City Break Rome Part V

เบรกเที่ยวในโรม…เที่ยวโรมแบบผู้ที่ยังใหม่กับโรม (ตอนที่ 4)
โดย Paul Sansopone

…”และที่ไฮเทคมากก็คือมี “ลิฟต์” สำหรับยกกรงสัตว์ หรือนักสู้ขึ้นสู่พื้นสนาม ทำให้ชาวอิตาเลี่ยนหลายคนถึงกับคุยว่าประเทศเขานี่แหละที่เป็นผู้คิดค้นลิฟต์ขึ้นมา ไม่ใช่คุณ Otis อย่างที่เราเข้าใจ…”

หลังจากไปเที่ยววาติกันแบบเต็มอิ่มกันมาแล้ว วันนี้เราก็มาเริ่มเที่ยวโรมกันแบบไม่ให้พลาดLandmarkเด็ดๆของเมืองนี้ เริ่มด้วยกิจกรรมที่2 กันเลย

2.ไปชม Gladiator นักสู้เพื่อชีวิต ณ สังเวียนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของอาณาจักรโรมัน ‘โคลอสเซี่ยม’

 

City Break Rome Italy Colosseum 5

คำบรรยายภาพ: รูปจำลองของโคลอสเซี่ยมตอนเสร็จสมบรูณ์ในปี ค.ศ.80 จะเห็นรูปปั้นทองแดงขนาดใหญ่ “โคลอสซุส” Colossus (อยู่ด้านมุมขวาของภาพ) ของจักรพรรดิเนโร ซึ่งเป็นที่มาของชื่อ ‘โคลอสเซี่ยม’

คำว่า ‘ประชานิยม’ นั้นไม่ใช่ของใหม่ ไม่ใช่กลยุทธ์ของพรรคการเมืองไทยพรรคใดพรรคหนึ่งที่คิดขึ้นมาเอง แต่มันมีมาเกือบ 3000 ปีแล้วต่างหาก ถ้าย้อนดูประวัติศาสตร์เมื่อปี ค.ศ. 70-72 นั้นจักรพรรดิเวสปาเชี่ยน (Emperor Vespasian of the Flavian Dynasty) ต้องการจะสร้างคะแนนนิยมให้ตัวเองก็เลยสั่งให้มีการสร้าง ‘โคลอสเซี่ยม’ สนามกีฬาขนาดใหญ่เป็นของขัวญแด่ชาวโรมเพื่อที่ทุกๆ อาทิตย์จะได้มีโชว์สนุกๆ เหมือนเป็นการเอ็นเทอร์เทนพลเมืองของท่านโดยเฉพาะสามัญชนเพื่อไม่ให้หดหู่กับเหตุการณ์ร้ายๆ ที่เพิ่งผ่านมา เช่น ไฟไหม้ครั้งใหญ่ของโรมหรือความยากจนในช่วงข้าวยากหมากแพง จึงเน้นให้สร้างสนามแห่งนี้ให้จุคนดูให้ได้มากที่สุด

สถานที่ก่อสร้างโคลอสเซี่ยม เป็นบริเวณที่ลุ่มระหว่าง 4 เนินเขา ประกอบด้วย ปาลาไทน์ ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้.เวเลีย ทางทิศตะวันตก, เชลิโอ ทางทิศตะวันออก และคอล ออพพิโอ หรือเอสควิไลน์ (ปัจจุบันเป็นสวนสาธารณะ) ทางทิศเหนือ ซึ่งเดิมทีพื้นที่แห่งนี้ เป็นที่ตั้งของพระราชวังของจักรพรรดิเนโร (Nero) ซึ่งพระองค์ทรงยึดมาจากที่ดินของประชาชน จนกระทั่งจักพรรดิเนโรได้สิ้นพระชนม์เมื่อปี ค.ศ. 68 ก่อเกิดการชิงพระราชบัลลังก์อยู่ระยะหนึ่ง มีการสลับครองราชย์ช่วงสั้นๆ ของ 4 จักรพรรดิ แต่ในที่สุดจักรพรรดิเวสปาเชี่ยนทรงได้รับชัยชนะ และขึ้นครองราชย์ พระองค์จึงสั่งรื้อพระราชวังเดิมของจักรพรรดิเนโรเพื่อสร้างโคลอสเซี่ยม

City Break Rome Italy Colosseum 4

Credit pic: http://abrasaparvaz.com
เสียดายที่จักรพรรดิเวสปาเชี่ยนไม่ได้อยู่ดูความสำเร็จของการก่อสร้าง ด่วนจากไปก่อนในปี ค.ศ.79 พอปีต่อมาแม้ยังไม่เสร็จสมบรูณ์ 100% สนามนี้ก็มีพิธีเปิด โดยลูกชายของท่านที่ชื่อจักรพรรดิไตตัส Titus และให้ชื่อสนามกีฬาแห่งนี้เป็นทางการตามชื่อราชวงศ์ของท่านว่า Flavian Amphitheater** ที่รีบเปิดและมีทำการเฉลิมฉลอง 100 วัน ก็เนื่องจากในปีก่อนหน้าใน ค.ศ.79นั้น มีเหตุวิบัติ เพราะนอกจากพระบิดาสิ้นระชนม์แล้ว ก็ยังเป็นปีที่ภูเขาไฟ ’วิซูเวีย’ ทางตอนใต้ของโรมระเบิดถล่มเมืองปอมเปย์และเฮคูลินัมไปผู้คนล้มตายมากมาย เลยต้องฟื้นคืนสภาพหดหู่ด้วยเกมส์การต่อสู้ของนักสู้กลาดิเอเตอร์ (Gladiatorial Combats) ถึง 100 วันเต็ม ไม่ว่าจะในรูปแบบของนักสู้กลาดิเอเตอร์ของแต่ละค่ายสู้กันเอง หรือทหารโรมัน(รุม)กลาดิเอเตอร์(เพื่อที่จะได้ให้ประชาชนชาวโรมเห็นว่าทหารของจักรพรรดิเก่งกล้าควรแก่การสนับสนุนเงินหรือภาษีต่อไป) หรือจะเป็นกลาดิเอเตอร์สู้กับสัตว์ป่าจากแอฟริกา เช่น เสือและสิงโต เพราะอาณาเขตของอาณาจักรโรมันตอนนั้นก็แผ่ขยายไปถึงแอฟริกาตอนเหนือด้วย

 

City Break Rome Italy Colosseum Gladiator 9

ในครั้งนั้นทำให้ไตตัสเป็นจักรพรรดิที่ได้รับความนิยมสูงสุดพระองค์หนึ่งในประวัติศาสตร์โรม แต่การครองราชย์ของพระองค์นั้นสั้นกว่าของพระบิดามาก เพียงแค่หกเดือนหลังจากการแข่งขันรอบปฐมฤกษ์ พระองค์ก็สิ้นพระชนม์ด้วยอาการประชวรลึกลับ น้องชายของเขาคือโดมีเชี่ยน Domitian ก็ขึ้นครองราชย์ต่อและสร้างในส่วนที่ยังไม่สมบรูณ์ให้แล้วเสร็จ

**สำหรับที่มาของคำว่า “โคลอสเซียม ” นักประวัติศาสตร์ยังไม่สามารถหาข้อสรุปที่ยอมรับร่วมกันได้ ทฤษฏีที่คาดกันว่ามีความเป็นไปได้มากที่สุด คือ เรียกตามชื่อรูปปั้นทองแดงขนาดใหญ่ “โคลอสซุส” (Colossus) ของจักรพรรดิเนโร ที่ตั้งอยู่ใกล้บริเวณเดียวกันในสมัยนั้นนั่นเอง (ดูรูปใหญ่ด้านบนสุดที่เป็นรูปจำลองของโคลอสเซี่ยมตอนเสร็จสมบรูณ์ในปี ค.ศ.80 จะเห็นรูปปั้นทองแดงนั้นอยู่ด้านมุมขวาของภาพ)

 

City Break Rome Italy Colosseum 8
Credit pic: http://res.cloudinary.com ภาพบนจะเห็นองค์ประกอบแบบสมบรูณ์ของคอลอสเซี่ยมซึ่งมีกันสาดกันแดดให้คนดูและประดับด้วยรูปปั้นหินอ่อนของจักรพรรดิและทหารโรมันที่มีผลงาน

โคลอสเซี่ยมมีการก่อสร้างอย่างแข็งแรงด้วยอิฐและหินทรายและคอนกรีต แถมยังมีเหล็กรั้งหรือยึดในจุดสำคัญ วัดโดยรอบได้ประมาณ 527 เมตร สูง 57 เมตร สามารถจุผู้ชมได้กว่า 50,000 คน แม้จะมีขนาดใหญ่และจุคนได้มากมายขนาดนั้น แต่ด้วยช่องทางเข้ารอบทิศทั้ง 80 ช่องทาง(ประตูโค้ง)ก็สามารถทำให้ผู้ชมเข้าสู่โถงทางเดินต่อด้วยบันไดซึ่งนำไปสู่ที่นั่งของตนได้ภายในเวลาไม่กี่นาที ดูจากภายนอกจะเห็นมี 4 ชั้น แต่เมื่อเข้าไปอัฒจันทร์จะแบ่งเป็น 3 ชั้น มีการแบ่งพื้นที่ตามชนชั้น พื้นที่ของชนชั้นสูงจะมีที่นั่งเป็นหินอ่อน มีการออกแบบอย่างชาญฉลาดโดยให้สนามกีฬามีลักษณะเป็นรูปวงรี เพื่อให้ผู้ชมรู้สึกเข้าใกล้นักกีฬา และมีการออกแบบทางระบายน้ำเพื่อไม่ให้น้ำท่วมขังในสนามขณะเกิดฝนตก แต่เมื่อต้องการให้น้ำขังก็ทำได้เพราะเคยมีการจำลองสถานการณ์ต่อสู้ทางน้ำด้วยเรือที่นี่ด้วย อีกทั้งยังถือเป็นต้นแบบของสนามกีฬาต่างๆ ในปัจจุบัน

City Break Rome Italy Colosseum 1

Credit pic: http://www.teggelaar.com/:

บริเวณพื้นสนามมีโพเดี่ยมสร้างด้วยหินอ่อนโดยรอบ ใต้พื้นสนามสร้างเป็นห้องต่างๆ ประกอบด้วย ห้องนักสู้ “กลาดิเอเตอร์” กรงขังสัตว์ที่จะนำมาต่อสู้กับกลาดิเอเตอร์ ห้องเก็บอุปกรณ์เครื่องมือการต่อสู้ของกลาดิเอเตอร์ ห้องเก็บวัสดุก่อสร้างบางส่วน และที่ไฮเทคมากก็คือมี “ลิฟต์” สำหรับยกกรงสัตว์ หรือนักสู้ขึ้นสู่พื้นสนาม เรียกว่าชาวอิตาเลี่ยนหลายคนถึงกับคุยว่าประเทศเขานี่แหละที่เป็นผู้คิดค้นลิฟต์ขึ้นมา ไม่ใช่คุณ Otis อย่างที่เราเข้าใจ
เป็นเวลากว่า 500 ปี (จากศตวรรษที่ 1จนถึงศตวรรษที่ 6) ที่มีการต่อสู้เอาเป็นเอาตายในสังเวียนนี้ เพื่อสร้างความบันเทิงให้แก่สามัญชน จนเป็นส่วนหนึ่งของสังคมโรม เหมือนสมัยนี้เราไปดูคอนเสริต์หรือดูกีฬาในช่วงวันหยุดนั่นเอง นักสู้แต่ละคนที่ก้าวเข้ามาจะต่อสู้กันจนตายไปข้างหนึ่งต่อหน้าผู้ชมที่โห่ร้องด้วยความสะใจ ว่ากันว่ามีสัตว์ป่าที่ต้องมาตายที่นี่กว่า 1 ล้านตัว ไม่แน่ใจว่ากลาดิเอเตอร์ถูกสังเวยชีวิตไปเท่าใด

