ดื่มน้ำมากเกินไป…ไม่ใช่เรื่องดีต่อสุขภาพ

วันนี้คุณดื่มน้ำมากเกินไปหรือเปล่า…ลองเช็คดู

น้ำเป็นสิ่งสำคัญสำหรับสิ่งมีชีวิต เป็นสิ่งสำคัญสำหรับกิจกรรมทุกสิ่งของเราทั้งเรื่องของสุขภาพเรื่องของความงาม และการใช้ชีวิต การขาดน้ำของร่างกายคือสาเหตุของสิว, ท้องอืด, น้ำหนักที่ลดลงได้ยากซี่งความคิดนี้ทำให้เราบอกตัวเองให้ดื่มน้ำมากๆระหว่างวันแต่อย่าลืมว่า ของทุกอย่างที่ดีมันก็ต้องมีความ “พอดี” ด้วย เพราะถ้ามากเกินไป ของที่ดีก็จะกลายเป็นไม่ดีไปได้

การบอกตัวเองให้ดื่มน้ำมากๆ ก็จะเป็นไปได้ที่ทำให้คุณทำร้ายตัวเองด้วยการดื่มน้ำมากเกินไป เรื่องนี้ฟังดูแปลกๆใช่ไหมคะแต่มันคือความจริง การดื่มน้ำมากเกินไปก็สามารถทำให้ร่างกายเกิดอันตรายได้เท่าๆกับการขาดน้ำ เพราะมันจะทำให้ปริมาณของเหลวในร่างกายเกิดการท่วมล้นขาดสมดุลเพราะมีของเหลวในปริมาณมากเกินที่ไตจะทำงานตามปกติของมันได้ นอกจากนี้คำแนะนำที่ให้ดื่มน้ำวันละ 8 แก้ว ก็ไม่ได้บอกว่าควรดื่มเวลาไหนอย่างไร ซึ่งสิ่งนี้ต่างหากคือสิ่งที่คุณควรรู้และทำ

เพราะปริมาณน้ำที่เหมาะสมที่ควรดื่ม เป็นเรื่องของแต่ละบุคคล

Drink Water Visual 1

เมื่อจะบอกตัวเองว่าควรดื่มน้ำกี่แก้ว สิ่งที่ควรเข้าใจก็คือองค์ประกอบในการตัดสินเรื่องนี้นั้นมีหลากหลาย อัน ได้แก่ :
– ขนาดตัวของคุณ ( Body Size) คนตัวเล็กกับคนตัวใหญ่ย่อมต้องการน้ำในปริมาณที่ต่างกัน
– ระดับความกระตือรือร้นของพฤติกรรมที่ทำประจำวัน (Level of Daily Activities) นักกีฬากับคนที่นั่งทำงานกับโต๊ะออฟฟิศก็จะมีปริมาณน้ำที่ต้องการแตกต่างกันออกไปด้วย
– พื้นที่ที่คุณอาศัยอยู่และระดับอุณหภูมิในพื้นที่นั้นๆ (Area of Living and Temperature Level) พื้นที่ในเมืองที่เต็มไปด้วยมลพิษและสิ่งก่อสร้างคอนกรีตที่มีอุณหภูมิความร้อนของอากาศภายนอกและความแห้งเย็นจากเครื่องปรับอากาศภายในอาคาร คนที่อาศัยอยู่ก็ย่อมต้องการน้ำในปริมาณต่างจากบ้านชนบทในป่าเขาหรือทะเลที่มีภูมิอากาศอีกอย่างหนึ่ง

