ระวังอาหารเหล่านี้…ที่ทำร้ายระบบเมตาบอลิซึ่มของคุณ

 

เวลาไปซื้ออาหารในซูเปอร์มาร์เก็ต แน่นอนที่เราจะเลือกแต่สิ่งดีๆต่อสุขภาพ แต่อาหารบางชนิดที่เราเชื่อว่าดีต่อสุขภาพนั้น นอกจากจะไม่ให้ประโยชน์แล้ว ยังมีผลเสียต่อระบบเผาผลาญอาหารของเราเสียอีก มาดูแลตัวเองด้วยการเลี่ยงอาหารสำเร็จรูป 6 ชนิดนี้ ที่ทำให้เกิดความเสี่ยงต่อระบบเผาผลาญอาหารและระบบการย่อย

 

1. น้ำผลไม้พร้อมดื่ม: มักจะเต็มไปด้วยน้ำตาลและสารเคมีนานาชนิด ทำให้อ้วนและมีปัญหาสุขภาพตามมา การสำรวจพบว่า ในน้ำผลไม้สำเร็จรูปปริมาณ 18 ออนซ์หนึ่งแก้ว จะมีน้ำตาลอยู่ 30 กรัม ในขณะที่น้ำผลไม้แบบโซดาจะมีน้ำตาลอยู่ราวๆ 28 กรัม นอกจากนี้ ก็ยังมีคอร์นไซรัป เด็กซ์โตรส, ฟรุคโตส รวมทั้งปริมาณน้ำผลไม้เข้มข้นที่ผสมอยู่ด้วย มันจึงไม่ได้ “สด” อย่างที่คุณคาดหวัง

 

วิถีธรรมชาติ: ทำน้ำมะนาวดื่มเองโดยใช้น้ำมะนาวคั้นจากผล ผสมกับน้ำสะอาดและสเตเวีย (stevia) ซึ่งเป็นหญ้าหวานจากธรรมชาติ ที่หาซื้อได้ในร้านขายผลิตภัณฑ์สุขภาพทั่วไปจะดีกว่า หรือไม่ก็ดื่มชาสมุนไพรใส่น้ำผึ้งธรรมชาติ, น้ำมะพร้าวสดจากผลของมัน หรือทำน้ำแช่ผลไม้สดต่างๆเช่น สตรอเบอร์รี่, เลมอน, หรือสมุนไพรต่างๆที่เรียกว่า อินฟิวชั่น ดื่มเพื่อความสดชื่นและสุขภาพดี

 

2. โฮลเกรนสำเร็จรูป: เป็นอาหารที่เสี่ยงต่อระบบการย่อยมากที่สุด จากส่วนผสมของกลูเตน แป้งมันสำปะหลัง และกรดไฟติก (phytic acid) ที่พบในส่วนผสมของขนมปังจากข้าวสาลี ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นสารที่ก่อให้เกิดการติดเชื้อของร่างกาย นอกจากนี้ มันยังยากที่ร่างกายจะดูดซึมแร่ธาตุและวิตามินจากมันอีกด้วย ผลิตภัณฑ์อาหารที่มีส่วนประกอบเหล่านี้ที่ควรระวังได้แก่ ขนมปัง, พาสต้า, ซีเรียล, แคร็กเกอร์,ขนมหวาน, ขนมขบเคี้ยวต่างๆ และกราโนลาบาร์สำเร็จรูป

 

วิถีธรรมชาติ: เลือกขนมปังที่ทำจากเมล็ดสเปราท์ที่มีชื่อว่า Ezekiel หรือขนมปังที่ทำจากแป้งยีสต์หมักที่เรียกว่า ซาวร์โด (Sourdough) หรือผลิตภัณฑ์อาหารที่ทำจากแป้งมะพร้าวแทนแป้งสาลี ผลิตภัณฑ์เหล่านี้จะมีไฟเบอร์สูงและมีกรดไขมันที่ร่างกายนำไปใช้ได้ดีกว่า

 

3. สารทดแทนความหวานวิทยาศาสตร์: แอสพาแตม (Aspartame) ได้ถูกพบว่าเกี่ยวข้องกับปัญหาสุขภาพมากมายถึง 92 เรื่องด้วยกัน ในขณะที่สารซูคราโลสและแอสพาแตม จะไปกระตุ้นความอยากอาหาร ทำให้เพิ่มความอยากบริโภคคาร์โบไฮเดรตมากขึ้นด้วย

 

วิถีธรรมชาติ: สเตเวีย( Stevia) เป็นหญ้าหวานที่ให้ความหวานธรรมชาติและไม่มีแคลอรี่ หรือใช้น้ำผึ้งธรรมชาติจะดีกว่า

 

healthbeta03

 

4. น้ำมันคาโนลา (Canola Oil): น้ำมันนี้จะไปชลอระบบการเผาผลาญไขมัน ทำให้เกิดการสะสมไขมันที่ร่างกายไม่ต้องการเอาไว้ นอกจากนี้ มันยังถูกผลิตโดยการเติมไฮโดรเจนเข้าไปในส่วนผสม ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงโมเลกุลโครงสร้างและทำให้เกิดการติดเชื้อได้ง่ายขึ้น ทั้งยังขัดขวางการทำงานของระบบเมตาบอลิซึ่มและฮอร์โมนต่างๆ

 

วิถีธรรมชาติ: น้ำมันมะพร้าว มีกรดไขมันที่ดีในปริมาณสูง ช่วยให้ระบบเผาผลาญอาหารมีประสิทธิภาพดี

 

5. เนยถั่ว: ถั่วลิสงส่วนมากมักปลูกในดินและเก็บไว้ในไซโลที่มีความชื้นสูง ทำให้มีโอกาสเกิดเชื้อราอะฟลาท็อกซิน ซึ่งมีผลต่อปัญหาของลำไส้ที่เชื้อรานี้จะไปรบกวนจุลินทรีย์โปรไบโอติค ทำลายระบบการย่อย นอกจากนี้ ถั่วลิสง ยังอุดมด้วยกรดไขมันโอเมก้า -6 ที่ทำให้ร่างกายติดเชื้อได้ง่ายขึ้นอีกด้วย

 

วิถีธรรมชาติ: เลือกเนยหรือผลิตภัณฑ์ที่ทำจากถั่วอัลมอนด์ ที่อุดมด้วยกรดอมิโน เพิ่มคุณภาพการย่อยที่ดีให้กับร่างกาย ช่วยสร้างกล้ามเนื้อและเพิ่มอัตราการเผาผลาญอาหารให้ดีขึ้นอีกด้วย

 

healthbeta02

 

6. กราโนลา: ของว่างชนิดนี้ทำจากธัญพืชและน้ำตาลเป็นหลัก และบ่อยครั้งที่น้ำผึ้งที่ใช้ในกราโนลาก็ถูกพบว่ามันไม่มี สารอาหารที่มีประโยชน์ใดๆ เนื่องจากได้ผ่านการพาสเจอร์ไรส์ด้วยความร้อนสูงมาแล้ว ในกราโนลา ยังประกอบด้วยสารกลูเตน, กรดไฟติกที่เพิ่มความเสี่ยงการติดเชื้อของร่างกาย และน้ำผึ้งสำเร็จรูป ทั้งหมดคือจุดจบของระบบการเผาผลาญอาหารของคนที่บริโภคมันเข้าไป

 

วิถีธรรมชาติ: มาทำกราโนลาบริโภคเองกันดีกว่า แช่เมล็ดอัลมอนด์, มะม่วงหิมพานต์, ถั่วพีแคนและเมล็ดเจียในน้ำสะอาด 8 ชั่วโมง จากนั้นนำมาตากให้แห้ง ผสมกับน้ำผึ้งธรรมชาติ, ลูกเกด, เกล็ดมะพร้าว, อบเชยและถั่วที่ผสมเกลือทะเล ตัดเป็นชิ้นๆเข้าเตาอบหรือเครื่องอบอาหารแห้ง เท่านี้ก็ได้กราโนลาที่มีประโยชน์ไว้บริโภคแล้ว

 

เพราะอาหารคือจุดเริ่มต้นของสุขภาพที่ดี คำว่า “You are what you eat” ยังคงใช้ได้ดีเสมอ การอ่านส่วนประกอบของอาหารสำเร็จรูปทุกครั้งก่อนนำมันมาบริโภค คือสิ่งที่ควรทำทุกครั้งเวลาไปซื้อหาอาหาร ถ้าทำได้อย่างนี้ ก็จะทำให้คุณเข้าใจผลิตภัณฑ์ที่ซื้อไปและเลือกสรรสิ่งที่ดีอย่างแท้จริงต่อสุขภาพคุณแน่นอนค่ะ

2018 ..ปีแห่งรูปร่างดีที่สุดของคุณ

 

สวัสดีปีใหม่ค่ะ หลังจากที่ผ่านช่วงฉลองปีใหม่ ที่เต็มไปด้วยอาหารอร่อยๆและคุณก็ฉลองกับมันไปแบบไม่ยั้งกันมาแล้ว ทีนี้ก็มาถึงเวลาที่คุณจะต้องมาตั้งโหมดไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิต เพื่อให้มีรูปร่างเพรียวสวยกันเสียที แน่นอนค่ะว่ามันไม่ได้ยาก ถ้าเราจะเซ็ททัศนคติกันใหม่ตามนี้… จัดเลย!

 

1. บอกตัวเองว่า “ ฉันกำลังอยู่ในระหว่างการคุมน้ำหนัก” ไว้ตลอดเวลา

นั่นก็เพราะว่า เวลาที่คุณมีความคิดแบบนี้อยู่ในใจ มันก็จะทำให้คุณระลึกอยู่เสมอ ว่าคุณต้องบริโภคแต่โภชนาการที่ดี แล้วทีนี้คุณก็จะมีการวางแผนก่อนจะหยิบอะไรเข้าปาก คุณอาจบอกว่าการบริโภคตามใจปากคือความสุข แต่การวางแผนก่อนบริโภคนี่ก็ไม่ได้ทำให้ความสุขที่ว่านี้น้อยลงนะคะ ตรงกันข้าม มันกลับจะทำให้คุณพบความสุขในระยะยาวได้มากกว่าด้วยซ้ำ การวางแผนและคิดล่วงหน้า จะช่วยให้เราตัดอาหารที่ไม่จำเป็นออกไป ซึ่งนี่ไม่ใช่การบังคับตัวเองแบบไม่มีเหตุผล แต่มันคือการหาสมดุลระหว่างอาหารที่คุณห้ามใจตัวเองไม่ได้ กับอาหารที่ควรบริโภคเพื่อสุขภาพที่ดี แน่นอนมันไม่มีเหตุผลใดๆที่จะทำให้คุณโยนอาหารใดๆทิ้ง เพียงแต่จำกัดปริมาณและเวลาที่จะบริโภคให้เป็นที่เป็นทางขึ้นเท่านั้น

 

 

2. เคลื่อนไหวร่างกายให้บ่อยขึ้น

 

healthshape003

 

อย่าอ้างว่าร้อนไปหรือหนาวไปทำให้คุณนั่งหรือนอนจมอยู่กับที่เป็นเวลานานๆ เพราะกุญแจสำคัญของสุขภาพดีและรูปร่างผอมเพรียว ก็คือการขยับลุกเดินให้บ่อยๆ และนั่งอยู่กับที่ให้น้อยลง เมื่อรู้แล้วก็ให้หาเรื่องลุกจากโต๊ะทำงานให้มากขึ้น เพราะจากการศึกษาของมหาวิทยาลัยควีนสแลนด์ ออสเตรเลีย ระบุว่า คนที่ลุกจากที่นั่งประจำและเดินไปไหนๆแม้เพียงนาทีเดียวเท่านั้น ก็จะมีเส้นรอบเอวที่น้อยกว่า โดยมีการทดลองกับคน 100 คน และให้ 25 คนที่ใช้เวลาพักเบรกลุกขึ้นเดินไปไหนๆเป็นเวลา 1-2 นาทีทุกๆวัน ในขณะที่อีก 75 คนนั่งติดกับโต๊ะ ก็พบว่าคนกลุ่มแรกจะมีเส้นรอบเอวเฉลี่ยน้อยกว่ากลุ่มหลังถึง 4.1 ซม.ที่เป็นแบบนี้ก็เพราะเวลาที่คุณนั่ง ระบบการไหลเวียนต่างๆของร่างกายก็จะชลอตัวช้าลง โดยเฉพาะระบบการเผาผลาญอาหารที่จะช้าลงถึง 21% ทำให้คุณสะสมแคลอรี่ไว้มากขึ้น

 

3. ฟังเสียงความต้องการของร่างกายให้มากขึ้น

 

healthshape004

 

ในนาทีที่คุณห้ามร่างกายจากการบริโภคอาหารบางอย่าง เมื่อทำแบบนั้น ก็จะทำให้ร่างกายยิ่งหิวโหยและต้องการบริโภคอาหารนั้นๆมากขึ้น เพราะคำว่า “ไม่ได้” จะยิ่งไปสนับสนุนสัญชาตญาณให้พยายามหาทางออกมากขึ้น นี่คือทฤษฎีจิตวิทยาพื้นฐานความต้องการที่เรียกว่า ทฤษฎีแรงต้านทานทางความคิด หรือ Reactance Theory ที่มีอยู่ในสัญชาตญาณของมนุษย์ที่รักอิสระไม่ชอบการถูกบังคับ ดังนั้น การบอกว่า “ไม่ได้” ก็คือการทำให้ความต้องการยิ่งเพิ่มขึ้น วิธีที่ถูกก็คือ ให้จัดระดับความหิวของคุณในเวลานั้นว่ามากแค่ไหนโดยเรตติ้งมันตั้งแต่ 1 -10 และแทนที่จะปฏิเสธการบริโภคอย่างสิ้นเชิง ก็ให้ฟังเสียงร่างกายและบริโภคมันโดยไม่ต้องรู้สึกผิด ยังมีอีกเทคนิคหนึ่งก็คือ หาอาหารทดแทนเพื่อไมให้ร่างกายต้องได้รับแคลอรี่มากเกินไป เช่นหากคุณอยากขนมหวานจัดๆ ก็ให้เปลี่ยนเป็นผลไม้แทนก็จะช่วยได้ หรือใช้ทฤษฎี “ ครึ่งจาน” โดยการเติมผักผลไม้หรือสลัดลงไปและให้ใส่อาหารที่คุณอยากบริโภคเพียงครึ่งจาน ก็เป็นวิธีช่วยประนีประนอมได้อีกวิธีหนึ่ง