City Break Rome Italy Colosseum 7

หลังจากศตวรรษที่6ที่มีการต่อสู้ที่นี่เป็นครั้งสุดท้าย โคลอสเซี่ยมก็ถูกทิ้งรกร้างและเริ่มเสื่อมโทรม มีการนำเหล็กทีใช้ประกบหินปูนสีครีม travertine และเสาออกไปไปทำโครงการก่อสร้างอื่นๆ เป็นปริมาณรวมกันถึง 300 ตัน ทำให้บริเวณด้านนอกของโครงสร้างจะเห็นเป็นรูเต็มไปหมด เพราะเมื่อก่อนมีเหล็กเหล่านี้ฝังอยู่
และยังมีเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่ทำให้โครงสร้างด้านใต้ถล่มลงเหลือเป็นซากหักพังเป็นรอยเฉียง 45 องศาแบบที่เห็นทุกวันนี้ แถมยังมีการเอาหินที่นี่ไปทำการก่อสร้างวัดหรือโบสถ์วิหารที่อื่นอีกหลายแห่ง แต่ก็มีการบูรณะต่อเนื่องในช่วงหลังล่าสุดในปี 1990 ที่มีการบูรณะครั้งใหญ่ หากท่านไปเที่ยวที่นี่อย่าลืมถ่ายรูปกับประตูชัยคอนสแตนทินที่อยู่ใกล้ๆ เพราะประตูชัยนี้ก็คือต้นแบบของประตูชัยในปารีสที่สวน Tuilerie
อย่างไรก็ตามโคลอสเซี่ยมถือ Free Standing Structure ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลก เคยได้รับตำแหน่งให้เป็น Magnificent 7 หรือ Seven Wonders of the World ของยุคกลาง และเมื่อ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2550 โคลอสเซี่ยมยังได้รับเลือกให้เป็น 1 ในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่ จากการสอบถามความเห็นลงคะแนนทั่วโลกทั้งทางอินเทอร์เน็ตและโทรศัพท์มือถือ จัดโดยมูลนิธิ New7Wonders

ก่อนจะจบเรื่องนี้คงต้องให้เกียรติพูดถึงกลุ่มคนที่มีส่วนทำให้สถานที่แห่งนี้มีความยิ่งใหญ่ด้วยการสังเวยชีวิตทั้งจำใจยอมและไม่ยอม คนกลุ่มนี้ก็คือ Gladiator นั่นเอง

City Break Rome Italy Colosseum 6

ภาพโคลอสเซี่ยมในปัจจุบันที่เห็นรูเหล็กที่เคยฝังอยู่เพื่อประกบโครงสร้างให้แข็งแรงแต่ถูกนำออกไปใช้งานที่อื่นกัน ส่วนที่ถล่มลงและโครงสร้างที่หายไปเพราะมีการเอาหินที่นี่ไปทำการก่อสร้างวัดหรือโบสถ์วิหารที่อื่น

 

City Break Rome Italy Colosseum 2

ภาพสนามประลองที่เอาพื้นออก ทำให้เห็นห้องใต้ดินที่ออกแบบมาเหมือนเขาวงกตใช้ขังนักโทษ, Gladiatorและสัตว์ป่าที่ดุร้าย

Gladiator (มาจากภาษาลาตินแปลว่ามือดาบ “swordsman” จากคำว่าgladiusดาบ”sword”) ในสมัยจักรวรรดิโรมัน พวกนี้ก็คือทาสที่มาจากเมืองขึ้นของจักรวรรดิโรมัน เนื่องจากมีการรุกขยายอาณาเขตต่อเนื่อง ทหารหรือนักรบของข้าศึกถ้าไม่ตายเสียก่อนก็จะถูกจับมาเป็นเชลยขังไว้ หรือขายเป็นทาสเพื่อจะเอามาเป็น Gladiator พวกที่ถูกซื้อไปมักจะโดนซื้อโดยค่ายฝึก Gladiator นั่นแหละ เหมือนค่ายมวยที่เอาไปฝึกแล้วเอากลับมาสู้กับค่ายอื่นๆ เพื่อเอาเงินพนันหรือรางวัล เพราะในสมัยนั้นความที่โรมนั้นเป็นเมืองของจักรพรรดิที่ต้องการเสียงสนับสนุนตัวเอง ไม่ต่างไปจากนักการเมืองก็ต้องหาวิธี Entertain ชาวเมืองโรมด้วยการจัดแสดงการต่อสู้ในรูปแบบต่างๆ เช่น Gladiator กับสัตว์ที่มาจากแอฟริกา เช่น สิงโต หรือ Gladiator สู้กับทหารโรมัน (แต่แอบขี้โกงคือจะใช้ทหารโรมันเยอะกว่าและให้อาวุธครบมือกว่า) เพื่อโชว์ว่าทหารของโรมนั้นยิ่งใหญ่ที่สุดเวลาไปรบ ชาวบ้านจะได้นึกภาพออกและสนับสนุนทหารและการออกไปรบ หรือ Gladiator ค่ายหนึ่งสู้กับอีกค่ายหนึ่ง คนที่ชนะก็อยู่ต่อไปจนถึงไฟล์ทหน้า แต่คนแพ้มักจะตายจะรอดได้ต่อเมื่อสู้ได้ชนะใจคนดู และจักรพรรดิชูนิ้วโป้งขึ้นตามเสียงของคนดูกึกก้องสนามกีฬา หากไม่ประทับใจคนดูจะโห่ไล่และให้สัญญาณจักรพรรดิให้ชูนิ้วโป้งลงดิน หมายถึงให้ผู้ชนะฆ่าทิ้งเสีย แต่ Gladiator ก็อาจมาจากชาวโรมันหรือคนอีทรุสคันEtruscanจากถิ่นต่างๆ ที่ชอบการต่อสู้เพื่อเงินรางวัล และสมัครเข้ามาแข่งโดยไม่มีค่ายก็ได้ สนาม Arena สำหรับการต่อสู้มีอยู่หลายแห่ง เช่นที่เมือง Capua ทางใต้ใกล้Pompeii แต่ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคงหนีไม่พ้น Colosseum หรือ Coliseum ของกรุงโรมที่สร้างตั้งแต่สมัยจักรพรรดิ Vespasian ต่อสมัยลูกของท่านคือ Titus ในช่วงปี 70-80 AD ที่นี่สามารถจุคนได้ 50,000 ถึง 70,000 คนดู และโดยเฉลี่ยผู้ชมอยู่ที่ 65,000 ผู้ชม

ท่านทราบหรือไม่ว่า
– Gladiatorนั้นมักจะต้องสวมหมวกโลหะหรือหน้ากากในการต่อสู้ แม้จะแพ้แล้วก็จะไม่ถูกบังคับให้ถอดหน้ากากออก เพราะหลายๆ ครั้งที่ Gladiator จะมาจากค่ายเดียวกันฝึกซ้อมมาด้วยกันเป็นเพื่อนกัน การที่ได้เห็นหน้าเพื่อนแล้วต้องลงมือโดยเฉพาะในดาบสุดท้ายที่จะปลิดชีวิตหลังจากจักรพรรดิชูนิ้วโป้งนั้นมันยากเกินไป
– Gladiator มักจะถูกเลี้ยงให้อ้วนเต็มไปด้วยไขมันเหมือนซูโม่ เพราะจะทนคมดาบได้นานกว่าคนผอม และในการต่อสู้ในสมัยนั้นไม่มีการจัดรุ่นตามน้ำหนัก เช่น light weight ก็ต้องสู้กับ light weight ดังนั้นการทำน้ำหนักให้เยอะไว้ก็จะได้เปรียบในการต่อสู้

ภาพ Polliceหรือ Thumbs Down by Jean-Léon Gérôme, 1872

ภาพยนตร์เกี่ยวกับ Gladiator ที่ควรหามาดู
พอดีวันนี้ที่ผมเขียนเรื่องนี้อยู่มีงานประกาศรางวัล Academy Award ของปี 2017 อยู่เลย ต้องขอพูดถึงหนัง Gladiator ซักนิด เพราะเป็นหนังที่ได้รางวัล Oscar ในปี 2001ไปหลายรางวัลดังนี้
Academy Award for Best Picture2001
Academy Award for Best Actor2001 • Russell Crowe
Academy Award for Best Costume Design2001
Academy Award for Best Visual Effects 2001

มันเป็นเรื่องในสมัยจักรพรรดิ Commodus (นำแสดงโดย Joaquin Phoenix) ขึ้นสู่อำนาจโดยการแย่งชิงตำแหน่งจากบิดา โดยการลอบปลงพระชนม์ Emperor Marcus Aurelius ที่เป็นจักรพรรดินักปราชญ์นักคิดผู้มีวิสัยทัศน์กว้างไกล และจัดการใส่ร้ายนายพลมือขวาของท่านที่ชื่อ Maximus (นำแสดงโดย Russell Crowe แต่ในประวัติศาสตร์ไม่พบนายพลคนนี้) ว่าเป็นคนทำเพราะมักใหญ่ใฝ่สูง ทำให้นายพลนักรบผู้ซื่อสัตย์คนนี้ต้องหนีระหกระเหินไปกลายเป็น Gladiator เพื่อกลับมาแก้แค้น เข้าฉายเมืองไทยเมื่อเดือนพฤษภาคม วันที่ 26 ปี 2000 และก่อนหน้านั้นก็มีหนังเกี่ยวกับ Gladiator ดังมากๆ ที่ชื่อ Spartacus ในช่วงปี 60 นำแสดงโดยพระเอกคางบุ๋ม Kirk Douglas ซึ่งมีการกลับมาทำใหม่เป็นหนัง TV Series ชื่อ Spartacus-Blood and Sand ดังมากเช่นกัน เพราะเป็นการสะท้อนถึงชีวิตจริงในสมัยโรมันได้อย่างถึงพริกถึงขิง

 

เจอกันคราวหน้าไปเที่ยวที่สุดของวิหารโรมันในโรมกันครับ

City Break Rome Part IV

เบรกเที่ยวในโรม…เที่ยวโรมแบบผู้ที่ยังใหม่กับโรม (ตอนที่ 3)
โดย Paul Sansopone
…”เจ้าตัว Michelangelo เองก็ไม่ธรรมดามีท่าทีลังเลจนสันตะปาปาต้องจ้างเป็นเงินก้อนโต 3000 Ducats ซึ่งมีมูลค่าปัจจุบันเท่ากับ 2 ล้านยูโรแล้วสิ่งที่ปรากฏก็คืองานของอัจฉริยะ…”
เรายังคงเที่ยวอยู่ในวาติกันซึ่งตอนนี้จะเป็นตอนสุดท้าย สำหรับหลายคนการเข้ามาในวัดคริสต์ สิ่งที่ต้องการจะชมก็คืองานศิลปะ ก็คงเหมือนบ้านเราซึ่งก็คือ ‘จิตรกรรมฝาผนัง’ และแน่นอนว่าวัดหลวงอย่าง St.Peter คงต้องเป็นชิ้นงานที่ไม่ธรรมดา เพราะต้องมีการเกณฑ์สุดยอดของศิลปินแห่งยุคมาวาดกันเต็มที่ แต่ไม่ใช่ครับเพราะในวิหารนักบุญปีเตอร์นั้นไม่มีภาพวาดสีน้ำมันใดๆ แต่มันคือภาพที่ทำจากโมเสส Mosaic หรือการนำเอาเศษกระเบื้องสีต่างๆ มาเรียงกันเป็นภาพซึ่งยากเย็นกว่าการวาดปกติ มันเป็นศิลปะที่ชาวโรมันรับมาจากอารยธรรมของชาวEtruscan ที่อยู่ในคาบสมุทรอิตาลีมาแต่เดิม โดยมีถิ่นฐานอยู่ตอนกลางก็คือแถบทัสคานี ศิลปะของโรมัน เช่น การแกะสลักหินอ่อนหรือการหล่อโลหะสำริด รวมทั้งภาพ Frescos คือภาพที่วาดบนฝาผนังหรือเพดานขณะที่ปูนยังไม่แห้ง ก็มีรากฐานมาจากชาว Etruscan เช่นกัน

แต่ไม่ต้องผิดหวังครับถ้าอยากชมภาพวาดซึ่งไม่ใช่โมเสส ในวาติกันนั้นมีวิหารน้อยที่ชื่อ Sistine Chapel หรือ Cappella Sistina รองรับความอยากของนักเสพย์งานศิลปะอย่างเต็มอิ่ม เพราะที่นี่นั้นปรมาจารย์แห่งยุคเรเนอซองค์ที่ชื่อ มิเกลานจิโร ได้ฝากผลงานชิ้นโบว์แดงไว้ 2 ชิ้น

