใจของคุณมีอัตราการเต้นเร็วเกินไป

 

healthexcer03

 

อย่าเพิ่งด่วนสรุปว่าที่หัวใจเต้นเร็วนั้นเพราะคุณดื่มกาแฟมากเกินไป เพราะมันมีสาเหตุที่หลากหลาย รวมทั้งจากการออกกำลังกายของคุณด้วย “ การออกกำลังกายมากเกินไปจะทำให้เกิดความเจ็บปวด, การขาดน้ำ หรือขาดสมดุลของเกลือแร่ในร่างกาย ซึ่งทั้งหมดนี้สามารถนำไปสู่การที่หัวใจเราเต้นเร็วกว่าอัตราปกติได้ ” นี่คือการระบุของ ดร. แคธริน เบอร์ลาเชอร์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านหัวใจ ผู้อำนวยการคณะแพทยศาสตร์ของมหาวิทยาลัยพิทสเบิร์ก ถ้าหัวใจของคุณเต้นเร็วกว่าปกติ คุณอาจต้องทบทวนพฤติกรรมที่เคยทำมา รวมทั้งการดื่มน้ำให้มากขึ้น มันสามารถฟื้นฟูและช่วยลดความผิดปกตินี้ได้ เพราะหากร่างกายได้รับน้ำเพียงพอ หัวใจของคุณก็จะไม่ต้องทำงานหนักกว่าปกติเพื่อที่จะสูบฉีดโลหิต

 

คุณคิดว่าความเจ็บปวดกล้ามเนื้อคือรางวัลของร่างกายที่ดีกว่า

ความเจ็บปวดบางอย่างจากการออกกำลังกายเป็นเรื่องปกติ เช่นคุณอาจปวดกล้ามเนื้อบ้างหลังออกกำลังกาย แต่มันก็ไม่ควรเกิดขึ้นแบบเรื้อรัง “ ถ้าหากคุณมีอาการเจ็บปวดนี้มายาวนาน แปลว่าร่างกายคุณไม่ได้มีการซ่อมแซมตัวเองอย่างเหมาะสม การฟื้นตัวจะเกิดขึ้นได้ ก็ต่อเมื่อกล้ามเนื้อและระบบประสาทได้รับสารอาหารและการพักผ่อนที่เพียงพอ จึงจะสามารถปรับสภาพร่างกายให้ไปสู่ความฟิต ซึ่งคิดอีกด้านก็คือ ความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นหลังการออกกำลังกาย ไม่ได้แปลว่ามันคือผลกำไร ดังนั้น ควรลดการออกกำลังหนักๆที่จะนำไปสู่ความเจ็บปวด โดยให้ทำแค่ไม่เกิน 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ และออกกำลังแบบผ่อนคลายอย่างแอโรบิกทดแทน ในวันที่ร่างกายต้องการพักฟื้น

 

การออกกำลังกายทำให้คุณรู้สึกหดหู่

 

healthexcer04

 

การออกกำลังกายควรเพิ่มความสดชื่นให้กับคุณ ไม่ใช่หงุดหงิดหรือเศร้าหมอง หากมันทำให้คุณรู้สึกทางลบเมื่อไหร่ แปลว่าคุณกำลังมีปัญหากับมันแล้วละ คุณอาจต้องการเวลาหนึ่งสัปดาห์เต็มๆเพื่อให้ร่างกายได้พักผ่อนและปรับตัวให้เต็มที่ ความเหนื่อยล้า จะนำไปสู่ความรู้สึกถูกรบกวน, หดหู่เศร้าหมอง, เบื่ออาหาร, นอนไม่หลับ ทั้งหมดนี้เป็นสาเหตุของการหมดเรี่ยวแรง หากรู้สึกแบบนี้ ลองเปลี่ยนวิธีออกกำลังกายที่เคย มาเป็นการออกกำลังแบบฟื้นฟูร่างกายเช่นเล่นโยคะ แล้วคุณอาจแปลกใจที่ร่างกายและจิตใจมีการตอบรับที่ดีขึ้น จากการที่คุณให้เวลามันเพื่อฟื้นฟูพลังงาน

 

คุณจำไม่ได้ว่าครั้งสุดท้ายที่สนุกกับการออกกำลังกายคือเมื่อไหร่

สิ่งที่คุณต้องการเมื่อไปออกกำลังกายคือความรู้สึกเหนื่อย การมีเหงื่อออกและความท้าทายกับตัวเองที่จะเกิดขึ้นในช่วงเวลานั้นๆ แต่สิ่งที่คุณไม่ได้ต้องการก็คือความรู้สึกกลัวการเข้าฟิตเนส เรื่องนี้ อดัม โรซาน โคชด้านการออกกำลังกายและโภชนาการ ได้แนะนำให้คุณคิดถึงเวลาการเข้าฟิตเนสว่า มันคือการ “พักผ่อนและเข้าไปเล่น”เพื่อจะสร้างความสนุกบางทีผมก็จะชวนลูกค้าของผมรวมกลุ่มเล่นเกมส์สนุกๆด้วยกันไปด้วย มันช่วยให้คนรู้สึกสนุกสนานขึ้น แทนที่จะตั้งหน้าตั้งตาออกกำลังเพื่อไปสู่เป้าหมายที่ตั้งไว้อย่างเข้มงวด เพราะถ้าคุณสนุก มันก็จะเปลี่ยนความรู้สึกเข้มงวดนั้นเป็นเกมส์ที่ท้าทาย

 

ทำวันพักผ่อนให้ได้พักผ่อนอย่างดีที่สุด

ช่วยร่างกายของคุณให้ฟื้นฟูตัวเองด้วยวิธีเหล่านี้

 

healthexcer02

 

1. บริโภคอาหารที่ดีและอย่าให้ร่างกายขาดน้ำ ให้ร่างกายได้รับอาหารที่มีคุณค่าโภชนาการสูงอย่างเช่นเนื้อสัตว์ปลอดไขมันและพืชผักต่างๆ และดื่มน้ำที่สะอาดในปริมาณมากเพียงพอ

2. เดินให้มากขึ้น การเดินในระยะทางยาวๆจะช่วยเพิ่มอัตราการไหลเวียนของโลหิตที่ไปเลี้ยงกล้ามเนื้อส่วนต่างๆของร่างกาย ทำให้ออกซิเจนไปซ่อมแซมเนื้อเยื่อที่เสียหายได้ดีขึ้น

3. เลี่ยงบริโภคอาหารขยะ จำไว้ว่าวันพักผ่อนไม่ใช่วันที่คุณจะทำร้ายตัวเองด้วยอาหารเหล่านี้

4. อย่านอนดึกหรืออดนอน การนอนหลับพักผ่อนเพียงพอ คือกุญแจสำคัญของร่างกายในการฟื้นฟูตัวเอง ซ่อมแซมกล้ามเนื้อและรีเซ็ทสมองให้แจ่มใส การนอนหลับไม่พอจะไปเพิ่มความอยากอาหาร และผลักดันร่างกายให้เข้าสู่ความเหนื่อยเรื้อรัง ทำให้ยากต่อการบรรลุเป้าหมายที่จะมีสุขภาพดีได้

ตื่นตอนดึก… ปัญหาสุขภาพที่ร่างกายบอกคุณ

 