 

4. จัดบ้านให้ “เข้าทาง” ของคุณ

 

healthshape002

 

ฟังดูไม่น่าเกี่ยวกัน แต่จริงๆแล้วคุณรู้ไหมคะว่า พฤติกรรมการบริโภคมากเกินไปนี่ บางทีมันก็ไม่ได้อยู่ที่ความต้องการของร่างกาย แต่มันอยู่ที่สภาพแวดล้อมของบ้านหรือออฟฟิศของคุณต่างหาก ที่ทำให้พฤติกรรมการบริโภคอาหารของคุณมากขึ้นเพราะคุณสามารถ “หยิบ” ของใส่ปากได้สะดวกตลอดเวลา เรื่องนี้มีการศึกษาพบว่า ในวันหนึ่งๆเรามีการเลือกเงื่อนไขต่างๆของอาหารที่จะบริโภคนี้มากกว่า 200 ครั้ง เอาง่ายๆเช่น จะทานสลัดหรือมันทอดดี? จะเอาไซส์ใหญ่หรือไซส์กลาง? จะกินให้หมดถุงหรือจะเก็บไว้กินวันหลังต่อดี? ซึ่งการตัดสินใจเลือกคำตอบเหล่านี้ ล้วนมาจากสภาพแวดล้อมในเวลานั้นทั้งสิ้น ดังนั้น หากเราจัดการกับสภาพแวดล้อมให้เหมาะสม เช่นเก็บขนมขบเคี้ยวไว้ในตู้ไม่ให้วางล่อใจ คุณก็จะไม่ต้องหยิบมันใส่ปากได้ง่ายๆจากความเคยชิน แล้วคุณก็จะมีพฤติกรรมการบริโภคที่ดีขึ้น

 

เห็นไหมคะว่าแค่ 4 เรื่องนี้ที่ไม่ยากเย็น แต่มันให้ผลดีมากมายทั้งหุ่นสวยและเรื่องสุขภาพที่ดี นี่ขนาดยังไม่ได้ออกไปเข้ายิมเลยด้วยซ้ำ ลองเริ่มต้นปีใหม่ด้วยการทำตามคำแนะนำเหล่านี้ดูนะคะ รับรองว่าถ้าทำได้ จะเป็นปีนี้หรือปีไหนๆ คุณจะมีรูปร่างสวยและสุขภาพดีได้ไม่ยากเลยค่ะ

12 วิธีลดน้ำหนักแบบคนไม่มีเวลา

 

ใกล้ปีใหม่แล้ว! งานก็ต้องทำ สวยก็ต้องสวย ยิ่งปลายปีงานวิ่งเข้าหาแบบไม่มีเวลาให้ไปเข้าฟิตเนส แล้วจะได้สวยผอมรับปาร์ตี้ปีใหม่กับเขาไหมเนี่ย ไม่เป็นไรค่ะอย่าเพิ่งจิตตก มาบอกวิธีลดน้ำหนักของคนไม่มีเวลาให้แล้ว

 

1. ทิ้งความคิด “ทั้งหมดหรือไม่เลย” ไปจากสมองของคุณ:

เพราะทุกก้าวเล็กๆที่คุณทำเพื่อเดินไปสู่ไลฟสไตล์สุขภาพดีนั้น ล้วนมีผลดีต่อร่างกายคุณทั้งสิ้น นี่คือการระบุของ ดร.เจฟ คาทูลา ผู้ช่วยผู้อำนวยการศูนย์สุขภาพและการออกกำลังกายของมหาวิทยาลัยเวค ฟอร์เรส ประเทศฟินแลนด์ “ คนส่วนใหญ่มักคิดว่า จะต้องใช้เวลาเป็นชั่วโมงๆอยู่ในโรงยิม หรือเข้าคอร์สบริโภคอาหารซูเปอร์ฟู้ดถึงจะมีรูปร่างที่ดีได้ และเมื่อเขาไม่มีเวลาพอ ก็จะล้มเลิกพฤติกรรมสุขภาพดีที่เคยทำอยู่ช่วงสั้นๆนั้นทั้งหมด ” ดร. เจฟบอกว่า แทนที่คุณจะต้องมองหาเวลาว่างให้ได้ตลอดวันเพื่อเข้ายิม แล้วพอไม่มีเวลาก็รู้สึกว่าวันนี้ล้มเหลว ก็ให้เปลี่ยนไปมุ่งที่การดูแลแคลอรี่ของอาหารที่จะบริโภคมื้อต่อไปแทน แบบนี้ก็ได้ เพราะทุกๆการตัดสินใจของคุณในทุกเรื่องที่ได้ทำ นั่นคือโอกาสแห่งสุขภาพดีของตัวเองทั้งสิ้น นี่คือตัวอย่าง

 

2. บริโภคอาหารปริมาณน้อยลง:

 

healthdiet003

 

คุณไม่จำเป็นต้องทำอาหารไปบริโภคเองเพื่อจะลดน้ำหนัก เพราะสิ่งที่คุณต้องการจริงๆก็คือ การบริโภคอาหารแต่ละมื้อในปริมาณที่น้อยลงกว่าเดิม คนโดยมากจะต้องการอาหาร 1,200 และ 1,500 แคลอรี่ต่อวัน ถ้ากำลังอยู่ในช่วงลดน้ำหนักอย่างมีคุณภาพและไม่ให้เกิดโยโย่เอฟเฟ็คท์ การบริโภคในปริมาณเหมาะสม งดของหวาน คือวิธ๊ง่ายที่สุดที่จะลดการนำแคลอรี่เข้าสู่ร่างกายมากเกินไป

 

3. อย่างดมื้ออาหาร:

มันอาจฟังดูตรงข้ามกันที่บอกว่าให้บริโภคน้อยลงแต่ไม่ให้งดมื้ออาหาร แต่ถ้ายิ่งคุณทำงานจนไม่มีเวลา คุณก็ยิ่งต้องการแคลอรี่ที่สม่ำเสมอในช่วงทำงานตลอดวัน นี่คือการระบุของเจสสิกา บาร์ทฟิลด์ ผู้อำนวยการศูนย์สุขภาพระบบการเผาผลาญอาหาร มหาวิทยาลัยโลโยต้า เมืองชิคาโก สหรัฐอเมริกา ถ้าร่างกายทำงานนานกว่า 4-5 ชั่วโมงโดยไม่มีการเติมพลังงานให้เลย มันก็จะไปชะลอระบบการเผาผลาญอาหารของคุณให้ช้าลง ส่งผลกับฮอร์โมนและระดับอินซูลินในร่างกาย “ คนไข้โรคอ้วนส่วนใหญ่ไม่ได้บริโภคอาหารมากเกินไปเสมอไป แต่มันเป็นเพราะแพทเทิร์นการบริโภคอาหารของร่างกายของเขาได้เกิดความผิดปกติ สะสมมานานจากพฤติกรรมประจำวัน เช่นดื่มกาแฟหนึ่งถ้วยตอนเช้าและไม่มีอาหารใดๆตกถึงท้องอีกเลยจนบ่าย ซึ่งเราควรเลี่ยงพฤติกรรมนี้และรักษาตารางการบริโภคให้คงที่เสมอ”

 

4. เคลื่อนไหวร่างกายให้มากขึ้น:

 

healthdiet002

 

การออกกำลังกายให้ได้วันละ 30 ถึง 60 นาทีนั้นดีมาก แต่มันก็ไม่ง่ายที่เราจะทำแบบนี้ได้บ่อยๆ ซึ่งความจริงแล้ว มันไม่ผิดถ้าหากคุณจะย่อยช่วงเวลาออกกำลังกายนี้ให้เป็นเวลาย่อยๆหลายๆครั้งต่อเนื่องตลอดวัน แทนที่จะทำมันเพียงครั้งเดียวรวดในหนึ่งวัน คุณอาจยืดหยุ่นร่างกายตอนเช้า 10 นาที, และเดินออกกำลังในมื้อเที่ยงอีก 10 นาที, และออกกำลังอีก 10 นาทีตอนกลางคืน ถ้าคุณทำแบบนี้ได้ต่อเนื่อง 5 วันต่อสัปดาห์ คุณก็จะมีรูปร่างที่ดีตามเป้าหมายได้เหมือนกัน ให้คิดถึงเรื่องการเผาผลาญแคลอรี่ว่าเหมือนกับที่เราเก็บเงินนั่นแหละ เราจะเก็บออมทีละน้อยๆหยอดกระปุกจนได้เงินก้อนใหญ่ ซึ่งเรื่องสุขภาพก็เช่นเดียวกัน ถ้าเราทำสม่ำเสมอ

 

5. ใช้อาหารทดแทนเพื่อสุขภาพที่ดีกว่า:

ให้คิดถึงการเลือกประเภทอาหารที่จะบริโภคด้วย มันมีสิ่งเล็กๆน้อยๆที่คุณสามารถปรับเปลี่ยนเพื่อลดปริมาณแคลอรี่ที่บริโภคเข้าไปได้ อย่าลืมคิดถึงเครื่องดื่มของคุณ หากเปลี่ยนน้ำอัดลมมาเป็นน้ำโซดาใส่มะนาวหรือเป็นไดเอ็ตโซดา คุณก็จะได้รับน้ำตาลน้อยลง ทำให้ลดน้ำหนักลงไปได้หลายกิโลกรัม

 

6. อย่านั่งถ้าคุณสามารถจะยืนได้:

การนั่งนานๆเป็นผลเสียต่อระบบหัวใจ ระบบสมอง และแน่นอนกับเส้นรอบเอวของคุณ ดังนั้น ให้เปลี่ยนจากการนั่งมาเป็นการยืน หรือทำอย่างอื่นที่ต้องเคลื่อนไหวร่างกายแทน เพื่อให้คุณเผาผลาญแคลอรี่ได้ดีขึ้น “ การยืนจะไม่ได้ทำให้คุณลดน้ำหนักเพิ่มขึ้น แต่มันทำให้คุณรักษาน้ำหนักไว้ได้คงที่” นี่คือการระบุของ ดร.บาร์ธฟิลด์ ดังนั้น ให้หาโอกาสยืนให้มากที่สุด

 

7. แน่ใจว่านอนหลับพักผ่อนเพียงพอ:

 

healthdiet005

 

ถ้ารู้สึกง่วงเหงาหาวนอนเป็นประจำในทุกๆวัน อาจเป็นเพราะการที่คุณพยายามตื่นเช้ามากเกินไป หากคุณกำลังลดน้ำหนักโดยบริโภคให้น้อยลงและเคลื่อนไหวร่างกายให้มากขึ้นอยู่ละก็ ให้คิดถึงเรื่องปริมาณการนอนหลับในจำนวนชั่วโมงที่เหมาะสมด้วย เพื่อให้คุณสามารถลดน้ำหนักได้ดีกว่า

 

8. ใช้วันหยุดสุดสัปดาห์อย่างฉลาด:

ในช่วงเวลาของวันหยุดยาว ที่คุณเคยรวมกลุ่มเพื่อนสนิทไปเที่ยวด้วยกัน มาเป็นการนัดทานอาหารที่ร้านอาหารสุขภาพ หรือชวนไปออกกำลังกายด้วยกันเป็นกลุ่มในตอนวันหยุด ทำแบบนี้ก็จะได้ทั้งสุขภาพดีและสนุกด้วย ถือเป็นการใช้วันหยุดได้คุ้มค่า

 

9. ใช้ไฮเทคช่วย:

 

healthdiet004

 

เวลาไดเอ็ต เรามักไม่อดทนในการจดบันทึกรายละเอียดต่างๆ ทั้งจำนวนแคลอรี่อาหารที่บริโภคเข้าไป, แคลอรี่ที่ถูกเผาผลาญ, ตลอดจนวิธีการขั้นตอนต่างๆที่เราทำ ซึ่งด้วยเหตุผลนี้เองที่ทำให้แอพและอุปกรณ์ช่วยต่างๆถูกประดิษฐ์ขึ้น แอพและอุปกรณ์เสริมในการออกกำลังกายเหล่านี้ จะช่วยเรื่องการจดจำสถิติและการติดตามผล ทำให้คุณวางโปรแกรมออกกำลังกายได้ง่ายขึ้น ทั้งการวางแผน หรือการมุ่งไปสู่เป้าหมายของแคลอรี่ที่ต้องการ การใช้อุปกรณ์เหล่านี้จะช่วยเตือนให้คุณเคลื่อนไหวร่างกายมากขึ้นด้วย

 

10. ใช้โซเชียลมีเดียช่วย:

เอาเวลาทั้งหมดที่คุณใช้ดูเฟซบุค ทวิตเตอร์มาทำให้เป็นประโยชน์ดีกว่า จากการศึกษาของมหาวิทยาลัยอิมพีเรียลคอลเลจในลอนดอนในปี 2014 พบว่า การใช้โลกออนไลน์ช่วยเรื่องการลดน้ำหนัก เป็นวิธีที่สามารถซื้อหาได้และใช้ได้ผลจริง สามารถช่วยให้เราลดน้ำหนักได้ดีขึ้น เพราะการที่คุณได้พูดเรื่องนี้ของคุณในออนไลน์ จะทำให้คุณมุ่งมั่นกับกิจกรรมนี้มากขึ้น และช่วยให้คุณมีกลุ่มสังคมที่ทำกิจกรรมนี้ด้วยกัน ทำให้สนุกกับการลดน้ำหนักมากขึ้นจนสำเร็จ

 

11. บริโภคไฟเบอร์ให้มากขึ้น:

