เรียนรู้มารยาทเมื่อเข้าคลาสโยคะ

 

โยคะ กิจกรรมออกกำลังกายสุดฮิตของสาวหุ่นดี การเข้าคลาสโยคะเป็นความสนุกสนาน ตราบใดที่คุณยังไม่ถูกรบกวนด้วยบรรยากาศหรือพฤติกรรมของคนรอบข้าง หรือบางทีตัวคุณเองนั่นแหละ ที่อาจมีพฤติกรรมรบกวนคนอื่นโดยไม่รู้ตัวจากเรื่องปูเสื่อโยคะ ไปจนถึงเรื่องการใช้มือถือระหว่างคลาส เหล่านี้คือมารยาทที่ครูฝึกอยากให้คุณรู้

 

โยคะ เป็นการออกกำลังกายที่บางคนกลัวโดยเฉพาะมือใหม่ เพราะมันไม่ใช่แค่ต้องเรียนรู้ภาษาแปลกๆของชื่อท่าต่างๆและฝึกควบคุมการทรงตัวให้ได้ตามท่าเท่านั้น แต่มันเป็นสิ่งแตกต่างมากๆจากคลาสฟิตเนสปกติของคุณ และก็จะมีเรื่องของมารยาทสำคัญๆที่คุณควรจะรู้ทั้งมือใหม่และมือเก่าเพื่อจะได้ไม่พลาด

 

1. อย่าใส่น้ำหอมจัดๆก่อนไปเข้าคลาส: คลาสโยคะส่วนมาก จะเน้นเรื่องการฝึกกำหนดลมหายใจ จึงต้องมีการหายใจเข้าออกลึกๆ ซึ่งสิ่งที่ทุกคนต้องการก็คือความสงบที่จะไม่ถูกครอบงำด้วยสัมผัสของกลิ่น ไมว่าจะเป็นน้ำหอม, โลชั่นทาผิวหรือบอดี้สเปรย์ก็ตาม

 

2. คิดก่อนจะปูเสื่อโยคะ: ไม่ควรปูเสื่อใกล้กับคนอื่นมากเกินไป เพราะมันอาจมีความเสี่ยงของท่าบางท่า เช่นสุริยนมัสการ ที่แต่ละคนต้องใช้พื้นที่มากพอควร แต่ถ้าคลาสโยคะที่คุณเรียนคนแน่นมาก ก็ให้วางเสื่อของคุณในแนวเอียงๆของพื้นที่ว่างที่เหลืออยู่ ดูว่ามันไม่ไปทับกับเสื่อของคนอื่น สิ่งนี้จะช่วยคุณให้เลี่ยงการ การแกว่งแขนหรือสะโพกใส่หน้าคนอื่นเวลาที่คุณฝึกท่า นี่คือคำแนะนำของครูฝึกโยคะหลายสถาบัน

 

3. คุยก่อนเข้าคลาสให้น้อยที่สุด: ถ้าหากคุณไปเรียนโยคะกับเพื่อนๆ พยายามส่งเสียงให้น้อยที่สุดขณะรอครูฝึกเริ่มการสอน สิ่งนี้สำคัญมาก ควรระลึกเสมอว่า การที่คนเข้ามาฝึกโยคะกัน ก็เพื่อปิดการติดต่อกับโลกภายนอกและหาความสงบ ซึ่งมันจะทำได้ยากหากแวดล้อมด้วยพวกช่างคุย

 

healthyoga03

 

4. ถอดรองเท้าก่อนเดินเข้าคลาส: สตูดิโอโยคะส่วนมาก จะมีที่ในล็อกเกอร์ไว้ให้ใส่รองเท้า ซึ่งคุณควรใช้มันมากกว่าจะถือมันเข้าไปในห้องฝึกด้วยนะ และควรเข้าไปในห้องด้วยสภาพเท้าเปล่าหรือสวมถุงเท้าเท่านั้น

 

