City Break Rome Part XV

เบรกเที่ยวในโรม ตอนจบ…Shopping in Rome
โดย Paul Sansopone

มาถึงตอนนี้ City Break Rome ก็เป็นตอนที่ 15 ซึ่งจะเป็นตอนส่งท้ายก่อนออกจากโรมไปเมืองอื่น แต่เราจะจากเมืองนี้ไปโดยไม่ได้ช็อปปิ้งคงไม่ไช่แน่ๆ เนื่องจากโรมเป็นเมืองแห่งแฟชั่นและศิลปะซึ่งอยู่อันดับต้นๆ ของโลก มาดูกันว่าย่านช็อปปิ้งของที่นี่ต้องไปที่ไหนกัน

ช็อปปิ้งบนถนนสายหลัก Street Shopping

1. Via dei Condotti
ถนนแห่งนี้ต้อนรับนักท่องเที่ยวที่มาโรมหลายล้านคนมาแล้ว มันอยู่ที่จัตุรัสบันไดสเปน แบบว่าถ้าเราหันหลังให้บันไดสเปนแล้วเดินเข้าไปในถนนสายที่คนเดินเยอะๆ ก็ใช่เลย เพราะบรรดาร้านระดับ Haute Couture ของ Italian Brandทั้งหลายมักจะมี Flagship Store อยู่บนถนนสายนี้ทั้งสิ้นนำโดย: Gucci, Bulgari, Prada, Hermès, Ferragamo, Armani, Trussardi, Valentino และอื่นๆ

City Break Rome Shopping in Rome 15

Via dei Condotti

2. Via del Corso
ถนนเก่าแก่สายนี้เกิดมาพร้อมๆ กับกรุงโรม ตัดผ่าเมืองหลวงอิตาลีแห่งนี้จากเหนือลงใต้ ถือเป็นถนนเมนหลักที่นักท่องเที่ยวใช้เพื่อไปเที่ยวสถานที่ท่องเที่ยวดังๆ หลายแห่งในโรม และก็มีร้านค้าหรือห้างสรรพสินค้าทีมีแบรนด์ที่เรารู้จักดี (High Street Brand) แต่ร้านค้าท้องถิ่นที่นำเสนออิตาเลี่ยนแฟชั่นนั้นก็มีมากโดยเฉพาะร้านรองเท้าและร้านที่เป็น Special Interest อื่นๆ เช่น ร้านเครื่องดนตรีหรือเครื่องเสียง

City Break Rome Shopping in Rome 16

3. Via Borgognona

City Break Rome Shopping in Rome 5

ถนนที่ขึ้นชื่อเรื่องร้าน Top-Name Fashion ไม่ได้เป็นรองถนน Via dei Condotti ซึ่งอยู่ใกล้ๆกัน ก็คงเป็นสายนี้มีร้านอย่าง Dolce&Gabbana, Fendi, Ferrè, Givenchy และVersace

4. Via del Babuino
ถนนนี้มีทั้งของเก่า(Antiques) หากชอบแต่งบ้านด้วย Art Pieces จากอิตาลีแท้ ไม่ว่าจะเป็นเฟอร์นิเจอร์สไตล์บาโรค ภาพวาดสีน้ำมัน, เครื่องแก้วที่ไม่ใช่ของก็อปปี้ ควรมาดู และก็มีร้านแฟชั่นชั้นดีอย่าง Armani, Chanel, Tiffany&Co. มาเปิดอยู่ด้วยทำให้มีส่วนผสมของความเก๋ไก๋ไม่น่าเบื่อ

City Break Rome Shopping in Rome 4

Via del Babuino

5. Via Margutta
ถนนนี้เอาใจผู้ที่รักงานศิลปะโดยเฉพาะ งานภาพวาดหรือของแต่งบ้านที่เป็น Art Pieces ที่โดดเด่นก็เป็นบรรดาร้านขายของเก่า Antiquities Shops โดยเฉพาะที่อยู่เลขที่ 45 และ86 แต่ถ้าต้องการแบบทำขึ้นใหม่ Reproduction ราคาย่อมเยาก็ต้องเลขที่ 109 ต้องขอบอกว่าบรรยากาศของถนนสายนี้ดูโรแมนติกมากๆโดยเฉพาะยามพลบค่ำ

City Break Rome Shopping in Rome 2

6. Via Bocca di Leone
ถนนนี้เชื่อม Via dei Condotti และ Via Borgognona แน่นอนว่าต้องมีร้านลักษณะ High-Style Boutiques โดยเป็นแบรนด์อิตาลีดังเช่น Valentino และGianni Versace

City Break Rome Shopping in Rome 11

7. Via Nazionale
ถนนสายหลักแห่งนี้จะมีร้านที่ขายสินค้าราคาปานกลาง แต่ถ้าเป็นรองเท้าเสื้อผ้าก็มีดีไซน์ที่ใช้ได้ อย่าลืมว่าเราอยู่ในอิตาลีที่เด่นเรื่องการออกแบบอยู่แล้ว ขอแนะนำร้านเครื่องนอน ผ้าปูเตียงปลอกหมอน ต้องร้าน Frette ที่มีOutlet Store อยู่ที่ถนนนี้

City Break Rome Shopping in Rome 6

 

ช็อปแบบห้างสรรพสินค้า Shoping Mall or Department Store in Rome

Galleria Alberto Sordi

City Break Rome Shopping in Rome 10

ที่นี่มีความละม้ายคล้ายคลึงกับ Galleria ต้นตำรับที่เมืองมิลานทางเหนือโดยเฉพาะเพดานกระจกและการตกแต่งด้วยศิลปะแบบ Art Deco เปิดมาไม่นานเมื่อปี 2004 นี่เอง มันเป็น Shopping Mall แห่งเดียวที่อยู่ใจกลางเมืองโรมตรงจัตุรัส Piazza Colonna บนถนน Via del Corso เปิดตั้งแต่ 10 โมงเช้าถึง 4 ทุ่ม มีร้านเหล่านี้รอนักช็อปอยู่ Zara, CK Calvin Klein, Richard Ginori , Sony Gallery, ร้านหนังสือ Feltrinelli และร้านของกินมากมาย

ห้าง La Rinascente

City Break Rome Shopping in Rome 3

เป็นห้างแบบ Department Store ที่คนไทยรู้จักดีเพราะถูกซื้อไปโดยเซ็นทรัลกรุ๊ป มี 10 กว่าสาขาทั่วอิตาลีโดยที่ใหญ่ที่สุดจะอยู่ที่มิลาน ในโรมก็จะมีอยู่ใน Galleria Alberto Sordi มอลล์ที่แนะนำไปด้านบน และก็อีกแห่งจะอยู่ที่ถนน Via del Tritone ที่เปิดล่าสุด ห้างนี้จะมีสินค้าแบรนด์ดัง เช่น 7 for All Mankind, Burberry, Cachare, Caractère, Class, Roberto Cavalli, Denim by Victoria Beckham, Diesel, French Connection, Guess, Marc by Marc Jacobs, Chloé และ True Religion. ส่วนเครื่องสำอางค์ก็ Laura Mercier, Ahava, Bulgari, Burberry, Calvin Klein, Chloé, Roberto Cavalli, Clinique, Dior, Dolce & Gabbana, Donna Karan, Estée Lauder, Versace, Giorgio Armani, Gucci, Jennifer Lopez, Lacoste, Lancôme, MAC, Marc Jacobs, Michael Kors, Miss Sixty, Moschino, Ralph Lauren, Stella Mc Cartney และ Tommy Hilfiger. สินค้าแต่งบ้านพวก Home Decoration ก็มี Alessi, Bellora, Bossi, Carrara, Casapoggesi, Delonghi, Guzzini, Kenwood, Seletti และ Villeroy & Boch
www.rinascente.it

ห้าง Coin

City Break Rome Shopping in Rome 9

ห้าง COIN ก็ถือเป็น Upscale Department Store เช่นกัน มีสาขาอยู่ทั่วอิตาลี ที่โรมจะมีอยู่ 3 แห่ง แต่ที่ใหญ่ที่สุดจะอยู่ในย่านปลาติ Prati ใกล้กับวาติกัน อยู่บนถนนสายช็อปปิ้งที่ดังอยู่เหมือนกันที่ชื่อถนน Via Cola di Rienzo ห้างนี้โดดเด่นเรื่องแฟชั่นชายหญิง โดยเฉพาะแฟชั่นกางเกงยีนส์ ของแต่งบ้าน จริงๆ แล้วห้างสรรพสินค้าในอิตาลีที่ชื่อคุ้นยังมี UPIM (“Unico Prezzo Italiano Milano”) และ OVS Industryแต่เจ้าของก็คือบริษัทเดียวกันกับ Coin ซึ่งจะเป็นตัวทำตลาดบนส่วน Upim, OVS จะทำตลาดกลาง
Via Cola di Rienzo, 173 (Prati)
www.coin.it

 

ช็อปแบบ Outlet Shopping ใกล้ Rome
สมัยนี้นักท่องเที่ยวเริ่มคุ้นเคยกับการซื้อของที่ Outlet Shopping เพราะได้ของดีราคาพิเศษอาจไม่ใช่ของแบบ in seasonแต่ก็ไม่ถึงขนาดตกรุ่นตกเทรนด์ขนาดนั้น เรามารู้จัก Outlet ของโรมกันครับ

Castel Romano Designer Outlet (บริหารโดย McArthur Glen outlet chain)
City Break Rome Shopping in Rome 8

เวลาเปิด-ปิด จันทร์-อาทิตย์ 10 โมงเช้า-2ทุ่ม แต่วันศุกร์ถึงวันอาทิตย์ปิด 3ทุ่มตรง อยู่ที่ Via Ponte di Piscina Cupa, 64, Castel Romano
แบรนด์ดังที่มีขายที่นี่: 140 ร้านดังรวมทั้งValentino, Roberto Cavalli, Furla, and Patrizia Pepe
วิธีไปจาก Rome: โดยขับรถเช่าไป (20 นาที)ใช้สาย SS 148 south มุ่งหน้า Pomezia แล้วให้ออก exit ที่เขียน Castel Romano โดย shuttle busจับรถบัส Via Marsala หน้าสถานีรถไฟ Termini stationเวลา 10am, 12:30pm, หรือบ่าย 3โมง ค่าโดยสารไปกลับ 13euros (โทร 02 867 131)หรือโดยรถตู้ shuttle ของoutlet(29 eurosไปกลับ)โทรจองล่วงหน้า1วันเบอร์ 3490836551 เพื่อนัดรับที่โรงแรมถ้ามีหลายคนเบอร์โทรของร้าน0650 50050

Valmontone Outlet

City Break Rome Shopping in Rome 14

เวลาเปิด-ปิด จันทร์-อาทิตย์ 10 โมงเช้า-2ทุ่มจันทร์ถึงวันศุกร์แต่เสาร์-อาทิตย์ปิด3ทุ่มตรง อยู่ที่ Via della Pace, Pascolaro, Valmontone
แบรนด์ดังที่มีขายที่นี่: มักเป็นแบรนด์ระดับ High Street มากกว่าที่เป็น designer storesเช่น Calvin Klein, Intimissimi, Clarks, Ethic, Sisley, and Baldinini.
วิธีไปจาก Rome: โดยขับรถเช่าไป (45 นาที), ใช้สาย A 1 south มุ่งหน้า Napoli แล้วต่อ E45 ไป San Cesareo ให้ออก exit ที่เขียน Valmontone: โดย shuttle bus, จับรถบัสหน้าร้าน Terracafe ถนน Via Marsala 29 ไกล้สถานนีรถไฟ Termini station ค่าโดยสารไปกลับ 5 euros (โทร 06 45473194) เบอร์โทรของร้าน06 959949

 

ช็อปปิ้งตลาดสดหรือแบบตลาดนัดในโรม
ตลาดนัดหรือตลาดสดในยุโรปนั้นถือเป็นประสบการณ์การช็อปที่คลาสสิกไม่เลวครับ อย่างตลาดนัดนี่เรามักจะเจอของเก่าเก็บของแอนติก Antiques ที่นำมาแต่งบ้านได้ไม่ซ้ำใคร แม้ไม่รับประกันความแท้แต่บางครั้งดูดีๆ ได้ของดีของแท้จริงครับ เพราะของเหล่านี้ไม่มีผลิตแล้วอาจเป็นของแบบทบทวนความหลัง Memorabilia ก็ได้เช่นของเล่นที่ทำจากสังกะสี

1. Porta Portese

City Break Rome Shopping in Rome 13

City Break Rome Shopping in Rome 12

ตลาดนัดวันอาทิตย์เช้าหรือ Flea Marketที่ใหญ่หน่อยของโรมคงต้องเป็นที่นี่ครับมีของครบ เสื้อผ้า ของแอนติก งานศิลปะ ของทบทวนความหลังและอื่นๆ มาได้เลยอยู่ที่ถนน Via Ippolito Nievo

2. Campo de’ Fiori

City Break Rome Shopping in Rome 7

ตลาดสดที่เปิดมาตั้งแต่สมัยยุคกลาง(Medieval )มาจนถึงยุคปัจจุบัน ขายอาหารสด อาหารแห้งผลไม้แบบสไตล์ Farmer’s Market ของใช้ในบ้าน แค่มาเดินดูคนซื้อคนขายต่อรองราคากันก็คุ้มแล้วนะครับ

City Break Rome Shopping in Rome 1

 

มาถึงย่อหน้าสุดท้ายของ City Break Rome กันแล้วนะครับ หวังว่าเรื่องราวของอมตะนครแห่งนี้จะเป็นประโยชน์กับท่านบ้างไม่มากก็น้อย หากได้มีโอกาสมาเที่ยวที่นี่ ผมคงต้องขอลาด้วยคำว่า ‘ Ciao’ แล้วพบกันใหม่ใน City Break Paris สุดยอดมหานครอีกแห่งในแง่มุมที่ท่านอาจยังไม่รู้จัก

City Break Rome Part XIV

เบรกเที่ยวในโรม…Night out in Rome ตอนที่ 2
โดย Paul Sansopone

จากตอนที่แล้วเราเริ่มจากตอนหัวค่ำเข้า Aperativo Bar หรือ Cocktail Bar กันก่อน ในตอนนี้ก็เลยเสนอสถานที่นั่งฟังเพลงซึ่งถ้าจะให้เหมาะกับโรมก็คงจะต้องเป็นแจ๊สคลับ อย่างไรก็ตามผมก็มีทางเลือกสำหรับผู้ที่ยังมีไฟที่เท้าอยู่ ก็เลยแนะนำ Party House สุดฮิตในโรมมาให้ด้วย

TramJazz

City Break in Rome Jazz Club Party House 4

ต้องขอเริ่มจาก Tramjazz ก่อนทีจะไปแนะนำแจ๊สคลับต่างๆ ที่น่าสนใจ ก็เพราะที่โรมมีแจ๊สบน‘รถราง’(Tram) ที่ไม่เหมือนที่ไหนแถมเป็นการเซ็ตติ้งแบบ ‘อาหารมื้อค่ำใต้แสงเทียน’ แล้วรถรางก็วิ่งไปเรื่อยๆ เป็นการทำ Night Tour ของโรมที่ได้ฉายาว่าเป็น Romantic City ไปในตัว นักดนตรีแจ๊สก็บรรเลงสดๆ อยู่บนรถรางนั่นแหละครับ น่าลองครับ The TramJazzรถรางจะออกจาก Piazza di Porta Maggiore ตอน 3 ทุ่ม

City Break in Rome Jazz Club Party House 17

 

Alexanderplatz
Via Ostia, 9 (Prati)

City Break in Rome Jazz Club Party House 3

ห่างมา 2-3 ถนน จากสถานีรถไฟใต้ดิน อ๊อตตาเวียโน่ (Ottaviano Metro) คุณก็จะได้พบกับแจ๊สคลับยุคแรกๆ ของโรมที่ชื่อว่า Alexanderplatz ที่มีบรรยากาศแบบ down to earth สไตล์ แต่มันก็ต้องแบบนี้แหละคล้ายๆ กับคลับย่าน Greenwich Village ใน New York ที่ Alexanderplatz คลับก็อยู่ใต้ดิน เปิดมาตั้งแต่ปี 1984 และที่นี่ก็ได้มีโอกาสต้อนรับนักดนตรีดังๆ อย่าง Wynton Marshalls, Brad Meldhau, Red Rodney และ Freddy Cole หากท่านจะมาให้เช็คมาก่อนว่าใครจะมาแสดงหรือเป็นนักดนตรีรับเชิญโปรแกรมคอนเสิร์ตที่จะมีทุก 4 ทุ่มของวันพฤหัสถึงเสาร์

Bebop Jazz Club
Via Giuseppe Giulietti, 14 (Piramide)

City Break in Rome Jazz Club Party House 5

ที่นี่เปิดมาตั้งแต่ปี 2000 และปัจจุบันถือว่าเป็นคลับที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งสำหรับท่านที่ต้องการให้มื้อเย็นของท่านมีเสียงเพลงแจ๊สที่บรรเลงสดโดยนักดนตรีฝีมือดี น่าจะเรียกว่าเป็นแจ๊สดินเนอร์แบบแท้ๆ อาหารเย็นเสิร์ฟ 3 ทุ่มก่อนที่ดนตรีจะเริ่มเล่นตอน 4 ทุ่มครับ

Big Mama
Vicolo di San Francesco a Ripa, 18 (Trastevere)

City Break in Rome Jazz Club Party House 13

ตั้งแต่ปี 1984 Big Mama ถือเป็นคลับที่ได้รับความนิยมสูงสุดในหมู่ผู้ที่ชื่นชอบเพลงบลูส์ (Blues Lovers) แต่ก็มีแจ๊สสลับด้วยไม่ให้คอแจ๊สต้องผิดหวัง คลับตั้งอยู่ในย่าน ทราสเตเวเร่ (Trastevere) ซึ่งเป็นย่าน Night Out ที่น่าสนใจ มีร้านอาหารและบาร์ให้แวะก่อนมาที่ Big Mama เพราะที่นี่กว่าดนตรีจะเล่นก็ 4 ทุ่ม

Casa del Jazz
Viale di Porta Ardeatina, 55 (Piramide)

City Break in Rome Jazz Club Party House 10

ชื่อก็บอกแล้วว่าเป็น ‘บ้านแจ๊ส’ ที่นี่ใช้สถานที่เป็นอิตาเลี่ยนวิลล่า 3 ชั้น และสนามด้านข้างตกแต่งเป็นแบบ Auditorium มี150 ที่นั่ง มี bar และ restaurant มันเหมาะสำหรับผู้ที่เป็นคอแจ๊สแบบซีเรียส เพราะเครื่องเสียงที่นี่เป็นระดับ World Class มันอยู่ทางใต้ของโรมใกล้ ปิรามิด Piramide

City Break in Rome Jazz Club Party House 1

Charity Cafe
Via Panisperna, 68 (Monti)

มืดๆ ทึมๆ แบบแจ๊สบาร์ในนิวยอร์คแต่อยู่ในย่าน มนติ Monti ของโรม มี Jam Session ทุกวันพุธ Blues Night วันพฤหัสวันศุกร์เสาร์ก็ Live Jazz ส่วนวันอาทิย์ที่ส่วนใหญ่ที่อื่นปิด แต่ที่นี่มี Sunday Blues ซึ่งมีอาหาร Buffet เสิร์ฟตั้งแต่ทุ่มนึงเป็นต้นไป

Cotton Club
Via Bellinzona, 2 (Trieste)

City Break in Rome Jazz Club Party House 2

ชื่อฟังแล้วคุ้นหู ที่นี่มักเล่นแบบ Big Band Jazz และการนำเสนออย่างอื่นก็ทำได้ดีทั้งอาหารและดนตรีในราคา35 euro ร้านนี้อยู่ในย่าน ทริสเต้ (Trieste) ที่เป็นละแวกที่น่าเดินเล่นก่อนมาชมแจ๊สและทานอาหารที่ Cotton Club

Elegance Café Jazz Club
Via Vittorio Veneto, 93 (Barberini)

City Break in Rome Jazz Club Party House 11

Elegance Café แค่ชื่อก็บ่งบอกถึงความเก๋ไก๋ ก็แน่นอนล่ะเพราะมันอยู่บนถนน Via Veneto ของ Rome ถ้าต้องการบรรยากาศและคนชงเหล้าฝีมือดีมีระดับ และแจ๊สมิวสิคจากฝีมือของนักดนตรีชั้นนำ ที่นี่ไม่น่าผิดหวัง

Gregory’s Jazz Club
Via Gregoriana, 54 (Piazza di Spagna)

City Break in Rome Jazz Club Party House 12

บาร์นี้อยู่ในตำแหน่งที่ใช้ได้มากๆ ก็อยู่ในย่านบันไดสเปนนี่เอง (Spanish Steps) ให้ถามหา Gregory’s Jazz Club ได้เลยครับ แม้ไม่ได้อินกับดนตรีแจ๊สมากนักแต่บรรยากาศในการนั่งคุยกันและมีเครื่องดื่มที่ใช้ฝีมือชง น่าจะทำให้คลายหายเหนื่อยได้ไม่ยาก

Il Pentagrappolo
Via Celimontana, 21B (Colosseo)

City Break in Rome Jazz Club Party House 8

City Break in Rome Jazz Club Party House 16

บาร์นี้อยู่ห่างจากคอลอสเซี่ยม (Colosseum) ไม่มาก เหมาะที่จะเดินควงแขนกันมาเพื่อชมความงามของคอลอสเซี่ยมยามค่ำที่เปิดไฟสวยงามแล้วก็เดินต่อไปที่ Il Pentagrappolo ที่เป็นบาร์เท่ๆ และจะมีดนตรีแจ๊สเล่นในวันพฤหัสถึงเสาร์ โดยจะเน้นเพลงประเภท Soul, Blues และJazz

28 Divino
Via Mirandola, 21 (Tuscolana)

City Break in Rome Jazz Club Party House 7

แจ๊สสดๆ กับไวน์นั้นเข้ากันได้ดีมากครับโดยเฉพาะที่นี่ แต่ถ้าชอบค็อกเทลที่นี่ก็มีในชั้นสอง ที่เสิร์ฟอาหารว่างและดื่ม(Food and Aperitivo) เรียกว่าเอาใจลูกค้าทุกประเภท

Party House in Rome
แนะนำบาร์แจ๊สมาหลายแห่งแล้วคงต้องเอาใจวัยสะรุ่นที่ต้องการอะไรที่ร้อนแรงหน่อยจึงขอปิดท้ายค่ำคืนในโรมด้วยคลับดังๆ ของโรมซัก 2-3 แห่งครับ

Lanificio 159
Via di Pietralata, 159/1 (Nomentana)
lanificio.com

City Break in Rome Jazz Club Party House 9

ที่นี่อาจจะอยู่ออกนอกเมืองไปหน่อยแต่เพื่อปาร์ตี้หนักๆ ก็ต้องลอง สถานที่เคยเป็นอู่ซ่อมรถเก่า มี DJ มืออาชีพอย่าง L-Ektrica และ GLAMDA ที่ทำให้บรรดา party goers ช่วงอายุ 20-30 ต้องกลับมาที่นี่บ่อยๆ ที่นี่ยังมี Live Music อาทิตย์ละ2 ครั้งอีกด้วย

Goa Club
Via Giuseppe Libetta, 13 (Ostiense)
goaclub.com

City Break in Rome Jazz Club Party House 14

ที่นี่สำหรับแฟนเพลงแนว Alternative และElectronic เพราะมันดีที่สุดของโรม ไม่ว่าบรรยากาศหรือเครื่องเสียง ไม่ค่อยมีใครผิดหวังถ้าอยากมาปาร์ตี้ก็ตรงมาได้เลย.บ้างก็บอกว่าดีที่สุดในอิตาลีเชียว

Room26
Piazza Guglielmo Marconi, 31
room26.it

City Break in Rome Jazz Club Party House 15

Room26 เปิดมา 4-5 ปีนี้เอง แต่มันเจ๋งพอที่จะมีคนตรึมตลอด เข้ามาตอนแรกนึกว่าเข้ามาพิพิธภัณฑ์มีเสาหินอ่อนมีสถาปัตกรรมแบบโรมัน แต่พอได้ยินระบบเสียงที่ออกแบบโดย Steve Dash ที่ได้ชื่อว่า Best in Europe ต้องบอกว่าที่นี่ทั้งสวยทั้งดัง(มากๆ)

 

พบกันคราวหน้าจะเป็นเรื่องราวของการช็อปปิ้งในโรมซึ่งเป็นตอนสุดท้ายของ City Break Rome ครับ