นี่คือเคล็ดลับลดน้ำหนักที่ไม่ต้องใช้เวลาใดๆเพิ่มขึ้นเลย แค่คุณบริโภคไฟเบอร์ให้ได้วันละ 30 กรัมเท่านั้น แต่ต้องเป็นไฟเบอร์จากอาหาร ไม่ใช่จากผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร คนที่ทำแบบนี้เป็นเวลา 1 ปีจะลดน้ำหนักได้เท่ากับคนที่ลดด้วยการใช้โปรแกรมวางแผนอาหาร ใครที่รู้สึกว่ามันยากในการทำตามคำแนะนำโปรแกรมไดเอ็ตต่างๆ ก็ให้บริโภคไฟเบอร์ให้มากขึ้น สิ่งนี้แค่เรื่องเดียวเลยที่จะช่วยให้คุณลดน้ำหนักลงได้ผล ” เลือกอาหารที่อุดมด้วยไฟเบอร์อย่างเช่นธัญพืชต่างๆ, ถั่วเปลือกนิ่ม,ผักและผลไม้, พวกนี้จะทำให้คุณอิ่มเร็วและมีพื้นที่ในกระเพาะอาหารเหลือน้อยที่จะใส่อาหารขยะ

 

12. รับมือความเหนื่อยล้าให้ได้ :

ยิ่งใกล้สิ้นปีงานยิ่งหนักขึ้น วิธีที่คุณจะรับมือได้ก็คือให้นึกเสมอว่า ความเหนื่อยล้าที่เกิดขึ้นนี้ หมายถึงการเพิ่มของเส้นรอบเอวของคุณด้วย และมันก็มี 3 เรื่องที่ส่งผลกับน้ำหนักตัว ซึ่งคุณจะต้องควบคุมให้ได้ นั่นก็คือ คุณบริโภคอะไร, คุณเคลื่อนไหวร่างกายอย่างไร, และคุณรับมือกับความเหนื่อยด้วยวิธีใด ความเหนื่อยล้าคือเรื่องหลักที่ส่งผลกับการเจริญอาหาร และกระบวนการเผาผลาญแคลอรี่ที่บริโภคเข้าไป เมื่อรู้สึกเหนื่อยล้าสิ่งที่ควรทำก็คือ นั่งพักผ่อนให้หายเหนื่อย หรือหากิจกรรมที่ไม่ใช่การสั่งอาหารจำนวนมากบริโภคเพื่อใช้มันผ่อนคลายความเหนื่อยล้าของคุณ

 

รู้เคล็ดลับเหล่านี้แล้ว ก็อย่าลืมทำมันให้สม่ำเสมอวันละเล็กละน้อย จะได้สวยสุขภาพดีรับช่วงเทศกาลกันได้ทุกคนนะคะ

เมื่อพระจันทร์คืนเพ็ญส่งผลต่อสุขภาพร่างกายคุณ

 

ยังจำนิทานเรื่องมนุษย์หมาป่าที่จะกลับคืนร่างในคืนพระจันทร์เต็มดวงกันได้ไหมคะ อย่าเพิ่งตกใจถ้าจะบอกว่า ไม่ใช่แต่มนุษย์หมาป่าเท่านั้น ที่ร่างกายจะมีการเปลี่ยนแปลงจากอิทธิพลของพระจันทร์เต็มดวงในคืนเพ็ญ แต่ร่างกายของมนุษย์เราทุกคน ก็มีการเปลี่ยนแปลงของสุขภาพที่เกิดขึ้นจากอิทธิพลของพระจันทร์ด้วยเช่นกัน

 

ในคืนพระจันทร์เต็มดวง จะเป็นคืนที่พระจันทร์โคจรอยู่ใกล้โลกมากที่สุด แรงดึงดูดระหว่างโลกและดวงจันทร์ ไม่ได้ส่งผลแค่กับพื้นดินและผืนน้ำเท่านั้น แต่ยังมีผลที่เกิดขึ้นกับร่างกายมนุษย์ด้วย จากขนาดความใหญ่และแสงสว่างที่มากกว่าเวลาปกติที่จะเห็นได้ตั้งแต่แรกที่โผล่ขึ้นมาบนท้องฟ้านั่นเอง องค์การนาซาระบุว่า ปรากฏการณ์พระจันทร์เต็มดวงและซูเปอร์มูน (supermoon) บางครั้งจะเกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวในหนึ่งปี แต่บางครั้งก็อาจจะเกิดมากกว่านั้นก็ได้ เช่นในปี 2013 ที่ผ่านมา ได้มีปรากฏการณ์ซูเปอร์มูนนี้เกิดขึ้นถึง 3 ครั้งซึ่งนับว่ามากที่สุด ซึ่งก็จะมี 4 เรื่องหลักของสุขภาพเหล่านี้ที่พระจันทร์จะมีอิทธิพลกับเรา

 

ความช้าหรือเร็วของวงจรการมีรอบเดือน:

 

healthmoon03

 

โดยปกติแล้ว วงจรการมีรอบเดือนของผู้หญิงจะอยู่ที่ 28 วันต่อครั้ง ซึ่งเมื่อพิจารณาดูแล้วก็พบว่า มันใกล้เคียงแทบจะเป็นวงจรเดียวกับรอบการโคจรของดวงจันทร์คือ 29 วัน ได้มีการทดลองกับอาสาสมัครผู้หญิงจำนวน 826 คน ที่มีอายุในช่วง 16 ถึง 25 ปี ซึ่งเป็นวัยเจริญพันธุ์ เพื่อศึกษาถึงความเกี่ยวข้องของการมีรอบเดือนกับวงจรการโคจรของพระจันทร์ ซึ่งจากการทดลองนี้ได้พบว่า เกือบทั้งหมดของผู้หญิงเหล่านี้จะมีรอบเดือนในช่วงเวลาเดียวกับในวันที่พระจันทร์เต็มดวง โดยที่ผู้หญิงกลุ่มที่มีรอบเดือนในระหว่างช่วงอื่นๆของพระจันทร์จะมีอยู่เพียง 12.5% ของผู้หญิงทั้งหมดที่เข้าร่วมการทดลองนี้

 

การเพิ่มขึ้นของอัตราการเกิดของเด็กทารก:

 

healthmoon02

 

โดยเฉพาะปรากฏการณ์ซูเปอร์มูนที่สามารถทำให้เกิดสิ่งที่ว่านี้ให้เป็นไปได้มากขึ้น จากการวิจัยที่ติดตามผลของการเกิดของทารก 1,000 รายในโรงพยาบาลเอกชนของเมืองเกียวโต ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่มารดายังอยู่ในช่วงระหว่างรอดูอาการใกล้คลอดอยู่ และก็ได้พบว่ามีทารกจำนวนมากได้ถือกำเนิดขึ้นมาในเวลาใกล้กับที่พระจันทร์เต็มดวงมากที่สุด นั่นคือช่วงแวลาที่แรงดึงดูดระหว่างโลกกับดวงจันทร์มีพลังแรงมากที่สุดด้วย ซึ่งเหตุการณ์แบบนี้จะพบในอัตรามากขึ้นไปอีก เมื่อมันเป็นปรากฏการณ์ของซูเปอร์มูน ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องแรงดึงดูดของโลก

 

การส่งผลต่อระบบการนอนหลับของคุณ:

 

healthmoon05

 

หากคุณรู้สึกว่านอนหลับยากขึ้นในช่วงที่พระจันทร์เต็มดวง มันเป็นแบบนั้นจริงๆไม่ใช่ว่าคุณคิดไปเอง จากการศึกษาเกี่ยวกับวงจรนาฬิกาชีวภาพของร่างกาย โดยการให้อาสาสมัครใช้เวลา 3 วันครึ่ง อยู่ในห้องแล็บทดลองเกี่ยวกับการนอนหลับ ซึ่งเป็นห้องที่ไม่มีนาฬิกา และอาสาสมัครก็จะไม่ได้เห็นแสงภายนอกใดๆเลย ในที่นั้น อาสาสมัครจะได้รับอนุญาตให้นอนหลับและตื่นขึ้นเหมือนกับเวลาปกติที่เขาเคยทำในกิจวัตรประจำวัน การวิจัยของสวิตเซอร์แลนด์ ได้เก็บข้อมูลการนอนหลับจากอาสาสมัครจำนวน 33 คน นำมาเปรียบเทียบกับระยะเวลาข้างขึ้นแรมของดวงจันทร์ ซึ่งก็ได้พบว่าในเวลา 4 วันของช่วงก่อนและหลังจากพระจันทร์เต็มดวง อาสาสมัครเหล่านี้จะต้องใช้เวลานานกว่าปกติ 5 นาที กว่าที่เขาจะสามารถหลับได้ตามปกติ นอกจากนี้ ผลการทดลองโดยรวมยังพบว่า ในคืนพระจันทร์เต็มดวง ยังทำให้เวลาการนอนของอาสาสมัครเหล่านี้น้อยลงกว่าที่เคยถึง 20 นาที และมีอัตราการหลับลึกได้น้อยกว่าปกติถึง 30% นอกจากนี้ พวกเขาก็ยังมีระดับคุณภาพการนอนหลับที่ด้อยลงอีกด้วยสิ่งนี้แสดงถึงการที่พระจันทร์มีผลต่อระดับฮอร์โมนเมลาโทนินของร่างกายเรา นี่คือการทดลองเพื่อระบุถึงความเกี่ยวโยงกันของการนอนหลับขอมนุษย์กับวงจรนาฬิกาข้างขึ้นข้างแรมของดวงจันทร์

 

การฟื้นตัวของร่างกายจากการผ่าตัด:

 

healthmoon04

 

จากการศึกษาเรื่องนี้พบว่า คนไข้ที่มีเคสผ่าตัดด่วนเกี่ยวกับโรคหัวใจที่เรียกว่า acute aortic dissection repair ซึ่งหมายถึงมีภาวะการฉีกขาดของหลอดเลือด หากมีการผ่าตัดเกิดขึ้นในระหว่างที่พระจันทร์เต็มดวง คนไข้จะใช้เวลาอยู่ในโรงพยาบาลหลังการผ่าตัดเป็นระยะเวลาที่สั้นกว่าและมีอัตราการเสียชีวิตน้อยกว่าคนไข้ที่ได้รับการผ่าตัดแบบเดียวกันในช่วงเวลาอื่นๆของการโคจรของดวงจันทร์ จากการศึกษาเมื่อปี 2013 ระบุว่า คนไข้ที่ได้รับการผ่าตัดระหว่างพระจันทร์เต็มดวง จะอยู่โรงพยาบาลเพื่อพักฟื้นหลังการผ่าตัดประมาณ 10 วัน ซึ่งสั้นกว่าอัตราเฉลี่ยของคนไข้ที่ได้รับการผ่าตัดแบบเดียวกันนี้ในช่วงเวลาอื่นๆของวงจรการโคจรของดวงจันทร์ ที่ปกติจะใช้เวลาประมาณ 14 วัน แต่ที่โชคร้ายก็คือ การที่เราเลือกไม่ได้ว่าร่างกายจะเกิดอาการของโรคหัวใจที่ว่านี้ขึ้นเมื่อไหร่

 

เล่ามาทั้งหมดถึงตอนนี้ ก็ทำให้นึกว่า ธรรมชาติทุกสิ่งมีความสำคัญ เพราะเป็นสิ่งที่มีผลต่อร่างกายและสุขภาพของเราทั้งสิ้น ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปเวลามองพระจันทร์ ก็คงจะบอกแต่ว่า “จันทร์เจ้า ขอข้าวขอแกง” อย่างเดียวไม่พอเสียแล้ว ใครมองพระจันทร์คืนนี้ อย่าลืมขอสุขภาพดีจากพระจันทร์ให้ตัวเราด้วยนะคะ

4 ข้อพลาดการไดเอ็ตที่เพิ่มไขมันหน้าท้องให้คุณ

 

คุณใช้ความพยายามอย่างมากเพื่อจะลดน้ำหนัก แต่ทำยังไงก็ยังไม่เห็นผลก้าวหน้าใดๆ บางทีอาจเป็นเพราะสิ่งที่คุณทำอยู่นั้นมีความเชื่อผิดๆบางอย่างแฝงอยู่ ทำให้มันพลาดไปก็ได้ เรามาทบทวนวิธีและความเชื่อที่คุณใช้ เพื่อฟื้นฟูระบบเผาผลาญอาหารและทำให้น้ำหนักตัวลดลงได้อย่างรวดเร็วและง่ายขึ้นด้วยกัน

 

1. เพราะบริโภคมื้อดึกทำให้อ้วนขึ้น:ไม่จริง” สาวกมื้อดึกคงจะยิ้มดีใจกับเรื่องนี้ ซึ่งเป็นความเชื่อผิดๆกันมานาน ความจริงคือในตอนกลางคืนร่างกายของเราไม่ได้มีการเก็บไขมันไว้มากกว่าเวลาอื่นๆของวันแต่อย่างใด แต่ชนิดอาหารที่เราบริโภคเข้าไปนั่นต่างหาก ที่จะทำให้เรามีน้ำหนักเพิ่มขึ้นหรือไม่ ไม่เกี่ยวกับเวลาที่เราบริโภคอาหาร การวิจัยล่าสุดพบว่า การบริโภคมื้อดึกไม่ได้เป็นสาเหตุของการมีน้ำหนักตัวเพิ่มมากขึ้น เรื่องนี้ถูกพิสูจน์โดยการทดลองกับอาสาสมัครที่ถูกแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรกจะถูกจัดให้บริโภคอาหารมื้อใหญ่เป็นอาหารเช้า ในขณะที่อีกกลุ่มหนึ่งจะถูกจัดให้บริโภคมื้อใหญ่ในช่วงเวลาหลัง 2 ทุ่มเป็นต้นไป ทำแบบนี้ต่อเนื่องเป็นระยะเวลา 6 เดือนก็พบว่า กลุ่มที่บริโภคมื้อใหญ่หลังจาก 2 ทุ่ม กลับสามารถลดปริมาณไขมันในร่างกายได้มากกว่ากลุ่มแรกที่บริโภคมื้อเช้าเป็นมื้อหนักถึง 10% และสามารถลดน้ำหนักได้มากกว่ากลุ่มแรกถึง 11% การทดลองนี้เป็นบทสรุปว่า มันไม่ได้เกี่ยวกับเวลาในการบริโภค แต่สิ่งที่เป็นปัญหาน้ำหนักเพิ่มขึ้นก็คือ การที่เราบริโภคอาหารที่มีแคลอรี่สูงนั่นต่างหาก ที่ทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นได้อย่างแน่นอน ไม่ว่าเป็นเวลาใดก็ตาม

