City Break Rome Part IV

เบรกเที่ยวในโรม…เที่ยวโรมแบบผู้ที่ยังใหม่กับโรม (ตอนที่ 3)
โดย Paul Sansopone
…”เจ้าตัว Michelangelo เองก็ไม่ธรรมดามีท่าทีลังเลจนสันตะปาปาต้องจ้างเป็นเงินก้อนโต 3000 Ducats ซึ่งมีมูลค่าปัจจุบันเท่ากับ 2 ล้านยูโรแล้วสิ่งที่ปรากฏก็คืองานของอัจฉริยะ…”
เรายังคงเที่ยวอยู่ในวาติกันซึ่งตอนนี้จะเป็นตอนสุดท้าย สำหรับหลายคนการเข้ามาในวัดคริสต์ สิ่งที่ต้องการจะชมก็คืองานศิลปะ ก็คงเหมือนบ้านเราซึ่งก็คือ ‘จิตรกรรมฝาผนัง’ และแน่นอนว่าวัดหลวงอย่าง St.Peter คงต้องเป็นชิ้นงานที่ไม่ธรรมดา เพราะต้องมีการเกณฑ์สุดยอดของศิลปินแห่งยุคมาวาดกันเต็มที่ แต่ไม่ใช่ครับเพราะในวิหารนักบุญปีเตอร์นั้นไม่มีภาพวาดสีน้ำมันใดๆ แต่มันคือภาพที่ทำจากโมเสส Mosaic หรือการนำเอาเศษกระเบื้องสีต่างๆ มาเรียงกันเป็นภาพซึ่งยากเย็นกว่าการวาดปกติ มันเป็นศิลปะที่ชาวโรมันรับมาจากอารยธรรมของชาวEtruscan ที่อยู่ในคาบสมุทรอิตาลีมาแต่เดิม โดยมีถิ่นฐานอยู่ตอนกลางก็คือแถบทัสคานี ศิลปะของโรมัน เช่น การแกะสลักหินอ่อนหรือการหล่อโลหะสำริด รวมทั้งภาพ Frescos คือภาพที่วาดบนฝาผนังหรือเพดานขณะที่ปูนยังไม่แห้ง ก็มีรากฐานมาจากชาว Etruscan เช่นกัน

แต่ไม่ต้องผิดหวังครับถ้าอยากชมภาพวาดซึ่งไม่ใช่โมเสส ในวาติกันนั้นมีวิหารน้อยที่ชื่อ Sistine Chapel หรือ Cappella Sistina รองรับความอยากของนักเสพย์งานศิลปะอย่างเต็มอิ่ม เพราะที่นี่นั้นปรมาจารย์แห่งยุคเรเนอซองค์ที่ชื่อ มิเกลานจิโร ได้ฝากผลงานชิ้นโบว์แดงไว้ 2 ชิ้น

1. ภาพ Creation of Adam บนเพดานของ Sistine Chapel
สันตะปาปาจูลีอุสที่ 2 Julius II เชิญมิเกลานจิโล Michelangelo โดยคำแนะนำของBramanteหัวหน้าวิศวกรโครงการก่อสร้างวิหาร St.Peter ให้มาวาดภาพเฟรสโก (Fresco) ที่วิหารน้อย จริงๆ แล้วว่ากันว่า Bramante อยากเห็น Michelangelo ล้มเหลวเนื่องจากใครๆ ก็ว่าเขาเป็นสุดยอดแห่งแผ่นดินมีแต่คนชมทุกคนอิจฉาและที่ผ่านมาเขาก็มีแต่ผลงานแกะสลักหินอ่อน(Sculptor) เป็นส่วนใหญ่ถ้าเชิญให้มาวาดคงไปไม่เป็นแน่ๆ คนจะได้เลิกเห่อซะที เจ้าตัวMichelangelo เองก็ไม่ธรรมดามีท่าทีลังเลจนสันตะปาปาต้องจ้างเป็นเงินก้อนโต 3000 Ducats ซึ่งมีมูลค่าปัจจุบันเท่ากับ 2 ล้านยูโรแล้วสิ่งที่ปรากฏก็คืองานของอัจฉริยะ แม้ว่าสันตะปาปาอยากจะได้ภาพของสาวกทั้ง 12 ของพระเยซู แต่ Michelangelo ก็เสนอเป็นภาพ “ ภาพพระเจ้าสร้างอาดัม (Creation of Adam) ” หรือกำเนิดมนุษย์ ภาพที่กล่าวถึงเหตุการณ์ทรงสร้างมนุษย์ ในพระธรรมปฐมกาล ของพันธสัญญาเดิม Old Testament (คัมภีร์เดิม)คัมภีร์เล่มแรก

City Break ROME Italy Vatican Chapelle Sixtine Plafond

ในคัมภีร์ไบเบิ้ล คือ ปฐมกาล (Genesis) กล่าวถึงเรื่องมนุษย์คู่แรก อาดัมและเอวา(อีฟ) ซึ่งได้ทำบาปขึ้นครั้งแรกในโลก –> กำเนิดบาป (Original Sin) โดยในครั้งนั้นทั้งสองได้ถูกมารซาตานเข้ามาหลอกลวงให้ทำในสิ่งที่พระเจ้าได้ห้ามไว้ ซึ่งก็คือการทานแอปเปิลในสวนอีเดน และเมื่อได้ทำผิด(ไม่เชื่อฟังพระเจ้าไปเชื่อซาตาน) จึงเกิดเป็นความบาป (บาปครั้งแรก)