5. ห้ามก้าวล่วงเสื่อของคนอื่นเป็นอันขาด: จำไว้ว่า พื้นที่เสื่อโยคะคือบริเวณส่วนตัวของทุกคน มันจึงไม่เหมาะสมอย่างยิ่งที่คุณจะเอาเท้า, มือ หรือใบหน้า หรืออวัยวะส่วนใดๆไปวางบนเสื่อของคนอื่น ไม่ว่าเขาจะอยู่หรือไม่ก็ตาม

 

6. ห้ามเซลฟี่เด็ดขาด: อันนี้จริงจังที่สุดนะ ไม่มีอะไรน่ารำคาญเท่าเวลาที่ทุกคนฝึกอย่างตั้งใจแล้วมีใครวุ่นวายกับการเซลฟี่หรือถ่ายรูปให้หน่อย ไม่ว่าคุณจะแน่ใจความสวยเป๊ะแค่ไหน ให้ถ่ายรูปได้หลังจากคลาสจบแล้วเท่านั้น มันจะเป็นการฝึกโยคะที่ได้ผลดีมาก หากคุณเก็บโทรศัพท์ไว้ในล็อกเกอร์แล้วตั้งใจฝึกจริงๆ และก็ไม่เกิดโอกาสที่เสียงมือถือรบกวนคนอื่นโดยเฉพาะในท่าศวาสนะหรือท่าศพ ซึ่งเป็นท่าสุดท้ายของคลาสที่ทุกคนนอนพักผ่อนคลาย

 

healthyoga02

 

7 อย่าเข้าคลาสสาย: การเข้าคลาสช้าก็คือการรบกวนความสงบของคนอื่น โดยเฉพาะหากคลาสนั้นเริ่มต้นด้วยการทำสมาธิหรือกำหนดลมหายใจ ยิ่งถ้านี่คือคลาสครั้งแรกของคุณ ก็ยิ่งสำคัญมากที่จะต้องมาก่อนเวลา เพราะสตูดิโอโยคะส่วนมากจะให้คุณกรอกข้อมูลในการเข้าเรียนครั้งแรก จึงควรไปก่อนและตรวจเช็คข้อมูลระเบียบต่างๆให้ครบถ้วนและทำตามอย่างเคร่งครัด

 

8. อย่าออกจากคลาสเร็วเกินไปเมื่อตอนจบ: นึกดูเมื่อจบคลาสและทุกคนยังนอนอยู่ในท่าศวาสนะ แล้วคุณลุกขึ้นเก็บข้าวของเสียงดังเพื่อจะออกไปจากห้องว่ามันรบกวนแค่ไหน ดังนั้น หากคุณรู้ตัวว่าจะต้องออกจากคลาสเร็วกว่าคนอื่น ก็ให้เลือกพื้นที่ๆใกล้ประตูที่สุดที่จะสามารถออกไปได้เงียบๆ

 

เรื่องของมารยาท เป็นสิ่งที่ต้องมีตลอดเวลาไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนกับใคร ไหนๆมาออกกำลังกายเพื่อให้ได้สุขภาพที่ดี ทุกคนที่มาทำกิจกรรมนี้ร่วมกันก็ควรจะได้สุขภาพจิตใจที่ดีกลับไปด้วย ไม่มีอะไรยากถ้าแค่นึกถึงใจเขาใจเราเท่านั้นเองค่ะ ขอให้สนุกกับการออกกำลังกายทุกคนนะคะ

“กิน..ให้ผอม” รู้จักสารอาหารช่วยลดพุง

 

ช่วงนี้เห็นเอวบางๆของแม่นางการะเกดในบุพเพสันนิวาสทีไร ก็อดอิจฉาไม่ได้เลยนะออเจ้า อยากไล่ไขมันออกไปจากพุงกลมๆของเรา ก็ต้องเข้าใจเรื่องสารอาหารช่วยเผาผลาญไขมัน จัดให้ในเรื่องนี้เลยค่ะ

 

