City Break Rome Part II

เราคงเคยได้ยินคำพูดที่ว่า Rome wasn’t built in a day ซึ่งเป็นการเปรียบเปรยว่า …คุณอย่าคาดหวังว่าจะทำงานใหญ่หรืองานสำคัญให้สำเร็จได้ในเวลาอันสั้น… เช่นเดียวกับการเที่ยวในโรม ถ้าจะให้ได้สาระเป็นเรื่องเป็นราวนั้นอย่าหวังว่าจะใช้เวลาวันเดียวเลย ดังนั้นผมจึงต้องขอแบ่งเรื่องเที่ยวโรมออกเป็น 3 หัวข้อ แต่คงจะมีมากกว่า 3 ตอนแน่ๆ เพราะในบางสถานที่จะมีรายละเอียดมากหน่อย
1.เที่ยวโรมแบบผู้ที่ยังใหม่กับโรม
2.เที่ยวโรมแบบผู้ชำนาญโรมแล้ว
3.เที่ยวแบบ Day Trip นอกกรุงโรม

เบรกเที่ยวในโรม…เที่ยวโรมแบบผู้ที่ยังใหม่กับโรม (ตอนที่ 1)
หากคุณเป็นแฟนรายการ TV ทื่ชื่อ ‘Family Feud’ ที่ดำเนินรายการโดย Steve Harvey โดยนำ 2 ครอบครัวมาแข่งตอบคำถามที่มีการทำsurveyคำตอบมาแล้วว่าถ้าถามคำถามแบบนี้แล้ว ใน100 คน จะตอบว่าอะไร คำตอบไหนที่คนตอบเหมือนกันเยอะที่สุดก็จะได้คะแนนสูงสุด เช่น ถามว่า “หากคุณได้มีโอกาสมาที่โรมคุณอยากไปที่ไหนมากที่สุด?” ผมว่าคนส่วนใหญ่น่าจะตอบตรงกับสถานที่ดังกล่าวข้างล่างนี้ เช่น กรุงวาติกัน, คอลอสเซี่ยม, น้ำพุเตรวี่ เอาเป็นว่าถ้าคุณยังใหม่กับโรม ผมแนะนำว่าคุณไม่ควรพลาดกิจกรรมที่ผมนำเสนอต่อไปนี้

 

1.ไปฟังโป๊ปเทศน์ที่จัตุรัส St.Peterในกรุงวาติกัน
พร้อมๆ กับเหล่าบรรดาคริสต์ศาสนิกชนจากทั่วโลกที่มีจิตศรัทธาขวนขวายหาโอกาสครั้งหนึ่งในชีวิต เพื่อเดินทางมาที่ลานหน้าวิหารแห่งนี้ในวันพุธ ตอน 11:00 น. ของทุกสัปดาห์ หากท่านสันตะปาปาไม่ติดภารกิจใดๆ ก็จะเทศน์ออกไมค์ให้ประชาชนที่มีจิตศรัทธาได้ฟัง (ยกเว้นช่วงเดือนกรกฎาคมและสิงหาคม ที่ท่านจะประทับอยู่นอกกรุงวาติกัน เป็นพระราชวังฤดูร้อนที่ชื่อ Castel Gandolfo ซึ่งท่านก็จะเทศน์ทุกวันพุธที่นั่นเช่นกัน) และหลังพิธีสวดในวันอาทิตย์ที่ท่านว่างก็อาจลงมาประทานพรให้กับฝูงชนที่ลานหน้าวิหาร หรือที่เรียกให้ถูกต้องก็คือ Piazza San Pietro เป็นลานมหาชนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลกโดยฝีมือของ แบร์นินี่ (Gian Lorenzo Bernini)
 

Vatican City Rome Italy

สร้างในปีค.ศ. 1656-67 หากมองจากด้านบนจะเห็นเหมือนรูปรูกุญแจขนาดใหญ่ที่จะไขปัญหาต่างๆ ของผู้มีจิตศรัทธา ที่บริเวณขอบรอบๆ ของลานจะมีระเบียงทางเดิน(colonnades)เข้าสู่วิหาร โดยระเบียงทางเดินนั้นจะมีเสาแบบ Doric 248 ต้นพยุงหลังคาที่มีรูปปั้นนักบุญทั้งหมด 140 องค์ยืนอยู่ด้านบนคอยประทานพรให้ระหว่างการเดินเข้าสู่วิหารจากทั้ง 2 ด้าน รูปปั้นนักบุญทั้งหมดนี้มีความสูงเฉลี่ยเท่ากันที่ 3.10 เมตรและใช้เวลากว่า 40 ปีในการทำสำเร็จครบทั้งหมด

