10 เหตุผลที่ผู้หญิงญี่ปุ่นดูหุ่นดีไม่มีแก่

 

ชาวญี่ปุ่น ได้ชื่อว่ามีความหวังเรื่องมาตรฐานสุขภาพและชีวิตที่สูงมาก สังเกตไหมว่าผู้หญิงญี่ปุ่นไม่ว่าอายุเท่าไหร่ ก็มักจะหารูปร่างแบบโอเวอร์ไซส์ได้ยากมาก แถมยังดูอ่อนเยาว์กว่าอายุจริงด้วย ต้องยกความดีให้ไลฟสไตล์ของพวกเธอ โดยเฉพาะเรื่องอาหารที่ผู้หญิงญี่ปุ่นไม่ได้ต้องการแค่ความอร่อย แต่มันจะต้องเสริมสร้างสุขภาพที่ดีให้ด้วย และนี่คือเหตุผลที่ทำให้ผู้หญิงญี่ปุ่นห่างไกลคำว่าอ้วนและแก่

 

healthjapan04

 

1. พวกเธอดื่มชาเขียว: ผงชาเขียวของญี่ปุ่น อุดมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยชลอความชราและช่วยลดน้ำหนัก ลดความเสี่ยงการเกิดโรคมะเร็งและโรคหัวใจอีกด้วย งานวิจัยพบว่าชาวญี่ปุ่นที่บริโภคชาเขียวจะสามารถลดความเสี่ยงการเสียชีวิตจากโรคหลอดเลือดลงได้ถึง 26% สำหรับผู้ที่ดื่มชาเขียว 5 ถ้วยเป็นประจำทุกวัน

 

2. พวกเธอบริโภคอาหารหมัก: มิโสะ (miso), เต้าหู้หมัก (tempeh), ชาดำหมัก (kombucha)เป็นอาหารประจำครัวของชาวญี่ปุ่น อาหารเหล่านี้ผ่านกระบวนการหมักแลคโตบาซิลัส ที่สงวนคุณค่าโภชนาการและสร้างเอนไซม์ดีต่อสุขภาพ, กรดไขมันโอเมก้า -3 , วิตามิน,โปรไบโอติกที่ดีต่อระบบการย่อย ช่วยลดน้ำหนักและขับสารพิษ

 

3. พวกเธอบริโภคอาหารทะเล: เนื้อสัตว์แดงเป็นสาเหตุปัญหาสุขภาพ เช่นคอเลสเตอรอลสูง, โรคอ้วน, โรคติดเชื้อต่างๆ คนญี่ปุ่นจึงบริโภคอาหารทะเลเป็นประจำเช่นปลาแซลมอน, ทูน่า, แมคเคอเรล ที่อุดมด้วยโอเมก้า-3 มีประโยชน์ต่อหัวใจ, สมองและระบบร่างกาย ช่วยลดการสะสมไขมันหน้าท้อง แก้ปัญหาสิวและโรคภูมิแพ้ผิวหนัง

 

healthjapan03

 

4. พวกเธอบริโภคในปริมาณน้อย: คนญี่ปุ่น จะฝึกบริโภคอาหารปริมาณน้อยๆตั้งแต่เด็กๆ พวกเขาเชื่อว่ายิ่งบริโภคน้อยไหร่ก็จะมีน้ำหนักส่วนเกินน้อยลงเท่านั้น และก็จะใช้สิ่งนี้ในการนำเสนออาหารด้วยเช่น จะไม่ตักอาหารจนเต็มล้นจาน, จะไม่เสิร์ฟอาหารจานใหญ่ๆ, จะเลือกบริโภคแต่อาหารที่สดใหม่เสมอ และจะตกแต่งอาหาร โดยโชว์ความสดตามธรรมชาติเท่านั้นทั้งสีและวิธีปรุง

 

5. พวกเธอเดินมากและบ่อยเมื่อไปไหนๆ คนญี่ปุ่นทั้งชายและหญิงจะใช้การเดินเป็นหลัก ซึ่งสิ่งนี้ดีต่อสุขภาพที่สุดถ้าคุณต้องการจะลดน้ำหนัก การเดินช่วยพัฒนาสุขภาพของหลอดเลือด ช่วยคลายความเหนื่อยล้าทั้งช่วยกระตุ้นระดับพลังงานและอารมณ์ให้ดีขึ้นด้วย

 

6. พวกเธอไม่เดินไปพร้อมๆกับบริโภคอาหาร: คนญี่ปุ่นรู้สึกว่าการเดินบริโภคอาหารเป็นกิริยาที่ไม่เหมาะสม พวกเขาถือว่าเวลามื้ออาหารเป็นเวลาของความสงบที่สำคัญพอๆกับการเตรียมตัวสวดมนต์ และจะบริโภคช้าๆเพื่อให้เวลากระเพาะอาหารในการส่งสัญญาณไปยังสมอง ว่าได้รับอาหารเพียงพอหรือยังอีกด้วย

 

7. พวกเธอบริโภคอาหารที่มีหลักการปรุงที่ดี : นอกจากการใช้วัตถุดิบที่ดีต่อสุขภาพแล้ว คนญี่ปุ่นก็ยังใช้หลักการปรุงอาหารที่ดีต่อสุขภาพอีกด้วย โดยจะหลีกเลี่ยงการใช้น้ำมันมากๆเปลี่ยนเป็นใช้การย่าง, การต้มหรือนึ่ง, หรือบริโภคในแบบสดๆเพื่อสงวนคุณค่าโภชนาการไว้ให้มากที่สุด

 

8. พวกเธอฝึกหัดศิลปป้องกันตัว: คนญี่ปุ่นส่วนใหญ่ฝึกหัดศิลปะป้องกันตัวทั้งยูโด, อิโด, คาราเต้ ฯลฯ ซึ่งดีต่อการพัฒนาความฟิตของร่างกาย พัฒนาสุขภาพหลอดเลือดและความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อ ทั้งช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อ, ช่วยลดน้ำหนักและชลอกระบวนการความชราให้ช้าลงด้วย

 

healthjapan02

 

9. พวกเธอหลงรักการอาบน้ำแร่ร้อน: นี่คือสิ่งที่คนญี่ปุ่นฝึกมาตั้งแต่เด็ก ให้เข้าใจคุณสมบัติของน้ำพุร้อนธรรมชาติ ที่ช่วยดูแลสุขภาพด้วยแร่ธาตุที่มีประโยชน์ การอาบน้ำแร่น้ำพุร้อน ช่วยให้ร่างกายดูดซึมสารที่ดีต่อสุขภาพเช่นแคลเซียม, ซิลิกา,แมกนีเซียมและไนอาซิน ซึ่งจะไปพัฒนาการไหลเวียนของโลหิตและออกซิเจนให้สะดวกขึ้น, ช่วยให้นอนหลับดีขึ้นและลดความเหนื่อยล้า ซึ่งคนญี่ปุ่นจะอาบน้ำแร่น้ำพุร้อนอย่างน้อยเดือนละสองครั้ง

 

10. พวกเธอบริโภคของหวานที่ดีต่อสุขภาพ: เมื่อมื้ออาหารจบลง สิ่งที่ผู้หญิงญี่ปุ่นชอบมากกว่าก็คือผลไม้ พวกเธอจะเลี่ยงขนมทำจากแป้งขัดขาวและคาราเมลที่ทำให้น้ำหนักขึ้น ขนมหวานของพวกเธอมักทำจากแป้งบัควีต, ผลไม้สดหรือมันเทศหวาน และถ้าบริโภคขนมหวานแบบตะวันตก เธอก็จะบริโภคในปริมาณน้อยที่สุด

 

การดูแลตัวเองให้มีสุขภาพดี ก็เหมือนกับการจัดบ้าน ถ้าเราทำทุกวันไม่ละเลย บ้านก็จะสะอาดเรียบร้อย การมีสุขภาพดีก็เช่นกัน แค่เราใส่ใจกับสิ่งเล็กๆน้อยๆของกิจวัตรประจำวันที่ทำ เพราะสิ่งเล็กๆเหล่านี้เมื่อรวมกันเข้า ก็จะเป็นผลกำไรต่อสุขภาพอย่างคาดไม่ถึงทีเดียว แล้วทีนี้ผู้หญิงไทย ก็จะสวยสุขภาพดีไม่แพ้ใครแน่นอนค่ะ

ระวังอาหารเหล่านี้…ที่ทำร้ายระบบเมตาบอลิซึ่มของคุณ

 

เวลาไปซื้ออาหารในซูเปอร์มาร์เก็ต แน่นอนที่เราจะเลือกแต่สิ่งดีๆต่อสุขภาพ แต่อาหารบางชนิดที่เราเชื่อว่าดีต่อสุขภาพนั้น นอกจากจะไม่ให้ประโยชน์แล้ว ยังมีผลเสียต่อระบบเผาผลาญอาหารของเราเสียอีก มาดูแลตัวเองด้วยการเลี่ยงอาหารสำเร็จรูป 6 ชนิดนี้ ที่ทำให้เกิดความเสี่ยงต่อระบบเผาผลาญอาหารและระบบการย่อย

 

1. น้ำผลไม้พร้อมดื่ม: มักจะเต็มไปด้วยน้ำตาลและสารเคมีนานาชนิด ทำให้อ้วนและมีปัญหาสุขภาพตามมา การสำรวจพบว่า ในน้ำผลไม้สำเร็จรูปปริมาณ 18 ออนซ์หนึ่งแก้ว จะมีน้ำตาลอยู่ 30 กรัม ในขณะที่น้ำผลไม้แบบโซดาจะมีน้ำตาลอยู่ราวๆ 28 กรัม นอกจากนี้ ก็ยังมีคอร์นไซรัป เด็กซ์โตรส, ฟรุคโตส รวมทั้งปริมาณน้ำผลไม้เข้มข้นที่ผสมอยู่ด้วย มันจึงไม่ได้ “สด” อย่างที่คุณคาดหวัง

 

วิถีธรรมชาติ: ทำน้ำมะนาวดื่มเองโดยใช้น้ำมะนาวคั้นจากผล ผสมกับน้ำสะอาดและสเตเวีย (stevia) ซึ่งเป็นหญ้าหวานจากธรรมชาติ ที่หาซื้อได้ในร้านขายผลิตภัณฑ์สุขภาพทั่วไปจะดีกว่า หรือไม่ก็ดื่มชาสมุนไพรใส่น้ำผึ้งธรรมชาติ, น้ำมะพร้าวสดจากผลของมัน หรือทำน้ำแช่ผลไม้สดต่างๆเช่น สตรอเบอร์รี่, เลมอน, หรือสมุนไพรต่างๆที่เรียกว่า อินฟิวชั่น ดื่มเพื่อความสดชื่นและสุขภาพดี

 

2. โฮลเกรนสำเร็จรูป: เป็นอาหารที่เสี่ยงต่อระบบการย่อยมากที่สุด จากส่วนผสมของกลูเตน แป้งมันสำปะหลัง และกรดไฟติก (phytic acid) ที่พบในส่วนผสมของขนมปังจากข้าวสาลี ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นสารที่ก่อให้เกิดการติดเชื้อของร่างกาย นอกจากนี้ มันยังยากที่ร่างกายจะดูดซึมแร่ธาตุและวิตามินจากมันอีกด้วย ผลิตภัณฑ์อาหารที่มีส่วนประกอบเหล่านี้ที่ควรระวังได้แก่ ขนมปัง, พาสต้า, ซีเรียล, แคร็กเกอร์,ขนมหวาน, ขนมขบเคี้ยวต่างๆ และกราโนลาบาร์สำเร็จรูป

 