 

healthdiet02

 

2. บริโภคมื้อเล็กๆบ่อยๆตลอดวันจะช่วยกระตุ้นระบบเผาผลาญอาหารได้ดีกว่า:ไม่จริง” ความช้าหรือเร็วของระบบการเผาผลาญอาหาร ไม่ได้ขึ้นอยู่กับจำนวนของมื้ออาหารที่เราบริโภคระหว่างวันว่าบ่อยแค่ไหน การบริโภคมื้อเล็กๆบ่อยๆอาจจะช่วยคุณไม่ให้บริโภคอาหารแต่ละมื้อในปริมาณมากเกินไป แต่ไม่ได้ช่วยให้คุณลดน้ำหนักได้เร็วขึ้นพราะร่างกายเผาผลาญได้ดีขึ้นตามที่คุณเชื่อแต่อย่างใด และก็ไม่ได้ให้ผลใดๆกับระบบการเผาผลาญอาหารของคุณด้วย

 

3. การบริโภคแต่อาหารแคลอรี่ต่ำตลอดเวลาจะช่วยให้ลดน้ำหนักได้เร็วกว่า: ไม่จริง” ถ้าคุณบริโภคอาหารที่มีแคลอรี่น้อยกว่าปริมาณแคลอรี่ที่ร่างกายต้องการใช้งานในแต่ละวัน อัตราการเผาผลาญอาหารของร่างกายคุณก็จะลดลงตามไปด้วย มันจึงทำให้ยากขึ้นที่คุณจะลดน้ำหนักลง จากการวิจัยพบว่า การไดเอ็ตที่บริโภคอาหารต่ำกว่า 1200 แคลอรี่ต่อวัน จะนำไปสู่อัตราการลดลงอย่างน่าวิตกของระบบการเผาผลาญอาหารของร่างกายหรือที่เรียกว่า Resting Metabolic Rate ( RMR)

 

healthdiet03

 

4. ร่างกายไม่ได้เผาผลาญแคลอรี่จากอาหารทั้งหมดได้เท่ากัน:จริง” ข้อสุดท้ายนี้แหละที่เป็นเรื่องจริงเพียงข้อเดียว เมื่อเราบริโภคอาหารเข้าไป ร่างกายของเราก็จะต้องย่อยอาหารหลายชนิดที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งความสามารถในการย่อยอาหารของร่ากายจะแบ่งออกคือ สำหรับกาหารที่ได้รับทั้งหมด มันจะสามารถเผาผลาญอโปรตีนได้ 20 – 30 % สามารถเผาผลาญคาร์โบไฮเดรตได้ 6 % และสามารถเผาผลาญไขมันได้เพียง 3% เท่านั้น เมื่อรู้แบบนี้ ทำให้สิ่งที่เราควรระลึกถึงเมื่อบริโภคอาหารก็คือ ควรจะโฟกัสไปที่การบริโภคโปรตีนให้มากกว่าอย่างอื่นในมื้ออาหาร เพราะมันเป็นสิ่งที่ร่างกายสามารถเผาผลาญได้เร็วกว่าแม้ว่าเราจะยังไม่ได้ไปออกกำลังกายใดๆเลย กระบวนการนี้ถูกรู้จักกันในชื่อว่า Thermal Effect of Food หรือ TEF ตัวอย่างเช่น ถ้าคุณบริโภคเนื้อไก่ที่มีแคลอรี่ 1,000 แคลอรี่ และบริโภคไอศกรีมที่มีแคลอรี่ 1,000 แคลอรี่เท่าๆกัน คุณก็จะมีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นเพราะไอศกรีม ไม่ใช่เนื้อไก่ที่ร่างกายได้เผาผลาญไปหมดแล้ว เพราะไอศกรีมที่บริโภคเข้าไป มันจะถูกเผาผลาญไปได้เพียงแค่ 3% เท่านั้น และที่เหลืออยู่ก็กลายเป็นไขมันสะสมอยู่ในร่างกายคุณนั่นแหละ เมื่อเทียบกับโปรตีนที่ถูกเผาผลาญไปแล้ว 20 – 30%

 

เล่ามาถึงตอนนี้ ก็คงทำให้คุณรู้ว่าต่อไปเราจะปรับเปลี่ยนวิธีบริโภคกันอย่างไร จะได้มีหุ่นสวยทันรับปีใหม่กันได้ทัน ทีนี้สวยแล้ว หุ่นดีแล้ว ก็เตรียมตัวมีความสุขกับเทศกาลงานฉลองที่จะมาถึงเร็วๆนี้กันได้เลยค่ะ

ไปเที่ยวทีไร…ทำไมเราถูกยุงกัดคนเดียวในกลุ่ม

 

เคยสงสัยไหมคะ ว่าเวลาไปเที่ยวกับเพื่อนๆทีไร ทำไมเราถึงได้โดนยุงกัดอยู่แค่คนเดียวในกลุ่ม ในขณะที่เพื่อนคนอื่นๆไม่มีใครโดนเลย เรื่องนี้มีข้อมูลน่าสนใจที่จะบอกได้ว่า สิ่งนี้ไม่ใช่เรื่องที่คุณคิดไปเองคนเดียว แต่มันมีเหตุผลทางสุขภาพรองรับสิ่งนี้ด้วย จากการศึกษาดร. โจเซฟ เอ็ม คอนลอน นักกีฏวิทยาของสหรัฐอเมริกา ได้เล่าถึงเรื่องนี้ว่า “ กรณีศึกษาเหล่านี้ ทำให้ไม่ต้องมีข้อสงสัยเลยว่า ทำไมคนบางคนถึงมีความดึงดูดสำหรับยุงที่จะเข้ามากัดพวกเขาได้มากกว่า นั่นเป็นเพราะการที่เรามีสารเคมีบางอย่างหลั่งออกมาทางผิวหนัง และมีกลิ่นหอมประจำตัวในผิวของแต่ละคนที่แตกต่างกันออกไป “ ซึ่งส่วนประกอบที่แตกต่างทางร่างกายนี้เอง ที่ทำให้คนๆหนึ่งกลายเป็นเป้าหมายยอดนิยมสำหรับยุงที่จะเข้ามาหา เนื่องจากมันได้พบแรงดึงดูดที่เกินห้ามใจจากร่างกายของคุณนั่นเอง สภาวะเหล่านี้มันคืออะไรบ้าง

 

คุณกำลังตั้งครรภ์:

ยุงที่กัดกินเลือดมนุษย์ คือยุงตัวเมีย มันมีคุณสมบัติพิเศษหนึ่งคือ มันมีความไวและชอบเป็นพิเศษกับการได้พบกับกาซคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งยุงตัวเมียนี้จะมีตัวรับประสาทสัมผัสพิเศษหรือ nerve receptor ที่จะเป็นเหมือนเครื่องให้มันตรวจจับกาซนี้ในสภาพแวดล้อม จากการศึกษาเมื่อปี 2002 ได้พูดถึงเรื่องนี้ว่า เมื่อผู้หญิงอยู่ในช่วงระยะเดือนท้ายๆของการตั้งครรภ์ ช่วงนั้นลมหายใจออกของผู้หญิง จะมีกาซคาร์บอนไดออกไซด์มากกว่าในช่วงเวลาที่เธอไม่ได้ตั้งครรภ์อยู่ถึง 21% การวิจัยนี้ได้ช่วยอธิบายว่า ทำไมผู้หญิงตั้งครรภ์ซึ่งเข้าร่วมในการทดลองนี้ จึงมีความดึงดูดสำหรับยุงมากขึ้นเป็นสองเท่า แต่เรื่องของกาซคาร์บอนไดออกไซด์ ก็อาจไม่ใช่แค่เหตุผลเดียวที่ทำให้คุณเป็นที่ชื่นชอบของฝูงยุงเหล่านี้ มันอาจจะเป็นเพราะว่าผู้หญิงที่ตั้งครรภ์จะมีกลิ่นพิเศษอื่นๆของร่างกาย ที่จะดึงดูดให้แมลงต่างๆเข้ามาหาเธอมากขึ้นก็ได้ นี่คือการระบุของ ดร.ลอรา แฮริงตัน อาจารย์คณะของมหาวิทยาลัยคอร์เนล ที่ออกมาสนับสนุนกรณีศึกษาดังกล่าว

 

ตัวของคุณเต็มไปด้วยเหงื่อ:

 

healthmos02

 

ถ้าหากทุกครั้งที่ไปออกกำลังกายกลางแจ้งแล้วถูกแมลงกัดจนคุณรำคาญ บางทีคุณอาจต้องเปลี่ยนสถานที่หรือวิธีออกกำลังกายมาเป็นแบบอยู่แต่ในห้องยิม หรือไม่ก็เปลี่ยนไปเข้าซาวน่าแทนแล้วละ ที่เป็นแบบนี้ก็เพราะสิ่งที่ร่างกายผลิตออกมาด้วยในช่วงออกกำลังกายก็คือกรดแลกติก มันเป็นสิ่งที่หลั่งออกมาปะปนกับเหงื่อเมื่อมีการออกกำลังกายที่หักโหม ซึ่งกรดนี้แหละที่จะเป็นแรงดึงดูดที่ฝูงยุงปรารถนา จากการระบุของคอนลอนบอกว่า เมื่อคุณมีเหงื่อออกจนเปียกชุ่มไปหมด และผสมกับอุณหภูมิที่สูงกว่าปกติของร่างกาย ทั้งหมดก็จะเป็นส่วนสำคัญ โดยเฉพาะความอุ่นที่เพิ่มขึ้นนี้ จะเป็นยิ่งดึงดูดยุงให้วิ่งเข้ามาหาคุณอย่างไม่ต้องรั้งรออะไรเลยทีเดียว

 

คุณมีเลือดกรุ๊ปโอ:

เหตุผลที่ยุงชอบเลือดกรุ๊ปนี้ มันก็เหมือนกับที่คุณชื่นชอบอาหารจานโปรดนั่นแหละ ยุงเหล่านี้ก็เลือกพื้นที่ๆจะตรงเข้าไปแลนดิ้งหาอาหารที่เจาะจงว่าเป็นพื้นที่ชื่นชอบของมันเหมือนกัน และอย่าลืมว่าการหาอาหารของมัน ก็คือการดูดเลือดของคุณผ่านทางเส้นเลือดนั่นเอง เรื่องนี้ได้มีการบอกไว้ในนิตยสาร Journal of Medical Entomology ว่าได้มีการพบว่า เจ้ายุงผู้กระหายเลือดนี้จะชื่นชอบเป็นพิเศษสำหรับผู้ที่มีเลือดกรุ๊ปโอ “ดังนั้น คนเลือดกรุ๊ปโอจึงมีลักษณะพิเศษ ที่ทำให้ยุงชื่นชอบกลิ่นของพวกเขาเป็นพิเศษกว่าเลือดกรุ๊ปอื่นๆ”

 

คุณเพิ่งดื่มมา:

 

healthmos03

 

รู้สึกไหมว่า เรื่องถูกยุงกัดเป็นเรื่องที่รบกวนในช่วงเวลา happy hour ของคุณในบาร์ทุกครั้ง แต่นั่นเป็นเพราะการมีแอลกอฮอล์ในร่างกาย อาจกระตุ้นให้คุณถูกยุงกัดได้มากขึ้น การศึกษาในอาฟริกาตะวันตก ได้ลองให้อาสาสมัครสองกลุ่มที่ดื่มเบียร์กลุ่มหนึ่งและหรือดื่มน้ำอีกกลุ่มหนึ่งนั่งในพื้นที่ๆมียุง ผลที่ออกมาพบว่า“ การดื่มเบียร์จะเพิ่มระดับแรงความดึงดูดใจในเลือดให้กับยุงที่จะอยากดูดเลือดคุณมากขึ้น” นอกจากนี้ ก็ยังมีการทดลองเล็กๆที่ทำขึ้นในประเทศญี่ปุ่นที่สนับสนุนเรื่องนี้ว่า ยุงจะเข้ามาหาคนที่ร่างกายได้มีย่อยสลายของแอลกอฮอล์เกิดขึ้นในระบบการย่อย

 

ยีนของคุณทำให้มีความดึงดูดมากกว่าคนอื่นๆ:

มีการวิจัยพบว่าเรื่องของพันธุกรรมอาจมีความเกี่ยวข้องกับสิ่งนี้ เช่นเดียวกับที่มันเกี่ยวข้องกับพฤติกรรมหลายๆอย่าง โดยกลุ่มนักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยในลอนดอนระบุว่า การผลิตสารเคมีในร่างกายของคนบางคน จะผลิตสารเคมีป้องกันยุงที่จะเข้ามาใกล้ๆ ในขณะที่บางคนกลับมีสารเคมีที่ดึงดูดยุงเหล่านี้ให้เข้ามาหา ซึ่งผลจากการทดลองที่เกิดขึ้น ได้ถูกระบุว่ามันเป็นเรื่องของการควบคุมโดยยีนพันธุกรรมในร่างกายของเรานั่นเอง

 

ทีนี้เวลาไปไหนกับเพื่อนแล้วเขาบ่นว่าเจอเหตุการณ์แบบนี้ ก็คงต้องทำความเข้าใจกับเขาหน่อยอย่าไปคิดว่าเขารู้สึกไปเอง หรือถ้าหากสิ่งนี้เกิดขึ้นกับตัวคุณ หรือคุณอยู่ในข้อระบุใดๆของเรื่องนี้ก็ตาม เวลาไปไหน ก็อย่าลืมเตรียมป้องกันตัวเองด้วยการเตรียมยาทากันยุงและเลือกเสื้อผ้าให้พร้อมรับสถานการณ์ด้วย ทีนี้เที่ยวไหนก็น่าจะเที่ยวได้สนุกขึ้นแล้วค่ะ

เลือกคอร์สนวดแบบไหน…ให้ช่วยแก้ไขสุขภาพ

 

ไหนๆก็มีแคมเปญช้อปช่วยชาติ อนุญาตให้เราไปนวดแล้วมาลดหย่อนภาษีได้ทั้งที ก็มาใช้แคมเปญนี้ให้มีประโยชน์กับสุขภาพกันดีกว่า ใครที่มีปัญหาเหนื่อยเครียดสะสมมานาน วันนี้เรามาใช้โอกาสไปนวดกันค่ะ ทีนี้ศาสตร์การนวดแต่ละอย่าง ก็จะช่วยบำบัดปัญหาสุขภาพได้ต่างกันออกไป จะเลือกอย่างไหนให้เหมาะกับเราดี

 

เทคนิคการนวดยอดนิยมของทั่วโลก เป็นศาสตร์ที่สืบทอดกันมานานและมีอารยธรรมที่น่าสนใจ ศาสตร์การนวดโดยผู้เชี่ยวชาญเหล่านี้ จะช่วยฟื้นฟูสุขภาพร่างกายจิตใจให้สงบผ่อนคลาย รวมทั้งช่วยบำบัดปัญหาการปวดตึงของกล้ามเนื้อให้คุณได้ ศาสตร์ชนิดไหนของชาติใดจะเหมาะกับปัญหาสุขภาพร่างกายแบบใด มาดูกัน!

