เราคงเคยได้ยินคำพูดที่ว่า Rome wasn’t built in a day ซึ่งเป็นการเปรียบเปรยว่า …คุณอย่าคาดหวังว่าจะทำงานใหญ่หรืองานสำคัญให้สำเร็จได้ในเวลาอันสั้น… เช่นเดียวกับการเที่ยวในโรม ถ้าจะให้ได้สาระเป็นเรื่องเป็นราวนั้นอย่าหวังว่าจะใช้เวลาวันเดียวเลย ดังนั้นผมจึงต้องขอแบ่งเรื่องเที่ยวโรมออกเป็น 3 หัวข้อ แต่คงจะมีมากกว่า 3 ตอนแน่ๆ เพราะในบางสถานที่จะมีรายละเอียดมากหน่อย
1.เที่ยวโรมแบบผู้ที่ยังใหม่กับโรม
2.เที่ยวโรมแบบผู้ชำนาญโรมแล้ว
3.เที่ยวแบบ Day Trip นอกกรุงโรม
เบรกเที่ยวในโรม…เที่ยวโรมแบบผู้ที่ยังใหม่กับโรม (ตอนที่ 1)
หากคุณเป็นแฟนรายการ TV ทื่ชื่อ ‘Family Feud’ ที่ดำเนินรายการโดย Steve Harvey โดยนำ 2 ครอบครัวมาแข่งตอบคำถามที่มีการทำsurveyคำตอบมาแล้วว่าถ้าถามคำถามแบบนี้แล้ว ใน100 คน จะตอบว่าอะไร คำตอบไหนที่คนตอบเหมือนกันเยอะที่สุดก็จะได้คะแนนสูงสุด เช่น ถามว่า “หากคุณได้มีโอกาสมาที่โรมคุณอยากไปที่ไหนมากที่สุด?” ผมว่าคนส่วนใหญ่น่าจะตอบตรงกับสถานที่ดังกล่าวข้างล่างนี้ เช่น กรุงวาติกัน, คอลอสเซี่ยม, น้ำพุเตรวี่ เอาเป็นว่าถ้าคุณยังใหม่กับโรม ผมแนะนำว่าคุณไม่ควรพลาดกิจกรรมที่ผมนำเสนอต่อไปนี้
1.ไปฟังโป๊ปเทศน์ที่จัตุรัส St.Peterในกรุงวาติกัน
พร้อมๆ กับเหล่าบรรดาคริสต์ศาสนิกชนจากทั่วโลกที่มีจิตศรัทธาขวนขวายหาโอกาสครั้งหนึ่งในชีวิต เพื่อเดินทางมาที่ลานหน้าวิหารแห่งนี้ในวันพุธ ตอน 11:00 น. ของทุกสัปดาห์ หากท่านสันตะปาปาไม่ติดภารกิจใดๆ ก็จะเทศน์ออกไมค์ให้ประชาชนที่มีจิตศรัทธาได้ฟัง (ยกเว้นช่วงเดือนกรกฎาคมและสิงหาคม ที่ท่านจะประทับอยู่นอกกรุงวาติกัน เป็นพระราชวังฤดูร้อนที่ชื่อ Castel Gandolfo ซึ่งท่านก็จะเทศน์ทุกวันพุธที่นั่นเช่นกัน) และหลังพิธีสวดในวันอาทิตย์ที่ท่านว่างก็อาจลงมาประทานพรให้กับฝูงชนที่ลานหน้าวิหาร หรือที่เรียกให้ถูกต้องก็คือ Piazza San Pietro เป็นลานมหาชนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลกโดยฝีมือของ แบร์นินี่ (Gian Lorenzo Bernini)