วิถีธรรมชาติ: เลือกขนมปังที่ทำจากเมล็ดสเปราท์ที่มีชื่อว่า Ezekiel หรือขนมปังที่ทำจากแป้งยีสต์หมักที่เรียกว่า ซาวร์โด (Sourdough) หรือผลิตภัณฑ์อาหารที่ทำจากแป้งมะพร้าวแทนแป้งสาลี ผลิตภัณฑ์เหล่านี้จะมีไฟเบอร์สูงและมีกรดไขมันที่ร่างกายนำไปใช้ได้ดีกว่า

 

3. สารทดแทนความหวานวิทยาศาสตร์: แอสพาแตม (Aspartame) ได้ถูกพบว่าเกี่ยวข้องกับปัญหาสุขภาพมากมายถึง 92 เรื่องด้วยกัน ในขณะที่สารซูคราโลสและแอสพาแตม จะไปกระตุ้นความอยากอาหาร ทำให้เพิ่มความอยากบริโภคคาร์โบไฮเดรตมากขึ้นด้วย

 

วิถีธรรมชาติ: สเตเวีย( Stevia) เป็นหญ้าหวานที่ให้ความหวานธรรมชาติและไม่มีแคลอรี่ หรือใช้น้ำผึ้งธรรมชาติจะดีกว่า

 

healthbeta03

 

4. น้ำมันคาโนลา (Canola Oil): น้ำมันนี้จะไปชลอระบบการเผาผลาญไขมัน ทำให้เกิดการสะสมไขมันที่ร่างกายไม่ต้องการเอาไว้ นอกจากนี้ มันยังถูกผลิตโดยการเติมไฮโดรเจนเข้าไปในส่วนผสม ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงโมเลกุลโครงสร้างและทำให้เกิดการติดเชื้อได้ง่ายขึ้น ทั้งยังขัดขวางการทำงานของระบบเมตาบอลิซึ่มและฮอร์โมนต่างๆ

 

วิถีธรรมชาติ: น้ำมันมะพร้าว มีกรดไขมันที่ดีในปริมาณสูง ช่วยให้ระบบเผาผลาญอาหารมีประสิทธิภาพดี

 

5. เนยถั่ว: ถั่วลิสงส่วนมากมักปลูกในดินและเก็บไว้ในไซโลที่มีความชื้นสูง ทำให้มีโอกาสเกิดเชื้อราอะฟลาท็อกซิน ซึ่งมีผลต่อปัญหาของลำไส้ที่เชื้อรานี้จะไปรบกวนจุลินทรีย์โปรไบโอติค ทำลายระบบการย่อย นอกจากนี้ ถั่วลิสง ยังอุดมด้วยกรดไขมันโอเมก้า -6 ที่ทำให้ร่างกายติดเชื้อได้ง่ายขึ้นอีกด้วย

 

วิถีธรรมชาติ: เลือกเนยหรือผลิตภัณฑ์ที่ทำจากถั่วอัลมอนด์ ที่อุดมด้วยกรดอมิโน เพิ่มคุณภาพการย่อยที่ดีให้กับร่างกาย ช่วยสร้างกล้ามเนื้อและเพิ่มอัตราการเผาผลาญอาหารให้ดีขึ้นอีกด้วย

 

healthbeta02

 

6. กราโนลา: ของว่างชนิดนี้ทำจากธัญพืชและน้ำตาลเป็นหลัก และบ่อยครั้งที่น้ำผึ้งที่ใช้ในกราโนลาก็ถูกพบว่ามันไม่มี สารอาหารที่มีประโยชน์ใดๆ เนื่องจากได้ผ่านการพาสเจอร์ไรส์ด้วยความร้อนสูงมาแล้ว ในกราโนลา ยังประกอบด้วยสารกลูเตน, กรดไฟติกที่เพิ่มความเสี่ยงการติดเชื้อของร่างกาย และน้ำผึ้งสำเร็จรูป ทั้งหมดคือจุดจบของระบบการเผาผลาญอาหารของคนที่บริโภคมันเข้าไป

 

วิถีธรรมชาติ: มาทำกราโนลาบริโภคเองกันดีกว่า แช่เมล็ดอัลมอนด์, มะม่วงหิมพานต์, ถั่วพีแคนและเมล็ดเจียในน้ำสะอาด 8 ชั่วโมง จากนั้นนำมาตากให้แห้ง ผสมกับน้ำผึ้งธรรมชาติ, ลูกเกด, เกล็ดมะพร้าว, อบเชยและถั่วที่ผสมเกลือทะเล ตัดเป็นชิ้นๆเข้าเตาอบหรือเครื่องอบอาหารแห้ง เท่านี้ก็ได้กราโนลาที่มีประโยชน์ไว้บริโภคแล้ว

 

เพราะอาหารคือจุดเริ่มต้นของสุขภาพที่ดี คำว่า “You are what you eat” ยังคงใช้ได้ดีเสมอ การอ่านส่วนประกอบของอาหารสำเร็จรูปทุกครั้งก่อนนำมันมาบริโภค คือสิ่งที่ควรทำทุกครั้งเวลาไปซื้อหาอาหาร ถ้าทำได้อย่างนี้ ก็จะทำให้คุณเข้าใจผลิตภัณฑ์ที่ซื้อไปและเลือกสรรสิ่งที่ดีอย่างแท้จริงต่อสุขภาพคุณแน่นอนค่ะ

เมื่อพระจันทร์คืนเพ็ญส่งผลต่อสุขภาพร่างกายคุณ

 

ยังจำนิทานเรื่องมนุษย์หมาป่าที่จะกลับคืนร่างในคืนพระจันทร์เต็มดวงกันได้ไหมคะ อย่าเพิ่งตกใจถ้าจะบอกว่า ไม่ใช่แต่มนุษย์หมาป่าเท่านั้น ที่ร่างกายจะมีการเปลี่ยนแปลงจากอิทธิพลของพระจันทร์เต็มดวงในคืนเพ็ญ แต่ร่างกายของมนุษย์เราทุกคน ก็มีการเปลี่ยนแปลงของสุขภาพที่เกิดขึ้นจากอิทธิพลของพระจันทร์ด้วยเช่นกัน

 

ในคืนพระจันทร์เต็มดวง จะเป็นคืนที่พระจันทร์โคจรอยู่ใกล้โลกมากที่สุด แรงดึงดูดระหว่างโลกและดวงจันทร์ ไม่ได้ส่งผลแค่กับพื้นดินและผืนน้ำเท่านั้น แต่ยังมีผลที่เกิดขึ้นกับร่างกายมนุษย์ด้วย จากขนาดความใหญ่และแสงสว่างที่มากกว่าเวลาปกติที่จะเห็นได้ตั้งแต่แรกที่โผล่ขึ้นมาบนท้องฟ้านั่นเอง องค์การนาซาระบุว่า ปรากฏการณ์พระจันทร์เต็มดวงและซูเปอร์มูน (supermoon) บางครั้งจะเกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวในหนึ่งปี แต่บางครั้งก็อาจจะเกิดมากกว่านั้นก็ได้ เช่นในปี 2013 ที่ผ่านมา ได้มีปรากฏการณ์ซูเปอร์มูนนี้เกิดขึ้นถึง 3 ครั้งซึ่งนับว่ามากที่สุด ซึ่งก็จะมี 4 เรื่องหลักของสุขภาพเหล่านี้ที่พระจันทร์จะมีอิทธิพลกับเรา

 

ความช้าหรือเร็วของวงจรการมีรอบเดือน:

 

healthmoon03

 

โดยปกติแล้ว วงจรการมีรอบเดือนของผู้หญิงจะอยู่ที่ 28 วันต่อครั้ง ซึ่งเมื่อพิจารณาดูแล้วก็พบว่า มันใกล้เคียงแทบจะเป็นวงจรเดียวกับรอบการโคจรของดวงจันทร์คือ 29 วัน ได้มีการทดลองกับอาสาสมัครผู้หญิงจำนวน 826 คน ที่มีอายุในช่วง 16 ถึง 25 ปี ซึ่งเป็นวัยเจริญพันธุ์ เพื่อศึกษาถึงความเกี่ยวข้องของการมีรอบเดือนกับวงจรการโคจรของพระจันทร์ ซึ่งจากการทดลองนี้ได้พบว่า เกือบทั้งหมดของผู้หญิงเหล่านี้จะมีรอบเดือนในช่วงเวลาเดียวกับในวันที่พระจันทร์เต็มดวง โดยที่ผู้หญิงกลุ่มที่มีรอบเดือนในระหว่างช่วงอื่นๆของพระจันทร์จะมีอยู่เพียง 12.5% ของผู้หญิงทั้งหมดที่เข้าร่วมการทดลองนี้

 

การเพิ่มขึ้นของอัตราการเกิดของเด็กทารก:

 

healthmoon02

 

โดยเฉพาะปรากฏการณ์ซูเปอร์มูนที่สามารถทำให้เกิดสิ่งที่ว่านี้ให้เป็นไปได้มากขึ้น จากการวิจัยที่ติดตามผลของการเกิดของทารก 1,000 รายในโรงพยาบาลเอกชนของเมืองเกียวโต ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่มารดายังอยู่ในช่วงระหว่างรอดูอาการใกล้คลอดอยู่ และก็ได้พบว่ามีทารกจำนวนมากได้ถือกำเนิดขึ้นมาในเวลาใกล้กับที่พระจันทร์เต็มดวงมากที่สุด นั่นคือช่วงแวลาที่แรงดึงดูดระหว่างโลกกับดวงจันทร์มีพลังแรงมากที่สุดด้วย ซึ่งเหตุการณ์แบบนี้จะพบในอัตรามากขึ้นไปอีก เมื่อมันเป็นปรากฏการณ์ของซูเปอร์มูน ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องแรงดึงดูดของโลก

 

การส่งผลต่อระบบการนอนหลับของคุณ:

 

healthmoon05

 

หากคุณรู้สึกว่านอนหลับยากขึ้นในช่วงที่พระจันทร์เต็มดวง มันเป็นแบบนั้นจริงๆไม่ใช่ว่าคุณคิดไปเอง จากการศึกษาเกี่ยวกับวงจรนาฬิกาชีวภาพของร่างกาย โดยการให้อาสาสมัครใช้เวลา 3 วันครึ่ง อยู่ในห้องแล็บทดลองเกี่ยวกับการนอนหลับ ซึ่งเป็นห้องที่ไม่มีนาฬิกา และอาสาสมัครก็จะไม่ได้เห็นแสงภายนอกใดๆเลย ในที่นั้น อาสาสมัครจะได้รับอนุญาตให้นอนหลับและตื่นขึ้นเหมือนกับเวลาปกติที่เขาเคยทำในกิจวัตรประจำวัน การวิจัยของสวิตเซอร์แลนด์ ได้เก็บข้อมูลการนอนหลับจากอาสาสมัครจำนวน 33 คน นำมาเปรียบเทียบกับระยะเวลาข้างขึ้นแรมของดวงจันทร์ ซึ่งก็ได้พบว่าในเวลา 4 วันของช่วงก่อนและหลังจากพระจันทร์เต็มดวง อาสาสมัครเหล่านี้จะต้องใช้เวลานานกว่าปกติ 5 นาที กว่าที่เขาจะสามารถหลับได้ตามปกติ นอกจากนี้ ผลการทดลองโดยรวมยังพบว่า ในคืนพระจันทร์เต็มดวง ยังทำให้เวลาการนอนของอาสาสมัครเหล่านี้น้อยลงกว่าที่เคยถึง 20 นาที และมีอัตราการหลับลึกได้น้อยกว่าปกติถึง 30% นอกจากนี้ พวกเขาก็ยังมีระดับคุณภาพการนอนหลับที่ด้อยลงอีกด้วยสิ่งนี้แสดงถึงการที่พระจันทร์มีผลต่อระดับฮอร์โมนเมลาโทนินของร่างกายเรา นี่คือการทดลองเพื่อระบุถึงความเกี่ยวโยงกันของการนอนหลับขอมนุษย์กับวงจรนาฬิกาข้างขึ้นข้างแรมของดวงจันทร์