City Break Rome Italy Vatican 5
ภาพนี้ Michelangelo ต้องสร้างนั่งร้านแบบโค้งรับเพดานสูงเกือบ 20 เมตรแล้วยืนวาด ไม่ได้นอนวาดแบบศิลปินอื่น กว่าจะวาดครอบคลุมเพดานทั้งหมด 800 ตารางเมตร ใช้เวลา 4 ปี (1508-1512)

 

2.ภาพ Giudizio Universale (Last Judgment)หรือวันตัดสินโลก
City Break ROME Italy Michelangelo,_Giudizio_Universale

หลังจาก “ภาพพระเจ้าสร้างอาดัม” ถึง 30 ปี หรือในปี 1540 ภาพที่ผนัง (อีก 200 ตรม.)ต่อเนื่องจากเพดาน Michelangeloก็ได้เสร็จสิ้นงานเฟรสโกอีกชิ้นที่ชื่อ Last Judgment หรือวันตัดสินโลกซึ่งมาจาก ไบเบิ้ล (Bible) ภาคพันธสัญญาใหม่ (The new Testament ) หรือเรียกว่า คัมภีร์ใหม่ (เป็นคัมภีร์ที่มีขึ้นมาหลังสมัยพระเยซู รวบรวมโดยนักบุญเปาโล (St.Paul) และSt.Peter) มี 27 เล่ม มีเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับต่อไปนี้
– พระวรสาส์น(พระกิตติคุณ) (Gospels) หรือ ประวัติและคำสอนพระเยซู
– ประวัติศาสตร์คริสตจักรสมัยเริ่มแรก หรือ ประวัติการเผยแพร่ศาสนาคริสต์ยุคเริ่มต้น
– รวบรวมจดหมายเหตุของ นักบุญเปาโล(เซนต์ปอล(พอล) (Saint Paul) และสาวกคนอื่น ๆ – วิวรณ์ (Revelation) คำกล่าวถึงคำทานายอนาคตกาลในลักษณะการพยากรณ์วันสิ้นโลกและคัมภีร์เล่มสุดท้ายของคัมภีร์ใหม่ คือ พระธรรมวิวรณ์ กล่าวถึง เรื่อง วันสิ้นโลก(วันพิพากษาโลก)

แต่เมื่อภาพนี้เสร็จออกมากลับโดนวิจารณ์พอสมควร เพราะเป็นภาพnudeหรือคนไม่นุ่งผ้าซะส่วนใหญ่ ไม่เหมาะกับการเป็นภาพในโบสถ์วิหาร ถึงขนาดลูกศิษย์ของ Michelangelo เสนอตัวจะวาดมะเดื่อ(fig)ปิดอวัยวะเพศชายให้เอง แต่ในที่สุดทางวัดก็บอกว่า ภาพนี้เป็นการเตือนให้คนสะสมความดีไม่เช่นนั้นก็จะเป็นแบบที่ภาพแสดงไว้คือคนดีก็ได้ไปสวรรค์คนเลวมีบาปก็ต้องลงไปชดใช้กรรม ไม่ใช่ภาพอนาจาร
Temptation of Christของ Botticelli

City Break ROME Italy Tentaciones_de_Cristo_(Botticelli)

จริงๆ แล้วงานของ Michelangelo ที่มาเริ่มในปี 1508 นั้นมาทีหลังผลงานของสุดยอดศิลปินยุคRenaissanceชื่อดังคนอื่นที่ฝากผลงานไว้บนผนังที่เหลือของวิหารน้อยแห่งนี้ในช่วงปี 1481-82

City Break ROME Italy Entrega_de_las_llaves_a_San_Pedro_(Perugino)

เช่น Luca Signorelli, Ghirlandaio, Pinturicchio, แต่ที่โดดเด่นก็มี Botticelli กับผลงานดังที่ชื่อTemptation of Christ และภาพของ Perugino กับภาพ Delivery of Keys เป็นภาพที่พระเจ้ามอบกุญแจสวรรค์ให้นักบุญปีเตอร์ ซึ่งจะเหมือนกับรูปปั้นที่ Colonard ระเบียงทางเข้าวาติกันที่นักบุญปีเตอร์จะถือกุญแจดังกล่าว), รวมทั้งรูปหล่อโลหะสำริดในวิหารที่ท่านก็ถือกุญแจสวรรค์ไว้ที่มือซ้ายเช่นกัน เพราะนักบุญนั้นมีมากมาย เนื่องจากการได้เป็นนักบุญนั้นคร่าวๆ ก็คือพระที่เสียชีวิตจากความพยายามในการเผยแพร่คริสตศาสนา และในสมัยนั้นเป็นสิ่งต้องห้ามจึงมักจบชีวิตลงด้วยการโดนตรึงกางเขนหรือประหารด้วยวิธีอื่น ดังนั้นสำหรับการทำรูปปั้นหรือรูปภาพโดยศิลปิน นักบุญแต่ละองค์จึงต้องมีเอกลักษณะที่แตกต่างที่บ่งบอกว่าเป็นนักบุญองค์ไหน โดยเฉพาะนักบุญที่สำคัญ เพราะสำหรับรูปร่างหน้าตานั้นศิลปินได้มาจากจินตนาการเท่านั้น เช่นนักบุญ St.Denis ของฝรั่งเศสที่เป็น Bishop of Paris ก็โดนประหารด้วยการตัดคอ และมีเรื่องปาฏิหาริย์เล่ากันต่อมาว่าท่านก็ก้มเก็บศีรษะที่หลุดจากบ่าแล้วเดินถือไปและเทศน์สอนศาสนาไปด้วยอีกกว่า 10 กิโล ดังนั้นถ้าเราเห็นรูปปั้นนักบุญที่ไหนที่คอขาดและมีมืออุ้มส่วนศีรษะอยู่ก็รู้ทันทีว่าคือนักบุญคนไหน
City Break Rome Italy Vatican 6