1. ภาพ Creation of Adam บนเพดานของ Sistine Chapel
สันตะปาปาจูลีอุสที่ 2 Julius II เชิญมิเกลานจิโล Michelangelo โดยคำแนะนำของBramanteหัวหน้าวิศวกรโครงการก่อสร้างวิหาร St.Peter ให้มาวาดภาพเฟรสโก (Fresco) ที่วิหารน้อย จริงๆ แล้วว่ากันว่า Bramante อยากเห็น Michelangelo ล้มเหลวเนื่องจากใครๆ ก็ว่าเขาเป็นสุดยอดแห่งแผ่นดินมีแต่คนชมทุกคนอิจฉาและที่ผ่านมาเขาก็มีแต่ผลงานแกะสลักหินอ่อน(Sculptor) เป็นส่วนใหญ่ถ้าเชิญให้มาวาดคงไปไม่เป็นแน่ๆ คนจะได้เลิกเห่อซะที เจ้าตัวMichelangelo เองก็ไม่ธรรมดามีท่าทีลังเลจนสันตะปาปาต้องจ้างเป็นเงินก้อนโต 3000 Ducats ซึ่งมีมูลค่าปัจจุบันเท่ากับ 2 ล้านยูโรแล้วสิ่งที่ปรากฏก็คืองานของอัจฉริยะ แม้ว่าสันตะปาปาอยากจะได้ภาพของสาวกทั้ง 12 ของพระเยซู แต่ Michelangelo ก็เสนอเป็นภาพ “ ภาพพระเจ้าสร้างอาดัม (Creation of Adam) ” หรือกำเนิดมนุษย์ ภาพที่กล่าวถึงเหตุการณ์ทรงสร้างมนุษย์ ในพระธรรมปฐมกาล ของพันธสัญญาเดิม Old Testament (คัมภีร์เดิม)คัมภีร์เล่มแรก

City Break ROME Italy Vatican Chapelle Sixtine Plafond

ในคัมภีร์ไบเบิ้ล คือ ปฐมกาล (Genesis) กล่าวถึงเรื่องมนุษย์คู่แรก อาดัมและเอวา(อีฟ) ซึ่งได้ทำบาปขึ้นครั้งแรกในโลก –> กำเนิดบาป (Original Sin) โดยในครั้งนั้นทั้งสองได้ถูกมารซาตานเข้ามาหลอกลวงให้ทำในสิ่งที่พระเจ้าได้ห้ามไว้ ซึ่งก็คือการทานแอปเปิลในสวนอีเดน และเมื่อได้ทำผิด(ไม่เชื่อฟังพระเจ้าไปเชื่อซาตาน) จึงเกิดเป็นความบาป (บาปครั้งแรก)

City Break Rome Italy Vatican 5
ภาพนี้ Michelangelo ต้องสร้างนั่งร้านแบบโค้งรับเพดานสูงเกือบ 20 เมตรแล้วยืนวาด ไม่ได้นอนวาดแบบศิลปินอื่น กว่าจะวาดครอบคลุมเพดานทั้งหมด 800 ตารางเมตร ใช้เวลา 4 ปี (1508-1512)

 

2.ภาพ Giudizio Universale (Last Judgment)หรือวันตัดสินโลก
City Break ROME Italy Michelangelo,_Giudizio_Universale

หลังจาก “ภาพพระเจ้าสร้างอาดัม” ถึง 30 ปี หรือในปี 1540 ภาพที่ผนัง (อีก 200 ตรม.)ต่อเนื่องจากเพดาน Michelangeloก็ได้เสร็จสิ้นงานเฟรสโกอีกชิ้นที่ชื่อ Last Judgment หรือวันตัดสินโลกซึ่งมาจาก ไบเบิ้ล (Bible) ภาคพันธสัญญาใหม่ (The new Testament ) หรือเรียกว่า คัมภีร์ใหม่ (เป็นคัมภีร์ที่มีขึ้นมาหลังสมัยพระเยซู รวบรวมโดยนักบุญเปาโล (St.Paul) และSt.Peter) มี 27 เล่ม มีเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับต่อไปนี้
– พระวรสาส์น(พระกิตติคุณ) (Gospels) หรือ ประวัติและคำสอนพระเยซู
– ประวัติศาสตร์คริสตจักรสมัยเริ่มแรก หรือ ประวัติการเผยแพร่ศาสนาคริสต์ยุคเริ่มต้น
– รวบรวมจดหมายเหตุของ นักบุญเปาโล(เซนต์ปอล(พอล) (Saint Paul) และสาวกคนอื่น ๆ – วิวรณ์ (Revelation) คำกล่าวถึงคำทานายอนาคตกาลในลักษณะการพยากรณ์วันสิ้นโลกและคัมภีร์เล่มสุดท้ายของคัมภีร์ใหม่ คือ พระธรรมวิวรณ์ กล่าวถึง เรื่อง วันสิ้นโลก(วันพิพากษาโลก)

แต่เมื่อภาพนี้เสร็จออกมากลับโดนวิจารณ์พอสมควร เพราะเป็นภาพnudeหรือคนไม่นุ่งผ้าซะส่วนใหญ่ ไม่เหมาะกับการเป็นภาพในโบสถ์วิหาร ถึงขนาดลูกศิษย์ของ Michelangelo เสนอตัวจะวาดมะเดื่อ(fig)ปิดอวัยวะเพศชายให้เอง แต่ในที่สุดทางวัดก็บอกว่า ภาพนี้เป็นการเตือนให้คนสะสมความดีไม่เช่นนั้นก็จะเป็นแบบที่ภาพแสดงไว้คือคนดีก็ได้ไปสวรรค์คนเลวมีบาปก็ต้องลงไปชดใช้กรรม ไม่ใช่ภาพอนาจาร
Temptation of Christของ Botticelli

City Break ROME Italy Tentaciones_de_Cristo_(Botticelli)

จริงๆ แล้วงานของ Michelangelo ที่มาเริ่มในปี 1508 นั้นมาทีหลังผลงานของสุดยอดศิลปินยุคRenaissanceชื่อดังคนอื่นที่ฝากผลงานไว้บนผนังที่เหลือของวิหารน้อยแห่งนี้ในช่วงปี 1481-82

City Break ROME Italy Entrega_de_las_llaves_a_San_Pedro_(Perugino)

เช่น Luca Signorelli, Ghirlandaio, Pinturicchio, แต่ที่โดดเด่นก็มี Botticelli กับผลงานดังที่ชื่อTemptation of Christ และภาพของ Perugino กับภาพ Delivery of Keys เป็นภาพที่พระเจ้ามอบกุญแจสวรรค์ให้นักบุญปีเตอร์ ซึ่งจะเหมือนกับรูปปั้นที่ Colonard ระเบียงทางเข้าวาติกันที่นักบุญปีเตอร์จะถือกุญแจดังกล่าว), รวมทั้งรูปหล่อโลหะสำริดในวิหารที่ท่านก็ถือกุญแจสวรรค์ไว้ที่มือซ้ายเช่นกัน เพราะนักบุญนั้นมีมากมาย เนื่องจากการได้เป็นนักบุญนั้นคร่าวๆ ก็คือพระที่เสียชีวิตจากความพยายามในการเผยแพร่คริสตศาสนา และในสมัยนั้นเป็นสิ่งต้องห้ามจึงมักจบชีวิตลงด้วยการโดนตรึงกางเขนหรือประหารด้วยวิธีอื่น ดังนั้นสำหรับการทำรูปปั้นหรือรูปภาพโดยศิลปิน นักบุญแต่ละองค์จึงต้องมีเอกลักษณะที่แตกต่างที่บ่งบอกว่าเป็นนักบุญองค์ไหน โดยเฉพาะนักบุญที่สำคัญ เพราะสำหรับรูปร่างหน้าตานั้นศิลปินได้มาจากจินตนาการเท่านั้น เช่นนักบุญ St.Denis ของฝรั่งเศสที่เป็น Bishop of Paris ก็โดนประหารด้วยการตัดคอ และมีเรื่องปาฏิหาริย์เล่ากันต่อมาว่าท่านก็ก้มเก็บศีรษะที่หลุดจากบ่าแล้วเดินถือไปและเทศน์สอนศาสนาไปด้วยอีกกว่า 10 กิโล ดังนั้นถ้าเราเห็นรูปปั้นนักบุญที่ไหนที่คอขาดและมีมืออุ้มส่วนศีรษะอยู่ก็รู้ทันทีว่าคือนักบุญคนไหน
City Break Rome Italy Vatican 6

ทั้งนี้ก็เพราะว่าวัดน้อย Sistine Chapel นั้นสร้างเสร็จมาตั้งแต่ปี 1483 แล้วในสมัยสันตะปาปาที่ชื่อ Pope Sixtus IV ซึ่งชื่อของท่านก็คือที่มาของชื่อวิหารนั่นเอง วัดนี้สร้างเลียนแบบวิหารโบราณที่ชื่อ Temple of Solomon วัดแห่งแรกของศาสนาที่ Holy Land (Jerusalem)ถิ่นกำเนิดพระเยซู โดยทำเป็นรูปแบบคล้ายโรงนาเหมือนกัน และมีขนาดเท่ากันทุกประการคือ ยาว 40.2m x กว้าง 13.4m x สูง 20.7m 8

แต่ความสำคัญของวิหารน้อยนี้ไม่ได้เอาไว้แค่โชว์งานศิลปแต่มีความสำคัญทางคริสตศาสนานิกายแคธอริคก็คือใช้เป็นสถานที่ประชุมแต่งตั้งผู้นำหรือสันตะปาปาคนใหม่ ตำแหน่งอันทรงอิทธิพลของอารยธรรมโลกตะวันตก ซึ่งมีวัฒนธรรมเก่าแก่ยาวนานน่าสนใจดังบทความข้างล่างนี้

City Break Rome Italy Vatican 1

ขั้นตอนการคัดเลือกและแต่งตั้งสันตะปาปา (credit:manager.co.th)

ธรรมเนียมชันสูตรพระศพที่สืบทอดกันมา

เมื่อองค์สมเด็จพระสันตะปาปาสิ้นพระชนม์ ผู้ดำรงตำแหน่งคาแมร์เล็งโก หรือแชมเบอร์เลน ซึ่งทำหน้าที่เสมือนกรมวังราชสำนักขององค์โป๊ปจะต้องตรวจสอบและให้ความรับรองการสิ้นพระชนม์ของพระองค์ โดยคาเมอร์เล็งโกคนปัจจุบัน คือ พระคาร์ดินัลเอดูอาร์โด มาร์ติเนซ โซมาล ซึ่งจะต้องทำการรับรองการสิ้นพระชนม์ด้วยการชันสูตรพระศพของพระสันตะปาปา ต่อหน้านายจารีตพิธีกรรมของพระสันตะปาปา พร้อมกับคณะสงฆ์ผู้ใหญ่ที่ประจำวังพระสันตะปาปา

ตามธรรมเนียมดั้งเดิม พระคาร์ดินัลคาแมร์เล็งโก จะใช้ค้อนเล็กเคาะที่พระนลาฏ (หน้าผาก) พระสันตะปาปา และเรียกชื่อกำเนิดของพระองค์ 3 ครั้ง ถ้าหากไม่มีเสียงตอบก็แสดงว่าพระองค์สิ้นพระชนม์ ต่อจากนั้นจึงให้แพทย์ชันสูตรแบบสากลต่อไป
จากนั้นนายจารีตพิธีกรรมของพระสันตะปาปา คือ อาร์กบิชอปปิเอโร มารินี พระราชาคณะและเลขาธิการแห่งอะพอสตอลิก คาเมรา (Apostolic Camera) ซึ่งเป็นข้าราชการชั้นสูงของสำนักวังบริหารวาติกันจะออกมรณบัตร และคาแมร์เล็งโกก็จะบอกแก่พระราชาคณะผู้ปกครองกรุงโรม คือ พระคาร์ดินัลคามิลโล รูอินี ถึงการสิ้นพระชนม์ขององค์โป๊ป

พระคาร์ดินัลคาร์แมร์เล็งโกเองประกาศต่อชาวโรม และประชาชนทั่วไปว่า “พระสันตะปาปา ทรงสิ้นพระชนม์แล้ว” ถือว่าเป็นการประกาศอย่างเป็นทางการ และพิธีการอื่นๆ ถึงจะตามมา

นอกจากนี้ พระคาร์ดินัลคาร์แมร์เล็งโกจะเป็นผู้ปิดประตูห้องทรงงาน ห้องบรรทม และกำหนดบริเวณสำหรับบุคลากรที่อยู่ภายใน ส่วนพระศพให้คงอยู่ที่ห้องส่วนพระองค์ต่อไป จนถึงวันฝังพระศพพระสันตะปาปา ซึ่งบริเวณส่วนพระองค์นี้จะปิดตลอด