 

St Peters Square Rome Italy 2

ถ้าดูจากด้านบนแบร์นีนี่ตั้งใจจะให้เป็นเหมือนแขนที่ยื่นออกไปโอบต้อนรับผู้มีจิตศรัทธาเข้าสู่วิหารแห่งนี้ (ดูรูปด้านบนที่ถ่ายจากมุมสูงประกอบ)ในขณะที่ตรงกลางลานนั้นเป็นเสาหิน Obelisk หนัก 35 ตัน สูง 25 เมตร จากเมือง Heliopolis ในอียิปต์ที่ขนมาเมื่อครั้งอียิปต์เป็นเมืองขึ้นของจักรวรรดิโรมัน และเนื่องจากสถานที่นี้เคยเป็นสนามกีฬาแข่งรถเทียมม้าของจักรพรรดิเนโรมาก่อนที่ท่านจะเผากรุงโรม เสาต้นนี้เคยใช้เป็นหลักกำหนดสำหรับให้รถม้าเลี้ยววนกลับเวลาแข่งขัน

แต่หากเราไม่ได้มาตรงกับวันพุธไม่ได้ฟังPopeก็ไม่เป็นไร เพราะวิหาร St.Peter หรือ San Pietro (ภาษาอิตาเลียน) ที่อยู่ข้างหน้านั้นคือศูนย์กลางของคริสต์ศาสน์จักร ของโลกซึ่งมีความศักดิ์สิทธ์และน่าศรัทธายิ่งสำหรับคริสต์ชน ดังนั้นแม้ว่าเราจะนับถือศาสนาอื่นใดหรือสิ่งศักดิ์สิทธ์ที่แตกต่างไป ก็ไม่น่าจะใช่ข้ออ้างที่จะไม่เข้าไปคารวะสิ่งศักดิ์สิทธ์ในวิหารแห่งนี้ อย่างน้อยเพื่อให้ได้ประจักษ์ว่าวิหารที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกนั้นเป็นอย่างไร

 

St Peters Square Rome Italy 1
ประวัติมีอยู่ว่า วิหาร St.Peter (เดิม) ได้ถูกสร้างขึ้นในศตวรรษที่ 4 โดยจักรพรรดิคอนสแตนติน จักรพรรดิพระองค์แรกของอาณาจักรโรมัน (ตอนนั้นเข้าสู่ยุคของโรมันตะวันออกหรือ Byzantineแล้ว) ที่หันมานับถือศาสนาคริสต์ จากนิมิตที่ทำให้ท่านฝันเห็นพระเจ้าก่อนออกรบ และเมื่อรบชนะในครั้งนั้นก็เกิดความเลื่อมใส จึงให้ชาวโรมันหันมานับถือศาสนาคริสต์ได้ จากที่ก่อนหน้านั้นจักรพรรดิโรมันนับถือเทพเจ้าหลายองค์แบบกรีซและหากมีใครชักนำให้นับถือคริสต์ต้องถูกจับตรึงกางเขน ซึ่งทำให้ท่านได้เริ่มทยอยสร้างวิหารต่างๆ ด้วยความศรัทธายิ่ง
 

reconstruction of old basilica of st peter

ภาพบนนี้ คือวิหาร St.Peter หลังเก่า

ณ จุดที่ท่านสร้างวิหารแห่งนี้ก็คือจุดซึ่งเชื่อว่าเป็นจุดที่นักบุญปีเตอร์ สาวกเอก(สาวกองค์แรก เปรียบเหมือนพระอัญญาโกณฑัญญะ เป็นพระภิกษุสาวกของพระพุทธเจ้าที่บรรลุก่อนได้บวชก่อนสาวกอื่น แต่ในขณะที่ศาสนาพุทธนั้นสาวกพุทธเจ้านั้นมี 5 พระองค์แต่ในศาสนาคริสต์มี 12 พระองค์) ของพระเยซูคริสต์ หรือ Jesus Christ ได้ถูกตรึงกางเขนและฝังไว้ที่นี่ และ St.Peter ก็ถือว่าเป็นPopeหรือสันตะปาปาพระองค์แรกของศาสนาโรมันคาธอลิกด้วยในฐานะที่เป็น Bishop of Rome (มีการสำรวจในปี 1953 ด้วยการขุดพบกระดูกชายวัย60 และมีใยผ้าสีม่วงที่สวมใส่ในสมัยนั้นโดยเฉพาะผู้ที่เป็นที่เคารพบูชาหรือมีความศักดิ์สิทธ์ซึ่งนักโบราณคดีชื่อ Margherita Guarducci, และอีกหลายคนเชื่อว่าเป็นกระดูกของนักบุญปีเตอร์จริงๆ และเมื่อปี 2013 ทางวาติกันได้นำอัฐิของนักบุญปีเตอร์ออกแสดงกับสาธารณะชนเป็นครั้งแรก