ทั้งนี้ก็เพราะว่าวัดน้อย Sistine Chapel นั้นสร้างเสร็จมาตั้งแต่ปี 1483 แล้วในสมัยสันตะปาปาที่ชื่อ Pope Sixtus IV ซึ่งชื่อของท่านก็คือที่มาของชื่อวิหารนั่นเอง วัดนี้สร้างเลียนแบบวิหารโบราณที่ชื่อ Temple of Solomon วัดแห่งแรกของศาสนาที่ Holy Land (Jerusalem)ถิ่นกำเนิดพระเยซู โดยทำเป็นรูปแบบคล้ายโรงนาเหมือนกัน และมีขนาดเท่ากันทุกประการคือ ยาว 40.2m x กว้าง 13.4m x สูง 20.7m 8

แต่ความสำคัญของวิหารน้อยนี้ไม่ได้เอาไว้แค่โชว์งานศิลปแต่มีความสำคัญทางคริสตศาสนานิกายแคธอริคก็คือใช้เป็นสถานที่ประชุมแต่งตั้งผู้นำหรือสันตะปาปาคนใหม่ ตำแหน่งอันทรงอิทธิพลของอารยธรรมโลกตะวันตก ซึ่งมีวัฒนธรรมเก่าแก่ยาวนานน่าสนใจดังบทความข้างล่างนี้

City Break Rome Italy Vatican 1

ขั้นตอนการคัดเลือกและแต่งตั้งสันตะปาปา (credit:manager.co.th)

ธรรมเนียมชันสูตรพระศพที่สืบทอดกันมา

เมื่อองค์สมเด็จพระสันตะปาปาสิ้นพระชนม์ ผู้ดำรงตำแหน่งคาแมร์เล็งโก หรือแชมเบอร์เลน ซึ่งทำหน้าที่เสมือนกรมวังราชสำนักขององค์โป๊ปจะต้องตรวจสอบและให้ความรับรองการสิ้นพระชนม์ของพระองค์ โดยคาเมอร์เล็งโกคนปัจจุบัน คือ พระคาร์ดินัลเอดูอาร์โด มาร์ติเนซ โซมาล ซึ่งจะต้องทำการรับรองการสิ้นพระชนม์ด้วยการชันสูตรพระศพของพระสันตะปาปา ต่อหน้านายจารีตพิธีกรรมของพระสันตะปาปา พร้อมกับคณะสงฆ์ผู้ใหญ่ที่ประจำวังพระสันตะปาปา

ตามธรรมเนียมดั้งเดิม พระคาร์ดินัลคาแมร์เล็งโก จะใช้ค้อนเล็กเคาะที่พระนลาฏ (หน้าผาก) พระสันตะปาปา และเรียกชื่อกำเนิดของพระองค์ 3 ครั้ง ถ้าหากไม่มีเสียงตอบก็แสดงว่าพระองค์สิ้นพระชนม์ ต่อจากนั้นจึงให้แพทย์ชันสูตรแบบสากลต่อไป
จากนั้นนายจารีตพิธีกรรมของพระสันตะปาปา คือ อาร์กบิชอปปิเอโร มารินี พระราชาคณะและเลขาธิการแห่งอะพอสตอลิก คาเมรา (Apostolic Camera) ซึ่งเป็นข้าราชการชั้นสูงของสำนักวังบริหารวาติกันจะออกมรณบัตร และคาแมร์เล็งโกก็จะบอกแก่พระราชาคณะผู้ปกครองกรุงโรม คือ พระคาร์ดินัลคามิลโล รูอินี ถึงการสิ้นพระชนม์ขององค์โป๊ป

พระคาร์ดินัลคาร์แมร์เล็งโกเองประกาศต่อชาวโรม และประชาชนทั่วไปว่า “พระสันตะปาปา ทรงสิ้นพระชนม์แล้ว” ถือว่าเป็นการประกาศอย่างเป็นทางการ และพิธีการอื่นๆ ถึงจะตามมา

นอกจากนี้ พระคาร์ดินัลคาร์แมร์เล็งโกจะเป็นผู้ปิดประตูห้องทรงงาน ห้องบรรทม และกำหนดบริเวณสำหรับบุคลากรที่อยู่ภายใน ส่วนพระศพให้คงอยู่ที่ห้องส่วนพระองค์ต่อไป จนถึงวันฝังพระศพพระสันตะปาปา ซึ่งบริเวณส่วนพระองค์นี้จะปิดตลอด