1. เผาผลาญไขมันด้วยแคลเซียม ไพรูเวท (Calcium pyruvate): สารนี้มีบทบาทเติมพลังงานให้กับเซลล์ จากการศึกษาของมหาวิทยาลัยพิทสเบิร์ก รัฐเพนซิลเวเนีย สหรัฐอเมริกา พบว่า ผู้ที่ลดน้ำหนักด้วยวิธีบริโภคจำกัดแคลอรี่ หากได้รับสารอาหารนี้ จะลดไขมันลงได้มากกว่าถึง 48% เนื่องจากมันทำให้เซลล์ไขมันถูกเผาผลาญได้มีประสิทธิภาพกว่า สารนี้พบได้ในแอปเปิ้ลแดง, องุ่นแดง, ไวน์แดงและชีส และถ้าจะเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ก็แนะนำในปริมาณบริโภค 1,000 มิลลิกรัมขณะท้องว่างก่อนมื้อเช้าและเย็น

 

healtheat03

 

2. ขับแกสในท้องด้วยเมล็ดยี่หร่า: ท้องอืดก็ทำให้มีพุงได้ เมล็ดยี่หร่าจะช่วยลดแกสเพราะมันมีกรดคุณสมบัติยาขับลมในท้อง ช่วยสนับสนุนแบคทีเรียชนิดดีย่อยสลายอาหาร และขัดขวางการเติบโตของแบคทีเรียชนิดเลวอีกด้วย

 

3. ดูแลสมดุลอินซูลินด้วยอบเชย: สารออกฤทธิ์ชื่อเมทิลไฮดรอกซี ชาลโคน โพลีเมอร์(methylhydroxy chalcone polymer) หรือ MHCP ในอบเชย จะช่วยให้เซลล์ไขมันตอบรับอินซูลินได้ดีขึ้น ร่างกายจึงขนส่งน้ำตาลไปสู่เซลล์และแปรสภาพเป็นพลังงานได้มากขึ้น ทำให้อินซูลินในกระแสเลือดลดต่ำลง การมีอินซูลินสูงจะทำให้ร่างกายสะสมไขมันเอาไว้มาก การบริโภคอบเชย จึงช่วยรักษาระดับอินซูลินและแก้ปัญหาไขมันหน้าท้อง

 

4. ชาเขียวช่วยเผาผลาญไขมัน: สารประกอบโพลีฟีนอลหลักในชาเขียวชื่อว่าเอพิแกลโลคาเทชิน แกลเลท(epigallocatechin gallate) หรือ EGCG ทำให้อุณหภูมิร่างกายสูงขึ้น จึงใช้พลังงานเผาผลาญไขมันเพิ่มขึ้น ชานี้ยังอุดมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยลดการติดเชื้อซึ่งเป็นสาเหตุการเกิดไขมันหน้าท้อง ควรเลือกชาเขียวใบต้มสดจะดีกว่าชนิดผงและผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร

 

healtheat04

 

5. ฟูโคแซนทิน (Fucoxanthin) สารแคโรทีนอยด์ในสาหร่ายทะเลสีน้ำตาลช่วยลดน้ำหนัก : นักวิทยาศาสตร์ได้ให้สารนี้กับหนูทดลองที่เป็นโรคอ้วนและพบว่า มันสามารถลดน้ำหนักลงได้ 5 -10% ซึ่งสารนี้อาจช่วยเพิ่มอัตราการเผาผลาญไขมันในช่องท้อง สาหร่ายนี้จะมีขายในร้านสุขภาพของญี่ปุ่นโดยเฉพาะภายใต้ชื่อว่าวากาเมะ (wakame) และ ฮิจิกิ (hijiki)

 

