จามเสียงดังกลั้นได้ไหม แล้วจะเป็นอย่างไรกับสุขภาพ

ฮัดเช้ยๆ! เวลานี้ไปไหนๆ เราก็จะได้ยินแต่เสียงจามใช่ไหมคะ แน่นอนเพราะเป็นทั้งช่วงหน้าฝนทั้งช่วงการระบาดของไข้หวัดใหญ่ ไม่นับการจามเพราะมีคนพูดถึงอีกต่างหาก!แถมบางคนเวลาจามก็เสียงดังจนสะดุ้งกันไปทั้งห้อง จนแอบนึกไม่ได้ว่านี่เธอจะต้องเสียงดังเบอร์นี้เลยหรือ แล้วสังเกตไหมว่าถ้าเป็นคนสนิทกันที่จามเสียงดังแล้วเราทักเขาเรื่องนี้ เขาก็มักจะตอบว่า “ก็มันห้ามไม่ได้นี่นา”

เรื่องนี้แหละค่ะที่กำลังจะมาตอบ ว่าการจามเสียงดังนี่เราจะบังคับมันได้ไหม..หรือจริงๆแล้วมันมีอะไรมากกว่าแค่เรื่องของระดับเสียงในการจาม เช่นปัญหาสุขภาพใดๆ หรือเปล่าหรือถ้าคุณเป็นคนที่จามเสียงดังเอง คุณก็จะได้พบคำตอบบางอย่างที่อยู่ใกล้ตัวคุณ มาค่ะมารู้กัน!

“การจาม” คืออะไร และทำไมเราต้องจาม

Health COLD and Sneeze

มีความเชื่อกันว่าการจาม คือระบบการป้องกันตัวเองอย่างหนึ่งของร่างกาย ที่เกิดขึ้นเพื่อป้องกันระบบทางเดินหายใจของเราจากสิ่งที่เป็นพิษต่างๆที่จะเข้าสู่ร่างกายทางระบบหายใจโดยทางจมูกการจามจะเป็นการผลักดันควันพิษ ตลอดจนอณูโมเลกุลเล็กๆต่างๆและส่วนประกอบอันตรายจากสิ่งแวดล้อมที่จะเข้าสู่อวัยวะภายในร่างกาย

ศจ. ริชาร์ด ฮาร์วีย์ แห่งโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยเซนต์วินเซนท์แอนด์แมคควารี ของเมืองซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลียระบุว่า การจาม เปรียบเสมือนการลั่นไกปืน เมื่อระบบประสาทในช่องจมูกของเราตรวจจับได้ว่ามีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในช่องจมูกเช่นอุณหภูมิที่เปลี่ยนไปหรือกำลังได้รับความระคายเคืองหรือแม้แต่เกิดความเจ็บปวดบางอย่างขึ้น นี่คือเหตุผลว่าทำไมแม้แต่ลมจากเครื่องปรับอากาศ ควันไฟ หรือความร้อนจากแสงแดด ก็สามารถทำให้คุณจามได้ นอกจากนี้ การถูกรบกวนหรือความระคายเคืองนี้ซึ่งที่เกิดขึ้นในโพรงจมูก ทำให้มีน้ำมูกและมีอาการคันตามมา ซึ่งในขณะที่คุณรู้สึกแบบนั้น คุณก็จะต้องการกลั้นหายใจชั่วขณะไปด้วยพร้อมๆกัน ปฏิกิริยาของการกลั้นหายใจแบบไม่รู้ตัวของคุณนี้เอง ที่นำร่างกายไปสู่สภาวะ “การระเบิดเพื่อปลดปล่อยอากาศออกมา” ในช่องโพรงจมูก นั่นก็คือการจามนั่นเอง

แล้วทำไมเวลาจามต้องมีเสียงดัง
เสียงดังของการจาม มาจากอากาศที่ได้รับการกดดันและระเบิดออกมาทางปากหรือจมูกของคุณ ทฤษฎีสุขภาพบอกไว้ว่าเสียงจามของคนๆหนึ่งจะดังหรือค่อยแค่ไหนนั้น ขึ้นอยู่กับศักยภาพของปอดซึ่งมีองค์ประกอบมากมาย อาทิ ความแข็งแรง, ขนาด, และความสามารถในการเก็บกักลมหายใจ ว่าเก็บได้นานแค่ไหนนั่นหมายความว่า“ยิ่งคุณกลั้นหายใจได้นานเท่าไหร่ คุณก็จะจามได้เสียงดังเท่านั้น”นั่นเองค่ะ