มีใครที่นอนตอนกลางคืนแล้วพบว่า ตัวเองชอบตื่นขึ้นตอนดึกๆในเวลาเดียวกันเป็นประจำทุกคืนหรือเปล่าคะ ยิ่งถ้าตื่นตอนช่วงเวลาตี 3 ถึงตี 5 ด้วยละก็ มันอาจแปลว่าร่างกายคุณกำลังบอกเรื่องปัญหาสุขภาพที่คุณมีอยู่ก็เป็นได้ มาลองอ่านเรื่องนี้ดูแล้วคุณจะเข้าใจ

 

ศาสตร์การแพทย์แผนจีนเชื่อว่า พลังงานในร่างกายของเราที่เรียกว่า “ชี่” ( Qi) นั้น จะไหลเวียนผ่านเส้นทางในร่างกายที่เรียกว่า เส้นเมอริเดียน ซึ่งตามหลักของระบบนาฬิกาชีวภาพของแพทย์แผนจีน ในหนึ่งวัน จะมีพลังงานชี่ที่วิ่งผ่านเส้นเมอริเดียนแตกต่างกันออกไปในเวลาที่ต่างกัน เพื่อส่งพลังงานไปยังอวัยวะต่างๆให้มีสุขภาพดี การเจ็บป่วยของอวัยวะจะเกิดขึ้นหากพลังงานชี่ขาดความสมดุล ไม่สามารถไหลผ่านเส้นเมอริเดียนได้สะดวก และอาการที่บอกถึงความเจ็บป่วยของอวัยวะก็คือ การที่เราตื่นนอนในตอนดึกๆในเวลาเดียวกันเป็นประจำนั่นเอง

 

ทีนี้มาดูกันค่ะว่า การตื่นตอนดึกๆในเวลาไหน จะเกี่ยวข้องกับปัญหาอวัยวะส่วนใดบ้าง:

 

ระหว่างสามทุ่มถึงห้าทุ่ม:

นี่อาจเป็นเวลาที่หลายคนบอกว่าฉันยังไม่เข้านอนเลย ใช่ค่ะ แต่จากสถิติพบว่า เวลานี้ มักเป็นเวลาที่เราส่วนมากกำลังจะเข้านอน ซึ่งหากคุณเป็นคนหนึ่งที่เข้านอนเวลานี้และรู้สึกว่าหลับได้ยากแล้วละก็ มีคำอธิบายว่า มันอาจเป็นเพราะร่างกายคุณเหนื่อยเกินไปในตอนกลางวัน ทำให้มันพยายามต่อสู้กับจิตใต้สำนึกที่จะนอนให้หลับอยู่ ถ้าลองมองดูให้ดีๆ คุณอาจพบว่านอกจากจะไม่หลับแล้ว ยังมีความกลัวหรือความวิตกกังวลของคุณที่เดิดเมื่อกลางวันที่จะเปล่งเสียงดังชัดเจนมากขึ้นในช่วงเวลานี้ที่กำลังเข้านอน ทำให้คุณรู้สึกไม่ปลอดภัยหรือกังวลอยู่จนไม่อาจนอนหลับได้

 

ตามหลักแพทย์แผนจีน ช่วงเวลานี้ร่างกายจะส่งพลังงานเพื่อฟื้นฟูระบบประสาทและภูมิคุ้มกันต่างๆ ดังนั้น ถ้าหากเมื่อกลางวันคุณรู้สึกว่าตัวเองกำลังป่วย คุณก็จะรู้สึกว่าอาการป่วยนั้นรุนแรงมากขึ้นในเวลานี้แหละ ถ้าหากคุณพบว่าตัวเองมีปัญหานี้แล้วละก็ ให้สวดมนต์หรือทำสมาธิเพื่อสงบจิตใจจากความกังวลที่ได้รับมา

 

ระหว่างห้าทุ่มถึงตีหนึ่ง:

 

 

healthwake04

 

เป็นช่วงเวลาที่ร่างกายจะส่งพลังเพื่อฟื้นฟูกระเพาะปัสสาวะ ซึ่งหากคุณตื่นตอนดึกๆในช่วงเวลานี้ มันก็จะเกิดการปิดกั้นของพลังงานที่ส่งผ่านเส้นเมอริเดียนไปยังอวัยวะดังกล่าว คำอธิบายเรื่องนี้ก็คือ พฤติกรรมทางอารมณ์ของคุณที่จริงจังกับการตัดสินตัวเองหรือคนอื่นๆอย่างเด็ดขาดเกินไป มีการศึกษาพบว่า คนที่ผิดหวังหรืออกหักเรื่องความรัก มักจะตื่นนอนในช่วงเวลานี้ เพราะถูกกระตุ้นด้วยอารมณ์ด้านลบของตัวเอง นอกจากนี้ ความหมายอีกอย่างก็คือ มันอาจแปลว่า ร่างกายคุณต้องการไขมันที่มีคุณภาพกว่าไขมันที่คุณบริโภคอยู่นี้ก็เป็นได้ วิธีที่จะผ่อนคลายให้ร่างกายก็คือ เรียนรู้ที่จะใช้ชีวิตอย่างไม่คาดหวังมากเกินไป ให้อภัยกับตัวเองและผู้คนรอบตัว และตัดสินสิ่งต่างๆให้น้อยลงไม่ว่าจะเป็นตัวคุณเอง, คนอื่นๆหรือเหตุการณ์ใดๆที่เข้ามาในชีวิตของคุณ ไม่ว่าอดีต ปัจจุบันหรืออนาคต

 

ระหว่างตี 1 ถึงตี 3:

 

healthwake02

 

นี่เป็นเวลาที่ถูกพบว่ามีคนตื่นขึ้นมาตอนดึกมากที่สุด ซึ่งเวลานี้เป็นเวลาที่ร่างกายจะส่งพลังงานไปเสริมสร้างตับให้มีความแข็งแรงมากที่สุด ตับของเรามีหน้าที่รักษาสมดุลของฮอร์โมน, สมดุลระบบย่อยอาหาร และช่วยขจัดสารพิษที่เข้าสู่ร่างกายทั้งจากการบริโภค และจากความเหนื่อยล้าในชีวิตประจำวัน การตื่นในเวลานี้ อาจบ่งชี้ว่าอวัยวะนี้อ่อนแอ ผลคือทำให้เกิดอารมณ์ด้านลบได้ง่าย ทั้งความโกรธ ความวิตกกังวล และอารมณ์อื่นๆ ซึ่งถ้าคุณค้นพบสาเหตุปัญหา และควบคุมมันโดยวางตัวให้อยู่เหนือสถานการณ์เพื่อมองสะท้อนให้เห็นความจริงว่าอะไรคือสาเหตุที่ทำให้คุณรู้สึกแบบนั้น พูดกับตัวเองด้วยความรู้สึกด้านบวกเพื่อแก้ปัญหาทีละขั้นๆเหมือนการคลายเชือกทีละปมอย่างใจเย็น

 

นอกจากนี้ การตื่นในช่วงเวลานี้อาจบอกว่า ร่างกายของคุณมีพลังหยางมากเกินไป ลองจัดสมดุลให้ร่างกายมีพลังหยินเพิ่มขึ้น ด้วยการบริโภคอาหารธาตุเย็นเพื่อช่วยให้รู้สึกผ๋อนคลายมากขึ้น