 

การฟื้นตัวของร่างกายจากการผ่าตัด:

 

healthmoon04

 

จากการศึกษาเรื่องนี้พบว่า คนไข้ที่มีเคสผ่าตัดด่วนเกี่ยวกับโรคหัวใจที่เรียกว่า acute aortic dissection repair ซึ่งหมายถึงมีภาวะการฉีกขาดของหลอดเลือด หากมีการผ่าตัดเกิดขึ้นในระหว่างที่พระจันทร์เต็มดวง คนไข้จะใช้เวลาอยู่ในโรงพยาบาลหลังการผ่าตัดเป็นระยะเวลาที่สั้นกว่าและมีอัตราการเสียชีวิตน้อยกว่าคนไข้ที่ได้รับการผ่าตัดแบบเดียวกันในช่วงเวลาอื่นๆของการโคจรของดวงจันทร์ จากการศึกษาเมื่อปี 2013 ระบุว่า คนไข้ที่ได้รับการผ่าตัดระหว่างพระจันทร์เต็มดวง จะอยู่โรงพยาบาลเพื่อพักฟื้นหลังการผ่าตัดประมาณ 10 วัน ซึ่งสั้นกว่าอัตราเฉลี่ยของคนไข้ที่ได้รับการผ่าตัดแบบเดียวกันนี้ในช่วงเวลาอื่นๆของวงจรการโคจรของดวงจันทร์ ที่ปกติจะใช้เวลาประมาณ 14 วัน แต่ที่โชคร้ายก็คือ การที่เราเลือกไม่ได้ว่าร่างกายจะเกิดอาการของโรคหัวใจที่ว่านี้ขึ้นเมื่อไหร่

 

เล่ามาทั้งหมดถึงตอนนี้ ก็ทำให้นึกว่า ธรรมชาติทุกสิ่งมีความสำคัญ เพราะเป็นสิ่งที่มีผลต่อร่างกายและสุขภาพของเราทั้งสิ้น ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปเวลามองพระจันทร์ ก็คงจะบอกแต่ว่า “จันทร์เจ้า ขอข้าวขอแกง” อย่างเดียวไม่พอเสียแล้ว ใครมองพระจันทร์คืนนี้ อย่าลืมขอสุขภาพดีจากพระจันทร์ให้ตัวเราด้วยนะคะ

ไปเที่ยวทีไร…ทำไมเราถูกยุงกัดคนเดียวในกลุ่ม

 

เคยสงสัยไหมคะ ว่าเวลาไปเที่ยวกับเพื่อนๆทีไร ทำไมเราถึงได้โดนยุงกัดอยู่แค่คนเดียวในกลุ่ม ในขณะที่เพื่อนคนอื่นๆไม่มีใครโดนเลย เรื่องนี้มีข้อมูลน่าสนใจที่จะบอกได้ว่า สิ่งนี้ไม่ใช่เรื่องที่คุณคิดไปเองคนเดียว แต่มันมีเหตุผลทางสุขภาพรองรับสิ่งนี้ด้วย จากการศึกษาดร. โจเซฟ เอ็ม คอนลอน นักกีฏวิทยาของสหรัฐอเมริกา ได้เล่าถึงเรื่องนี้ว่า “ กรณีศึกษาเหล่านี้ ทำให้ไม่ต้องมีข้อสงสัยเลยว่า ทำไมคนบางคนถึงมีความดึงดูดสำหรับยุงที่จะเข้ามากัดพวกเขาได้มากกว่า นั่นเป็นเพราะการที่เรามีสารเคมีบางอย่างหลั่งออกมาทางผิวหนัง และมีกลิ่นหอมประจำตัวในผิวของแต่ละคนที่แตกต่างกันออกไป “ ซึ่งส่วนประกอบที่แตกต่างทางร่างกายนี้เอง ที่ทำให้คนๆหนึ่งกลายเป็นเป้าหมายยอดนิยมสำหรับยุงที่จะเข้ามาหา เนื่องจากมันได้พบแรงดึงดูดที่เกินห้ามใจจากร่างกายของคุณนั่นเอง สภาวะเหล่านี้มันคืออะไรบ้าง

 

คุณกำลังตั้งครรภ์:

ยุงที่กัดกินเลือดมนุษย์ คือยุงตัวเมีย มันมีคุณสมบัติพิเศษหนึ่งคือ มันมีความไวและชอบเป็นพิเศษกับการได้พบกับกาซคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งยุงตัวเมียนี้จะมีตัวรับประสาทสัมผัสพิเศษหรือ nerve receptor ที่จะเป็นเหมือนเครื่องให้มันตรวจจับกาซนี้ในสภาพแวดล้อม จากการศึกษาเมื่อปี 2002 ได้พูดถึงเรื่องนี้ว่า เมื่อผู้หญิงอยู่ในช่วงระยะเดือนท้ายๆของการตั้งครรภ์ ช่วงนั้นลมหายใจออกของผู้หญิง จะมีกาซคาร์บอนไดออกไซด์มากกว่าในช่วงเวลาที่เธอไม่ได้ตั้งครรภ์อยู่ถึง 21% การวิจัยนี้ได้ช่วยอธิบายว่า ทำไมผู้หญิงตั้งครรภ์ซึ่งเข้าร่วมในการทดลองนี้ จึงมีความดึงดูดสำหรับยุงมากขึ้นเป็นสองเท่า แต่เรื่องของกาซคาร์บอนไดออกไซด์ ก็อาจไม่ใช่แค่เหตุผลเดียวที่ทำให้คุณเป็นที่ชื่นชอบของฝูงยุงเหล่านี้ มันอาจจะเป็นเพราะว่าผู้หญิงที่ตั้งครรภ์จะมีกลิ่นพิเศษอื่นๆของร่างกาย ที่จะดึงดูดให้แมลงต่างๆเข้ามาหาเธอมากขึ้นก็ได้ นี่คือการระบุของ ดร.ลอรา แฮริงตัน อาจารย์คณะของมหาวิทยาลัยคอร์เนล ที่ออกมาสนับสนุนกรณีศึกษาดังกล่าว

 

ตัวของคุณเต็มไปด้วยเหงื่อ:

 

healthmos02

 

ถ้าหากทุกครั้งที่ไปออกกำลังกายกลางแจ้งแล้วถูกแมลงกัดจนคุณรำคาญ บางทีคุณอาจต้องเปลี่ยนสถานที่หรือวิธีออกกำลังกายมาเป็นแบบอยู่แต่ในห้องยิม หรือไม่ก็เปลี่ยนไปเข้าซาวน่าแทนแล้วละ ที่เป็นแบบนี้ก็เพราะสิ่งที่ร่างกายผลิตออกมาด้วยในช่วงออกกำลังกายก็คือกรดแลกติก มันเป็นสิ่งที่หลั่งออกมาปะปนกับเหงื่อเมื่อมีการออกกำลังกายที่หักโหม ซึ่งกรดนี้แหละที่จะเป็นแรงดึงดูดที่ฝูงยุงปรารถนา จากการระบุของคอนลอนบอกว่า เมื่อคุณมีเหงื่อออกจนเปียกชุ่มไปหมด และผสมกับอุณหภูมิที่สูงกว่าปกติของร่างกาย ทั้งหมดก็จะเป็นส่วนสำคัญ โดยเฉพาะความอุ่นที่เพิ่มขึ้นนี้ จะเป็นยิ่งดึงดูดยุงให้วิ่งเข้ามาหาคุณอย่างไม่ต้องรั้งรออะไรเลยทีเดียว

 

คุณมีเลือดกรุ๊ปโอ:

เหตุผลที่ยุงชอบเลือดกรุ๊ปนี้ มันก็เหมือนกับที่คุณชื่นชอบอาหารจานโปรดนั่นแหละ ยุงเหล่านี้ก็เลือกพื้นที่ๆจะตรงเข้าไปแลนดิ้งหาอาหารที่เจาะจงว่าเป็นพื้นที่ชื่นชอบของมันเหมือนกัน และอย่าลืมว่าการหาอาหารของมัน ก็คือการดูดเลือดของคุณผ่านทางเส้นเลือดนั่นเอง เรื่องนี้ได้มีการบอกไว้ในนิตยสาร Journal of Medical Entomology ว่าได้มีการพบว่า เจ้ายุงผู้กระหายเลือดนี้จะชื่นชอบเป็นพิเศษสำหรับผู้ที่มีเลือดกรุ๊ปโอ “ดังนั้น คนเลือดกรุ๊ปโอจึงมีลักษณะพิเศษ ที่ทำให้ยุงชื่นชอบกลิ่นของพวกเขาเป็นพิเศษกว่าเลือดกรุ๊ปอื่นๆ”

 

คุณเพิ่งดื่มมา:

 

healthmos03

 

รู้สึกไหมว่า เรื่องถูกยุงกัดเป็นเรื่องที่รบกวนในช่วงเวลา happy hour ของคุณในบาร์ทุกครั้ง แต่นั่นเป็นเพราะการมีแอลกอฮอล์ในร่างกาย อาจกระตุ้นให้คุณถูกยุงกัดได้มากขึ้น การศึกษาในอาฟริกาตะวันตก ได้ลองให้อาสาสมัครสองกลุ่มที่ดื่มเบียร์กลุ่มหนึ่งและหรือดื่มน้ำอีกกลุ่มหนึ่งนั่งในพื้นที่ๆมียุง ผลที่ออกมาพบว่า“ การดื่มเบียร์จะเพิ่มระดับแรงความดึงดูดใจในเลือดให้กับยุงที่จะอยากดูดเลือดคุณมากขึ้น” นอกจากนี้ ก็ยังมีการทดลองเล็กๆที่ทำขึ้นในประเทศญี่ปุ่นที่สนับสนุนเรื่องนี้ว่า ยุงจะเข้ามาหาคนที่ร่างกายได้มีย่อยสลายของแอลกอฮอล์เกิดขึ้นในระบบการย่อย

 

ยีนของคุณทำให้มีความดึงดูดมากกว่าคนอื่นๆ:

มีการวิจัยพบว่าเรื่องของพันธุกรรมอาจมีความเกี่ยวข้องกับสิ่งนี้ เช่นเดียวกับที่มันเกี่ยวข้องกับพฤติกรรมหลายๆอย่าง โดยกลุ่มนักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยในลอนดอนระบุว่า การผลิตสารเคมีในร่างกายของคนบางคน จะผลิตสารเคมีป้องกันยุงที่จะเข้ามาใกล้ๆ ในขณะที่บางคนกลับมีสารเคมีที่ดึงดูดยุงเหล่านี้ให้เข้ามาหา ซึ่งผลจากการทดลองที่เกิดขึ้น ได้ถูกระบุว่ามันเป็นเรื่องของการควบคุมโดยยีนพันธุกรรมในร่างกายของเรานั่นเอง

 

ทีนี้เวลาไปไหนกับเพื่อนแล้วเขาบ่นว่าเจอเหตุการณ์แบบนี้ ก็คงต้องทำความเข้าใจกับเขาหน่อยอย่าไปคิดว่าเขารู้สึกไปเอง หรือถ้าหากสิ่งนี้เกิดขึ้นกับตัวคุณ หรือคุณอยู่ในข้อระบุใดๆของเรื่องนี้ก็ตาม เวลาไปไหน ก็อย่าลืมเตรียมป้องกันตัวเองด้วยการเตรียมยาทากันยุงและเลือกเสื้อผ้าให้พร้อมรับสถานการณ์ด้วย ทีนี้เที่ยวไหนก็น่าจะเที่ยวได้สนุกขึ้นแล้วค่ะ

รู้จักไลฟสไตล์เปลี่ยนคุณให้ดูเด็กลง

 

ก็ในเมื่อไม่มีใครอยากดูแก่ ก็ต้องมาเรียนรู้ไลฟสไตล์สุขภาพและความงามที่จะทำให้คุณดูเด็กลงด้วยกัน