แจ้งข่าวพระคาร์ดินัลจัดพิธีปลงพระศพ

และในเวลาเดียวกัน พระคาร์ดินัลที่เป็นหัวหน้าคณะพระคาร์ดินัล ซึ่งก็คือพระคาร์ดินัลโยเซฟ ราตซินเกอร์ หลังจากทราบข่าวการสิ้นพระชนม์ของพระสันตะปาปาจาก “คาแมร์เล็งโก” แล้ว ท่านจะต้องรีบแจ้งข่าวแก่พระคาร์ดินัลทั่วโลก และเรียกประชุมพระคาร์ดินัลเพื่อเลือกตั้งพระสันตะปาปา และแจ้งข่าวแก่บรรดาคณะทูตประเทศที่มีความสัมพันธ์กับพระสันตะปาปา และประมุขประเทศต่างๆ

ทั้งนี้ พิธีศพกำหนดให้ทำไม่เกิน 9 วัน หรือถ้ามีเหตุผลจำเป็นอาจจัดภายใน 4-6 วันก็ได้ โดยบรรดาพระคาร์ดินัลทุกองค์ต้องสวมชุดสีดำ ซึ่งปกติจะเป็นสีแดง และพระคาร์ดินัลที่เป็นหัวหน้าของคณะพระคาร์ดินัลมีแถบผ้าคาดสีแดง และหมวกยศสีแดง

จากนั้น กลุ่มพระคาร์ดินัลทั่วไปจะต้องนัดประชุมกันเพื่อเตรียมการณ์พิธีพระศพ และจะได้รับมอบหนังสือธรรมนูญ “ยูนีแวร์ซี ดอมีนีชี เกรยิส” ซึ่งโป๊ปองค์ล่าสุดจัดทำขึ้นมาเพื่อทำความเข้าใจร่วมกันในการเลือกตั้ง และหลังจากองค์โป๊ปสิ้นพระชนม์ได้ประมาณ 15-20 วันก็จะมีการคัดเลือกประมุขแห่งศาสนจักรพระองค์ใหม่จากพระคาร์ดินัล

City Break Rome Italy Vatican 8

การเลือกพระประมุของค์ใหม่

หลังจากพิธีพระศพของสมเด็จพระสันตะปาปาเสร็จสิ้นไป คณะพระคาร์ดินัลก็จะประชุมลับในห้องปิดผนึก ณ วัดน้อยของพระสันตะปาปา (โบสถ์ซิสตีน) เพื่อเลือกตั้งผู้ที่เหมาะสมจะดำรงตำแหน่งองค์พระประมุขแห่งคริสตจักรองค์ใหม่

ผู้มีสิทธิเลือกพระสันตะปาปา คือ บรรดา “พระคาร์ดินัล” ที่อายุไม่เกิน 80 ปี ณ วันที่พระสันตะปาปาสิ้นพระชนม์ ทั้งนี้ พระคาร์ดินัล คือผู้มีฐานันดรอันดับที่ 2 รองจากพระสันตะปาปา

ทั้งนี้ จำนวนพระคาร์ดินัลทั่วโลกตามข้อมูลของสำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า มีทั้งสิ้น 117 องค์ โดยในส่วนของประเทศไทยนั้นพระคาร์ดินัล ไมเกิ้ล มีชัย กิจบุญชู เป็นองค์แรกและองค์เดียวในขณะนี้ที่ได้รับแต่งตั้งเป็นพระคาร์ดินัลเมื่อปี 1983 และในเอเชียประเทศที่มีพระคาร์ดินัล ได้แก่ ฟิลิปปินส์ อินเดีย อินโดนีเซีย เกาหลี ญี่ปุ่น ฮ่องกง ไต้หวัน เวียดนาม และไทย

ส่วนผู้ที่มีสิทธิได้รับเลือกนั้น ตามสังฆธรรมนูญการเลือกตั้งของพระศาสนจักร กำหนดว่า ทุกคนที่ได้รับศีลล้างบาปมีสิทธิที่จะได้รับเลือกเป็นพระสันตะปาปา นั่นหมายถึงผู้ที่เป็นพระคาร์ดินัล พระสังฆราช พระสงฆ์ และฆราวาสด้วย แต่ในทางปฏิบัติจะเลือกจากบรรดาพระคาร์ดินัลเท่านั้น ในกรณีที่บุคคลที่ได้รับเลือกเป็นพระสันตะปาปาเป็นเพียงพระสงฆ์ธรรมดาก็ต้องได้รับการอภิเษกเป็นพระสังฆราชก่อน

เลือกตั้งลับ ห้ามติดต่อโลกภายนอก

การประชุมลับของพระคาร์ดินัลเพื่อเลือกโป๊ปพระองค์ใหม่นี้จะเกิดขึ้น ณ วัดน้อยซิสติน ซึ่งเป็นห้องโถงที่มีชื่อเสียงแห่งนครรัฐวาติกัน ซึ่งกำแพงและผนังของห้องโถงแห่งนี้ตกแต่งด้วยจิตรกรรมเฟสโกผลงานของไมเคิล แองเจโล โดยพระคาร์ดินัลจะมาประชุมร่วมกันในช่วงวันที่ 15-20 วันหลังจากการสิ้นพระชนม์ขององค์พระประมุข

การประชุมลับเพื่อเลือกตั้งองค์โป๊ปที่ยาวนานที่สุด คือ ต้องใช้เวลากว่า 3 ปี (ตั้งแต่ปี 1268–1271) แต่โดยปกติแล้วจะใช้เวลาเลือกกันแค่เพียง 1 วันก็จะได้องค์พระประมุขแห่งนครรัฐวาติกันองค์ใหม่ อย่างเช่นองค์สมเด็จพระสันตะปาปาจอห์น ปอล ที่ 2 ก็ใช้เวลาเลือกกันอยู่ไม่ถึง 3 วัน

ทันทีที่การประชุมลับเริ่มขึ้น สมเด็จพระคาร์ดินัลทั้งหมดจะไม่ปรากฎตัวนอกเขตวาติกันจนกว่าสมเด็จพระสันตะปาปาพระองค์ใหม่จะได้รับเลือก โดยพระคาร์ดินัลทั้งหมดจะพักอยู่ ณ บ้านพักนักบุญมาร์ธา ภายในเขตนครรัฐวาติกัน

ในการเลือกตั้งองค์พระสันตะปาปาพระองค์ใหม่นั้น ผู้ได้รับเลือกจะต้องได้รับคะแนนเสียงอย่างน้อยให้เกิน 2 ใน 3 มา 1 คะแนน โดยพระคาร์ดินัลที่เข้าร่วมประชุมจะเขียนชื่อผู้ที่เห็นว่าเหมาะสมแก่ตำแหน่งประมุขแห่งคริสตจักรลงไปในบัตรเลือกตั้ง แล้วใส่เข้าไปในอ่างทองคำ

City Break Rome Italy Vatican 7

ควันขาวจากปล่องไฟสัญญาณแห่งโป๊ปพระองค์ใหม่

ถ้ายังไม่มีผู้ถูกเสนอชื่อได้ครบตามจำนวนที่กำหนดไว้ บัตรเลือกตั้งทั้งหมดจะถูกเผาในเตา พร้อมด้วยสารเคมีพิเศษที่ทำให้เกิดควันสีดำผ่านปล่องควันของวัดน้อยซิสติน แต่ถ้ามีผู้ได้คะแนนถึงข้อกำหนดดังกล่าวบัตรเลือกตั้งของพระคาร์ดินัลก็จะถูกเผาเช่นกัน แต่จะใช้สารเคมีที่ก่อให้เกิดควันสีขาวผ่านปล่องสู่สายตาสาธารณชนที่เฝ้ามอง ณ บริเวณจัตุรัสเซนต์ปีเตอร์ ซึ่งเมื่อมีควันสีขาวออกมาเมื่อใด นั่นหมายความว่า การเลือกตั้งพระสันตะปาปาองค์ใหม่สำเร็จแล้ว

เมื่อที่ประชุมลับได้เลือกโป๊ปพระองค์ใหม่ขึ้นมาแล้ว ว่าที่โป๊ปก็จะถูกถามว่าพร้อมจะรับตำแหน่งประมุขแห่งคริสตศาสนาหรือไม่ และต้องการจะใช้พระนามอะไรในการดำรงตำแหน่ง

จากนั้น พระดีคันรีคาร์ดินัลอาวุโสก็จะเดินออกสู่ใจกลางมุขแห่งโบสถ์เซนต์ปีเตอร์ และประกาศต่อสาธารณชนบริเวณจัตุรัสเป็นภาษาละติน ว่า “Annuntio vobis gaudium magnum. Habemus Papam” (ข้าขอประกาศต่อทุกคนถึงความน่ายินดีอันยิ่งใหญ่ว่า พวกเรามีพระสันตะปาปาแล้ว)

จากนั้น สมเด็จพระสันตะปาปาพระองค์ใหม่ก็ปรากฏตัวสู่สาธารณะเป็นครั้งแรก ณ จัตุรัสเซนต์ปีเตอร์ และอีกไม่กี่วันถัดมาจึงมีการประกอบพิธีเฉลิมฉลององค์พระสันตะปาปาพระองค์ใหม่
City Break Rome Italy Vatican 2

ก่อนจะออกจากวาติกัน จริงๆ แล้วที่น่าสนใจอีกแห่งก็คือเข้าชม Vatican Museum ที่เก็บงานศิลปะและสมบัติมูลค่ามากมาย อย่าลืมว่าในอดีตนั้นวาติกันมีเงินเยอะและสันตะปาปาในอดีตก็มีรสนิยมในงานศิลปมากๆ จึงควรเข้าชมถ้ามีเวลา ซึ่งถ้าจะเก็บทั้ง3 สถานที่ควรเริ่มจากพิพิธภัณฑ์วาติกันตรงประตูด้านข้าง (ดูแผนที่ข้างล่าง) แล้วจึงมาSistine Chapel แล้วมาต่อวิหาร St.Peter ปิดท้าย
City Break Rome Italy Vatican 4

อย่าลืมขึ้นไปชมวิวของกรุงโรมบนยอดโดมของวิหารนี้โดยการขึ้นลิฟท์ตรงทางเข้าใกล้รูปปั้น Pieta แต่ต้องเดินขึ้นบันไดต่ออีก 320 ขั้น จึงถึงยอดโดมเสียเงินประมาณ 7eur ครับ

City Break Rome Italy Vatican 3

ครับการเที่ยววาติกันก็จบลงแล้วเราจะไปเที่ยวในโรมต่อกันในตอนหน้า

City Break Rome Part III

เบรกเที่ยวในโรม…เที่ยวโรมแบบผู้ที่ยังใหม่กับโรม (ตอนที่2)
โดย Paul Sansopone
…”บัลลังก์นี้มีส่วนคล้ายกับที่อยู่ในหนังเรื่อง The Game of Throne ของ HBO ทั้งการออกแบบโดยเฉพาะส่วนที่เป็นลำแสงจากด้านหลัง และจากพื้นเพของเรื่องที่มีการช่วงชิงหักเหลี่ยมกันเพื่อจะได้นั่งบัลลังก์นี้…”

คราวที่แล้วเราได้เดินเข้ามาในวิหารเซ็นต์ปีเตอร์แล้วได้ไปชื่นชมกับ Pieta และไปคารวะรูปหล่อสำริดของนักบุญปีเตอร์ โดยการสัมผัสท่านที่เท้าขวาพร้อมอธิษฐานขอพร หากเดินต่อเข้ามาก็จะพบกับ

 

ซุ้มพิธีหรือแท่นบูชา บาลเเดกคีโน Baldacchino

City Break ROME Italy 1

หากเราเดินเข้ามาตรงที่ใจกลางของวิหารจุดที่ตัดกันของระหว่างโถงทางเข้าที่เรียกว่า Naive กับส่วนปีกที่เรียกว่า Transept ให้นึกถึงไม้กางเขน เพราะการวางผังสร้างโบสถ์คริสต์นั้นมักจะวางเลย์เอ้าท์แบบไม้กลางเขน และจุดตัดกันของไม้ทั้งสองก็คือจุดที่เป็นปะรำพิธีนั้นเอง