อย่างไรก็ตามวิหารที่คอนสแตนตินสร้างก็ไม่ได้อยู่มาให้เราเห็นทุกวันนี้ เพราะได้ผุพังไปมากไม่คุ้มค่าการบูรณะและดูไม่ยิ่งใหญ่พอ จึงมีการรื้อทิ้งและสร้างวิหารองค์ปัจจุบันทับ ณ จุดเดียวกันในสมัยศตวรรษที่15 หรือในยุค Renaissance (ยุคเกิดใหม่หรือยุคแห่งการฟื้นฟูศิลปะวิทยาการ) ริเริ่มโดยสันตะปาปาNicholasที่ 5แต่มาดำเนินการจริงจังโดยสันตะปาปา Juliusที่2 ที่ให้ บรามันเต้ (Bramante) เป็นสถาปนิกเจ้าของโครงการซึ่งก็โดนวิจารณ์มาก เนื่องจากรื้อวิหารเดิมจนทำให้ภาพโบราณแบบเฟรสโก้ (Frescoes) และโมเสส (Mosaics) ของยุค Byzantine เสียหายหมด โครงการก็เลยไม่ได้รับการสนับสนุนเท่าที่ควรจนบรามันเต้ตายไปในปี 1514 ก็มีการสานต่อโดยสถาปนิกอย่างราฟาเอล Raphaelและ Antonio da Sangallo

michelangelo-buonarroti

ซึ่งงานก็ไม่คืบหน้านักจนเหมือนกับมีปาฏิหาริย์จากเบื้องบนที่เห็นว่าไม่มีใครทำสำเร็จจึงดลบันดาล ส่ง’เทพแห่งงานศิลปะและสถาปัติยกรรม’ ที่ชื่อ มิเกลานจิโล Michelangelo (1475-1564) มาสานงานต่อตอนเขาอายุ 72 ซึ่งตอนนั้นถือว่าสะสมประสบการณ์มากมายมาจึงทำให้ส่วนโดมที่ถือว่าเป็นส่วนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของวิหารสำเร็จได้ แม้ว่าเขาจะเสียชีวิตไปก่อนที่จะได้เห็นผลงานของตัวเองตอนสร้างเสร็จสมบรูณ์

 

Cupola-san-Pietro Rome Italy

แต่ผลงานอื่นๆ ที่เขาฝากไว้ที่นี่ก็ยังมีอีกที่โดดเด่นก็คือรูปปั้น Pieta ที่งดงามแบบต้องหยุดหายใจชั่วขณะ สำหรับผู้หลงใหลในงานศิลปะคงจะทราบดีว่ามิเกลานจิโล่ทำผลงานชิ้นนี้เมื่อตอนอายุขึ้น 25 ปีเท่านั้น (ปี1449) และเป็นผลงานเดียวที่เขาเซ็นชื่อลงไป แต่เชื่อหรือไม่ว่ารูปปั้นที่สวยงามที่เห็นนั้นเคยถูกค้อนทุบมาแล้วในปี 1972 โดยนาย Laszlo Toth ซึ่งจิตไม่ปกติใช้ค้อนทุบแขนซ้ายพระแม่มารีหักตรงข้อศอกแล้วตรงจมูกก็แตกทำให้ตอนนี้จะเห็นว่ามีกระจกกันกระสุนป้องกันรูปปั้นนี้อยู่

michelangelo_pieta_vaticana

รูปปั้นแม่พระประคองร่างพระเยซูลงจากถูกตรึงกางเขน ที่มีชื่อว่า Pieta

 