City Break Rome Part XIII

เบรกเที่ยวในโรม…Night out in Rome ตอนที่ 1

ชาวโรมันนั้นขึ้นชื่อเรื่องปาร์ตี้สังสรรค์มาตั้งแต่สมัยโบราณแล้วเรียกว่าในทุกยุคสมัยของซีซ่าร์แต่ละพระองค์ จะมีสงบเสงี่ยมหน่อยก็ในช่วงที่เขตนี้เป็นนครรัฐของสันตะปาปา(Papal State) อาจอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ข้อจำกัดของคริสต์ศาสนาอยู่บ้าง แต่มาถึงยุคปัจจุบันโรมก็ถือว่าเป็นเมืองหลวงที่ไม่ได้เป็นรองเมืองไหนๆ ในตอนนี้เราจะมาดูทางเลือกว่า ‘อมตะนคร’แห่งนี้มีอะไรให้ทำบ้างในยามราตรี
แต่ก่อนที่จะไปแนะนำสถานที่ก็อยากแนะนำคร่าวๆ ถึงเครื่องดื่มท้องถิ่นแบบที่ชาวอิตาเลี่ยนเค้าดื่มกันในบาร์ทั้งหลาย แน่นอนว่าเราสามารถจะสั่งดื่มที่เราคุ้นเคยได้ทุกแห่งแต่ก็ควรจะได้ลองของท้องถิ่นบ้างในแก้วแรกๆ

Aperitif ดื่มเรียกน้ำย่อยก่อนอาหาร

City Break Rome Night Out in Rome 3

วัฒนธรรมการเที่ยวบาร์ของชาวอิตาเลี่ยนนั้นจะเริ่มต้นช่วงหัวค่ำด้วยการเที่ยว Aperativo Bar เพื่อดื่มเหล้าก่อนอาหารที่เรียกว่า Aperitif ก่อน จริงๆ แล้ววัฒนธรรมนี้มาจากทางอิตาลีตอนเหนือแถบตูรินและมิลาน แต่ปัจจุบันในโรมก็เปิดรับหรือซึมซับวัฒนธรรมนี้ไปแล้วแบบไม่ขัดเขิน เพราะเราจะเห็นว่าบาร์เหล่านี้จะเต็มไปด้วยวัยรุ่นคุยกันออกรสชาติ

เรามาดูว่าเครื่องดื่มที่เราควรลองนอกจากค็อกเทลแบบสากลแล้วแบบท้องถิ่นมีอะไรกันบ้าง
Campari มีมาตั้งแต่ปี 1800’s ปัจจุบันผลิตใน Milan ซึ่ง Campari ก็คือเครื่องดื่มประเภท Bitter คือทำจากเหล้าผสมเครื่องเทศและผลไม้ เป็นตัวหลักในค็อกเทลอื่น เช่น Negroni และAmericano
Aperol คล้าย Campari แต่รสอ่อนกว่า แอลกอฮอล์น้อยกว่า

City Break Rome Night Out in Rome 2

Negroni Sbagliato. Pic.cr. food52.com

Negroni ทำง่ายมากจากการผสม 1:1:1 ส่วนของ Gin, Red Vermouth และBittersอาจใช้ Campari แทนได้
Sbagliato มันก็คือ Negroni ที่ผิดพลาด Sbagliato เกิดจากการที่บาร์เทนเดอร์ในมิลานคว้าขวดผิดแทนที่จะหยิบขวดยินมาผสม 1:1:1 ส่วนของ Gin, Red Vermouth และBitters กลับหยิบขวด Prosecco มาแทนเลยผสมไปแล้วกลายมาเป็น Negroni Sbagliato (sbah-lyee-ah-to) กลายเป็นที่นิยมไป
Americano สีแดงสดใสจากการผสม Campari, Red Vermouth และSoda Water เริ่มต้นคงทำเอาใจลูกค้าอเมริกันเลยได้ชื่อนี้มา

City Break Rome Night Out in Rome 5

Spritz มีชื่อในภาคเหนือของอิตาลีส่วนที่ติดกับออสเตรีย เพราะ Spritz มาจากที่นั่นแต่อิตาเลี่ยนมาดัดแปลงเล็กน้อยใช้ Proseccoผสมกับ Campari หรือ Aperol ตบด้วย Sparkling Mineral Water กลายเป็นเครื่องดื่มประจำของ Venice ช่วงอากาศร้อนๆ
Martini คือ Vermouth Cocktail ทำจากเหล้า Martini & Rossi จาก Turin ผสมกับ Sparkling Wine ทำให้ Martini คืออมตะ Classic Cocktail

Digestivo ดื่มให้อาหารย่อย เครื่องดื่มหลังอาหาร
ในกรณีที่เราทานอะไรมาแล้วมาแวะบาร์ในลักษณะ ‘one for the road’ การบริโภคเหล้าหลังอาหารเป็นเรื่องปกติก่อนลุกกลับบ้าน ถ้าเป็นในฝรั่งเศสเค้าจะดื่มคอนยัคสักแก้วแต่ในอิตาลีมีให้เลือกเยอะกว่า
Limoncello เหล้ามะนาวจากทางใต้ในเขตคัมปาเนียที่ดื่มอร่อยเลยทำให้มักจะดื่มมากไป มันต้องเสิร์ฟแบบเย็นฉ่ำแบบออกมาจากfreezerเท่านั้นจึงจะถูกต้อง
Amaro น้ำขม เพราะแปลแบบนั้น “bitter” มันทำจากสมุนไพรและรากไม้หลายชนิด ตอนแรกมันเป็นยารักษาคนป่วยด้วยแต่มันย่อยอาหารได้ดี

City Break Rome Night Out in Rome 10

Grappa มันคือเหล้าหลังอาหารชื่อดังทางเหนือ ใช้ตบท้ายก่อนกลับบ้านหรือใช้ถอนตอนเช้าด้วยการผสมกับ Espresso ที่เรียกว่า Caffe Corretto เพื่อกระตุ้นให้สมองทำงาน

Birra เบียร์ในอิตาลี

City Break Rome Night Out in Rome 8

ในขณะที่ประวัติศาสตร์มันก็บ่งบอกอยู่ว่าที่อิตาลีนิยมดื่มไวน์มากกว่าเบียร์และอาหารอิตาเลี่ยนก็เหมือนถูกออกแบบมาให้เข้ากับไวน์ แต่อย่าเพิ่งไปเหมารวมว่าเบียร์อิตาเลียนไม่ดีเด็ดขาด เพราะช่วงหนึ่งโดยเฉพาะทางเหนือที่นี่ถูกปกครองโดยออสเตรียและก็มีอาณาเขตติดอยู่กับออสเตรียด้วย ในเขต Trentino-Alto Aldige, Veneto และFriuli-Venezia Giuliaประเพณีการทำเบียร์ดีแบบเมืองที่พูดเยอรมันก็ซึมซับเข้ามาอย่างช่วยไม่ได้ แล้วเบียร์กับพิซซ่าเป็นอะไรที่ไปกันได้ดี และถ้าจะสั่งเบียร์ดื่มในอิตาลีหากท่านไม่ได้อยู่ในร้านพวก Microbrewry หรือในสมัยนี้เค้าเรียกว่าร้าน Crafted Beer ละก็แนะนำ 3 ยี่ห้อนี้ Morena, Moretti หรือ Peroni

Peroni

City Break Rome Night Out in Rome 6

Peroni หรือ Peroni แดง เป็นแบรนด์ที่รู้จักดีที่สุดของเบียร์ตลอดทั่วทั้งคาบสมุทรอิตาลีมาตั้งแต่ปี 1846 เป็นของตระกูล Peroni ดั้งเดิมตามชื่อแบรนด์ แต่ตอนนี้น่าจะอยู่กับกลุ่ม SABmiller กลุ่มธุรกิจเจ้าของเบียร์หลายยี่ห้อ Peroni Red มันเป็นเบียร์ที่ขายดีที่สุดในประเทศอิตาลี มันมีแอลกอฮอล์เป็น 4.7% ทำขึ้นจาก barley malt, ข้าวโพดเม็ดกลม ในขณะที่ Peroni เองก็ได้ออกรุ่นNastroAzzurro ชื่อมันมีความหมายว่า “ริบบิ้นสีฟ้า” ในภาษาอิตาเลี่ยน หลังจากได้รับรางวัล Blue Riband Awards มันเป็นLager Beer มีแอลกอฮอล์ 5.1% มันคือเบียร์สำหรับตลาดระดับพรีเมี่ยม ผลิตตั้งแต่ปี1963 และยังเป็นสปอนเซอร์ให้Valentino Rossi นักบิดMotor GP อีกด้วย

Moretti แบรนด์เก่าแก่เช่นกันก่อตั้งใน Udine ปีค.ศ.1859 โดย Luigi Moretti แต่ปัจจุบันเป็นของบริษัทใหญ่คือ Heineken International.ไปแล้วเมื่อปี 1996
Morena ก็เป็นเบียร์ดังหากคุณไปเที่ยวทางใต้ของอิตาลีมันผลิตที่เมือง Baragiano โดยใช้วัตถุดิบสำหรับทำSuper Premium Quality Beer เลยทีเดียว

ถึงเวลาแนะนำสถานที่ใช้เป็นที่’แฮงค์เอ๊าท์’ ในโรม
แต่ก่อนที่จะแนะนำ Aperativo Bar ขอเริ่มจากการแนะนำ Beer Bar ก่อนครับ

Open Baladin
Via degli Specchi, 6

City Break Rome Night Out in Rome 14

ที่นี่ซีเรียสกับเบียร์เป็นพิเศษและยังรู้ว่าเบียร์นั้นเข้ากันได้ดีกับอาหารอเมริกัน ก็เลยจัดให้มี Hamburgers และHot dogs ที่เน้นเนื้อชั้นดีและซอสมะเขือเทศทำเองหรือ Homemade Ketchup

 
Bar del Fico
Piazza del Fico, 2 (Navona)
bardelfico.com

City Break Rome Night Out in Rome 4

บาร์นี้เป็นที่นิยมของชาวโรมหรือที่เราเรียกว่า Romans เค้ามักจะมาเริ่มกันตั้งแต่ช่วงหัวค่ำ ต้องบอกว่าหลายๆ คนแต่งตัวกันเตรียมพร้อมที่จะไปเที่ยวแบบdanceกระจายกันต่ออย่างแน่นอน ในบาร์มักจะคนแน่นแบบเบียดทะลักกันออกมายืนกันข้างนอกซึ่งก็เป็นจัตุรัส Fico ที่นี่แค่มาเอาบรรยากาศหรือมาดูคนก็ทำให้เราคึกได้แล้ว เหมาะสำหรับคนขี้ง่วง

City Break Rome Night Out in Rome 15
 

Black Market
Via Panisperna, 101 (Monti)
blackmarketartgallery.it

City Break Rome Night Out in Rome 9

ต้องการชิลล์หรือปลดลาน Unwind ในแบบที่ฝรั่งชอบพูดให้มาที่ย่าน มนติ Monti ที่บาร์ชือ Black Market ซึ่งนอกจากบรรยากาศวินเทจแล้วยังมี Live DJ หรือUnplugged Concert เล็กๆ ในเพลงแนว Indy 

 

Black Market Hall

Via de Ciancaleoni, 31 (Monti)
facebook.com/pg/blackmarkethall

City Break Rome Night Out in Rome 1

ไหนๆ ก็มาย่านมนติ (Monti neighborhood) แล้วก็ควรมีรายการ Bar Hopping จากบาร์ที่แล้ว Blackmarket ก็น่าจะมาต่อบาร์ชื่อเหมือนๆ กันอีกแห่ง ก็คือ Blackmarket Hall ที่นี่มีดนตรีสดแล้วก็มีอาหารคุ้นเคยอย่างเบอร์เกอร์และ Fish and Chips ในสถานที่ที่คุณต้องบอกว่าการตกแต่งแบบItalian Designนั้นเก๋มากๆ

 

La Conventicola degli Ultramoderni
Via Di Porta Labicana, 32 (San Lorenzo)

City Break Rome Night Out in Rome 12

เป็นคอนเซ็ปแบบที่มีการนำเสนอความแปลกใหม่มี Variety Show หรือ Musical Show ในภาษาท้องถิ่น หรือมี Cabaret โชว์ที่ไม่ซ้ำกันแต่ละวัน คือเน้นศิลปะการแสดงที่ไม่เหมือนที่ไหนในโรมก็แล้วกัน ลองมาดื่มและชมการแสดงที่ Conventicola degli Ultramoderni วันพุธ-พฤหัส เปิด3 ทุ่มถึงตี 4 ส่วนวันศุกร์-เสาร์เปิด 4 ทุ่มถึงตี 5

 
Sacripante Gallery
Via Panisperna, 59 (Monti)

City Break Rome Night Out in Rome 16

การตกแต่งจะเป็นลักษณะ Retro แบบเก่าผสมใหม่ เป็นเหมือนแกลเลอรี่ศิลปะแล้วก็เป็นบาร์ไปด้วย มี Aperitivo ทุกวันเว้นวันจันทร์เริ่มตั้งแต่ 2 ทุ่ม มี DJ เป็นบางวันแต่แค่สถานที่กับดื่มที่ย้อนยุคไปในปี1920 ก็อาจพอแล้ว ไม่ต้อง DJ ก็ได้

 

The Race Club
Via Labicana, 52 (Colosseo)
theraceclubspeakeasyroma.it

City Break Rome Night Out in Rome 17

เมื่อเราไปดื่มที่ไหน ที่แน่ๆ เราอยากเจอคนประเภทเดียวกับเราและการตกแต่งของสถานที่แบบที่เราชอบ เราก็จะin ตั้งแต่ก่อนครื่องดื่มแก้วแรกจะมาเสิร์ฟ เพราะมันเหมือนสถานที่นั้นมันมี vibe ในแบบที่ใช่ ทำให้เกิดความคึกคักขึ้นมาทั้งที่เริ่มง่วง ร้านนี้อยู่ไม่ไกลจากคอลอสเซี่ยม( The Colosseum) ถ้าเปิดตั้งแต่สมัยโน้นคงมีเหล่าGladiator มาอุดหนุนแน่นอน

 

Argot
Via dei Cappellari, 93 (Campo de Fiori)

City Break Rome Night Out in Rome 7

ที่นี่มีเจ้าของเป็นหุ้นส่วน 3 คน อยากเปิกบาร์ที่ให้ความรู้สึกเหมือนบ้าน ไม่หนวกหู คุยกันสะดวก มีศิลปะการตกแต่งหรือบรรยากาศแบบบ้าน มีเก้าอี้และโซฟานั่งสบายในสไตล์วินเทจ Argot เป็นบาร์แบบย้อนยุคที่ใครมาก็ชอบ

 
Salotto42
Piazza di Pietra, 42 (Pantheon)
Aperitivo: €10
salotto42.it

บาร์กลางเมืองไม่ห่างจากวิหารพันเตออน Pantheon มากนัก เหมาะมากที่จะเริ่มตั้งแต่หัวค่ำสำหรับเครื่องดื่มแบบ Aperitif และกิน Aperitivo Buffet ในราคาดื่มละ €10 ขอแนะนำให้ลอง Cuban Manhattan ที่ใช้เหล้ารัมผสมแทนที่จะเป็นวิสกี้

 
Tree Bar
Via Flaminia, 226 (Flaminio)
Aperitivo: price of drink
treebar.it

City Break Rome Night Out in Rome 18

Tree Bar แค่ชื่อก็บอกว่ามันน่าจะเกี่ยวข้องกับต้นไม้ก็ใช่ครับ เพราะที่นี่อยู่ท่ามกลางสวนมีต้นไม้ล้อมรอบ บรรยากาศร่มรื่นกว่าบาร์ที่ไหนๆ ในโรม แต่คนมักจะมาทานอาหารมากกว่ามาดื่ม เรียกว่าตั้งแต่มื้อกลางวันเลย แต่มาดื่ม aperitif บางวันก็แถม Complimentary Buffet ให้เป็นสไตล์ Tapas มี DJ เปิดเพลง Modern Jazz, Electrosoul หรือ ‘Brazilian Moods’

 

Momart
Via XXI Aprile, 19 (Piazza Bologna)
Aperitivo: €10
momartcafe.it

City Break Rome Night Out in Rome 13

ถ้าต้องการความคุ้มคือนอกจากเครื่องดื่มที่เราสั่งแล้วเราสามารถจ่ายค่าบุฟเฟ่ต์อาหารอิตาเลี่ยนอย่างพาสต้าและพิซซ่าแบบไม่อั้นในราคาเพียง€10 เรียกว่ามื้อเย็นข้ามไปเลยก็ได้ ที่นี่เป็น Wood Fired Oven Pizza แท้ๆ และแนะนำให้สั่ง Momart Spritz ดื่มคู่กัน

 

La Zanzara Bistrot
Via Crescenzio, 84 (Prati)
Aperitivo: €10
lazanzararoma.com

City Break Rome Night Out in Rome 11

หากบังเอิญว่าเพิ่งไปแวะชมวิหาร St. Peter’s ที่วาติกันเสร็จออกมาเย็นๆ ก่อนไปที่ไหนต่อควรแวะ La Zanzara ที่คนท้องถิ่นที่นี่ใช้เป็นที่เริ่มต้นค่ำคืนอันยาวไกลของคืนนั้น ต้องเริ่มด้วย Aperitivo และลองชิมฝีมือการชงที่แม้แต่บาทหลวงในวาติกันยังอยากแอบสึกออกมาลอง

City Break Rome Part XII

เบรกเที่ยวในโรม…ดื่มอะไรในโรม ตอนที่ 2
โดย Paul Sansopone

ในอิตาลีมีสำนวนหรือสุภาษิตเกี่ยวกับไวน์อยู่หลายประโยคด้วยกัน ยกตัวอย่างเช่น “A meal without wine is like a day without sunshine.” (– Italian proverb) แต่เคล็ดลับในการดื่มไวน์ให้ได้อรรถรสนั้น มันไม่ใช่แค่หาไวน์ดีๆ มาแล้วก็ดื่มคนเดียว แต่มันคือประสบการณ์ของการดื่มครั้งนั้นต่างหากที่ประกอบไปด้วยเพื่อนร่วมโต๊ะ, สถานที่นั้น ตลอดจนวัฒนธรรมพื้นเพของที่นั่น…(The secret to enjoying best Italian wines – indeed any good wines, is not just to drink them, but to experience the people, places, and cultures that create them.)

เมื่อคราวก่อนเราพูดถึงกาแฟที่เป็นเครื่องดื่มยอดนิยมของโรมไปแล้ว โดยแนะนำให้รู้จักพื้นฐานของกาแฟอิตาเลี่ยนคร่าวๆ ก่อนจะไปลองที่ร้านระดับตำนานที่ใครๆ ที่มาโรมก็ต้องไปลอง คราวนี้มาถึงเครื่องดื่มที่มีความนิยมไม่แพ้กัน และไวน์บาร์ที่โรมหรือที่เรียกกันที่นั่นว่า Enoteca ก็มีอยู่ทุกย่านทุกมุมเมืองเช่นกัน แต่ก่อนจะพาไปร้านที่แนะนำ เราก็ควรรู้พื้นฐานของไวน์อิตาเลี่ยนกันก่อน เมื่อถึงเวลาไปลองจะได้เพิ่มอรรถรสมากขึ้น
ดื่มไวน์อิตาเลียน Vino Italiano

City Break ROME Wine 4

Photo credit: http://www.bywine.nl

คนอิตาเลี่ยนดื่มไวน์กับอาหารมาตั้งแต่วัยรุ่น แต่ไม่ทำตัวเป็นผู้รู้มากเรื่องไวน์เหมือนพวก Wine Snobby (หมายถึงพวกที่ดื่มแล้วชอบเชิดหน้า) ไวน์ที่นี่ราคาไม่แพงมาก การเลือกดื่ม Table Wineไม่ใช่เรื่องน่าอายหรือเสียหาย และถ้าไม่มีความรู้เกี่ยวกับไวน์ก็ไม่เป็นไรเลยรู้แค่กฎเกณฑ์พื้นฐานเช่นไวน์แดงเข้ากับเนื้อแดง ไวน์ขาวเข้ากับเนื้อขาวหรืออาหารทะเลก็ดื่มไวน์ได้แล้ว ไม่จำเป็นต้องเป็น Connoisseur(ผู้ชำนาญเรื่องการชิมการดื่ม) ก็ใช้วิธีขอคำแนะนำจากเพื่อนผู้รู้ที่ไปด้วยหรือถาม Waiterเยอะๆ ไม่เสียหายถ้าเป็นผม ผมมักจะเลือกไวน์ท้องถิ่นของเขตนั้น เช่น แบบคลาสสิกเลยก็ Chianti ถ้าอยู่ในTuscany, ไวน์ Valpolicella ถ้าอยู่ใน Veneto, Nero d’Avola ใน Sicily และ Pinot Grigio หรือไวน์ขาวตัวอื่นใน Friuli-Venezia Giulia ยิ่งถ้าเราจะทานร่วมกับอาหารท้องถิ่นแต่ถ้ารู้ว่าไวน์เขตนั้นไม่ดีก็ต้องดูตัวอื่นที่อยู่ในลีส

City Break ROME Wine 2

การอ่านฉลากไวน์อิตาเลี่ยน

City Break ROME Wine 21

City Break ROME Wine 17

City Break ROME Wine 14

City Break ROME Wine 13

Italian Wine Label ทั่วๆ ไปดูไม่ยากมันคล้ายของไวน์ฝรั่งเศส ตัวหนังสือใหญ่แถวบนสุดคือผู้ผลิต(growerหรืออาจรับจากชาวไร่องุ่นในพื้นที่นั้นมาทำ) ตามตัวอย่างจะเป็น Pegrandi จากนั้นลงมาก็จะเป็นชื่อองุ่นหรือเขตปลูกองุ่น ในตัวอย่างคือ Valpolicella แล้วต่ำกว่านั้นก็จะเป็นการระบุชั้นหรือ classificationเช่น DOCG, DOC, IGT, or VdT จะมีปีผลิต vintage year อยู่ด้านบน อาจมีผู้จัดจำหน่ายหรือค่ายอยู่ด้านล่าง เช่น Vaona

การแบ่งเกรดของไวน์อิตาลี
เริ่มในปี 1963 (พ.ศ.2506) โดยมีกฎหมายฉบับที่ 930/1963 ชื่อ “ลอว์ ออฟ เมดิโอคริตี้” (Law of Mediocrity) เป็นกฎหมายควบคุมคุณภาพการผลิตไวน์กำหนดพื้นที่ทางภูมิศาสตร์เรียกว่า เดโนมินาซิโอเน่ ดิ ออริจิเน่คอนโตรลลาต้า (Denominazione di Origine Controllata) ระยะแรกกฎหมายฉบับนี้ยังไม่เป็นที่ยอมรับ เพราะมีช่องโหว่เยอะกระทั่งทศวรรษที่ 1990 อุตสาหกรรมการผลิตไวน์ในยุโรปขยายตัวจึงมีการแก้ไขกฎหมายฉบับนี้ให้สมบูรณ์มากขึ้น นายโจวานนี กอเรีย (Giovanni Goria) รมว.กระทรวงเกษตร จึงเสนอกฎหมายชื่อ “New Disciplinary Code for Denomination of Wines of Origine” ต่อคณะกรรมการไวน์ของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา (Wines Chamber of Deputies and the Senate)
กฎหมายดังกล่าวผ่านการรับรองและมีผลบังคับใช้ในวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 1992 และใช้มาจนถึงปัจจุบัน เป็นกฎหมายฉบับที่ 164/1992 เรียกสั้นๆ ว่า “กฎหมายของกอเรีย” (Goria’s law) แบ่งเกรดไวน์เป็น 2 ระดับคือ ดีโอ ไวน์ (DO wines) และ วิโน่ ดา ตาโวล่า (Vino da Tavola) พร้อมกับเพิ่มเกรดไอจีที (IGT)