แต่ที่วิหารนี้เราจะพบกับซุ้มพิธีหรือแท่นบูชาของสันตะปาปาที่เรียกว่าบาลเเดกคีโน ซึ่งเป็นฝีมือของ แบร์นินี่ (Gian Lorenzo Bernini) ที่ทำจากโลหะสำริดใช้ทองแดงกว่า 50,000 กิโลกรัม ซึ่งนำบางส่วนมาจากวัดปานเตออนแล้วมาหลอมทำใหม่ นี่คือการรีไซเคิลที่ชาวโรมันรู้จักใช้กันมานานแล้ว โดยเสาทั้ง 4 ต้นมีลวดลายบิดแบบเกลียวของพายุหมุนทอร์นาโดอย่างที่ไม่ปรากฏในงานอื่นของยุคนั้นมากนัก ทำให้ถูกวิพากษ์วิจารณ์พอควร แต่เนื่องจากแบร์นินี่นำต้นแบบเสาบางต้นของวิหาร St.Peter เดิมมาใช้ และความที่ตัวเองเป็นต้นตำรับคนหนึ่งของศิลปแบบบาโรคที่มีรายละเอียดมากมายคนยุคนั้นจึงรับยังไม่ได้ เสาทั้ง 4 ต้นนั้นสูงประมาณ 100 ฟุตแต่มันดูเตี้ยไปถนัด เมื่อเทียบความสูงของยอดโดมด้านบนที่สูงถึง 452 ฟุต
จุดที่วางบาลเเดกคีโน นั้นนอกจากอยู่ใต้โดมของมิเกลานจิโรพอดีแล้วยังอยู่เหนือ St. Peter’s crypt หรือหลุมศพของนักบุญปีเตอร์พอดีอีกด้วย แต่ที่วาติกันไม่ได้เป็นที่ฝังศพแค่นักบุญคนเดียว แต่ยังมีสันตะปาปาอีก 91 พระองค์จากทั้งหมด 245 พระองค์ นับจากศตวรรษที่ 1 ถึงปัจจุบันที่ถูกฝังไว้ใต้วิหารแห่งนี้ รวมทั้งจักรพรรดิออตโต้ที่ 2 แห่งจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธ์ (Holy Roman Emperor Otto II) และพระราชินี Christina แห่งสวีเดนที่มาใช้ชีวิตบั้นปลายทำนุบำรุงศาสนาอยู่ที่โรม

 
บัลลังก์ของสันตปาปา ซึ่งเรียกว่า Cathedra Petri หรือ “Throne of St. Peter”

City Break ROME Italy 2

เก้าอี้ตัวเดิมของนักบุญปีเตอร์ก่อนที่จะมีการสร้างบัลลังก์มาแทนโดยแบร์นินี่

จะเห็นว่าที่อยู่ด้านหลังของซุ้มนั้นมีบัลลังก์ที่สวยงาม ซึ่งเป็นการสร้างแทนเก้าอี้เดิมที่เคยถูกใช้โดยเซ็นต์ปีเตอร์และสาวกคนอื่น แต่เนื่องจากผุพังไปทำให้สันตะปาปา Pope Alexander VII ต้องแต่งตั้งแบร์นินี่ผู้ที่สร้างซุ้มพิธีนั้นรับผิดชอบบัลลังก์นี้ด้วย Bernini จึงสร้างบัลลังก์นี้ด้วยBronze โลหะสำริดแบบเดียวกับที่ใช้สร้างซุ้มพิธี โดยที่ฐานมีนักบุญ Ambrose และ Augustine ซึ่งถือเป็น Doctors of the Church หรือผู้รู้ผู้คงแก่วิชาของศาสนาคริสต์ช่วยอุ้มพยุงบัลลังก์นี้ไว้

มีคนพูดกันว่าบัลลังก์นี้มีส่วนคล้ายกับที่อยู่ในหนังเรื่อง The Game of Throne ของ HBO ทั้งการออกแบบโดยเฉพาะส่วนที่เป็นลำแสงจากด้านหลัง และจากพื้นเพของเรื่องที่มีการช่วงชิงหักเหลี่ยมกันเพื่อจะได้นั่งบัลลังก์นี้ ก็ไม่ต่างกับในหลายยุคหลายสมัยของการขึ้นเป็นสันตะปาปาของที่นี่

City Break ROME Italy 3

เนื่องจากการเป็นสันตะปาปาหรือ Pope คือการได้มาซึ่งอำนาจที่ยิ่งใหญ่ เพราะก็คือการเป็นประมุขของคริสต์ศาสนานิกายโรมันแคธอริคซึ่งนั่นหมายถึงเครือข่ายของศาสนานิกายนี้จากทั่วโลกต้องขึ้นตรงกับวาติกัน และอีกบทบาทหนึ่งคือการเป็นประมุขของกรุงวาติกันหรือเปรียบเสมือนกษัตริย์ของรัฐอิสระหรือประเทศวาติกันที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์

มาถึงตรงนี้คงต้องเท้าความถึงความเป็นมาของกรุงวาติกันก่อน ซึ่งจะว่าไปนั้นมีความรุ่งเรืองต่อเนื่องติดต่อกัน หลังจากที่กรุงโรมและอาณาจักรโรมันตะวันตกถึงยุคเสื่อมเมื่อเจริญสูงสุดแล้วก็เริ่มอ่อนแอจนพวกบาบาเรี่ยนหรือพวกป่าเถื่อนเอาชนะกองทัพโรมันได้กรุงโรมก็แตกไป ยังคงอยู่แต่อาณาจักรโรมันตะวันออกที่มีเมืองหลวงที่ชื่อคอนสแตนติโนเปิล(อีสตันบูล ในปัจจุบัน) ซึ่งก็ตั้งชื่อตามจักรพรรดิคอนสแตนตินที่หันมานับถือศาสนาคริสต์ ทำให้กรุงโรมเริ่มกลับมามีการฟื้นฟูใหม่แต่ครั้งนี้เป็นอาณาจักรทางศาสนา ยิ่งเมื่อเข้าสู่ยุคกลางในช่วงปีค.ศ.750-800 โดยประมาณ ยุโรปตะวันตกส่วนใหญ่ที่เคยเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรโรมันตะวันตกก็ถูกรวบรวมเข้ามาอยู่ภายใต้อาณาจักรโรมันอันศักด์สิทธ์ (Holy Roman Empire) ซึ่งกินอาณาเขตพื้นที่ปัจจุบันของฝรั่งเศส, เบลเยี่ยม, เนเธอร์แลนด์, เยอรมัน, อิตาลี โดยการนำองกษัตริย์ชาวแฟงค์ที่ชื่อ ชารล์มานย์ Charlemagne หรือที่ได้ฉายาว่า Charles the Great (ละติน Carolus or Karolus Magnus)

City Break ROME Italy Charlemagne Crowned

ซึ่งท่านก็ปกป้องและเคร่งศาสนาโรมันแคธอลิคพอควร ถึงขนาดขอให้ สันตะปาปาลิโอที่3 (Pope Leo III) ทำพิธีสถาปนาขึ้นครองตำแหน่งจักรพรรดิแห่งอาณาจักรโรมันอันศักด์สิทธ์ในวันคริสมาสต์ปีค.ศ.800 ที่กรุงโรม ณ วิหาร เซนต์ปีเตอร์ (เดิม)หลังแรก และเมื่อได้รับการendoseคือยอมรับที่จะปกป้องโดยจักรพรรดิและกษัตริย์ของยุโรปในทุกยุคสมัย ก็ทำให้อาณาจักรของสันตะปาปานั้นยิ่งใหญ่เป็นประเทศเรียกว่าปาปาสเตท Papal State กินอาณาเขตในภาคกลางของคาบสมุทรอิตาลีเกือบหมด ใครจะท้าทายอำนาจของคริสตจักรนั้นก็มักแพ้ราบคราบไป

พอเข้าสู่ยุคฟื้นฟูศิลปะวิทยาการหรือ Renaissance นั้น วิทยาการสมัยใหม่ทำให้นักวิทยาศาสตร์อย่างกาลิเลโอเริ่มออกมาพูดขัดแย้งกับความเชื่อเดิมๆ เช่น พระเจ้าสร้างโลกและโลกแบนตลอดจนเป็นศูนย์กลางของจักรวาลนั้นเริ่มไม่ใช่ และความฟุ่มเฟือยในวาติกันที่มักมีงานเลี้ยงและสะสมของมีค่า หรือแม้แต่การสร้างวิหารเซ็นตปีเตอร์ใหม่มีการใช้เงินมหาศาลทำให้เกิดวิธีการหารายได้แปลกๆ เข้ามา เช่น ต้องมีการบริจาคเงินเข้าวัดเท่านี้เท่านั้นจึงได้บุญเท่านั้นเท่านี้ ทำให้เกิดกระแสต่อต้านมากขึ้นเกิดเป็นศาสนาคริสต์นิกายใหม่ เช่น โปแตสแทนและอื่นๆ ขึ้นมาถ่วงดุลจนทำให้เกิดสงครามศาสนาในยุโรปอยู่เนืองๆ หากว่าผู้นำศาสนานิกายใหม่ไม่ยอมขึ้นตรงต่อวาติกัน

City Break ROME Italy ben and francis

แต่กฎแห่งแรงโน้มถ่วงที่ว่า “what goes up must come down” นั้นมีอยู่จริง การที่พระสันตะปาปาทรงมีอำนาจทางโลกล้นฟ้า และเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับทางการเมืองมากเกินไป ทำให้กลุ่มอำนาจรัฐในยุโรปหลายแห่งจึงเริ่มที่จะเล่นเกมต่อต้านพระองค์ เพื่อลิดรอนอำนาจลง จนทำให้เขตการปกครองอย่างปาปาสเตทหดหายไป เหลืออยู่แค่รอบๆ กรุงโรมเท่านั้น ในปี ค.ศ. 1860 เมื่อ พระเจ้าวิคเตอร์ เอมานูเอลที่ 2 ผู้ที่รวบรวมอิตาลีจากแค้วนใหญ่เล็กให้เป็นประเทศอิตาลี มีการทำประชามติว่าสมควรให้กรุงโรมเป็นส่วนหนึ่งของอิตาลี หรือเป็นปาปาสเตทของวาติกันต่อไป ผลออกมาปรากฏว่า ประชาชนเทคะแนนให้โรมเป็นส่วนหนึ่งของอิตาลี แต่องค์สันตะปาปาปิอุสที่ 4 ซึ่งเป็นประมุขศาสนาในขณะนั้นก็ไม่ออกมาคุยกับรัฐบาลเพื่อยอมรับว่าอาณาจักร Papal State ไม่มีอีกแล้ว แต่ได้ประกาศตัดขาดกับโลกภายนอก ประทับอยู่ภายในนครรัฐวาติกันเพียงอย่างเดียวรวมทั้งสันตะปาปาองค์ต่อๆ มาอีก 4 พระองค์ก็ยึดถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติไม่ยอมยุ่งเกี่ยวกับโลกภายนอกต่อเนื่องกินเวลาถึง 60 ปี (1870-1929)

City Break ROME Italy Concentracion fascista en Genova

จนถึงสมัยของนายกคนดังที่ชื่อ เบนิโต้ มุสโสลินี (Benito Amilcare Andrea Mussolini) ในปี ค.ศ. 1929 ได้มีการทำสนธิสัญญา ลาเตรัน (Lateran Treaty ได้ชื่อนี้มาเพราะมีการเซ็นกันที่พระราชวังลาเตรัน) ให้การรับรองและคํ้าประกันอธิปไตยของนครรัฐวาติกัน พร้อมทั้งอำนวยความสะดวกสบายอีกหลายๆ อย่าง เพื่อให้นครแห่งนี้สามารถดำรงอยู่ได้ในฐานะรัฐอิสระ เหมาะสมที่จะให้สันตะปาปาปฏิบัติภารกิจ ในฐานะองค์ประมุขของชาวคาทอลิกทั่วโลกได้ แถมรัฐบาลอิตาลียังให้เงินที่คิดเป็นมูลค่าปัจจุบันได้นับ 1,000 ล้านดอลล่าร์อเมริกัน