แจ้งข่าวพระคาร์ดินัลจัดพิธีปลงพระศพ

และในเวลาเดียวกัน พระคาร์ดินัลที่เป็นหัวหน้าคณะพระคาร์ดินัล ซึ่งก็คือพระคาร์ดินัลโยเซฟ ราตซินเกอร์ หลังจากทราบข่าวการสิ้นพระชนม์ของพระสันตะปาปาจาก “คาแมร์เล็งโก” แล้ว ท่านจะต้องรีบแจ้งข่าวแก่พระคาร์ดินัลทั่วโลก และเรียกประชุมพระคาร์ดินัลเพื่อเลือกตั้งพระสันตะปาปา และแจ้งข่าวแก่บรรดาคณะทูตประเทศที่มีความสัมพันธ์กับพระสันตะปาปา และประมุขประเทศต่างๆ

ทั้งนี้ พิธีศพกำหนดให้ทำไม่เกิน 9 วัน หรือถ้ามีเหตุผลจำเป็นอาจจัดภายใน 4-6 วันก็ได้ โดยบรรดาพระคาร์ดินัลทุกองค์ต้องสวมชุดสีดำ ซึ่งปกติจะเป็นสีแดง และพระคาร์ดินัลที่เป็นหัวหน้าของคณะพระคาร์ดินัลมีแถบผ้าคาดสีแดง และหมวกยศสีแดง

จากนั้น กลุ่มพระคาร์ดินัลทั่วไปจะต้องนัดประชุมกันเพื่อเตรียมการณ์พิธีพระศพ และจะได้รับมอบหนังสือธรรมนูญ “ยูนีแวร์ซี ดอมีนีชี เกรยิส” ซึ่งโป๊ปองค์ล่าสุดจัดทำขึ้นมาเพื่อทำความเข้าใจร่วมกันในการเลือกตั้ง และหลังจากองค์โป๊ปสิ้นพระชนม์ได้ประมาณ 15-20 วันก็จะมีการคัดเลือกประมุขแห่งศาสนจักรพระองค์ใหม่จากพระคาร์ดินัล

City Break Rome Italy Vatican 8

การเลือกพระประมุของค์ใหม่

หลังจากพิธีพระศพของสมเด็จพระสันตะปาปาเสร็จสิ้นไป คณะพระคาร์ดินัลก็จะประชุมลับในห้องปิดผนึก ณ วัดน้อยของพระสันตะปาปา (โบสถ์ซิสตีน) เพื่อเลือกตั้งผู้ที่เหมาะสมจะดำรงตำแหน่งองค์พระประมุขแห่งคริสตจักรองค์ใหม่

ผู้มีสิทธิเลือกพระสันตะปาปา คือ บรรดา “พระคาร์ดินัล” ที่อายุไม่เกิน 80 ปี ณ วันที่พระสันตะปาปาสิ้นพระชนม์ ทั้งนี้ พระคาร์ดินัล คือผู้มีฐานันดรอันดับที่ 2 รองจากพระสันตะปาปา

ทั้งนี้ จำนวนพระคาร์ดินัลทั่วโลกตามข้อมูลของสำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า มีทั้งสิ้น 117 องค์ โดยในส่วนของประเทศไทยนั้นพระคาร์ดินัล ไมเกิ้ล มีชัย กิจบุญชู เป็นองค์แรกและองค์เดียวในขณะนี้ที่ได้รับแต่งตั้งเป็นพระคาร์ดินัลเมื่อปี 1983 และในเอเชียประเทศที่มีพระคาร์ดินัล ได้แก่ ฟิลิปปินส์ อินเดีย อินโดนีเซีย เกาหลี ญี่ปุ่น ฮ่องกง ไต้หวัน เวียดนาม และไทย

ส่วนผู้ที่มีสิทธิได้รับเลือกนั้น ตามสังฆธรรมนูญการเลือกตั้งของพระศาสนจักร กำหนดว่า ทุกคนที่ได้รับศีลล้างบาปมีสิทธิที่จะได้รับเลือกเป็นพระสันตะปาปา นั่นหมายถึงผู้ที่เป็นพระคาร์ดินัล พระสังฆราช พระสงฆ์ และฆราวาสด้วย แต่ในทางปฏิบัติจะเลือกจากบรรดาพระคาร์ดินัลเท่านั้น ในกรณีที่บุคคลที่ได้รับเลือกเป็นพระสันตะปาปาเป็นเพียงพระสงฆ์ธรรมดาก็ต้องได้รับการอภิเษกเป็นพระสังฆราชก่อน

เลือกตั้งลับ ห้ามติดต่อโลกภายนอก

การประชุมลับของพระคาร์ดินัลเพื่อเลือกโป๊ปพระองค์ใหม่นี้จะเกิดขึ้น ณ วัดน้อยซิสติน ซึ่งเป็นห้องโถงที่มีชื่อเสียงแห่งนครรัฐวาติกัน ซึ่งกำแพงและผนังของห้องโถงแห่งนี้ตกแต่งด้วยจิตรกรรมเฟสโกผลงานของไมเคิล แองเจโล โดยพระคาร์ดินัลจะมาประชุมร่วมกันในช่วงวันที่ 15-20 วันหลังจากการสิ้นพระชนม์ขององค์พระประมุข

การประชุมลับเพื่อเลือกตั้งองค์โป๊ปที่ยาวนานที่สุด คือ ต้องใช้เวลากว่า 3 ปี (ตั้งแต่ปี 1268–1271) แต่โดยปกติแล้วจะใช้เวลาเลือกกันแค่เพียง 1 วันก็จะได้องค์พระประมุขแห่งนครรัฐวาติกันองค์ใหม่ อย่างเช่นองค์สมเด็จพระสันตะปาปาจอห์น ปอล ที่ 2 ก็ใช้เวลาเลือกกันอยู่ไม่ถึง 3 วัน