City Break ROME Wine 8

ดีโอซีจี (DOCG = Denominazione di Origine Controllata e Garantita) เป็นไวน์เกรดดีโอซี (DOC) ที่คุณภาพสูงขึ้นไปอีกขั้นหนึ่งโดยหน่วยงานของรัฐเป็นผู้กำหนดและจัดทำฉลากพันรอบคอขวด 3 สี สีชมพูอ่อนใช้สำหรับไวน์ขาวมีฟอง สีเขียวอ่อนสำหรับไวน์ขาว และสีม่วงแดงสำหรับไวน์แดง ถ้าเทียบกับไวน์ฝรั่งเศสก็น่าจะเทียบได้กับระดับ Crus ต่างๆ ขึ้นไป ล่าสุด มี 36 เขตจาก 12 แคว้นที่ได้ DOCG โดยไวน์ DOCG ที่โดดเด่นที่เรารู้จักกันดีก็มักจะมาจากเขตเหล่านี้ เช่น เขตทัสคานี ได้แก่ ไวน์ Brunello di Montalcino และ Chianti Classicoที่ใช้องุ่น Sangiovese (ซานโจเวเซ่), เขตเปียดมอนเต้ ได้แก่ ไวน์ Barolo และไวน์ Barbaresco ที่ใช้องุ่น Nebbiolo (เนบบิโอโล) และไวน์ Amarone จากเขตเวเนโต้ ที่ใช้องุ่นตัวหลักคือ Valpolicella (วัลโปลิเซลล่า)

City Break ROME Wine 12

ดีโอซี (DOC – Denominazione di Origine Controllata ) เป็นพื้นที่ที่กำหนดไว้โดยเฉพาะและใช้ชื่อตามชื่อทางภูมิศาสตร์ของพื้นที่นั้นๆ ผลิตไวน์อย่างเคร่งครัดตั้งแต่การปลูกองุ่น การใช้พันธุ์องุ่น จนถึงกระบวนการผลิตจนออกสู่ท้องตลาดเป็นไวน์คุณภาพมาตรฐานเทียบเท่ากับไวน์ AOC (Appellation d’Origin Controlee) ของฝรั่งเศส (นอกจากนั้น DOC ยังใช้รับรองคุณภาพอาหารของอิตาลีด้วย) ปัจจุบันมี 317 เขตที่ได้ DOC

ไอจีที (IGT – Indicazione Geografica Tipica ) กำหนดโดยสภาพทางภูมิศาสตร์เป็นพื้นที่ผลิตไวน์ที่กว้างขวางทำไวน์อย่างมีแบบแผนแต่ไม่เคร่งครัดเท่าดีโอซี เป็นเกรดใหม่ที่เทียบกับ Vins de Pays ของฝรั่งเศส เพิ่งประกาศใช้เมื่อปี 1994 ปัจจุบันมีกว่า 150 เขต

ระดับ 2 วิโน่ ดา ทาโวล่า (Vino da Tavola) มี 1 เกรด

วีดีที (VdT) เป็นไวน์คุณภาพต่ำสุด เทียบได้กับ Table Wine หรือ Vins de Table ของฝรั่งเศส การผลิตไม่มีการบังคับอาจจะใช้องุ่นที่เหลือหรือคุณภาพต่ำมาผสมผสานกันก็ได้นอกจากนั้นเดิมยังหมายถึงไวน์ขบถของแคว้นทัสคานีที่ไม่ยอมใช้พันธุ์องุ่นตามที่กฎหมายกำหนดหรือใช้สัดส่วนขององุ่นผิดจากที่กำหนด จึงถูกปรับเป็น Vino da Tavola ปัจจุบันหลายตัวขยับเป็นIGT

จากข้อมูลของ Conseil Général de la Dordogne ในปี 2005 ระบุว่าไวน์เกรด DOC/DOCG ประมาณ 82% อยู่ทางตอนเหนือของอิตาลี รอบๆ Piemonte (เพียดมอนต์) Tuscany (ทัสคานี)และVeneto (เวเนโต)
ในขณะที่ไวน์เกรด Vino da Tavola และ IGT มีผลผลิตรวมกันประมาณ 77% ของผลผลิตทั้งหมด

จะเห็นนะครับว่าไวน์ที่เรียกว่า Everyday wine ที่เป็นไวน์เกรด Vino da Tavola และ IGT ผลิตสูงมากถึง 77% และเป็นไวน์ที่ส่วนใหญ่จะบริโภคอยู่แค่ภายในในประเทศอิตาลีเท่านั้น ในขณะไวน์เกรด DOC และ DOCG ที่เป็นไวน์คุณภาพสูงและเป็นสินค้าส่งออกที่สำคัญมีการผลิตเพียง 23% เท่านั้น แต่ช้าก่อน ไวน์ที่ดีที่สุดของอิตาลีไม่ได้ประดับยศสูงสุดนะครับ มันไม่ได้DOCG หรือ DOCไวน์กลุ่มที่เรียกว่า “Super Tuscans,” ได้ยศแค่ IGT ทำไมเป็นอย่างนั้น ก็เพราะกลุ่มไวน์เหล่านี้ใช้องุ่นจากนอกเขต ส่วนใหญ่ใช้องุ่นพันธุ์ merlot และหรือcabernet sauvignon จากเขต Bordeaux ของฝรั่งเศส และกรรมวิธีที่แตกต่างนอกกฎควบคุมของ DOCG, DOC จนได้รับฉายาว่า ‘ไวน์กบฎ’หรือไวน์ลูกผสม(อิตาเลี่ยน-ฝรั่งเศส) แต่กลุ่มผู้ผลิต Super Tuscanก็ให้เหตุผลว่าจำเป็นต้องทำเพื่อเพิ่มขีดความสามารถของการแข่งขันของไวน์อิตาลีในระดับโลกที่ได้ชื่อว่าแข่งได้แค่ปริมาณการผลิตต่อปี แต่คุณภาพสู้ฝรั่งเศสหรือไวน์โลกใหม่ไม่ได้ ซึ่งปัจจุบันนี้ไวน์ซูเปอร์ ทัสคัน ได้พิสูจน์แล้วว่ารับความสำเร็จกลายมาเป็นไวน์ที่แพงที่สุดของอิตาลีและเป็นที่กล่าวขานมากที่สุดโดยเฉพาะไวน์ที่ได้รับฉายาว่าเป็น 5 ทหารเสือ ได้แก่ไวน์ Sassicaia (ซาสซิกายา), Tignanello (ติยาเนลโล) ,Solaia (โซลายา), Ornellaia (ออร์เนลลายา) และ Masseto (มาสเซโต้)

ภาพด้านล่างคือ ตัวแนวหน้าของ ซูเปอร์ ทัสคัน ซึ่งทั้งหมดผลิตในเขต Chianti Classico (กิอานตี้ คลาสสิโค) ซึ่งอยู่ทางใต้ของเมือง Florence (ฟลอเรนซ์)

City Break ROME Wine 18

พอรู้จักเกรดแล้วควรมีความรู้เรื่ององุ่นไว้เล็กน้อย เพราะการคุยไวน์นั้นคุยย่านหรือเขตผลิตยังไม่พอ ต้องลงไปถึงองุ่นด้วยครับแล้วจึงค่อยไปถึงสัมผัสที่ได้จากการชิม สายพันธุ์องุ่นของอิตาลี

ปี 2005 อิตาลีมีพื้นที่ปลูกองุ่นรวม 760,000 เฮกแตร์ (ประมาณ 2,500,000ไร่) องุ่นที่ปลูกในอิตาลีอย่างเป็นทางการมีกว่า 350 พันธุ์ เมื่อรวมกับองุ่นที่ไม่เป็นทางการจะมีอยู่กว่า 457 พันธุ์ แต่องุ่นพันธุ์หลักๆ มีดังนี้

City Break ROME Wine 11

City Break ROME Wine 20

องุ่นแดงสำหรับทำไวน์ของอิตาลีที่สำคัญ ๆ มีประมาณ 10 พันธุ์ ดังนี้
Sangiovese (ซานโจเวเซ่) ราชาองุ่นแดงประจำแคว้นทัสคานี

Nebbiolo (เนบบิโอโล) องุ่นแดงประจำแคว้นเพียดมอนต์

Montepulciano (มอนเตปุลเชียโน) เป็นชื่อขององุ่นและชนิดของไวน์ ที่ทำในอบุซโซ่ (Abruzzo) จึงเรียกว่าMontepulciano d’Abruzzo (ไวน์คุณภาพดีจะมาจาก Pescara และChieti) โดย Montepulciano เป็นเมืองหนึ่งจังหวัดซิเอน่า (Siena) อยู่ทางใต้ของทัสคานีนิยมใช้ซานโจเวเซ่มาผสมด้วยประมาณ 10% เพื่อทำไวน์แดงฟรุตตี้ แทนนินส์ นุ่มเนียน สามารถดื่มขณะเป็นไวน์ใหม่ได้ แต่ถ้าบ่มโอ๊ค 2 ปีจะเป็นไวน์ Riservaนอกจากนั้นยังใช้ผสมกับองุ่น Ciliegolo เพื่อทำไวน์ Torgiano ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาองุ่นพันธุ์นี้ถูกนำไปปลูกในออสเตรเลียมากขึ้น

Barbera (บาร์เบร่า) องุ่นที่ปลูกมากเป็นอันดับ2ในอิตาลี ปลูกมากในแคว้นเพียดมอนต์และตอนใต้ของLombardy (ลอมบาร์ดี)

Corvina (คอร์วิน่า) องุ่นประจำแคว้นVeneto(เวเนโต้) ซึ่งอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของอิตาลี บางครั้งจึงเรียกว่า Corvina Veronese หรือ Cruina เป็นองุ่นหลักที่ใช้ทำไวน์ชื่อดังของเวเนโต้ 2 อย่างคือ Valpolicella (วัลโปลิเซลล่า) และAmarone (อมาโรเน)ที่ต้องผสมกับองุ่นอีก 2 พันธุ์คือ Rondinella และMolinara นอกจากนั้นยังใช้ทำไวน์หวาน Recioto della Valpolicella และไวน์แดง Bardolino ที่ผสมกับRondinella และ Molinara อาจจะมี Negrara ด้วย

แต่ถ้าเป็นไวน์ Garda Corvina (Denominazione di OrigineControllataDOC)ต้องใช้คอร์วิน่าอย่างน้อย 85%

City Break ROME Wine 22

Nero d’Avola (เนโร ดาโวล่า)หนึ่งในองุ่นแดงสำคัญของอิตาลี และเป็นองุ่นประจำเกาะซิซิลี Avola เป็นเมืองเล็กๆทางตะวันออกเฉียงใต้บนเกาะซิซิลี Nero แปลว่าดำรวมความคือองุ่นดำแห่งเมืองอโวล่า (The Black Grape of Avola) ลักษณะคล้ายชิราซจากโลกใหม่ มีพลัม เปปเปอร์ และแทนนินออกหวานๆ ชื่ออื่นๆ ขององุ่นพันธุ์นี้มักจะมีคำว่า Calabrese ประกอบเช่น Calabrese D’Avola, Calabrese De Calabria, Calabrese Dolce, Calabrese Pittatello, Calabrese Pizzuto, Calabriai Fekete, Raisin De Calabre Noir และ Struguri De Calabria เป็นต้น

Dolcetto (ดอลเชตโต้)องุ่นแดงที่ปลูกมากในเพียดมอนต์ แปลว่า “little sweet one” แต่ใช้ทำไวน์ Dry (ดราย) Fruity(ฟรุตตี้) แบล็คเคอร์เร้นท์ พรุน ชะเอม แทนนินส์และมีกรดค่อนข้างสูงเหมาะจะดื่ม 1-2 ปีหลังจากวางตลาด

Negroamaro or Negro Amaro (เนโกรอมาโร)องุ่นแดงที่ปลูกมากทางใต้ของอิตาลีโดยเฉพาะแถวPuglia (ปุเกลีย) และSalento (ซาเลนโต้) คุณภาพดีที่สุด ทำไวน์แดงสีเข้มรสชาติเรียบๆ ผสานกับกลิ่นหอม กลิ่นดิน และขม เพราะคำว่า Amaro ในภาษาอิตาลีแปลว่าขมโดยเฉพาะสุดยอดไวน์แดงของ Puglia (ปุเกลีย)ใช้ผสมกับ Malvasia Nera

Aglianico (อายานิโก้)องุ่นแดงพันธุ์โบราณจากกรีซ ถูกนำเข้ามาปลูกมาใน Campania (คัมปาเนีย) และ Basilicata(บาซิลิกาต้า) ใช้ผลิตไวน์ชื่อดัง Taurasi (เทาราซี) ในหมู่บ้านเทาราซีในคัมปาเนีย ซึ่งเป็นDenominazionedi Origine Controllata e Garantita (DOCG)ไวน์ที่ผลิตจากองุ่น Aglianico จะ full bodies แทนนินส์หนักแน่น และกรดสูง จึงจำเป็นต้องบ่มในถังไม้โอ๊ค Campania (คัมปาเนีย) นิยมผสมกับCabernet Sauvignon (กาแบร์เนต์ โซวีญยอง) และแมร์โลต์ ทำไวน์เกรด IGT

ซากรานติโน (Sagrantino) องุ่นแดงแห่งแคว้นอุมเบรีย (Umbria) ตอนกลางของอิตาลี ปลูกได้ดีในหมู่บ้านMontefalco มีผู้ผลิต25 รายในพื้นที่250 เอเคอร์เป็นองุ่นที่แทนนินสูงมากพันธุ์หนึ่งของโลก สีแดงเข้มข้นผลไม้ดำพลัม อบเชย และดินใต้พิภพไวน์ Sagrantino di Montefalco DOCG ต้องทำจากองุ่นซากรานติโน 100% และบ่มถังโอ๊ค 29เดือนแต่ถ้าเป็น Montefalco Rosso อาจจะใช้ซากรานติโน 10-15% ที่เหลือเป็นซานโจเวเซ่ และพันธุ์อื่นๆ

นอกจากนั้นยังมี Malvasia Nera, Ciliegolo, Gaglioppo, Lagrein, Lambrusco, Monica, Nerello Mascalese, Pignolo, Primitivo, Refosco, Schiava, Schiopettino, Teroldego และ Uva di Troia
ส่วนองุ่นเขียวสำหรับทำไวน์ขาวที่สำคัญๆ ประกอบด้วย

City Break ROME Wine 16

เทรบไบอาโน่ (Trebbiano) องุ่นเขียวที่ปลูกมากที่สุดในอิตาลี ในพื้นที่กว่า 80 DOC แต่ที่คุณภาพดีอยู่ที่ Abruzzo

มอสกาโต้ (Moscato) ปลูกมากในเพียดมอนต์ ส่วนใหญ่ใช้ทำสปาร์คกลิ้งไวน์เบาๆ (Frizzante) และสปาร์คกลิ้งกึ่งหวานที่โด่งดังคือ Moscato d’Asti
(คนละอย่างกับ Moscato giallo และ Moscato Rosa องุ่น 2 สายพันธุ์จากเยอรมันที่ปลูกใน Trentino Alto-Adige)

Nuragus (นูรากัส)องุ่นโบราณตั้งแต่สมัยฟินิเซียน พบมากทางใต้ของ Sardegna ใช้ทำไวน์ขาวเบาๆ ดื่มง่ายๆ เป็นApertif

ปิโนต์ กรีโจ้ (Pinot Grigio) องุ่นเขียวที่ทั่วโลกรู้จักกันดี ปลูกมากใน Lombardy รอบๆ Oltrepo Pavese,Alto Adige และในFriuli-Venezia Giulia

Tocai Friulano (โตไก ฟริยูลาโน)องุ่นที่กำาเนิดในเวเนโต้ แล้วมาเติบโตใน Friuli จนกลายเป็นองุ่นประจำแคว้นFriuli-Venezia Giulia ทางตะวันออกเฉียงเหนือของอิตาลีทำไวน์แล้วมีกลิ่นกู้สเบอร์รี่ ดอกไม้ กรดปานกลาง แต่แอลกอฮอล์สูงในแคลิฟอร์เนียเรียกว่า Sauvignon Vert ในถิ่นอื่นอาจจะเรียกว่า Sauvignonasse หรือ Friulano นอกจากนั้นยังปลูกมากในชิลีและแรกๆ เข้าใจผิดว่าเป็นSauvignon Blanc (โซวีญยอง บลองซ์)

Ribolla Gialla (ริบอลล่า จิอัลล่า)องุ่นที่มีต้นกำเนิดจากกรีซเข้ามาอิตาลีโดยผ่านทางสโลเวเนีย ก่อนจะมาประจำที่แคว้น Friuli-Venezia Giulia ปลูกได้ดีใน Goriziaปัจจุบันในสโลเวเนียเรียกว่า Rebula ส่วนในกรีซเรียกว่า Robola ทำไวน์สีเหลืองเข้ม บอดี้เบา มีกลิ่นดอกไม้นำเลมอน สับปะรด กรดสูง ถ้าบ่มในถังไม้โอ๊คจะมีกลิ่นถั่ว

Arneis (อาร์ไนส์)องุ่นเขียวเก่าแก่อีกพันธุ์หนึ่งของเพียดมอนต์ ปลูกมากบริเวณ Roero Hill ใกล้ๆเมืองอัลบ้า (Alba) ทำไวน์ขาวดราย Z (Dry) ฟูลบอดี้ (full bodies)กลิ่นพีช และ แอปริคอต

มาลเวเซีย เบียงคา (Malvasia Bianca) หรือมาลเวเซีย (Malvasia) ต้นกำเนิดจากกรีซ ปัจจุบันปลูกทั่วโลก ในอิตาลีปลูกมากบริเวณ Sicily,Lipari และSardinia

Garganega (การ์กาเนก้า)ปลูกมากในเวเนโต้ โดยเฉพาะเมือง Verona (เวโรน่า) ซึ่งเป็น 1 ใน 32 DOCG และVicenza (วิเซนซ่า) ใช้ทำไวน์ขาวชื่อดังคือSoave (โซอาเว)ซึ่งอาจจะผสม Trebbiano (เทรบไบอาโน่) ประมาณ 30 %

มารู้จักภาษาอิตาเลียนที่อาจอยู่บนฉลากไวน์นิดหน่อยมันไม่ได้ยากมาก
“Vino rosso” วีโนรอสโซ่ red wine
“Vino bianco” วีโนบิอานโกwhite wine
“Vino rosato”: วิโนโรซาโต rosé wine
“Vino amabile”วีโนอมาบิเล่ a medium-sweet wine
“Vino dolce”: วิโนโดเช่ sweet wine
“Vino secco”: วีโน เซกกโก dry wine
“Vino abboccato”:วีโนอับโบกัตโตsemi-dry wine
“Vino corposo”: วีโนกอรโปโซa full-bodied wine
“Vino aromatico”วีโนอโรมาติโกaromatic wine
“Vino frizzante” วีโนฟริซซานเตsemi-sparkling wine
คำว่า“azienda” บนฉลากหมายถึงestatesคือค่ายหรือผืนดินที่ปลูกองุ่น“anno” ปีที่ผลิต “produttore” คือผู้ผลิต producer. “Gradazione alcolica“คือปริมาณแอลกอฮอล์ imbottigliato all’origine,” หมายถึงไวน์บรรจุขวดโดยผู้ผลิต“Vendemmia” คือการเก็บเกี่ยว “vitigno” หมายถึงองุ่น “vine.”

ที่สุดของ Enoteca(ไวน์บาร์)ในโรม
สำหรับช่วงเวลาที่เหมาะสมในการเที่ยวไวน์บาร์นั้นก็คงเป็นตั้งแต่บ่ายแก่ๆ หรือช่วงเย็นๆ เป็นต้นไป เพราะไวน์บาร์มักจะมีอาหารแบบอาหารว่างรองท้อง อาหารก่อนมื้ออาหารจริง antipasto ที่ประกอบด้วย cheese และ cold cut แต่บางแห่งก็มีอาหารเป็นเรื่องเป็นราวมากกว่านั้นจนแทบไม่ต้องไปทานมื้อเย็นต่อก็ได้ วัฒนธรรมก็คล้ายกับไปเข้าบาร์Tapasในสเปน แต่จะเน้นไวน์มากกว่าอาหาร
บางคนต้องการไปไวน์บาร์เพื่อศึกษาทำความรู้จักไวน์หลายๆ ตัวที่เขาผู้นั้นไม่เคยลอง เพราะจะซื้อทุกแบบทุกขวดก็คงไม่ใช่ เพราะมันเหมือนลองผิดลองถูกแล้วอาจชอบจริงแค่แบบเดียว ไวน์บาร์หลายแห่งในโรมจึงมักมีไวน์ดังจากทุกเขตของอิตาลีเปิดขายเป็นแก้วในแบบ mescita (by-the-glass) ที่สำคัญเราจะได้พูดคุยหรือเรียนรู้เรื่องไวน์จากผู้ชำนาญเฉพาะทางหรือsommelier เพราะไวน์บาร์ดีๆ นั้นเขาไม่ได้จ้างแค่บาร์เทนเดอร์มารินไวน์เสิร์ฟไวน์เฉยๆ แต่มักจะจ้างคนที่มีความรู้แบบเจนจัดมาช่วยเพิ่มพูนความรู้และประสบการณ์การดื่มไวน์ของเราเป็นอย่างดี
ขอแนะนำที่สุดของ Enoteca (ไวน์บาร์)ในโรม
1. Ai Tre Scalini ร้านนี้เปิดมาตั้งแต่ปี 1895 หน้าตาด้านนอกมีส่วนคล้ายร้านกาแฟ caffe della paceที่แนะนำไปตอนที่แล้วตรงสีของร้านและการปล่อยไม้เลื้อยมาเกะกะหน้าร้าน ที่นี่ตอบโจทย์ คนที่ต้องการลองไวน์ท้องถิ่นและไวน์ดีจากเขตต่างๆ ของอิตาลี หรือเรื่องงบประมาณทุกระดับ อาหารก็ดีให้ลองสั่งไส้กรอกเซียน่าดูครับ
Ai Tre Scalini via Panisperna 251, Rome, Italy, +390648907495

City Break ROME Wine 6

City Break ROME Wine 7

 

2. Cul de Sac ร้านนี้เปิดมาตั้งแต่ปี 1900 มีไวน์ให้เลือกกว่า1500ตัว เริ่มเป็นที่นิยมมากขึ้นเพราะมีคนเขียนเชียร์เยอะว่าเป็นที่ๆต้องมาลองในโรมหากชอบไวน์อิตาเลียน ก็เลยเริ่มมีนักท่องเที่ยวมากกว่าคนท้องถิ่น
Cul de Sac Piazza Pasquino 73, Rome, Italy, +390668801094

City Break ROME Wine 10

 

3. Trimani ร้านนี้เปิดมาตั้งแต่ปี 1821 เอาเป็นว่า100กว่าปีที่ผ่านมา เวลาที่ชาวกรุงโรมอยากดื่มไวน์หรือซื้อไวน์ดีๆกลับมาดื่มที่บ้านชื่อร้านนี้จะลอยมาในหัว เหมือนเวลาเรานึกไม่ออกว่าวันนี้จะทานมื้อกลางวันเป็นอะไรดีแล้วภาพ ‘กระเพราไก่ไข่ดาว’ก็ลอยมา ที่นี่ราคามาตรฐานครับ
Trimani via Goito 20, Rome, Italy, +39064469661

City Break ROME Wine 9

City Break ROME Wine 19

 

4. Antica Enoteca ร้านนี้เปิดมาตั้งปี 1720 ถือว่าเป็นร้านไวน์ที่เก่าแก่ที่สุดของโรม แต่คุณภาพไม่ได้เก่าตามเพราะเพียบพร้อมด้วยอาหารและกับแกล้ม การได้มาดื่มไวน์ที่เคาร์เตอร์บาร์สุดคลาสิกของที่นี่ก็เหมือนได้ดื่มกับบุคคลดังในอดีตทั้งหลายที่เคยได้ยืนที่เคาร์เตอร์นี้มาเช่นกัน
Antica Enoteca via della Croce 76B, Rome, Italy, +39066790896

 

5. Enoteca Regional Palatium ถ้าเราต้องการไวน์บาร์ที่เน้นไวน์ท้องถิ่นของโรมซึ่งก็คือไวน์ของเขตLazioนั้นที่นี่อาจเรียกได้ว่าเป็นสถาบันไวน์และอาหารโรมันได้เลยล่ะที่นี่ที่นักการเมืองและผู้ที่ทำงานofficeไส่สูทเท่ห์ของเซนญ่ามาใช้บริการ ร้านนี้เสิร์ฟ อาหารโรมันที่ดีเยี่ยมและไวน์ท้องถิ่น เหมาะมากสำหรับอาหารกลางวันเร่งด่วนหรือในชั่วโมงค็อกเทลก่อนมื้ออาหารเย็น สถานที่ก็อยู่ไม่ไกลจากจัตุรัสบันไดสเปนเหมาะมากสำหรับคุณผู้ชายที่ใช้เป็กิจกรรมฆ่าเวลารอภรรยาเดินช็อปปิ้งในย่านนั้น
Enoteca Regional Palatium via Frattina 94, Rome, Italy, +390669202132

City Break ROME Wine 15

 