City Break ROME Italy Vatican City Map

ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา Vatican จึงกลายเป็นประเทศที่สมบูรณ์แบบ ถือเป็นรัฐอิสระที่เล็กที่สุดในโลก มีสถานีวิทยุ, ที่ทำการไปรษณีย์, สถานีรถไฟ,ธนาคารของวาติกันเอง และร้านค้าปลอดภาษีทุกชนิด มีสำนักพิมพ์ของตนเอง เช่น มีหนังสือพิมพ์ชื่อ โลสเสอร์วาโตเร โรมาโน , มีป้ายทะเบียนรถ, หรือโดเมนเนม .VA

ถ้าพูดถึงเนื้อที่รวมจะมีประมาณ 250 ไร่ ในนครแห่งนี้ด้วยวังวาติกันมีเนื้อที่ 150 ไร่ ซึ่งรวมวิหารเซนต์ปีเตอร์ พิพิธภัณฑ์วาติกัน หอสมุดวาติกัน และที่ประทับขององค์พระสันตะปาปาตลอดจนอุทยานวาติกันอันงดงาม พื้นที่นอกเขตดังกล่าวที่ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของวาติกันด้วยก็คือ วังกัสเตลกันดอลโฟ (Castelgendolfo) อันเป็นที่ประทับ ที่อยู่นอกชานกรุงโรมไปทางทิศใต้, มหาวิทยาลัยเกรโกเรียน (Gregorian University) และโบสถ์ 13 แห่งในกรุงโรม

City Break ROME Italy Swiss Guard

วาติกันมีพลเมืองประมาณ 900 คน ไม่มีกองกำลังทหารของตัวเอง มีแต่ Swiss Guards ผู้ดูแลความสงบเรียบร้อย ซึ่งต้องว่าจ้างทหารสวิสที่มีคุณสมบัติคือเป็นคาธอลิก ยังไม่แต่งงาน ได้รับการฝึกทหารแบบสวิส อายุระหว่าง 19-30 และสูงอย่างน้อย 174 ซม. จริงๆ แล้วทหารสวิสมีมาตั้งแต่ ค.ศ. 1506 แล้วถูกว่าจ้างมาเป็นองครักษ์ของสันตะปาปา Pope Julius II ที่น่าสนใจคือการแต่งกายของทหารสวิส ซึ่งชุดปัจจุบันนั้นมีสีส้ม,เหลือง,แดง,ฟ้า ออกแบบโดย Jules Repond ในปี 1914 โดยได้รับอิทิพลจากชุดทหารสวิสเดิมในสมัย Renaissance ที่ออกแบบโดย “มีเกลันเจโล” และดัดแปลงโดย “ราฟาเอล” เลยเชียว

City Break Rome Part II

เราคงเคยได้ยินคำพูดที่ว่า Rome wasn’t built in a day ซึ่งเป็นการเปรียบเปรยว่า …คุณอย่าคาดหวังว่าจะทำงานใหญ่หรืองานสำคัญให้สำเร็จได้ในเวลาอันสั้น… เช่นเดียวกับการเที่ยวในโรม ถ้าจะให้ได้สาระเป็นเรื่องเป็นราวนั้นอย่าหวังว่าจะใช้เวลาวันเดียวเลย ดังนั้นผมจึงต้องขอแบ่งเรื่องเที่ยวโรมออกเป็น 3 หัวข้อ แต่คงจะมีมากกว่า 3 ตอนแน่ๆ เพราะในบางสถานที่จะมีรายละเอียดมากหน่อย
1.เที่ยวโรมแบบผู้ที่ยังใหม่กับโรม
2.เที่ยวโรมแบบผู้ชำนาญโรมแล้ว
3.เที่ยวแบบ Day Trip นอกกรุงโรม

เบรกเที่ยวในโรม…เที่ยวโรมแบบผู้ที่ยังใหม่กับโรม (ตอนที่ 1)
หากคุณเป็นแฟนรายการ TV ทื่ชื่อ ‘Family Feud’ ที่ดำเนินรายการโดย Steve Harvey โดยนำ 2 ครอบครัวมาแข่งตอบคำถามที่มีการทำsurveyคำตอบมาแล้วว่าถ้าถามคำถามแบบนี้แล้ว ใน100 คน จะตอบว่าอะไร คำตอบไหนที่คนตอบเหมือนกันเยอะที่สุดก็จะได้คะแนนสูงสุด เช่น ถามว่า “หากคุณได้มีโอกาสมาที่โรมคุณอยากไปที่ไหนมากที่สุด?” ผมว่าคนส่วนใหญ่น่าจะตอบตรงกับสถานที่ดังกล่าวข้างล่างนี้ เช่น กรุงวาติกัน, คอลอสเซี่ยม, น้ำพุเตรวี่ เอาเป็นว่าถ้าคุณยังใหม่กับโรม ผมแนะนำว่าคุณไม่ควรพลาดกิจกรรมที่ผมนำเสนอต่อไปนี้

 

1.ไปฟังโป๊ปเทศน์ที่จัตุรัส St.Peterในกรุงวาติกัน
พร้อมๆ กับเหล่าบรรดาคริสต์ศาสนิกชนจากทั่วโลกที่มีจิตศรัทธาขวนขวายหาโอกาสครั้งหนึ่งในชีวิต เพื่อเดินทางมาที่ลานหน้าวิหารแห่งนี้ในวันพุธ ตอน 11:00 น. ของทุกสัปดาห์ หากท่านสันตะปาปาไม่ติดภารกิจใดๆ ก็จะเทศน์ออกไมค์ให้ประชาชนที่มีจิตศรัทธาได้ฟัง (ยกเว้นช่วงเดือนกรกฎาคมและสิงหาคม ที่ท่านจะประทับอยู่นอกกรุงวาติกัน เป็นพระราชวังฤดูร้อนที่ชื่อ Castel Gandolfo ซึ่งท่านก็จะเทศน์ทุกวันพุธที่นั่นเช่นกัน) และหลังพิธีสวดในวันอาทิตย์ที่ท่านว่างก็อาจลงมาประทานพรให้กับฝูงชนที่ลานหน้าวิหาร หรือที่เรียกให้ถูกต้องก็คือ Piazza San Pietro เป็นลานมหาชนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลกโดยฝีมือของ แบร์นินี่ (Gian Lorenzo Bernini)
 

Vatican City Rome Italy

สร้างในปีค.ศ. 1656-67 หากมองจากด้านบนจะเห็นเหมือนรูปรูกุญแจขนาดใหญ่ที่จะไขปัญหาต่างๆ ของผู้มีจิตศรัทธา ที่บริเวณขอบรอบๆ ของลานจะมีระเบียงทางเดิน(colonnades)เข้าสู่วิหาร โดยระเบียงทางเดินนั้นจะมีเสาแบบ Doric 248 ต้นพยุงหลังคาที่มีรูปปั้นนักบุญทั้งหมด 140 องค์ยืนอยู่ด้านบนคอยประทานพรให้ระหว่างการเดินเข้าสู่วิหารจากทั้ง 2 ด้าน รูปปั้นนักบุญทั้งหมดนี้มีความสูงเฉลี่ยเท่ากันที่ 3.10 เมตรและใช้เวลากว่า 40 ปีในการทำสำเร็จครบทั้งหมด

 

St Peters Square Rome Italy 2

ถ้าดูจากด้านบนแบร์นีนี่ตั้งใจจะให้เป็นเหมือนแขนที่ยื่นออกไปโอบต้อนรับผู้มีจิตศรัทธาเข้าสู่วิหารแห่งนี้ (ดูรูปด้านบนที่ถ่ายจากมุมสูงประกอบ)ในขณะที่ตรงกลางลานนั้นเป็นเสาหิน Obelisk หนัก 35 ตัน สูง 25 เมตร จากเมือง Heliopolis ในอียิปต์ที่ขนมาเมื่อครั้งอียิปต์เป็นเมืองขึ้นของจักรวรรดิโรมัน และเนื่องจากสถานที่นี้เคยเป็นสนามกีฬาแข่งรถเทียมม้าของจักรพรรดิเนโรมาก่อนที่ท่านจะเผากรุงโรม เสาต้นนี้เคยใช้เป็นหลักกำหนดสำหรับให้รถม้าเลี้ยววนกลับเวลาแข่งขัน

แต่หากเราไม่ได้มาตรงกับวันพุธไม่ได้ฟังPopeก็ไม่เป็นไร เพราะวิหาร St.Peter หรือ San Pietro (ภาษาอิตาเลียน) ที่อยู่ข้างหน้านั้นคือศูนย์กลางของคริสต์ศาสน์จักร ของโลกซึ่งมีความศักดิ์สิทธ์และน่าศรัทธายิ่งสำหรับคริสต์ชน ดังนั้นแม้ว่าเราจะนับถือศาสนาอื่นใดหรือสิ่งศักดิ์สิทธ์ที่แตกต่างไป ก็ไม่น่าจะใช่ข้ออ้างที่จะไม่เข้าไปคารวะสิ่งศักดิ์สิทธ์ในวิหารแห่งนี้ อย่างน้อยเพื่อให้ได้ประจักษ์ว่าวิหารที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกนั้นเป็นอย่างไร

 

St Peters Square Rome Italy 1
ประวัติมีอยู่ว่า วิหาร St.Peter (เดิม) ได้ถูกสร้างขึ้นในศตวรรษที่ 4 โดยจักรพรรดิคอนสแตนติน จักรพรรดิพระองค์แรกของอาณาจักรโรมัน (ตอนนั้นเข้าสู่ยุคของโรมันตะวันออกหรือ Byzantineแล้ว) ที่หันมานับถือศาสนาคริสต์ จากนิมิตที่ทำให้ท่านฝันเห็นพระเจ้าก่อนออกรบ และเมื่อรบชนะในครั้งนั้นก็เกิดความเลื่อมใส จึงให้ชาวโรมันหันมานับถือศาสนาคริสต์ได้ จากที่ก่อนหน้านั้นจักรพรรดิโรมันนับถือเทพเจ้าหลายองค์แบบกรีซและหากมีใครชักนำให้นับถือคริสต์ต้องถูกจับตรึงกางเขน ซึ่งทำให้ท่านได้เริ่มทยอยสร้างวิหารต่างๆ ด้วยความศรัทธายิ่ง
 

reconstruction of old basilica of st peter

ภาพบนนี้ คือวิหาร St.Peter หลังเก่า

ณ จุดที่ท่านสร้างวิหารแห่งนี้ก็คือจุดซึ่งเชื่อว่าเป็นจุดที่นักบุญปีเตอร์ สาวกเอก(สาวกองค์แรก เปรียบเหมือนพระอัญญาโกณฑัญญะ เป็นพระภิกษุสาวกของพระพุทธเจ้าที่บรรลุก่อนได้บวชก่อนสาวกอื่น แต่ในขณะที่ศาสนาพุทธนั้นสาวกพุทธเจ้านั้นมี 5 พระองค์แต่ในศาสนาคริสต์มี 12 พระองค์) ของพระเยซูคริสต์ หรือ Jesus Christ ได้ถูกตรึงกางเขนและฝังไว้ที่นี่ และ St.Peter ก็ถือว่าเป็นPopeหรือสันตะปาปาพระองค์แรกของศาสนาโรมันคาธอลิกด้วยในฐานะที่เป็น Bishop of Rome (มีการสำรวจในปี 1953 ด้วยการขุดพบกระดูกชายวัย60 และมีใยผ้าสีม่วงที่สวมใส่ในสมัยนั้นโดยเฉพาะผู้ที่เป็นที่เคารพบูชาหรือมีความศักดิ์สิทธ์ซึ่งนักโบราณคดีชื่อ Margherita Guarducci, และอีกหลายคนเชื่อว่าเป็นกระดูกของนักบุญปีเตอร์จริงๆ และเมื่อปี 2013 ทางวาติกันได้นำอัฐิของนักบุญปีเตอร์ออกแสดงกับสาธารณะชนเป็นครั้งแรก

