เมื่อเราพูดถึงอันตรายของฝุ่น PM 2.5ที่อนุภาคเล็กละเอียดของมันสามารถแทรกซึมเข้าไปทำให้เกิดโรคอันตรายได้หลายๆอย่าง ซึ่งหนึ่งในสาเหตุสำคัญของการเกิดโรคเหล่านั้นก็คือ การผลิตคอลลาเจนของร่างกายที่ลดน้อยลงหรือ Collagen Deficiency ซึ่งคอลลาเจน มีความสำคัญต่อร่างกายมากกว่าแค่เรื่องริ้วรอยของผิวหนังเพราะการขาดคอลลาเจนจะนำไปสู่โรคอันตรายในระยะยาววันนี้ เรามาเข้าใจความสำคัญของคอลลาเจนและความเกี่ยวข้องกับ PM 2.5 เพื่อรับมือด้วยกัน
“คอลลาเจน” ไม่ใช่มีแค่ที่ผิวหนัง
“คอลลาเจน” โปรตีนที่มีลักษณะเส้นใยสายเกลียวที่มีหน่วยโมเลกุลเกี่ยวพันมากมาย ผิวหนังของเรา จะมีคอลลาเจนส่วนประกอบหลักเรียกว่า เคราติน (Keratin)ทำให้ผิวแข็งแรงยืดหยุ่น นอกจากนี้คอลลาเจนก็ยังสร้างความยืดหยุ่นให้ผนังหลอดเลือด เป็นส่วนประกอบสำคัญของเยื่อกระจกตาและเลนส์ตา, เส้นเอ็น, กล้ามเนื้อ,เนื้อเยื่อของอวัยวะทุกส่วน, เส้นเลือด,เส้นผมและเล็บโดยทำหน้าที่เหมือนกาวยึดติดเนื้อเยื่อต่างๆให้ติดกัน ช่วยป้องกันร่างกายจากการดูดซึมเชื้อแบคทีเรียและไวรัสต่างๆทั้งช่วยป้องกันความเสียหายของเนื้อเยื่ออวัยวะจากมลพิษอีกด้วยซึ่งชนิดของคอลลาเจนทั้งหมดจะแบ่งเป็น 16 กลุ่มใหญ่ๆ แต่ชนิดที่ประกอบอยู่ในร่างกายมนุษย์จะมี 5 กลุ่มคือกลุ่มที่ 1, 2, 3, 5 และ 10 ได้แก่
กลุ่มที่ 1: มีปริมาณมากที่สุดคือคอลลาเจนที่เป็นส่วนประกอบของร่างกายเช่นกระดูก, อวัยวะต่างๆ, ผิวหนัง,เส้นเอ็นและหลอดเลือด
กลุ่มที่ 2: คอลลาเจนใช้สร้างกระดูกอ่อน อาการเจ็บข้อต่อ, โรคไขข้อต่างๆ มาจากการขาดคอลลาเจนกลุ่มนี้ ซึ่งรวมทั้งกระดูกอ่อนในกล่องเสียง, หูและทางเดินหายใจ
กลุ่มที่ 3: คอลลาเจนที่เรียกกันว่า “ เส้นใยไฟเบอร์” มีโครงสร้างเป็นตาข่ายไขว้กันเหมือนแห ช่วยให้ผิวหนังยืดหยุ่นกระชับ เป็นกลุ่มที่สร้างเส้นเลือดและเนื้อเยื่อในหัวใจ การขาดคอลลาเจนชนิดนี้จึงเสี่ยงต่อเส้นเลือดแตก
กลุ่มที่ 5: คอลลาเจนใช้สร้างเนื้อเยื่อบุพื้นผิวของเซลล์ (Basal lamina) ซึ่งเนื้อเยื่อนี้มีหน้าที่รวมถึงการหลั่ง การดูดซึม, การป้องกัน, การขนส่งระหว่างเซลล์,ฯลฯ คอลลาเจนชนิดนี้เช่นผิวเปลือกนอกของเส้นผมและรกเด็ก
กลุ่มที่ 10: คอลลาเจนใช้สร้างกระดูกใหม่และเนื้อเยื่อกระดูก มีหน้าที่สำคัญในการรักษากระดูกแตกและซ่อมแซมข้อต่อ
PM 2.5 กับอันตรายต่อร่างกาย