ทั้งสามสิ่งข้างต้นคือองค์ประกอบของการดื่มน้ำที่เราควรนึกถึง แล้วทีนี้คำถามก็คือ จะกำหนดมาตรฐานของระดับการดื่มน้ำของแต่ละคนได้อย่างไร ซึ่งวิธีการดื่มน้ำที่ถูกต้องก็คือ ให้คุณตั้งเป้าหมายว่าแต่ละวันจะดื่มน้ำให้ได้เท่ากับ “ครึ่งหนึ่ง”ของค่าน้ำหนักตัวที่เป็นปอนด์ของคุณเช่นถ้าคุณหนัก 140 ปอนด์หรือประมาณ 64 กิโลกรัม คุณก็ควรจะดื่มน้ำให้ได้วันละ 70 ออนซ์หรือประมาณ 1.9 มิลลิลิตรหรือเกือบ 2 ลิตร แต่ถ้าคุณน้ำหนักตัวน้อยกว่านี้ ปริมาณน้ำที่ควรดื่มก็จะลดลงตามไปด้วย (1 กิโลกรัมเท่ากับ 2.2 ปอนด์ และ1 ออนซ์เท่ากับ 28.41 มิลลิลิตร)ตัวอย่างนี้จะเป็นไอเดียที่ดีใรการคำนวณปริมาณน้ำโดยเฉลี่ยที่คุณควรดื่มแต่ละวัน จากนั้นเมื่อนำมาเทียบกับพฤติกรรมการใช้ชีวิตและพื้นที่ๆคุณอยู่แล้ว ความต้องการน้ำของร่างกายคุณก็อาจมีการบวกลบได้ประมาณ 10-15% ซึ่งการดื่มน้ำมากๆจนเกินกว่าปริมาณที่ร่างกายควรได้รับ นอกจากจะไม่มีประโยชน์แล้ว ยังกลับเกิดโทษได้ด้วย

5 สัญญาณร่างกายว่าคุณดื่มน้ำมากเกินไป:
1. สีปัสสาวะใสเหมือนน้ำ: คุณอาจคิดว่านี่คือตัวบ่งชี้ที่ดีของสุขภาพแต่ที่จริงแล้ว สีปัสสาวะที่ใสเกินไปก็น่าห่วงเช่นกันเพราะมันหมายถึงร่างกายของคุณกำลังได้รับความชุ่มชื้นมากเกินไปปกติแล้ว สีของปัสสาวะที่ดีควรมีสีเหลืองใสจางๆไม่ใช่ใสเหมือนน้ำ

Drink Water 2

2. เซลล์บวม: ส่วนประกอบสำคัญของเซลล์ในร่างกายของเราคือโปตัสเซียมกับโซเดียม ซึ่งแร่ธาตุทั้งสองต้องมีความสมดุลจึงจะทำให้ระบบโลหิตสมดุลทั้งปริมาณและความดันโลหิตซึ่งโลหิตในร่างกายเราจะมีการสกัดของเหลวส่วนเกินออกไปและแปรสภาพมันให้เป็นปัสสาวะ หากร่างกายเรามีน้ำมากเกินการใช้งาน สิ่งที้เกิดขึ้นก็คือระดับโซเดียมในโลหิตก็จะเจือจางซึ่งเมื่อโลหิตที่มีโซเดียมเจือจางนี้ไปหล่อเลี้ยงเซลล์ ผลที่ตามมาก็คือในเซลล์ก็จะมีน้ำมากกว่าที่ควรจะเป็นทำให้เซลล์เกิดบวมตัวจากน้ำที่คั่งอยู่นั้นซึ่งหากสิ่งนี้เกิดขึ้นกับอวัยวะบางส่วนเช่นกับระบบประสาทนิวรอนของสมอง ซึ่งเป็นเซลล์ของระบบประสาทที่มีพื้นที่เล็กมากๆอยู่ในกระโหลกศีรษะ การบวมตัวของนิวรอนก็จะทำให้เกิดอันตรายถึงเสียชีวิตได้เพราะสมองได้เกิดการบาดเจ็บขึ้น
3. คลื่นไส้: สิ่งนี้เกิดจากการมีระดับของโปตัสเซียมในเซลล์ต่ำเกินไป ทำให้คุณรู้สึกคลื่นไส้อยากอาเจียน
4. กล้ามเนื้อเกร็งและเป็นตะคริวบ่อยๆ: เรามักคิดว่าตะคริวเกิดจากการขาดน้ำ แต่จริงๆแล้วการดื่มน้ำมากเกินไป ก็ทำให้เกิดเป็นตะคริวได้จากการที่สารอิเล็คโทรไลท์ในร่างกายเช่นสารโซเดียมมีปริมาณลดลงซึ่งเราสามารถทดแทนสารอิเล็คโทรไลท์ที่ลดลงไปนี้ได้ ด้วยการดื่มน้ำที่มีสารอิเลคโทรไลท์ตามธรรมชาติเช่นน้ำมะพร้าว ก็จะช่วยคืนสมดุลให้ร่างกาย
5. ความเหนื่อยล้า: ลองนึกภาพดูว่า ถ้าไตของเราถูกสั่งให้ทำงานหนักเกินขีดจำกัด ด้วยการต้องกรองของเสียออกจากน้ำปริมาณมากที่ดื่มเข้าไปแล้วจะเกิดอะไรขึ้นกับมันอวัยวะทุกอย่างในร่างกายเมื่อต้องทำงานหนักก็ย่อมเหนื่อยล้าและชลอการทำงานลงเหมือนที่เราทำงานหนักจนขี้เกียจตื่นเช้าเพื่อไปทำงานนั่นแหละ ไตของคุณก็จะทำงานช้าลงและเกิดปัญหาสุขภาพในระยะยาว