6. โอเมก้า-3 (Omega-3) ลดไขมันหน้าท้อง: สารนี้ช่วยเก็บกวาดฮอร์โมนคอร์ติซอลและอดรีนาลีนที่พุ่งสูงขึ้น ป้องกันร่างกายเสียหายและการสะสมไขมันที่เกิดจากความเหนื่อยเรื้อรัง พบสารอาหารนี้ในปลาทะเลที่อุดมด้วยไขมันเช่นแซลมอน และในพืชบางชนิดเช่น เมล็ดเจีย (chia seed),เมล็ดแฟล็กซ์ (flaxseed) รวมทั้งผลิตภัณฑ์เสริมอาหารโอเมก้า-3 ก็ช่วยได้

 

7. เคอร์เซทิน (Quercetin) พัฒนาภูมิต้านทาน: สารฟลาโวนอยด์ที่ช่วยต่อสู้ไขมันหน้าท้องได้ดี โดยมันจะไปทำให้เซลล์ไขมันที่เพิ่งก่อตัวหยุดการเจริญเติบโต จึงยับยั้งอัตราการเกิดใหม่ของเซลล์ไขมันได้ดีกว่าสารฟลาโวนอยด์ชนิดอื่นๆ สารนี้มีมากในแอปเปิ้ล,หอมแดง,ชาเขียว, องุ่นแดง, มะเขือเทศ,บร็อคโคลี,เชอรี่, ราสพ์เบอร์รี่,และผักใบสีเขียวเข้ม ซึ่งการรับสารนี้จากอาหารจะให้ผลดีกว่าผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร

 

healtheat02

 

8. เรสเวราทรอล (resveratrol) ฟื้นฟูเมตาบอลิซึ่มให้เผาผลาญแคลอรี่ได้มากขึ้น: สารนี้ยังช่วยควบคุมสมดุลของเอสโตรเจน ซึ่งการมีเอสโตรเจนสูงจะทำให้ร่างกายเพิ่มการสะสมไขมัน เราพบสารนี้ได้ในองุ่นแดง, ไวน์แดง, ถั่วลิสง,และดาร์กชอกโกแล็ต

 

9. วิตามินซี ช่วยลดระดับฮอร์โมนคอร์ติซอลจากความเหนื่อยล้า: การเพิ่มของคอร์ติซอลจะทำให้เกิดการสะสมไขมันหน้าท้อง วิธีคือให้บริโภคอาหารที่อุดมด้วยวิตามินซีอย่างน้อยสองอย่างในแต่ละวัน ได้แก่ส้ม, กีวีและพริกหวานสีเขียว ถ้าเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ก็ให้บริโภควันละ 500 มิลลิกรัมและเลือกสูตร time – released formula

 

10. น้ำช่วยลดไขมันหน้าท้อง: แค่ดื่มน้ำสะอาดประมาณ 17 ออนซ์ เราก็จะมีการเพิ่มขึ้นของอัตราเมตาบอลิซึ่มประมาณ 30% ปริมาณของเหลวที่เพิ่มขึ้นนี้จะสนับสนุนการย่อยสลายของไขมัน ซึ่งสิ่งควรรู้คือ การขาดน้ำสามารถไปลดระดับเมตาบอลิซึ่มของเราได้ จึงแนะนำให้ดื่มน้ำอย่างน้อย 64 ออนซ์ต่อวัน

 

ทั้งหมดคือสารอาหารที่นอกจากช่วยให้พุงหายไปแล้ว ก็ยังช่วยให้เรามีสุขภาพโดยรวมที่ดีขึ้นด้วยกินอย่างไรให้ผอมคำตอบก็คือกินอย่างมีสติและเข้าใจทั้งเรื่องของคุณภาพและปริมาณถ้าทำได้แบบนี้ การกินก็จะเป็นเรื่องดีต่อสุขภาพของทุกคน ยิ่งถ้าออกกำลังกายสม่ำเสมอ เอวบางๆก็จะเป็นของสาวๆออเจ้าทุกคนแน่นอนค่ะ

พลังคู่อาหารช่วยต้านโรค

 

ของอะไรที่อยู่กันเป็นคู่ก็จะช่วยสนับสนุนกันได้ดีกว่า รวมทั้งคู่อาหารเหล่านี้ที่จะให้ผลดีต่อสุขภาพคุณเป็นสองเท่า