PM 2.5 คือฝุ่นมลพิษที่มีแหล่งกำเนิดหลากหลาย ทั้งการเผาวัสดุในที่โล่ง, ควันไอเสียรถยนต์, โรงงานอุตสาหกรรม ฯลฯนักวิชาการระบุว่า อันตรายของมันไม่ใช่แค่ขนาดที่เล็ก 2.5 ไมครอนเท่านั้น แต่มันยังมีสารโลหะหนักและเชื้อจุลินทรีย์ก่อโรคที่ติดมาด้วย ยิ่งมลพิษนี้มีขนาดเล็กเท่าไหร่ พื้นที่ผิวสัมผัสสารโลหะหนักและจุลินทรีย์ก็จะยิ่งมาก และขนาดที่เล็กมากก็ทำให้สามารถเข้าไปลึกถึงก้านหรือขั้วปอดของมนุษย์ได้ พร้อมทั้งนำสารอันตรายและจุลินทรีย์เข้าไปด้วย ผลก็คือทำให้เกิดกลายพันธุ์ของทารกในครรภ์มารดา และเพิ่มความเสี่ยงโรคมะเร็งปอดให้มากขึ้นถึง 36%
เมื่อ PM 2.5 พบกับคอลลาเจนในร่างกาย
ก่อนอื่น ต้องเข้าใจก่อนว่า สารพิษและจุลินทรีย์ใน PM2.5 ที่เข้าสู่ร่างกายนั้น จะเข้าไปโดย “ การหายใจ” ของเราเท่านั้น ไม่ใช่การแทรกทะลุผิวหนังเข้าไปจับกับเซลล์ในร่างกายแต่อย่างใดเพราะผิวหนังของเรามีระบบป้องกันตัวตามธรรมชาติอยู่ไม่ให้สิ่งใดแทรกซึมลงไปได้ง่ายๆ สิ่งที่PM2.5 จะทำได้ก็คือการรบกวนผิวหนังชั้นนอกของเราให้ระคายเคืองเกิดอาการต่างๆ เช่นแสบคันตา เป็นผื่น เป็นสิว หรือโรคผื่นภูมิแพ้ต่างๆของผิวหนัง ฯลฯ เหมือนที่ฝุ่นธรรมดาก็ทำอยู่แล้ว แต่ที่มีอาการมากขึ้นก็เพราะปริมาณของมันที่มากขึ้น และความเล็กละเอียดที่ทำให้มันจับกับผิวหนังชั้นนอกได้มากขึ้นนั่นเอง
เมื่อเราหายใจเอา PM 2.5 เข้าไป มลพิษและเชื้อโรคที่ติดอยู่ด้วยก็จะเข้าสู่ร่างกาย ไปรบกวนทุกๆการทำงานของร่างกายรวมทั้งกระบวนการผลิตคอลลาเจนด้วยเมื่อระบบการผลิตคอลลาเจนเกิดปัญหา ก็จะนำเราไปสู่ปัญหาสุขภาพต่างๆตามมาเช่น โรคปอด, โรคทางเดินหายใจ, โรคหลอดเลือดสมองหรือ Stroke ฯลฯเพราะร่างกายต้องใช้คอลลาเจนเป็นส่วนสำคัญในการสร้างอวัยวะในทุกๆส่วน การขาดคอลลาเจนจะนำร่างกายไปสู่สภาวะของโรคกลุ่มที่เรียกว่า Collagen Deficiency Syndrome ซึ่งเป็นกลุ่มโรคระบบภูมิคุ้มกันบกพร่อง
สัญญาณที่บอกว่าร่างกายขาดคอลลาเจน:
โดยปกติแล้ว ความสามารถผลิตคอลลาเจนของร่างกายจะลดลงตามความเสื่อมธรรมชาติ เช่น วัยเพิ่มขึ้น, การสูบบุหรี่,การสัมผัสรังสียูวีและมลภาวะ ฯลฯสัญญาณที่เห็นได้ของการขาดคอลลาเจน ได้แก่:

1. ใบหน้าที่ลีบตอบและผิวใต้ตาที่ยุบตัวลง:วัยที่เพิ่มขึ้น จะทำให้คอลลาเจนบนใบหน้าและผิวหนังที่เคยอิ่มเต็มเปล่งปลั่งลดลงไปเรื่อยๆเป็นสัญญาณแรกของการสูญเสียคอลลาเจนของร่างกายผิวใต้ตาจะยุบตัวและมีสีคล้ำรวมทั้งผิวแก้มที่เริ่มบางตัวลงด้วย
2. ปวดตามข้อต่อ:เนื้อเยื่อคล้ายยางที่เชื่อมปกคลุมส่วนปลายกระดูกท่อนยาวบริเวณข้อต่อเป็นส่วนที่สร้างขึ้นจากคอลลาเจนจำนวนมากการสูญเสียคอลลาเจนบริเวณนี้ ทำให้ช่วงต่อของกระดูกสองท่อนเสียดสีกันมากขึ้น จะเกิดการปวดข้อต่อเมื่อเคลื่อนไหวรวมถึงการเจ็บที่เส้นเอ็นและกล้ามเนื้อด้วย