แล้วเจอกันตอนหน้าเป็นเรื่อง Night out in Rome ครับ

City Break Rome Part XI

เบรกเที่ยวในโรม…ดื่มอะไรในโรม ตอนที่ 1
โดย Paul Sansopone
…”ถ้าอากาศดีก็ต้องนั่งoutdoorหน้าร้านเพื่อความchill อาจเสียงดังล้งเล้งหน่อย เพราะชาวอิตาเลี่ยนเวลาคุยกันแล้วมันออกรสชาติเหมือนคนจีน เอ…หรือว่ามาร์โกโปโลเอาวัฒนธรรมเสียงดังนี้กลับมาจากเมืองจีนด้วย?……”

เรื่องการดื่ม ก็ถือเป็นเรื่องที่น่าสนใจไม่แพ้เรื่องการกินในโรมซึ่งเราพูดถึงกันไปแล้วในคราวก่อน สำหรับเรื่องดื่มน่าจะแบ่งออกเป็น 2-3 ตอน โดยผมจะขอเริ่มจากเครื่องดื่มnon-alcohol และในตอนนี้ขอเริ่มจากเรื่องกาแฟก่อนเลยครับ
1. กาแฟ…ดื่มกาแฟแบบอิตาเลี่ยน
ถ้าจะให้พูดถึงโรมโดยไม่กล่าวถึงวัฒนธรรมกาแฟของที่นี่คงไม่ได้ เพราะไม่ว่าคุณจะเคยชินกับร้านกาแฟอย่าง Starbucks หรือร้านกาแฟร้านอื่นๆ ที่เกิดขึ้นทุกวันจนจำชื่อไม่ไหวแล้วนั้น ทุกร้านต่างมีความเหมือนกันอย่างหนึ่งก็คือการหาวิธีชงกาแฟให้เหมือนกาแฟอิตาลีนั่นเอง ก็คำว่า Espresso, Capuccino หรือ Americano มันก็คือภาษาอิตาเลี่ยนทั้งหมด Macchiato ก็ใช่ แล้วเครื่องทำกาแฟที่เรียกว่า Espresso Machine ยี่ห้อดังๆ นั้นก็มาจากอิตาลีกว่า 80% แล้วอย่างนี้จะไม่เรียกว่าต้นตำรับได้ยังไง

City Break ROME Coffee Break 2

จริงอยู่ที่กาแฟนั้นถือกำเนิดมาจากโลกมุสลิม แต่กาแฟนั้นเริ่มเป็นที่นิยมและเกิดเป็นธุรกิจแพร่ขยายไปทั่วนั้น ต้องบอกว่ามันเริ่มมาจากที่อิตาลี เพราะกาแฟมาถึงยุโรปครั้งแรกในปี1600 ก็มาขึ้นฝั่งที่เมืองเวนิสนั่นเอง ทำให้เกิดร้านกาแฟแห่งแรกของอิตาลีขึ้นที่นั่น และถ้าเราสังเกตชื่อของกาแฟประเภทต่างๆ ที่อยู่ในเมนูตามร้านกาแฟก็มักจะเป็นภาษาอิตาเลี่ยนทั้งสิ้น อาจเป็นเพราะว่าเครื่องชงกาแฟแบบเอสเปรสโซถูกคิดค้นขึ้นมาในอิตาลี โดย แองเจโล โมริออนโต (Angelo Moriondo) ทำให้ในช่วงศตวรรษที่18 เริ่มมีร้านกาแฟชื่อดังเกิดขึ้นในทุกภาคของอิตาลี เช่น Caffè Florian ใน Venice, Antico Caffè Greco ใน Rome, Caffè Pedrocchi ใน Padua, Caffè dell’Ussero ใน Pisa และ Caffè Fiorio ใน Turin เป็นต้น และกาแฟประเภทต่างๆ นั้นก็ใช้ Espressoเป็นฺBaseทั้งนั้น ในอิตาลีจึงเป็นต้นกำเนิดของกาแฟในรูปแบบต่างๆ ดังนี้
• Caffè: มันแปลว่ากาแฟในอิตาลีแต่ถ้าสั่งมันคุณจะได้ Espresso เพราะที่นี่ไม่มีกาแฟแบบอเมริกันหรือ Americano ที่เป็น filtered coffee กาแฟผ่านกระดาษกรอง ซึ่งความที่นักท่องเที่ยวไม่คุ้นเคยกับความรุนแรงของระดับคาเฟอีนใน Espresso ที่อาจทำให้หัวใจสั่นไหวหรือที่เรียกว่าอาการใจสั่นบ้างก็ตาแข็งนอนไม่ได้ ทำให้เมนู Americano เริ่มมีปรากฏแต่มันก็คือEspressoเติมน้ำร้อนนั่นเอง
• Cappuccino: มันก็คือEspresso ที่ก้นแก้วแล้วเติมฟองนมร้อน มันถูกตั้งชื่อมาจากคำว่า Cappuccini ที่แปลว่า hoodสวมหัวของพระ Capuchin Monks ซึ่งพระนิกายนี้จะใส่ชุดสีออกน้ำตาลหม่นๆ เหมือนน้ำตาลแก่ผสมนมมีฮู๊ดคลุมศีรษะ สีกาแฟคาปูชิโนก็คือสีกาแฟดำผสมฟองนม ก็เลยเป็นที่มาของชื่อ อย่างไรก็ตามมีประวัติว่ามีการขอจดทะเบียนสิทธิบัตรวิธีการกาแฟคาปูชิโนในอิตาลีมาตั้งแต่ปี 1901
Caffè Latte: มันก็คือEspresso ที่ก้นแก้วแล้วเติมนมร้อนที่ไม่ตีฟองลงไป คำว่า Latte ก็คือ Milkในภาษาอังกฤษนั่นเอง
• Caffè Macchiato: มันแปลว่ากาแฟที่มีรอยแต้ม“spotted”or“stained”เพราะมันมีการสาดนมอุ่นลงมาผสมเล็กน้อย
• Latte Macchiato: มันแปลว่ากาแฟที่มีรอยแต้มเช่นกัน แต่มันหนักนมเพราะมันคือนมอุ่นที่มีการสาดกาแฟลงมาผสมเล็กน้อย
• Caffè Americano: กาแฟแบบอเมริกันAmericano ที่เป็น filtered coffee กาแฟผ่านกระดาษกรองมันไม่มีในสารบบอิตาเลี่ยน แต่มันก็ต้องเอาใจนักท่องเที่ยวซึ่งแท้จริงมันก็คือ Espresso เติมน้ำร้อนเพิ่ม
• Caffè Lungo: คือ “long” coffee หรือespressoที่ใช้เทคนิคจากเครื่องชงโดยเฉพาะที่มีเครื่องโยก บางเครื่องจะมีเทคนิคโยกให้ช้า เพื่อเพิ่มปริมาณน้ำเพิ่มขึ้นได้กาแฟแก้วใหญ่ขึ้นแต่เข้มกว่า Americano

 

มาทำความรู้จักกับ Espresso กัน

ในเมื่อกาแฟในทุกเมนูต่างก็ใช้Espressoเป็นพื้นฐาน(Base) ก่อนนำไปเติมนมหรือผสมโกโก้ และการชงEspressoมันเป็นการทำถ้วยต่อถ้วย ไม่ใช่แบบการแฟต้มผ่านไส้กรองที่ทำเป็นหม้อๆ ทิ้งไว้แล้วคอยอุ่นเอาเวลาเสิร์ฟ ดังนั้นการชงถ้วยต่อถ้วยมันต้องใช้ฝีมือคนชงที่เรียกว่า บาริสต้า เพราะมันมีรายละเอียดเยอะเช่นบดกาแฟละเอียดไปหรือหยาบไปอัดกาแฟแน่นไปความดันของเครื่องทำอ่อนไป หรือ โน่นนี่นั่น เรามารู้จักEspresso แบบคร่าวๆ กันครับ

Espresso เอสเปรสโซ่ เป็นภาษาอิตาเลี่ยนที่มีความหมายว่า Expressในภาษาอังกฤษ ที่แปลว่า เร่งด่วน รีบ หรือรวดเร็ว นั่นเอง เพราะการชงกาแฟสมัยก่อนนั้นจะเป็นต้มเป็นหม้อๆ ทิ้งไว้แล้วอุ่นร้อนเวลาเสิร์ฟ ไม่ได้ชงกันเป็นแก้วต่อแก้วแต่หลังจากที่แองเจโล โมริออนโต (Angelo Moriondo) ชาวอิตาเลี่ยนที่คิดค้น Espresso Machineขึ้นมา ก็เลยทำให้วิธีชงกาแฟในอิตาลีนั้นแตกต่างไปเป็นการสกัดกาแฟด้วยแรงดันไอน้ำหรือปั๊มน้ำ Espresso ดั่งเดิมในอิตาลีจะใช้กาแฟ 7-8 กรัม น้ำกาแฟหลังสกัดรวมครีมม่าจะออกมาที่ 25-30 cc.ใช้เวลาสกัด 20-30 วินาที และเพื่อช่วยให้ครีมม่าสวยงามเนียน เขาอาจไม่ใช้กาแฟอาราบิก้าล้วนแต่มักผสมกาแฟแบบโรบัสต้าเข้าไป10%

ส่วนผสมของEspressoจะมีอยู่ 3 ส่วน คือ
1.ครีมม่า (Crema) ฟองสีทองด้านบน ซึ่งประกอบด้วย ไอน้ำ,ก๊าซคาบอนไดออกไซค์,ผนังของเยื่อกาแฟ และน้ำมันที่อยู่ในเม็ดกาแฟ
2.บอดี้(Body) ส่วนของเหลวส่วนกลาง
3.ฮาร์ท(Heart) ส่วนของเหลวด้านล่างประกอบด้วย ไอน้ำ, สารแขวงของของแข็งที่ไม่ละลายน้ำ และฟองอากาศ

การจะได้ซึ่ง Perfect Shot of espresso
คือต้องมีการสกัดกาแฟ(Extraction) ออกมาอย่างพอดีไม่เข้มเกินไปที่เรียกว่า Over Extraction (มีของแข็งไม่ละลายน้ำออกมาจากกาแฟที่เราสกัดมากเกินไปทำให้ได้รส ขม, ไหม้, หนักลิ้น, เฝื่อน รสชาติเข้มไป)
หรือไม่สกัดออกมาอ่อนเกินไปที่เรียกว่า Under Extraction (มีของแข็งไม่ละลายน้ำออกมาจากกาแฟที่เราสกัดน้อยเกินไปทำให้ได้รส เปรี้ยว, จืด, ฝาดแห้งลิ้น รสชาติอ่อนไป)

ปัจจุบันมีการใช้เครื่อง TDS Refractometer วัดค่าการละลายของแข็งในน้ำกาแฟเพื่อหาจุดที่พอเหมาะอย่างไรก็ตามการสกัดกาแฟจะมีองค์ประกอบที่ต้องใส่ใจ ดังนี้ คือ เวลาการสกัดว่านานหรือน้อยไป(ส่วนใหญ่จะ22-25วินาที),อุณหภูมิน้ำสูงหรือต่ำไป, ปริมาณกาแฟ(มาตรฐาน20กรัม), กาแฟใหม่หรือเก่า(ไม่ควรเกิน2-3เดือน), กาแฟละเอียดไปหรือหยาบไป, การเกลี่ยผงกาแฟต้องเสมอไม่เอียง,การกดแน่นเกินหรือเบาไป(มาตรฐาน 10-15 กก.), กาแฟคั่วมาเข้มไปหรืออ่อนไป(มาตรฐานคือคั่วปานกลาง), แรงดันน้ำสูงไปหรือต่ำไป(มาตรฐานคือ9บาร์),น้ำมีค่า TDSสูงไปเช่น น้ำแร่,น้ำประปา หรือต่ำไป เป็นต้น
การดื่มกาแฟเอสเพรสโซ่ต้องดื่มจากแก้วเซรามิคเท่านั้น ไม่มีการใส่แก้วกระดาษtake away ควรกระดกทีเดียวหมดแก้วหรือเต็มที่ก็ไม่เกิน2ครั้ง(Single Short Espresso) ไม่ควรดื่มน้ำตามทันที เพราะจะเสียอรรถรสของ After Taste ที่เราควรได้enjoyจาก espresso

 

วัฒนธรรมกาแฟในอิตาลี
A “bar” is really  a “cafe” ไปร้านกาแฟก็เหมือนไปบาร์

City Break ROME Coffee Break 1

ร้านกาแฟส่วนใหญ่ในอิตาลีก็คือบาร์ที่ขายเครื่องดื่มแบบแอลกอฮอล์ด้วย ไม่ทราบว่าจะเป็นสาเหตุที่ชาวอิตาเลี่ยนส่วนใหญ่มักจะยืนดื่มกาแฟที่บาร์ด้วยหรือเปล่า หรืออาจเป็นเพราะว่าถ้าเรานั่งที่โต๊ะมันจะโดนService Chargeด้วย การดื่มกาแฟของคนที่นี่ส่วนใหญ่จะดื่มกาแฟผสมนมเฉพาะแก้วแรกตอนเช้าเท่านั้น เพราะเขาเชื่อว่าหลังมื้ออาหารแล้วการดื่มนมจะเป็นอุปสรรคต่อการย่อย ดังนั้นตลอดวันเค้าจะดื่มแต่ Espressoเป็นหลักซึ่งเวลาสั่งเขาจะไม่บอกว่า ‘un caffè’ หมายถึงขอ”กาแฟที่นึง”ไม่ใช่ขอ เอสเปรสโซที่นึง เพราะการสั่งกาแฟนั้นคุณก็จะได้เอสเปรสโซนั่นเอง วิธีการก็คือดื่มเหมือนเหล้า1ช็อตนั่นแหละครับ คือต้องกระดกทีเดียวหมด ไม่มีการจิบ ต้องขอบอกว่า Espresso นั้นเป็นเหมือนตัวกระตุ้นให้เครื่องจักรทำงานจะเห็นว่าคนอิตาเลี่ยนกระดกมันวันละเฉลี่ย 2-4shot เลยทีเดียว และมันก็ราคาถูกมากๆ ครับ ไม่ถึงยูโรแค่ 80 cents. เท่านั้น แต่ไม่นิยมสั่งแบบ 2 ช็อตแบบดับเบิ้ลเอสเปรสโซ่ หรือ un caffè doppio คือเขาจะนิยมสั่งเป็นถ้วยเล็ก 2 แก้วมากกว่า แล้วก็ประเภทสั่งไปดื่มที่อื่นหรือ ‘to go’ ก็ลืมๆ ไปเลย เพราะคนที่นี่บอกว่ากาแฟต้องดื่มกับถ้วยceramicเท่านั้นจึงจะได้รสชาติ ก็เหมือนไวน์ที่ไม่ควรดื่มจากแก้วพลาสติกนั่นเอง ประเภทร้านกาแฟแบบอเมริกันที่มักจะรีบร้อนขนาดกาแฟแก้วเดียวไม่มีเวลาดื่มที่ร้านนั้นที่อิตาลีไม่เข้าใจครับ โดยเฉพาะเวลากินเวลาดื่มนั่นคือต้องenjoyต้องได้ทักทายคนโน้นคนนี้ที่คุ้นเคยในละแวก แนวคิดของเค้าเป็นแบบนั้นถ้าไม่ใช่ร้านนักท่องเที่ยวจ๋าละก็ไม่มีเจอแก้วกระดาษto go แน่ๆ ครับ

 

เมื่อกาแฟอเมริกันจะมาแข่งกับกาแฟอิตาเลี่ยน
ไหนๆ พูดถึงเรื่องกาแฟอิตาเลี่ยนแล้วคงต้องขอพูดถึงchainกาแฟอเมริกันชื่อดังอย่างStarbucks ด้วยอันที่จริงแล้ว สตาร์บัคส์ได้แรงบันดาลใจมาจากร้านกาแฟในอิตาลีนี่เอง ในการทำร้านกาแฟธรรมดาๆ ในซีแอทเทิลให้กลายเป็นเชนกาแฟยักษ์ใหญ่อย่างในปัจจุบัน เพราะเมื่อ 34 ปีที่แล้วนาย Howard Schultz ซึ่งเป็น Chairman และCEOคนปัจจุบันของStarbucks ซึ่งตอนนั้นยังเป็นแค่ผู้จัดการฝ่ายขายของบริษัทได้มีโอกาสมาประชุมในงานกาแฟนานาชาติที่มิลานและเวโรน่าของอิตาลีเมื่อปี 1983 เขาได้สัมผัสวัฒนธรรมเอสเพรสโซบาร์ของชาวอิตาเลี่ยน ที่ใครๆ ก็ไปร้านกาแฟเพื่อดื่มด่ำทั้งกาแฟรสดี และบรรยากาศของความอบอุ่นเป็นกันเองระหว่างบาริสตากับลูกค้า แรงบันดาลใจจากอิตาลีเป็นต้นกำเนิดของการเปลี่ยนโฉมสตาร์บัคส์จากร้านกาแฟธรรมดาๆ ให้กลายเป็นสถานที่พบปะสังสรรค์และจุดหมายที่ต้องแวะ

City Break ROME Coffee Break 3 Starbucks

ภาพ Howard Schultzซึ่งเป็น Chairman และ CEOคนปัจจุบันของStarbucks ถ่ายที่galleriaที่Milan (Photo cr.starbucks com)

แต่ไม่ว่า Starbucksจะขยายสาขามากมายไปได้ทุกหนแห่งในโลกนี้ แต่ก็ยังไม่กล้าเปิดสาขาในอิตาลีเจ้าตำรับร้านกาแฟที่ไม่ว่าจะเดินไปไหนก็จะมีคาเฟ่หรือเอสเพรสโซบาร์ซ่อนตัวอยู่ทุกมุมถนน ที่สำคัญแต่ละร้านจะมีรสชาติเปี่ยมด้วยคุณภาพและจิตวิญญาณ และจากการทำ Market Test คนอิตาเลี่ยนต่างก็มองว่าธุรกิจกาแฟเชนคงไปรอดได้ยากในอิตาลี เพราะถูกมองว่าเป็นของเลียนแบบไม่ใช่ของแท้และรสชาติ“ไม่ถึง”ขนาดที่ขนานนามกาแฟเชนนี้ว่าเป็น”diluted coffee” ซึ่งนักวิเคราะห์ด้านการตลาดเองก็มองว่าสตาร์บัคส์ต้องเจอกระดูกชิ้นใหญ่ในการบุกตลาดอิตาลีแน่นอน เพราะที่นี่คู่แข่งเขาไม่ใช่เชนอื่นๆ แต่คือร้านกาแฟที่เรียกว่าบาร์ท้องถิ่นที่มีอยู่ถึง 149,300 แห่งในอิตาลี(ที่มา: 2016 annual report issued by Federazione Italiana Pubblici Esercizi (FIPE)

City Break ROME Coffee Break 2 Starbucks

ร้านกาแฟร้านแรกของสตาร์บัคในอิตาลีขึ้นป้ายโฆษณา ณ ตำแหน่งที่จะเป็นที่ตั้งของร้านจริง

แต่ในที่สุดชูลท์สก็ประกาศจะเปิดสาขาสตาร์บัคส์ในอิตาลีครั้งแรกตั้งแต่ต้นปี 2016 โดยบอกว่าจะเปิดสาขาแรกในมิลาน สถานที่ที่สร้างแรงบันดาลใจให้เขา ภายในหนึ่งปีโดยกำหนดสถานที่ว่าจะเป็นที่ Palazzo Delle Poste อาคารที่ทำการไปรษณีย์เก่าในจตุรัสคอรดุสซิโอ Piazza Cordusio แต่เมื่อถึงต้นปี 2017 เข้าจริงๆ ชูลท์สก็กลับเลื่อนออกไปบอกว่าจะเปิดสาขาสตาร์บัคส์ในอิตาลีในปลายปี 2018 แทน โดยเป็น Starbucks Roastery หรือร้านกาแฟพรีเมียมที่คั่วเมล็ดกาแฟเองในร้าน และโชว์กระบวนการทำกาแฟทุกขั้นตอนให้ลูกค้าได้ดูแบบสดๆ ทั้งวัน นอกจากนี้ สาขาในอิตาลียังจะมีกาแฟแบบใหม่ๆ ที่ไม่มีเสิร์ฟในสาขาอื่น เพื่อจูงใจนักดื่มกาแฟชาวอิตาเลี่ยนให้หันมาลองกาแฟอเมริกันอย่างสตาร์บัคส์ โดยจะเน้นเอสเพรสโซเป็นพิเศษ เพราะคนอิตาเลี่ยนนิยมกินกาแฟเอสเพรสโซเป็นหลัก ก็คงต้องมาเอาใจช่วยกันสำหรับแฟน Starbucks มันท้าทายมากเพราะถ้าทำสำเร็จกาแฟของเขาจะได้ชื่อว่าเป็นกาแฟที่ผ่านมาตรฐานต้นตำรับ และระดับผู้บริโภคกาแฟที่เอาใจยากที่สุดในโลกมาแล้ว

 

ที่สุดของสถาบันกาแฟในโรม
เกริ่นถึงเรื่องกาแฟมาพอหอมปากหอมคอ ที่จริงแล้วเราสามารถคุยกันถึงประวัติความเป็นมากันได้อีกยาวเหยียด แต่ตอนนี้อยากให้มาลองของจริงกันดีกว่าว่าหากมาที่โรมแล้ว จะไปแวะ Coffee Break แถวไหนกันดีเรากำลังจะพูดถึงร้านกาแฟที่มีชื่อเสียงระดับ Top ของ Rome ซึ่งแน่นอนว่ามันก็คือ Top ของโลกด้วยเช่นกัน
Caffé della Pace
Via della Pace, 5
www.caffedellapace.it

ที่นี่น่าจะเป็นร้านกาแฟคลาสสิกของโรมที่ผมชอบที่สุด คือนอกจากมันจะเปิดมานานเป็นร้อยๆ ปีแล้วแต่บรรยากาศมันก็ยังโรแมนติกมากๆ อยู่ อาจเป็นเพราะมันอยู่ใกล้จัตุรัสนาโวนา Piazza Navonaที่ขึ้นชื่อเรื่องความchill สุดๆ อยู่แล้ว หรืออาจเป็นเพราะไม้เลื้อยบนกำแพงเก่าแก่ของร้านที่ปล่อยให้รกรุงรังแบบไม่ตั้งใจหรือประตูไม้โบราณทางเข้าร้านที่แมทช์กับเคาน์เตอร์บาร์ยุคก่อนเราเกิดก็ไม่แน่ใจ แต่ที่แน่ๆ คือห้ามพลาดการมาดื่ม Espresso หรือ Cappuccino ที่นี่สักครั้งและถ้าอากาศดีก็ต้องนั่งoutdoorหน้าร้านเพื่อความchill อาจเสียงดังล้งเล้งหน่อย เพราะชาวอิตาเลี่ยนเวลาคุยกันแล้วมันออกรสชาติเหมือนคนจีน เอ…หรือว่ามาร์โกโปโลเอาวัฒนธรรมเสียงดังนี้กลับมาจากเมืองจีนด้วย? ร้านนี้ตกแต่งแบบคลาสสิกเพราะเปิดมาตั้งสมัยศตวรรษที่ 18thตั้งอยู่ที่จัตุรัส Piazza della Pace

City Break ROME Coffee Break 12 Caffe della Pace

บรรยากาศหน้าร้าน Caffé della Pace

City Break ROME Coffee Break 9 Caffe della Pace

City Break ROME Coffee Break 10 Caffe della Pace

City Break ROME Coffee Break 11 Caffe della Pace

บรรยากาศในร้านและหากมาช่วงพลบค่ำร้านนี้ก็ไม่เป็นรองใคร

 

Antico Caffé Greco
Via dei Condotti, 86
www.anticocaffegreco.eu

City Break ROME Coffee Break 7 Antico Caffe Greco

ถ้าคุณมาเดินช้อปปี้งแถวถนน Condotti ซึ่งก็อยู่แถวย่านบันไดสเปน แล้วเกิดอยากนั่งพักดื่มกาแฟสักแก้วที่เป็นร้านกาแฟประวัติศาสตร์ก็ให้มาที่เลขที่86ได้เลย บรรยากาศในร้านอาจไม่ผ่อนคลายมากนัก เพราะดูเป็นงานเป็นการไปหน่อยแถมยังเก่าแก่เคร่งขรึมเกินไปสำหรับยุคปัจจุบัน แต่นี่คือ Historic Grand Coffee House ที่เปิดมาตั้งแต่ก่อนจักรพรรดินโปเลียนเกิดถึง 9 ปี ที่ยกตัวอย่างนโปเลียนก็เพราะในปี 1805 นโปเลียนประกาศสถาปนาตนเองเป็น King of Italy หลังจากยึดดินแดนทางเหนือของอิตาลีได้