ตารางเวลาการดื่มน้ำ 8 แก้วที่เหมาะสม:

Drink Water 1

การดื่มน้ำ 8 แก้วต่อวัน ถ้าดื่มให้ถูกเวลาก็จะเป็นการดื่มน้ำที่ให้ประโยชน์ ลองพิจารณาข้อมูลการดื่มน้ำข้างล่างนี้

6.00 – 7.00 น.: น้ำแก้วแรกหลังจากตื่นนอน
ข้อดี: น้ำแก้วนี้จะช่วยขจัดมลพิษที่ตกค้างช่วยทำความชุ่มชื่นให้กับสมองช่วยกระตุ้นระบบการย่อยเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการย่อยอาหารเช้าของคุณอย่างมีประสิทธิภาพ

8.00 – 9.00 น.: น้ำแก้วที่สองหนึ่งชั่วโมงหลังอาหารเช้า
ข้อดี: ช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน, ช่วยสมดุลกรดด่างของร่างกาย,ช่วยหล่อลื่นข้อต่อและกระดูกอ่อน

11.30 – 12.00 น.: น้ำแก้วที่สาม ครึ่งชั่วโมงก่อนมื้อเที่ยง
ข้อดี: ช่วยให้ร่างกายเผาผลาญไขมันส่วนเกิน, ช่วยฟื้นฟูระบบเมตาบอลิซึ่มใน 30-40 นาทีหลังจากการดื่มน้ำ, ช่วยให้ระบบการย่อยอาหารทำงานได้ดีขึ้น

13.00– 14.00 น.: น้ำแก้วที่สี่ หนึ่งชั่วโมงหลังมื้อเที่ยง
ข้อดี: ป้องกันร่างกายจากความชราก่อนวัย, ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตโลหิตและเซลล์กล้ามเนื้อ

15.00 – 16.00 น.: น้ำแก้วที่ห้า ครึ่งชั่วโมงก่อนพักดื่มกาแฟหรือชาตอนบ่าย
ข้อดี: ช่วยจำกัดการผลิตกรดในร่างกายให้น้อยลง, ขจัดสารพิษออกจากร่างกาย

17.00 – 19.00 น.: น้ำแก้วที่หก หนึ่งชั่วโมงก่อนมื้อเย็น
ข้อดี: ป้องกันการบริโภคอาหารมากเกินไป, ช่วยลดความเสี่ยงการเกิดมะเร็งลำไส้ลงได้ 45%

20.00 – 21.00 น.: น้ำแก้วที่เจ็ด หนึ่งชั่วโมงหลังมื้อเย็น
ข้อดี: ช่วยให้ร่างกายดูดซึมสารอาหารได้ดีขึ้น, ป้องกันท้องผูก

21.30 – 22.00 น. PM: น้ำแก้วที่แปดครึ่งชั่วโมงก่อนนอน
ข้อดี: ช่วยเติมเต็มของเหลวที่ร่างกายสูญเสียไป, ป้องกันการเกิดโรค Stroke หรือหลอดเลือดสมองอุดตันและโรคหัวใจ

 

นี่คือระยะเวลาของการดื่มน้ำที่ช่วยสุขภาพอย่างเหมาะสม อย่างไรก็ตาม คุณอาจดื่มน้ำในช่วงเวลาอื่นๆเสริมจากช่วงเวลาหลักที่ว่านี้ก็ได้เพื่อให้ร่างกายได้รับน้ำในปริมาณเท่าที่ต้องการ เรื่องเล็กๆน้อยๆที่เราทำเป็นประจำ หากใส่ใจในรายละเอียดและทำได้ถูกวิธี ก็จะเพิ่มผลกำไรสุขภาพให้เราได้มากมาย ว่าแล้วก็ต้องขอไปดื่มน้ำแก้วต่อไปตามเวลาก่อน พบกันใหม่คราวหน้าค่ะ