3. โรคลำไส้รั่ว:คอลลาเจนคือส่วนประกอบสำคัญในเยื่อบุผนังลำไส้ การลดลงของมันจึงอาจนำไปสู่“โรคลำไส้รั่ว (leaky gut syndrome)ที่มีอาการเช่นท้องผูก, ท้องร่วง, สมองเบลอ, เหนื่อยเรื้อรัง,และความบกพร่องของภูมิคุ้มกันร่างกาย
4.สูญเสียความคล่องตัว:โรคของภูมิคุ้มกันบกพร่อง โดยเฉพาะโรคลูปัสและรูมาตอยด์ทำให้สูญเสียความเคลื่อนไหวของร่างกายที่เคยคล่องตัว เนื่องจากคอลลาเจนรอบๆข้อต่อเกิดการติดเชื้อ
นอกจากเรื่องริ้วรอยความชราแล้ว การขาดคอลลาเจนก็จะทำให้เจ็บกล้ามเนื้อเกิดปัญหาการไหลเวียนของโลหิต ที่จะมีอาการเจ็บหน้าอก เวียนศีรษะ เหนื่อยเรื้อรังและปวดศีรษะบ่อยๆอีกปัญหาหนึ่งที่เห็นชัดก็คือเซลลูไลท์ ผิวที่ขาดคอลลาเจนจะขาดความยืดหยุ่น ทำให้ไขมันใต้ผิวดันชั้นตาข่ายเส้นใยไฟเบอร์ของผิวหนังขึ้นมา เกิดผิวขรุขระ ซึ่งรังสียูวีและมลพิษจากPM2.5 ก็มีส่วนสนับสนุนให้สัญญาณเหล่านี้เกิดเร็วขึ้นด้วย
โรคภูมิคุ้มกันบกพร่องจากการขาดคอลลาเจน (COLLAGEN DEFICIENCY SYNDROME)
การขาดคอลลาเจนจะทำให้เกิดโรคของภูมิคุ้มกันบกพร่อง เนื่องจากอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่รับสารพิษเข้าสู่ร่างกาย โรคของภูมิคุ้มกันที่เกิดจากการขาดคอลลาเจนนี้ได้แก่ โรคลูปัสหรือที่รู้จักในชื่อของโรค SLE, โรครูมาตอยด์, โรคหลอดเลือดขมับอักเสบ(Temporal Artheritis) ที่หลอดเลือดรอบขมับเกิดการติดเชื้อทำให้มองเห็นภาพซ้อน, มีไข้, เหนื่อย, เจ็บและติดขัดสะโพกเคลื่อนไหวไม่สะดวก, นัยน์ตาหนึ่งข้างสูญเสียการมองเห็น, ปวดขากรรไกร, เบื่ออาหาร, เจ็บไหล่และไหล่ติดขัด, น้ำหนักลดฮวบฮาบเฉียบพลัน,ปวดบริเวณรอบๆขมับโดยมีอาการปวดหลากหลาย
ดูแลคอลลาเจนในร่างกายให้สมดุล
การบริโภคอาหารที่อุดมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ วิตามินซีและแร่ธาตุต่างๆ จะช่วยรักษาสมดุลการผลิตคอลลาเจนของร่างกายจากภายใน เช่นเดียวกับอาหารที่อุดมด้วยโปรตีนเช่นนมและเนื้อสัตว์ ก็จะช่วยให้ร่างกายผลิตเนื้อเยื่อซ่อมแซมตัวเองได้ดีขึ้น ส่วนการบริโภคผลิตภัณฑ์เสริมอาหารคอลลาเจน เป็นสิ่งที่ต้องระวังเพราะผลิตภัณฑ์เหล่านี้มักผลิตจากส่วนประกอบของปลาทะเล ซึ่งอาจเกิดการแพ้ได้ ทั้งร่างกายก็จะดูดซึมคอลลาเจนเหล่านี้ไปใช้ได้จริงน้อยมากเพราะจะถูกกรดในกระเพาะอาหารย่อยสลายไปหมดก่อนอีกเรื่องที่ควรทำคือดื่มน้ำสะอาดให้มากขึ้นเพื่อชะล้างสารพิษ
อร่อยสดชื่นด้วยน้ำเลมอน-แตงกวาอินฟิวชั่น