 

เลือกศาสตร์การนวดให้ตรงความต้องการสุขภาพ

นี่คือศาสตร์นวดบำบัดยอดนิยมของทั่วโลกที่ให้ผลดีต่อสุขภาพ ลองดูซิว่าแบบไหนที่ตรงกับคุณ

 

ต้องการมีพลังทำงานมากขึ้น

เลือก: ศาสตร์การนวดกดจุดแบบจีน (Chinese acupressure )

เป็นศาสตร์การนวดกดจุดที่มีมาแต่ดั้งเดิม ที่ใช้เป็นแนวทางการรักษาโรคในยุคโบราณและสืบทอดมาถึงปัจจุบัน ศาสตร์นี้จะใช้ในรูปแบบของการใช้นิ้วและมือกดลงไปตามจุดพลังงานต่างๆของร่างกาย จุดเหล่านี้จะที่เป็นเสมือนแผนที่พลังงาน ซึ่งเมื่อกดลงไป ก็จะช่วยส่งผ่านพลังงานไปยังส่วนต่างๆของร่างกายได้ทั่วถึง เธอราพิสจะศึกษาและรู้จักจุดเหล่านี้อย่างดี และใช้มือกดลงไปเพื่อคลายความเครียดที่สะสม ปลดปล่อยให้พลังงานชีวิตหรือลมปราณหรือที่รู้จักกันในชื่อของพลังงานชี่ (qi energy) ไหลเวียนได้สะดวก พลังงานชี่จะไปกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิต, ออกซิเจนและสารอาหารที่จำเป็น ให้ไหลเวียนได้คล่องตัวขึ้น ทำให้คุณรู้สึกผ่อนคลายและมีชีวิตชีวา ในการนวดแบบนี้ คุณจะยังคงสวมเสื้อผ้าออยู่ และเธอราพิสก็จะนวดกดจุดไปทั่วร่างากายตามจุดเฉพาะต่างๆตามศาสตร์กำหนด

 

ต้องการฟื้นฟูภูมิคุ้มกันร่างกาย

เลือก: การนวดแบบสวีดิช ( Swedish massage)

อันนี้ไม่ใช่วิธีการนวดแบบกดตามจุด แต่เป็นการนวดโดยใช้นิ้วและฝ่ามือ กดลากเป็นแนวยาวไปตามร่างกายเราแบบที่เรียกว่า stroke วิธีลากมือไปตามแนวร่างกายแบบนี้ จะมีทั้งช่วงจังหวะแบบยาวและสั้น ร่วมกับการกดเพียงเบาๆ เป็นสไตล์การนวดสัมผัสแบบสวีเดนที่มีชื่อเสียงมานานว่าจะช่วยกระตุ้นให้ร่างกายเพิ่มภูมิคุ้มกันเชื้อไวรัสต่างๆได้ดีขึ้น โดยเฉพาะไวรัสที่เป็ณต้นเหตุของโรคหวัดและไข้หวัดที่มากับฤดูหนาว นอกจากนี้ การนวดแบบสวีดิช ยังสามารถช่วยพัฒนาระบบการไหลเวียนของโลหิต ช่วยระบายของเสียที่สะสมอยู่ออกไปจากร่างกาย และเพิ่มความกระปรี้ประเปร่าให้คุณได้ด้วย การนวดแบบสวีดิชนี้จะใช้การผสมผสาน ทั้งการกดลากมือเป็นแนวเส้นยาวๆไปตามร่างกาย, การกดนวดวนเป็นวงกลมตามจุดกล้ามเนื้อ และการตบเป็นจังหวะสั้นๆด้วยสันมือ ซึ่งจะไม่ทำให้รู้สึกเจ็บ ทรีทเมนท์จะครอบคลุมไปทั่วร่างกาย โดยใช้น้ำมันหอมระเหยทาบนผิวหนัง ซึ่งการทำทรีทเมนท์แบบนี้จะต้องถอดเสื้อผ้าและนอนบนเตียงโดยมีผ้าห่มผืนใหญ่คลุมไว้

 

ต้องการบำบัดอาการปวดตึงกล้ามเนื้อ

 

healthmass004

 

เลือก: การนวดแบบไทย (Thai massage)

เป็นการนวดแบบที่มีพื้นฐานมาจากโยคะของอินเดีย ซึ่งได้ถูกนำมาผสมผสานกับศาสตร์ดั้งเดิมของท้องถิ่น ซึ่งหลังจากการนวดแบบนี้แล้ว คุณจะรู้สึกว่าร่างกายได้มีการ “ยืดเส้น”และการ “ดัด” เกิดขึ้นในทุกๆส่วนต่าง ทำให้ความปวดตึงที่เคยมีจากอาการออฟฟิศซินโดรมบรรเทาลง ร่างกายเคลื่อนไหวสะดวกขึ้น โดยเฉพาะที่บริเวณรอบเอว กล้ามเนื้อหลังและที่ขาอ่อน การนวดแบบนี้ ยังช่วยให้ระบบการไหลเวียนของโลหิตและการส่งสารอาหารไปเลี้ยงยังส่วนต่างๆของร่างกาย มีการพัฒนาประสิทธิภาพที่ดีมากขึ้น ทำให้รู้สึกสดชื่นและกระฉับกระเฉงคล่องตัว การนวดแบบไทยจะนวดโดยให้คุณสวมใส่ชุดหลวมๆ ใช้เวลาการนวดราวๆ 60 -90 นาที และจะมีการเตรียมกล้ามเนื้อให้พร้อมก่อนรับการนวดดัดหรือยืดเส้นสาย โดยเธอราพิสจะเริ่มจากการใช้นิ้วและฝ่ามือกดไปตามจุดต่างๆและใช้เทคนิคการยืดเส้น เพื่อกระตุ้นเส้นและกล้ามเนื้อทั้งในแนวตรงและแนวขวางให้มีความพร้อมก่อน

 

ต้องการผ่อนคลายและยืดหยุ่นกล้ามเนื้ออย่างนุ่มนวล

 

helthmass003

 

เลือก: การนวดกดจุดแบบชิอัตสุ (Shiatsu) ของญี่ปุ่น

ชิอัตสุ ( Shiatsu) เป็นคำที่มาภาษาญี่ปุ่นสองคำด้วยกันคือ ชิ ( shi) ที่แปลว่านิ้ว และ อัตสุ ( atsu) ที่แปลวาการกด ทั้งสองคำนี้จึงอธิบายความหมายของเทคนิคการนวดนี้ได้เป็นอย่างดี ว่าหมายถึงการใช้นิ้วกดเบาๆอย่างนุ่มนวลร่วมกับการนวดเพื่อให้ร่างกายมีความยืดหยุ่นของเส้นและกล้ามเนื้อส่วนต่างๆ ซึ่งการนวดแบบนี้จะแตกต่างจากการนวดแบบไทยตรงที่นุ่มนวลกว่าและไม่มีการดัดร่างกาย ถ้าเปรียบเทียบการนวดแบบนี้ก็จะคล้ายกับการเข้าคลาสโยคะแบบเล็กๆ ที่จะช่วยให้ผ่อนคลายกล้ามเนื้อที่ใช้งานมานานจนมความตึงตัว ในระหว่างทรีทเมนท์การนวด จะให้คุณจะสวมชุดสบายๆ และจะนวดด้วยท่านั่งหรือนอนที่หลากหลาย เธอราพิสจะใช้ฝ่ามือ นิ้วมือ กดตรงๆลงไปตามจุดเฉพาะต่างๆ ตามที่ได้ระบุในศาสตร์ชิอัตสุของญี่ปุ่น ซึ่งการกดนี้จะเป็นการ “ เปิดช่อง” ให้กระแสพลังงานภายในร่างกายหมุนเวียนได้สะดวกขึ้น หลังจากการนวดแบบนี้คุณจะรู้สึกว่าร่างกายเบาสบายขึ้นเพราะมันจะช่วยพัฒนาความยืดหยุ่นของร่างกายและระบบไหลเวียนของโลหิต

 

ต้องการบรรเทาความเครียดปวดศีรษะ

 

healthmass002

 

เลือก: การนวดศีรษะแบบอายุรเวท (Ayurveda Head Massage) ของอินเดีย

การนวดศีรษะแบบอายุรเวท (Ayurveda head massage) เป็นศาสตร์ดั้งเดิมของอินเดียโบราณ จะใช้เทคนิคการนวดโดยใช้นิ้วกดนวดไปทั่วทั้งศีรษะ ใบหน้า ลำคอและไหล่ เพื่อคลายความเมื่อยล้าสะสมที่มาจากความเครียดของระบบประสาทที่ทำให้เกิดอาการปวดศีรษะจากความเครียดของจิตใจ ซึ่งในระหว่างการนวด คุณจะรู้สึกสบายๆเหมือนนอนสระผมบนเตียง ต่างกันตรงที่เทคนิคการนวดของเธฮราพิส ที่จะใช้ฝ่ามือนิ้วหัวแม่มือกดไปตามจุดต่างๆในจังหวะหนักเบาต่างกัน บางครั้งอาจจะมีการดึงเส้นผมเบาๆเพื่อกระตุ้นหนังศีรษะให้ตื่นตัว สิ่งที่ควรรู้ก็คือจะมีการใช้น้ำมันหอมชโลมที่หนังศีรษะด้วยในการนวด ดังนั้น หลังจากการนวดแบบนี้ คุณอาจรู้สึกว่ามีความมันที่ศีรษะเล็กน้อยซึ่งอาจไม่สะดวกในการไปงานหรือทำภารกิจอื่นๆ แต่จะบอกให้ว่า มันเป็นการนวดที่ช่วยปลดปล่อยความเครียดออกไปจากหัวของเราได้ดีคุ้มค่าทีเดียว

 

ทั้งหมดนี้แหละค่ะที่เป็นศาสตร์การนวดที่ถูกจัดอันดับว่าได้ผลดีที่สุดของชาติต่างๆในโลก และในสปาระดับอินเตอร์ของบ้านเราก็จะมีคอร์สนวดเหล่านี้ให้บริการเป็นพื้นฐาน แค่เลือกให้ตรงความต้องการของคุณเท่านั้น ก็จะช่วยให้ผลดีต่อสุขภาพ บำบัดความเครียดให้พร้อมจะกลับไปทำงาน หรือจะกลับไปจัดการกับใบเสร็จอาบอบนวดช้อปช่วยชาติของใครก็เบาๆหน่อยละกัน เดี๋ยวเส้นสายที่เพิ่งคลายจะกลับมาตึงปวดอีก ยังไงก็ขอให้ได้ยืดเส้นยืดสายสุขภาพดีกันทุกคนนะคะ

ล้างพิษฟลูออไรด์ให้ร่างกายคุณ

 

เวลาพูดถึงฟลูออไรด์ เราก็มักนึกแต่ข้อดีของมันที่ได้ยินว่าช่วยเรื่องการป้องกันฟันผุ ซึ่งที่จริงแล้ว ฟลูออไรด์ก็เหมือนสารทั่วไปที่จะมีทั้งประโยชน์และโทษ หากได้รับมากเกินไปหรือไม่ถูกวิธี ก็อาจเกิดพิษสะสมจนเกิดความเสี่ยงสุขภาพหลายอย่างได้เช่นกัน

 

ฟลูออไรด์ในน้ำประปา ปลอดภัยแค่ไหน

มันอาจจะน่ากลัวถ้าเราจะต้องมาคิดว่า น้ำประปาที่เราดื่มหรือใช้อยู่ทุกวันนี้มันจะมีฟลูออไรด์อยู่แค่ไหน ปลอดภัยหรือเปล่า ซึ่งต้องบอกว่า ฟลูออไรด์ เป็นแร่ธาตุธรรมชาติที่มีอยู่ตามแหล่งน้ำใต้พื้นดินและน้ำในมหาสมุทร ฟลูออไรด์ในธรรรมชาติ จะเป็นเกลือของแร่ธาตุที่ชื่อว่า ฟลูออรีน (fluorine) ส่วนฟลูออไรด์ในน้ำประปานั้น จะเป็นเกลือโซเดียมฟลูออไรด์ที่ถูกเติมลงในน้ำประปา ด้วยเหตุผลที่เชื่อว่าจะช่วยรักษาสุขภาพฟันที่ดี แต่สำหรับเรื่องนี้เมื่อหลายปีก่อน มีการศึกษาของมหาวิทยาลัยเวสท์ เวอร์จิเนีย (The West Virginia University Rural Health Research Center) ออกมาระบุว่า ที่จริงแล้ว ฟลูออไรด์ช่วยอะไรไม่ได้มากนักในเรื่องการป้องกันโรคฟันผุ ซึ่งคุณสมบัติข้อนี้ของมันไม่สามารถสู้กับวิตามินดีและกรดไขมันโอเมก้า -3 ที่ให้ประสิทธิภาพป้องกันฟันผุได้ดีกว่ามากมาย ในสหรัฐอเมริกาเอง ก็ยังมีการเรียกร้องให้ลดปริมาณฟลูออไรด์ที่ผสมอยู่ในน้ำประปาลง หลังจากที่มีการยืนยันจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดว่า ปริมาณฟลูออไรด์ที่ร่างกายได้รับมากเกินไป อาจไปลดระดับไอคิวของสมองได้ ซึ่งเรื่องนี้ก็ยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ในนักวิทยาศาสตร์ แต่ไม่ว่าบทสรุปจะเป็นอย่างไรก็ตาม มันสำคัญอย่างมากที่จะต้องรู้เรื่องการทำทรีทเมนท์ล้างพิษสะสมของฟลูออไรด์นี้เอาไว้บ้าง รวมทั้งศึกษาข้อมูลข้อดีข้อเสียของมันด้วย