อ้วนเกินไปเพราะภาวะขาดไทรอยด์ ( หรือเปล่า )

ถ้าวันหนึ่งอยู่ดีๆก็น้ำหนักขึ้นเอาๆ ไดเอ็ตยังไงก็ลดไม่ลง หากเกิดสิ่งนี้ขึ้นละก็เรื่องแรกที่ควรนึกถึงเลยก็คือ “กำลังพบกับภาวะขาดไทรอยด์อยู่หรือเปล่า” Hypothyroidism หรือภาวะขาดไทรอยด์นี้เป็นหนึ่งในปัญหาสุขภาพที่ในต่างประเทศกำลังให้ความสำคัญ เพราะมีผู้หญิงจำนวนมากที่พบกับสิ่งนี้โดยไม่รู้ตัวทำให้ลดน้ำหนักไม่ลงไปเรื่อยๆพร้อมสุขภาพย่ำแย่จากโรคต่างๆที่ตามมา

รู้จักกับต่อมไทรอยด์:

Health-Hypothyroidism-1

ต่อมไทรอยด์ เป็นต่อมเล็กๆรูปร่างคล้ายปีกผีเสื้ออยู่ที่บริเวณคอของเรา ทำหน้าที่ควบคุมเมตาบลิซึ่มหรือระบบเผาผลาญอาหารที่เราบริโภคเข้าไป ซึ่งถ้ามันมีปัญหา ก็หมายถึงระบบเผาผลาญอาหารของเราก็จะมีปัญหาไปด้วยและปัญหาสุขภาพอื่นๆ ต่อมไทรอยด์จะใช้ไอโอดีนจากเลือดของเราไปผลิตฮอร์โมนไทรอยด์2 ชนิดชื่อไทรไอโอโดทีโรนีน (Triiodothyronine) หรือT3และไทร็อกซีน(Thyroxine) หรือ T4เพื่อให้ร่างกายเผาผลาญอาหาร ซึ่งในสมองของเราก็จะมีต่อมไฮโปทาลามัส(hypothalamus)ทำหน้าที่ผลิตฮอร์โมน TSH ที่จะส่งสัญญาณไปยังต่อมพิทูอิทารี(pituitary)ว่าจะให้ต่อมไทรอยด์ผลิต T3 และ T4 มากหรือน้อยแค่ไหน ถ้าในเลือดมีระดับ T3และ T4ต่ำ พิทูอิทารี่ก็จะผลิต THS มากขึ้นเพื่อกระตุ้นให้เกิดการผลิตฮอร์โมนไทรอยด์แต่ถ้าT3 และ T4 ในเลือดสูงเกินไป พิทูอิทารี่ก็จะลดการปล่อยสาร TSH สู่ไทรอยด์เพื่อลดระดับการผลิตฮอร์โมนไทรอยด์ให้กับร่างกายนั่นเอง

ภาวะขาดไทรอยด์เกิดจากอะไร:
ภาวะขาดไทรอยด์หรือ Hypothyroidism เป็นภาวะที่พบบ่อยประมาณ 2-5% ของประชากร และพบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชายประมาณ 2-8 เท่า สาเหตุแรกก็คือความผิดปกติของพันธุกรรมตั้งแต่กำเนิดส่วนสาเหตุอื่นๆเช่นความผิดปกติของต่อมพิทูอิทารี่ ที่ผลิตสาร TSH กำหนดปริมาณการผลิตไทรอยด์ผิดปกติหรือสาเหตุจากการตั้งครรภ์ ที่หลังการคลอดแล้วผู้หญิงจะมีภาวะไทรอยด์ต่ำต่อมไทรอยด์ผลิตฮอร์โมนน้อยลง ซึ่งถ้าเป็นแล้วไม่ได้รักษาก็จะเกิดโรคอื่นๆตามมาเช่นโรคอ้วน,โรคปวดข้อ,โรคหัวใจจากระดับไขมันเลวหรือ LDL ที่สูงขึ้นเรื่อยๆนำไปสู่ภาวะหัวใจล้มเหลว,โรคของภูมิคุ้มกันทำลายตนเอง (Autoimmune Disease)ที่ระบบภูมิคุ้มกันร่างกายผลิตแอนตี้บอดี้ขึ้นมาทำลายเนื้อเยื่อภายในร่างกายเช่นโรคไทรอยด์อักเสบฮาชิโมโต ( Hashimoto’s Thyroiditis)