 

เคยไหมคะเวลาไปงานเลี้ยงรวมรุ่นแล้วจะแอบนึกว่า เพื่อนคนนี้เจอทีไรก็ยังดูสวยเด็กทุกที หรือเพื่อนคนนี้ไปทำอะไรมาถึงหน้าตาผมเผ้าไปหมดขนาดนั้น ก็งานแบบนี้แหละจะบอกว่าใครดูแลตัวเองได้ดีแค่ไหน

 

แน่นอนที่ถึงเราจะไม่สามารถหยุดเวลาได้ แต่เราสามารถหมุนนาฬิกากลับไปให้มีเส้นผม มือและผิวพรรณที่ยังดูอ่อนเยาว์กว่าวัยจริงได้ โดยที่คุณไม่ต้องทำศัลยกรรมความงาม หรือซื้อทรีทเมนท์แพงๆ หรือต้องพึ่งผลิตภัณฑ์เสริมอาหารหรือโลชั่นแบรนด์ใดๆ แค่ตรวจสอบพฤติกรรมไลฟสไตล์ประจำวัน และเพิ่มเรื่องง่ายๆเหล่านี้ในชีวิตประจำวันเท่านั้นเอง

 

 

1. เลิกใช้อุปกรณ์แต่งผมที่ใช้ความร้อน: เส้นผมที่ดูเด็กลงคือผมที่มีสปริงยืดหยุ่นและเงางามเป็นประกาย แต่การใช้คีมหนีบผมหรืออุปกรณ์ม้วนลอนผมที่ต้องใช้ความร้อนสูงๆ จะทำให้เส้นผมเสียหายหรือแตกหักได้ง่ายๆ ”

 

เพื่อความสวยย้อนเวลา: ให้เส้นผมได้พักจากการใช้เครื่องเป่าผมที่ร้อนจัด โดยการปล่อยให้ผมแห้งเองตามธรรมชาติ

 

 

2. ใช้ผลิตภัณฑ์กันแดดกับผิวทุกๆวัน: การทาครีมกันแดดทุกวันจะช่วยป้องกันผิวจากความเสี่ยงโรคมะเร็งผิวหนัง จากการศึกษาพบว่าคนที่ทาครีมกันแดด 2-3 วันในหนึ่งสัปดาห์ จะมีความเสี่ยงจากการที่ผิวจะเกิดความชราได้มากกว่าคนที่ทาครีมกันแดดประจำทุกๆวันถึงสองเท่า

 

เพื่อความสวยย้อนเวลา: ผลิตภัณฑ์กันแดดที่มีค่า SPF30 เป็นค่ากันแดดที่เหมาะสมที่แพทย์ผิวหนังแนะนำ ควรทามันทุกๆวันไม่ว่าจะฝนตกหรือแดดออกก็ตาม และให้ใช้มันบ่อยครั้งกว่าที่คุณคิดว่าต้องการ ที่เป็นแบบนี้เพราะคนส่วนใหญ่มักใช้ครีมกันแดดแค่ปริมาณเพียง 1 ใน 4 ของปริมาณที่ถูกแนะนำว่าควรจะใช้ในชีวิตจริงอยู่บ่อยๆ กฎที่ควรจำของปริมาณครีมกันแดดก็คือ ครั้งละ 2 ข้อนิ้วโดยทาให้คลุมพื้นที่ผิวให้ทั่ว ทิ้งไว้ให้ซึมสู่ผิวสักคครู่แล้วค่อยทาซ้ำจนได้ปริมาณที่เหมาะสม

 

 

healthlife004

 

 

3. ทาโลชั่นที่มือของคุณด้วย: ผิวที่หลังมือมีความบอบบางมาก และเสี่ยงที่จะเกิดริ้วรอยบอกวัยได้มากที่สุดเมื่อเทียบกับผิวในส่วนอื่นๆของร่างกาย เมื่ออากาศที่แห้งขโมยความชุ่มชื้นไป ผิวมือของคุณก็จะดูแก่กว่าที่มันควรจะเป็น การใช้โลชั่นจะช่วยเรื่องนี้ได้ เลือกโลชั่นที่มีส่วนผสมของสารกันแดด เพื่อช่วยลดความเสียหายของผิวจากแสงแดดที่ทำให้หลังมือคุณเป็นจุดสีน้ำตาลและริ้วรอยต่างๆ

 

เพื่อความสวยย้อนเวลา: อย่าลืมทามอยซ์เจอร์ที่มีค่ากันแดด SPF30 ที่หลังมือคุณทุกเช้าเพื่อเพิ่มความชุ่มชื่น

 

 

4. เลี่ยงอาหารที่ทำให้เกิดคราบฟัน: ฟันสีขาวบ่งบอกสัญญาณของสุขภาพดีและความเยาว์วัย อาหารที่มีสีคล้ำ, อาหารร้อนจัด, อาหารที่เหนียวเกินไป หรือซอสอย่างเช่นซอสบาร์บีคิว ก็เสี่ยงสูงมากที่จะทำให้เกิดคราบฟันเป็นสีคล้ำ เครื่องดื่มอย่างไวน์แดง, กาแฟและโคลา ก็ถูกระบุว่าทำให้เกิดคราบสีคล้ำที่ฟันได้ด้วยเช่นกัน

 

เพื่อความสวยย้อนเวลา: ป้องกันฟันของคุณจากการเกิดคราบได้ไม่ยาก ทั้งยังสามารถบริโภคอาหารได้อร่อยอีกด้วย แทนที่จะใช้บาร์บีคิวซอสคู่กับอกไก่ ก็เปลี่ยนมาใช้เป็นซอสมะม่วงซัลซาหรือสมุนไพรต่างๆแทน ก็จะได้คุณค่าโภชนาการมากกว่าด้วย หรือเปลี่ยนจากการดื่มเครื่องดื่มโซดาสีเข้มๆมาเป็นแบบใสแทน

 

 

healthlife005

 

 

5. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ: การออกกำลังกาย จะช่วยพัฒนาระบบไหลเวียนของเหลวภายในร่างกาย ทำให้ผิวดูดีขึ้น รวมไปถึงผิวรอบดวงตาของเราด้วยที่จะลดการบวมและรอยคล้ำลงได้ นอกจากนี้ ยังมีการศึกษาจากมหาวิทยาลัยแมคมาสเตอร์ในประเทศแคนาดาที่พบว่า การออกกำลังกาย จะช่วยย้อนเวลาของผิวที่ดูชราให้เยาว์วัยลงได้ด้วย นอกจากจะได้รูปร่างที่ดีแล้ว ก็จะยังได้ผิวพรรณที่ดีขึ้นจากกิจกรรมนี้

 

เพื่อความสวยย้อนเวลา: ให้นึกถึงข้อดีที่ว่านี้เพื่อจะออกกำลังกายให้ได้ 30 นาทีต่อวันในทุกๆวัน

 

 

6. จำกัดปริมาณโซเดียมแต่ละวัน: การบริโภคอาหารเค็มปริมาณมากเกินไป จะทำให้คุณตัวบวมเพราะร่างกายเก็บกักน้ำส่วนเกินเอาไว้ ทำให้ดูบวมฉุไปทั้งตัวโดยเฉพาะที่ผิวใต้ตา

 

เพื่อความสวยย้อนเวลา: กำจัดอาการท้องอืดด้วยการตระหนักถึงปริมาณโซเดียมที่แฝงอยู่ในอาหารที่คุณบริโภคเข้าไป เพราะมันจะมีเกลือเป็นส่วนผสมอยู่ทุกหนทุกแห่ง ทั้งในขนมปัง, ซีเรียล, เครื่องปรุงอาหาร, ซอสต่างๆ, ผลิตภัณฑ์อาหารจากเนื้อสัตว์, และแม้แต่ในขนมหวานเบเกอรี่หลายๆชนิดก็เต็มไปด้วยเกลือ

 

 

7. คุมพฤติกรรมติดมือถือให้ได้: การก้มหน้าพิมพ์ข้อความในมือถือ หรือก้มดูเฟสบุคนานๆ จะทำให้เกิดริ้วรอยย่นที่ผิวบริเวณคอ และหากคุณก้มแบบนี้เป็นประจำเป็นเวลานานๆ ริ้วรอยนั้นก็จะเป็นริ้วรอยถาวร

 

เพื่อความสวยย้อนเวลา: ลองสังเกตดูว่าคุณพิมพ์ข้อความบนมือถือมากที่สุดที่ไหน ที่ออฟฟิศ, ในรถไฟฟ้า จากนั้นให้เอารูปของแฟน หรือรูปครอบครัว หรือสถานที่ๆคุณไปมาแล้วชอบ มาไว้ที่ระดับที่จะเงยหน้าขึ้นมามองมันบ่อยๆในขณะที่กำลังพิมพ์ข้อความในมือถือ

 

 

8. ใช้น้ำยาบ้วนปากทุกวัน: ถ้าคุณทำแบบนี้อยู่แล้วละก็ ถือว่ามาถูกทางแล้วละ น้ำยาบ้วนปากจะช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรียในซอกฟัน ทั้งช่วยทำความสะอาดเหงือกของคุณให้คุณมีฟันที่สวยสะอาด และเหงือกเป็นสีชมพูสวย ซึ่งตรงข้ามกับเหงือกสีแดงที่เป็นสัญญาณของโรคเหงือก

 

เพื่อความสวยย้อนเวลา: เลือกน้ำยาบ้วนปากที่ปลอดจากแอลกอฮอล์ และควรเป็นสารที่มีส่วนประกอบของธรรมชาติ

 

 

9. บริโภคอาหารที่มีโปรตีนสูง: หากคุณต้องการให้เส้นผมมีสุขภาพดี ก็ต้องเริ่มจากพื้นฐาน นั่นคือการบริโภคอาหารอุดมด้วยโปรตีน เพื่อรักษาสมดุลการผลิตเส้นผมของร่างกาย เพราะโปรตีนเป็นสารอาหารที่จะช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของเส้นผม

 

เพื่อความสวยย้อนเวลา: ผู้หญิงควรบริโภคโปรตีนให้ได้ 46 กรัมต่อวัน และมากกว่านี้หากคุณตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร หรือเป็นนักกีฬาที่กำลังจะเตรียมเข้าแข่งขัน ตัวอย่างอาหารโปรตีนที่แนะนำเช่น ปลาแซลมอน 3 ออนซ์จะมีโปรตีน 22 กรัม ในขณะที่นมไขมันต่ำหนึ่งแก้วจะให้โปรตีน 8 กรัม

 

 

healthlife002

 

 

10. อย่าแปรงผมขณะเปียก: ถ้าคุณเลิกใช้ที่เป่าผมแบบร้อน ทั้งบริโภคโปรตีนมากขึ้น แต่เส้นผมของคุณยังบางและดูลีบแบนสีหม่นหมอง ไม่เป็นประกายเงางามแล้วละก็ คงต้องโทษพฤติกรรมหลังการสระผมของคุณ ว่าเป็นสาเหตุของปัญหานี้ นั่นคือการแปรงผมในขณะที่มันยังเปียกอยู่ซึ่งเส้นผมอยู่สภาวะที่อ่อนแอที่สุด สามารถทำให้เกิดความเสียหายที่นำไปสู่เส้นผม

 

เพื่อความสวยย้อนเวลา: อย่าแปรงผมขณะที่มันยังเปียกอยู่ หลังสระผมเสร็จ ให้ใช้หวีซี่ห่างๆที่มีปลายของซี่หวีแบบทื่อไม่แหลมคม หวีเบาๆทั่วศีรษะให้ผมไม่พันกัน

 

 