 

เรารู้ว่าอาหารและพืชผักหลายชนิดมีประโยชน์ แต่รู้ไหมว่า การนำมันมาบริโภคคู่กัน ก็จะทำให้ได้รับพลังสารอาหารที่ช่วยป้องกันโรคได้ดีขึ้นกว่าเดิมกว่าที่จะบริโภคมันแบบเดี่ยวๆ มาดูการจับคู่อาหารเหล่านี้ที่เราจัดไว้ให้คุณ

 

ไข่กับผักโขม: ช่วยสมดุลการมองเห็นของสายตา

 

healthfood004

 

ไข่แดงและผักโขม ทั้งคู่เป็นอาหารที่อุดมไปด้วยลูทีน (lutein) และซีแซนทิน (zeaxanthin) ซึ่งเป็นสารแคโรทีนอยด์สองชนิดที่มีบทบาทสำคัญในการปกป้องสุขภาพนัยน์ตาส่วนมาคูล่า ( macula) ซึ่งเป็นพื้นที่รูปกรวยสีออกเหลือง ที่อยู่ใจกลางเยื่อชั้นในของลูกตาให้มีสุขภาพดี เมื่อเราบริโภคสองอย่างนี้ด้วยกัน ร่างกายก็จะดูดซึมสารแคโรทีนอยด์จากผักโขมได้มากกว่าเดิมถึง 8 เท่า ที่เป็นแบบนี้เพราะแคโรทีนอยด์เป็นสารอาหารที่ละลายในน้ำมัน จึงซึมสู่ร่างกายง่ายกว่าเมื่อมันถูกย่อยในน้ำมันของกรดไขมันไม่อิ่มตัวที่มีในไข่แดง

 

หัวหอมกับข้าวกล้อง: พัฒนาภูมิต้านทานของร่างกาย

ข้าวกล้องเป็นข้าวที่อุดมด้วยแร่ธาตุสังกะสี ซึ่งจำเป็นต่อระบบภูมิต้านทานของร่างกาย และหัวหอมก็มีสารประกอบของอาหารชนิดหนึ่งที่เรียกว่า ออร์กาโนซัลเฟอร์ (organosulfur) ซึ่งได้รับการวิจัยพบว่าสามารถช่วยป้องกันโรคมะเร็งได้ เมื่อสองสิ่งนี้ถูกนำมาบริโภคด้วยกัน ข้าวกล้องที่อุดมด้วยสังกะสีก็จะถูกย่อยได้ง่ายขึ้น ทั้งร่างกายคุณก็จะสามารถดูดซึมแร่ธาตุสังกะสีขากข้าวกล้องได้มากขึ้นกว่าเดิมถึง 159% อีกด้วย

 

ผงกะหรี่กับพริกไทยดำ: ช่วยป้องกันโรคเบาหวาน

 

healthfood005

 

ในผงกะหรี่มีส่วนผสมของขมิ้นที่มีสารเคอร์คูมิน ( curcumin) สารต้านอนุมูลอิสระที่มีคุณสมบัติช่วยลดการผลิตอินซูลินในร่างกายหลังมื้ออาหารลงได้ถึง 20% ซึ่งสิ่งนี้จะช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคเบาหวานในระยะยาวให้กับคุณ แต่ข้อเสียของสารเคอร์คูมินนี้ก็คือ ร่างกายของเราไม่สามารถจะดูดซึมได้ดีนัก ทำให้มันถูกนำไปใช้ประโยชน์ได้ไม่เต็มที่ ซึ่งหากบริโภคคู่กับพริกไทยดำป่นผสมด้วยเล็กน้อย พริกไทยดำจะมีสารไพเพอรีน ( piperine) ซึ่งเป็นสารที่ช่วยที่เพิ่มความสามารถในการดูดซึมเคอร์คูมินในผงกะหรี่ให้มากขึ้นถึง 2,000% เลยทีเดียว