 

ระหว่างตี 3 ถึงตี 5:

เป็นช่วงเวลาที่พลังจะถูกส่งเพื่อสร้างความแข็งแรงให้กับปอดที่จะได้รับการฟื้นฟูพลังมากที่สุดของวัน การหายใจที่เกิดขึ้นในช่วงนี้จะทำให้ร่างกายเกิดความผ่อนคลายที่สุด ดังนั้น หากคุณตื่นตอนดึกในเวลานี้ ก็อาจบอกได้ว่า ปอดของคุณอาจมีเกิดปัญหาเรื่องของการไหลผ่านของออกซิเจน นอกจากนี้ ปอดยังเป็นอวัยวะที่รับอารมณ์ด้านลบเมื่อเราเศร้าหรือหดหู่อีกด้วย ดังนั้น หากคุณกำลังรู้สึกดังกล่าว คุณก็อาจจะตื่นในช่วงนี้ได้ด้วยเช่นกัน และเพื่อที่จะออกจากอารมณ์เศร้าของคุณ ให้เชื่อในกระแสของโลกว่าทุกสิ่งก็จะผ่านพ้นไป ความทุกข์ของคุณก็เช่นกัน แค่หายใจเข้าออกลึกๆก็จะทำให้ผ่อนคลายและเสริมสร้างความมั่นใจในตัวเองขึ้นมาได้มากแล้ว

 

ระหว่างตี 5 ถึง 7 โมงเช้า:

 

healthwake03

 

นี่คือเวลาที่พลังเมอริเดียนจะถูกส่งไปที่ลำไส้ใหญ่ของคุณ เพื่อกระตุ้นและเป็นเรื่องของการปลดปล่อยจากการถูกควบคุมใดๆ ลำไส้ใหญ่มีหน้าที่ทำความสะอาดพิษสะสมในร่างกาย ที่ส่วนใหญ่มาจากระบบการย่อย การตื่นในเวลานี้จึงบอกว่าเกิดความอ่อนแอกับลำไส้ใหญ่ของคุณ ซึ่งสาเหตุหนึ่งที่ทำให้คุณตื่นในเวลานี้ ก็คือเมื่ออารมณ์ใดๆของคุณได้ถูกปิดกั้นไว้ไม่ให้แสดงออกมา ด้วยทัศนคติที่สะสมมานานๆ การตื่นจึงเป็นสัญญาณว่าคุณต้องการปลดปล่อยอารมณ์นั้นที่พร้อมจะปะทุออกมา ลองสวดมนต์หรือทำกิจกรรมให้ร่างกายผ่อนคลาย ใช้พลังของความสงบ สมาธิ อาจฝึกโยคะหรือทำกิจกรรมเพื่อล้างพิษที่สะสมอยู่ในร่างกายก็จะช่วยได้

 

เหล่านี้คือสิ่งที่ศาสตร์แพทย์แผนจีนโบราณได้บอกไว้เกี่ยวกับการตื่นกลางดึก ที่เกี่ยวข้องกับปัญหาร่างกายของเรา หวังว่าคงจะมีประโยชน์กับทุกท่านบ้างนะคะ การฟังเสียงความต้องการของร่างกาย คือปัจจัยสำคัญที่สุดที่จะทำให้เรามีสุขภาพดีอย่างต่อเนื่อง อะไรก็ตามที่ร่างกายกำลังพยายามจะส่งข่าวมาถึงคุณ ก็อย่าลืมรับฟังกันให้ดีด้วยค่ะ

ระวังอาหารเหล่านี้…ที่ทำร้ายระบบเมตาบอลิซึ่มของคุณ

 

เวลาไปซื้ออาหารในซูเปอร์มาร์เก็ต แน่นอนที่เราจะเลือกแต่สิ่งดีๆต่อสุขภาพ แต่อาหารบางชนิดที่เราเชื่อว่าดีต่อสุขภาพนั้น นอกจากจะไม่ให้ประโยชน์แล้ว ยังมีผลเสียต่อระบบเผาผลาญอาหารของเราเสียอีก มาดูแลตัวเองด้วยการเลี่ยงอาหารสำเร็จรูป 6 ชนิดนี้ ที่ทำให้เกิดความเสี่ยงต่อระบบเผาผลาญอาหารและระบบการย่อย

 

1. น้ำผลไม้พร้อมดื่ม: มักจะเต็มไปด้วยน้ำตาลและสารเคมีนานาชนิด ทำให้อ้วนและมีปัญหาสุขภาพตามมา การสำรวจพบว่า ในน้ำผลไม้สำเร็จรูปปริมาณ 18 ออนซ์หนึ่งแก้ว จะมีน้ำตาลอยู่ 30 กรัม ในขณะที่น้ำผลไม้แบบโซดาจะมีน้ำตาลอยู่ราวๆ 28 กรัม นอกจากนี้ ก็ยังมีคอร์นไซรัป เด็กซ์โตรส, ฟรุคโตส รวมทั้งปริมาณน้ำผลไม้เข้มข้นที่ผสมอยู่ด้วย มันจึงไม่ได้ “สด” อย่างที่คุณคาดหวัง

 

วิถีธรรมชาติ: ทำน้ำมะนาวดื่มเองโดยใช้น้ำมะนาวคั้นจากผล ผสมกับน้ำสะอาดและสเตเวีย (stevia) ซึ่งเป็นหญ้าหวานจากธรรมชาติ ที่หาซื้อได้ในร้านขายผลิตภัณฑ์สุขภาพทั่วไปจะดีกว่า หรือไม่ก็ดื่มชาสมุนไพรใส่น้ำผึ้งธรรมชาติ, น้ำมะพร้าวสดจากผลของมัน หรือทำน้ำแช่ผลไม้สดต่างๆเช่น สตรอเบอร์รี่, เลมอน, หรือสมุนไพรต่างๆที่เรียกว่า อินฟิวชั่น ดื่มเพื่อความสดชื่นและสุขภาพดี

 

2. โฮลเกรนสำเร็จรูป: เป็นอาหารที่เสี่ยงต่อระบบการย่อยมากที่สุด จากส่วนผสมของกลูเตน แป้งมันสำปะหลัง และกรดไฟติก (phytic acid) ที่พบในส่วนผสมของขนมปังจากข้าวสาลี ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นสารที่ก่อให้เกิดการติดเชื้อของร่างกาย นอกจากนี้ มันยังยากที่ร่างกายจะดูดซึมแร่ธาตุและวิตามินจากมันอีกด้วย ผลิตภัณฑ์อาหารที่มีส่วนประกอบเหล่านี้ที่ควรระวังได้แก่ ขนมปัง, พาสต้า, ซีเรียล, แคร็กเกอร์,ขนมหวาน, ขนมขบเคี้ยวต่างๆ และกราโนลาบาร์สำเร็จรูป

 

วิถีธรรมชาติ: เลือกขนมปังที่ทำจากเมล็ดสเปราท์ที่มีชื่อว่า Ezekiel หรือขนมปังที่ทำจากแป้งยีสต์หมักที่เรียกว่า ซาวร์โด (Sourdough) หรือผลิตภัณฑ์อาหารที่ทำจากแป้งมะพร้าวแทนแป้งสาลี ผลิตภัณฑ์เหล่านี้จะมีไฟเบอร์สูงและมีกรดไขมันที่ร่างกายนำไปใช้ได้ดีกว่า