St Peter Rome Italy

เราสามารถชื่นชมผลงานนี้ทันทีที่เราก้าวเข้าประตูวิหารแล้วมองไปทางกำแพงด้านขวา พูดถึงประตูของวิหารเราจะสังเกตว่าประตูขวาสุดนั้นจะไม่มีการเปิด ยกเว้นแต่ปีที่เป็น Holy Year หรือ Jubilee Year คือทุกๆ 25 ปีเท่านั้น ประตูนี้ถือเป็นประตูศักดิ์สิทธ์ที่มีชื่อว่า Porta Santa (Holy Door) ซึ่งผมเคยโชคดีที่เคยได้เดินเข้าประตูนี้มาแล้วเพราะบังเอิญว่าได้ไปโรมตรงปี Holy Year พอดีในปี 2000 นั่นหมายความว่าการเปิดประตูครั้งต่อไปอย่างเป็นทางการจะเป็นปี 2025 อย่างไรก็ตามหากสันตะปาปาเห็นว่าเหมาะสมอาจออกกฤษฎีกาเพื่อเปิดประตูนี้ในระหว่างนั้นได้ อย่างเช่นครั้งล่าสุด วันที่ 13 ในเดือนมีนาคม 2015 สันตะปาปาฟรานซิส (Pope Francis) ได้ประกาศให้ช่วงวันที่ 8 ธันวาคม 2015 ถึง 20พฤศจิกายน 2016เป็นช่วงปีแห่งการเมตตา Year of Mercy หรือเป็น Holy Year พิเศษซึ่งมีผู้ศรัทธามาลอดประตูนี้กว่า 20 ล้านคน สำหรับผู้ที่มีบาปการได้ลอดประตูนี้ก็เหมือนได้รับการยกโทษ (Forgiveness ) ในภาพด้านล่างจะเห็นโป๊ปกำลังปิดประตูศักดิ์สิทธิ์ในตอนเย็นของวันที่ 20 พฤศจิกายน 2016 ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของ Year of mercy

 

เมื่อเดินเข้ามาด้านในสิ่งที่ต้องทำก็คือไปคารวะนักบุญ St.Peter ที่หล่อด้วยทองสำริดด้วยการลูบสัมผัสที่เท้าซ้ายของท่านซึ่งจะเห็นว่าใครที่มาที่นี่ก็จะทำเช่นเดียวกัน ซึ่งน่าเห็นใจท่านมากจริงๆ เพราะเท้าซ้ายของท่านนั้นแม้เป็นโลหะแต่ก็ยับเยินไปด้วยมือของมหาชนจากทั่วสารทิศ จริงๆ แล้วน่าจะเอากระจกกันกระสุนมากั้นแบบเดียวกับรูปปั้นPieta

St Peter Rome Italy 2

St Peter Rome Italy 1

ฝีมือศิลปินผู้ที่หล่อสำริดนี้น่าจะเป็นของ Arnolfo di Cambio ทำขึ้นมาในช่วงศตวรรษที่13 แต่ก็มีการถกเถียงในระหว่างนักประวัติศาสตร์ด้วยกันที่ว่าน่าจะทำมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 5 แล้ว

 

วิหารเซ็นต์ปีเตอร์และกรุงวาติกันยังมีอะไรน่าสนใจอีกเยอะ คงต้องมาเที่ยวต่อกันในคราวหน้านะครับ

City Break Rome Part I

“.. เพราะมันเคยมีประโยคภาษาละตินในยุคกลางที่เขียนว่า “sifuerisRōmae, Rōmānōvīvitōmōre; sifuerisalibī, vīvitōsīcutibī หรือแปลเป็นภาษาอังกฤษง่ายๆ ว่า “ When in Rome, do as the Romans do”…

ถ้าจะพูดถึงเมืองที่ทำให้เราตกหลุมรักแบบไม่ยาก ถึงแม้คุณจะเป็นคนเรื่องมากก็อาจตกหลุมรักไปแบบไม่รู้ตัวนั้น มันคงต้องเป็นเมืองที่มีเสน่ห์ไม่เบา อาจไม่สวยเพอร์เฟคแต่เสน่ห์มันต้องเร้าใจแน่ๆ ใช่แล้วครับผมกำลังพาคุณไปเที่ยวกรุงโรมา หรือ กรุงโรมในภาษาอังกฤษ มีฉายาว่า“The Eternal City” หรือ “อมตะนคร” ต้นกำเนิดอารยะธรรมของโลกตะวันตก ในทุกด้านทุกแขนงของโลกปัจจุบันไม่ว่าจะเป็นศาสตร์สาขาไหน ศิลปกรรม, สถาปัตยกรรม, วิศวกรรม, รัฐศาสตร์การเมืองการปกครอง รวมถึงวัฒนธรรมการกินการดื่มที่ตกทอดกันต่อมาถึงทุกวันนี้ เมืองนี้มีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมายที่สุดเมืองหนึ่งของโลกเพราะมันมีอายุกว่า 2000 ปี และมีความยิ่งใหญ่ที่สุดดังมีคำเปรียบเปรยความยิ่งใหญ่ที่ว่า “ถนนทุกสายนั้นมุ่งสู่กรุงโรม”