ทันทีที่การประชุมลับเริ่มขึ้น สมเด็จพระคาร์ดินัลทั้งหมดจะไม่ปรากฎตัวนอกเขตวาติกันจนกว่าสมเด็จพระสันตะปาปาพระองค์ใหม่จะได้รับเลือก โดยพระคาร์ดินัลทั้งหมดจะพักอยู่ ณ บ้านพักนักบุญมาร์ธา ภายในเขตนครรัฐวาติกัน

ในการเลือกตั้งองค์พระสันตะปาปาพระองค์ใหม่นั้น ผู้ได้รับเลือกจะต้องได้รับคะแนนเสียงอย่างน้อยให้เกิน 2 ใน 3 มา 1 คะแนน โดยพระคาร์ดินัลที่เข้าร่วมประชุมจะเขียนชื่อผู้ที่เห็นว่าเหมาะสมแก่ตำแหน่งประมุขแห่งคริสตจักรลงไปในบัตรเลือกตั้ง แล้วใส่เข้าไปในอ่างทองคำ

City Break Rome Italy Vatican 7

ควันขาวจากปล่องไฟสัญญาณแห่งโป๊ปพระองค์ใหม่

ถ้ายังไม่มีผู้ถูกเสนอชื่อได้ครบตามจำนวนที่กำหนดไว้ บัตรเลือกตั้งทั้งหมดจะถูกเผาในเตา พร้อมด้วยสารเคมีพิเศษที่ทำให้เกิดควันสีดำผ่านปล่องควันของวัดน้อยซิสติน แต่ถ้ามีผู้ได้คะแนนถึงข้อกำหนดดังกล่าวบัตรเลือกตั้งของพระคาร์ดินัลก็จะถูกเผาเช่นกัน แต่จะใช้สารเคมีที่ก่อให้เกิดควันสีขาวผ่านปล่องสู่สายตาสาธารณชนที่เฝ้ามอง ณ บริเวณจัตุรัสเซนต์ปีเตอร์ ซึ่งเมื่อมีควันสีขาวออกมาเมื่อใด นั่นหมายความว่า การเลือกตั้งพระสันตะปาปาองค์ใหม่สำเร็จแล้ว

เมื่อที่ประชุมลับได้เลือกโป๊ปพระองค์ใหม่ขึ้นมาแล้ว ว่าที่โป๊ปก็จะถูกถามว่าพร้อมจะรับตำแหน่งประมุขแห่งคริสตศาสนาหรือไม่ และต้องการจะใช้พระนามอะไรในการดำรงตำแหน่ง

จากนั้น พระดีคันรีคาร์ดินัลอาวุโสก็จะเดินออกสู่ใจกลางมุขแห่งโบสถ์เซนต์ปีเตอร์ และประกาศต่อสาธารณชนบริเวณจัตุรัสเป็นภาษาละติน ว่า “Annuntio vobis gaudium magnum. Habemus Papam” (ข้าขอประกาศต่อทุกคนถึงความน่ายินดีอันยิ่งใหญ่ว่า พวกเรามีพระสันตะปาปาแล้ว)

จากนั้น สมเด็จพระสันตะปาปาพระองค์ใหม่ก็ปรากฏตัวสู่สาธารณะเป็นครั้งแรก ณ จัตุรัสเซนต์ปีเตอร์ และอีกไม่กี่วันถัดมาจึงมีการประกอบพิธีเฉลิมฉลององค์พระสันตะปาปาพระองค์ใหม่
City Break Rome Italy Vatican 2

ก่อนจะออกจากวาติกัน จริงๆ แล้วที่น่าสนใจอีกแห่งก็คือเข้าชม Vatican Museum ที่เก็บงานศิลปะและสมบัติมูลค่ามากมาย อย่าลืมว่าในอดีตนั้นวาติกันมีเงินเยอะและสันตะปาปาในอดีตก็มีรสนิยมในงานศิลปมากๆ จึงควรเข้าชมถ้ามีเวลา ซึ่งถ้าจะเก็บทั้ง3 สถานที่ควรเริ่มจากพิพิธภัณฑ์วาติกันตรงประตูด้านข้าง (ดูแผนที่ข้างล่าง) แล้วจึงมาSistine Chapel แล้วมาต่อวิหาร St.Peter ปิดท้าย
City Break Rome Italy Vatican 4

อย่าลืมขึ้นไปชมวิวของกรุงโรมบนยอดโดมของวิหารนี้โดยการขึ้นลิฟท์ตรงทางเข้าใกล้รูปปั้น Pieta แต่ต้องเดินขึ้นบันไดต่ออีก 320 ขั้น จึงถึงยอดโดมเสียเงินประมาณ 7eur ครับ

City Break Rome Italy Vatican 3

ครับการเที่ยววาติกันก็จบลงแล้วเราจะไปเที่ยวในโรมต่อกันในตอนหน้า

City Break Rome Part III

เบรกเที่ยวในโรม…เที่ยวโรมแบบผู้ที่ยังใหม่กับโรม (ตอนที่2)
โดย Paul Sansopone
…”บัลลังก์นี้มีส่วนคล้ายกับที่อยู่ในหนังเรื่อง The Game of Throne ของ HBO ทั้งการออกแบบโดยเฉพาะส่วนที่เป็นลำแสงจากด้านหลัง และจากพื้นเพของเรื่องที่มีการช่วงชิงหักเหลี่ยมกันเพื่อจะได้นั่งบัลลังก์นี้…”