 

3. สารทดแทนความหวานวิทยาศาสตร์: แอสพาแตม (Aspartame) ได้ถูกพบว่าเกี่ยวข้องกับปัญหาสุขภาพมากมายถึง 92 เรื่องด้วยกัน ในขณะที่สารซูคราโลสและแอสพาแตม จะไปกระตุ้นความอยากอาหาร ทำให้เพิ่มความอยากบริโภคคาร์โบไฮเดรตมากขึ้นด้วย

 

วิถีธรรมชาติ: สเตเวีย( Stevia) เป็นหญ้าหวานที่ให้ความหวานธรรมชาติและไม่มีแคลอรี่ หรือใช้น้ำผึ้งธรรมชาติจะดีกว่า

 

healthbeta03

 

4. น้ำมันคาโนลา (Canola Oil): น้ำมันนี้จะไปชลอระบบการเผาผลาญไขมัน ทำให้เกิดการสะสมไขมันที่ร่างกายไม่ต้องการเอาไว้ นอกจากนี้ มันยังถูกผลิตโดยการเติมไฮโดรเจนเข้าไปในส่วนผสม ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงโมเลกุลโครงสร้างและทำให้เกิดการติดเชื้อได้ง่ายขึ้น ทั้งยังขัดขวางการทำงานของระบบเมตาบอลิซึ่มและฮอร์โมนต่างๆ

 

วิถีธรรมชาติ: น้ำมันมะพร้าว มีกรดไขมันที่ดีในปริมาณสูง ช่วยให้ระบบเผาผลาญอาหารมีประสิทธิภาพดี

 

5. เนยถั่ว: ถั่วลิสงส่วนมากมักปลูกในดินและเก็บไว้ในไซโลที่มีความชื้นสูง ทำให้มีโอกาสเกิดเชื้อราอะฟลาท็อกซิน ซึ่งมีผลต่อปัญหาของลำไส้ที่เชื้อรานี้จะไปรบกวนจุลินทรีย์โปรไบโอติค ทำลายระบบการย่อย นอกจากนี้ ถั่วลิสง ยังอุดมด้วยกรดไขมันโอเมก้า -6 ที่ทำให้ร่างกายติดเชื้อได้ง่ายขึ้นอีกด้วย

 

วิถีธรรมชาติ: เลือกเนยหรือผลิตภัณฑ์ที่ทำจากถั่วอัลมอนด์ ที่อุดมด้วยกรดอมิโน เพิ่มคุณภาพการย่อยที่ดีให้กับร่างกาย ช่วยสร้างกล้ามเนื้อและเพิ่มอัตราการเผาผลาญอาหารให้ดีขึ้นอีกด้วย

 

healthbeta02

 

6. กราโนลา: ของว่างชนิดนี้ทำจากธัญพืชและน้ำตาลเป็นหลัก และบ่อยครั้งที่น้ำผึ้งที่ใช้ในกราโนลาก็ถูกพบว่ามันไม่มี สารอาหารที่มีประโยชน์ใดๆ เนื่องจากได้ผ่านการพาสเจอร์ไรส์ด้วยความร้อนสูงมาแล้ว ในกราโนลา ยังประกอบด้วยสารกลูเตน, กรดไฟติกที่เพิ่มความเสี่ยงการติดเชื้อของร่างกาย และน้ำผึ้งสำเร็จรูป ทั้งหมดคือจุดจบของระบบการเผาผลาญอาหารของคนที่บริโภคมันเข้าไป

 

วิถีธรรมชาติ: มาทำกราโนลาบริโภคเองกันดีกว่า แช่เมล็ดอัลมอนด์, มะม่วงหิมพานต์, ถั่วพีแคนและเมล็ดเจียในน้ำสะอาด 8 ชั่วโมง จากนั้นนำมาตากให้แห้ง ผสมกับน้ำผึ้งธรรมชาติ, ลูกเกด, เกล็ดมะพร้าว, อบเชยและถั่วที่ผสมเกลือทะเล ตัดเป็นชิ้นๆเข้าเตาอบหรือเครื่องอบอาหารแห้ง เท่านี้ก็ได้กราโนลาที่มีประโยชน์ไว้บริโภคแล้ว

 

เพราะอาหารคือจุดเริ่มต้นของสุขภาพที่ดี คำว่า “You are what you eat” ยังคงใช้ได้ดีเสมอ การอ่านส่วนประกอบของอาหารสำเร็จรูปทุกครั้งก่อนนำมันมาบริโภค คือสิ่งที่ควรทำทุกครั้งเวลาไปซื้อหาอาหาร ถ้าทำได้อย่างนี้ ก็จะทำให้คุณเข้าใจผลิตภัณฑ์ที่ซื้อไปและเลือกสรรสิ่งที่ดีอย่างแท้จริงต่อสุขภาพคุณแน่นอนค่ะ

2018 ..ปีแห่งรูปร่างดีที่สุดของคุณ

 

สวัสดีปีใหม่ค่ะ หลังจากที่ผ่านช่วงฉลองปีใหม่ ที่เต็มไปด้วยอาหารอร่อยๆและคุณก็ฉลองกับมันไปแบบไม่ยั้งกันมาแล้ว ทีนี้ก็มาถึงเวลาที่คุณจะต้องมาตั้งโหมดไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิต เพื่อให้มีรูปร่างเพรียวสวยกันเสียที แน่นอนค่ะว่ามันไม่ได้ยาก ถ้าเราจะเซ็ททัศนคติกันใหม่ตามนี้… จัดเลย!

 

1. บอกตัวเองว่า “ ฉันกำลังอยู่ในระหว่างการคุมน้ำหนัก” ไว้ตลอดเวลา

นั่นก็เพราะว่า เวลาที่คุณมีความคิดแบบนี้อยู่ในใจ มันก็จะทำให้คุณระลึกอยู่เสมอ ว่าคุณต้องบริโภคแต่โภชนาการที่ดี แล้วทีนี้คุณก็จะมีการวางแผนก่อนจะหยิบอะไรเข้าปาก คุณอาจบอกว่าการบริโภคตามใจปากคือความสุข แต่การวางแผนก่อนบริโภคนี่ก็ไม่ได้ทำให้ความสุขที่ว่านี้น้อยลงนะคะ ตรงกันข้าม มันกลับจะทำให้คุณพบความสุขในระยะยาวได้มากกว่าด้วยซ้ำ การวางแผนและคิดล่วงหน้า จะช่วยให้เราตัดอาหารที่ไม่จำเป็นออกไป ซึ่งนี่ไม่ใช่การบังคับตัวเองแบบไม่มีเหตุผล แต่มันคือการหาสมดุลระหว่างอาหารที่คุณห้ามใจตัวเองไม่ได้ กับอาหารที่ควรบริโภคเพื่อสุขภาพที่ดี แน่นอนมันไม่มีเหตุผลใดๆที่จะทำให้คุณโยนอาหารใดๆทิ้ง เพียงแต่จำกัดปริมาณและเวลาที่จะบริโภคให้เป็นที่เป็นทางขึ้นเท่านั้น

 

 

2. เคลื่อนไหวร่างกายให้บ่อยขึ้น

 

healthshape003

 