จะสังเกตอย่างไรว่าขาดไทรอยด์:

Health-Hypothyroidism-4

เส้นผมและผิวหนังเปลี่ยนไป – เส้นผมที่เคยเงางามกลับแห้งหยาบ,หลุดร่วงง่ายผิวหนังก็จะหยาบแห้งดูหนาเป็นสะเก็ด
ปัญหาของลำไส้ – ท้องผูกเรื้อรัง,ท้องร่วง,โรคลำไส้แปรปรวน IBS (irritable bowel syndrome)
ปวดข้อหรือกล้ามเนื้อ – กล้ามเนื้อแขนอ่อนแอลง, มีการกดทับของเส้นประสาท(carpal tunnel)ที่แขนหรือมือ
คอเลสเตอรอลสูงขึ้น – เนื่องจากร่างกายไม่ตอบรับการออกกำลังกายและโปรแกรมควบคุมอาหารที่ทำอยู่ รวมทั้งไม่ตอบรับการยาลดคอเลสเตอรอลที่บริโภคอยู่ด้วย
ประจำเดือนผิดปกติ – ประจำเดือนมามากและบ่อยกว่าเดิม เจ็บปวดช่วงมีประจำเดือน หรือระยะประจำเดือนสั้นและน้อยกว่าปกติ สีจางหรือเข้มกว่าปกติ ฯลฯ
หดหู่หงุดหงิดง่ายและกังวล – ซึ่งควบคุมตัวเองไม่ได้ ก็อาจเป็นอาการหนึ่งของโรคไทรอยด์เช่นกัน
น้ำหนักเพิ่มขึ้นเร็วและคุมไม่ได้ – สิ่งนี้ก็เป็นสัญญาณสำคัญของโรคขาดไทรอยด์
ความรู้สึกไม่สบายบริเวณคอหรือคอบวมใหญ่ขึ้น – จะรู้สึกเวลาสวมเสื้อคอสูงหรือผูกเนคไท
ประวัติครอบครัว – ถ้ามีหรือเคยมีคนในครอบครัวเป็นโรคไทรอยด์ก็จะมีความเสี่ยงมากกว่าคนอื่น
เหนื่อยมากผิดปกติ – เช่นเหนื่อยหมดแรงเมื่อตื่นนอนหรือเหนื่อยจนทำงานไม่ไหว