11. บริโภคผักใบสีเขียว: ผักเหล่านี้เป็นเหมือนแปรงสีฟันธรรมชาติ ทั้งยังอุดมด้วยไฟเบอร์เช่นผักโขม ผักกาด กะหล่ำและบร็อคโคลี จะช่วยทำความสะอาดฟัน ไฟเบอร์ของมันยังช่วยป้องกันคราบพลัคที่จะมาติดเคลือบฟันได้อีกด้วย นอกจากนี้ ยังช่วยให้ผิวสวยสดใสหากคุณบริโภคให้ได้วันละ 3 ครั้ง

 

เพื่อความสวยย้อนเวลา: ควรบริโภคผักผลไม้สดให้ได้สองถ้วยครึ่งต่อวัน นี่คือปริมาณที่นักโภชนาการแนะนำสำหรับผู้หญิงที่มีอายุน้อยกว่า 40 ปี

 

 

12. ควบคุมความเหนื่อย: ความเหนื่อยล้าไม่เพียงแต่จะทำให้คุณวุ่นวายในใจเท่านั้น แต่มันยังแสดงผลออกมารูปลักษณ์ภายนอกของคุณอีกด้วย นั่นคือสภาพผิวที่เกิดการแพ้ เป็นสิวรวมถึงอาการผื่นแพ้ต่างๆของผิวหนัง

 

เพื่อความสวยย้อนเวลา: จากการศึกษาพบว่า การเข้าสังคมและการอยู่ในโลกออนไลน์ มีบทบาทอย่างมากเกี่ยวกับความเหนื่อยล้านี้ ให้แน่ใจว่าคุณจัดเวลาได้เหมาะสมระหว่างการอยู่ในหมู่เพื่อนฝูงกับการพักผ่อน

 

 

healthlife003

 

 

13. นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ: เมื่อเราได้หลับลึก ร่างกายจะผลิตฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรนที่มีคุณภาพได้ดีกว่า ซึ่งฮอร์โมนเหล่านี้ จะช่วยระบบการซ่อมสร้างของผิวหนังให้ทำงานได้ดีขึ้น ทำให้ผิวสวยสดใสในตอนเช้า ทั้งฮอร์โมนคุณภาพนี้ ก็ยังช่วยป้องกันการเกิดสิวได้อีกด้วย

 

เพื่อความสวยย้อนเวลา: หากคุณชอบอยู่ดึกเพื่อดูรายการโปรด ก็ให้จำกัดเวลาการดูและทำตามอย่างเคร่งครัด พยายามหาสิ่งผ่อนคลายทำ เพื่อให้คุณรู้สึกสงบจากความตื่นเต้นของรายการที่เพิ่งจบไป เช่นอาจดื่มนมอุ่นๆที่ผสมน้ำผึ้งเล็กน้อยสักแก้ว ก็จะช่วยให้หลับสบายขึ้น

ปฏิบัติการเพิ่มผลกำไรให้กับมื้อเจ

 

ช่วงสัปดาห์สุดท้ายของเดือนตุลาคมที่เป็นช่วงของการกินเจ นอกจากเรื่องกลัวจะขาดสารอาหารแล้ว ก็มีหลายคนที่พูดให้ได้ยินว่า มีมื้อเจบางมื้อที่พอบริโภคแล้วก็รู้สึกว่าท้องอืด แน่นท้อง หรือถ้าขั้นหนักหน่อยก็ปวดท้องเป็นตะคริวในช่วงเวลาสั้นๆหลังจากบริโภคอาหารมื้อเที่ยง ก็เลยอยากจะมาเล่าให้ฟังเพื่อให้ได้เรียนรู้เรื่องนี้ ที่สาเหตุหนึ่งอาจมาจากการที่เราได้นำอาหารที่ไม่มีความลงตัวในศาสตร์ของการผสมผสานอาหารมารวมเข้าไว้ด้วยกันนั่นเอง

 

 

เรื่องราวของศาสตร์แห่งการผสมผสานอาหารหรือ food combination คือการรวมกันของความรู้ทางวิทยาศาสตร์ของโภชนาการ เพื่อให้เราเข้าถึงสภาวะทางเคมีของอาหารที่บริโภคเข้าไปและมันถูกจับให้ผสมผสานกันในกระบวนการย่อย การจับคู่อาหารที่มีส่วนประกอบสอดคล้องกัน ก็จะทำให้ร่างกายได้รับประโยชน์สูงสุด ได้พลังงานเต็มที่และมีการย่อยสลายของอาหารที่ดีกว่า ทั้งในเรื่องอัตราส่วนของสารอาหารที่ถูกย่อย และความหลากหลายของเอนไซม์ที่จะได้รับก็ครบถ้วนกว่าด้วย

 

 

กฎของการผสมผสานอาหาร ( Food Combination Rules)

 

healthvegetable003

 

สิ่งที่ควรรู้ก็คือ ร่างกายของเรามีความสามารถในการย่อยอาหารแต่ละชนิดได้ไม่เท่ากัน การเข้าใจการผสมผสานอาหารเบื้องต้นข้อนี้จะช่วยลดปัญหาให้ง่ายขึ้น และความสามารถในการย่อยอาหารของแต่ละคนก็ไม่เท่ากันด้วย ในขณะที่บางคนสามารถย่อยอาหารที่บริโภคเข้าไปได้ง่ายๆไม่มีปัญหา แต่ระบบการย่อยของบางคนก็เกิดการสะดุด และมีอาการท้องอืดเมื่อบริโภคอาหารที่ไม่ได้มีการผสมผสานตามหลักที่เหมาะสมนั้นๆ กฎง่ายๆของการผสมผสานอาหารก็คือ: 1. หากคุณรู้สึกว่ากินเจแล้วท้องอืด ก็ไม่ควรผสมผสานอาหารแป้งและโปรตีนเข้าด้วยกัน เพราะจะทำให้ระบบการย่อยทำงานช้าลง ทั้งอาจทำให้เกิดการหักล้างกันของสารอาหารที่มีประโยชน์ที่เกิดขึ้นได้โดยไม่ตั้งใจ ด้วยเหตุนี้ จึงควรให้เวลาในการวางแผนผสมผสานอาหาร และควรมีออกแบบล่วงหน้าหากอาหารมื้อนั้นของคุณมีแป้งหรือโปรตีนเป็นส่วนประกอบหลัก 2.หลังจากที่รู้ว่าส่วนประกอบหลักของอาหารจานนั้นของคุณคืออะไรแล้ว ก็สามารถเติมผักลงไปได้หลากชนิดตามที่คุณชอบ แต่ให้เก็บผักที่เป็นกลุ่มแป้งอย่างเช่นมันฝรั่ง ข้าวโพด มันต่างๆ ควินัว ฯลฯ เอาไว้ใช้สำหรับเมนูที่เป็นแป้งเป็นหลักเท่านั้น ไม่ควรนำมันมาผสมผสานกับเมนูที่ใช้โปรตีนเป็นหลัก 3. ให้บริโภคผลไม้ต่างๆแยกออกมาต่างหาก ไม่ควรผสมผสานมันเข้าไปในอาหารจานนั้น และควรบริโภคก่อนหรือหลังมื้ออาหารของคุณเป็นเวลาครึ่งชั่วโมง

 

 

อย่างไรก็ตาม คุณไม่จำเป็นต้องทำตามกฎเหล่านี้ตลอดเวลา แต่ให้นึกถึงมันเอาไว้ในช่วงระหว่างวัน เมื่อคุณต้องการตัวช่วยพิเศษเกี่ยวกับเรื่องของระบบการย่อยที่ดี

 

 

ความเหนื่อยล้าประจำวันกับระบบลำไส้ของคุณ:

มีการศึกษาหนึ่งตั้งข้อสังเกตว่า ความเหนื่อยล้า คือสาเหตุหนึ่งของการชลอตัวลงของแบคทีเรียชนิดดีที่มีในระบบการย่อย และในเดียวกัน ความเหนื่อยนี้ก็จะไปเพิ่มจำนวนแบคทีเรียชนิดเลวที่เป็นสาเหตุของการติดเชื้อให้มากขึ้นด้วย และเมื่อสุขภาพที่ดีของระบบย่อยอาหารของร่างกายมีบทบาทสำคัญกับความงาม สิ่งนี้จึงส่งผลไปถึงผิวพรรณที่ดูสวยกระจ่างใส, น้ำหนักตัวที่เหมาะสม, อารมณ์รื่นรมย์มีความสุข, และระบบภูมิคุ้มกันที่ดี เมื่อทุกอย่างต่อเนื่องกันไปหมด นอกจากการวางแผนการกินเจเพื่อให้ได้สุขภาพที่ดีแล้ว จึงสำคัญที่เราจะต้องวางความเหนื่อยล้าจากพฤติกรรมที่ทำอยู่เป็นประจำทุกวันลงให้ได้ ด้วยการฝึกหัดหาพื้นที่สงบผ่อนคลายให้กับชีวิตของเราด้วยในแต่ละวัน พื่อให้ระบบการย่อยมีประสิทธิภาพไม่เกิดการแปรปรวน

 

 

เติมขมิ้นและพริกไทยดำลงในเมนูเจ:

 

healthvegetable004

 

ขมิ้นและพริกไทยดำ เป็นเครื่องเทศสองชนิดที่ไม่ได้ถูกห้ามในการกินเจ และเมื่อสองสิ่งนี้มาอยู่คู่กัน ก็จะเกิดผลดีต่อสุขภาพเพิ่มขึ้นกว่าการอยู่เดี่ยวๆอย่างมาก เพียงผงขมิ้นป่นจำนวนเล็กน้อยถูกโปรยลงในอาหาร ก็จะไปเติมผลกำไรแห่งความงามที่สำคัญๆให้คุณอย่างมากมาย รวมถึงช่วยลดการติดเชื้อและช่วยเพิ่มปริมาณของสารต้านอนุมูลอิสระให้ด้วย และหากคุณใช้มันร่วมกับพริกไทยดำป่นแล้วละก็ การศึกษาพบว่ามันจะเพิ่มการดูดซึมคุณสมบัติดีๆของขมิ้นที่จะเข้าสู่ร่างกายให้มากขึ้นอย่างมหัศจรรย์ถึง 2000 % เลยทีเดียว แม้จะเป็นพริกไทยดำป่นเพียงเล็กน้อยที่ถูกผสมลงไป นี่คือเคล็ดลับความงามและสุขภาพดีที่ทำได้ไม่ยากในการกินเจนี้

 

 

เติมพลังเตรียมรับฤดูหนาวให้สมูตตี้เจ:

เพิ่มพลังให้กับสมูตตี้หวานๆง่ายๆแบบธรรมดาที่เคยดื่มในช่วงหน้าร้อน เพื่อเตรียมพร้อมร่างกายให้รับมือกับสภาวะอากาศที่กำลังจะเปลี่ยนเข้าสู่ฤดูหนาว ด้วยการเติมเมล็ดเจีย ( chia seed) 1-2 ช้อนโต๊ะ ลงในสมูตตี้รสโปรดของคุณทุกๆแก้ว วิธีนี้จะเพิ่มพลังให้กับร่างกาย ทั้งยังทำให้คุณมีผิวพรรณที่ดีขึ้นในช่วงหน้าหนาวนี้ด้วย เมล็ดเจียอุดมด้วยกรดไขมันที่มีประโยชน์สำหรับผิวสวย ช่วยต้านการติดเชื้อและฟื้นฟูแร่ธาตุในร่างกาย ทั้งยังมีคุณสมบัติช่วยให้คลายความเหนื่อยล้า แค่คุณบริโภคมันให้ได้ในปริมาณ 4 ช้อนโต๊ะต่อวัน

 

 

เตรียมร่างกายให้พร้อมกับมื้อเจ:

กุญแจสำคัญที่จะนำไปสู่ระบบการย่อยที่พร้อมและการมีผิวพรรณเปล่งปลั่งสดใส ก็คือการที่จะต้อง “ตั้ง”ระบบการย่อยที่ดีให้กับตัวเองก่อนมื้ออาหาร ด้วยการดื่มน้ำสะอาดอุณหภูมิห้อง 15 นาทีก่อนที่จะบริโภคอาหาร การทำแบบนี้จะช่วยเพิ่มความชุ่มชื่นให้กับลำไส้และระบบการย่อยของคุณ และนอกจากนี้ คุณต้องตัดจากการวุ่นวายกับคอมพิวเตอร์ สมาร์ทโฟน ทีวี และความเหนื่อยล้าทั้งหมดที่เกิดขึ้นในช่วงทำงานก่อนหน้านี้ด้วย ก็แค่หายใจลึกๆเพื่อลดความเหนื่อยล้าที่มีอยู่ และใช้ชีวิตกับปัจจุบันว่านี่คือถึงเวลาอาหารที่คุณต้องหยุดคิดเรื่องงานได้แล้ว เมื่อทำแบบนี้ได้คุณก็จะสามารถนั่งลงที่ร้านและเลือกอาหารที่ดีต่อร่างกายได้ โดยปราศจากอารมณ์ด้านลบมาทำให้เกิดความผิดพลาด ลองทำแบบนี้ทุกครั้งก่อนนั่งลงบนโต๊ะอาหารสักสัปดาห์ แล้วจะสังเกตพบความแตกต่างของระบบการย่อยที่ดีขึ้นไม่ว่าจะเป็นมื้อใดก็ตาม

 

 

บริโภคผักในตระกูลกะหล่ำให้มากขึ้น:

 

healthvegetable005

 

ผักกะหล่ำชนิดต่างๆ รวมทั้งบร็อคโคลี, กะหล่ำปลี, ผักกวางตุ้ง ฯลฯ เหล่านี้ถูกจัดว่าเป็นอาหารซูเปอร์ฟู้ดของความงาม และทำให้มีสุขภาพดี ช่วยลดความเสี่ยงของโรคร้ายต่างๆให้กับผู้หญิง เพราะผักในตระกูลนี้มีสารชื่อว่า ไอโซไธโอไซยาเนท (isothiocyanates) ซึ่งจะไปช่วยกระตุ้น Nrf2 ในร่างกาย ซึ่ง Nrf2 นี้ คือโปรตีนในเซลล์ของร่างกาย ที่เป็นตัวช่วยกระตุ้นให้เกิดการขจัดสารพิษ ต่อต้านการเกิดอนุมูลอิสระและการอักเสบติดเชื้อต่างๆในเซลล์ ปัจจุบัน สารนี้ได้รับความสนใจอย่างกว้างขวางในวงการอุตสาหกรรมยา ว่ามันอาจเป็นตัวช่วยของร่างกายในแนวทางป้องกันโรคต่างๆได้ นอกจากนี้ ผักในตระกูลกะหล่ำก็ยังช่วยขจัดฮอร์โมนเอสโตรเจนส่วนเกินของร่างกาย ที่จะไปเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็งเต้านมและมะเร็งรังไข่ได้อีกด้วย

 

 

จิบชาสมุนไพรช่วยระบบการย่อย:

อย่าลืมตุนชาสมุนไพรไว้ในครัวเพื่อช่วยระบบการย่อยอาหาร สิ่งนี้ยังช่วยให้มีผิวพรรณเปล่งปลั่ง เลือกชาขิงออร์แกนิก ที่มีสารช่วยการผ่อนคลายของกระเพาะอาหาร และช่วยคลายอาการของอาหารไม่ย่อย หรือคุณอาจทำชาสมุนไพรนี้ด้วยตัวเอง โดยผสมเมล็ดยี่หร่า (fennel) เข้ากับผงลูกกระวาน ( cardamom) และผงขิงอบแห้งที่หาซื้อได้ในซูเปอร์มาร์เก็ตทั่วไป จากนั้นนำส่วนผสมทั้งหมดมาใส่ลงในชาแดงหรือ ( rooibos tea)ที่ปลอดคาเฟอีนและอุดมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ

 

 

ยืดหยุ่นกับการเตรียมอาหารเจ:

 

healthvegetable002

 

หลายคนบอกว่า การเตรียมอาหารเจเป็นเรื่องยุ่งยาก ซึ่งถ้าจะพูดอย่างซื่อสัตย์ เราก็ต้องยอมรับว่า ไม่มีใครสนุกกับการต้องเตรียมและทำอาหารประจำวัน เมื่อคุณรู้สึกเหนื่อยและไม่มีแรงบันดาลใจ ไม่ว่าจะเป็นการเตรียมอาหารเจหรืออาหารธรรมดาๆ เพราะมันเป็นเวลาที่คุณต้องการพักผ่อนมากกว่า แต่ในขณะเดียวกัน ร่างกายของเราก็ต้องการอาหารที่มีประโยชน์ สิ่งที่จะทำให้คุณประนีประนอมกับสองเรื่องนี้ได้ก็คือ การหาข้อมูลร้านอาหารเจที่มีคุณภาพดีจริงๆ หรือซื้อผักผลไม้สดแบบที่เตรียมพร้อมปรุง เพื่อลดขั้นตอนการทำอาหารให้สั้นลง การใช้แอพช้อปปิ้งสินค้าอาหารจากซูเปอร์มาร์เก็ต ก็สามารถช่วยลดเวลาการจ่ายของเหล่านี้ให้คุณได้ สิ่งที่สำคัญคือคุณต้องวางแผนล่วงหน้าว่ามื้อไหนจะบริโภคอะไร ทีนี้คุณก็จะมีเวลาพักผ่อนเพิ่มขึ้นและได้รับสารอาหารที่ดีเหมาะสม โดยไม่จำเป็นต้องเตรียมหรือทำอาหารด้วยตัวเองทุกครั้ง

 

 

สุดท้ายก็คือเตือนกันว่า อาหารต้องห้ามสำหรับการกินเจได้แก่ กระเทียม หอม กุ้ยช่าย อาหารรสจัด ซึ่งเป็นอาหารที่มีกลิ่นรุนแรงทำให้มีผลต่ออารมณ์ นอกจากนี้ การกินเจให้สุขภาพดีก็คือการควบคุมปริมาณอาหารทุกอย่างให้เหมาะสม เลี่ยงของทอดและแป้งที่จะเพิ่มน้ำหนักตัว รวมทั้งอาหารมันจัด รสเค็มจัด และควรล้างผักผลไม้ที่บริโภคให้แน่ใจว่าสะอาดจริงๆ และอย่าลืมการออกกำลังกายเป็นประจำ เพื่อให้ร่างกายเผาผลาญคาร์โบไฮเดรตจากอาหารเจได้สะดวกขึ้น หวังว่าเรื่องราวที่เล่าในวันนี้ จะช่วยให้กินเจแบบสุขภาพดีด้วยกันทุกท่านนะคะ

8 สัญญาณเตือนน่ารู้…คุณแพ้กลูเตนอยู่หรือเปล่า

 

สัปดาห์ก่อน ดิฉันได้รับเมล์จากสมาชิกเพจท่านหนึ่ง เล่าปัญหาสุขภาพของระบบการย่อยอาหารที่ผิดปกติมาหลายปี รวมทั้งอาการไมเกรนที่ไม่ยอมหายขาด เธอเล่าว่ามีคนแนะนำให้ลองรักษาด้วยวิธีแพทย์ทางเลือก แต่ก็ไม่แน่ใจว่าจะดีไหม เมื่อฟังจากอาการที่เธอเล่ามา ทำให้ดิฉันนึกไปถึงสภาวะแพ้สารอย่างหนึ่งคือ กลูเตน ( Gluten) ซึ่งเป็นเรื่องที่คนไทยส่วนมากอาจเป็นแต่ไม่รู้ตัว ทั้งในชีวิตประจำวัน ก็มีความเสี่ยงจากการบริโภคอาหารกลุ่มนี้เช่นพวกเบเกอรี่ กันเป็นประจำ ทำให้คิดว่า ถึงเวลาที่เราควรหาความรู้เรื่องนี้กัน

 

 

กลูเตน (Gluten)คืออะไร

กลูเตน Gluten เป็นไกลโคโปรตีนชนิดหนึ่งที่เกิดจากการรวมตัวของโปรตีน 2 ชนิดคือ กลูเตนิน (Glutenin) และ ไกลอะดิน (Gliadin) รวมกัน มีความเหนียวและยืดหยุ่น ไม่ละลายในน้ำ มันจะทำหน้าที่เสมือนกาวเชื่อมส่วนของอาหารไว้ด้วยกัน มักจะพบกลูเตนในธัญพืชเช่นข้าวสาลี ข้าวไรน์ ข้าวบาร์เลย์ ฯลฯ และในอาหารเจที่จะใช้กลูเตนนี้แทนเนื้อสัตว์ รวมทั้งเบเกอรี่ที่ขายทั่วไป กลูเตน เป็นอาหารที่ก่อภูมิแพ้ชนิดหนึ่ง และมีคนจำนวนมากที่มีแพ้สารนี้โดยไม่รู้ตัว

 

คนที่แพ้กลูเตนหรือมีความอ่อนไหว เมื่อบริโภคเข้าไป ร่างกายก็จะเกิดปฏิกิริยาต่างๆซึ่งแสดงออกว่าคุณกำลังแพ้สารกลูเตนนี้อยู่ ทั้งการปวดข้อ, ปัญหาท้องอืดจากแกสในกระเพาะอาหาร, อาหารไม่ย่อย, ความเหนื่อยเรื้อรังและความรู้สึกหดหู่เศร้าหมอง รวมไปถึงไมเกรน ซึ่งหลายคนนึกไม่ถึงว่าจะมีสาเหตุมาจากการแพ้สารอาหารชนิดนี้

 

 

อาหารชนิดใดบ้างที่มีกลูเตน

อันดับหนึ่งเลยก็คือ ข้าวสาลี (Wheat) คือธัญพืชที่เราพบได้ในส่วนประกอบของอาหารประเภทพาสต้า ซีเรียลและขนมปัง สำหรับน้ำสลัดและซุปต่างๆนั้นก็มีสารกลูเตนนี้อยู่บ้างแต่ก็มักจะในปริมาณเล็กน้อยเท่านั้น และนอกจากข้าวสาลีแล้วข้าวบาร์เลย์และข้าวไรน์ ก็เป็นธัญพืชอีกสองชนิดที่ถูกระบุว่ามีกลูเตน เราจะพบข้าวไรน์ในเบียร์ ขนมปังและซีเรียล การบริโภคอาหารเหล่านี้และเครื่องดื่มที่ว่านี้ ก็จะทำให้คนที่แพ้กลูเตนเกิดอาการแพ้กำเริบขึ้นมา

 

โรคหรืออาการที่อันตรายที่สุดของการแพ้กลูเตน คือโรคที่เราเรียกกันว่า โรคเซลีแอค (Celiac disease) เป็นสภาวะความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกันร่างกาย ที่ส่งผลให้ลำไส้เล็กได้รับความเสียหาย เช่น เกิดการอักเสบของผนังลำไส้เล็ก ทำให้ร่างกายดูดซึมสารอาหารได้ไม่เต็มที่ จึงตามมาด้วยปัญหาสุขภาพอีกมากมายเช่น กระดูกพรุน, มีบุตรยากจากการที่สุขภาพร่างกายไม่สมบูรณ์ ตลอดจนความเสียหายของระบบประสาทส่วนต่างๆ ฯลฯ โรคเซลีแอคนี้ ถูกจัดอยู่ในกลุ่มของโรคออโต้อิมมูนหรือภูมิคุ้มกันบกพร่องชนิดหนึ่ง ที่จะไปทำให้เกิดปัญหากับลำไส้เล็ก ซึ่งเป็นอวัยวะที่ถูกโจมตีจากโรคนี้โดยตรง โดยกลูเตนที่บริโภคเข้าไปนี้ จะไปลดความสามารถของร่างกายในการดูดซึมสารอาหาร และเมื่อร่างกายไม่สามารถดูดซึมสารอาหารได้อย่างมีประสิทธิภาพ ก็จะนำไปสู่ปัญหาเรื้อรังอื่นๆของสุขภาพร่างกายในระยะยาว