อย่าอ้างว่าร้อนไปหรือหนาวไปทำให้คุณนั่งหรือนอนจมอยู่กับที่เป็นเวลานานๆ เพราะกุญแจสำคัญของสุขภาพดีและรูปร่างผอมเพรียว ก็คือการขยับลุกเดินให้บ่อยๆ และนั่งอยู่กับที่ให้น้อยลง เมื่อรู้แล้วก็ให้หาเรื่องลุกจากโต๊ะทำงานให้มากขึ้น เพราะจากการศึกษาของมหาวิทยาลัยควีนสแลนด์ ออสเตรเลีย ระบุว่า คนที่ลุกจากที่นั่งประจำและเดินไปไหนๆแม้เพียงนาทีเดียวเท่านั้น ก็จะมีเส้นรอบเอวที่น้อยกว่า โดยมีการทดลองกับคน 100 คน และให้ 25 คนที่ใช้เวลาพักเบรกลุกขึ้นเดินไปไหนๆเป็นเวลา 1-2 นาทีทุกๆวัน ในขณะที่อีก 75 คนนั่งติดกับโต๊ะ ก็พบว่าคนกลุ่มแรกจะมีเส้นรอบเอวเฉลี่ยน้อยกว่ากลุ่มหลังถึง 4.1 ซม.ที่เป็นแบบนี้ก็เพราะเวลาที่คุณนั่ง ระบบการไหลเวียนต่างๆของร่างกายก็จะชลอตัวช้าลง โดยเฉพาะระบบการเผาผลาญอาหารที่จะช้าลงถึง 21% ทำให้คุณสะสมแคลอรี่ไว้มากขึ้น

 

3. ฟังเสียงความต้องการของร่างกายให้มากขึ้น

 

healthshape004

 

ในนาทีที่คุณห้ามร่างกายจากการบริโภคอาหารบางอย่าง เมื่อทำแบบนั้น ก็จะทำให้ร่างกายยิ่งหิวโหยและต้องการบริโภคอาหารนั้นๆมากขึ้น เพราะคำว่า “ไม่ได้” จะยิ่งไปสนับสนุนสัญชาตญาณให้พยายามหาทางออกมากขึ้น นี่คือทฤษฎีจิตวิทยาพื้นฐานความต้องการที่เรียกว่า ทฤษฎีแรงต้านทานทางความคิด หรือ Reactance Theory ที่มีอยู่ในสัญชาตญาณของมนุษย์ที่รักอิสระไม่ชอบการถูกบังคับ ดังนั้น การบอกว่า “ไม่ได้” ก็คือการทำให้ความต้องการยิ่งเพิ่มขึ้น วิธีที่ถูกก็คือ ให้จัดระดับความหิวของคุณในเวลานั้นว่ามากแค่ไหนโดยเรตติ้งมันตั้งแต่ 1 -10 และแทนที่จะปฏิเสธการบริโภคอย่างสิ้นเชิง ก็ให้ฟังเสียงร่างกายและบริโภคมันโดยไม่ต้องรู้สึกผิด ยังมีอีกเทคนิคหนึ่งก็คือ หาอาหารทดแทนเพื่อไมให้ร่างกายต้องได้รับแคลอรี่มากเกินไป เช่นหากคุณอยากขนมหวานจัดๆ ก็ให้เปลี่ยนเป็นผลไม้แทนก็จะช่วยได้ หรือใช้ทฤษฎี “ ครึ่งจาน” โดยการเติมผักผลไม้หรือสลัดลงไปและให้ใส่อาหารที่คุณอยากบริโภคเพียงครึ่งจาน ก็เป็นวิธีช่วยประนีประนอมได้อีกวิธีหนึ่ง

 

4. จัดบ้านให้ “เข้าทาง” ของคุณ

 

healthshape002

 

ฟังดูไม่น่าเกี่ยวกัน แต่จริงๆแล้วคุณรู้ไหมคะว่า พฤติกรรมการบริโภคมากเกินไปนี่ บางทีมันก็ไม่ได้อยู่ที่ความต้องการของร่างกาย แต่มันอยู่ที่สภาพแวดล้อมของบ้านหรือออฟฟิศของคุณต่างหาก ที่ทำให้พฤติกรรมการบริโภคอาหารของคุณมากขึ้นเพราะคุณสามารถ “หยิบ” ของใส่ปากได้สะดวกตลอดเวลา เรื่องนี้มีการศึกษาพบว่า ในวันหนึ่งๆเรามีการเลือกเงื่อนไขต่างๆของอาหารที่จะบริโภคนี้มากกว่า 200 ครั้ง เอาง่ายๆเช่น จะทานสลัดหรือมันทอดดี? จะเอาไซส์ใหญ่หรือไซส์กลาง? จะกินให้หมดถุงหรือจะเก็บไว้กินวันหลังต่อดี? ซึ่งการตัดสินใจเลือกคำตอบเหล่านี้ ล้วนมาจากสภาพแวดล้อมในเวลานั้นทั้งสิ้น ดังนั้น หากเราจัดการกับสภาพแวดล้อมให้เหมาะสม เช่นเก็บขนมขบเคี้ยวไว้ในตู้ไม่ให้วางล่อใจ คุณก็จะไม่ต้องหยิบมันใส่ปากได้ง่ายๆจากความเคยชิน แล้วคุณก็จะมีพฤติกรรมการบริโภคที่ดีขึ้น

 

เห็นไหมคะว่าแค่ 4 เรื่องนี้ที่ไม่ยากเย็น แต่มันให้ผลดีมากมายทั้งหุ่นสวยและเรื่องสุขภาพที่ดี นี่ขนาดยังไม่ได้ออกไปเข้ายิมเลยด้วยซ้ำ ลองเริ่มต้นปีใหม่ด้วยการทำตามคำแนะนำเหล่านี้ดูนะคะ รับรองว่าถ้าทำได้ จะเป็นปีนี้หรือปีไหนๆ คุณจะมีรูปร่างสวยและสุขภาพดีได้ไม่ยากเลยค่ะ

12 วิธีลดน้ำหนักแบบคนไม่มีเวลา

 

ใกล้ปีใหม่แล้ว! งานก็ต้องทำ สวยก็ต้องสวย ยิ่งปลายปีงานวิ่งเข้าหาแบบไม่มีเวลาให้ไปเข้าฟิตเนส แล้วจะได้สวยผอมรับปาร์ตี้ปีใหม่กับเขาไหมเนี่ย ไม่เป็นไรค่ะอย่าเพิ่งจิตตก มาบอกวิธีลดน้ำหนักของคนไม่มีเวลาให้แล้ว

 

1. ทิ้งความคิด “ทั้งหมดหรือไม่เลย” ไปจากสมองของคุณ:

เพราะทุกก้าวเล็กๆที่คุณทำเพื่อเดินไปสู่ไลฟสไตล์สุขภาพดีนั้น ล้วนมีผลดีต่อร่างกายคุณทั้งสิ้น นี่คือการระบุของ ดร.เจฟ คาทูลา ผู้ช่วยผู้อำนวยการศูนย์สุขภาพและการออกกำลังกายของมหาวิทยาลัยเวค ฟอร์เรส ประเทศฟินแลนด์ “ คนส่วนใหญ่มักคิดว่า จะต้องใช้เวลาเป็นชั่วโมงๆอยู่ในโรงยิม หรือเข้าคอร์สบริโภคอาหารซูเปอร์ฟู้ดถึงจะมีรูปร่างที่ดีได้ และเมื่อเขาไม่มีเวลาพอ ก็จะล้มเลิกพฤติกรรมสุขภาพดีที่เคยทำอยู่ช่วงสั้นๆนั้นทั้งหมด ” ดร. เจฟบอกว่า แทนที่คุณจะต้องมองหาเวลาว่างให้ได้ตลอดวันเพื่อเข้ายิม แล้วพอไม่มีเวลาก็รู้สึกว่าวันนี้ล้มเหลว ก็ให้เปลี่ยนไปมุ่งที่การดูแลแคลอรี่ของอาหารที่จะบริโภคมื้อต่อไปแทน แบบนี้ก็ได้ เพราะทุกๆการตัดสินใจของคุณในทุกเรื่องที่ได้ทำ นั่นคือโอกาสแห่งสุขภาพดีของตัวเองทั้งสิ้น นี่คือตัวอย่าง

 

2. บริโภคอาหารปริมาณน้อยลง:

 

healthdiet003

 

คุณไม่จำเป็นต้องทำอาหารไปบริโภคเองเพื่อจะลดน้ำหนัก เพราะสิ่งที่คุณต้องการจริงๆก็คือ การบริโภคอาหารแต่ละมื้อในปริมาณที่น้อยลงกว่าเดิม คนโดยมากจะต้องการอาหาร 1,200 และ 1,500 แคลอรี่ต่อวัน ถ้ากำลังอยู่ในช่วงลดน้ำหนักอย่างมีคุณภาพและไม่ให้เกิดโยโย่เอฟเฟ็คท์ การบริโภคในปริมาณเหมาะสม งดของหวาน คือวิธ๊ง่ายที่สุดที่จะลดการนำแคลอรี่เข้าสู่ร่างกายมากเกินไป

 

3. อย่างดมื้ออาหาร:

มันอาจฟังดูตรงข้ามกันที่บอกว่าให้บริโภคน้อยลงแต่ไม่ให้งดมื้ออาหาร แต่ถ้ายิ่งคุณทำงานจนไม่มีเวลา คุณก็ยิ่งต้องการแคลอรี่ที่สม่ำเสมอในช่วงทำงานตลอดวัน นี่คือการระบุของเจสสิกา บาร์ทฟิลด์ ผู้อำนวยการศูนย์สุขภาพระบบการเผาผลาญอาหาร มหาวิทยาลัยโลโยต้า เมืองชิคาโก สหรัฐอเมริกา ถ้าร่างกายทำงานนานกว่า 4-5 ชั่วโมงโดยไม่มีการเติมพลังงานให้เลย มันก็จะไปชะลอระบบการเผาผลาญอาหารของคุณให้ช้าลง ส่งผลกับฮอร์โมนและระดับอินซูลินในร่างกาย “ คนไข้โรคอ้วนส่วนใหญ่ไม่ได้บริโภคอาหารมากเกินไปเสมอไป แต่มันเป็นเพราะแพทเทิร์นการบริโภคอาหารของร่างกายของเขาได้เกิดความผิดปกติ สะสมมานานจากพฤติกรรมประจำวัน เช่นดื่มกาแฟหนึ่งถ้วยตอนเช้าและไม่มีอาหารใดๆตกถึงท้องอีกเลยจนบ่าย ซึ่งเราควรเลี่ยงพฤติกรรมนี้และรักษาตารางการบริโภคให้คงที่เสมอ”

 

4. เคลื่อนไหวร่างกายให้มากขึ้น:

 

healthdiet002

 

การออกกำลังกายให้ได้วันละ 30 ถึง 60 นาทีนั้นดีมาก แต่มันก็ไม่ง่ายที่เราจะทำแบบนี้ได้บ่อยๆ ซึ่งความจริงแล้ว มันไม่ผิดถ้าหากคุณจะย่อยช่วงเวลาออกกำลังกายนี้ให้เป็นเวลาย่อยๆหลายๆครั้งต่อเนื่องตลอดวัน แทนที่จะทำมันเพียงครั้งเดียวรวดในหนึ่งวัน คุณอาจยืดหยุ่นร่างกายตอนเช้า 10 นาที, และเดินออกกำลังในมื้อเที่ยงอีก 10 นาที, และออกกำลังอีก 10 นาทีตอนกลางคืน ถ้าคุณทำแบบนี้ได้ต่อเนื่อง 5 วันต่อสัปดาห์ คุณก็จะมีรูปร่างที่ดีตามเป้าหมายได้เหมือนกัน ให้คิดถึงเรื่องการเผาผลาญแคลอรี่ว่าเหมือนกับที่เราเก็บเงินนั่นแหละ เราจะเก็บออมทีละน้อยๆหยอดกระปุกจนได้เงินก้อนใหญ่ ซึ่งเรื่องสุขภาพก็เช่นเดียวกัน ถ้าเราทำสม่ำเสมอ

 

5. ใช้อาหารทดแทนเพื่อสุขภาพที่ดีกว่า:

ให้คิดถึงการเลือกประเภทอาหารที่จะบริโภคด้วย มันมีสิ่งเล็กๆน้อยๆที่คุณสามารถปรับเปลี่ยนเพื่อลดปริมาณแคลอรี่ที่บริโภคเข้าไปได้ อย่าลืมคิดถึงเครื่องดื่มของคุณ หากเปลี่ยนน้ำอัดลมมาเป็นน้ำโซดาใส่มะนาวหรือเป็นไดเอ็ตโซดา คุณก็จะได้รับน้ำตาลน้อยลง ทำให้ลดน้ำหนักลงไปได้หลายกิโลกรัม

 

6. อย่านั่งถ้าคุณสามารถจะยืนได้:

การนั่งนานๆเป็นผลเสียต่อระบบหัวใจ ระบบสมอง และแน่นอนกับเส้นรอบเอวของคุณ ดังนั้น ให้เปลี่ยนจากการนั่งมาเป็นการยืน หรือทำอย่างอื่นที่ต้องเคลื่อนไหวร่างกายแทน เพื่อให้คุณเผาผลาญแคลอรี่ได้ดีขึ้น “ การยืนจะไม่ได้ทำให้คุณลดน้ำหนักเพิ่มขึ้น แต่มันทำให้คุณรักษาน้ำหนักไว้ได้คงที่” นี่คือการระบุของ ดร.บาร์ธฟิลด์ ดังนั้น ให้หาโอกาสยืนให้มากที่สุด

 

7. แน่ใจว่านอนหลับพักผ่อนเพียงพอ:

 

healthdiet005

 

ถ้ารู้สึกง่วงเหงาหาวนอนเป็นประจำในทุกๆวัน อาจเป็นเพราะการที่คุณพยายามตื่นเช้ามากเกินไป หากคุณกำลังลดน้ำหนักโดยบริโภคให้น้อยลงและเคลื่อนไหวร่างกายให้มากขึ้นอยู่ละก็ ให้คิดถึงเรื่องปริมาณการนอนหลับในจำนวนชั่วโมงที่เหมาะสมด้วย เพื่อให้คุณสามารถลดน้ำหนักได้ดีกว่า

 

8. ใช้วันหยุดสุดสัปดาห์อย่างฉลาด:

ในช่วงเวลาของวันหยุดยาว ที่คุณเคยรวมกลุ่มเพื่อนสนิทไปเที่ยวด้วยกัน มาเป็นการนัดทานอาหารที่ร้านอาหารสุขภาพ หรือชวนไปออกกำลังกายด้วยกันเป็นกลุ่มในตอนวันหยุด ทำแบบนี้ก็จะได้ทั้งสุขภาพดีและสนุกด้วย ถือเป็นการใช้วันหยุดได้คุ้มค่า

 

9. ใช้ไฮเทคช่วย:

 

healthdiet004

 

เวลาไดเอ็ต เรามักไม่อดทนในการจดบันทึกรายละเอียดต่างๆ ทั้งจำนวนแคลอรี่อาหารที่บริโภคเข้าไป, แคลอรี่ที่ถูกเผาผลาญ, ตลอดจนวิธีการขั้นตอนต่างๆที่เราทำ ซึ่งด้วยเหตุผลนี้เองที่ทำให้แอพและอุปกรณ์ช่วยต่างๆถูกประดิษฐ์ขึ้น แอพและอุปกรณ์เสริมในการออกกำลังกายเหล่านี้ จะช่วยเรื่องการจดจำสถิติและการติดตามผล ทำให้คุณวางโปรแกรมออกกำลังกายได้ง่ายขึ้น ทั้งการวางแผน หรือการมุ่งไปสู่เป้าหมายของแคลอรี่ที่ต้องการ การใช้อุปกรณ์เหล่านี้จะช่วยเตือนให้คุณเคลื่อนไหวร่างกายมากขึ้นด้วย

 

10. ใช้โซเชียลมีเดียช่วย:

เอาเวลาทั้งหมดที่คุณใช้ดูเฟซบุค ทวิตเตอร์มาทำให้เป็นประโยชน์ดีกว่า จากการศึกษาของมหาวิทยาลัยอิมพีเรียลคอลเลจในลอนดอนในปี 2014 พบว่า การใช้โลกออนไลน์ช่วยเรื่องการลดน้ำหนัก เป็นวิธีที่สามารถซื้อหาได้และใช้ได้ผลจริง สามารถช่วยให้เราลดน้ำหนักได้ดีขึ้น เพราะการที่คุณได้พูดเรื่องนี้ของคุณในออนไลน์ จะทำให้คุณมุ่งมั่นกับกิจกรรมนี้มากขึ้น และช่วยให้คุณมีกลุ่มสังคมที่ทำกิจกรรมนี้ด้วยกัน ทำให้สนุกกับการลดน้ำหนักมากขึ้นจนสำเร็จ

 

11. บริโภคไฟเบอร์ให้มากขึ้น:

นี่คือเคล็ดลับลดน้ำหนักที่ไม่ต้องใช้เวลาใดๆเพิ่มขึ้นเลย แค่คุณบริโภคไฟเบอร์ให้ได้วันละ 30 กรัมเท่านั้น แต่ต้องเป็นไฟเบอร์จากอาหาร ไม่ใช่จากผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร คนที่ทำแบบนี้เป็นเวลา 1 ปีจะลดน้ำหนักได้เท่ากับคนที่ลดด้วยการใช้โปรแกรมวางแผนอาหาร ใครที่รู้สึกว่ามันยากในการทำตามคำแนะนำโปรแกรมไดเอ็ตต่างๆ ก็ให้บริโภคไฟเบอร์ให้มากขึ้น สิ่งนี้แค่เรื่องเดียวเลยที่จะช่วยให้คุณลดน้ำหนักลงได้ผล ” เลือกอาหารที่อุดมด้วยไฟเบอร์อย่างเช่นธัญพืชต่างๆ, ถั่วเปลือกนิ่ม,ผักและผลไม้, พวกนี้จะทำให้คุณอิ่มเร็วและมีพื้นที่ในกระเพาะอาหารเหลือน้อยที่จะใส่อาหารขยะ

 

12. รับมือความเหนื่อยล้าให้ได้ :

ยิ่งใกล้สิ้นปีงานยิ่งหนักขึ้น วิธีที่คุณจะรับมือได้ก็คือให้นึกเสมอว่า ความเหนื่อยล้าที่เกิดขึ้นนี้ หมายถึงการเพิ่มของเส้นรอบเอวของคุณด้วย และมันก็มี 3 เรื่องที่ส่งผลกับน้ำหนักตัว ซึ่งคุณจะต้องควบคุมให้ได้ นั่นก็คือ คุณบริโภคอะไร, คุณเคลื่อนไหวร่างกายอย่างไร, และคุณรับมือกับความเหนื่อยด้วยวิธีใด ความเหนื่อยล้าคือเรื่องหลักที่ส่งผลกับการเจริญอาหาร และกระบวนการเผาผลาญแคลอรี่ที่บริโภคเข้าไป เมื่อรู้สึกเหนื่อยล้าสิ่งที่ควรทำก็คือ นั่งพักผ่อนให้หายเหนื่อย หรือหากิจกรรมที่ไม่ใช่การสั่งอาหารจำนวนมากบริโภคเพื่อใช้มันผ่อนคลายความเหนื่อยล้าของคุณ

 

รู้เคล็ดลับเหล่านี้แล้ว ก็อย่าลืมทำมันให้สม่ำเสมอวันละเล็กละน้อย จะได้สวยสุขภาพดีรับช่วงเทศกาลกันได้ทุกคนนะคะ

เมื่อพระจันทร์คืนเพ็ญส่งผลต่อสุขภาพร่างกายคุณ

 

ยังจำนิทานเรื่องมนุษย์หมาป่าที่จะกลับคืนร่างในคืนพระจันทร์เต็มดวงกันได้ไหมคะ อย่าเพิ่งตกใจถ้าจะบอกว่า ไม่ใช่แต่มนุษย์หมาป่าเท่านั้น ที่ร่างกายจะมีการเปลี่ยนแปลงจากอิทธิพลของพระจันทร์เต็มดวงในคืนเพ็ญ แต่ร่างกายของมนุษย์เราทุกคน ก็มีการเปลี่ยนแปลงของสุขภาพที่เกิดขึ้นจากอิทธิพลของพระจันทร์ด้วยเช่นกัน

 

ในคืนพระจันทร์เต็มดวง จะเป็นคืนที่พระจันทร์โคจรอยู่ใกล้โลกมากที่สุด แรงดึงดูดระหว่างโลกและดวงจันทร์ ไม่ได้ส่งผลแค่กับพื้นดินและผืนน้ำเท่านั้น แต่ยังมีผลที่เกิดขึ้นกับร่างกายมนุษย์ด้วย จากขนาดความใหญ่และแสงสว่างที่มากกว่าเวลาปกติที่จะเห็นได้ตั้งแต่แรกที่โผล่ขึ้นมาบนท้องฟ้านั่นเอง องค์การนาซาระบุว่า ปรากฏการณ์พระจันทร์เต็มดวงและซูเปอร์มูน (supermoon) บางครั้งจะเกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวในหนึ่งปี แต่บางครั้งก็อาจจะเกิดมากกว่านั้นก็ได้ เช่นในปี 2013 ที่ผ่านมา ได้มีปรากฏการณ์ซูเปอร์มูนนี้เกิดขึ้นถึง 3 ครั้งซึ่งนับว่ามากที่สุด ซึ่งก็จะมี 4 เรื่องหลักของสุขภาพเหล่านี้ที่พระจันทร์จะมีอิทธิพลกับเรา