 

ปลาซาร์ดีนกับมะเขือเทศอบหรือนึ่ง: ช่วยลดความเสี่ยงโรคหัวใจ

ซาร์ดีนและมะเขือเทศอบ อาหารทั้งสองชนิดนี้ ต่างก็มีสารอาหารที่ช่วยสุขภาพของหัวใจที่แตกต่างกัน โดยซาร์ดีนจะมีกรดไขมันโอเมก้า -3 และมะเขือเทศจะมีสารไลโคปีน (lycopene) ซึ่งการบริโภคมันคู่กันก็จะให้ผลดีมากขึ้นในการป้องกันโรคหัวใจ มีการศึกษาพบว่า ผู้หญิงที่ดื่มน้ำมะเขือเทศคู่กับการบริโภคอาหารที่อุดมด้วยโอเมก้า -3 เป็นเวลา 2 สัปดาห์ จะมีอัตราการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจน้อยกว่าผู้หญิงที่ดื่มแต่น้ำมะเขือเทศเดี่ยวๆ ถ้าถามว่าทำไมเป็นแบบนี้คำอธิบายหนึ่งก็คือ กรดไขมันโอเมก้า -3 ทำให้ไลโคปีนถูกย่อยและดูดซึมได้ง่ายขึ้นนั่นเอง

 

บร็อคโคลีต้มกับผักแรดิช: ช่วยป้องกันอาการปวดข้อ

บรอคโคลีเป็นอาหารที่อุดมด้วยสาร ซัลโฟราเฟน (sulforaphane) สารอาหารที่ช่วยชลอการถูกทำลายของกระดูกอ่อนของข้อต่อ ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของการพัฒนาไปสู่โรคข้อเข่าเสื่อม (osteoarthritis) แต่สารซัลโฟราเฟนในพืชมักจะสลายไปเมื่อมันถูกความร้อนจากการปรุงที่อุณหภูมิสูงเกินไป หรือการแช่ในช่องแช่แข็งของตู้เย็น การแก้ปัญหานี้ ทำได้โดยปรุงมันคู่กับผักแรดิชรสชาติเผ็ดรอ้น ซึ่งจะมีเอนไซม์ชนิดหนึ่งที่เรียกว่า ไมโรซิเนส (myrosinase) ช่วยฟื้นฟูคุณสมบัติของซัลโฟราเฟนที่มีอยู่ ในบรอคโคลีได้

 

เนื้อไก่กับชีส: ช่วยป้องกันโรคสมองเสื่อม

 

healthfood003

 

เมื่อเราบริโภคเนื้อไก่กับชีสด้วยกัน ก็คือการให้ร่างกายได้รับวิตามินบีสำคัญถึง 3 ใน 8 ชนิด นั่นก็คือโฟเลท, วิตามินบี6 และวิตามินบี12 ซึ่งเป็นกลุ่มวิตามินที่มีบทบาทอย่างมากกับร่างกาย จากการวิจัยของสหรัฐอเมริกา

 

คำอธิบายหนึ่งของการฟื้นฟูสมองได้ก็คือ เมื่อร่างกายขาดสารโฟเลท วิตามินบี 6 และวิตามินบี 12 ระดับของกรดอมิโนชนิดหนีงที่ชื่อว่า โฮโมซิสเตอีน (homocysteine) ก็จะเพิ่มสูงขึ้น และระดบที่สูงขึ้นของโฮโมซิสเตอีนนี้เอง ที่มีความเกี่ยวเนื่องกับการหดตัวของสมองในวัยที่เพิ่มสูงขึ้น นำไปสู่การสูญเสียความจำและโรคสมองเสื่อม

 