City Break ROME Coffee Break 6 Antico Caffe Greco

ร้านนี้มีบุคคลดังๆในอดีตแวะมาเยี่ยมเยียนเช่นนักปราชญ์และจินตกวีชาวเยอรมันชื่อเกอร์เต้ Johann Wolfgang von Goethe ดังนั้นหากคุณมีอารมณ์และรสนิยมเหมือนศิลปินชื่อดังจินตกวีนักดนตรีที่ทั่วโลกรู้จักในอดีตและชอบการตกแต่งแบบร้านกาแฟในเวียนนากับรสชาติกาแฟอมตะเหมือนฉายาของกรุงโรม (The Eternal city) มาที่นี่ให้ได้ครับเปิดบริการมาตั้งแต่ปี1760 แต่ขอเตือนว่าก่อนสั่งให้ดูเมนูและราคาดีๆก่อนเพราะราคาอาจแตกต่างกับร้านกาแฟทั่วไปอยู่บ้าง

 
Tazza D’Oro
Via degli Orfani, 84
www.tazzadorocoffeeshop.com

City Break ROME Coffee Break 16 Tazza D’Oro

ร้านนี้อยู่ใจกลางโรมใกล้กับวิหารเก่าแก่ที่สุดของโรมที่ยังคงความสมบรูณ์แบบและมีชื่อว่า Pantheon และหากคุณใจตรงกันกับผู้ที่เป็น Coffee Lover จากทั่วโลกที่มาต่อคิวรอชิมกาแฟของร้านนี้มาเลยครับ มีชื่อเสียงในเรื่อง Espresso ถึงขนาดเข้าชิงอันดับ1 เพื่อครองตำแหน่ง The Best Espresso In Rome กับร้านคู่แข่งที่อยู่ใกล้กันคือ Caffé Sant’Eustachio ที่จะพูดถึงต่อไป

City Break ROME Coffee Break 5 Tazza D’Oro

City Break ROME Coffee Break 3 Tazza D’Oro

หรือถ้ามาที่นี่หน้าร้อนก็เข้าทางแบบไทยๆ เรา คือชอบดื่มเย็นที่นี่ก็มีชื่อครับสั่งเลย Granita (Frozen Coffee) แต่ต้องขอเตือนไว้ก่อนนะครับกาแฟที่นี่เข้มยิ่งกว่ากาแฟสำหรับคนขับสิบล้อบ้านเราที่ต้องการขับรวดเดียวจากเชียงใหม่ถึงสุไหง-โกลกเลยครับ นอกจากนี้ทางร้านยังมีกาแฟคั่วใส่ถุงกลับไปชงดื่มที่บ้านที่ยอดเยี่ยมขึ้นชื่อต้องซื้อ ถุงแดง La Regina dei caffe แบบรูปข้างล่างนี้กลับไปลองครับที่สุดของ Espresso

City Break ROME Coffee Break 8 Tazza D Oro

 

Sant’Eustachio
Piazza Sant’Eustachio, 82
www.santeustachioilcaffe.it
City Break ROME Coffee Break 15 Sant Eustachio

City Break ROME Coffee Break 4 Sant’Eustachio

ร้านดังร้านนี้มีสัญลักษณ์เป็นหัวกวางอยู่ระหว่างจัตุรัสโนวาน่ากับวิหารพันเตออน ถ้าคุณเป็นนักดื่มกาแฟแบบซีเรียสที่ค้นหา The Best Espresso In Rome หรือต้องการจะหากาแฟคั่วเกรด Grand Cru แบบนักชิมไวน์ คุณต้องมาหาซื้อกาแฟที่เป็น Gourmet Coffee ที่แท้จริงจากที่นี่ เพราะเจ้าของร้านที่ชื่อว่านาย Roberto Ricci เป็นคนทุ่มเทในการสรรหาแหล่งที่มาของกาแฟที่ดีที่สุดตลอดจนกรรมวิธีการคั่วที่หาตัวเทียบยากในด้านของคุณภาพ และกลิ่นรสที่คอกาแฟโหยหา มีลูกค้าที่เป็นระดับผู้นำประเทศที่สั่งกาแฟจากร้านนี้ไปชงที่บ้านเป็นประจำ รวมทั้งดาราฮอลลีวู้ดชื่อดังอย่าง Tom Hanks

City Break ROME Coffee Break 14 Sant Eustachio

City Break ROME Coffee Break 13 Sant Eustachio

City Break Rome Part X

เบรกเที่ยวในโรม ….กินอะไรในโรม (ต่อ)
โดย Paul Sansopone

…“เกิดจากตอนที่ทำครั้งแรก แม่บ้านคงโมโหโกรธสามีที่กลับบ้านดึกให้เมียรอกินมื้อเย็นนานเกินเหตุ ก็เลยใส่พริกเยอะกระเทียมเยอะ รสจัดมาก ตั้งใจแกล้งสามีด้วย เพราะ arrabbiata มันหมายความว่า “Angry” Pasta แต่กลับกลายมาเป็นซอสพาสต้าสีแดงที่เป็นที่นิยม”…

เมื่อคราวที่แล้วแนะนำอาหารท้องถิ่นต้นกำเนิดและร้านอาหารแบบเน้นบรรยากาศที่ราคาแพงหน่อย แต่การมาเที่ยว 3-4 วัน เราก็ควรต้องมีอย่างน้อย 1 มื้อล่ะครับ ในตอนนี้จะพูดถึง Routine Food หรือแบบ Staple ในแบบโรมที่มีความอบอุ่นตามแบบฉบับของร้านอาหารท้องถิ่นประเภท Osterie แบบดั้งเดิม ซึ่งเราผู้บริโภคเริ่มมีทางเลือกมากขึ้น เช่น เพราะเชฟรุ่นใหม่ที่ทำอาหารดั้งเดิมแบบเก่ากำลังมาแทนที่บรรดาเชฟที่เป็นคุณยายที่เน้น Home Cooking Style และที่พิสูจน์ได้ง่ายที่สุดคงต้องเป็นจานพาสต้า เพราะใครๆ ก็มากินพาสต้าที่โรม

และถ้าพูดถึง Pasta แบบโรมที่นี่จะใช้เส้นพาสต้าท้องถิ่นคือ Bucatini แปลว่า “Little Hole” มันเป็นเส้นยาวที่มีรูกลวงคล้าย มักกะโรนีหรือ Tonnarell จะคล้าย Spaghetti แต่จะอ้วนกว่าค่อนข้างเป็นที่นิยมในโรมแต่เส้นทั่วไปก็มีให้เลือกครับ

มารู้จักเมนูจานPastaที่เป็นโรมแท้

1.Pasta Alla Carbonara มีความ Creamy แต่ไม่มีการใส่ครีมจึงจะเป็นของกรุงโรมแท้ๆ เพราะมันเป็นอาหารกรรมกรทำง่ายๆ ไม่มีพิธีรีตรอง เพื่อนอิตาเลี่ยนของผมชื่อ Claudio เคยอธิบายว่า Carbonara มาจากคำว่า Carbone ซึ่งก็คือผงถ่านเพราะเวลาพวกกรรมกรเหมืองทานกันจะใส่พริกไทยดำเยอะมากจนดูเหมือนผงถ่านปกคลุมพาสต้าจานนี้

City Break ROME Italy Pasta Alla Carbonara

จริงแล้วอาหารจานนี้แพร่หลายไปทั่วโลก หลายๆ คนยังเชื่อว่ามันเกิดในสมัยสงครามโลกตอนทหารอเมริกันมาปักหลักอยู่กรุงโรมเพราะอเมริกันนำประเพณีอาหารเช้าที่เป็นเบคอนกับไข่มาแล้วมาดัดแปลงใส่เส้น กลายเป็นเมนูเด่นดังไปจนมีแทบทุกร้านอาหารตะวันตกทั่วไป แต่ถ้าเป็นของกรุงโรมแท้มันไม่ใส่ครีมและต้องใช้Guanciale เบคอนที่ทำจากแก้มหมู ส่วนชีสต้อง Pecorino และเส้นต้องเป็น Tonnarelli ถึงเป็นต้นตำรับ

City Break ROME Italy Pasta Alla Gricia

Pasta Alla Gricia

2.Pasta Alla Gricia ง่ายๆ แบบ Roman Pasta: มันเกือบจะเหมือน Carbonara ต่างกันตรงไม่มีไข่และใช้ Guanciale เป็นอะไรที่คล้ายกับเบคอนแต่ทำมาจากส่วนแก้มของหมู ไม่ได้ใช้ส่วนท้องแบบเบคอนหรือ Pancetta ทำให้มีรสแตกต่าง และแน่นอนต้องใช้ชีส Pecorino, Romano, Black Pepper และควรเป็นเส้นTonnarelliไม่ใช่ Spaghetti ซึ่งต้นตำรับเป็นของNapoliไม่ใช่ Roma

City Break ROME Italy Pasta Arrabbiata

3.Pasta Arrabbiata คงเกิดจากตอนที่ทำครั้งแรก แม่บ้านคงโมโหโกรธสามีที่กลับบ้านดึกให้เมียรอกินมื้อเย็นนานเกินเหตุ ก็เลยใส่พริกเยอะ กระเทียมเยอะ รสจัดมาก ตั้งใจแกล้งสามีด้วย เพราะ Arrabbiata มันหมายความว่า “Angry” Pastaแต่กลับกลายมาเป็นซอสพาสต้าสีแดงที่เป็นที่นิยมมากๆ เพราะความเผ็ดรสจัดจากส่วนผสมประกอบด้วยมะเขือเทศ กระเทียม และพริกแดง Peperoncino (Red Chili Peppers)

City Break ROME Italy Cacio e pepe

4.Cacio e pepe มันคือจานศักดิ์สิทธิ์แห่งพาสต้าของชาวโรมัน เพราะมันคืออาหารคนจนที่ต้องทานอะไรง่ายๆ และแค่ได้พาสต้า Cacio e Pepe สักจานก็ยกมือไหว้พระเจ้าแล้ว มันเลยเป็นจานศักดิ์สิทธิ์ “Cacio e Pepe” แปลว่า “Cheese and Pepper” ในภาษาพื้นเมืองในแถบLazio ส่วนผสมของพาสต้าจานนี้จึงง่ายแค่ Black Pepper และ Pecorino Romano Cheeseคลุกกับน้ำต้มเส้นเล็กน้อย
City Break ROME Italy Pasta all’amatriciana

5.Pasta all’amatriciana ชื่อนี้ได้มาจากเมืองชื่อAmatriceจากเขต Lazio มันใช้ส่วนประกอบที่เป็นมะเขือเทศ Guanciale,เบคอนที่ทำจากแก้มหมู แล้วมีพริกแดงหอมกระเทียมและไวน์แดงกับสุดท้ายต้องโรย Pecorino

 

รู้จักPastaท้องถิ่นของโรม แล้ว เราลองไปค้นหา The Best Pasta in Rome ดูกันครับว่าจะไปกินร้านไหนดี

“When in Rome do what the Romans do…” ใช่แล้วครับต้องหาพาสต้าที่ดีที่สุดของโรมกิน ขอแนะนำ 9 อรหันต์ของร้านพาสต้าในโรม ที่แต่ละร้านไม่ได้หรูหราแบบ Ristorante(ภัตตาคาร) แต่มักเป็นร้านระดับกลางหรือร้านเล็กๆ คือ Trattoria หรือ Osterie เท่านั้น  Credit Katie Parla

 

1.ร้าน Da Danilo (Via Petrarca 13, +39 06 7720 0111)
ที่เราควรต้องสั่งพาสต้า Carbonara and Cacio e pepe ที่เขาจะเอาเส้นพาสต้าที่ลวกเสร็จใหม่ๆ มาลงคลุกกับชีสแบบวงล้อก้อนใหญ่ที่คว้านเป็นรูปร่างเหมือนชามทำให้การคลุกชีสเปคคอริโนนั้นมั่นใจได้ว่าชีสเคลือบเส้นทั่วถึง

City Break ROME Italy at Da Danilo 2

City Break ROME Italy at Da Danilo

ยังมีจานเด็ดที่เป็น อาหารท้องถิ่นทัศคานี คือ Strozzapreti al Lardo di Colonnata e Pecorino di Fossa ซึ่งมีซอสมะเขือเทศแบบบางเบาไม่ข้น เป็นเบสมีlardoคล้ายเบคอนแต่มันเยอะโรยด้วยชีสนมแพะเก่าPecorinoที่บ่มเก็บไว้นานหน่อย

City Break ROME Italy at Da Danilo 1

 

2.ร้าน Flavio De Maio ของเชฟ Flavio al Velavevodetto (Via di Monte Testaccio 97, +39 06 574 4194)

City Break ROME Italy Cacio e pepe at Flavio De Maio

มาที่นี่ต้องสั่ง Cacio e pepe พาสต้าที่ใส่แค่ชีส Pecorinoกับพริกไทยดำคลุกน้ำต้มเส้น

 

3.ร้านPipero al Rex (Via Torino 149; +39 06 481 5702) ที่เชฟ Luciano Monosilo เสิร์ฟสุดยอดตำนานพาสต้าของโรม Spaghetti Alla Carbonara เชฟ Monosilo มีเทคนิคคือเขาจะอุ่นส่วนผสมของไข่แดง Parmigiano Reggiano, Pecorino Romano และพริกไทยดำใน Bain-Marie หรือซึ้งที่ใช้สำหรับนึ่งและพอได้พาสต้า al dente ขึ้นจากหม้อต้มก็คลุกกับส่วนผสมของไข่โรยด้วยเบคอนแก้มหมู Guanciale และไขมันที่เหลือจากการทอดมันเล็กน้อย

City Break ROME Italy at Pipero al Rex

Pipero al Rex: Spaghetti alla Carbonara credit pic: http://www.bonappetit.com

 
4.ร้านArmando al Pantheon (Salita dè Crescenzi 31, +39 06 6880 3034) ต้องสั่งคาโบนาร่าหากยังไม่เบื่อหรือหากต้องการรสจัดหน่อยก็ “Pasta dei cornuti” (Cuckold’s Pasta) ที่มีรสจัดจ้านจากพริกกระเทียมและน้ำมันมะกอก ร้านนี้หาง่ายอยู่ใกล้กับวิหาร Pantheon แต่มันไม่ใช่ร้านที่เป็น Tourist Trap ถ้ามา 2 คนให้อีกคนสั่ง Pasta Amatriciana มาจะได้ลอง 2 แบบ และอย่าลืมทานของหวานที่เป็น Signatureของร้าน Torta Antica Roma

City Break ROME Italy at Armando al Pantheon

City Break ROME Italy Torta Antica Roma at Armando al Pantheon

Armando al Pantheon: Ajo, Ojo e Peperoncino (garlic, oil, chili) credit pic: http://www.bonappetit.com

 

5.ร้านColline Emiliane (Via degli Avignonesi 22, +39 06 481 7538) ซึ่งเจ้าของเป็นตระกูล Latini จากเขต Emilia Romagna แต่ย้ายมาเปิดร้านอาหารแถวน้ำพุเทรวี่ตั้งแต่ปี 1967 จึงทำให้คุณจะได้ชิม Tortelliไส้ฟักทองต้นตำรับจาก Emilia Romagna แท้ๆโดยไม่ต้องไปถึงถิ่น

City Break ROME Italy Colline Emiliane Tortelli di Zucca at Colline Emiliane

Colline Emiliane: Tortelli di Zucca

 

City Break ROME Italy at Tavernaccia da Bruno

City Break ROME Italy Tavernaccia da Bruno 1

ร้านTavernaccia da Bruno: Lasagne Cotte nel Forno al Legna (wood oven baked lasagna) credit pic: http://www.bonappetit.com

6.ร้านTavernaccia da Bruno’s (Via Giovanni da Castel Bolognese 63, +39 06 581 2792) มีความโดดเด่นเรื่อง ลาซานญ่าที่อบด้วยเตาอบฟืน Lasagna, Bechamel, and Meat Sauce เป็นอาหาร Roman-Umbrian

 

City Break ROME Italy Il Sanlorenzo Spaghetti alle Vongole Veraci

Il Sanlorenzo: Spaghetti alle Vongole Veraci (with clams)
7.ร้านIl Sanlorenzo (Via dei Chiavari 4/5, +39 06 686 5097) เป็นร้านที่ต้องสั่งสปาเก็ตตี้หอยลาย (ต้องเช็คด้วยบางช่วงอาจไม่มีหอย) Spaghetti Alle Vongole

 

City Break ROME Italy Rigatoni con Burro e Parmigiano at Roscioli

8.ร้าน Roscioli: จานเด็ดเป็นRigatoni Burro e Parmigiano (Butter and Aged Parmigiano-Reggiano)

ไม่น่าเชื่อว่าแค่เป็นพาสต้าเนยสดกับปาร์มิจานก็อร่อยได้ ต้องไปลองทาน Rigatoni con Burro e Parmigianoที่ร้านRoscioli (Via dei Giubbonari 21, +39 06 687 5287) เคล็ดลับอยู่ที่วัตถุดิบที่เป็นเส้นสดและเนย Echiré Butter ก่อนโรยหน้าด้วยปาร์มิจานแบบบ่มเก็บนาน 30 เดือนผสมกับแบบบ่มนาน 36 เดือน (Aged Parmigiano Reggiano)
 

City Break ROME Italy Rigatoni con pajata

หรือถ้าท่านต้องการพาสต้าจากโรมแบบExtremeหน่อยก็ต้องสั่งทานจานนี้

Rigatoni con pajata มันคือ Pasta กับ Pajata ซึ่งก็คือไส้ของลูกแกะหรือลูกวัวที่ยังไม่หย่านมคือมันยังไม่เคยทานอาหารที่ทำลำไส้มันสกปรกและมีไขมันมันเป็น Cucina povera dishes หรืออาหารคนยากจนที่ต้องกินทุกชิ้นส่วนของสัตว์แต่มันกลายเป็นของอร่อย

 

City Break ROME Italy Spaghetti Alle Vongole Hostaria Romana

Spaghetti Alle Vongole ที่ Hostaria Romana

9.ร้าน Hostaria Romana เป็นแบบold-schoo trattoria ที่มีโต๊ะเบียดๆ กันอยู่ แต่อาหารจานพาสต้าแบบสปาเก็ตตี้หอยลายและAmatriciana ต้องขอแนะนำอะไรที่ไม่ใช่พาสต้าทิ้งท้ายหน่อย ไหนๆ มาร้านนี้ถ้าอยู่ในฤดูของ Artichokesให้สั่ง ArtichokesทอดAlla Giudia (fried) หรือแบบตุ๋นAlla Romana (braised) ก็อร่อยทั้งคู่
City Break ROME Italy Carciofo Alla Giudia at Hostaria Romana

Carciofo Alla Giudia อาร์ติโช๊คทอดกรอบ

City Break ROME Italy Carciofo Alla Romana at Hostaria Romana

Carciofo Alla Romanaหรือว่าอาร์ติโช๊คตุ๋นดี?

 

คราวหน้าเรามาว่ากันต่อในเรื่องของกินของดื่มที่โรมครับ

City Break Rome Part IX

เบรกเที่ยวในโรม…กินอะไรในโรม
โดย Paul Sansopone

… “หากจะมาสารภาพรักหรือขอแต่งงานหรือแม้แต่แต่งงานกันมา 30 ปีแล้วแต่ยังอยากจะสารภาพอีกว่ายังรักไม่เคยเสื่อมคลาย คงต้องจองโต๊ะมาช่วงพระอาทิตย์ตกดิน เพราะมันจะเป็นbackdropระดับโลก เนื่องจากพระอาทิตย์จะลับขอบฟ้าด้านหลังของ Coliseum แบบ Picture Perfect ที่สำคัญที่นี่ไม่ได้สวยแต่วิว อาหารจากเมนูระดับ 5 ดาวจากสถาบัน…”

กินอะไรในโรม

กรุงโรมมีอายุเกือบ 3,000 ปี แต่ไม่ว่าจะผ่านมากี่พันปีของประวัติศาสตร์ โรมเป็นเมืองที่ไม่เคยเป็นรองใครในเรื่องอาหารและไวน์ ที่จริงแล้วเมืองนี้เคยถูกปกคลุมไปด้วยไร่องุ่นที่เป็นส่วนหนึ่งของที่ดินของคนรวย
กรุงโรมในวันนี้ ความรักในไวน์และอาหารดีๆ ยังไม่เคยเปลี่ยนแปลงแต่กลับพัฒนามากขึ้น ในช่วง 25 ปีหลังนี้ ชาวเมือง 2.7 ล้านที่อาศัยอยู่ที่นี่ได้เติบโตขึ้นด้วยความเชื่อมั่นความมั่งคั่งและความซับซ้อน นักเดินทางจากทั่วโลกมาที่นี่เพิ่มมากขึ้น ทำให้มาตรฐานของชาวโรมันซึ่งปกติก็จู้จี้จุกจิกเรื่องการทำอาหารอยู่แล้วต้องยกมาตรฐานให้สูงขึ้น จากเดิมที่อาหารอิตาเลี่ยนมันมาจากสถาบันครอบครัวแบบง่ายๆ ใช้สูตรตำราอาหารที่เป็นมรดกตกทอดกันมา กลายมาเป็นองค์ความรู้เป็นสถาบันอาหารและมีการศึกษาลึกซึ้งกว่าเดิม
ที่นี่แตกต่างจากฟลอเรนซ์ ตูริน และเวโรนาซึ่งที่นั่นมักจะมีความเกี่ยวข้องโดยตรงกับความเป็นเลิศเรื่องไวน์ของพวกเขาในท้องถิ่น เช่นโซน Chianti, Barolo และ Valpolicella ตามลำดับ แต่ Rome ซึ่งอยู่ในพื้นที่ของลาซิโออาจมีแค่เพียงแหล่งผลิตไวน์ที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ เช่น Candida หรือ Casale Giglio แต่มันยังไม่ใช่อะไรที่ติดChart โชคดีที่ที่นี่มันคือกรุงโรมที่ถนนทุกสายมุ่งมาสู่ ดังนั้นมันเป็นเรื่องง่ายที่จะหาไวน์จากทุกภูมิภาคในกรุงโรมมากกว่าที่เป็นอยู่ในสถานที่ของแหล่งกำเนิด

City Break Rome Italy Gambero Rosso 3

ทางเลือกสำหรับการมาทัวร์ชิมไวน์และการเรียนการทำอาหารมากในเมืองอมตะแห่งนี้ ลองไปศูนย์ไวน์และอาหาร Gambero Rosso ซึ่งเป็นวารสารเกี่ยวกับอาหารและไวน์ชื่อดังของอิตาลี ของ Cittàdi Gusto (เมืองTaste) ที่ตั้งอยู่ในคลังสินค้า 86,000 ตารางฟุตในย่านมาร์โคนี ผู้เข้าชมสามารถชมเชฟอิตาเลี่ยนชั้นนำโชว์ศิลปะการทำอาหารของพวกเขา หรือเข้าร่วมการสัมมนาเชิงปฏิบัติการเรื่องไวน์หรือบางคนอาจสนใจโรงเรียนสอนทำอาหารสำหรับมือสมัครเล่นและมืออาชีพ ส่วนการชิมไวน์แบบคลาสสิกต้องไป Enoteca Costantini ใน Piazza Cavour หนึ่งในกรุงโรมที่เก่าแก่ที่สุดและมีชื่อเสียงโด่งดังที่สุดเรื่องไวน์บาร์และยังมีการจัดหลักสูตรไวน์ด้วย

City Break Rome Italy Enoteca Costantini

อาหารโรมันแท้ๆ

ในกรุงโรมที่ร้านอาหารแบบดั้งเดิมปนอยู่กับร้านแบบร่วมสมัย อาหารพิเศษของกรุงโรมไม่ได้หรูหรา หลายสูตรมาจากวัฒนธรรมคนยากจน Cucina Povera แลtได้อิทธิพลมาจากอาหารของชุมชนชาวยิวที่ใช้เนื้อชิ้นที่ไม่ใช่cut ราคาแพง บางครั้งอาจมีอาหารแบบที่ไม่น่าดูชมนักด้วยซ้ำที่มักจะประกอบด้วยชิ้นส่วนเครื่องในของสัตว์นำมาทอด Smothered แล้วไปเคี่ยวในซอส เป็นที่รู้จักกันคือ Cucina di Quinto หรือ “ไตรมาสที่ห้า” หรือมีCervello Fritto (ไส้สมองแกะทอดขนาดลูกกอล์ฟ) TRIPP Aalla Romana (ลำไส้ลูกวัวในซอสมะเขือเทศ) Vitella Piccante (ลิ้นลูกวัวในซอสเผ็ด) และ Alla Vaccinara (ตุ๋นหางวัว)