หลายๆ คนคิดว่าเรารู้จักกรุงโรมดีเพราะเคยไปเที่ยวมาแล้ว แต่จริงๆ อาจมีอีกหลายอย่างหลายแง่หลากมุมที่เรายังไม่ได้สัมผัส ลองมาดูกันครับว่าถ้าเราได้มีโอกาสได้มาใช้เวลาแบบเบรกสั้นๆซัก 4-5 วันในโรม เราจะมีอะไรทำหรือควรต้องทำบ้างหรือควรทำอะไรแบบที่คนโรมันทำบ้าง…เพราะมันเคยมีประโยคภาษาละตินในยุคกลางที่เขียนว่า “ sifuerisRōmae, Rōmānōvīvitōmōre; sifuerisalibī, vīvitōsīcutibī หรือแปลเป็นภาษาอังกฤษง่ายๆว่า “ When in Rome, do as the Romans do” หมายถึงการที่เราเป็นแขกไปเยี่ยมใครที่ไหนนั้น มันเป็นความสุภาพ และเป็นการให้เกียรติเจ้าภาพหรือเจ้าบ้าน หากเราจะทำตามขนบธรรมเนียมของเขา ซึ่งเขาก็มักจะให้เกียรติเราเป็นการตอบแทน…

เบรกพักในโรม (เลือกย่านโรงแรมที่พัก)
การมาอยู่ในเมืองใหญ่ที่ไหนๆ ก็ควรมีการวางแผนก่อนว่าเราควรจะพักย่านไหนดี มันสะดวกกับการเดินทางไปไหนมาไหนของเราใน 4-5 วันนี้หรือไม่ เราจึงควรทำการบ้านเรื่องย่านที่พักให้ดี ซึ่งผมก็ได้ช่วยทำการบ้านมาให้แล้วสำหรับเมืองนี้
ย้อนประวัติศาสตร์กลับไปกว่า 3000 ปี หรือประมาณ 800 ปีก่อนคริสตกาล มีตำนานเรื่องนางหมาป่าที่มาแวะดื่มน้ำที่ฝั่งแม่น้ำไตเบอร์ ณ จุดที่ตั้งโรมในปัจจุบัน แต่เมื่อก่อนมันก็คือป่าที่มีเนินเขาอยู่รายรอบบริเวณถึง 7 ลูก (ซึ่งต่อมามีชื่อเรียกตามที่ปรากฏข้างล่างนี้) ในวันนั้นนางหมาป่าได้พบเด็กฝาแฝดแบเบาะ 2 คนลอยน้ำมาเกยตื้นอยู่จึงนำมาเลี้ยง และตั้งชื่อว่า Romulus กับ Remus แต่ทั้งสองโตขึ้นมาก็ไม่มีใครยอมใครแม้เป็นพี่น้องกัน เพราะเก่งกล้าทั้งคู่ เช่นมีการถกเถียงกันว่าควรจะสร้างเมืองบนเนินเขาลูกไหนดี Romulus ว่าควรเป็นเขา Palatineแต่ Remus บอกต้องเป็นเขา Aventine ทำให้ในที่สุดก็ทะเลาะกันแล้วน้องก็แพ้พี่ไป โดนผู้ที่สนับสนุนตัวพี่ Romulus ให้ขึ้นครองราชย์จัดการสังหารผู้น้อง Remus ไป ต่อมาก็เลยตั้งชื่อเมืองที่อยู่บนเขา Palentine ตามชื่อตัวเองว่า Rome…

 

City Break ROME Part I 3

The Seven Hills of Rome (ในวงเล็บเป็นภาษาละติน ตามด้วยภาษาอิตาเลียน)
• Aventine Hill (Latin, Aventinus; Italian, Aventino)
• Caelian Hill (Cælius, Celio)
• Capitoline Hill (Capitolinus, Campidoglio)
• Esquiline Hill (Esquilinus, Esquilino)
• Palatine Hill (Palatinus, Palatino)
• Quirinal Hill (Quirinalis, Quirinale)
• Viminal Hill (Viminalis, Viminale)