เนื้อสัตว์แดงกับโรสแมรี่: ช่วยป้องกันโรคมะเร็ง

เนื้อสัตว์แดง เป็นอาหารที่อุดมด้วยธาตุเหล็ก สังกะสี วิตามินบี 12 และยิ่งหากเป็นสัตว์เนื้อแดงที่เลี้ยงด้วยหญ้าหรือที่เรียกว่า grass-feed ก็จะอุดมด้วยกรดไขมันโอเมก้า -3 อย่างไรก็ตาม หากมันถูกนำไปปรุงอาหารด้วยความร้อนสูงๆเช่นบาร์บีคิว มันก็จะเกิดการก่อตัวของสารก่อมะเร็งที่ชื่อว่า กรดฮีทเทอโรไซคลิก ( heterocyclic acid) หรือ HCA ขึ้นในอาหาร

 

โรสแมรี่ที่ถูกผสมลงไปในการหมักเนื้อแกะเมื่อนำไปปรุงอาหาร จะช่วยบดการก่อตัวของสารof HCA นี้ลงได้ประมาณ 30 -100% ทั้งนี้เพราะโรสแมรีมีสารประกกอบต่างๆอย่างน้อยถึง 3 ชนิดที่จะช่วยบล็อกการก่อตัวของสาร HCA ไม่ให้ก่อตัวขึ้นในระหว่างการปรุงเนื้อสัตว์ด้วยความร้อนดังกล่าว

 

อโวคาโดกับแครอท: ช่วยฟื้นฟูระดับวิตามิน เอ ของร่างกาย

 

healthfood002

 

จับคู่พืชผักสองชนิดนี้เข้าด้วยกัน จะทำร่างกายของคุณสามารถดูดซึมแคโรทีนจากมันได้มากกว่าปกติถึง 6 เท่า และร่างกายก็จะนำสารนี้ไปแปรสภาพเป้นวิตามินเอ ซึ่งเป็นวิตามินที่สำคัญกับสุขภาพผิวหนัง การมองเห็นของสายตาและระบบภูมิคุ้มกันที่แข็งแรงของร่างกาย อโวคาโดช่วยในเรื่องนี้อย่างไร เนื่องจากสารเบต้าแคโรทีน เป็นสารอาหารที่ละลายในน้ำมัน ดังนั้น ร่างกายของเราจึงขะสามารถนำเบต้าแคโรทีนไปใช้ได้ดีกว่า เมื่อเราบริโภคมันคู่กับพืชที่อุดมด้วยไขมันอย่างอโวคาโด

 

ถั่วชิคพีกับน้ำมะนาว: ช่วยต่อต้านความเหนื่อยล้า

ถั่วชิคพี เป็นอาหารที่อุดมด้วนธาตุเหล็ก ซึ่งเป็นสารอาหารที่ช่วยต้านความเหนื่อยล้า ซึ่งปัญหาคือร่างกายจะดูดซึมธาตุเหล็กในถั่วนี้ได้ยากกว่าธาตุเหล็กที่อยู่ในเนื้อสัตว์เช่นเนื้อแกะ แต่ก็มีทางแก้ไขได้ โดยนำถั่วนี้มาบริโภคด้วยกันกับน้ำมะนาวซึ่งอุดมด้วยวิตามินซี ปฎิกิริยาที่เกิดขึ้นจากวิตามินซีที่มีสภาวะเป็นกรด ก็จะทำให้ธาตุเหล็กในถั่วนี้ถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้ง่ายขึ้นกว่าเดิมถึง 3 เท่า

 

ยังมีคู่อาหารอีกหลายอยางที่คุณสามารถจับคู่กันเพื่อให้ได้ผลดีต่อสุขภาพมากขึ้น ขอเพียงแต่เรารู้จักสารสำคัญในอาหารเหล่านั้นและคุณสมบัติข้อดีข้อด้อยที่ร่างกายจะนำไปใช้ ก็จะได้คู่หูดูโอสนุกๆของเมนูอีกหลายรายการ ปรุงอาหารคราวหน้า อย่าลืมเลือกเมนูจับคู่ให้พืชผักเหล่านี้ เพื่อสุขภาพที่ดีกว่าของทุกคนนะคะ