City Break Rome Italy Saltimbocca Alla Romana

Saltimbocca Alla Romana มันแปลว่า “กระเด้งในปาก”เป็นเนื้อลูกวัวห่อด้วยแฮม Prosciutto Crudo และใบSageผัดซอสแบบน้ำแดง

City Break Rome Italy Rigatoni con pajata

Rigatoni con pajata มันคือ Pasta กับ Pajata ซึ่งก็คือไส้ของลูกแกะหรือลูกวัวที่ยังไม่หย่านมคือมันยังไม่เคยทานอาหารที่จะทำลำไส้มันสกปรก และมีไขมันมันเป็น Cucina Povera Dishes หรืออาหารคนยากจนที่ต้องกินทุกชิ้นส่วนของสัตว์แต่มันกลายเป็นของอร่อย
City Break Rome Italy Coda alla vaccinara Oxtail

Coda alla vaccinara. Oxtailอาหารคนจนอีกแล้ว Cucina Povera Clan เป็นสตูหางวัวที่เคี่ยวนานจนละลายในปาก

Involtini alla romana เนื้อม้วนแครอทและเซเลอรี่ในซอสมะเขือเทศ

City Break Rome Italy Trippa Tripe

Trippa Tripe มันคือผ้าขี้ริ้ว(เครื่องในวัว)แบบเดียวกับเกาเหลาเนื้อบ้านเราแต่ที่นี่กินกับซอสแดง
City Break Rome Italy Crostata di ricotta

Crostata di ricotta ของหวานแบบ Classic Roman dessert มันเป็นชีสเค้กทำจากชีสรีค๊อดต้า

City Break Rome Italy Carciofo alla giudia

บางส่วนของเมืองอาหารแบบดั้งเดิมมีต้นกำเนิดมาจากชุมชนชาวยิวในกรุงโรม Carciofo alla giudia หรืออาติโช๊คทอดกรอบ

จนกระทั่งเมื่อเร็วๆ นี้อาหารพิเศษโรมันเหล่านี้ที่เคยถูกปกป้องโดยประเพณีอย่างเหนียวแน่นก็ถึงเวลาเปลี่ยนแปลง เมื่อเชฟเยอรมันชื่อไฮนซ์เบ็คมาถึงที่นี่ในปี 1994 ความเป็นพ่อครัวระดับสามดาวมิชลินของเขาเปิดทางให้พ่อครัวที่มีชื่อเสียงและเทคนิคใหม่ๆในกรุงโรม

City Break Rome Italy The View from La Pergola 2

เบ็คทำงานห้องครัวของร้าน La Pergola ยังคงถือว่าเป็นร้านอาหารที่ดีที่สุดของกรุงโรมและเขายังคงเป็นหนึ่งในพ่อครัวที่มีอิทธิพลมากที่สุดในเมืองหลวงและประเทศเก่าแก่นี้

The View from La Pergola

City Break Rome Italy The View from La Pergola 1

City Break Rome Italy The View from La Pergola

La Pergo ร้านอาหารอันดับหนึ่งในกรุงโรมที่ถูกโหวตปีแล้วปีเล่า เชฟไฮนซ์เบ็ค Chef Heinz Beck ผสมผสานความเชี่ยวชาญด้านเทคนิคที่มีการพิจารณาลึกของรสชาติและเนื้อสัมผัส เลือกที่สุดของไวน์มานำเสนอกับเมนูชิมที่ห้ามพลาดที่นี่มีทั้งไวน์อิตาลีและไวน์ต่างประเทศ และไม่เพียงแต่อาหารที่ดีที่สุดในกรุงโรมแต่วิวก็ยังสวยที่สุดอีกด้วยแน่นอนว่าการทำให้มาตรฐานสูงขึ้นไปเรื่อยๆ ของร้าน La Pergola นั้นก็ต้องทำให้คู่แข่งอย่างร้านข้างล่างเหล่านี้พัฒนาไปด้วยเช่นกัน

 

Imàgo
ร้านอาหารและบาร์ไวน์มาพร้อมกับสุดยอดของวิวที่สวยงามของโรมจากย่านบันไดสเปน บริการอาหารอิตาเลี่ยนด้วยสำเนียงโรมันแบบไม่เพี้ยน และOriginalสุดดั้งเดิมและเสิร์ฟเฉพาะไวน์อิตาเลี่ยนกว่า 400 ตัว

City Break Rome Italy RELAIS PICASSO

RELAIS PICASSO / Bramante TERRACE / Roof Gardenบนชั้นบนสุดของโรงแรมราฟาเอลใกล้กับ Piazza Navonaบนเทอเรซหรือสวนบนดาดฟ้าในสภาพอากาศที่เหมาะสม คุณจะได้ทานอาหารในระดับเดียวกับเส้นขอบฟ้าของกรุงโรมที่ประดับประดาไปด้วยโรมันโดมของโบสถ์ต่างๆ

 

City Break Rome Italy Aroma 1

Aroma
แต่ถ้าอยากให้ได้บรรยากาศเหมือนเพิ่งไปชมการต่อสู้ของยอดนักสู้ Gladiators มา ก็ต้องที่นี่เลยร้านที่ชื่อ Aroma ที่จัตุรัส Manfredi ซึ่งจะได้วิวของสุดยอดสถาปัตยกรรมระดับสิ่งมหัศจรรย์ตลอดกาลของโลก นั่นคือ Coliseum และหากจะมาสารภาพรักหรือขอแต่งงานกับคู่ชีวิตหรือแม้แต่แต่งงานกันมา 30 ปีแล้ว แต่ยังอยากจะสารภาพอีกว่ายังรักไม่เคยเสื่อมคลาย คงต้องจองโต๊ะมาช่วงพระอาทิตย์ตกดินเพราะมันจะเป็นbackdropระดับโลก เนื่องจากพระอาทิตย์จะลับขอบฟ้าด้านหลังของ Coliseum แบบ Picture Perfect ที่สำคัญที่นี่ไม่ได้สวยแต่วิว อาหารจากเมนูระดับ 5 ดาวจากสถาบัน American Academy of Hospitality Sciences และดาวจาก Michelin น่าจะเพียงพอให้คู่เดทของคุณไม่รู้สึกว่าเราcheapอย่างแน่นอนในโอกาสสำคัญแบบนี้ ที่อยู่และเบอร์โทร: Aroma, Palazzo Manfredi, Via Labicana 125, Rome, Italy, +39 06 97615109

City Break Rome Italy Aroma 2

City Break Rome Italy Aroma 4

 

Hotel Forum Roof Garden

City Break Rome Italy Hotel Forum Roof Garden

แต่ถ้าต้องการอาหารกลางวันแบบBuffetในราคาสมเหตุสมผล หรือจะมา à-la-carte ตอนหัวค่ำเพื่อชมความงามของขอบฟ้ากรุงโรมตอนอาทิตย์ลับฟ้าเหมือนภาพเดียวกันกับที่จูเลียสซีซ่าร์ได้เคยเห็นเมื่อเกือบ 3000 ปีก่อน ก็เพราะเมื่อก่อน Roman Forum คือสถาบันที่รวมของชุมชนชนชาวโรม แต่ปัจจุบันโรงแรมชื่อเดียวกัน Hotel Forum ก็สนองบรรยากาศและอาหารสุดยอดแบบนั้นได้ โดยเฉพาะที่ห้องอาหารRoof Garden, ที่อยู่และเบอร์โทร: Hotel Forum, Via Tor Dei Conti 31, Rome, Italy, +39 06 6792447

 

คราวหน้าเราจะคุยกันถึงอาหารจานเก่งของชาวโรมันกันครับ

City Break Rome Part VIII

เบรกเที่ยวในโรม…เที่ยวโรมแบบผู้ที่มาโรม หลายครั้งแล้ว (ต่อ)
โดย Paul Sansopone

คราวที่แล้วเป็นการแนะนำ Day Trip แบบไปเที่ยวนอกกรุงโรม แต่คราวนี้จะสำหรับผู้ที่ไม่ชอบเดินทางคือยังอยากอยู่ในตัวเมืองแต่ก็อยากดูอะไรที่ไม่ใช่พื้นฐานมากเพราะไปมาหมดแล้ว
ผมคิดว่าถ้างั้นก็คงไม่มีอะไรดีไปกว่าการไปเที่ยวชมสิ่งที่โรมเป็นมากว่า 2000 ปี นั่นก็คือการเป็นศูนย์กลางของคริสต์ศาสนา ทำให้ที่นี่มีโบสถ์วิหารอยู่กว่า 4,000 แห่งเลยทีเดียวซึ่งการเที่ยววัดต่างๆ ในโรมถือเป็นสิ่งที่น่าสนใจมาก คงเหมือนเราไปเที่ยวอยุธยาหรือเชียงใหม่แม้แต่กรุงเทพฯ เพราะเป็นศูนย์รวมของพุทธศาสนา อย่าลืมว่าการไปเที่ยววัดนั้นมันได้ทั้งด้านประวัติศาสตร์ เรื่องราวทางศาสนา และยังเป็นผลพลอยได้สำหรับผู้ที่หลงใหลงานศิลปะ เพราะวัดดังๆในสมัยก่อนเมื่อสร้างขึ้นก็ต้องเรียกศรัทธาโดยเกณฑ์บรรดาช่างฝีมือนักปั้นนักวาดมาแสดงฝีมือกันเต็มที่ ทำให้ใครมาถึงวัดนั้นๆ ก็ต้องทึ่งกันไป ดังนั้นการไปเที่ยวชมวัดชมโบสถ์ในโรมถือเป็นอะไรที่น่าสนใจทีเดียว เพราะจะได้ดูงานศิลปะระดับอาจารย์ไปในตัว

City Break ROME Italy 2

เราหาผลงานของบรรดาอัจฉริยะในด้านงานศิลปะอย่าง Andrea Mantegna, Caravaggio, Raphael, Michelangelo กับงานยุคของเรเนซองส์หรือยุคถัดมาคือยุคบาโร๊ค Baroque ได้จากวัดต่างๆใน Rome แน่นอนว่าวิหารที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่นี่ก็คือวิหาร St. Peter’s Basilica ที่อยู่ตรงวาติกัน แต่เนื่องจากใครๆ ก็รู้จักที่นั่นดีแล้ว ผมจึงขอแนะนำโบสถ์วิหารที่สุดยอดดังต่อไปนี้เป็นทางเลือก เพราะทำให้ท่านทึ่งและประทับใจได้ไม่ต่างกันในด้านศิลปะภายในโบสถ์และสถาปัตยกรรมด้านนอก

Santa Maria in Cosmedin
City Break ROME Italy Santa Maria in Cosmedin

เริ่มต้นด้วยการแนะนำวัด Santa Maria in Cosmedin เป็นวัดในยุคกลางที่โดดเด่นอยู่ทางใต้ของจัตุรัสPiazza Bocca della Verità ก่อสร้างในปี 772 เสร็จประมาณปี 1124 ความสมบูรณ์แบบของงานด้านสถาปัตยกรรมนั้นเป็นที่ยอมรับแต่ผู้คนมาที่นี่กลับไม่ได้สนใจมาก เพราะต้องการแค่จะมาถ่ายรูปกับ Bocca della Verità หรือ The Mouth of Truth โดยตำนาน(Myth) กล่าวว่าหนุ่มสาวจะสาบานกันก่อนตกลงเป็นคู่รักกันต่อหน้า‘ปากแห่งความจริงใจ’ นี้ โดยเอามือใส่ไว้ในปากหากพูดไม่จริงใจหรือโกหกก็จะเอามือออกมาไม่ได้ก็ได้ผลดีนะครับเป็น Marketing ระดับโลกที่ทำให้คนมาเที่ยวที่นี่กันเยอะเลย
City Break ROME Italy Santa Maria in Cosmedin 1

วัด Santa Maria in Cosmedin

 

The Basilica di Santa Maria Maggiore วิหารซานตามารีอา มาญญอเร่

ที่นี่คือวิหารที่ใหญ่ที่สุดของโรม (อย่าลืมว่าSt.Peterนั้นอยู่ในวาติกัน) ที่นี่คือโบสถ์แม่ถือเป็นโบสถ์แคทอลิกที่สำคัญที่สุดสร้างครั้งแรกเมื่อประมาณปี 440 ในศตวรรษที่ 5 มีศิลปะโมเสสหาดูยากเล่าเรื่องตามคัมภีร์เก่า Old Testament ถึง 36 เรื่องราวแต่ก็มีการปรับเปลี่ยนบูรณะมาตามยุคสมัยจนในช่วงศตวรรษที่ 18 ก็เสริมความวิจิตรแบบ Baroque (การ Remodel, Rebuiltเช่นเดียวกับโบสถ์หลายๆ แห่งในโรมที่ยุคแรกสร้างมานับ 1,000 ปีแล้วแต่รูปแบบธรรมดาเกินไป และเสื่อมโทรมมาก คริสตจักรโดยสันตะปาปาในแต่ละยุคสมัยก็จะเกณฑ์ช่างฝีมือมาประยุคใหม่ให้เข้ากับยุคสมัย ถ้าหากเป็นสันตะปาปาในช่วงยุคเรเนซองส์เป็นผู้ดำริให้ทำศิลปะก็ออกมาเป็นแบบเรเนซองส์ ถ้าเป็นยุคใหม่หน่อยก็อาจเป็นแบบบาโร๊ค) ที่นี่เปิดให้เข้าชมฟรีทุกวัน ปิดประมาณ 6โมงครึ่ง แต่ถ้าจะเข้าชมส่วนพิพิธภัณฑ์จะเสียเงินคนละ €4

City Break ROME Italy The Basilica di Santa Maria Maggiore 1

ที่อยู่ก็ตามนี้ครับห่างจากสถานีรถไฟ Termini ไปไม่ไกล Piazza Santa Maria Maggiore, Rome, Latium, 00185,
Tel. 06-69886802

 

San Lorenzo Fuori le Mura ซาน ลอเรนโซ่ ฟูโอรี่ เลมูร่า

City Break ROME Italy San Lorenzo Fuori le Mura 1

จริงๆ แล้วโบสถ์นี้ถูกสร้างขึ้นนอกกำแพงกรุงโรมในสมัยจักรพรรดิ Constantine ซึ่งท่านได้สร้างคร่อมหลุมฝังศพของนักบุญ St. Lawrence ผู้ที่พยายามเผยแพร่คริสต์ศาสนาในโรมในยุคแรกเริ่มและจบด้วยการโดนตรึงกางเขน นอกเหนือจากนักบุญ St. Stephen และSt. Justin. มันถูกสร้างขึ้นในศตวรรษที่ 6โดดเด่นด้วยภาพพระเยซูกับนักบุญที่ทำด้วยโมเสส Mosaics สมัย Byzantine

City Break ROME Italy San Lorenzo Fuori le Mura

ที่อยู่คือ Piazzale Del Verano, 3 Quartiere San Lorenzo, 00185 Tel. 06 44 66 184

 

San Giovanni in Laterano ซานจอวานนี่ อิน ลาแตรราโน

City Break ROME Italy San Giovanni in Laterano

โบสถ์ St. John Lateran ถือเป็นวิหารหลวงของโรม ไม่ใช่ St. Peter เหมือนที่ทุกคนคิด ที่นี่ใช้ประกอบพิธีสำคัญของ Bishop of Rome มันถูกสร้างในศตวรรษที่ 4 เชื่อกันว่าเป็นโบสถ์ของคริสต์ศาสนาแห่งแรกของ Rome แต่โชคไม่ดีเพราะมีไฟไหม้และแผ่นดินไหว ทำให้ที่นี่มีการบูรณะแบบ Remodel กลายเป็นสไตล์ Baroque ในยุคศตวรรษที่16-17ไปแล้ว ไปในโบสถ์เพื่อดูภาพ Frescoes, เสาหินcolumns, โมเสส Mosaics และรูปปั้น Sculptures นำโดยปรมาจารย์ด้านศิลปะชื่อดัง ส่วนที่เก่าแก่ที่สุดของโบสถ์คือส่วนที่หลงเหลืออยู่เป็นของเดิมคือห้องรับศีลจุ่มล้างบาป Baptistery สร้างโดย Emperor Constantine ในปี AD 315ซึ่งถือเป็นส่วนที่เก่าแก่ที่สุดของทุกโบสถ์ในโรมด้วย ที่นี่เปิดให้เข้าชมฟรีทุกวัน ปิดประมาณ 6 โมงครึ่ง
City Break ROME Italy Piazza di Porta San Giovanni 1

ที่อยู่ก็ตามนี้ครับ Piazza di Porta San Giovanni, Rome, Latium, 00185 Tel. 06-69886433

 

Santa Maria in Trastevere ซานตามาริอา อิน ตราเตแวเร่

วิหาร Santa Maria in Trastevere ถือเป็นโบสถ์ที่เก่าแก่ที่สุดใน Rome อีกแห่ง สร้างในช่วงปี 350 AD เป็นโบสถ์แม่พระ Virgin Mary แห่งแรกถูกบูรณะปฏิสังขรณ์ใหม่ โดย Pope Innocent II แห่งเมือง Trastevere, ในศตวรรษที่12 ทำให้เราสามารถหาดูศิลปะโมเสสยุคศตวรรษที่ 12-13 ที่หาชมได้ยากได้ที่นี่ ส่วนเสา Columns 22 ต้นก็นำมาจากวัดโรมันโบราณแท้ไปที่นี่เพื่อชื่นชมโมเสสโดย Domenichinoในส่วนโดมที่เสร็จในปี1617 ที่นี่เปิดให้เข้าชมฟรีทุกวัน ปิดประมาณ 3 ทุ่ม

City Break ROME Italy Santa Maria in Trastevere

ที่อยู่ก็ตามนี้ครับ Piazza Santa Maria in Trastevere, Rome, Latium, 00153 Tel. 06-5814802

 

Santa Maria Sopra Minerva ซานตามาริอาโซปรามิเนอวา
City Break ROME Italy s-maria-sopra-minerva

Santa Maria Sopra Minerva เป็นวิหารในแบบสถาปัตยกรรม Gothic หนึ่งในไม่กี่แห่งในอิตาลี มันถูกสร้างคร่อมวัดโรมันโบราณ (Sopra) ที่บูชา Minerva เทพแห่งความฉลาดสุขุม (ในสมัยก่อนที่ชาวโรมันจะนับถือศาสนาคริสต์ในยุคของจักรพรรดิConstantin นั้น ชาวโรมันจะนับถือเทพเจ้าหลายองค์แบบเดียวกับกรีก เพียงแต่ชื่อจะเรียกไม่เหมือนกัน) มันถูกสร้างในศตวรรษที่ 13 ไปชมภาพ Frescoeฝีมือของ Filippino Lippi และที่เก็บอัฐิของ St. Catherine of Siena ซึ่งเป็นรูปปั้นหินอ่อนฝีมือMichelangelo ที่นี่เปิดให้เข้าชมฟรีทุกวัน ปิดประมาณ 1 ทุ่ม

City Break ROME Italy Santa Maria Sopra Minerva 1

ที่อยู่ก็ตามนี้ครับPiazza della Minerva, Rome, Latium, 00186 Tel. 06-6793926 หรือเช็ค www.basilicaminerva.it

 

Basilica of Santa Maria del Popolo วิหารซานตามาริอาเดลปอโปโร
City Break ROME Italy Basilica of Santa Maria del Popolo

วิหารนี้สำหรับท่านที่รักศิลปะที่ปรมาจารย์ระดับต้นๆ ของยุคเรเนซองส์ คือ Pinturicchio, Raphael, Berniniและ Caravaggio ฝากผลงานทิ้งไว้โบสถ์ที่นี่สร้างในปี 1099 มีตำนานกันว่าวิญญาณของจักรพรรดิ Nero จอมบ้าคลั่ง ที่เผากรุงโรมนั้นสิงสถิตอยู่ที่นี่

ที่นี่เปิดให้เข้าชมฟรีทุกวันปิดประมาณ1ทุ่มที่อยู่ก็ตามนี้ Piazza del Popolo 12, near Porta Pinciana, Rome, Latium, 00186 Tel. 06-3610836หรือเช็ค www.santamariadelpopolo.it
St. Clement’s Basilica วิหารซานคลีเมนเต้

City Break ROME Italy St. Clement’s Basilica 1

โบสถ์ St. Clement’s Basilicaอยู่ไม่ห่างจาก Colosseum ได้ชื่อมาจากสันตะปาปาองค์ที่ 3 ของคริสต์ศาสนาคือนักบุญ แต่ที่น่าสนใจก็คือโบสถ์นี้สร้างในศตวรรษที่ 12 โดยสร้างคร่อมวิหารเดิมในศตวรรษที่ 4 และวิหารนั้นสร้างคร่อมวัดของ Pagan (พวกนอกศาสนาคริสต์นับถือเทพเจ้า) ที่สร้างในศตวรรษที่1 มีคนมักพูดว่าโรมก็เหมือนลาซานญ่าเพราะมันถึงสร้างทับกันเป็นชั้นๆ แบบลาซานญ่านั่นเอง ถ้าอยากพิสูจน์มาที่วัดนี้ได้ ที่นี่เป็นเหมือนกรณีศึกษาให้เห็น เนื่องจากที่นี่เราสามารถลงไปทัวร์ใต้ดินจะเห็นว่าโรมนั้นสร้างไม่หยุดและทับของเดิมหลายชั้น อย่างที่นี่วัด Pagan ที่สร้างในศตวรรษที่ 1 ลึกลงไปถึง 60ฟุตเมื่อเทียบกับระดับพื้นดินปัจจุบัน มาชมภาพ Frescoes และMosaics สมัยศตวรรษที่ 12 เป็นภาพพระเยซูถูกตรึงกางเขนแล้วกลายมาเป็นต้นไม้ที่มีชีวิต แต่อย่างที่บอกครับควรไปเพิ่มความรู้ด้านโบราณคดีโดยการไปดูใต้ดินของที่นี่ คือบางครั้งวัดของพวกที่นับถือนิกายที่นอกเหนือจากทางการอาจต้องไปหลบๆ ซ่อนๆ สร้างที่บูชาแบบวัดเล็กๆ อยู่ใต้ดินที่เรียกว่า Mithraeum ที่เป็นแท่นบูชาเทพ Mithrasจาก Persia และถ้าท่านติดใจเรื่องทัวร์ใต้ดินมันก็มีทัวร์แบบนี้ที่เที่ยวชมสุสานใต้ดินของโรม(Crypts and Catacombs Tour)

City Break ROME Italy St. Clement’s Basilica

 

Santa Cecilia in Trastevere ซานตาเซวิเลีย อิน ตราเตเวเร่
City Break ROME Italy Santa CeciliainTrastevere

โบสถ์ St. Cecilia in Trastevere สร้างในศตวรรษที่ 9thโดยสร้างคร่อมโบสถ์เดิมที่สร้างไว้เมื่อปี 200 AD เป็นอนุสรณ์ให้St.Cecilia ก่อนที่เธอจะเสียชีวิต เพราะการเผยแพร่ศาสนาคริสต์ที่น่าสนใจคือรูปแกะสลักหินอ่อนของเธอ โดย Stefano Maderno ทำไว้ในศตวรรษที่ 16 ตามที่เขาเห็นตอนที่มีการขุดศพของ St. Cecilia ขึ้นมาเพื่อบรรจุใหม่แต่เหลือเชื่อมากตรงที่ศพของท่านยังสดเหมือนวันที่ถูกฝังวันแรกเลย ทำให้รูปแกะสลักออกมาแบบนั้น มาที่นี่ให้ดู Mosaic ของศตวรรษที่ 9และ Fresco ภาพ Last Judgement โดย Pietro Cavallini ทำทิ้งไว้ก่อนที่ Giottoจะมาทำการตกแต่งเพิ่มเติมให้สมบูรณ์ ที่นี่เปิดให้เข้าชมฟรีทุกวัน ปิดประมาณ 1 ทุ่ม ยกเว้นถ้าจะดูภาพ Fresco เปิดช่วง 10 โมงเช้าถึงเที่ยงครึ่ง เสียค่าเข้าชม €2.50

City Break ROME Italy Santa Cecilia in Trastevere

ที่อยู่ก็ตามนี้Piazza Santa Cecilia in Trastevere 22, Rome, Latium, 00153 Tel. 06-5899289

 