แต่ผมไม่ได้จะแนะนำให้คุณหาโรงแรมที่พักบนเขาแต่ละลูกเหล่านี้ เพราะจริงๆ แล้วในวันนี้เราแทบจะไม่เห็นเนินเขาเล่านี้ในโรม เนื่องจากมันแค่เป็นเนินเขาเตี้ยๆ และการสร้างเมืองในยุคต่างๆ ก็สร้างซ้อนๆ ทับกันมาแบบขนมชั้นคือมีการถมสูงขึ้นไปเรื่อยจนเนินเขาไม่มีความเด่นชัด นี่เป็นสาเหตุหนึ่งที่รถไฟใต้ดินในโรมมีไม่กี่สถานี และเส้นทางก็ไม่ครอบคลุมนัก เพราะการขุดแต่ละแห่งแต่ละครั้งจะเจอแต่โบราณสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ ทำให้ขุดไปไม่ถึงไหนเพราะโบราณสถาน/วัตถุ มันสำคัญกว่ารถไฟใต้ดิน ขอกลับมาเรื่องย่านที่พักที่แนะนำดีกว่าเอาเป็นว่าผมมีให้เลือก 4 แบบนี้

 

1.หากต้องการจุดศูนย์กลางของทุกอย่างที่มีความคึกคักหรือหรูฟู่ฟ่า ควรหาที่พักในย่าน Tridente ตริเดนเต้, Trevi เตรวี่ หรือ Borghese โบร์กีสเซ่

City Break ROME Part I 1
รูปย่าน Tridente (Pic.Credit:http://www.approachableworld.com/)

ย่านเหล่านี้น่าจะเป็นทางเลือกที่สมบรูณ์แบบสำหรับผู้ที่ชื่นชอบการช้อปปิ้งและความเท่เก๋เลิศของโรม มีถนนสายหลักอย่าง via del Corso ซึ่งเป็นถนนเก่าแก่ที่สุดของโรม (คล้ายถนนเจริญกรุงของกรุงเทพฯ) ทีมีอายุกว่า 2000 ปีวิ่งตรงมาจากจัตุรัส Popolo ซึ่งหมายถึง People’s Square (หมายเลข 3 ในรูป)จริงๆ แล้วจะเห็นว่ามีถนนหลักเก่าแก่วิ่งเป็นเส้นตรงจากจตุรัสนี้นอกจาก via del Corso ก็มี via del Babuino (วิ่งจากจัตุรัสโปโปโล่สู่บันไดสเปน) และvia di Rripetta (วิ่งจากจัตุรัสมาฝั่งแม่น้ำไตเบอร์หมายเลข 4 ในรูปแล้วสามารถข้ามสะพานไปเที่ยว กรุงวาติกัน ที่อยู่ตามลูกศรหมายเลข 6 ได้)

 

คำอธิบายภาพด้านบน: จัตตุรัส Popolo หรือ People’s square ที่มีเสา obelisk ของกษัตรย์ Ramesses II แห่งอียิปต์ ถูกยึดมาโดยคำสั่งของ Augustus จักรพรรดิโรมันที่ขยายอาณาเขตไปถึงอียิปต์ แต่ตอนนำมาทีแรกจะถูกนำไปตั้งที่สนามแข่งรถเทียมม้า (แบบหนังเรื่องBenHur) ที่circus Maximus ส่วนด้านหลังของภาพจะเห็นวิหารฝาแฝด “twin” churches คือวิหาร Santa Maria in Montesanto (ซ้าย สร้างเมื่อปี1662-75) และ Santa Maria deiMiracoli (ขวา,สร้างเมื่อปี1675-79) จะเห็นทางเข้าถนน Via del Corso ที่อยู่ระหว่างวิหารทั้งสองส่วนถนนด้านซ้ายจะเป็น via del Babuino ตรงไปย่านบันไดสเปนและถนนด้านขวาคือถนน via di Rripetta ที่นี่จะมีส่วนคล้ายหรือถือเป็นต้นแบบของจัตุรัสคองคอร์ดในกรุงปารีส ทีมีเสาโอเบรีสค์ที่นำมาโดยนโปเลียนจักรพรรดิที่นิยมวิธีการแบบจักรพรรดิโรมันไม่ว่าจะวิธีการรบหรือการสร้างประตูชัยหรือการสวมมงกุฎใบมะกอกเมื่อได้รับชัยชนะ ที่เหมือนมากอีกเรื่องคือจัตุรัส Popoloก็เคยเป็นลานประหาร มาก่อนแนวเดียวกับจัตุรัสคองคอร์ดที่เคยใช้ประหารชีวิตนักโทษการเมืองรวมทั้งกษัตริย์หลุยส์ที่16 มาแล้วในช่วงปฎิวัติฝรั่งเศส