สถาบันการวัดระดับความดังของเสียงในเมืองบริสเบน รัฐควีนสแลนด์ ประเทศออสเตรเลียได้ทำการวัดอัตราเฉลี่ยของเสียงจามในผู้ชาย ที่วัดได้ในระยะห่างจากตัวเขาประมาณ 60 ซ.ม จะมีเสียงดังประมาณ 90 เดซิเบลซึ่งความดังนี้จะเท่ากับระดับเดียวกับความดังของเสียงเครื่องตัดหญ้า แต่ถ้าหากผู้ชายคนนั้นจามโดยมีสิ่งใดปกปิดปากอยู่ เช่นมือหรือผ้าเช็ดหน้า ระดับเสียงจามของเขาก็จะลดลงอยู่ที่ประมาณ 80เดซิเบล อันนี้ขอเล่าเป็นความรู้เพิ่มเติมให้หน่อยนะคะว่า ปกติแล้ว เสียงสนทนาของคนเราจะมีระดับความดังของเสียงอยู่ที่ประมาณ 60 เดซิเบล

จามดังหรือจามค่อย เราบังคับตัวเองได้หรือไม่

Health COLD and Sneeze 3

ในขณะที่เราไม่สามารถหยุดสภาวะในโพรงจมูกของเราจากอาการคันและมีน้ำมูกได้ แต่หลายคนก็คิดว่า เราก็สามารถบังคับให้ตัวเองจามด้วยเสียงที่ค่อยกว่านี้ และก็น่าจะมีวิธีการที่ช่วยให้ดีกว่าจะปล่อยมันให้ดังไปทั่วทิศแบบนี้ได้ไม่ใช่หรือ ซึ่งเรื่องนี้ ศจ. ฮาร์วีย์ได้พูดถึงการที่เรามักจะใช้วิธีสงบเสียงจามให้ค่อยลง ด้วยการหยิกหรือถูที่จมูก หรือโดยการจามให้ลมผ่านออกมาทางรูจมูกแทนที่จะจามออกทางปาก ว่าการทำทั้งสองแบบนี้มันก็ทำได้ แต่ก็เป็นดาบสองคม ในเรื่องของสุขภาพร่างกายเช่นกันนอกจากนี้ ก็มีข้อเปรียบเทียบง่ายๆที่เห็นชัดระหว่างก็คือ“ ถ้าคุณจามทางปากมันอาจเสียงดังกว่า แต่ถ้าคุณจามทางจมูก ช่องทางการหายใจของคุณก็อาจจะเลอะเทอะและเปียกแฉะจากน้ำมูกได้มากขึ้น”

เสียงจามบอกสถานะและวัฒนธรรมของสังคม
จากข้างต้นเราพูดถึงการจามเสียงดังในแง่ของสุขภาพ แต่ถ้าพูดถึงในแง่ของทฤษฎีทางพฤติกรรมแล้วละก็ ได้มีการศึกษาเรื่องนี้อย่างจริงจังไว้โดยดร. บาร์บารา เอเวอร์ส อาจารย์คณะสังคมวิทยา มหาวิทยาลัยเมอร์ดอช ประเทศออสเตรเลียฝั่งตะวันตก ซึ่งระบุว่าการจามเสียงดังหรือค่อยของคนทั่วไปนั้น นอกจากจะเป็นเรื่องของโพรงจมูกแล้ว มันยังเกี่ยวข้องกับเรื่องระดับชนชั้นทางสังคมของคนๆนั้นอีกด้วยซึ่งเรื่องนี้ ได้เคยมีหนังสือเรื่อง มารยาทที่ไม่เหมาะสมของโพรงจมูก(Poor Nasal Etiquettes) ที่มีมาตั้งแต่ศตวรรษที่15ซึ่ง ดร. เอเวอร์ส ระบุว่าเพราะหนังสือนี้ได้ทำขึ้นเมื่อหลายปีที่ผ่านมา ทำให้มีคำแนะนำบางเรื่องที่เปลี่ยนแปลงไปเพื่อให้เหมาะสมกับพฤติกรรมและเวลาเพราะเรื่อมารยาทบางเรื่องในหนังสือนี้ ก็ได้รับการปฏิบัติที่เหมาะสมจากผู้คนในปัจจุบัน จนไม่จำเป็นต้องหยิบยกมาเป็นกรณีอีกแล้ว เช่นเรื่องมารยาทของการสั่งน้ำมูก

แต่ในวันนี้ ก็ยังคงมีกฎสังคมต่างๆ ที่พูดถึงเรื่องนี้ไว้ในหลายๆประเทศ ซึ่งก็จะมีข้อแตกต่างกันไปบ้างในวัฒนธรรม ว่าอะไรบ้างที่ผู้หญิงและผู้ชายควรทำหรือไม่ควรทำเช่นบางประเทศบอกว่า “ ถ้าคุณเป็น “ สุภาพสตรี” คุณก็ต้องไม่จามเสียงดัง ในขณะที่ถ้าคุณเป็นผู้ชายคุณก็จะสามารถทำสิ่งนี้ได้”แต่ผู้ชายชาวญี่ปุ่นไม่ได้อยู่ในกฎข้อนี้ เพราะวัฒนธรรมของชาวญี่ปุ่น ไม่ว่าผู้หญิงหรือผู้ชาย การจามเสียงดังถือเป็นพฤติกรรมที่หยาบคายด้วยกันทั้งสิ้น หรือในประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษส่วนมากก็จะบอกกันมาว่า“การจามเบาๆคือมารยาทที่สุภาพกว่าการปล่อยให้เสียงจามทั้งหมดออกมา”

จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเรากลั้นการจาม

Health COLD and Sneeze 2

ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพระบบการหายใจระบุว่า มันไม่เคยมีการแนะนำให้เราพยายามกลั้นการจามเอาไว้ เพราะการจาม คือการระเบิดแบบย่อมๆที่เกิดขึ้นในภายในศีรษะของเราและสามารถจะบังคับหรือกดดันอากาศให้ไปสู่พื้นที่ภายในร่างกายที่มันไม่ควรจะไปได้ “ มันค่อนข้างจะเป็นการตอบรับของระบบหายใจที่ทรงพลังมากอยู่’ ฮาร์วีย์ระบุ ในขณะเดียวกัน ก็มีการระบุในวารสาร The British Medical Journal ของปีที่ผ่านมาด้วยถึงกรณีศึกษาของผู้ชายชาวอังกฤษ วัย 34 ปีคนหนึ่งที่พบว่ามีรูรั่วขนาดใหญ่เกิดขึ้นกับภายในช่องลำคอของเขา เนื่องจากความพยายามที่จะกลั้นการจามที่ทรงพลังของตัวเอง ซึ่งผู้ชายคนนั้น พยายามที่จะกลั้นการระเบิดจามที่รุนแรงของเขาด้วยการปิดปากและอุดรูจมูกของตัวเองทั้งสองข้างซึ่งผลของมันก็คือไปกดดันทำให้เกิดรูที่คอหอย ซึ่งหมายถึงท่อกล้ามเนื้อในลำคอที่อยู่ด่นหลังของโพรงจมูกไปถึงบริเวณเหนือต่อจากหลอดลมและหลอดอาหารในไม่ช้าหลังจากทำแบบนี้ เขาก็พบว่าเกิดความเจ็บปวดอย่างมากเมื่อจะกลืนอาหาร รวมทั้งเสียงพูดที่เคยมีก็หายไปด้วยจนทำให้เขาต้องเข้ารักษาตัวเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ที่โรงพยาบาล ในช่วงที่ทำการรักษาอยู่นั้น เขาก็จะถูกให้อาหารทางสายยางและต้องให้ยาปฏิชีวนะชนิดฉีดเข้าเส้นเลือดดำเพื่อป้องกันการติดเชื้อต่อมาเมื่อชายผู้นี้ถูกส่งตัวกลับบ้านพร้อมคำแนะนำว่าไม่ให้เขาจามด้วยวิธีอุดจมูกตัวเองอีกในอนาคตนอกจากชายคนนี้แล้ว ก็เคยมีกรณีศึกษาของชายอีกคนหนึ่งอายุ 38 ปี ที่อยู่ในเมืองบอสตัน สหรัฐอเมริกา ที่กระดูกของกล่องเสียงหักเมื่อเขาอุดปากและหยิกจมูกของตัวเองระหว่างที่กำลัง “ ระเบิด” เสียงจามออกมา

เล่ามาถึงตอนนี้ หลายคนที่รู้สึกว่าตัวเองจามเสียงดัง ก็คงพิจารณาได้ว่าควรจะรู้สึกและจัดการกับมันอย่างไรนะคะ ส่วนคนที่ได้ยินเสียงจามดังๆก็คงจะทำความเข้าใจกับพฤติกรรมของคนรอบตัวได้ดีขึ้น แต่อยากบอกว่า ไม่ว่าคุณจะจามเสียงดังระดับไหน ก็คงไม่มีใครว่าอะไรถ้าหากคุณทำพฤติกรรมนี้ด้วยการใช้มือหรือกระดาษทิชชูปิดปากไว้ ซึ่งนอกจากจะช่วยให้เสียงค่อยลงได้บ้างแล้ว ก็ยังไม่ทำให้เกิดการแพร่กระจายของเชื้อโรคไปสู่คนอื่นๆด้วย เรื่องของการจามที่เล่าให้ฟังในวันนี้ก็คงจะมีเพียงเท่านี้

 

รักษาสุขภาพ พักผ่อนให้เพียงพอ จะได้ไม่เป็นไข้หวัด รวมทั้งหลีกเลี่ยงการอยู่ในที่ๆอากาศมีมลพิษเอาไว้ ก็จะช่วยให้สุขภาพปอดและระบบทางเดินหายใจไม่ต้องพบกับปัญหากันค่ะ