ง่ายๆกับการดูแลสุขภาพแบบธรรมชาติกับวิตามินซีจากเลมอนและคุณสมบัติดีๆอีกมากมายจากแตงกวาที่ให้ความสดชื่น เนื้อข้างในผลแตงกวาอุดมด้วยสารซิลิคอนไดอ็อกไซด์(silicon dioxcide) ที่ช่วยลดการเกิดสิวและเพิ่มความยืดหยุ่นให้เนื้อเยื่อเมล็ดแตงกวายังอุดมด้วยวิตามินบี 3 และโปตัสเซียม ช่วยลดริ้วรอย, รอยสิวและสัญญาณความชราของผิวน้ำของแตงกวาอุดมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระเช่น อัลฟ่าและเบต้าแคโรทีน, ซ๊แซนทิน (zeaxanthin), ลูทีน ( lutein), โปตัสเซียม,วิตามิน A และ D ช่วยต้านอนุมูลอิสระและล้างพิษ, ลดความดันโลหิต,ลดความเสี่ยงของโรคStroke โรคหัวใจ โรคไตและปัญหาสายตา สารซิลิคอน แคลเซียมและฟอสฟอรัส ในแตงกวา ช่วยให้เส้นผมแข็งแรงงอกเร็วและเป็นเงางาม
สูตรน้ำเลมอน – แตงกวา อินฟิวชั่น:
ล้างเลมอนและแตงกวาในปริมาณเท่าๆกันให้สะอาด ใช้แปรงถูเปลือกให้ทั่วๆ หั่นเลมอนและแตงกวาเป็นแผ่นหนาพอสมควรทั้งเปลือกใส่ลงไปในน้ำแร่หรือน้ำสะอาด แช่ตู้เย็นไว้ 1 คืนแล้วดื่มตอนเช้า
ช่วยร่างกายฟื้นฟูการผลิตคอลลาเจน:

ถึงแม้เราจะห้ามการสูญเสียคอลลาเจนของร่างกายไม่ได้ แต่เราก็ช่วยสนับสนุนการสร้างคอลลาเจนได้ ด้วยสิ่งเหล่านี้:
– ควบคุมสิ่งที่”ควบคุมได้”:การสูบบุหรี่นอกจากจะเพิ่มปริมาณ PM 2.5 ในอากาศแล้ว ก็ยังเป็นสาเหตุใหญ่ของการทำให้สูญเสียคอลลาเจนในร่างกายได้พอๆกับอันตรายจากรังสียูวี ดังนั้นควรเลิกสูบบุหรี่เพื่อพัฒนาสุขภาพผิวและยกระดับการผลิตคอลลาเจนให้กับร่างกายของเรา
– อโลเวรา:วุ้นของต้นอโลเวราหรือว่านหางจระเข้ มีคุณสมบัติในการรักษาบาดแผลและดูแลผิวหนัง ทั้งยังสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตคอลลาเจนให้กับร่างกายได้ด้วย มีการศึกษาพบว่าการบริโภควุ้นจากพืชชนิดนี้ทั้งในรูปแบบอาหารและผลิตภัณฑ์เสริมอาหารก็จะช่วยฟื้นฟูการผลิตคอลลาเจนในร่างกายได้ในระดับหนึ่ง
– โสม:เป็นสมุนไพรมีคุณสมบัติในการต้านความชรา ด้วยสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยปกป้องเซลล์และสุขภาพผิวหนัง ชาวจีนเชื่อว่าโสมสามารถช่วยสนับสนุนพัฒนาการของการผลิตคอลลาเจน ทั้งช่วยลดความเสียหายของเซลล์จากการได้รับมลพิษได้ด้วย อย่างไรก็ตาม การบริโภคโสมเป็นสิ่งควรระวังสำหรับผู้เป็นโรคหัวใจ โรคความดันโลหิต จึงควรปรึกษาแพทย์ก่อนเพื่อความปลอดภัย
หวังว่าเรื่องที่เล่าให้ฟังวันนี้ คงให้ประโยชน์และความเข้าใจเรื่องสุขภาพกับทุกท่านไม่มากก็น้อย เรื่องของ PM2.5 แทนที่เราจะมัวแต่กังวลและรอความช่วยเหลือก็มาช่วยกันหาวิธีรับมือกับมันด้วยการดูแลสุขภาพตัวเองกันดีกว่า และสำหรับเรื่องของ PM 2.5 เป็นเรื่องที่ต้องแก้ไขในระยะยาวที่ทุกคนต้องร่วมมือกัน เพียงแค่ทุกๆวันต่อไปนี้ เราถามตัวเองว่า วันนี้ได้ทำอะไรที่จะช่วยลดการก่อ PM 2.5 นี้แล้วหรือยัง ถ้ายังก็จงลงมือทำ ก็ถือว่าได้ทำหน้าที่ดีที่สุดแล้วค่ะ