 

จากสถิติการศึกษาขององค์การอนามัยโลกพบว่า ปัจจุบันนี้ในประชากร 100 คน จะมี 1 คนที่มีอาการแพ้กลูเตนโดยที่เป็นโรค เซลีแอค นี้ ซึ่งบ่อยครั้งที่พบว่า คนที่มีความอ่อนไหวต่อกลูเตนนี้จะไม่รู้ตัวและคิดว่าตัวเองเป็นโรคเรื้อรังอื่นๆหรือจากสาเหตุอื่นๆ เช่น โรคกระเพาะอาหาร, โรคลำไส้อักเสบ, โรคไมเกรนจากความเครียดสะสม ฯลฯ ด้วยความไม่คาดคิดว่าสิ่งนี้เกิดจากการแพ้อาหาร แต่หลังจากที่พวกเขาได้กำจัดกลูเตนออกไปจากการบริโภค ปัญหาสุขภาพที่เคยเกิดขึ้นก็สิ้นสุดลง

 

 

คุณกำลังแพ้กลูเตนอยู่หรือเปล่า:

ลองสำรวจตัวเองดู หากคุณมีอาการเหล่านี้หลังจากบริโภคอาหารที่มีสารกลูเตนเข้าไปละก็ เชื่อได้เลย

 

 

healthgluten002

 

 

1. รู้สึกหมดแรงและเหนื่อยเรื้อรัง: จากการศึกษาแสดงว่าความเหนื่อยหรืออาการหมดแรง มีความเกี่ยวพันกับการแพ้สารกลูเตน โดยเชื่อว่านี่คือปฏิกิริยาที่เกิดจากความเกี่ยวข้องกันกับระบบการเก็บสำรองพลังงานของร่างกายและระบบการติดเชื้อ

 

 

2. ปัญหาของผิวพรรณ: หากเรามีอาการแพ้กลูเตน ก็จะเกิดอาการของโรคผิวหนังต่างๆเช่นสิว โรคผิวหนังภูมิแพ้,เริม ทั้งยังรวมถึงอาการผิดปกติอื่นๆของผิวหนังเช่นอาการคัน ผิวเป็นรอยแดงเหมือนรอยไหม้, ตุ่มพุพองและผื่นต่างๆ

 

 

3. เจ็บปวดกล้ามเนื้อและข้อต่อ: แค่คุณมีอาการอ่อนไหวต่อกลูเตน ก็จะนำไปสู่การติดเชื้อได้ง่ายๆและการเจ็บปวดข้อต่อต่างๆของร่างกาย ในขณะเดียวกัน มีรายงานได้ถูกตีพิมพ์โดยวารสารของสมาคมโรคไขข้อของสหรัฐอเมริกา ระบุความเกี่ยวข้องกันของการแพ้กลูเตนว่า สารนี้เกี่ยวข้องกับเรื่องไขข้ออักเสบและการปวดข้อต่อส่วนต่างๆของร่างกายด้วย

 

 

healthgluten003

 

 

4. ภาวะสมองตื้อ หลงลืมง่าย (Brain fog): หนึ่งในสิ่งที่น่าตกใจของอาการแพ้กลูเตนก็คือเรื่องนี้ ซึ่งเป็นอาการสมองตื้อ คิดอะไรไม่ออก และอาจเป็นจุดเริ่มต้นของอาการสมองเสื่อมในที่สุด

 

 

5. ความผิดปกติของระบบภูมิต้านทาน: สารแอนตี้บอดี้ ที่เรารู้จักกันในชื่อของ IgA antibodies ที่พบในระบบการย่อยอาหารและน้ำลาย เป็นสารที่ช่วยป้องกันเราจากโรคหวัด โรคไข้หวัดและโรคต่างๆอีกมากมาย การแพ้กลูเตนจะไปมีผลเสียโดยตรงกับสารนี้ ทำให้คุณมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคต่างๆได้ง่ายขึ้น

 

 

6. ไมเกรนเรื้อรังและอาการปวดศีรษะ: ไมเกรนได้รับการจัดว่าเป็นอาการปวดศีรษะที่ทรมานที่สุดในอาการปวดศีรษะทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับมนุษย์ มีรายงานศึกษาหนึ่งแสดงว่า ผู้ที่มีอาการแพ้กลูเตนจะมีแนวโน้มของการเป็นไมเกรนได้ง่ายและรุนแรงกว่าผู้ที่ไม่แพ้สารอาหารดังกล่าว

 

 

healthgluten005

 

 

7. ปัญหาของฟันและสุขภาพช่องปาก: อาการอื่นๆของการแพ้กลูเตนได้แก่ โรคปากนกกระจอก (canker sore) อาการร้อนใน และแผลเปื่อยในช่องปาก เนื่องจากคนที่แพ้กลูเตนมักจะมีระดับแคลเซียมในร่างกายต่ำ ซึ่งแคลเซียมเป็นสิ่งจำเป็นต่อสุขภาพฟันของเราทุกคน

 

 

8. น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นผิดปกติ: เหตุผลของน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นนี้ก็คือ ความบกพร่องของระบบการดูดซึมอาหาร และการซึมผ่านของลำไส้ที่เป็นไปได้ได้ไม่ดีเท่าที่ควร ซึ่งหากใครที่มีน้ำหนักตัวเพิ่มเพราะเหตุนี้ และได้หยุดบริโภคกลูเตน ก็จะสามารถกลับมาสู่น้ำหนักตัวปกติเดิมของตัวเองได้อีกครั้ง

 

อย่างไรก็ตาม อาการแพ้กลูเตนนี้เป็นเรื่องธรรมดาของคนในเมืองใหญ่ที่จะเกิดอาการนี้ขึ้นได้ไม่แปลกประหลาด จากการบริโภคอาหารพวกเบเกอรี่ที่มีส่วนประกอบของข้าวสาลี และผู้บริโภคแบบมังสวิรัติที่ใช้กลูเตนเป็นส่วนประกอบแทนเนื้อสัตว์

 

 

จะแก้ไขอย่างไรถ้ารู้ว่าแพ้กลูเตน

 

 

healthgluten004

 

 

คำตอบก็คือ อาการนี้ไม่มีทางหายขาด แต่เมื่อรู้สึกว่าแพ้กลูเตน ก็ควรเลี่ยงการบริโภคอาหารที่มีสารนี้เสีย โดยเปลี่ยนเป็นอาหารแป้งที่ปราศจากกลูเตน อันได้แก่ ข้าวโพด, มันฝรั่ง, ข้าว, แป้งข้าวเจ้า, แป้งมันสำปะหลัง, แป้งข้าวเหนียว, ถั่วเหลือง, บัควีท, เมล็ดแฟล็กซ์ , ควินัว, แป้งข้าวโพดคอร์นมีล ฯลฯ เป็นต้น ซึ่งอาหารเหล่านี้ เป็นอาหารประเภทแป้งที่ระบุว่า ปราศจากสารกลูเตน ( gluten – free)

 

สิ่งสำคัญที่คุณต้องรู้ก็คือ ถึงแม้อาการแพ้กลูเตน จะไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่การเลี่ยงจากอาหารแป้งกลุ่มที่มีกลูเตน ก็จะทำให้ปัญหาสุขภาพที่มีอยู่นั้นสงบลงได้ หากคุณพบว่าแพ้สารอาหารชนิดนี้ การเลี่ยงจากมันถือว่าเป็นวิธีแก้ไขที่ดีที่สุด

 

หวังว่าเรื่องนี้ คงเป็นข้อพิจารณาที่ดีให้กับทุกท่านที่มีปัญหาสุขภาพอยู่นะคะ ลองสำรวจดูว่าคุณเป็นคนหนึ่งที่มีอาการทั้งแปดอย่างนี้หรือเปล่า ปัญหาสุขภาพหลายเรื่องเป็นเหมือนเส้นผมบังภูเขา หลายครั้งที่เราคิดว่ามันเป็นเรื่องใหญ่โต แต่จริงๆมันอาจมาจากสาเหตุเล็กนิดเดียวที่คุณสามารถแก้ไขด้วยตัวเองได้ไม่ยาก การหมั่นสังเกต จะเป็นกระจกสุขภาพให้ตัวคุณเองได้ดีที่สุดค่ะ

ดื่มน้ำผสมน้ำมะนาวมากเกินไป…ให้ระวังผลข้างเคียง

 

เคยเล่าเรื่องเครื่องดื่มตอนเช้าตื่นนอนใหม่ๆ ทั้งเรื่องน้ำเปล่า น้ำผสมน้ำส้มแอปเปิ้ลไซเดอร์ มาแล้ว ทีนี้เป็นเรื่องของน้ำผสมน้ำมะนาวบ้าง มีข้อควรระวังที่คุณควรรู้ว่ามันอาจทำให้เกิดสิ่งเหล่านี้กับคุณ

 

 

ฟันกร่อน: การดื่มหรือบริโภคเครื่องดื่มและอาหารที่มีสภาวะเป็นกรดมากเกินไป เช่นน้ำมะนาว จะทำให้เกิดปฏิกิริยากัดกร่อนของกรดขึ้นกับฟันของเรา กรดจากน้ำมะนาวจะไปกัดกร่อนผิวของเคลือบฟัน ทำให้ฟันอ่อนไหวหรือไวต่อสิ่งกระทบมากขึ้นเพราะเคลือบฟันบางตัวลง โดยเฉพาะเมื่อบริโภคของร้อนหรือเย็นจัด ทำให้เสียวฟันได้ แนะนำว่าควรดื่มเครื่องดื่มรสเปรี้ยวพวกนี้โดยการใช้หลอดดูดจะดีกว่า เพื่อช่วยป้องกันฟันของคุณ และถ้าหากพบว่าฟันของคุณได้กร่อนไปเรียบร้อยแล้วละก็ ควรไปปรึกษาทันตแพทย์เพื่อขอคำแนะนำในการทำทรีทเมนท์แก้ไขโดยเร็ว

 

อาการแสบร้อนกลางอกหรือฮาร์ทเบิร์น (Heartburn): การดื่มน้ำมะนาวผสมน้ำมากเกินไป จะทำให้เกิดความเสี่ยงต่ออาการแสบร้อนกลางอกหรือฮาร์ทเบิร์น และถ้าหากคุณเคยเป็นแบบนี้อยู่แล้วแต่เดิม ก็จะเท่ากับไปเพิ่มให้อาการนี้เป็นมากขึ้นอีก เพราะอาการฮาร์ทเบิร์นนี้ เกิดขึ้นจากกรดน้ำย่อยในกระเพาะอาหาร เกิดการไหลย้อนขึ้นมาที่หลอดอาหารอันเป็นอวัยวะเนื้อเยื่อบอบบางไม่สามารถทนต่อกรดได้ จึงเกิดการอักเสบและเจ็บปวดจากการถูกกัดกร่อนของกรดดังกล่าว กระบวนการนี้เราจะรู้จักกันในชื่อว่ากรดไหลย้อนหรือ reflux ที่จะทำให้เกิดความเจ็บปวดและแสบร้อนเหมือนถูกไฟไหม้ขึ้นในช่องอกจากการถูกกัดกร่อน สิ่งที่จะลดอาการนี้ได้ก็คือ งดหรือลดการบริโภคอาหารและเครื่องดื่มที่มีสภาพเป็นกรด ก็จะช่วยป้องกันและลดอาการนี้ลง

 

 

lemonhealth002

 

 