อาหารควรเลี่ยงของภาวะขาดไทรอยด์

Health-Hypothyroidism-2

ปัญหาหลักของโรคนี้คือ ระบบการย่อยอาหารชลอตัวลงทำให้อ้วนขึ้นอย่างรวดเร็วเพราะควบคุมน้ำหนักไม่ได้การเลิกสูบบุหรี่,หลีกเลี่ยงโปตัสเซียมฯลฯเป็นการดูแลวิธีธรรมชาติที่ช่วยให้การทำงานของต่อมไทรอยด์ดีขึ้นควรเลี่ยงอาหารที่อุดมด้วยสารกอยโทรเจน ( goitrogens) ซึ่งเป็นสารรบกวนการผลิตฮอร์โมนไทรอยด์ของร่างกายซึ่งจะไปยับยั้งการทำงานของต่อมไทรอยด์ ทำให้ไม่สามารถผลิตฮอร์โมนได้อย่างเหมาะสมซึ่งอาหารที่ควรเลี่ยงได้แก่
1. ผัก: เลี่ยงผักตระกูลกะหล่ำเช่นบร็อคโคลี, บ็อกชอย,สเปราท์, กะหล่ำปลี, ดอกกะหล่ำ, แรดิช , คะน้า,วอเตอร์เครส ฯลฯผักเหล่านี้มีสารกอยโทรเจน(goitrogen) สูง จึงนอกจากยับยั้งการสร้างฮอร์โมนแล้วยังทำให้ร่างกายนำไอโอดีนในเลือดไปใช้ได้น้อยกว่าปกติ การบริโภคผักตระกูลนี้มากเกินไป จะทำให้ท้องอืดและขาดสารไอโอดีนจนเป็นโรคคอพอกได้ แต่สารนี้จะสลายตัวไปเมื่อได้รับความร้อน ทั้งควรเลี่ยงผักที่มีสารไทโอไซยาเนท (thiocyanate)ซึ่งมีผลเสียต่อโรคของต่อมไทรอยด์ เช่น หน่อไม้, ข้าวโพด, เมล็ดแฟล็กซ์, ถั่วลิมา (lima bean), มันเทศ ฯลฯ
2. อาหารกลูเตน: เช่นแป้งสาลี, จมูกข้าวสาลีหรือวีทเจิร์ม ( wheatgerm) , ข้าวไรน์, ข้าวบาร์เลย์ ฯลฯแต่บริโภคแป้งหรือธัญพืชที่ปลอดกลูเตนได้เช่นข้าวกล้อง, ไรซ์เค้ก(rice cakes), ไรซ์นูดเดิ้ล, ข้าวตัง, บัควีท, ควินัว , ข้าวโอ๊ต, ซีเรียล ฯลฯ หรือพาสต้าและขนมเบเกอรี่ที่ปลอดกลูเตน
3. ผลไม้: เลี่ยงลูกพีช, แพร์ และสตรอเบอร์รี่
4. ถั่วต่างๆ: เลี่ยงถั่วเหลืองและผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง, ถั่วลิสง,เมล็ดสน ฯลฯ
5. น้ำมัน: เลี่ยงน้ำมันคาโนลา, น้ำมันถั่วเหลือง, น้ำมันเมล็ดแฟล็กซ์, น้ำมันปลา, น้ำมันเมล็ดคำฝอย ( Safflower oil), น้ำมันข้าวโพด,น้ำมันพืชและน้ำมันจากเมล็ดพืชต่างๆ
6. เครื่องดื่มแอลกอฮอล์
7. อาหารสำเร็จรูปหรือกึ่งสำเร็จรูปทุกชนิด
8. อื่นๆ: อาทิ หัวหอมสด,ผักชี, คาโมมายล์ฯลฯ

ที่ให้เลี่ยงก็เพราะอาหารเหล่านี้มีสารกอยโทรเจนสูง โดยเฉพาะถ้าบริโภคแบบสดๆกอยโทรเจนจะไปยับยั้งการดูดซึมไอโอดีนเข้าสู่ร่างกาย ขัดขวางการผลิตฮอร์โมนของต่อมไทรอยด์ แล้วก็ระวังโปรตีนจากถั่วเหลืองด้วย เพราะโปรตีนนี้จะมีสารไอโซฟลาโวนที่จะไปกระตุ้นแอนตี้บอดี้ของไทรอยด์ ทำให้เกิดการติดเชื้อได้ง่ายขึ้นและไอโซฟลาโวนยังขัดขวางการดูดซึมไอโอดีน ทำให้เกิดโรคคอพอกง่ายขึ้นด้วยนี่คือข้อมูลวิจัยที่ตีพิมพ์ใน the Journal of Clinical Endocrinology and Metabolism และที่ควรเลี่ยงอาหารกลูเตน ก็เพราะการวิจัยพบว่า 90% ของปัญหาขาดไทรอยด์คือเรื่องของการมีภูมิคุ้มกันบกพร่อง (autoimmune) ซึ่งโมเลกุลของไทรอยด์และไกลอาดิน (gliadin) สารโปรตีนชนิดหนึ่งในกลูเตนจะมีโครงสร้างคล้ายกัน ทำให้เมื่อเราบริโภคกลูเตนระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายของเราก็จะยิ่งเพิ่มการยับยั้งการผลิตฮอร์โมนของไทรอยด์อาหารที่ควรระวังอีกอย่างก็คือ ไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อนหรือ Polyunsaturated fats ( PUFAs)เช่นในน้ำมันเมล็ดแฟล็กซ์, คาโนลา,น้ำมันปลาฯลฯอาหารนี้จะแฝงด้วยเอนไซม์โปรทีโอไลติก(proteolytic enzyme)ที่ขัดขวางระบบการย่อย ทั้งควรหยุดดื่มแอลกอฮอล์เช่นเบียร์, ไวน์หรือลิเคียวร์ ซึ่งมีสารไฟโตเอสโตรเจน ที่จะไปกระตุ้นการเปลี่ยนฮอร์โมนเทสโตสเตอโรนเป็นฮอร์โมนเอสโตรเจนทั้งยังไปลดการผลิตฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนและเพิ่มการผลิตฮอร์โมนโปรแลกติน ซึ่งจะมีผลกับภาวะผิดปกติของไทรอยด์ทั้งควรเลี่ยงอาหารสำเร็จรูปและอาหารอุดมด้วยน้ำตาลที่จะทำให้เกิดการติดเชื้อในร่างกายและเปลี่ยน T4 ให้เป็น T3