สร้างในปีค.ศ. 1656-67 หากมองจากด้านบนจะเห็นเหมือนรูปรูกุญแจขนาดใหญ่ที่จะไขปัญหาต่างๆ ของผู้มีจิตศรัทธา ที่บริเวณขอบรอบๆ ของลานจะมีระเบียงทางเดิน(colonnades)เข้าสู่วิหาร โดยระเบียงทางเดินนั้นจะมีเสาแบบ Doric 248 ต้นพยุงหลังคาที่มีรูปปั้นนักบุญทั้งหมด 140 องค์ยืนอยู่ด้านบนคอยประทานพรให้ระหว่างการเดินเข้าสู่วิหารจากทั้ง 2 ด้าน รูปปั้นนักบุญทั้งหมดนี้มีความสูงเฉลี่ยเท่ากันที่ 3.10 เมตรและใช้เวลากว่า 40 ปีในการทำสำเร็จครบทั้งหมด
ถ้าดูจากด้านบนแบร์นีนี่ตั้งใจจะให้เป็นเหมือนแขนที่ยื่นออกไปโอบต้อนรับผู้มีจิตศรัทธาเข้าสู่วิหารแห่งนี้ (ดูรูปด้านบนที่ถ่ายจากมุมสูงประกอบ)ในขณะที่ตรงกลางลานนั้นเป็นเสาหิน Obelisk หนัก 35 ตัน สูง 25 เมตร จากเมือง Heliopolis ในอียิปต์ที่ขนมาเมื่อครั้งอียิปต์เป็นเมืองขึ้นของจักรวรรดิโรมัน และเนื่องจากสถานที่นี้เคยเป็นสนามกีฬาแข่งรถเทียมม้าของจักรพรรดิเนโรมาก่อนที่ท่านจะเผากรุงโรม เสาต้นนี้เคยใช้เป็นหลักกำหนดสำหรับให้รถม้าเลี้ยววนกลับเวลาแข่งขัน
แต่หากเราไม่ได้มาตรงกับวันพุธไม่ได้ฟังPopeก็ไม่เป็นไร เพราะวิหาร St.Peter หรือ San Pietro (ภาษาอิตาเลียน) ที่อยู่ข้างหน้านั้นคือศูนย์กลางของคริสต์ศาสน์จักร ของโลกซึ่งมีความศักดิ์สิทธ์และน่าศรัทธายิ่งสำหรับคริสต์ชน ดังนั้นแม้ว่าเราจะนับถือศาสนาอื่นใดหรือสิ่งศักดิ์สิทธ์ที่แตกต่างไป ก็ไม่น่าจะใช่ข้ออ้างที่จะไม่เข้าไปคารวะสิ่งศักดิ์สิทธ์ในวิหารแห่งนี้ อย่างน้อยเพื่อให้ได้ประจักษ์ว่าวิหารที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกนั้นเป็นอย่างไร
ประวัติมีอยู่ว่า วิหาร St.Peter (เดิม) ได้ถูกสร้างขึ้นในศตวรรษที่ 4 โดยจักรพรรดิคอนสแตนติน จักรพรรดิพระองค์แรกของอาณาจักรโรมัน (ตอนนั้นเข้าสู่ยุคของโรมันตะวันออกหรือ Byzantineแล้ว) ที่หันมานับถือศาสนาคริสต์ จากนิมิตที่ทำให้ท่านฝันเห็นพระเจ้าก่อนออกรบ และเมื่อรบชนะในครั้งนั้นก็เกิดความเลื่อมใส จึงให้ชาวโรมันหันมานับถือศาสนาคริสต์ได้ จากที่ก่อนหน้านั้นจักรพรรดิโรมันนับถือเทพเจ้าหลายองค์แบบกรีซและหากมีใครชักนำให้นับถือคริสต์ต้องถูกจับตรึงกางเขน ซึ่งทำให้ท่านได้เริ่มทยอยสร้างวิหารต่างๆ ด้วยความศรัทธายิ่ง
ภาพบนนี้ คือวิหาร St.Peter หลังเก่า