 

องค์การอนามัยโลก ได้กำหนดค่ามาตรฐานของฟลูออไรด์เพื่อความปลอดภัยในคู่มือมาตรฐานน้ำในปี 1996 กำหนดค่าไว้ที่ 1.5 ส่วนในล้านส่วนหรือ ppm. โดยขึ้นอยู่กับอุณหภูมิเฉลี่ยของแต่ละประเทศด้วย สำหรับประเทศไทย ปริมาณฟลูออไรด์ในน้ำที่เหมาะสม ควรอยู่ที่ 0.6 – 0.8 ppm. ซึ่งจากข้อมูลการเฝ้าระวังน้ำบริโภคธรรมชาติ ของกองทันตสาธารณสุข ในปี 2532 – 2544 พบว่าแหล่งน้ำทั่วประเทศ ร้อยละ 97.6 จะมีฟลูออไรด์อยู่ต่ำกว่า 1.5 ppm.ส่วนแหล่งน้ำที่เหลืออีกร้อยละ 2.4 จะมีฟลูออไรด์อยู่ในระดับเท่ากับหรือสูงกว่า 1.5 ppm. ซึ่งจะมีปัญหาต่อสุขภาพหากบริโภคเป็นเวลานานๆ โดยปริมาณฟลูออไรด์ในน้ำที่พบสูงสุดคือ 16.4 ppm. ที่ ต. บ่อพลอย จ.กาญจนบุรี ซึ่งเป็นน้ำจากแหล่งน้ำหลักคือ น้ำบ่อบาดาล แหล่งน้ำชุมชน และประปาผิวดิน

 

อย่างไรก็ตามสำหรับน้ำประปาที่ใช้ในกรุงเทพฯ ขณะนี้ มีปริมาณฟลูออไรด์เพียงเล็กน้อยมาก และไม่ถึงระดับที่จะป้องกันโรคฟันผุได้ คือมีอยู่เพียง 0.3 ppm. เท่านั้น และประเทศไทย จะมีการเติมฟลูออไรด์ลงในน้ำประปาเพียง 2 จังหวัดเท่านั้น คือที่จังหวัดนครนายกและที่จังหวดประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งเป็นพื้นที่เล็กๆทำให้การประปามารถควบคุมคุณภาพได้อย่างมีความพร้อมและกำลังอยู่ในระหว่างการพิจารณาประเมินผลโครงการการเติมฟลูออไรด์ดังกล่าว ซึ่งถึงแม้ประเทศไทยจะมีความเสี่ยงเรื่องนี้อยู่น้อยมาก แต่เมื่อโลกยุคนี้สามารถเชื่อมต่อกันได้ในทุกพื้นที่ด้วยการเดินทาง จึงมีความจำเป็นที่เราจะต้องเรียนรู้ ถึงวิธีทำทรีทเมนท์ล้างพิษของฟลูออไรด์ที่สะสมอยู่ในร่างกาย เพื่อความปลอดภัยไว้ก่อน

 

ทรีทเมนท์ล้างพิษฟลูออไรด์ด้วยสารธรรมชาติ

 

healthtoxin003

 

ไอโอดีน (Iodine)

ไอโอดีน ซึ่งเป็นแร่ธาตุที่มีอยู่ในเกลือที่เราบริโภค ถึงแม้แร่ธาตุนี้ จะช่วยล้างพิษสะสมของฟลูออไรด์ได้ แต่ก็มีข้อควรระวังก็คือ การได้รับไอโอดีนมากหรือน้อยเกินไป ก็จะนำเราไปสู่ความเสี่ยงของโรคเกี่ยวกับต่อมไทรอยด์ได้เช่นกัน การทำงานของเกลือในการล้างพิษฟลูออไรด์ก็คือ มันจะทำให้กระเพาะปัสสาวะขับสารโซเดียมฟลูออไรด์และแคลเซียมฟลูออไรด์ให้ออกมาจากร่างกายได้มากขึ้น แต่แน่นอนก็คือจะมีแคลเซียมบางส่วนจากกระดูกของเราที่ถูกนำพาออกไปกับปัสสาวะด้วย ดังนั้นหากคุณเลือกที่จะใช้การล้างพิษด้วยไอโอดีน ก็ควรบริโภคผลิตภัณฑ์เสริมอาหารแคลเซียมคู่กันไปด้วยเพื่อทดแทนสิ่งนี้ ซึ่งนอกจากไอโอดีนแล้ว เลซิติน ก็สามารถช่วยขจัดฟลูออไรด์ส่วนเกินออกไปจากร่างกายได้ดีเช่นกัน

 

มะขาม (Tamarind)

เป็นวิธีล้างพิษสะสมของฟลูออไรด์ในร่างกายด้วยวิธีการใช้พืชธรรมชาติที่มีความปลอดภัยอยู่มาก มะขามมีคุณสมบัติที่ดีหลายอย่างในการแพทย์อายุรเวท ซึ่งถูกนำมาทำเป็นชาหรือเป็นสารละลายในแอลกอฮอล์และนำมาใช้เพื่อช่วยดึงเอาฟลูออไรด์ออกมาจากร่างกายเราโดยการขับออกมาทางปัสสาวะ วิธีใช้ก็คือนำเนื้อมะขามมาต้มกับน้ำเป็นชาใช้ดื่มอุ่นๆจิบเรื่อยๆเป็นระยะๆตลอดวัน ประมาณ 2-3 วันก็จะช่วยเรื่องนี้ได้ดี

 

การล้างพิษสะสมในตับ (Liver Cleanse)

หน้าที่ของตับ คือการขจัดสารพิษที่สะสมในร่างกาย การทำทรีทเมนท์ล้างพิษในตับด้วยวิธีการต่างๆ จึงเป็นการทำความสะอาดล้างพิษของฟลูออไรด์ที่สะสมอยู่ด้วย โดยมากการล้างพิษตับจะใช้เวลาประมาณ 1 สัปดาห์และสามารถทำได้ด้วยตนเองแบบค่อยเป็นค่อยไป แต่ต้องแน่ใจถึงความปลอดภัยและความสะอาด รวมทั้งต้องทำตามคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญอย่างจริงจัง อย่างไรก็ตาม คุณสามารถทำความสะอาดตับได้ในทุกๆวันด้วยการบริโภคอาหารที่จะทำความสะอาดให้ตับ

 

โบรอน Boron

เป็นสารอาหารที่น่าสนใจในการล้างพิษสะสมจาอกฟลูออไรด์ โบรอนจะทำให้ร่างกายลดการขับแคลเซียมในกระดูกออกมาทางปัสสาวะลงได้ถึง 40% ทั้งยังมีคุณสมบัติช่วยให้กล้ามเนื้อและกระดูกยืดหยุ่นแข็งแรงมากขึ้น องค์การอนามัยโลกระบุว่า โบอนช่วยคงสภาพของกระดูกให้กับผู้ที่ร่างกายขาดวิตามินดี แมกนีเซียมและโปตัสเซียม ช่วยเพิ่มการดูดซึมของแคลเซียม ลดโอกาสการเกิดหินปูนที่เกาะตามกระดูก รวมทั้งช่วยล้างพิษสะสมของฟลูออไรด์ได้ด้วย ปริมาณที่แนะนำคือ การบริโภคให้ได้ 3 มิลลิกรัมต่อวัน โดยพืชผักธรรมชาติที่มีสารนี้ได้แก่ แอปเปิ้ล กีวี ลูกพีช องุ่น อโวคาโด ธัญพืชต่างๆ นมถั่วเหลือง มะเขือเทศ อัลมอนด์ บร็อคโคลี กล้วย ไวน์และน้ำผึ้ง

 

การทำซาวน่าแบบแห้ง (Dry Saunas)

 

healthtoxin004

 

ซาวน่า เป็นการขับเหงื่อออกจากร่างกายโดยการใช้ความร้อน ตามด้วยการอาบน้ำเย็น การทำซาวน่าแห้ง จะต่างจากซาวน่าปกติคือ ห้องที่ใช้จะเป็นห้องที่มีอุณหภูมิสูงแต่จะไม่มีความชื้น โดยจะใช้กระแสไฟฟ้าเปลี่ยนเป็นคลื่นความร้อนอินฟราเรด ข้อดีของซาวน่าแห้งคือร่างกายจะถูกกระตุ้นให้ขับสารพิษจากโลหะออกมาได้มากขึ้น ช่วยเร่งกระบวนการเผาผลาญอาหารให้ทำงานได้ดีขึ้น เพราะซาวน่าแห้งจะทำให้เสียเหงื่อมากกว่าซาวน่าแบบไอน้ำ อย่างไรก็ตาม ซาวน่าแห้ง ถือว่าเป็นการทำทรีทเมนท์แบบเข้มข้น เป็นการระบายโซเดียมฟลูออไรด์ออกจากเนื้อเยื่อและไขมันของคุณโดยทางเหงื่อ เพียงแต่ให้แน่ใจว่าคุณรักษาร่างกายไว้ไม่ให้ขาดน้ำในระหว่างการทำซาวน่านี้เท่านั้น ด้วยการจิบน้ำกลั่นหรือน้ำสะอาดตลอดเวลา

 

การใช้เครื่องกรองน้ำที่ใช้ระบบ Reverse Osmosis

เป็นวิธีที่ง่ายที่สุดและได้ผลดี เครื่องกรองนำระบบนี้ จะช่วยจำกัดปริมาณของฟลูออไรด์ที่จะเข้าสู่ร่างกายได้ส่วนหนึ่ง เพราะมันจะช่วยกรองกำจัดสารละลายในน้ำออกไป ทำให้มีความปลอดภัยในระดับหนึ่งต่อการบริโภค การกรองน้ำด้วยระบบนี้ ถือว่าเป็นการกรองในขั้นละเอียดที่สุดที่ใช้กันอย่างแพร่หลายทั่วโลก ดังนั้น การดื่มน้ำที่ผ่านกระบวนการกรองแบบนี้ จึงมีความปลอดภันจากสารฟลูออไรด์ในระดับหนึ่ง

 

ไม่ว่าจะเป็นการล้างพิษฟลูออไรด์ด้วยวิธีการใดก็ตาม ควรใช้ด้วยความระมัดระวัง และใช้ความถี่ของระยะการล้างพิษที่เหมาะสมที่ทำให้คุณรู้สึกดีทั้งร่างกายและจิตใจ และเมื่อได้ล้างพิษสะสมของฟลูออไรด์ออกไปแล้ว สิ่งที่ควรทำต่อไปก็คือ การจำกัดการนำสารนี้เข้าสู่ร่างกายให้อยู่ในปริมาณที่เหมาะสม พยายามหาความรู้ใหม่ๆอยู่เสมอ อย่ายึดติดกับข้อมูลหรือความเชื่อเดิมๆใดๆเป็นเวลานานๆ เพื่อคุณจะได้มีพัฒนาการที่ดีขึ้นของสุขภาพโดยรวม

 

เครดิตรูป: Water Tap

รู้จักไลฟสไตล์เปลี่ยนคุณให้ดูเด็กลง

 

ก็ในเมื่อไม่มีใครอยากดูแก่ ก็ต้องมาเรียนรู้ไลฟสไตล์สุขภาพและความงามที่จะทำให้คุณดูเด็กลงด้วยกัน

 

เคยไหมคะเวลาไปงานเลี้ยงรวมรุ่นแล้วจะแอบนึกว่า เพื่อนคนนี้เจอทีไรก็ยังดูสวยเด็กทุกที หรือเพื่อนคนนี้ไปทำอะไรมาถึงหน้าตาผมเผ้าไปหมดขนาดนั้น ก็งานแบบนี้แหละจะบอกว่าใครดูแลตัวเองได้ดีแค่ไหน

 

แน่นอนที่ถึงเราจะไม่สามารถหยุดเวลาได้ แต่เราสามารถหมุนนาฬิกากลับไปให้มีเส้นผม มือและผิวพรรณที่ยังดูอ่อนเยาว์กว่าวัยจริงได้ โดยที่คุณไม่ต้องทำศัลยกรรมความงาม หรือซื้อทรีทเมนท์แพงๆ หรือต้องพึ่งผลิตภัณฑ์เสริมอาหารหรือโลชั่นแบรนด์ใดๆ แค่ตรวจสอบพฤติกรรมไลฟสไตล์ประจำวัน และเพิ่มเรื่องง่ายๆเหล่านี้ในชีวิตประจำวันเท่านั้นเอง

 

 

1. เลิกใช้อุปกรณ์แต่งผมที่ใช้ความร้อน: เส้นผมที่ดูเด็กลงคือผมที่มีสปริงยืดหยุ่นและเงางามเป็นประกาย แต่การใช้คีมหนีบผมหรืออุปกรณ์ม้วนลอนผมที่ต้องใช้ความร้อนสูงๆ จะทำให้เส้นผมเสียหายหรือแตกหักได้ง่ายๆ ”

 

เพื่อความสวยย้อนเวลา: ให้เส้นผมได้พักจากการใช้เครื่องเป่าผมที่ร้อนจัด โดยการปล่อยให้ผมแห้งเองตามธรรมชาติ

 

 