การปรุง, การแช่, การหมัก, หรือการต้มอาหารที่อุดมด้วยกอยโทรเจนจะช่วยสลายหรือลดคุณสมบัติด้านลบของอาหารเหล่านี้ลงไปได้ มหาวิทยาลัยแมรี่แลนด์ ระบุว่าการปรุงแบบช้าๆหรือ slow-cookedจะช่วยลดผลด้านลบที่ผักเหล่านี้มีลงไปได้แต่ยกเว้นสารไอโซฟลาโวนจากถั่วเหลือง ที่จะไม่ถูกทำลายลงไปเมื่อผ่านความร้อนเหมือนสารอื่นๆจึงควรเลี่ยงอาหารจากถั่วเหลืองไว้จะดีกว่า

บริโภคอะไรในภาวะขาดไทรอยด์: มาดูว่าสามารถบริโภคอะไรได้บ้าง

Health-Hypothyroidism-3

1. ผลไม้: ผลไม้แทบทุกชนิดดีสำหรับภาวะขาดไทรอยด์เช่นบลูเบอร์รี่, ราสพ์เบอร์รี่, เชอรี่และมะม่วง อุดมด้วยสารต้านอนมูลอิสระผลไม้ตระกูลซีตรัสและกีวี ก็อุดมด้วยวิตามินซี ทั้งหมดนี้ช่วยป้องกันต่อมไทรอยด์ แต่ให้เลี่ยงสตรอเบอร์รี่, ลูกแพร์และพีช ซึ่งเป็นกลุ่มผลไม้มีสารกอยโทรเจน
2. แซลมอน: อุดมด้วยโปรตีน, สารต้านอนุมูลอิสระแซลมอนที่เลี้ยงในน้ำเย็นธรรมชาติ เป็นอาหารที่ดีสำหรับภาวะขาดไทรอยด์เพราะปลานี้มีโปรตีนสูงและมีกรดไขมันโอเมก้า-3 ที่ช่วยลดการบวมของโรคคอพอก และยังอุดมด้วยเซเลเนียมและวิตามินบี 12ซึ่งเป็นสารอาหารช่วยการทำงานของต่อมไทรอยด์
3. บราซิลนัท (Brazil nut): ถั่วชนิดนี้อุดมด้วยแร่ธาตุเซเลเนียม ซึ่งเป็นแร่ธาตุสร้างสมดุลให้กับฮอร์โมนไทรอยด์ช่วยต้านการติดเชื้อและยับยั้งการพัฒนาของโรคคอพอกบราซิลนัทยังช่วยให้มีอารมณ์ดีซึ่งเป็นสิ่งสำคัญสำหรับคนที่มีภาวะนี้ที่มักจะมีความเครียดแค่บริโภคบราซิลนัทไม่กี่เมล็ดต่อวัน ก็จะได้โดสของเซเลเนียมที่ร่างกายต้องการแล้วแต่ไม่ควรบริโภคเซเลเนียมประเภทผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพราะการได้รับเซเลเนียมมากเกินไปอาจเกิดพิษนำไปสู่ปัญหาเช่นผมร่วงและหัวใจวายได้
4. สาหร่ายทะเล: สลัดสาหร่ายทะเลอุดมด้วยไอโอดีนซึ่งจำเป็นต่อต่อมไทรอยด์แต่ก็อย่าบริโภคมากเกินไป เพราะถ้าไอโอดีนมากเกินไปก็จะเป็นอันตรายได้เหมือนกัน
5. กรีกโยเกิร์ต: อุดมด้วยไอโอดีนและข้อดีก็คือคุณไม่ต้องกังวลว่าจะได้รับไอโอดีนมากเกินไปเพราะในกรีกโยเกิร์ตหนึ่งถ้วยขนาดมาตรฐานจะมีไอโอดีนอยู่เพียงครึ่งหนึ่งของปริมาณแนะนำให้บริโภคต่อวันหรือRDIลองผสมมันกับผลไม้เช่นบลูเบอร์รี่หรือมะม่วงเป็นอาหารเช้าก็อร่อยและให้คุณค่าโภชนาการที่ดี