คราวที่แล้วเราได้เดินเข้ามาในวิหารเซ็นต์ปีเตอร์แล้วได้ไปชื่นชมกับ Pieta และไปคารวะรูปหล่อสำริดของนักบุญปีเตอร์ โดยการสัมผัสท่านที่เท้าขวาพร้อมอธิษฐานขอพร หากเดินต่อเข้ามาก็จะพบกับ

 

ซุ้มพิธีหรือแท่นบูชา บาลเเดกคีโน Baldacchino

City Break ROME Italy 1

หากเราเดินเข้ามาตรงที่ใจกลางของวิหารจุดที่ตัดกันของระหว่างโถงทางเข้าที่เรียกว่า Naive กับส่วนปีกที่เรียกว่า Transept ให้นึกถึงไม้กางเขน เพราะการวางผังสร้างโบสถ์คริสต์นั้นมักจะวางเลย์เอ้าท์แบบไม้กลางเขน และจุดตัดกันของไม้ทั้งสองก็คือจุดที่เป็นปะรำพิธีนั้นเอง

แต่ที่วิหารนี้เราจะพบกับซุ้มพิธีหรือแท่นบูชาของสันตะปาปาที่เรียกว่าบาลเเดกคีโน ซึ่งเป็นฝีมือของ แบร์นินี่ (Gian Lorenzo Bernini) ที่ทำจากโลหะสำริดใช้ทองแดงกว่า 50,000 กิโลกรัม ซึ่งนำบางส่วนมาจากวัดปานเตออนแล้วมาหลอมทำใหม่ นี่คือการรีไซเคิลที่ชาวโรมันรู้จักใช้กันมานานแล้ว โดยเสาทั้ง 4 ต้นมีลวดลายบิดแบบเกลียวของพายุหมุนทอร์นาโดอย่างที่ไม่ปรากฏในงานอื่นของยุคนั้นมากนัก ทำให้ถูกวิพากษ์วิจารณ์พอควร แต่เนื่องจากแบร์นินี่นำต้นแบบเสาบางต้นของวิหาร St.Peter เดิมมาใช้ และความที่ตัวเองเป็นต้นตำรับคนหนึ่งของศิลปแบบบาโรคที่มีรายละเอียดมากมายคนยุคนั้นจึงรับยังไม่ได้ เสาทั้ง 4 ต้นนั้นสูงประมาณ 100 ฟุตแต่มันดูเตี้ยไปถนัด เมื่อเทียบความสูงของยอดโดมด้านบนที่สูงถึง 452 ฟุต
จุดที่วางบาลเเดกคีโน นั้นนอกจากอยู่ใต้โดมของมิเกลานจิโรพอดีแล้วยังอยู่เหนือ St. Peter’s crypt หรือหลุมศพของนักบุญปีเตอร์พอดีอีกด้วย แต่ที่วาติกันไม่ได้เป็นที่ฝังศพแค่นักบุญคนเดียว แต่ยังมีสันตะปาปาอีก 91 พระองค์จากทั้งหมด 245 พระองค์ นับจากศตวรรษที่ 1 ถึงปัจจุบันที่ถูกฝังไว้ใต้วิหารแห่งนี้ รวมทั้งจักรพรรดิออตโต้ที่ 2 แห่งจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธ์ (Holy Roman Emperor Otto II) และพระราชินี Christina แห่งสวีเดนที่มาใช้ชีวิตบั้นปลายทำนุบำรุงศาสนาอยู่ที่โรม

 
บัลลังก์ของสันตปาปา ซึ่งเรียกว่า Cathedra Petri หรือ “Throne of St. Peter”

City Break ROME Italy 2

เก้าอี้ตัวเดิมของนักบุญปีเตอร์ก่อนที่จะมีการสร้างบัลลังก์มาแทนโดยแบร์นินี่

จะเห็นว่าที่อยู่ด้านหลังของซุ้มนั้นมีบัลลังก์ที่สวยงาม ซึ่งเป็นการสร้างแทนเก้าอี้เดิมที่เคยถูกใช้โดยเซ็นต์ปีเตอร์และสาวกคนอื่น แต่เนื่องจากผุพังไปทำให้สันตะปาปา Pope Alexander VII ต้องแต่งตั้งแบร์นินี่ผู้ที่สร้างซุ้มพิธีนั้นรับผิดชอบบัลลังก์นี้ด้วย Bernini จึงสร้างบัลลังก์นี้ด้วยBronze โลหะสำริดแบบเดียวกับที่ใช้สร้างซุ้มพิธี โดยที่ฐานมีนักบุญ Ambrose และ Augustine ซึ่งถือเป็น Doctors of the Church หรือผู้รู้ผู้คงแก่วิชาของศาสนาคริสต์ช่วยอุ้มพยุงบัลลังก์นี้ไว้

มีคนพูดกันว่าบัลลังก์นี้มีส่วนคล้ายกับที่อยู่ในหนังเรื่อง The Game of Throne ของ HBO ทั้งการออกแบบโดยเฉพาะส่วนที่เป็นลำแสงจากด้านหลัง และจากพื้นเพของเรื่องที่มีการช่วงชิงหักเหลี่ยมกันเพื่อจะได้นั่งบัลลังก์นี้ ก็ไม่ต่างกับในหลายยุคหลายสมัยของการขึ้นเป็นสันตะปาปาของที่นี่