อย่างไรก็ตามวิหารที่คอนสแตนตินสร้างก็ไม่ได้อยู่มาให้เราเห็นทุกวันนี้ เพราะได้ผุพังไปมากไม่คุ้มค่าการบูรณะและดูไม่ยิ่งใหญ่พอ จึงมีการรื้อทิ้งและสร้างวิหารองค์ปัจจุบันทับ ณ จุดเดียวกันในสมัยศตวรรษที่15 หรือในยุค Renaissance (ยุคเกิดใหม่หรือยุคแห่งการฟื้นฟูศิลปะวิทยาการ) ริเริ่มโดยสันตะปาปาNicholasที่ 5แต่มาดำเนินการจริงจังโดยสันตะปาปา Juliusที่2 ที่ให้ บรามันเต้ (Bramante) เป็นสถาปนิกเจ้าของโครงการซึ่งก็โดนวิจารณ์มาก เนื่องจากรื้อวิหารเดิมจนทำให้ภาพโบราณแบบเฟรสโก้ (Frescoes) และโมเสส (Mosaics) ของยุค Byzantine เสียหายหมด โครงการก็เลยไม่ได้รับการสนับสนุนเท่าที่ควรจนบรามันเต้ตายไปในปี 1514 ก็มีการสานต่อโดยสถาปนิกอย่างราฟาเอล Raphaelและ Antonio da Sangallo

michelangelo-buonarroti

ซึ่งงานก็ไม่คืบหน้านักจนเหมือนกับมีปาฏิหาริย์จากเบื้องบนที่เห็นว่าไม่มีใครทำสำเร็จจึงดลบันดาล ส่ง’เทพแห่งงานศิลปะและสถาปัติยกรรม’ ที่ชื่อ มิเกลานจิโล Michelangelo (1475-1564) มาสานงานต่อตอนเขาอายุ 72 ซึ่งตอนนั้นถือว่าสะสมประสบการณ์มากมายมาจึงทำให้ส่วนโดมที่ถือว่าเป็นส่วนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของวิหารสำเร็จได้ แม้ว่าเขาจะเสียชีวิตไปก่อนที่จะได้เห็นผลงานของตัวเองตอนสร้างเสร็จสมบรูณ์

 

Cupola-san-Pietro Rome Italy

แต่ผลงานอื่นๆ ที่เขาฝากไว้ที่นี่ก็ยังมีอีกที่โดดเด่นก็คือรูปปั้น Pieta ที่งดงามแบบต้องหยุดหายใจชั่วขณะ สำหรับผู้หลงใหลในงานศิลปะคงจะทราบดีว่ามิเกลานจิโล่ทำผลงานชิ้นนี้เมื่อตอนอายุขึ้น 25 ปีเท่านั้น (ปี1449) และเป็นผลงานเดียวที่เขาเซ็นชื่อลงไป แต่เชื่อหรือไม่ว่ารูปปั้นที่สวยงามที่เห็นนั้นเคยถูกค้อนทุบมาแล้วในปี 1972 โดยนาย Laszlo Toth ซึ่งจิตไม่ปกติใช้ค้อนทุบแขนซ้ายพระแม่มารีหักตรงข้อศอกแล้วตรงจมูกก็แตกทำให้ตอนนี้จะเห็นว่ามีกระจกกันกระสุนป้องกันรูปปั้นนี้อยู่

michelangelo_pieta_vaticana

รูปปั้นแม่พระประคองร่างพระเยซูลงจากถูกตรึงกางเขน ที่มีชื่อว่า Pieta

 

St Peter Rome Italy

เราสามารถชื่นชมผลงานนี้ทันทีที่เราก้าวเข้าประตูวิหารแล้วมองไปทางกำแพงด้านขวา พูดถึงประตูของวิหารเราจะสังเกตว่าประตูขวาสุดนั้นจะไม่มีการเปิด ยกเว้นแต่ปีที่เป็น Holy Year หรือ Jubilee Year คือทุกๆ 25 ปีเท่านั้น ประตูนี้ถือเป็นประตูศักดิ์สิทธ์ที่มีชื่อว่า Porta Santa (Holy Door) ซึ่งผมเคยโชคดีที่เคยได้เดินเข้าประตูนี้มาแล้วเพราะบังเอิญว่าได้ไปโรมตรงปี Holy Year พอดีในปี 2000 นั่นหมายความว่าการเปิดประตูครั้งต่อไปอย่างเป็นทางการจะเป็นปี 2025 อย่างไรก็ตามหากสันตะปาปาเห็นว่าเหมาะสมอาจออกกฤษฎีกาเพื่อเปิดประตูนี้ในระหว่างนั้นได้ อย่างเช่นครั้งล่าสุด วันที่ 13 ในเดือนมีนาคม 2015 สันตะปาปาฟรานซิส (Pope Francis) ได้ประกาศให้ช่วงวันที่ 8 ธันวาคม 2015 ถึง 20พฤศจิกายน 2016เป็นช่วงปีแห่งการเมตตา Year of Mercy หรือเป็น Holy Year พิเศษซึ่งมีผู้ศรัทธามาลอดประตูนี้กว่า 20 ล้านคน สำหรับผู้ที่มีบาปการได้ลอดประตูนี้ก็เหมือนได้รับการยกโทษ (Forgiveness ) ในภาพด้านล่างจะเห็นโป๊ปกำลังปิดประตูศักดิ์สิทธิ์ในตอนเย็นของวันที่ 20 พฤศจิกายน 2016 ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของ Year of mercy

 

เมื่อเดินเข้ามาด้านในสิ่งที่ต้องทำก็คือไปคารวะนักบุญ St.Peter ที่หล่อด้วยทองสำริดด้วยการลูบสัมผัสที่เท้าซ้ายของท่านซึ่งจะเห็นว่าใครที่มาที่นี่ก็จะทำเช่นเดียวกัน ซึ่งน่าเห็นใจท่านมากจริงๆ เพราะเท้าซ้ายของท่านนั้นแม้เป็นโลหะแต่ก็ยับเยินไปด้วยมือของมหาชนจากทั่วสารทิศ จริงๆ แล้วน่าจะเอากระจกกันกระสุนมากั้นแบบเดียวกับรูปปั้นPieta

St Peter Rome Italy 2

St Peter Rome Italy 1

ฝีมือศิลปินผู้ที่หล่อสำริดนี้น่าจะเป็นของ Arnolfo di Cambio ทำขึ้นมาในช่วงศตวรรษที่13 แต่ก็มีการถกเถียงในระหว่างนักประวัติศาสตร์ด้วยกันที่ว่าน่าจะทำมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 5 แล้ว

 

วิหารเซ็นต์ปีเตอร์และกรุงวาติกันยังมีอะไรน่าสนใจอีกเยอะ คงต้องมาเที่ยวต่อกันในคราวหน้านะครับ

City Break Rome Part I

“.. เพราะมันเคยมีประโยคภาษาละตินในยุคกลางที่เขียนว่า “sifuerisRōmae, Rōmānōvīvitōmōre; sifuerisalibī, vīvitōsīcutibī หรือแปลเป็นภาษาอังกฤษง่ายๆ ว่า “ When in Rome, do as the Romans do”…

ถ้าจะพูดถึงเมืองที่ทำให้เราตกหลุมรักแบบไม่ยาก ถึงแม้คุณจะเป็นคนเรื่องมากก็อาจตกหลุมรักไปแบบไม่รู้ตัวนั้น มันคงต้องเป็นเมืองที่มีเสน่ห์ไม่เบา อาจไม่สวยเพอร์เฟคแต่เสน่ห์มันต้องเร้าใจแน่ๆ ใช่แล้วครับผมกำลังพาคุณไปเที่ยวกรุงโรมา หรือ กรุงโรมในภาษาอังกฤษ มีฉายาว่า“The Eternal City” หรือ “อมตะนคร” ต้นกำเนิดอารยะธรรมของโลกตะวันตก ในทุกด้านทุกแขนงของโลกปัจจุบันไม่ว่าจะเป็นศาสตร์สาขาไหน ศิลปกรรม, สถาปัตยกรรม, วิศวกรรม, รัฐศาสตร์การเมืองการปกครอง รวมถึงวัฒนธรรมการกินการดื่มที่ตกทอดกันต่อมาถึงทุกวันนี้ เมืองนี้มีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมายที่สุดเมืองหนึ่งของโลกเพราะมันมีอายุกว่า 2000 ปี และมีความยิ่งใหญ่ที่สุดดังมีคำเปรียบเปรยความยิ่งใหญ่ที่ว่า “ถนนทุกสายนั้นมุ่งสู่กรุงโรม”

หลายๆ คนคิดว่าเรารู้จักกรุงโรมดีเพราะเคยไปเที่ยวมาแล้ว แต่จริงๆ อาจมีอีกหลายอย่างหลายแง่หลากมุมที่เรายังไม่ได้สัมผัส ลองมาดูกันครับว่าถ้าเราได้มีโอกาสได้มาใช้เวลาแบบเบรกสั้นๆซัก 4-5 วันในโรม เราจะมีอะไรทำหรือควรต้องทำบ้างหรือควรทำอะไรแบบที่คนโรมันทำบ้าง…เพราะมันเคยมีประโยคภาษาละตินในยุคกลางที่เขียนว่า “ sifuerisRōmae, Rōmānōvīvitōmōre; sifuerisalibī, vīvitōsīcutibī หรือแปลเป็นภาษาอังกฤษง่ายๆว่า “ When in Rome, do as the Romans do” หมายถึงการที่เราเป็นแขกไปเยี่ยมใครที่ไหนนั้น มันเป็นความสุภาพ และเป็นการให้เกียรติเจ้าภาพหรือเจ้าบ้าน หากเราจะทำตามขนบธรรมเนียมของเขา ซึ่งเขาก็มักจะให้เกียรติเราเป็นการตอบแทน…

เบรกพักในโรม (เลือกย่านโรงแรมที่พัก)
การมาอยู่ในเมืองใหญ่ที่ไหนๆ ก็ควรมีการวางแผนก่อนว่าเราควรจะพักย่านไหนดี มันสะดวกกับการเดินทางไปไหนมาไหนของเราใน 4-5 วันนี้หรือไม่ เราจึงควรทำการบ้านเรื่องย่านที่พักให้ดี ซึ่งผมก็ได้ช่วยทำการบ้านมาให้แล้วสำหรับเมืองนี้
ย้อนประวัติศาสตร์กลับไปกว่า 3000 ปี หรือประมาณ 800 ปีก่อนคริสตกาล มีตำนานเรื่องนางหมาป่าที่มาแวะดื่มน้ำที่ฝั่งแม่น้ำไตเบอร์ ณ จุดที่ตั้งโรมในปัจจุบัน แต่เมื่อก่อนมันก็คือป่าที่มีเนินเขาอยู่รายรอบบริเวณถึง 7 ลูก (ซึ่งต่อมามีชื่อเรียกตามที่ปรากฏข้างล่างนี้) ในวันนั้นนางหมาป่าได้พบเด็กฝาแฝดแบเบาะ 2 คนลอยน้ำมาเกยตื้นอยู่จึงนำมาเลี้ยง และตั้งชื่อว่า Romulus กับ Remus แต่ทั้งสองโตขึ้นมาก็ไม่มีใครยอมใครแม้เป็นพี่น้องกัน เพราะเก่งกล้าทั้งคู่ เช่นมีการถกเถียงกันว่าควรจะสร้างเมืองบนเนินเขาลูกไหนดี Romulus ว่าควรเป็นเขา Palatineแต่ Remus บอกต้องเป็นเขา Aventine ทำให้ในที่สุดก็ทะเลาะกันแล้วน้องก็แพ้พี่ไป โดนผู้ที่สนับสนุนตัวพี่ Romulus ให้ขึ้นครองราชย์จัดการสังหารผู้น้อง Remus ไป ต่อมาก็เลยตั้งชื่อเมืองที่อยู่บนเขา Palentine ตามชื่อตัวเองว่า Rome…

 

City Break ROME Part I 3

The Seven Hills of Rome (ในวงเล็บเป็นภาษาละติน ตามด้วยภาษาอิตาเลียน)
• Aventine Hill (Latin, Aventinus; Italian, Aventino)
• Caelian Hill (Cælius, Celio)
• Capitoline Hill (Capitolinus, Campidoglio)
• Esquiline Hill (Esquilinus, Esquilino)
• Palatine Hill (Palatinus, Palatino)
• Quirinal Hill (Quirinalis, Quirinale)
• Viminal Hill (Viminalis, Viminale)

แต่ผมไม่ได้จะแนะนำให้คุณหาโรงแรมที่พักบนเขาแต่ละลูกเหล่านี้ เพราะจริงๆ แล้วในวันนี้เราแทบจะไม่เห็นเนินเขาเล่านี้ในโรม เนื่องจากมันแค่เป็นเนินเขาเตี้ยๆ และการสร้างเมืองในยุคต่างๆ ก็สร้างซ้อนๆ ทับกันมาแบบขนมชั้นคือมีการถมสูงขึ้นไปเรื่อยจนเนินเขาไม่มีความเด่นชัด นี่เป็นสาเหตุหนึ่งที่รถไฟใต้ดินในโรมมีไม่กี่สถานี และเส้นทางก็ไม่ครอบคลุมนัก เพราะการขุดแต่ละแห่งแต่ละครั้งจะเจอแต่โบราณสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ ทำให้ขุดไปไม่ถึงไหนเพราะโบราณสถาน/วัตถุ มันสำคัญกว่ารถไฟใต้ดิน ขอกลับมาเรื่องย่านที่พักที่แนะนำดีกว่าเอาเป็นว่าผมมีให้เลือก 4 แบบนี้