Basilica di Sant’Agostino วิหารซานดิอากุสติโน

โบสถ์แบบโรมันเรเนซองส์ St.Augustine คือที่นี่ท่านที่รักงานศิลปะต้องไป เพราะที่นี่มีงานชิ้นเอกของCaravaggioสุดยอดจิตรกรยุคบาโร๊คที่ชื่อว่า Madonna of the Pilgrims เป็นรูปที่ถูกกล่าวขานโจษจันนั้นว่าไม่เหมาะสม เพราะดูสมจริงมาก ในรูปเป็นผู้แสวงบุญเข้าไปคุกเข่าไหว้พระแม่มารีแบบไม่ใส่รองเท้า และเท้าสกปรกมากเหมือนไม่เป็นการแสดงความนับถือและรูปแม่พระดูธรรมดาเหมือนชาวบ้านธรรมดาไปหน่อยไม่ยืนตัวตรงสง่าผ่าเผยดูมีบุญญาบารมี และมีแสงส่องเป็นประกายแบบที่ควรจะเป็น และยังมีภาพของ Raphael ที่ชื่อ Isaiah ภาพศาสดา Isaiah นี้ที่เป็นแรงบันดาลใจ และเพิ่มความมั่นใจของตัวเขาเองก่อนไปวาดใน Sistine Chapel และยังมีรูปปั้นแกะสลักของ Sansovino ทื่ชื่อ St. Anne and the Madonna with Child และThe Madonna and Childโดย Jacopo Tatti ลูกศิษย์ของ Sansovino ที่นี่เปิดให้เข้าชมฟรีทุกวัน ปิดประมาณ 1 ทุ่มครึ่ง

 

ที่ผ่านมาทั้งหมด 8 ตอน ก็เป็นเรื่องราวการท่องเที่ยวในโรม ตอนต่อไปก็จะถึงคราวของเรื่องอาหารการกินในโรมกันบ้างซึ่งน่าสนใจไม่แพ้กัน โปรดติดตามนะครับ

City Break Rome Part VII

เบรกเที่ยวในโรม…เที่ยวโรมแบบผู้ที่มาโรม หลายครั้งแล้ว
โดย Paul Sansopone

…“มันเป็นตัวอย่างของการสร้างเมืองบนจุดยุทธศาสตร์แบบเมืองในยุคกลางทั่วไปที่ต้องทำให้โดนข้าศึกมารุกรานได้ยากที่สุด หากมาในช่วงหน้าหนาวหน่อยมันจะเป็นเหมือนเมืองที่อยู่บนสวรรค์ เมืองที่ลอยอยู่บนก้อนเมฆ เพราะมีทะเลหมอกจากรอบด้านนั่นเอง…”

นักท่องเที่ยวแบบที่เคยมาโรมหลายครั้งแล้วก็คงไม่อยากไปเที่ยวชมอะไรแบบพื้นฐาน ไม่ว่าจะเป็นวิหารพานเทนอล, คอลอสเซี่ยมหรือวิหารเซ็นต์ปีเตอร์ เพราะรู้จักดีแล้ว คราวนี้ก็เลยจะแนะนำอะไรที่ใหม่สำหรับผู้ที่มาโรมบ่อยแล้ว ก็อยากให้ลองออกไปนอกโรมแบบ Day Trip ไปเช้าเย็นกลับบ้างก็ไม่เลวครับ ก็เพราะโรมอยู่ในเขตลาซิโอซึ่งมีอะไรน่าสนใจกว่าโรมอย่างเดียว ผมจึงขอแนะนำเขตลาซิโอในตอนนี้

เขตLazio (ลาซิโอ) เป็นเขตปกครอง 1 ใน 20 เขตของอิตาลี ตั้งอยู่ตอนกลางของประเทศ มีเมืองหลวงชื่อ Rome (กรุงโรม)ซึ่งเป็นเมืองหลวงของประเทศอิตาลีด้วย นอกจากนั้นกรุงโรมยังเป็นที่ตั้งของนครรัฐวาติกันซึ่งเป็นดินแดนที่ประทับของพระสันตะปาปาแห่งศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกอีกด้วย

Latium (ลาเทียมในภาษาอังกฤษ) เป็นเขตที่มีประชากรและเศรษฐกิจเป็นอันดับที่ 2 ของอิตาลี (ซึ่งใกล้เคียงกับเขตCampania) มีพื้นที่ 17,236 ตารางกิโลเมตร ทางทิศเหนือมีพื้นที่ติดต่อกันเขต Tuscany, Umbria และMarche ทิศตะวันออกติดกับ Abruzzo และMolise ทิศใต้เป็น Campania และด้านทิศตะวันตกเป็นTyrrhenian Sea พื้นที่ส่วนใหญ่ของ Lazio (ลาซิโอ) จะเป็นที่ราบและเนินเขาเตี้ยๆ จะมีภูเขาขนาดเล็กอยู่บ้างทางด้านทิศตะวันออกและทิศใต้ของพื้นที่

ลาซิโอ เป็นภูมิภาคที่มี Rome และกรุงวาติกันศูนย์กลางของคริสต์จักรมาตั้งแต่ 2,000 กว่าปีก่อน อีกทั้งยังเป็นที่ที่ท่านจะได้ศึกษาประวัติศาสตร์ของผู้ที่เคยอยู่ในคาบสมุทรรูปรองเท้าบู๊ทแห่งนี้ นอกจากพวกโรมันก็คือพวกอีทรุสคันอีกด้วย

ลาซิโอทอดตัวอยู่ตามแนวชายฝั่ง Tirrenian อยู่ในบริเวณศูนย์กลางของอิตาลีซึ่งเป็นใจกลางของจักรวรรดิโรมันที่เป็นต้นกำเนิดของอารยธรรมตะวันตกอย่างแท้จริง ที่นี่จะหล่อหลอมให้ท่านกลายเป็นผู้สนใจศึกษาประวัติศาสตร์และศิลปวัฒนธรรมของอิตาลีไปโดยที่ท่านไม่รู้ตัว ทั้งๆ ที่เราอาจไม่ใช่คนที่ชอบอะไรแบบนั้นมาก่อน มันไม่มีข้อแก้ตัวใดๆ ทั้งสิ้น ถ้าท่านออกจากกรุงโรมมาโดยที่ไม่มีอะไรที่เกี่ยวกับโรมันถูกเก็บไว้ในสมองส่วนใดส่วนหนึ่งของท่านเลย

ถ้าเคยมาเที่ยวที่นี่บ่อยแล้วแบบผมหรือผู้ที่เคยมาโรมมากกว่า 2-3 ครั้งแล้ว ก็ต้องนี่เลยหากไม่ชอบอะไรเก่าๆ ซากปรักหักพังท่านก็สามารถออกไปเที่ยวดูน้ำพุที่ Tivoli ที่อยู่ห่างจากด้านทิศตะวันออกของ Rome ประมาณ 34 กิโลเมตร บ้านพักตากอากาศ Villa d’Este ของ Hadrian และสวนอิตาเลี่ยนที่เดินเล่นแล้วเพลิดเพลินใจและต้องทึ่งกับระบบส่งน้ำของโรมัน

City Break ROME Italty Lazio 2

ถ้าไปทางด้านทิศตะวันตกของ Rome สำหรับท่านที่ชอบเมืองโรมันโบราณที่น่าศึกษาไม่น้อยไปกว่าเมืองปอมเปย์ทางใต้ที่โดนภูเขาไฟถล่มใส่ ต้องไม่พลาดการไปเยือนเมือง Ostia Antica เมืองท่าโบราณสมัยโรมันห่างจากโรมไป 30 กิโลทางตะวันออกเฉียงเหนือมันคือเมืองปากแม่น้ำไตเบอร์ Ostia มาจากคำว่า os แปลว่าปากในภาษาลาติน ซึ่งก็คือปากแม่น้ำนั่นเอง และแม่น้ำ Tiber นี้ก็ไหลเข้าสู่ใจกลางโรม

City Break ROME Italty Lazio 1

มันเป็นเมืองเก่าโรมันที่มีความสมบูรณ์มากๆ คือมีการเก็บและดูแลรักษาอย่างดี วิธีไปก็ไม่ยากให้ไปขึ้นรถไฟที่สถานีรถไฟใต้ดินที่ชื่อ Piramide Metro ซึ่งจะติดกับสถานนี Ostiense แล้วก็ให้ขึ้นจากที่นี่ไปลง Ostia Antica
หรือถ้าชอบทะเลก็สามารถมุ่งไปเมืองตากอากาศที่ชื่อ Formia ทางตอนใต้ของลาซิโอ

City Break ROME Italty Lazio

แถวๆ นี้คุณจะได้ไปเดินเล่นบนถนนสายแรกๆ ที่สร้างโดยชาวโรมันซึ่งถือเป็นเส้นทางยุทธศาสตร์ที่เรียกว่า Appian Way (via Appia) ที่เชื่อมระหว่าง Rome กับ Capua แล้วต่อไปถึง Brindisi เมืองทางใต้ในเขตปูกลีญา ซึ่งจะทำให้เราทึ่งกับวิชั่นของชาวโรมันหรือผู้นำที่เรียกว่าซีซ่าร์ของพวกเขา การทำถนนการทำท่อส่งน้ำนั้นเป็นพื้นฐานของความเจริญที่วิศวกรโรมันมอบเป็นมรดกไว้ให้โลกใบนี้ นอกจากระบอบประชาธิปไตยซึ่งถ้าท่านสนับสนุนระบอบนี้ ก็ถ้าไปก็อย่าลืมแวะชมสุสานของ Cicero นักปราชญ์ ผู้นำทางความคิดและเป็นนักการเมืองชื่อดังที่โดนลอบสังหารในวันที่ 7 ธันวาคม ปีที่ 43 B.C.โดยศัตรูทางการเมืองที่ต้องการเป็นเผด็จการ ที่ผมชอบมากๆ ก็คือประเทศที่เจริญนั้นมักมีการบันทึกทุกอย่างไว้ชัดเจนว่าอะไรเกิดขึ้นเมื่อใด เพราะอะไร แม้แต่วันที่และเวลาเมื่อ 43ปีก่อนพระเยซูจะจากโลกนี้ไปมันมีการลงรายละเอียดขนาดนี้ได้น่าทึ่งครับ (สุสานอยู่ในย่านเดียวกันนี้) อีกบันทึกที่น่าสนใจก็คือผู้ปลดแอกพวกทาสชื่อดังที่ชื่อ Spartacus ก็ถูกจับตรึงกางเขน(crucified) บนถนนสายนี้ในปี 71 B.C.
ancient-rome- 1

ancient-rome 2

ancient-rome-skip-the-line-visit-to-rome-s-city-centre-and-tour-of-the-catacombs-and-the-appian-way

The Appian Way

นี่คือซูเปอร์ไฮเวย์แห่งแรกของยุโรปและถนนสายที่เก่าที่สุดในยุโรปที่ยังคงอยู่ในสภาพเดิมมากๆ ใช้เป็นทั้งเส้นทางการค้าและเส้นทางการรบ สร้างด้วยหินแผ่นเรียบที่ผ่านฤดูหนาวร้อนมากว่า 2,300 ครั้ง มันถูกการใช้งานโดยพ่อค้า, ประชาชน, ทหารโรมัน, จักรพรรดิจูเลียสซีซ่าร์ หรือแม้แต่นักบุญปิเอโดร (Saint Peter) เพราะมันสร้างมาตั้งแต่ปี 312B.C (ก่อนคริสตกาล)
การที่เราได้ไปเดินตามรอยเท้าของผู้สร้างอารยธรรมตะวันตก มันน่าจะเป็นประสบการณ์ที่ไม่เลวเลย ถนนเริ่มต้นจากโรมที่ Porta San Sebastiano ห่างจากโคลอสเซี่ยมไปแค่ 2 ไมล์ การไปเที่ยวมักจะไปในส่วน 10 ไมล์แรกเท่านั้นที่มีสภาพที่มีการดูแลและกำหนดให้เป็นเหมือนสวนสาธารณะชื่อ Parco dell’Appia Antica

ไปเที่ยว Civita di Bagnoregio เมืองสวรรค์

Civita di Bagnoregio 2

หรือท่านอาจต้องการไปเที่ยวที่เพื่อนๆ ของท่านไม่เคยไปต่อให้มาอิตาลีหลายครั้งแล้วก็ตาม นี่เลยครับขึ้นไปทางเหนือของกรุงโรมประมาณ 120 กิโลที่เมือง Bagnoregio และห่างไปอีกกิโลนึงท่านจะพบกับเมืองโบราณที่สร้างโดยชาว Etruscans กว่า 2,500 ปีมาแล้ว เมืองนี้ชื่อว่า Civita เมืองบ้านเกิดของนักบุญ Saint Bonaventure ตัวเมืองเหมือนส่วนหนึ่งของภูเขาและหน้าผา ที่บ่อยครั้งมันพังไปเพราะหินผุกร่อนหน้าผาถล่มไป มันเป็นตัวอย่างของการสร้างเมืองบนจุดยุทธศาสตร์แบบเมืองในยุคกลางทั่วไปที่ต้องทำให้โดนข้าศึกมารุกรานได้ยากที่สุด หากมาในช่วงหน้าหนาวหน่อยมันจะเป็นเหมือนเมืองที่อยู่บนสวรรค์ เมืองที่ลอยอยู่บนก้อนเมฆ เพราะมีทะเลหมอกจากรอบด้านนั่นเอง

Civita di Bagnoregio

Civita di Bagnoregio 1

หรือไปเที่ยวทางตอนใต้ของ Rome เป็นดินแดนแห่งภูเขาไฟที่เรียกว่า Albabi Colli Hills มีทะเลสาบที่เกิดจากปล่องภูเขาไฟ2 แห่งคือ Nemi กับ Albano ที่นี่อยู่ห่างจากโรมไม่ไกลมีทิวทัศน์ที่สวยงามและใช้เป็นที่พักผ่อนตากอากาศมาตั้งแต่สมัยโรมันพอมาถึงในยุคเรอเนสซองค์ที่เศรษฐกิจดีขึ้นมาบรรดาเศรษฐีมักมาสร้างVillaบ้านพักตากอากาศแบบที่หรูหราสไตล์ Barroc เพื่อการหลีกหนีจากความร้อนและความวุ่นวายของ Rome ซึ่งรวมถึงวังฤดูร้อนของพระสันตะปาปาด้วยที่ Castel Gandolfo

Castel Gandolfo Italy

พระราชวังฤดูร้อนของสันตะปาปาที่ Castel Gandolfo

และในบริเวณใกล้เคียงคือเมืองบนเนินเขา Frascati สถานที่ซึ่งท่านสามารถนั่งลงบนโต๊ะอาหารไม้แบบเก่าๆ นั่งสั่งบรูสเก็ตต้ากับไวน์ขาว Frascati ซึ่งถือเป็น Signature Wine ของท้องถิ่นมาลองแล้วมองวิวสวยๆ และชื่นชมกับคนรักของท่านที่ไปด้วยกัน (แม้ว่าเค้าอาจอารมณ์ไม่ดีเพราะอยากอยู่แถวบันไดสเปนเพื่อช็อปปิ้งมากกว่า)

Frascati Italy

ไวน์ของลาซิโอ
เขต Lazio (ลาซิโอกับ แคว้น Campania กัมปาเนีย) ทั้ง 2 แคว้นมีไวน์ที่มีชื่อเสียงแต่ว่ามีเพียงไม่กี่ตัวเพราะมีพื้นที่ปลูกองุ่นจำกัด เนื่องจากเป็นเขตอุตสาหกรรมของประเทศอิตาลีจึงเป็นเขตที่บริโภคไวน์มากกว่าที่จะเป็นผู้ผลิตไวน์ครับ

ประวัติการเพาะปลูกองุ่นเพื่อใช้ผลิตไวน์บริเวณรอบกรุงโรมมีมานานหลายพันปีแล้ว ไวน์ที่ผลิตย่านนี้ส่วนใหญ่จะเป็นไวน์ขาวไวน์ที่เป็นที่นิยมคือ Falernian และ Caecuban

ไวน์ Falernian เป็นไวน์ที่ผลิตจากองุ่นสายพันธุ์ Aglianico จากบริเวณเชิงเขา Falernus ทางทิศใต้ของแคว้นใกล้กับพรมแดนแคว้น Campania และเป็นที่รู้จักกันว่าเป็นแหล่งเพาะปลูกองุ่นเพื่อใช้ทำไวน์มาตั้งแต่ยุคโรมันโบราณ

ไวน์ Caecuban เป็นไวน์ที่รู้จักกันมาตั้งแต่ 70 ปีก่อนคริสตกาล ผลิตจากหมู่บ้านเล็กๆ ชื่อ Ager Caecubusในเมือง Amyclae

เมืองเล็กๆบริเวณชายฝั่งของแคว้นLatium (ลาเทียม) ปัจจุบันรู้จักกันในชื่อ Pontine Marshes

เป็นไวน์ขาวที่โด่งดังมาตั้งแต่ยุคกลางของยุโรปคือ Est! Est!! Est!!! (เอสต์ เอสต์ เอสต์)

เขตLatium (ลาเทียม) มีพื้นที่ปลูกองุ่นรวม 47.884 เฮกแตร์ (118,321 เอเคอร์) 84% เป็นไวน์ขาว และ16% เป็นไวน์แดง ในจำนวนนี้ 6.5% เป็นไวน์ชั้น DOC ประกอบด้วย ไวน์ชั้น DOC 25 ตัว เช่น Castelli Romani, Albani, Montecompatri-Colonna, Est! Est! Est! di Montefiascone และVelletri

องุ่นขาวสายพันธุ์หลักคือ Malvasia (มัลวาเซีย) และ Trebbiano (ทรีบเบียนโน) ส่วนองุ่นแดงมีสายพันธุ์ Cabenet Sauvignon (คาแบร์เนต์โซวีญยอง) Cabernet Franc (คาแบร์เนต์ ฟรอง) Merlot (แมร์โลต์) Cesanese, Syrah (ซีราห์) Petit Verdot (พิติ เวอร์ด็อท) Sangiovese (ซานโจเวเซ่) และ Montepulciano (มอนเตพูลเซียโน)

City Break ROME Italty Lazio Wine

อีกเมืองที่น่าสนใจในละแวกนี้ก็คือเมือง Nemi มันเป็น Hill Town แบบในทัคานี(ถ้าท่านไม่มีเวลาไปที่นั่น) ชื่อเดียวกับทะเลสาบ เนมี่ Nemi ซึ่งเป็นทะเลสาบที่เกิดจากปล่องภูเขาไฟที่นี่มีคุณค่าด้านโบราณวัตถุ เพราะมีการขุดค้นพบของโบราณยุคโรมันหลายๆ อย่าง เช่น เรือสำราญหรูของ Emperor Caligula จักรพรรดิที่ได้ชื่อว่าเป็นเพลย์บอยชอบจัดงานเลี้ยงโดยมีสาวงามเสิร์ฟในชุดวันเกิด เรือถูกขุดพบในปี 1929 มันทำด้วยไม้กระจกและโมเสคที่ประดับประดาอย่างดี แต่ในสมัยที่เก็บไว้ที่พิพิธภัณฑ์Museo delle Navi Romani มันถูกไฟไหม้ทำลายไปในปี 1944 ปัจจุบันเลยมีแค่เป็นตัวที่จำลองมาและยังมีที่บูชาเทพแห่งการล่าคือ Diana, the goddess of hunt เมืองนี้ในสมัยก่อนมาได้โดยถนนโรมันที่ชื่อ Via Sacraที่ตัดตรงออกมาจากใจกลางโรมที่บริเวณ Roman forum

Wild Berry Festival Italy

Berry Tarte Wild Berry Festival Italy

และหากมาที่นี่ในช่วงหน้าร้อนห้ามพลาดเทศกาลสตรอว์เบอรี่ป่า Wild Berry ซึ่งมีชื่อเสียงท่านสามารถสั่ง Berry Tarte ทานได้จากร้านขนมเกือบทุกแห่งในเมืองนี้

Montefiascone, Lazio มอนเตเฟียสคอนเน่

City Break ROME Italty Montefiascone-agodibolsena 1

วิว Lake Bolsena จากเมือง Montefiascone

เมืองทะเลสาบอีกเมืองที่คุ้มค่าการไปเยือนก็คือมอนเตเฟียสโคเน่ Montefiascone เมือง hill town สูงจากระดับน้ำทะเลถึง 2,000 ฟุต หันหน้าเข้าสู่ทะเลสาบโบลเซนา Bolsena โอบล้อมด้วยภูเขา และยังมีไวน์ขาวดังของเมืองชื่อ Est!Est!Est!

Est-Est-Est-Montefiascone-Wine 1

Est-Est-Est-Montefiascone-Wine-Map

เมืองนี้เกิดในสมัยโรมันอยู่บนถนนสายที่ชื่อ Via Cassia มันโบราณเป็นถนนจากโรมไปฝรั่งเศสซึ่งผ่าน Montefiascone เป็นเมืองที่ Pope Leo X ทรงโปรดสำหรับการมาพักผ่อน

Cathedral of St. Margherita Italy

มาที่นี่ต้องมาชมโบสถ์ Cathedral of St. Margheritaที่มีโดมขนาดใหญ่เป็นอันดับ 3 ของอิตาลี เป็นรองแค่ St. Peter’s และDuomo ของเมือง Florence เท่านั้น

City Break Rome Part VI

เบรกเที่ยวในโรม…เที่ยวโรมแบบผู้ที่ยังใหม่กับโรม (ต่อ)
โดย Paul Sansopone

 
3.ไปเช่าvespaขี่เข้าฉากหนังโรแมนติกดังของโรม ย่าน Centro Storico (เชนโตร สตอริโก)

City Break ROME Italy Vespa Tour 2

ถึงแม้ว่าฉายาแบบเป็นทางการของโรมคือ Eternal City แต่อีกฉายานึง (แบบไม่เป็นทางการ) ก็คือ Romantic City เพราะคำว่า Romantic มันตั้งต้น 4 ตัวอักษรแรกว่า Roma ซึ่งก็คือกรุงโรมนั่นเอง แต่ถ้าจะเอาให้ถูกต้องคำนี้มาจากภาษาละตินว่า romant, หมายถึง ‘in the Roman manner’ ซึ่ง Roman ก็คือชาวกรุงโรมครับ จะเกี่ยวหรือไม่เกี่ยวก็ไม่รู้แต่ในบรรดาหนังรักโรแมนติกทั้งหลายทั้งเก่าใหม่ก็มักใช้Locationถ่ายทำที่นี่ เป็นการยืนยันว่ามันคือเมืองแห่งความรัก หนังโรแมนติกที่ถ่ายทำในโรมที่ผมชอบก็มี ‘Only you’ นำโดย Robert Downey Jr., ‘EAT, PRAY, LOVE’ นำโดย Julia Roberts และTo Rome with Love ของ Woody Allen, The man from U.N.C.L.E และอื่นๆ แต่มันคงไม่มีเรื่องไหนจะสุด Classic เท่ากับข้างล่างนี่เลย

Roman Holiday

Roman Holiday หนังปี 1953 เป็นAmerican romantic comedy เป็นเรื่องการเดินทางของเจ้าหญิงแอนน์ (Audrey Hepburn) ที่เสด็จมาโรมเรื่องงานหลวง แต่แอบหนีออกมาเที่ยวโรมตอนกลางคืน เหน็ดเหนื่อยจนหลับไปที่ม้านั่งในสวนสาธารณะ แล้วพระเอกนักข่าว Joe Bradley (Gregory Peck) ก็พาสาวหลงทางคนนี้กลับอพาร์ทเมนต์ตัวเอง และมารู้ตอนเช้าว่าเธอคือเจ้าหญิงแอนน์ และเรื่องราวก็ดำเนินไปอย่างสนุก เรื่องนี้เป็นหนังอเมริกันเรื่องแรกที่ Audrey Hepburn แสดงและสามารถคว้ารางวัลนักแสดงหญิงยอดเยี่ยมไปได้Academy Award for Best Actress รวมทั้งเครื่องแต่งกายยอดเยี่ยม Costume Design ที่น่าสนใจคือหนังเรื่องนี้ตั้งใจจะสร้างเป็นหนังสีแต่ค่าถ่ายทำในโรมแพงเกินงบจึงตัดสินใจออกมาเป็นหนังขาวดำ
และเนื่องจากโปสเตอร์แผ่นปิดของหนังเรื่องนี้จะมีเอกลักษณ์คือเป็นรูปพระเอกขี่เวสป้าพานางเอกเที่ยวไปในโรมก็คงต้องพูดถึงเจ้าพาหนะคู่ใจหนุ่มสาวอิตาเลี่ยนสมัยหลังสงครามที่ชื่อเวสป้านี่ซะหน่อย

เวสป้า

City Break ROME Italy Vespa Tour 1

คุณรู้หรือไม่?