City Break ROME Italy 3

เนื่องจากการเป็นสันตะปาปาหรือ Pope คือการได้มาซึ่งอำนาจที่ยิ่งใหญ่ เพราะก็คือการเป็นประมุขของคริสต์ศาสนานิกายโรมันแคธอริคซึ่งนั่นหมายถึงเครือข่ายของศาสนานิกายนี้จากทั่วโลกต้องขึ้นตรงกับวาติกัน และอีกบทบาทหนึ่งคือการเป็นประมุขของกรุงวาติกันหรือเปรียบเสมือนกษัตริย์ของรัฐอิสระหรือประเทศวาติกันที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์

มาถึงตรงนี้คงต้องเท้าความถึงความเป็นมาของกรุงวาติกันก่อน ซึ่งจะว่าไปนั้นมีความรุ่งเรืองต่อเนื่องติดต่อกัน หลังจากที่กรุงโรมและอาณาจักรโรมันตะวันตกถึงยุคเสื่อมเมื่อเจริญสูงสุดแล้วก็เริ่มอ่อนแอจนพวกบาบาเรี่ยนหรือพวกป่าเถื่อนเอาชนะกองทัพโรมันได้กรุงโรมก็แตกไป ยังคงอยู่แต่อาณาจักรโรมันตะวันออกที่มีเมืองหลวงที่ชื่อคอนสแตนติโนเปิล(อีสตันบูล ในปัจจุบัน) ซึ่งก็ตั้งชื่อตามจักรพรรดิคอนสแตนตินที่หันมานับถือศาสนาคริสต์ ทำให้กรุงโรมเริ่มกลับมามีการฟื้นฟูใหม่แต่ครั้งนี้เป็นอาณาจักรทางศาสนา ยิ่งเมื่อเข้าสู่ยุคกลางในช่วงปีค.ศ.750-800 โดยประมาณ ยุโรปตะวันตกส่วนใหญ่ที่เคยเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรโรมันตะวันตกก็ถูกรวบรวมเข้ามาอยู่ภายใต้อาณาจักรโรมันอันศักด์สิทธ์ (Holy Roman Empire) ซึ่งกินอาณาเขตพื้นที่ปัจจุบันของฝรั่งเศส, เบลเยี่ยม, เนเธอร์แลนด์, เยอรมัน, อิตาลี โดยการนำองกษัตริย์ชาวแฟงค์ที่ชื่อ ชารล์มานย์ Charlemagne หรือที่ได้ฉายาว่า Charles the Great (ละติน Carolus or Karolus Magnus)

City Break ROME Italy Charlemagne Crowned

ซึ่งท่านก็ปกป้องและเคร่งศาสนาโรมันแคธอลิคพอควร ถึงขนาดขอให้ สันตะปาปาลิโอที่3 (Pope Leo III) ทำพิธีสถาปนาขึ้นครองตำแหน่งจักรพรรดิแห่งอาณาจักรโรมันอันศักด์สิทธ์ในวันคริสมาสต์ปีค.ศ.800 ที่กรุงโรม ณ วิหาร เซนต์ปีเตอร์ (เดิม)หลังแรก และเมื่อได้รับการendoseคือยอมรับที่จะปกป้องโดยจักรพรรดิและกษัตริย์ของยุโรปในทุกยุคสมัย ก็ทำให้อาณาจักรของสันตะปาปานั้นยิ่งใหญ่เป็นประเทศเรียกว่าปาปาสเตท Papal State กินอาณาเขตในภาคกลางของคาบสมุทรอิตาลีเกือบหมด ใครจะท้าทายอำนาจของคริสตจักรนั้นก็มักแพ้ราบคราบไป

พอเข้าสู่ยุคฟื้นฟูศิลปะวิทยาการหรือ Renaissance นั้น วิทยาการสมัยใหม่ทำให้นักวิทยาศาสตร์อย่างกาลิเลโอเริ่มออกมาพูดขัดแย้งกับความเชื่อเดิมๆ เช่น พระเจ้าสร้างโลกและโลกแบนตลอดจนเป็นศูนย์กลางของจักรวาลนั้นเริ่มไม่ใช่ และความฟุ่มเฟือยในวาติกันที่มักมีงานเลี้ยงและสะสมของมีค่า หรือแม้แต่การสร้างวิหารเซ็นตปีเตอร์ใหม่มีการใช้เงินมหาศาลทำให้เกิดวิธีการหารายได้แปลกๆ เข้ามา เช่น ต้องมีการบริจาคเงินเข้าวัดเท่านี้เท่านั้นจึงได้บุญเท่านั้นเท่านี้ ทำให้เกิดกระแสต่อต้านมากขึ้นเกิดเป็นศาสนาคริสต์นิกายใหม่ เช่น โปแตสแทนและอื่นๆ ขึ้นมาถ่วงดุลจนทำให้เกิดสงครามศาสนาในยุโรปอยู่เนืองๆ หากว่าผู้นำศาสนานิกายใหม่ไม่ยอมขึ้นตรงต่อวาติกัน