ปัสสาวะบ่อยและร่างกายเกิดอาการขาดน้ำ: จริงๆแล้วกรณีนี้จะพบได้น้อยมาก แต่สิ่งที่ต้องรู้ก็คือ น้ำที่ผสมน้ำมะนาวนี้ สามารถทำให้เกิดอาการนี้ขึ้นได้ เนื่องจากในมะนาวจะมีวิตามินซี ซึ่งเป็นรูปแบบของกรดแอสคอร์บิกชนิดหนึ่งอยู่ในปริมาณสูง กรดชนิดนี้จะเป็นที่รู้กันว่า มันมีคุณสมบัติในด้านการขับปัสสาวะ ซึ่งหมายความว่ามันจะไปเพิ่มการผลิตปัสสาวะของไตให้มากขึ้น ทำให้ของเหลวและโซเดียมในร่างกายถูกขับออกมากและเร็วเกินไป และยิ่งถ้า ในน้ำมะนาวปกติที่เราดื่มอยู่ ซึ่งทำจากปริมาณน้ำมะนาวขนาดปานกลางนั้น ได้มีการเติมชิ้นมะนาวฝานเพิ่มลงไปด้วย ก็จะยิ่งเท่ากับเพิ่มคุณสมบัติข้อนี้ให้น้ำมะนาวของคุณมากขึ้นไปอีก ดังนั้น หากคุณรู้สึกว่าร่างกายขาดน้ำหลังจากที่ได้ดื่มน้ำมะนาวรสจัดๆมาแล้วละก็ ให้พิจารณาการลดปริมาณน้ำมะนาวที่ผสมในนั้นลงในครั้งหน้า

 

เรื่องควรรู้ : อย่าดื่มมะนาวผสมน้ำเพื่อใช้บำบัดปัญหาสุขภาพ ถ้าคุณมีโรคประจำตัวและต้องบริโภคยาบางชนิดเป็นประจำ ควรปรึกษาแพทย์ประจำตัวเรื่องนี้ก่อน และถ้าพบว่ามีผลข้างเคียงใดๆเกิดขึ้นหลังจากที่ดื่มแล้วละก็ ให้หยุดดื่มมันทันที และถ้ายังมีอาการของผลข้างเคียงยังมีอยู่ก็ให้ไปพบแพทย์ให้เร็วที่สุด

 

แต่ถ้าหากคุณดื่มน้ำผสมน้ำมะนาวที่ว่านี้ เพื่อจุดประสงค์ที่จะให้ได้วิตามินซีเพื่อดูแลสุขภาพตามปกติแล้วละก็ พึงระลึกอยู่เสมอว่าคุณสมบัติเรื่องวิตามินซีในน้ำดังกล่าวเป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงและสูญหายไปได้ง่ายมาก ให้ทำเครื่องดื่มโดยใช้น้ำแค่ครึ่งแก้วกับมะนาวไม่เกินครึ่งผล แล้วดื่มมันให้หมดในคราวเดียวอย่าทิ้งไว้แล้วมาดื่มต่อ

 

(ภาพประกอบ: pixabay.com

อย่าดื่มน้ำผสมน้ำส้มสายชูแอปเปิ้ลไซเดอร์…ถ้าคุณเป็นแบบนี้!

 

คนที่ชอบดูแลสุขภาพแนวธรรมชาติบำบัด คงเคยได้ยินเรื่องการดื่มน้ำผสมน้ำส้มสายชูแอปเปิ้ลไซเดอร์ทุกเช้าหลังตื่นนอน ว่ามันช่วยบำบัดได้หลายโรคหลายอาการ แต่ที่จริงแล้ว ไม่ใช่คนทุกคนที่ดื่มมันแล้วจะดี ตรงข้ามอาจทำให้เกิดอันตรายได้หลายเรื่อง หากคุณมีสภาวะร่างกายไม่เหมาะสม

 

 

applecider002

 

 

ข้อดีของน้ำผสมน้ำส้มสายชูแอปเปิ้ลไซเดอร์:

คุณสมบัติที่ดีของมันก็คือ น้ำส้มนี้ใช้ได้ผลดีในการลดน้ำหนัก เพราะมันจะช่วยลดความรู้สึกอยากอาหารของคุณลงได้ มีการศึกษาของจีนแสดงผลว่า น้ำส้มสายชูชนิดนี้ สามารถลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็งหลอดอาหารลงได้ถึง37% นอกจากนี้ น้ำส้มสายชูแอปเปิ้ลไซเดอร์ ยังมีคุณสมบติต้านเชื้อแบคทีเรียและเชื้อรา สามารถบำบัดการติดเชื้อจากยีสต์และฮ่องกงฟุตได้ด้วย กรดอะซิติกที่พบในน้ำสายชูแอปเปิ้ลไซเดอร์ ช่วยลดความดันโลหิตสูงและลดระดับของคอเลสเตอรอลชนิดเลว ซึ่งเท่ากับช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็ง และยังมีคุณสมบัติที่ดีต่อการบำบัดโรคเบาหวาน เพราะมันมีคุณสมบัติของการต้านไกลซีมิก และไปช่วยขัดขวางการย่อยของแป้งชนิดต่างๆที่จะทำให้เกิดการเพิ่มตัวของระดับน้ำตาลในเลือด

 

 

แต่คุณก็ไม่ควรบริโภคน้ำส้มสายชูแอปเปิ้ลไซเดอร์ หากคุณอยู่มีสภาวะสุขภาพเหล่านี้!

เอาละ! ต่อให้เราทราบว่าน้ำส้มสายชูแอปเปิ้ลไซเดอร์มีข้อดียังไงก็ตาม แต่คุณก็ไม่ควรบริโภคมัน หากคุณมีปัญหาสุขภาพบางเรื่อง และไม่ควรบริโภคคู่กับยาบางอย่าง เพราะมันจะทำให้เกิดผลข้างเคียงที่เลวร้ายและอาจนำไปสู่ปัญหาที่ยิ่งใหญ่ของสุขภาพในเวลาต่อมาได้ เพราะการบริโภคน้ำผสมน้ำส้มสายูแอปเปิ้ลไซเดอร์คู่กับยาบางชนิด จะไปลดระดับโปแตสเซียมใน ร่างกาย

 

 

applecider004

 

 

ลองมาดูกันว่ามียาอะไรบ้างที่เราไม่ควรบริโภคมันร่วมกับน้ำส้มสายชูแอปเปิ้ลไซเดอร์:

ยา Digixin หรือยา Lanoxin

ยาชนิดนี้ใช้เพื่อรักษาอาการเกี่ยวกับโรคหัวใจ ซึ่งหากบริโภคยานี้ร่วมกับน้ำที่ผสมน้ำส้มสายชูแอปเปิ้ลไซเดอร์ มันก็จะไปขัดขวางการดูดซึมของโปตัสเซียมในร่างกาย ซึ่งร่างกายเราจำเป็นต้องใช้แร่ธาตุนี้เพื่อสร้างเนื้อเยื่อส่วนต่างๆ ทำให้ต่อมาก็จะเกิดผลข้างเคียงต่างๆ อาทิ อารมณ์แปรปรวน, คลื่นไส้อาเจียน, ปัญหาการมองเห็นของสายตา, การเวียนศีรษะ และท้องร่วง

 

 

ยาขับปัสสาวะ – Diuril, Lasix, Microzidea และ Thalito

โดยปกติ ยาเหล่านี้มักใช้เพื่อแก้อาการบวมน้ำ อาการท้องอืด เพราะมันจะช่วยกระตุ้นให้ร่างกายให้ขจัดของเหลวส่วนเกินที่เก็บเอาไว้ออกไป ซึ่งโปตัสเซียม เป็นแร่ธาตุที่ช่วยรักษาสมดุลของระดับน้ำในร่างกาย และเมื่อน้ำผสมน้ำส้มสายชูแอปเปิ้ลไซเดอร์ ได้เข้าไปลดระดับของโปตัสเซียม ก็จะส่งผลให้ร่างกายเกิดการขาดน้ำ

 

 

อินซูลิน Insulin

อินซูลินเป็นยาที่ร่างกายใช้ในการรักษาสมดุลของระดับน้ำตาลในเลือด จะใช้กับผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวานซึ่งเป็นโรคที่ร่างกายสามารถผลิตอินซูลินได้น้อยกว่าปกติ และถึงแม้เราจะได้ยินว่าน้ำส้มสายชูแอปเปิ้ลไซเดอร์ จะสามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ก็ตาม แต่ก็มีการศึกษาบางงานแสดงว่าการน้ำส้มสายชูแอปเปิ้ลไซเดอร์นี้ร่วมกับอินซูลิน จะทำให้เกิดการลดต่ำลงมากเกินไปของระดับโปตัสเซียมและน้ำตาลในเลือดจนอาจเกิดอันตรายได้

 

นอกจากนี้ ยังควรระวังให้มากๆกับการบริโภคน้ำผสมน้ำส้มสายชูแอปเปิ้ลไซเดอร์ต่อเนื่องเป็นเวลานานๆ เพราะมีการศึกษาพบว่า การบรโภคน้ำส้สายชูแอปเปิ้ลไซเดอร์ในปริมาณ 8 ออนซ์ทุกๆวันต่อเนื่องกันเป็นเวลา 2-3 ปี จะทำให้เกิดโรคกระดูกบางขึ้นได้ในเวลาไม่กี่ปี จากการที่โปตัสเซียมซึ่งเป็นแร่ธาตสำคัญในการสร้างกระดูกลดน้อยลงนั่นเอง

 

 

applecider003

 

 

ถ้าคุณคือกลุ่มคนเหล่านี้ ก็ไม่ควรบริโภคน้ำผสมน้ำส้มสายชูแอปเปิ้ลไซเดอร์

มารดาในระหว่างตั้งครรภ์และให้นมบุตร

ผู้หญิงตั้งครรภ์ไม่ควรบริโภคน้ำผสมน้ำส้มสายชูนี้ เพราะมันยังไม่มีหลักฐานทางการแพทย์ใดๆที่บอกถึงผลดีของมันที่มีต่อร่างกายในช่วงตั้งครรภ์ และหากเป็นมารดาที่กำลังให้นมบุตร มันก็อาจจะส่งผลลบต่อพัฒนาการของทารกแรกเกิดโดยเฉพาะพัฒนาการในการสร้างเนื้อเยื่อและความแข็งแรงของกระดูก

 

 

ผู้หญิงช่วงหลังวัยทอง

หลังวัยทองหรือช่วงหมดรอบเดือนใหม่ๆ จะเป็นช่วงเวลาที่ผู้หญิงมีสภาวะเปลี่ยนแปลงเรื่องความหนาแน่นของกระดูก ซึ่งหากบริโภคน้ำส้มนิดนี้ในปริมาณสูงๆ ก็จะทำให้เกิดสภาวะกระดูกบางขึ้นได้ในสตรีหลังวัยทอง

 

 

ผู้เป็นโรคเบาหวาน

ผู้ที่มีอาการของโรคเบาหวาน จะต้องระวังอย่างมากในการบริโภคน้ำส้มสายชูชนิดนี้ เพราะน้ำส้มนี้จะไปลดระดับน้ำตาลในเลือด ซึ่งหากคุณบริโภคยาที่ลดระดับน้ำตาลดังกล่าวนี้อยู่แล้ว ก็เท่ากับไปทำให้ระดับน้ำตาลลดต่ำลงจนมากเกินไป และอินซูลินและน้ำส้มสายชู ก็จะไปลดระดับโปตัสเซียมในร่างกายลงด้วยจนเป็นอันตรายได้เช่นกัน

 

ไม่ว่าคุณจะเลือกการดูแลสุขภาพด้วยแนวทางใด สิ่งที่อยากจะให้ระลึกไว้เสมอก็คือ ทุกสิ่งที่ทำลงไป มีทั้งผลดีและผลข้างเคียง ควรหาความรู้ให้เข้าใจในผลทั้งสองด้านเสียก่อน จึงตัดสินใจเลือกวิธีดูแลสุขภาพที่เหมาะสมกับตัวเองที่สุด