2. ใช้ผลิตภัณฑ์กันแดดกับผิวทุกๆวัน: การทาครีมกันแดดทุกวันจะช่วยป้องกันผิวจากความเสี่ยงโรคมะเร็งผิวหนัง จากการศึกษาพบว่าคนที่ทาครีมกันแดด 2-3 วันในหนึ่งสัปดาห์ จะมีความเสี่ยงจากการที่ผิวจะเกิดความชราได้มากกว่าคนที่ทาครีมกันแดดประจำทุกๆวันถึงสองเท่า

 

เพื่อความสวยย้อนเวลา: ผลิตภัณฑ์กันแดดที่มีค่า SPF30 เป็นค่ากันแดดที่เหมาะสมที่แพทย์ผิวหนังแนะนำ ควรทามันทุกๆวันไม่ว่าจะฝนตกหรือแดดออกก็ตาม และให้ใช้มันบ่อยครั้งกว่าที่คุณคิดว่าต้องการ ที่เป็นแบบนี้เพราะคนส่วนใหญ่มักใช้ครีมกันแดดแค่ปริมาณเพียง 1 ใน 4 ของปริมาณที่ถูกแนะนำว่าควรจะใช้ในชีวิตจริงอยู่บ่อยๆ กฎที่ควรจำของปริมาณครีมกันแดดก็คือ ครั้งละ 2 ข้อนิ้วโดยทาให้คลุมพื้นที่ผิวให้ทั่ว ทิ้งไว้ให้ซึมสู่ผิวสักคครู่แล้วค่อยทาซ้ำจนได้ปริมาณที่เหมาะสม

 

 

healthlife004

 

 

3. ทาโลชั่นที่มือของคุณด้วย: ผิวที่หลังมือมีความบอบบางมาก และเสี่ยงที่จะเกิดริ้วรอยบอกวัยได้มากที่สุดเมื่อเทียบกับผิวในส่วนอื่นๆของร่างกาย เมื่ออากาศที่แห้งขโมยความชุ่มชื้นไป ผิวมือของคุณก็จะดูแก่กว่าที่มันควรจะเป็น การใช้โลชั่นจะช่วยเรื่องนี้ได้ เลือกโลชั่นที่มีส่วนผสมของสารกันแดด เพื่อช่วยลดความเสียหายของผิวจากแสงแดดที่ทำให้หลังมือคุณเป็นจุดสีน้ำตาลและริ้วรอยต่างๆ

 

เพื่อความสวยย้อนเวลา: อย่าลืมทามอยซ์เจอร์ที่มีค่ากันแดด SPF30 ที่หลังมือคุณทุกเช้าเพื่อเพิ่มความชุ่มชื่น

 

 

4. เลี่ยงอาหารที่ทำให้เกิดคราบฟัน: ฟันสีขาวบ่งบอกสัญญาณของสุขภาพดีและความเยาว์วัย อาหารที่มีสีคล้ำ, อาหารร้อนจัด, อาหารที่เหนียวเกินไป หรือซอสอย่างเช่นซอสบาร์บีคิว ก็เสี่ยงสูงมากที่จะทำให้เกิดคราบฟันเป็นสีคล้ำ เครื่องดื่มอย่างไวน์แดง, กาแฟและโคลา ก็ถูกระบุว่าทำให้เกิดคราบสีคล้ำที่ฟันได้ด้วยเช่นกัน

 

เพื่อความสวยย้อนเวลา: ป้องกันฟันของคุณจากการเกิดคราบได้ไม่ยาก ทั้งยังสามารถบริโภคอาหารได้อร่อยอีกด้วย แทนที่จะใช้บาร์บีคิวซอสคู่กับอกไก่ ก็เปลี่ยนมาใช้เป็นซอสมะม่วงซัลซาหรือสมุนไพรต่างๆแทน ก็จะได้คุณค่าโภชนาการมากกว่าด้วย หรือเปลี่ยนจากการดื่มเครื่องดื่มโซดาสีเข้มๆมาเป็นแบบใสแทน

 

 

healthlife005

 

 

5. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ: การออกกำลังกาย จะช่วยพัฒนาระบบไหลเวียนของเหลวภายในร่างกาย ทำให้ผิวดูดีขึ้น รวมไปถึงผิวรอบดวงตาของเราด้วยที่จะลดการบวมและรอยคล้ำลงได้ นอกจากนี้ ยังมีการศึกษาจากมหาวิทยาลัยแมคมาสเตอร์ในประเทศแคนาดาที่พบว่า การออกกำลังกาย จะช่วยย้อนเวลาของผิวที่ดูชราให้เยาว์วัยลงได้ด้วย นอกจากจะได้รูปร่างที่ดีแล้ว ก็จะยังได้ผิวพรรณที่ดีขึ้นจากกิจกรรมนี้

 

เพื่อความสวยย้อนเวลา: ให้นึกถึงข้อดีที่ว่านี้เพื่อจะออกกำลังกายให้ได้ 30 นาทีต่อวันในทุกๆวัน

 

 

6. จำกัดปริมาณโซเดียมแต่ละวัน: การบริโภคอาหารเค็มปริมาณมากเกินไป จะทำให้คุณตัวบวมเพราะร่างกายเก็บกักน้ำส่วนเกินเอาไว้ ทำให้ดูบวมฉุไปทั้งตัวโดยเฉพาะที่ผิวใต้ตา

 

เพื่อความสวยย้อนเวลา: กำจัดอาการท้องอืดด้วยการตระหนักถึงปริมาณโซเดียมที่แฝงอยู่ในอาหารที่คุณบริโภคเข้าไป เพราะมันจะมีเกลือเป็นส่วนผสมอยู่ทุกหนทุกแห่ง ทั้งในขนมปัง, ซีเรียล, เครื่องปรุงอาหาร, ซอสต่างๆ, ผลิตภัณฑ์อาหารจากเนื้อสัตว์, และแม้แต่ในขนมหวานเบเกอรี่หลายๆชนิดก็เต็มไปด้วยเกลือ

 

 

7. คุมพฤติกรรมติดมือถือให้ได้: การก้มหน้าพิมพ์ข้อความในมือถือ หรือก้มดูเฟสบุคนานๆ จะทำให้เกิดริ้วรอยย่นที่ผิวบริเวณคอ และหากคุณก้มแบบนี้เป็นประจำเป็นเวลานานๆ ริ้วรอยนั้นก็จะเป็นริ้วรอยถาวร

 

เพื่อความสวยย้อนเวลา: ลองสังเกตดูว่าคุณพิมพ์ข้อความบนมือถือมากที่สุดที่ไหน ที่ออฟฟิศ, ในรถไฟฟ้า จากนั้นให้เอารูปของแฟน หรือรูปครอบครัว หรือสถานที่ๆคุณไปมาแล้วชอบ มาไว้ที่ระดับที่จะเงยหน้าขึ้นมามองมันบ่อยๆในขณะที่กำลังพิมพ์ข้อความในมือถือ

 

 

8. ใช้น้ำยาบ้วนปากทุกวัน: ถ้าคุณทำแบบนี้อยู่แล้วละก็ ถือว่ามาถูกทางแล้วละ น้ำยาบ้วนปากจะช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรียในซอกฟัน ทั้งช่วยทำความสะอาดเหงือกของคุณให้คุณมีฟันที่สวยสะอาด และเหงือกเป็นสีชมพูสวย ซึ่งตรงข้ามกับเหงือกสีแดงที่เป็นสัญญาณของโรคเหงือก

 

เพื่อความสวยย้อนเวลา: เลือกน้ำยาบ้วนปากที่ปลอดจากแอลกอฮอล์ และควรเป็นสารที่มีส่วนประกอบของธรรมชาติ

 

 

9. บริโภคอาหารที่มีโปรตีนสูง: หากคุณต้องการให้เส้นผมมีสุขภาพดี ก็ต้องเริ่มจากพื้นฐาน นั่นคือการบริโภคอาหารอุดมด้วยโปรตีน เพื่อรักษาสมดุลการผลิตเส้นผมของร่างกาย เพราะโปรตีนเป็นสารอาหารที่จะช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของเส้นผม

 

เพื่อความสวยย้อนเวลา: ผู้หญิงควรบริโภคโปรตีนให้ได้ 46 กรัมต่อวัน และมากกว่านี้หากคุณตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร หรือเป็นนักกีฬาที่กำลังจะเตรียมเข้าแข่งขัน ตัวอย่างอาหารโปรตีนที่แนะนำเช่น ปลาแซลมอน 3 ออนซ์จะมีโปรตีน 22 กรัม ในขณะที่นมไขมันต่ำหนึ่งแก้วจะให้โปรตีน 8 กรัม

 

 

healthlife002

 

 

10. อย่าแปรงผมขณะเปียก: ถ้าคุณเลิกใช้ที่เป่าผมแบบร้อน ทั้งบริโภคโปรตีนมากขึ้น แต่เส้นผมของคุณยังบางและดูลีบแบนสีหม่นหมอง ไม่เป็นประกายเงางามแล้วละก็ คงต้องโทษพฤติกรรมหลังการสระผมของคุณ ว่าเป็นสาเหตุของปัญหานี้ นั่นคือการแปรงผมในขณะที่มันยังเปียกอยู่ซึ่งเส้นผมอยู่สภาวะที่อ่อนแอที่สุด สามารถทำให้เกิดความเสียหายที่นำไปสู่เส้นผม

 

เพื่อความสวยย้อนเวลา: อย่าแปรงผมขณะที่มันยังเปียกอยู่ หลังสระผมเสร็จ ให้ใช้หวีซี่ห่างๆที่มีปลายของซี่หวีแบบทื่อไม่แหลมคม หวีเบาๆทั่วศีรษะให้ผมไม่พันกัน

 

 

11. บริโภคผักใบสีเขียว: ผักเหล่านี้เป็นเหมือนแปรงสีฟันธรรมชาติ ทั้งยังอุดมด้วยไฟเบอร์เช่นผักโขม ผักกาด กะหล่ำและบร็อคโคลี จะช่วยทำความสะอาดฟัน ไฟเบอร์ของมันยังช่วยป้องกันคราบพลัคที่จะมาติดเคลือบฟันได้อีกด้วย นอกจากนี้ ยังช่วยให้ผิวสวยสดใสหากคุณบริโภคให้ได้วันละ 3 ครั้ง

 

เพื่อความสวยย้อนเวลา: ควรบริโภคผักผลไม้สดให้ได้สองถ้วยครึ่งต่อวัน นี่คือปริมาณที่นักโภชนาการแนะนำสำหรับผู้หญิงที่มีอายุน้อยกว่า 40 ปี

 

 

12. ควบคุมความเหนื่อย: ความเหนื่อยล้าไม่เพียงแต่จะทำให้คุณวุ่นวายในใจเท่านั้น แต่มันยังแสดงผลออกมารูปลักษณ์ภายนอกของคุณอีกด้วย นั่นคือสภาพผิวที่เกิดการแพ้ เป็นสิวรวมถึงอาการผื่นแพ้ต่างๆของผิวหนัง

 

เพื่อความสวยย้อนเวลา: จากการศึกษาพบว่า การเข้าสังคมและการอยู่ในโลกออนไลน์ มีบทบาทอย่างมากเกี่ยวกับความเหนื่อยล้านี้ ให้แน่ใจว่าคุณจัดเวลาได้เหมาะสมระหว่างการอยู่ในหมู่เพื่อนฝูงกับการพักผ่อน

 

 

healthlife003

 

 

13. นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ: เมื่อเราได้หลับลึก ร่างกายจะผลิตฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรนที่มีคุณภาพได้ดีกว่า ซึ่งฮอร์โมนเหล่านี้ จะช่วยระบบการซ่อมสร้างของผิวหนังให้ทำงานได้ดีขึ้น ทำให้ผิวสวยสดใสในตอนเช้า ทั้งฮอร์โมนคุณภาพนี้ ก็ยังช่วยป้องกันการเกิดสิวได้อีกด้วย

 

เพื่อความสวยย้อนเวลา: หากคุณชอบอยู่ดึกเพื่อดูรายการโปรด ก็ให้จำกัดเวลาการดูและทำตามอย่างเคร่งครัด พยายามหาสิ่งผ่อนคลายทำ เพื่อให้คุณรู้สึกสงบจากความตื่นเต้นของรายการที่เพิ่งจบไป เช่นอาจดื่มนมอุ่นๆที่ผสมน้ำผึ้งเล็กน้อยสักแก้ว ก็จะช่วยให้หลับสบายขึ้น

ปฏิบัติการเพิ่มผลกำไรให้กับมื้อเจ

 

ช่วงสัปดาห์สุดท้ายของเดือนตุลาคมที่เป็นช่วงของการกินเจ นอกจากเรื่องกลัวจะขาดสารอาหารแล้ว ก็มีหลายคนที่พูดให้ได้ยินว่า มีมื้อเจบางมื้อที่พอบริโภคแล้วก็รู้สึกว่าท้องอืด แน่นท้อง หรือถ้าขั้นหนักหน่อยก็ปวดท้องเป็นตะคริวในช่วงเวลาสั้นๆหลังจากบริโภคอาหารมื้อเที่ยง ก็เลยอยากจะมาเล่าให้ฟังเพื่อให้ได้เรียนรู้เรื่องนี้ ที่สาเหตุหนึ่งอาจมาจากการที่เราได้นำอาหารที่ไม่มีความลงตัวในศาสตร์ของการผสมผสานอาหารมารวมเข้าไว้ด้วยกันนั่นเอง

 

 

เรื่องราวของศาสตร์แห่งการผสมผสานอาหารหรือ food combination คือการรวมกันของความรู้ทางวิทยาศาสตร์ของโภชนาการ เพื่อให้เราเข้าถึงสภาวะทางเคมีของอาหารที่บริโภคเข้าไปและมันถูกจับให้ผสมผสานกันในกระบวนการย่อย การจับคู่อาหารที่มีส่วนประกอบสอดคล้องกัน ก็จะทำให้ร่างกายได้รับประโยชน์สูงสุด ได้พลังงานเต็มที่และมีการย่อยสลายของอาหารที่ดีกว่า ทั้งในเรื่องอัตราส่วนของสารอาหารที่ถูกย่อย และความหลากหลายของเอนไซม์ที่จะได้รับก็ครบถ้วนกว่าด้วย