 

City Break ROME Part I 2

ส่วนบรรดาร้าน High end fashion designers ก็จะอยู่แถวถนน,Via Condotti (หมายเลข 8 ในรูป) อย่าลืมแวะดื่มกาแฟที่ร้าน Caffe Greco ซึ่งคือร้านกาแฟที่เก่าแก่ที่สุดของโรม(หมายเลข 7 ในรูป) และจัตุรัสสปาญญ่าหรือย่านบันไดสเปน piazza di spagna (หมายเลข 2 ในรูป) ที่เดินเพลินได้ทั้งวันแม้แต่ไม่ชอบช้อปก็มีมุมสวยๆ ให้ถ่ายรูปเยอะนอกจากการถ่ายแบบ street photographer คือถ่ายอากัปกริยาของคนที่มาเดินแถวนี้

จากย่านตริเดนเต้ลงใต้มาหน่อยก็เป็นย่านเตรวี่เดินไม่ไกลนักที่นี่มีน้ำพุเตรวี่ และมีจัตุรัส(Piazza) ดังๆ อยู่อีกหลายแห่ง เช่น piazza Colonna ที่มีอนุสาวรีย์ของจักรพรรดิโรมันที่เฉลียวฉลาดที่สุดพระองค์หนึ่งที่ชื่อ Marcus Aurelius สร้างมาคั้งแต่ ค.ศ. 180 เพื่อเฉลิมฉลองชัยชนะในศึกครั้งสำคัญ หรือแถวใกล้ๆ กับวิหารโรมันพันปีอย่างวิหารปานเตออน Pantheon ก็มีจัตุรัสโนวาน่า piazza Novana ซึ่งเป็นจัตุรัสที่สวยที่สุดของโรมและเต็มไปด้วยร้านอาหารร้านกาแฟที่มีความคึกคักทั้งกลางวันกลางคืน และหากชอบบรรยากาศแบบตลาดกลางแจ้งก็เดินต่อไปหน่อยที่ Piazza Campo de’ Fiori
City Break ROME Part I 9 rome piazza navona

คำอธิบายภาพด้านบน: จัตุรัสนาโวนา ที่สร้างขึ้น ณ จุดที่เคยเป็นสนามกีฬาที่จักรพรรดิ Titus Flavius Domitianus สร้างเป็นของขวัญประชากรโรมในปี ค.ศ. 80 ใช้แข่งกีฬาแบบกรีซ คือใช้แข่งประสิทธิภาพของนักกีฬาคนล้วนไม่แข่งรถเทียมม้าแบบ circus maximus แต่สนามกีฬาที่นี่ไม่แข็งแรงนักจึงพังไปเลย ทำให้ลานนี้กลายเป็นตลาดกลางเมืองอยู่นานก่อนตลาดจะถูกย้ายไปอยู่ที่ Piazza Campo de’ Fioriจุดเด่นของที่นีคือน้ำพุทั้ง 3 แห่งโดยเฉพาะตรงกลางชื่อน้ำพุแห่งแม่น้ำทั้ง 4 (Fontana dei Quattro Fiumiเสร็จในปี1651) ที่เป็นฝีมือของแบร์ดินี่ (Gian Lorenzo Bernini) ปรมาจารย์ด้านการแกะสลักหินอ่อนในยุคเรเนซองส์ 

ส่วนผู้ที่ต้องการอยู่ใกล้กับปอดของเมืองโรมติดสวนสาธารณะก็ต้องย่านสวนโบกีสเซ่ Borghese (หมายเลข 5 ในรูป) ย่านนี้มีบุกคลิกเคร่งขรึมและเรียบหรู เพราะย่านนี้เปรียบเสมือนย่าน Central Park ในนิวยอร์กนั่นเอง

ที่นี่มีวิลล่าชื่อเดียวกันคือ Villa Borghese ที่น่าเข้าไปชม และต้องบอกว่าวิวโรมจากสวนโบกีสเซ่นั้นจะสวยมากเพราะสวนจะอยู่บนเนินเขาหากไปจากบันไดสเปนก็ต้องปีนขึ้นไปสุดเลยครับแล้วเลี้ยวซ้ายไปก็จะเข้าเขตสวนโบกีสเซ่
City Break ROME Part I