ณ จุดที่ท่านสร้างวิหารแห่งนี้ก็คือจุดซึ่งเชื่อว่าเป็นจุดที่นักบุญปีเตอร์ สาวกเอก(สาวกองค์แรก เปรียบเหมือนพระอัญญาโกณฑัญญะ เป็นพระภิกษุสาวกของพระพุทธเจ้าที่บรรลุก่อนได้บวชก่อนสาวกอื่น แต่ในขณะที่ศาสนาพุทธนั้นสาวกพุทธเจ้านั้นมี 5 พระองค์แต่ในศาสนาคริสต์มี 12 พระองค์) ของพระเยซูคริสต์ หรือ Jesus Christ ได้ถูกตรึงกางเขนและฝังไว้ที่นี่ และ St.Peter ก็ถือว่าเป็นPopeหรือสันตะปาปาพระองค์แรกของศาสนาโรมันคาธอลิกด้วยในฐานะที่เป็น Bishop of Rome (มีการสำรวจในปี 1953 ด้วยการขุดพบกระดูกชายวัย60 และมีใยผ้าสีม่วงที่สวมใส่ในสมัยนั้นโดยเฉพาะผู้ที่เป็นที่เคารพบูชาหรือมีความศักดิ์สิทธ์ซึ่งนักโบราณคดีชื่อ Margherita Guarducci, และอีกหลายคนเชื่อว่าเป็นกระดูกของนักบุญปีเตอร์จริงๆ และเมื่อปี 2013 ทางวาติกันได้นำอัฐิของนักบุญปีเตอร์ออกแสดงกับสาธารณะชนเป็นครั้งแรก
อย่างไรก็ตามวิหารที่คอนสแตนตินสร้างก็ไม่ได้อยู่มาให้เราเห็นทุกวันนี้ เพราะได้ผุพังไปมากไม่คุ้มค่าการบูรณะและดูไม่ยิ่งใหญ่พอ จึงมีการรื้อทิ้งและสร้างวิหารองค์ปัจจุบันทับ ณ จุดเดียวกันในสมัยศตวรรษที่15 หรือในยุค Renaissance (ยุคเกิดใหม่หรือยุคแห่งการฟื้นฟูศิลปะวิทยาการ) ริเริ่มโดยสันตะปาปาNicholasที่ 5แต่มาดำเนินการจริงจังโดยสันตะปาปา Juliusที่2 ที่ให้ บรามันเต้ (Bramante) เป็นสถาปนิกเจ้าของโครงการซึ่งก็โดนวิจารณ์มาก เนื่องจากรื้อวิหารเดิมจนทำให้ภาพโบราณแบบเฟรสโก้ (Frescoes) และโมเสส (Mosaics) ของยุค Byzantine เสียหายหมด โครงการก็เลยไม่ได้รับการสนับสนุนเท่าที่ควรจนบรามันเต้ตายไปในปี 1514 ก็มีการสานต่อโดยสถาปนิกอย่างราฟาเอล Raphaelและ Antonio da Sangallo
ซึ่งงานก็ไม่คืบหน้านักจนเหมือนกับมีปาฏิหาริย์จากเบื้องบนที่เห็นว่าไม่มีใครทำสำเร็จจึงดลบันดาล ส่ง’เทพแห่งงานศิลปะและสถาปัติยกรรม’ ที่ชื่อ มิเกลานจิโล Michelangelo (1475-1564) มาสานงานต่อตอนเขาอายุ 72 ซึ่งตอนนั้นถือว่าสะสมประสบการณ์มากมายมาจึงทำให้ส่วนโดมที่ถือว่าเป็นส่วนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของวิหารสำเร็จได้ แม้ว่าเขาจะเสียชีวิตไปก่อนที่จะได้เห็นผลงานของตัวเองตอนสร้างเสร็จสมบรูณ์
แต่ผลงานอื่นๆ ที่เขาฝากไว้ที่นี่ก็ยังมีอีกที่โดดเด่นก็คือรูปปั้น Pieta ที่งดงามแบบต้องหยุดหายใจชั่วขณะ สำหรับผู้หลงใหลในงานศิลปะคงจะทราบดีว่ามิเกลานจิโล่ทำผลงานชิ้นนี้เมื่อตอนอายุขึ้น 25 ปีเท่านั้น (ปี1449) และเป็นผลงานเดียวที่เขาเซ็นชื่อลงไป แต่เชื่อหรือไม่ว่ารูปปั้นที่สวยงามที่เห็นนั้นเคยถูกค้อนทุบมาแล้วในปี 1972 โดยนาย Laszlo Toth ซึ่งจิตไม่ปกติใช้ค้อนทุบแขนซ้ายพระแม่มารีหักตรงข้อศอกแล้วตรงจมูกก็แตกทำให้ตอนนี้จะเห็นว่ามีกระจกกันกระสุนป้องกันรูปปั้นนี้อยู่