Vespas คือรถscooterที่เปรียบเหมือนคนอิตาเลี่ยน คือมักจะส่งเสียงดังแบบไม่เกรงใจ รักสนุกไม่ค่อยเป็นงานเป็นการนัก บางครั้งก็ไว้ใจไม่ค่อยได้แถมยังเจ้าอารมณ์ แต่มีสไตล์ได้แบบง่ายๆ นี่คือความผสมผสานคุณสมบัติของรถscooter ที่ผลิตที่เมืองปอนเตเดราของอิตาลี มันมีเครื่องที่เสียงดังหนวกหู บางครั้งก็ไว้ใจไม่ค่อยได้ อยากจะดับก็ดับแต่ใช้งานง่าย มีสไตล์เท่ และสีสันสดใส ไม่น่าเชื่อว่าในปัจจุบันผู้คนต่างใฝ่หารถเวสป้าเก่าๆรุ่นคลาสสิกเช่นรุ่นปี 1952 Vespa U model หรือรุ่นปี 1946 Vespa 98 มาเป็นของสะสมปัจจุบันราคามากกว่า $40,000แล้ว

ไม่ว่าในหนังอิตาเลี่ยนขาวดำเก่าๆ เช่น La Dolce Vita หรือหนัง Hollywood เรื่อง Roman Holiday ที่พระเอกเกอเกรี่เปค ใส่สูทเซ็นญ่าแบบสุดเท่ขี่เวสป้าฉวัดเฉวียนพาออเดรย์ เฮปเบิร์นเที่ยวไปในกรุงโรม หรือจากหนังวัยรุ่นของอิตาลีที่มักจะมีฉากหนุ่มใส่ยีนส์ผมมันเยิ้มใส่เสื้อผ้าสำลี เคี้ยวหมากฝรั่งกำลังจอดเวสป้าสีเขียวturquoise เพื่อแวะดื่มเอสเพรสโซ่โดยที่ไม่ยอมถอดแว่นเรย์แบนออก คุณคงพอจะเดาได้ว่าเวสป้านั้นมันดังและคลาสิกขนาดไหน

City Break ROME Italy ROMAN-HOLIDAY

จนถึงวันนี้บริษัท Piaggioได้ผลิตเวสป้าสกูตเตอร์ออกมาแล้วกว่า 16 ล้านคันโดยมีโรงงานอยู่ในสิบสามประเทศและทำตลาดขายทั่วโลก ครั้งแรกที่ Enrico Piaggio ได้เห็นต้นแบบที่ออกแบบ โดย Corradino D’Ascanio วิศวกรอากาศยานที่เก่งคนหนึ่งเขาบอกว่า “มันดูเหมือนตัวต่อ!” เพราะก้นจะป่องเอวคอด และมันชอบบินโฉบไปโฉบมา ก็เลยเป็นที่มาของชื่อคำว่าเวสป้าในภาษาอิตาเลี่ยนมันก็แปลตรงๆว่าตัวต่อนั่นแหละ หลังจากนั้นภายในไม่กี่เดือนการร่วมทุนใหม่ของ Piaggio ก็เกิดขึ้นและเวสป้าก็เข้าสู่สายพานการผลิตในปี 1946 ภาษาอิตาลีถึงกับมีคำกริยาใหม่ vespare แปลว่าไปที่แห่งหนึ่งด้วยเวสป้า

เวสป้าของ D’Ascanio มีเสน่ห์ มันราคาถูก และดูน่าเชื่อถือ ผู้หญิงก็สามารถขี่มันได้แม้จะใส่กระโปรงแถมมีที่วางเท้าแบบfloorboard และแผงบังลมด้านหน้ากันลมตีอีกด้วย เครื่องยนต์ก็ซ่อนเอาไว้ในตัวถังแบบunibody เหล็กขึ้นรูปซึ่งรวม cowling ที่สมบูรณ์แบบซึ่งทำให้เสื้อผ้าไม่ไปเปื้อนคราบน้ำมันที่ติดอยู่แถวเครื่อง แถมมีที่เก็บของที่ซุกอยู่ใต้เบาะที่นั่ง และมีล้อขนาดเล็กไม่ต้องกลัวขากางเกงหรือแหย่เข้าไปในซี่ลวดล้อที่อาจเกิดอุบัติเหตุสยอง เขาออกแบบได้ฉลาดและคิดเสมอว่าคนที่จะขี่นั้นต้องแต่งตัวใส่เสื้อผ้าเก๋ๆอิตาเลี่ยนสไตล์

ยิ่งกว่านี้เวสป้า ซึ่งมีเสียงเครื่องครางฮึ่งๆ เหมือนตัวต่อเช่นกัน เป็นอะไรที่สนุก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอิตาลียุคหลังสงครามที่ต้องพยายามฟื้นตัวจากซากระเบิดของฝ่ายพันธมิตร ต้องการอะไรที่ประหยัดราคาไม่แพง แต่ในขณะเดียวกันก็อยากให้คนเลิกหดหู่หันมาหาความบันเทิงแต่ใช้จ่ายน้อย เวสป้าเป็นรถที่ใช้เครื่องความจุไม่ถึง100 cc ประหยัดและสนุกแน่ๆ ตอบโจทย์เลย
ผู้หญิงแน่นอนรักเวสป้า เพราะในสมัยนั้นจะใส่กระโปงไปคร่อมขี่มอเตอร์ไซด์ได้ไง ไม่ว่าจะผ่านมากี่ปี ไม่ว่าบริษัทของญี่ปุ่นหรือเยอรมันการผลิตรถแบบscooterออกมาเพื่อแข่งกับ Vespa แต่มันก็ยังไม่สามารถสู้ความคลาสสิกดั้งเดิมของรถScooterจากอิตาลีได้

 

Vespa-946d

Vespa 946

ในปีนี้ Piaggio เปิดตัวรุ่น 946 สกูตเตอร์ที่ทำออกมาได้อย่างสวยงาม นำเอาต้นแบบเดิมของ D’Ascanio กลับมาแต่ปรับให้มันอยู่ในสมัยคล้าย Fiat 500 ยุคใหม่นั่นแหละ ตัวนี้มีกำลังม้ามากกว่าตัวปี 46 ถึง 4 เท่า มีเบรก ABS และดูทนทานมากขึ้น การโฆษณาก็ใช้หญิงสาวๆ มีเสน่ห์เก๋ไก๋ขี่ scootering ทั่วกรุงโรมมุกเดิมนั่นแหละแต่มีความแตกต่างระหว่างพวกเขา และเจ้าหญิง Audrey Hepburn ของหกสิบปีที่ผ่านมา ก็คือพวกเขาดูเอาการเอางานคือกำลังขี่ไปทำงาน ไม่ได้อยู่ในช่วงเที่ยวโรมันวันหยุดแน่นอน แต่ที่แน่ๆ การออกแบบเวสป้านั้นประสบความสำเร็จ เพราะมันสะท้อนความมีเสน่ห์ของประเทศอิตาลีและรูปแบบการใช้ชีวิตของชาวอิตาเลี่ยน

แล้วในหนังเขาขี่ไปเที่ยวไหนกัน มันก็ต้องย่านใจกลางกรุงโรมที่เรียกว่า Centro Storico(เชนโตร สตอริโก) ไงครับ มันมีสถานที่ท่องเที่ยวที่เป็น a must สำหรับผู้ที่ไม่เคยมากรุงโรมที่อย่างน้อยควรไปแวะสัมผัสให้ได้ ที่จุดอื่นๆ ใช้นั่งรถผ่านชมเฉยๆ ได้ ที่ผมจั่วหัวให้เช่าvespaขี่เที่ยวในย่านนี้ เพราะมันเข้าบรรยากาศและเหมาะกับเมืองอย่างโรมมาก ท่านสามารถกูเกิ้ลประโยคนี้ “vespa rental in Rome for tourist”จะมีlistของบรรดาร้านให้เช่าหรือที่จัดเป็นแบบทัวร์(vespa tour)แบบขี่ตามไกด์ผู้นำทางไปก็สนุกดีแต่ถ้าไม่อยากขี่หรือขี่ไม่เป็น สถานที่ท่องเที่ยวสุดโรแมติกทั้ง 4 ที่ผมกำลังแนะนำนี้ ใช้เดินเอาได้เลยครับมันเดินถึงกันง่ายๆ ห่างกันจุดละ 15-20 นาทีสบายๆ

 

จุดที่ 1 The Trevi:

City Break ROME Italy vespa-infront-of-fountain-rome 1

Pic.credit italy4real.com

น้ำพุแห่งนี้เชื่อว่าถูกสร้างในสมัยโรมัน ในจุดที่ท่อส่งลำเลียงน้ำที่ชื่อ Aqua Virgo Aqueduct ในปี 19 B.C.มาสิ้นสุดที่โรม ที่ชื่อ Aqua Virgo หรือ Virgin Waters ก็เพราะเป็นเกียรติให้กับหญิงสาวบริสุทธิ์คนที่เป็นผู้นำทางทหารโรมันไปพบจุดที่เป็น ‘ตาน้ำ’ หรือต้นกำเนิดน้ำแร่บริสุทธิ์ห่างกรุงโรมออกไป 22 ไมล์ ทำให้จักรพรรดิสั่งให้ทำท่อลำเลียงน้ำจากตรงนั้นเข้ามายังใจกลางโรม เพื่อใช้สำหรับการอาบน้ำแร่แบบ tradition roman bath และดื่ม ทีนี้จุดที่มาสิ้นสุดในโรมนั้นมันมีถนน 3 สายมาตัดกัน ในสมัยนั้นก็เลยเป็นที่มาของชื่อเตร tre แปลว่า 3 vie แปลว่าถนนในภาษาลาติน (ในภาษาอิตาเลียนคือ Via) แต่งานที่ท่านเห็นในปัจจุบันเป็นงานที่สันตะปาปา Pope Clemens XII สั่งให้สร้างนำพุที่สวยงามทับลงในจุดนี้ในปี 1730 และผู้ชนะการประกวดแบบคือ Nicola Salvi ชาวกรุงโรม ทั้งที่จริงแล้วผู้ชนะที่แท้จริงคือ Alessandro Galileo สถาปนิกที่มีสกุลเดียวกับนักดาราศาสตร์ชื่อดังคือ Galileo แต่แพ้ไปเพราะเขาเป็นชาวเมืองฟลอเรนซ์ไม่ใช่โรมและราคา project ก็สูงกว่าของ Salvi ที่เจาะจงใช้หิน travertine stone จากแม่น้ำ Tiber แบบเดียวกับที่ใช้สร้างสนามประลอง Colosseum มันเป็นน้ำพุที่ใหญ่ที่สุดในโรมสูง 85 feet กว้าง 65 feet

แต่ที่น่าสนใจคือมันมีตำนานความเชื่อเรื่องการโยนเหรียญไว้ที่นี่ แต่ต้องโยนให้ถูกวิธีคือต้องหันหลังให้บ่อและโยนข้ามไหล่ซ้ายด้วยมือขวาแล้วอธิษฐานจะได้กลับมาที่นี่อีก จริงๆ แล้วมันเป็นประเพณีของทหารโรมันโบราณ ที่ก่อนออกรบนั้นถือเคล็ดว่าต้องโยนเหรียญทิ้งไว้ในบ่อน้ำแถวบ้าน เพื่อจะได้กลับมาบ้านอีก คือให้รอดตายจากการรบนั่นเอง เรื่องจะจริงหรือไม่ก็ไม่รู้ รู้แต่ว่าในแต่ละวันมีนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกมาโยนเหรียญไว้ที่นี่มีมูลค่าวันละเฉลี่ยถึง €3,000 ซึ่งเค้าก็นำไปเข้าโครงการการกุศล Caritas เพื่อช่วยเหลือเรื่องอาหารคนจน นั่นหมายความว่าทุกคนที่ไปโยนเหรียญไว้ที่นี่ได้ทำบุญไปในตัว

 

จุดที่ 2 Spanish Step

D3S_3994.dng

ฉากพระเอกขี่เวสป้าที่บันไดสเปนจากภาพยนต์เรื่อง The man from U.N.C.L.E
มีบันไดสวยๆ ขึ้นชื่ออยู่หลายแห่งทั่วโลก เช่น Potemkin Stairs ใน Odessa ประเทศ Ukraine หรือ Escadaria Selaron ที่ Rio de Janiero ประเทศ Brazil แต่จะมีที่ไหนจะสู้ความโรแมนติกของ ‘บันไดสเปน’ ได้ แม้ว่าผลงานทางสถาปัตยกรรมที่เป็นบันได138 ขั้นนี้ โดย Francesco de Sanctis และ Alessandro Specchi นี้จะดูเป็นของใหม่เมื่อเทียบกับสิ่งก่อสร้างส่วนใหญ่ในโรม แต่มันก็สร้างมาตั้งแต่ปี 1717 ก่อนจะมีประเทศสหรัฐอเมริกา(1776) จริงๆ แล้วมันถูกออกแบบให้เป็นทางลัดเดินขึ้นไปที่โบสถ์ Trinita dei Monti ที่อยู่บนเนินเขาด้านบน ในแง่การออกแบบถ้ามองจากบนอากาศลงมามันจะถูกออกแบบเป็นทรงแบบแจกันหรือบางคนบอกว่าเหมือนสร้อยคอแบบอียิปต์

City Break ROME Italy Spanish Step

นอกจากด้านบนของบันไดจะเป็นโบสถ์ จัตุรัสด้านล่างที่ชื่อ Piazza di Spagna ก่อนขึ้นบันไดยังมีน้ำพุที่เป็นผลงานเอกของ Pietro Bernini คุณพ่อของลูกอัจฉริยะแห่งศิลปะบาโรค Gian Lorenzo Bernini ที่มีผลงานอยู่ทั่วโรมถือเป็นอภิชาตบุตรโดยแท้ สำหรับน้ำพุที่คุณพ่อสร้างนั้นมีชื่อว่า Barcaccia Fountain มีรูปร่างเป็นเหมือนเรือเกยตื้น ทั้งนี้เพราะในปีคศ.1598 นั้น มีเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ แม่น้ำไตเบอร์ที่ไหลผ่ากลางกรุงโรมมีน้ำเอ่อล้นพาเรือลำหนึ่งขึ้นมาถึงจัตุรัสสเปน แต่พอน้ำลงไปเรือไม่ลงไปด้วยเกยตื้นอยู่กลางจัตุรัสนั่นเอง ทำให้พ่อของแบรนีนี่ใช้จินตนาการจากตรงนั้นทำรูปร่างน้ำพุแห่งนี้ให้เหมือนมีเรือจอดอยู่ ปัจจุบันสถานที่แห่งนี้คือจุดนัดพบที่ยอดเยี่ยมเราสามารถนั่งพักเหนื่อยตามขั้นบันได People Watching นักท่องเที่ยวจากทั่วโลกที่ต่างมาชื่นชมจัตุรัสแห่งนี้ ซึ่งเรียกว่าจัตุรัสสเปนก็เพราะว่ามันเคยมีสถานทูตสเปนตั่งอยู่ที่นี่ แต่โดยรวมมันก็ให้บรรยากาศแบบสเปนพอสมควรทีเดียว โดยเฉพาะในช่วงดวงอาทิตย์กำลังลับขอบฟ้า

 

จุดที่ 3 The Pantheon

ที่มาของชื่อ ‘อมตะนคร’ฉายาของกรุงโรม ก็มาจากความเชื่อของชาวโรมันที่ว่า…ไม่ว่าโลกเราจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรหรือจักรวรรดิโรมันจะล่มสลายไปกี่ครั้ง กรุงโรมก็จะยังคงอยู่ต่อไป…ตอนนี้เวลาก็ผ่านมาเกือบ 3000 ปีแล้ว โรมก็ไม่ได้บุบสลายไปสักเท่าไร และสิ่งก่อสร้างที่พิสูจน์ความอยู่ยงคงกระพันในโรมที่ผมอยากให้ไปชมคือที่นี่ครับ วิหารปันเตออน

City Break ROME Italy Pantheon-Rome-jpg

ชื่อ “Pantheon” มาจากภาษากรีกแปลว่าเทพเจ้าทุกองค์ “all the gods” ซึ่งแสดงให้เห็นว่าที่นี่เป็นวัดของpagan (พวกนับถือทวยเทพหรือลัทธิที่แตกต่างจากศาสนา) และที่ต้องบอกว่าเป็นของเทพเจ้าทุกองค์ เพราะตามปกติแต่ละวัดจะเป็นการสร้างเพื่อบูชาเทพเจ้าองค์ใดองค์หนึ่ง เช่น วัดอพอลโล เป็นต้น อย่างไรก็ตามที่นี่ถูกเปลี่ยนมาเป็นวัดของศาสนาคริสต์ในช่วงศตวรรษที่ 7 หลังจากโรมได้กำหนดให้ศาสนาคริสต์เป็นศาสนาประจำชาติ โดย จักรพรรดิ Constantine จนทุกวันนี้ก็ยังเปิดเป็นโบสถ์คริสต์ให้ประชาชนเข้าฟังสวดวันอาทิตย์ตามปกติ

ที่นี่เป็นโบสถ์อนุสรณ์ของนักบุญและถือเป็นสิ่งก่อสร้างโรมันที่คงกระพัน(พันปี)ที่สุดอยู่มานานกว่า 1,400 ปี แต่ที่เราเห็นนั้นเป็นversionที่ 3แล้ว วัดแรกสร้างเมื่อปี 27 B.C.แต่ไฟไหม้วอดไป วัดversionที่ 2 สร้างเมื่อปีที่1B.C.แล้วก็พังไปเช่นกัน ในปี 125AD จึงสร้างในversionปัจจุบันที่เราเห็นมีภาษาละตินเขียนอยู่ที่ด้านหน้าอ่านว่า“M•AGRIPPA•L•F•COS•TERTIVM•FECIT,” แปลเป็นอังกฤษได้ว่า “Marcus Agrippa, son of Lucius, consul for the third time, built this.” หมายถึงการให้เกียรติ Agrippa ผู้สร้างในversionที่1 แม้จะไม่ได้สร้างในversionปัจจุบัน

ส่วนโดมก็ถือว่าโดมแบบคอนกรีตไม่เสริมโครงที่ใหญ่ที่สุดในโลก ความสำคัญอีกอย่างก็คือเป็นที่ฝังศพจิตรกรที่สร้างคุณประโยชน์สร้างสรรค์งานศิลปะให้กับโรมอย่างมาก นั่นคือ Renaissance Painter ที่ชื่อ Raphael นั่นเอง และข้างๆ เขาก็คือศพของคู่หมั้นในชีวิตจริงของเขาที่ชื่อ Maria Bibbiena เธอเป็นหลานของบาทหลวงราชาคณะที่มีอำนาจแต่เป็นเรื่องเศร้าเพราะหมั้นกันไว้ในปี1514 แต่ Raphael ขอเลื่อนการแต่งงานไป 6 ปี และตัวเองก็ไปพบรักกับสาวลูกเจ้าของร้านขนมปัง ครั้นพอจะกลับมาแต่งงานคู่หมั้นคือMariaก็ตายไปซะก่อน และ Raphael ก็ตายตามไปเมื่ออายุเพียงแค่ 37 ปี

 

จุดที่4 Piazza Navona
จัตุรัสแห่งนี้ทำหน้าที่เหมือนเป็นสถานที่โชว์สถาปัตยกรรมแบบบาโรค( Baroque Architecture) ซึ่งชาวโรมต้องขอขอบคุณสันตะปาปาอินโนเชนที่10 ในช่วงกลางศตวรรษที่ 17 ได้ริเริ่มโครงการนี้ขึ้นมาโดยว่าจ้างBernini ปรมาจารย์ของศิลปะแบบบาโรค รวมทั้ง Borromini และ Rainaldi เพื่อจัดการจัตุรัสแห่งนี้ให้กลายเป็น Showcase of Rome ซึ่งมีน้อยคนนักจะที่ไม่ตกหลุมรักสถานที่แห่งนี้

City Break ROME Italy Vespa Tour

Rainaldi สร้าง Palazzo Pamphilj หรือบ้านให้กับPope ที่นี่ในสมัยที่โรมยังเป็น Papal state แต่ปัจจุบันมันเป็นสถานทูตบราซิลไปแล้ว แต่อาคารที่โดดเด่นที่สุดบนจัตุรัสนี้กลับเป็นวิหารนักบุญแอ็กเนส (Church of Sant’Agnese in Agone) ซึ่งเสียชีวิต ณ ที่นี่ ถือเป็นวิหารมีชื่อของโรม โดดเด่นเรื่องโดม และมีภาพฝาผนัง Ciro Ferri และ Sebastiano Corbellini) ว่ากันว่าหีบเก็บเครื่องประดับตรงแท่นบูชานั้นมีกระโหลกของนักบุญเอกเนสถูกเก็บไว้ในนั้น

City Break ROME Italy Piazza Navona

ศูนย์กลางของจัตุรัสก็คือเสาโอเบลิสก์ของโดมิเชี่ยน (Obelisk of Domitian ) รอบๆ เสาจะเป็นน้ำพุแห่งสี่มหานที (Fountain of the Four Rivers) ซึ่งแต่ละมุมจะมีรูปปั้นซึ่งเป็นตัวแทนแม่น้ำใหญ่จาก 4 ทวีป ได้แก่ คงคา ดานูป ไนล์ และ พลาต้า (Rio de la Plata ในทวีปอเมริกาใต้

แต่อีก 2 มุมก็ยังมีน้ำพุ Fontana del Moro โดยฝีมือของ Giacomo Della Porta ที่โดดเด่นด้วยการใช้วัสดุหินอ่อนสีดอกกุหลาบ และก็ยังมีน้ำพุของเทพแห่งทะเลเนปจูน Fontana del Nettuno ที่คุณพ่อของ Bernini มาช่วยทำอยู่อีกมุมหนึ่ง
ไม่น่าเชื่อว่าจัตุรัสแห่งนี้เคยเป็นสนามแข่งรถม้าแบบChariot Race ในหนังเรื่อง Ben-Hur (แต่จะมี Circus Maximusที่เป็นสนามที่ใหญ่กว่า) กีฬาสุดฮิตในยุคนั้น ถ้ามองจากด้านบนจะเห็นรูปร่างของสนามกีฬาโรมันโบราณชัดเจน สร้างในคริสต์ศตวรรษที่ 1 มีชื่อว่า Stadium of Domitian จักรพรรดิผู้สั่งสร้าง ซึ่งชาวโรมันจะเดินทางมาที่นี่เพื่อชม agones ที่หมายถึงกีฬา โดยในสมัยนั้นสถานที่แห่งนี้รู้จักในชื่อว่า ‘Circus Agonalis’ (สนามกีฬา) เชื่อกันว่าชื่อของจัตุรัสนี้มาจากการเรียกชื่อสถานที่เพี้ยนจาก ‘in agone’ เป็น ‘navone’ จนกระทั่งกลายมาเป็น ‘navona’ ในที่สุด

City Break ROME Italy Tre Scalini

แต่ที่นี่มันไม่ใช่จัตุรัสที่สวยงามแต่เพียงอย่างเดียว มันยังมีชีวิตชีวาที่สุดในกรุงโรมอีกต่างหาก ตอนกลางวันก็จะเต็มไปด้วยศิลปินจิตรกรที่นำผลงานมาขาย และร้านอาหารหรือคาเฟ่รอบๆจัตุรัสก็จะเต็มไปด้วยผู้คน ถ้าคุณอยากจะลิ้มรสชาติของจัตุรัสนี้อยากให้แวะทาน espresso และ tartufo ขนมทรงกลมแบบเห็ดทรุฟเฟิลทานคู่กับwhip creamที่ร้านต้นตำรับที่ชื่อ Tre Scalini เตร สกาลินี่ แปลว่า บันได 3 ขั้น (The Three steps) มันเปิดมาตั้งแต่ปี 1946 ใครๆ ก็มาทาน tartufo ที่นี่ ไม่ว่าจะเป็นระดับsecretary of states ของอเมริกาหรือดาราดังๆ ของฮอลลีวูด “Tartufo Tre Scalini”.มันคือของหวานชื่อดังของโรมที่ทำขึ้นมาโดยตะกูล Ciampini เจ้าของร้านที่นำเอาช็อกโกแลตสวิสถึง 13 รสมาปรุงและยังเป็นสูตรลับมาจนถึงทุกวันนี้ ยังไม่มีใครเลียนแบบได้เหมือน ต้องไปลองนะครับ

City Break ROME Italy Tartufo Tre Scalini