วิวกรุงโรมจากโรงแรม Sofitel Villa Borghese

 

2.หากต้องการความประหยัดเรียบง่าย ควรหาที่พักในย่าน Esquilino เอสกีลิโน, Celio เซลิโอ หรือ San Lorenzo ซานลอเรนโซ
สำหรับท่านที่มองหาที่พักราคาประหยัดหน่อย ไม่ว่าจะsearchโรงแรมแบบประหยัดชื่ออะไรมาก็มักจะตั้งอยู่ย่านเหล่านี้ มันอยู่ใกล้สถานีรถไฟหลักของโรมที่ชื่อ แตร์มินี่ (Termini Railway Station) และก็สะดวกเรื่องเดินทางเพราะมีรถไฟใต้ดินไปในจุดที่คุณต้องการได้ไม่ยาก ผมยังจำได้ว่าการมาโรมครั้งแรกของผมสมัยยังเรียนอยู่นั้นก็มาถึงโดยทางรถไฟ โดยตอนนั้นมาจากฝรั่งเศสแวะเที่ยวฟลอเรนซ์และเซียน่าก่อนมาถึงโรม โรงแรมที่พักตอนนั้นชื่อ พาลาติโน อยู่ไม่ไกลจากสถานีรถไฟนัก

City Break ROME Part I 5 Esquilino

ภาพด้านบนคือ ย่าน Esquilino
3.หากต้องการย่านที่มีความความโรแมนติกแต่ไม่พลุกพล่าน
ควรหาที่พักในย่าน Trastevere ตราส์เตเวเร่ หรือ Gianicolo จานนิโคโล่

City Break ROME Part I 8

ย่านนี้อยู่บนฝั่งขวาของแม่น้ำไตเบอร์ Tiber คนละฝั่งกับย่านนักท่องเที่ยวที่เป็นไปด้วยความพลุกพล่าน ที่นี่เป็นย่านที่มีทิวทัศน์สวยงามโรแมนติก มีบรรยากาศแบบเรียบง่ายสบายไม่เร่งรีบแบบไม่เหมือนเมืองใหญ่ถือเป็นย่านunseenของโรมที่น่าสำรวจอีกแห่งหนึ่ง

 

City Break ROME Part I 11

จัตุรัส  Piazza Santa Maria ในย่าน Trastevere
City Break ROME Part I 10

การหาร้านอาหารกินหรือร้านกาแฟดีๆ ในย่าน Trastevere ไม่ใช่เรื่องยาก

วิวกลางคืนของโรมถ่ายจากเนินเขาแถบย่านจีอานนิโกโล Gianicolo

 

4.หากท่านชอบโบราณสถาน เห็นซากปรักหักพังแบบ Roman ruin แล้วถึงกับอ้าปากค้าง ควรเลือกอยู่ย่าน Monti

ที่นี่สงบเพราะเป็นย่านที่อยู่อาศัยของชาวโรมันจริงๆ ที่อยู่กันมาตั้งแต่โบราณร้านค้าแบบ family-run รวมทั้งร้านอาหารที่เจ้าของทำเอง ที่นี่อยู่ใกล้สนามกีฬาโรมันที่ยิ่งใหญ่คือคลอลอสเซี่ยม และมีสถานีรถไฟใต้ดินที่จะไปส่วนอื่นๆ ของโรมไม่ยากแล้วยังไม่ไกลจากสถานที่โบราณล้ำค่า เช่น Michelangelo’s Moses, Trajan’s Forum, the Roman Forum, St. Mary Major Basilica, Nero’s DomusAurea
City Break ROME Part I 4 colosseum rome Italy

ภาพด้านบนคือ: คอลอสเซี่ยม Colosseum หรือมีอีกชื่อว่า Flavian Amphitheatre มันคือสิ่งมหัศจรรย์ของโลกเก่าที่ผ่านร้อนหนาวมากว่า 2000 ฤดูโดยไม่ได้บุบสลายแบบที่ควรจะเป็น มันเป็นamphitheatreที่ใหญ่ที่สุดที่เคยสร้างมาตั้งแต่ค.ศ. 72-80

 

นั่นแหละครับค้นหาโรงแรมในแบบที่ท่านชอบในย่านเหล่านี้ และคราวหน้าเราจะไปเที่ยวโรมกัน โปรดติดตามนะครับใน City Break Rome Part II