 

 

กฎของการผสมผสานอาหาร ( Food Combination Rules)

 

healthvegetable003

 

สิ่งที่ควรรู้ก็คือ ร่างกายของเรามีความสามารถในการย่อยอาหารแต่ละชนิดได้ไม่เท่ากัน การเข้าใจการผสมผสานอาหารเบื้องต้นข้อนี้จะช่วยลดปัญหาให้ง่ายขึ้น และความสามารถในการย่อยอาหารของแต่ละคนก็ไม่เท่ากันด้วย ในขณะที่บางคนสามารถย่อยอาหารที่บริโภคเข้าไปได้ง่ายๆไม่มีปัญหา แต่ระบบการย่อยของบางคนก็เกิดการสะดุด และมีอาการท้องอืดเมื่อบริโภคอาหารที่ไม่ได้มีการผสมผสานตามหลักที่เหมาะสมนั้นๆ กฎง่ายๆของการผสมผสานอาหารก็คือ: 1. หากคุณรู้สึกว่ากินเจแล้วท้องอืด ก็ไม่ควรผสมผสานอาหารแป้งและโปรตีนเข้าด้วยกัน เพราะจะทำให้ระบบการย่อยทำงานช้าลง ทั้งอาจทำให้เกิดการหักล้างกันของสารอาหารที่มีประโยชน์ที่เกิดขึ้นได้โดยไม่ตั้งใจ ด้วยเหตุนี้ จึงควรให้เวลาในการวางแผนผสมผสานอาหาร และควรมีออกแบบล่วงหน้าหากอาหารมื้อนั้นของคุณมีแป้งหรือโปรตีนเป็นส่วนประกอบหลัก 2.หลังจากที่รู้ว่าส่วนประกอบหลักของอาหารจานนั้นของคุณคืออะไรแล้ว ก็สามารถเติมผักลงไปได้หลากชนิดตามที่คุณชอบ แต่ให้เก็บผักที่เป็นกลุ่มแป้งอย่างเช่นมันฝรั่ง ข้าวโพด มันต่างๆ ควินัว ฯลฯ เอาไว้ใช้สำหรับเมนูที่เป็นแป้งเป็นหลักเท่านั้น ไม่ควรนำมันมาผสมผสานกับเมนูที่ใช้โปรตีนเป็นหลัก 3. ให้บริโภคผลไม้ต่างๆแยกออกมาต่างหาก ไม่ควรผสมผสานมันเข้าไปในอาหารจานนั้น และควรบริโภคก่อนหรือหลังมื้ออาหารของคุณเป็นเวลาครึ่งชั่วโมง

 

 

อย่างไรก็ตาม คุณไม่จำเป็นต้องทำตามกฎเหล่านี้ตลอดเวลา แต่ให้นึกถึงมันเอาไว้ในช่วงระหว่างวัน เมื่อคุณต้องการตัวช่วยพิเศษเกี่ยวกับเรื่องของระบบการย่อยที่ดี

 

 

ความเหนื่อยล้าประจำวันกับระบบลำไส้ของคุณ:

มีการศึกษาหนึ่งตั้งข้อสังเกตว่า ความเหนื่อยล้า คือสาเหตุหนึ่งของการชลอตัวลงของแบคทีเรียชนิดดีที่มีในระบบการย่อย และในเดียวกัน ความเหนื่อยนี้ก็จะไปเพิ่มจำนวนแบคทีเรียชนิดเลวที่เป็นสาเหตุของการติดเชื้อให้มากขึ้นด้วย และเมื่อสุขภาพที่ดีของระบบย่อยอาหารของร่างกายมีบทบาทสำคัญกับความงาม สิ่งนี้จึงส่งผลไปถึงผิวพรรณที่ดูสวยกระจ่างใส, น้ำหนักตัวที่เหมาะสม, อารมณ์รื่นรมย์มีความสุข, และระบบภูมิคุ้มกันที่ดี เมื่อทุกอย่างต่อเนื่องกันไปหมด นอกจากการวางแผนการกินเจเพื่อให้ได้สุขภาพที่ดีแล้ว จึงสำคัญที่เราจะต้องวางความเหนื่อยล้าจากพฤติกรรมที่ทำอยู่เป็นประจำทุกวันลงให้ได้ ด้วยการฝึกหัดหาพื้นที่สงบผ่อนคลายให้กับชีวิตของเราด้วยในแต่ละวัน พื่อให้ระบบการย่อยมีประสิทธิภาพไม่เกิดการแปรปรวน

 

 

เติมขมิ้นและพริกไทยดำลงในเมนูเจ:

 

healthvegetable004

 

ขมิ้นและพริกไทยดำ เป็นเครื่องเทศสองชนิดที่ไม่ได้ถูกห้ามในการกินเจ และเมื่อสองสิ่งนี้มาอยู่คู่กัน ก็จะเกิดผลดีต่อสุขภาพเพิ่มขึ้นกว่าการอยู่เดี่ยวๆอย่างมาก เพียงผงขมิ้นป่นจำนวนเล็กน้อยถูกโปรยลงในอาหาร ก็จะไปเติมผลกำไรแห่งความงามที่สำคัญๆให้คุณอย่างมากมาย รวมถึงช่วยลดการติดเชื้อและช่วยเพิ่มปริมาณของสารต้านอนุมูลอิสระให้ด้วย และหากคุณใช้มันร่วมกับพริกไทยดำป่นแล้วละก็ การศึกษาพบว่ามันจะเพิ่มการดูดซึมคุณสมบัติดีๆของขมิ้นที่จะเข้าสู่ร่างกายให้มากขึ้นอย่างมหัศจรรย์ถึง 2000 % เลยทีเดียว แม้จะเป็นพริกไทยดำป่นเพียงเล็กน้อยที่ถูกผสมลงไป นี่คือเคล็ดลับความงามและสุขภาพดีที่ทำได้ไม่ยากในการกินเจนี้

 

 

เติมพลังเตรียมรับฤดูหนาวให้สมูตตี้เจ:

เพิ่มพลังให้กับสมูตตี้หวานๆง่ายๆแบบธรรมดาที่เคยดื่มในช่วงหน้าร้อน เพื่อเตรียมพร้อมร่างกายให้รับมือกับสภาวะอากาศที่กำลังจะเปลี่ยนเข้าสู่ฤดูหนาว ด้วยการเติมเมล็ดเจีย ( chia seed) 1-2 ช้อนโต๊ะ ลงในสมูตตี้รสโปรดของคุณทุกๆแก้ว วิธีนี้จะเพิ่มพลังให้กับร่างกาย ทั้งยังทำให้คุณมีผิวพรรณที่ดีขึ้นในช่วงหน้าหนาวนี้ด้วย เมล็ดเจียอุดมด้วยกรดไขมันที่มีประโยชน์สำหรับผิวสวย ช่วยต้านการติดเชื้อและฟื้นฟูแร่ธาตุในร่างกาย ทั้งยังมีคุณสมบัติช่วยให้คลายความเหนื่อยล้า แค่คุณบริโภคมันให้ได้ในปริมาณ 4 ช้อนโต๊ะต่อวัน

 

 

เตรียมร่างกายให้พร้อมกับมื้อเจ:

กุญแจสำคัญที่จะนำไปสู่ระบบการย่อยที่พร้อมและการมีผิวพรรณเปล่งปลั่งสดใส ก็คือการที่จะต้อง “ตั้ง”ระบบการย่อยที่ดีให้กับตัวเองก่อนมื้ออาหาร ด้วยการดื่มน้ำสะอาดอุณหภูมิห้อง 15 นาทีก่อนที่จะบริโภคอาหาร การทำแบบนี้จะช่วยเพิ่มความชุ่มชื่นให้กับลำไส้และระบบการย่อยของคุณ และนอกจากนี้ คุณต้องตัดจากการวุ่นวายกับคอมพิวเตอร์ สมาร์ทโฟน ทีวี และความเหนื่อยล้าทั้งหมดที่เกิดขึ้นในช่วงทำงานก่อนหน้านี้ด้วย ก็แค่หายใจลึกๆเพื่อลดความเหนื่อยล้าที่มีอยู่ และใช้ชีวิตกับปัจจุบันว่านี่คือถึงเวลาอาหารที่คุณต้องหยุดคิดเรื่องงานได้แล้ว เมื่อทำแบบนี้ได้คุณก็จะสามารถนั่งลงที่ร้านและเลือกอาหารที่ดีต่อร่างกายได้ โดยปราศจากอารมณ์ด้านลบมาทำให้เกิดความผิดพลาด ลองทำแบบนี้ทุกครั้งก่อนนั่งลงบนโต๊ะอาหารสักสัปดาห์ แล้วจะสังเกตพบความแตกต่างของระบบการย่อยที่ดีขึ้นไม่ว่าจะเป็นมื้อใดก็ตาม

 

 

บริโภคผักในตระกูลกะหล่ำให้มากขึ้น:

 

healthvegetable005

 

ผักกะหล่ำชนิดต่างๆ รวมทั้งบร็อคโคลี, กะหล่ำปลี, ผักกวางตุ้ง ฯลฯ เหล่านี้ถูกจัดว่าเป็นอาหารซูเปอร์ฟู้ดของความงาม และทำให้มีสุขภาพดี ช่วยลดความเสี่ยงของโรคร้ายต่างๆให้กับผู้หญิง เพราะผักในตระกูลนี้มีสารชื่อว่า ไอโซไธโอไซยาเนท (isothiocyanates) ซึ่งจะไปช่วยกระตุ้น Nrf2 ในร่างกาย ซึ่ง Nrf2 นี้ คือโปรตีนในเซลล์ของร่างกาย ที่เป็นตัวช่วยกระตุ้นให้เกิดการขจัดสารพิษ ต่อต้านการเกิดอนุมูลอิสระและการอักเสบติดเชื้อต่างๆในเซลล์ ปัจจุบัน สารนี้ได้รับความสนใจอย่างกว้างขวางในวงการอุตสาหกรรมยา ว่ามันอาจเป็นตัวช่วยของร่างกายในแนวทางป้องกันโรคต่างๆได้ นอกจากนี้ ผักในตระกูลกะหล่ำก็ยังช่วยขจัดฮอร์โมนเอสโตรเจนส่วนเกินของร่างกาย ที่จะไปเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็งเต้านมและมะเร็งรังไข่ได้อีกด้วย

 

 

จิบชาสมุนไพรช่วยระบบการย่อย:

อย่าลืมตุนชาสมุนไพรไว้ในครัวเพื่อช่วยระบบการย่อยอาหาร สิ่งนี้ยังช่วยให้มีผิวพรรณเปล่งปลั่ง เลือกชาขิงออร์แกนิก ที่มีสารช่วยการผ่อนคลายของกระเพาะอาหาร และช่วยคลายอาการของอาหารไม่ย่อย หรือคุณอาจทำชาสมุนไพรนี้ด้วยตัวเอง โดยผสมเมล็ดยี่หร่า (fennel) เข้ากับผงลูกกระวาน ( cardamom) และผงขิงอบแห้งที่หาซื้อได้ในซูเปอร์มาร์เก็ตทั่วไป จากนั้นนำส่วนผสมทั้งหมดมาใส่ลงในชาแดงหรือ ( rooibos tea)ที่ปลอดคาเฟอีนและอุดมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ

 

 

ยืดหยุ่นกับการเตรียมอาหารเจ:

 

healthvegetable002

 

หลายคนบอกว่า การเตรียมอาหารเจเป็นเรื่องยุ่งยาก ซึ่งถ้าจะพูดอย่างซื่อสัตย์ เราก็ต้องยอมรับว่า ไม่มีใครสนุกกับการต้องเตรียมและทำอาหารประจำวัน เมื่อคุณรู้สึกเหนื่อยและไม่มีแรงบันดาลใจ ไม่ว่าจะเป็นการเตรียมอาหารเจหรืออาหารธรรมดาๆ เพราะมันเป็นเวลาที่คุณต้องการพักผ่อนมากกว่า แต่ในขณะเดียวกัน ร่างกายของเราก็ต้องการอาหารที่มีประโยชน์ สิ่งที่จะทำให้คุณประนีประนอมกับสองเรื่องนี้ได้ก็คือ การหาข้อมูลร้านอาหารเจที่มีคุณภาพดีจริงๆ หรือซื้อผักผลไม้สดแบบที่เตรียมพร้อมปรุง เพื่อลดขั้นตอนการทำอาหารให้สั้นลง การใช้แอพช้อปปิ้งสินค้าอาหารจากซูเปอร์มาร์เก็ต ก็สามารถช่วยลดเวลาการจ่ายของเหล่านี้ให้คุณได้ สิ่งที่สำคัญคือคุณต้องวางแผนล่วงหน้าว่ามื้อไหนจะบริโภคอะไร ทีนี้คุณก็จะมีเวลาพักผ่อนเพิ่มขึ้นและได้รับสารอาหารที่ดีเหมาะสม โดยไม่จำเป็นต้องเตรียมหรือทำอาหารด้วยตัวเองทุกครั้ง

 

 

สุดท้ายก็คือเตือนกันว่า อาหารต้องห้ามสำหรับการกินเจได้แก่ กระเทียม หอม กุ้ยช่าย อาหารรสจัด ซึ่งเป็นอาหารที่มีกลิ่นรุนแรงทำให้มีผลต่ออารมณ์ นอกจากนี้ การกินเจให้สุขภาพดีก็คือการควบคุมปริมาณอาหารทุกอย่างให้เหมาะสม เลี่ยงของทอดและแป้งที่จะเพิ่มน้ำหนักตัว รวมทั้งอาหารมันจัด รสเค็มจัด และควรล้างผักผลไม้ที่บริโภคให้แน่ใจว่าสะอาดจริงๆ และอย่าลืมการออกกำลังกายเป็นประจำ เพื่อให้ร่างกายเผาผลาญคาร์โบไฮเดรตจากอาหารเจได้สะดวกขึ้น หวังว่าเรื่องราวที่เล่าในวันนี้ จะช่วยให้กินเจแบบสุขภาพดีด้วยกันทุกท่านนะคะ