City Break ROME Italy ben and francis

แต่กฎแห่งแรงโน้มถ่วงที่ว่า “what goes up must come down” นั้นมีอยู่จริง การที่พระสันตะปาปาทรงมีอำนาจทางโลกล้นฟ้า และเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับทางการเมืองมากเกินไป ทำให้กลุ่มอำนาจรัฐในยุโรปหลายแห่งจึงเริ่มที่จะเล่นเกมต่อต้านพระองค์ เพื่อลิดรอนอำนาจลง จนทำให้เขตการปกครองอย่างปาปาสเตทหดหายไป เหลืออยู่แค่รอบๆ กรุงโรมเท่านั้น ในปี ค.ศ. 1860 เมื่อ พระเจ้าวิคเตอร์ เอมานูเอลที่ 2 ผู้ที่รวบรวมอิตาลีจากแค้วนใหญ่เล็กให้เป็นประเทศอิตาลี มีการทำประชามติว่าสมควรให้กรุงโรมเป็นส่วนหนึ่งของอิตาลี หรือเป็นปาปาสเตทของวาติกันต่อไป ผลออกมาปรากฏว่า ประชาชนเทคะแนนให้โรมเป็นส่วนหนึ่งของอิตาลี แต่องค์สันตะปาปาปิอุสที่ 4 ซึ่งเป็นประมุขศาสนาในขณะนั้นก็ไม่ออกมาคุยกับรัฐบาลเพื่อยอมรับว่าอาณาจักร Papal State ไม่มีอีกแล้ว แต่ได้ประกาศตัดขาดกับโลกภายนอก ประทับอยู่ภายในนครรัฐวาติกันเพียงอย่างเดียวรวมทั้งสันตะปาปาองค์ต่อๆ มาอีก 4 พระองค์ก็ยึดถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติไม่ยอมยุ่งเกี่ยวกับโลกภายนอกต่อเนื่องกินเวลาถึง 60 ปี (1870-1929)

City Break ROME Italy Concentracion fascista en Genova

จนถึงสมัยของนายกคนดังที่ชื่อ เบนิโต้ มุสโสลินี (Benito Amilcare Andrea Mussolini) ในปี ค.ศ. 1929 ได้มีการทำสนธิสัญญา ลาเตรัน (Lateran Treaty ได้ชื่อนี้มาเพราะมีการเซ็นกันที่พระราชวังลาเตรัน) ให้การรับรองและคํ้าประกันอธิปไตยของนครรัฐวาติกัน พร้อมทั้งอำนวยความสะดวกสบายอีกหลายๆ อย่าง เพื่อให้นครแห่งนี้สามารถดำรงอยู่ได้ในฐานะรัฐอิสระ เหมาะสมที่จะให้สันตะปาปาปฏิบัติภารกิจ ในฐานะองค์ประมุขของชาวคาทอลิกทั่วโลกได้ แถมรัฐบาลอิตาลียังให้เงินที่คิดเป็นมูลค่าปัจจุบันได้นับ 1,000 ล้านดอลล่าร์อเมริกัน

City Break ROME Italy Vatican City Map

ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา Vatican จึงกลายเป็นประเทศที่สมบูรณ์แบบ ถือเป็นรัฐอิสระที่เล็กที่สุดในโลก มีสถานีวิทยุ, ที่ทำการไปรษณีย์, สถานีรถไฟ,ธนาคารของวาติกันเอง และร้านค้าปลอดภาษีทุกชนิด มีสำนักพิมพ์ของตนเอง เช่น มีหนังสือพิมพ์ชื่อ โลสเสอร์วาโตเร โรมาโน , มีป้ายทะเบียนรถ, หรือโดเมนเนม .VA

ถ้าพูดถึงเนื้อที่รวมจะมีประมาณ 250 ไร่ ในนครแห่งนี้ด้วยวังวาติกันมีเนื้อที่ 150 ไร่ ซึ่งรวมวิหารเซนต์ปีเตอร์ พิพิธภัณฑ์วาติกัน หอสมุดวาติกัน และที่ประทับขององค์พระสันตะปาปาตลอดจนอุทยานวาติกันอันงดงาม พื้นที่นอกเขตดังกล่าวที่ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของวาติกันด้วยก็คือ วังกัสเตลกันดอลโฟ (Castelgendolfo) อันเป็นที่ประทับ ที่อยู่นอกชานกรุงโรมไปทางทิศใต้, มหาวิทยาลัยเกรโกเรียน (Gregorian University) และโบสถ์ 13 แห่งในกรุงโรม

City Break ROME Italy Swiss Guard

วาติกันมีพลเมืองประมาณ 900 คน ไม่มีกองกำลังทหารของตัวเอง มีแต่ Swiss Guards ผู้ดูแลความสงบเรียบร้อย ซึ่งต้องว่าจ้างทหารสวิสที่มีคุณสมบัติคือเป็นคาธอลิก ยังไม่แต่งงาน ได้รับการฝึกทหารแบบสวิส อายุระหว่าง 19-30 และสูงอย่างน้อย 174 ซม. จริงๆ แล้วทหารสวิสมีมาตั้งแต่ ค.ศ. 1506 แล้วถูกว่าจ้างมาเป็นองครักษ์ของสันตะปาปา Pope Julius II ที่น่าสนใจคือการแต่งกายของทหารสวิส ซึ่งชุดปัจจุบันนั้นมีสีส้ม,เหลือง,แดง,ฟ้า ออกแบบโดย Jules Repond ในปี 1914 โดยได้รับอิทิพลจากชุดทหารสวิสเดิมในสมัย Renaissance ที่ออกแบบโดย “มีเกลันเจโล” และดัดแปลงโดย “ราฟาเอล” เลยเชียว