รูปปั้นแม่พระประคองร่างพระเยซูลงจากถูกตรึงกางเขน ที่มีชื่อว่า Pieta
เราสามารถชื่นชมผลงานนี้ทันทีที่เราก้าวเข้าประตูวิหารแล้วมองไปทางกำแพงด้านขวา พูดถึงประตูของวิหารเราจะสังเกตว่าประตูขวาสุดนั้นจะไม่มีการเปิด ยกเว้นแต่ปีที่เป็น Holy Year หรือ Jubilee Year คือทุกๆ 25 ปีเท่านั้น ประตูนี้ถือเป็นประตูศักดิ์สิทธ์ที่มีชื่อว่า Porta Santa (Holy Door) ซึ่งผมเคยโชคดีที่เคยได้เดินเข้าประตูนี้มาแล้วเพราะบังเอิญว่าได้ไปโรมตรงปี Holy Year พอดีในปี 2000 นั่นหมายความว่าการเปิดประตูครั้งต่อไปอย่างเป็นทางการจะเป็นปี 2025 อย่างไรก็ตามหากสันตะปาปาเห็นว่าเหมาะสมอาจออกกฤษฎีกาเพื่อเปิดประตูนี้ในระหว่างนั้นได้ อย่างเช่นครั้งล่าสุด วันที่ 13 ในเดือนมีนาคม 2015 สันตะปาปาฟรานซิส (Pope Francis) ได้ประกาศให้ช่วงวันที่ 8 ธันวาคม 2015 ถึง 20พฤศจิกายน 2016เป็นช่วงปีแห่งการเมตตา Year of Mercy หรือเป็น Holy Year พิเศษซึ่งมีผู้ศรัทธามาลอดประตูนี้กว่า 20 ล้านคน สำหรับผู้ที่มีบาปการได้ลอดประตูนี้ก็เหมือนได้รับการยกโทษ (Forgiveness ) ในภาพด้านล่างจะเห็นโป๊ปกำลังปิดประตูศักดิ์สิทธิ์ในตอนเย็นของวันที่ 20 พฤศจิกายน 2016 ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของ Year of mercy
เมื่อเดินเข้ามาด้านในสิ่งที่ต้องทำก็คือไปคารวะนักบุญ St.Peter ที่หล่อด้วยทองสำริดด้วยการลูบสัมผัสที่เท้าซ้ายของท่านซึ่งจะเห็นว่าใครที่มาที่นี่ก็จะทำเช่นเดียวกัน ซึ่งน่าเห็นใจท่านมากจริงๆ เพราะเท้าซ้ายของท่านนั้นแม้เป็นโลหะแต่ก็ยับเยินไปด้วยมือของมหาชนจากทั่วสารทิศ จริงๆ แล้วน่าจะเอากระจกกันกระสุนมากั้นแบบเดียวกับรูปปั้นPieta
ฝีมือศิลปินผู้ที่หล่อสำริดนี้น่าจะเป็นของ Arnolfo di Cambio ทำขึ้นมาในช่วงศตวรรษที่13 แต่ก็มีการถกเถียงในระหว่างนักประวัติศาสตร์ด้วยกันที่ว่าน่าจะทำมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 5 แล้ว
วิหารเซ็นต์ปีเตอร์และกรุงวาติกันยังมีอะไรน่าสนใจอีกเยอะ คงต้องมาเที่ยวต่อกันในคราวหน้านะครับ