 

ความช้าหรือเร็วของวงจรการมีรอบเดือน:

 

healthmoon03

 

โดยปกติแล้ว วงจรการมีรอบเดือนของผู้หญิงจะอยู่ที่ 28 วันต่อครั้ง ซึ่งเมื่อพิจารณาดูแล้วก็พบว่า มันใกล้เคียงแทบจะเป็นวงจรเดียวกับรอบการโคจรของดวงจันทร์คือ 29 วัน ได้มีการทดลองกับอาสาสมัครผู้หญิงจำนวน 826 คน ที่มีอายุในช่วง 16 ถึง 25 ปี ซึ่งเป็นวัยเจริญพันธุ์ เพื่อศึกษาถึงความเกี่ยวข้องของการมีรอบเดือนกับวงจรการโคจรของพระจันทร์ ซึ่งจากการทดลองนี้ได้พบว่า เกือบทั้งหมดของผู้หญิงเหล่านี้จะมีรอบเดือนในช่วงเวลาเดียวกับในวันที่พระจันทร์เต็มดวง โดยที่ผู้หญิงกลุ่มที่มีรอบเดือนในระหว่างช่วงอื่นๆของพระจันทร์จะมีอยู่เพียง 12.5% ของผู้หญิงทั้งหมดที่เข้าร่วมการทดลองนี้

 

การเพิ่มขึ้นของอัตราการเกิดของเด็กทารก:

 

healthmoon02

 

โดยเฉพาะปรากฏการณ์ซูเปอร์มูนที่สามารถทำให้เกิดสิ่งที่ว่านี้ให้เป็นไปได้มากขึ้น จากการวิจัยที่ติดตามผลของการเกิดของทารก 1,000 รายในโรงพยาบาลเอกชนของเมืองเกียวโต ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่มารดายังอยู่ในช่วงระหว่างรอดูอาการใกล้คลอดอยู่ และก็ได้พบว่ามีทารกจำนวนมากได้ถือกำเนิดขึ้นมาในเวลาใกล้กับที่พระจันทร์เต็มดวงมากที่สุด นั่นคือช่วงแวลาที่แรงดึงดูดระหว่างโลกกับดวงจันทร์มีพลังแรงมากที่สุดด้วย ซึ่งเหตุการณ์แบบนี้จะพบในอัตรามากขึ้นไปอีก เมื่อมันเป็นปรากฏการณ์ของซูเปอร์มูน ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องแรงดึงดูดของโลก

 

การส่งผลต่อระบบการนอนหลับของคุณ:

 

healthmoon05

 

หากคุณรู้สึกว่านอนหลับยากขึ้นในช่วงที่พระจันทร์เต็มดวง มันเป็นแบบนั้นจริงๆไม่ใช่ว่าคุณคิดไปเอง จากการศึกษาเกี่ยวกับวงจรนาฬิกาชีวภาพของร่างกาย โดยการให้อาสาสมัครใช้เวลา 3 วันครึ่ง อยู่ในห้องแล็บทดลองเกี่ยวกับการนอนหลับ ซึ่งเป็นห้องที่ไม่มีนาฬิกา และอาสาสมัครก็จะไม่ได้เห็นแสงภายนอกใดๆเลย ในที่นั้น อาสาสมัครจะได้รับอนุญาตให้นอนหลับและตื่นขึ้นเหมือนกับเวลาปกติที่เขาเคยทำในกิจวัตรประจำวัน การวิจัยของสวิตเซอร์แลนด์ ได้เก็บข้อมูลการนอนหลับจากอาสาสมัครจำนวน 33 คน นำมาเปรียบเทียบกับระยะเวลาข้างขึ้นแรมของดวงจันทร์ ซึ่งก็ได้พบว่าในเวลา 4 วันของช่วงก่อนและหลังจากพระจันทร์เต็มดวง อาสาสมัครเหล่านี้จะต้องใช้เวลานานกว่าปกติ 5 นาที กว่าที่เขาจะสามารถหลับได้ตามปกติ นอกจากนี้ ผลการทดลองโดยรวมยังพบว่า ในคืนพระจันทร์เต็มดวง ยังทำให้เวลาการนอนของอาสาสมัครเหล่านี้น้อยลงกว่าที่เคยถึง 20 นาที และมีอัตราการหลับลึกได้น้อยกว่าปกติถึง 30% นอกจากนี้ พวกเขาก็ยังมีระดับคุณภาพการนอนหลับที่ด้อยลงอีกด้วยสิ่งนี้แสดงถึงการที่พระจันทร์มีผลต่อระดับฮอร์โมนเมลาโทนินของร่างกายเรา นี่คือการทดลองเพื่อระบุถึงความเกี่ยวโยงกันของการนอนหลับขอมนุษย์กับวงจรนาฬิกาข้างขึ้นข้างแรมของดวงจันทร์

 

การฟื้นตัวของร่างกายจากการผ่าตัด:

 

healthmoon04

 

จากการศึกษาเรื่องนี้พบว่า คนไข้ที่มีเคสผ่าตัดด่วนเกี่ยวกับโรคหัวใจที่เรียกว่า acute aortic dissection repair ซึ่งหมายถึงมีภาวะการฉีกขาดของหลอดเลือด หากมีการผ่าตัดเกิดขึ้นในระหว่างที่พระจันทร์เต็มดวง คนไข้จะใช้เวลาอยู่ในโรงพยาบาลหลังการผ่าตัดเป็นระยะเวลาที่สั้นกว่าและมีอัตราการเสียชีวิตน้อยกว่าคนไข้ที่ได้รับการผ่าตัดแบบเดียวกันในช่วงเวลาอื่นๆของการโคจรของดวงจันทร์ จากการศึกษาเมื่อปี 2013 ระบุว่า คนไข้ที่ได้รับการผ่าตัดระหว่างพระจันทร์เต็มดวง จะอยู่โรงพยาบาลเพื่อพักฟื้นหลังการผ่าตัดประมาณ 10 วัน ซึ่งสั้นกว่าอัตราเฉลี่ยของคนไข้ที่ได้รับการผ่าตัดแบบเดียวกันนี้ในช่วงเวลาอื่นๆของวงจรการโคจรของดวงจันทร์ ที่ปกติจะใช้เวลาประมาณ 14 วัน แต่ที่โชคร้ายก็คือ การที่เราเลือกไม่ได้ว่าร่างกายจะเกิดอาการของโรคหัวใจที่ว่านี้ขึ้นเมื่อไหร่

 

เล่ามาทั้งหมดถึงตอนนี้ ก็ทำให้นึกว่า ธรรมชาติทุกสิ่งมีความสำคัญ เพราะเป็นสิ่งที่มีผลต่อร่างกายและสุขภาพของเราทั้งสิ้น ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปเวลามองพระจันทร์ ก็คงจะบอกแต่ว่า “จันทร์เจ้า ขอข้าวขอแกง” อย่างเดียวไม่พอเสียแล้ว ใครมองพระจันทร์คืนนี้ อย่าลืมขอสุขภาพดีจากพระจันทร์ให้ตัวเราด้วยนะคะ