 

1.หากต้องการจุดศูนย์กลางของทุกอย่างที่มีความคึกคักหรือหรูฟู่ฟ่า ควรหาที่พักในย่าน Tridente ตริเดนเต้, Trevi เตรวี่ หรือ Borghese โบร์กีสเซ่

City Break ROME Part I 1
รูปย่าน Tridente (Pic.Credit:http://www.approachableworld.com/)

ย่านเหล่านี้น่าจะเป็นทางเลือกที่สมบรูณ์แบบสำหรับผู้ที่ชื่นชอบการช้อปปิ้งและความเท่เก๋เลิศของโรม มีถนนสายหลักอย่าง via del Corso ซึ่งเป็นถนนเก่าแก่ที่สุดของโรม (คล้ายถนนเจริญกรุงของกรุงเทพฯ) ทีมีอายุกว่า 2000 ปีวิ่งตรงมาจากจัตุรัส Popolo ซึ่งหมายถึง People’s Square (หมายเลข 3 ในรูป)จริงๆ แล้วจะเห็นว่ามีถนนหลักเก่าแก่วิ่งเป็นเส้นตรงจากจตุรัสนี้นอกจาก via del Corso ก็มี via del Babuino (วิ่งจากจัตุรัสโปโปโล่สู่บันไดสเปน) และvia di Rripetta (วิ่งจากจัตุรัสมาฝั่งแม่น้ำไตเบอร์หมายเลข 4 ในรูปแล้วสามารถข้ามสะพานไปเที่ยว กรุงวาติกัน ที่อยู่ตามลูกศรหมายเลข 6 ได้)

 

คำอธิบายภาพด้านบน: จัตตุรัส Popolo หรือ People’s square ที่มีเสา obelisk ของกษัตรย์ Ramesses II แห่งอียิปต์ ถูกยึดมาโดยคำสั่งของ Augustus จักรพรรดิโรมันที่ขยายอาณาเขตไปถึงอียิปต์ แต่ตอนนำมาทีแรกจะถูกนำไปตั้งที่สนามแข่งรถเทียมม้า (แบบหนังเรื่องBenHur) ที่circus Maximus ส่วนด้านหลังของภาพจะเห็นวิหารฝาแฝด “twin” churches คือวิหาร Santa Maria in Montesanto (ซ้าย สร้างเมื่อปี1662-75) และ Santa Maria deiMiracoli (ขวา,สร้างเมื่อปี1675-79) จะเห็นทางเข้าถนน Via del Corso ที่อยู่ระหว่างวิหารทั้งสองส่วนถนนด้านซ้ายจะเป็น via del Babuino ตรงไปย่านบันไดสเปนและถนนด้านขวาคือถนน via di Rripetta ที่นี่จะมีส่วนคล้ายหรือถือเป็นต้นแบบของจัตุรัสคองคอร์ดในกรุงปารีส ทีมีเสาโอเบรีสค์ที่นำมาโดยนโปเลียนจักรพรรดิที่นิยมวิธีการแบบจักรพรรดิโรมันไม่ว่าจะวิธีการรบหรือการสร้างประตูชัยหรือการสวมมงกุฎใบมะกอกเมื่อได้รับชัยชนะ ที่เหมือนมากอีกเรื่องคือจัตุรัส Popoloก็เคยเป็นลานประหาร มาก่อนแนวเดียวกับจัตุรัสคองคอร์ดที่เคยใช้ประหารชีวิตนักโทษการเมืองรวมทั้งกษัตริย์หลุยส์ที่16 มาแล้วในช่วงปฎิวัติฝรั่งเศส

 

City Break ROME Part I 2

ส่วนบรรดาร้าน High end fashion designers ก็จะอยู่แถวถนน,Via Condotti (หมายเลข 8 ในรูป) อย่าลืมแวะดื่มกาแฟที่ร้าน Caffe Greco ซึ่งคือร้านกาแฟที่เก่าแก่ที่สุดของโรม(หมายเลข 7 ในรูป) และจัตุรัสสปาญญ่าหรือย่านบันไดสเปน piazza di spagna (หมายเลข 2 ในรูป) ที่เดินเพลินได้ทั้งวันแม้แต่ไม่ชอบช้อปก็มีมุมสวยๆ ให้ถ่ายรูปเยอะนอกจากการถ่ายแบบ street photographer คือถ่ายอากัปกริยาของคนที่มาเดินแถวนี้

จากย่านตริเดนเต้ลงใต้มาหน่อยก็เป็นย่านเตรวี่เดินไม่ไกลนักที่นี่มีน้ำพุเตรวี่ และมีจัตุรัส(Piazza) ดังๆ อยู่อีกหลายแห่ง เช่น piazza Colonna ที่มีอนุสาวรีย์ของจักรพรรดิโรมันที่เฉลียวฉลาดที่สุดพระองค์หนึ่งที่ชื่อ Marcus Aurelius สร้างมาคั้งแต่ ค.ศ. 180 เพื่อเฉลิมฉลองชัยชนะในศึกครั้งสำคัญ หรือแถวใกล้ๆ กับวิหารโรมันพันปีอย่างวิหารปานเตออน Pantheon ก็มีจัตุรัสโนวาน่า piazza Novana ซึ่งเป็นจัตุรัสที่สวยที่สุดของโรมและเต็มไปด้วยร้านอาหารร้านกาแฟที่มีความคึกคักทั้งกลางวันกลางคืน และหากชอบบรรยากาศแบบตลาดกลางแจ้งก็เดินต่อไปหน่อยที่ Piazza Campo de’ Fiori
City Break ROME Part I 9 rome piazza navona

คำอธิบายภาพด้านบน: จัตุรัสนาโวนา ที่สร้างขึ้น ณ จุดที่เคยเป็นสนามกีฬาที่จักรพรรดิ Titus Flavius Domitianus สร้างเป็นของขวัญประชากรโรมในปี ค.ศ. 80 ใช้แข่งกีฬาแบบกรีซ คือใช้แข่งประสิทธิภาพของนักกีฬาคนล้วนไม่แข่งรถเทียมม้าแบบ circus maximus แต่สนามกีฬาที่นี่ไม่แข็งแรงนักจึงพังไปเลย ทำให้ลานนี้กลายเป็นตลาดกลางเมืองอยู่นานก่อนตลาดจะถูกย้ายไปอยู่ที่ Piazza Campo de’ Fioriจุดเด่นของที่นีคือน้ำพุทั้ง 3 แห่งโดยเฉพาะตรงกลางชื่อน้ำพุแห่งแม่น้ำทั้ง 4 (Fontana dei Quattro Fiumiเสร็จในปี1651) ที่เป็นฝีมือของแบร์ดินี่ (Gian Lorenzo Bernini) ปรมาจารย์ด้านการแกะสลักหินอ่อนในยุคเรเนซองส์ 

ส่วนผู้ที่ต้องการอยู่ใกล้กับปอดของเมืองโรมติดสวนสาธารณะก็ต้องย่านสวนโบกีสเซ่ Borghese (หมายเลข 5 ในรูป) ย่านนี้มีบุกคลิกเคร่งขรึมและเรียบหรู เพราะย่านนี้เปรียบเสมือนย่าน Central Park ในนิวยอร์กนั่นเอง

ที่นี่มีวิลล่าชื่อเดียวกันคือ Villa Borghese ที่น่าเข้าไปชม และต้องบอกว่าวิวโรมจากสวนโบกีสเซ่นั้นจะสวยมากเพราะสวนจะอยู่บนเนินเขาหากไปจากบันไดสเปนก็ต้องปีนขึ้นไปสุดเลยครับแล้วเลี้ยวซ้ายไปก็จะเข้าเขตสวนโบกีสเซ่
City Break ROME Part I

วิวกรุงโรมจากโรงแรม Sofitel Villa Borghese

 

2.หากต้องการความประหยัดเรียบง่าย ควรหาที่พักในย่าน Esquilino เอสกีลิโน, Celio เซลิโอ หรือ San Lorenzo ซานลอเรนโซ
สำหรับท่านที่มองหาที่พักราคาประหยัดหน่อย ไม่ว่าจะsearchโรงแรมแบบประหยัดชื่ออะไรมาก็มักจะตั้งอยู่ย่านเหล่านี้ มันอยู่ใกล้สถานีรถไฟหลักของโรมที่ชื่อ แตร์มินี่ (Termini Railway Station) และก็สะดวกเรื่องเดินทางเพราะมีรถไฟใต้ดินไปในจุดที่คุณต้องการได้ไม่ยาก ผมยังจำได้ว่าการมาโรมครั้งแรกของผมสมัยยังเรียนอยู่นั้นก็มาถึงโดยทางรถไฟ โดยตอนนั้นมาจากฝรั่งเศสแวะเที่ยวฟลอเรนซ์และเซียน่าก่อนมาถึงโรม โรงแรมที่พักตอนนั้นชื่อ พาลาติโน อยู่ไม่ไกลจากสถานีรถไฟนัก

City Break ROME Part I 5 Esquilino

ภาพด้านบนคือ ย่าน Esquilino
3.หากต้องการย่านที่มีความความโรแมนติกแต่ไม่พลุกพล่าน
ควรหาที่พักในย่าน Trastevere ตราส์เตเวเร่ หรือ Gianicolo จานนิโคโล่

City Break ROME Part I 8

ย่านนี้อยู่บนฝั่งขวาของแม่น้ำไตเบอร์ Tiber คนละฝั่งกับย่านนักท่องเที่ยวที่เป็นไปด้วยความพลุกพล่าน ที่นี่เป็นย่านที่มีทิวทัศน์สวยงามโรแมนติก มีบรรยากาศแบบเรียบง่ายสบายไม่เร่งรีบแบบไม่เหมือนเมืองใหญ่ถือเป็นย่านunseenของโรมที่น่าสำรวจอีกแห่งหนึ่ง

 

City Break ROME Part I 11

จัตุรัส  Piazza Santa Maria ในย่าน Trastevere
City Break ROME Part I 10

การหาร้านอาหารกินหรือร้านกาแฟดีๆ ในย่าน Trastevere ไม่ใช่เรื่องยาก

วิวกลางคืนของโรมถ่ายจากเนินเขาแถบย่านจีอานนิโกโล Gianicolo

 

4.หากท่านชอบโบราณสถาน เห็นซากปรักหักพังแบบ Roman ruin แล้วถึงกับอ้าปากค้าง ควรเลือกอยู่ย่าน Monti

ที่นี่สงบเพราะเป็นย่านที่อยู่อาศัยของชาวโรมันจริงๆ ที่อยู่กันมาตั้งแต่โบราณร้านค้าแบบ family-run รวมทั้งร้านอาหารที่เจ้าของทำเอง ที่นี่อยู่ใกล้สนามกีฬาโรมันที่ยิ่งใหญ่คือคลอลอสเซี่ยม และมีสถานีรถไฟใต้ดินที่จะไปส่วนอื่นๆ ของโรมไม่ยากแล้วยังไม่ไกลจากสถานที่โบราณล้ำค่า เช่น Michelangelo’s Moses, Trajan’s Forum, the Roman Forum, St. Mary Major Basilica, Nero’s DomusAurea
City Break ROME Part I 4 colosseum rome Italy

ภาพด้านบนคือ: คอลอสเซี่ยม Colosseum หรือมีอีกชื่อว่า Flavian Amphitheatre มันคือสิ่งมหัศจรรย์ของโลกเก่าที่ผ่านร้อนหนาวมากว่า 2000 ฤดูโดยไม่ได้บุบสลายแบบที่ควรจะเป็น มันเป็นamphitheatreที่ใหญ่ที่สุดที่เคยสร้างมาตั้งแต่ค.ศ. 72-80

 

นั่นแหละครับค้นหาโรงแรมในแบบที่ท่านชอบในย่านเหล่านี้ และคราวหน้าเราจะไปเที่ยวโรมกัน โปรดติดตามนะครับใน City Break Rome Part II