เครื่องดื่มเหมาะสมของภาวะขาดไทรอยด์
แครนเบอร์รี่ เป็นผลไม้ที่อุดมด้วยไอโอดีน ซึ่งเป็นแร่ธาตุสำคัญช่วยควบคุมสมดุลการทำงานของต่อมไทรอยด์วิตามินซีจากมะนาวและส้ม มีสารต้านอนุมูลอิสระช่วยฟื้นฟูสุขภาพของต่อมไทรอยด์ขิง อุดมด้วยแมกนีเซียม ช่วยการทำงานของไทรอยด์ซินนามอนหรืออบเชยอุดมด้วยสารต้านการติดเชื้อ

ส่วนผสม: น้ำแร่หรือน้ำกรอง 7 ถ้วย, น้ำแครนเบอร์รี่ 100% 1 ถ้วย, น้ำมะนาวสด ¼ ช้อนโต๊ะ, น้ำส้มคั้นสด ¾ ช้อนโต๊ะ, ขิงป่น ¼ ช้อนโต๊ะ, ผงอบเชย ½ ช้อนโต๊ะ

วิธีทำ: นำน้ำแร่ไปต้มให้เดือด ใส่น้ำแครนเบอร์รี่และเครื่องเทศทั้งหมดลงไป คนให้เข้ากันประมาณ 20 นาทีจึงยกลงจากเตาพักไว้ให้เย็นเมื่อเย็นแล้วเติมน้ำมะนาวและน้ำส้มคั้นสดคนให้เข้ากันอีกครั้งใช้ดื่มหรือจิบได้ตลอดวันอร่อยและแนะนำให้ดื่มสัปดาห์ละครั้ง

การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมบริโภคอาหารและไลฟสไตล์ บริโภคโปรตีนและผักให้มากขึ้นเพื่อควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด, บริโภคโยเกิร์ต,งดคาเฟอีนและบุหรี่, ใช้ชีวิตผ่อนคลายจากความเครียด, ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ที่สำคัญมากคืออย่าอดนอนและควรพักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อให้ร่างกายซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอไป สำหรับทางการแพทย์จะรักษาโดยแพทย์อาจให้ยาบำบัดภาวะพร่องฮอร์โมนซึ่งเรียกว่ายาเลโวไทรอซีน เพื่อช่วยรักษาอาการให้ดีขึ้นที่เล่าเรื่องของ Hypothyroidism ให้ทราบกันนี้ไม่ได้จะให้คุณเกิดความวิตกหรือหวาดกลัวมากเกินไปนะคะ แต่การหาความรู้และดูแลตัวเองอย่างรอบด้าน หมั่นสังเกตและไม่ละเลยต่อความเปลี่ยนแปลงต่างๆที่เกิดขึ้นกับตัวเรา ไม่ว่าจะเล็กน้อยเพียงใดก็ตาม เท่านี้คุณก็จะมีสุขภาพและรูปร่างที่ดีไปพร้อมๆกันค่ะ

เรื่องดีๆที่ร่างกายได้จากการงีบหลับ

เพราะเทรนด์ของการ “นอนกลางวัน” กำลังอยู่ในความสนใจ ก็เลยขอเล่าให้ฟัง ว่าจริงๆแล้วการงีบหลับหรือนอนพักผ่อนในเวลาสั้นๆระหว่างวัน ให้สิ่งดีๆต่อสุขภาพมากกว่าที่คุณคิด และรู้ไหมว่า บรรดาคนดังหรืออัจฉริยะของโลกหลายคน ก็มีพฤติกรรม”หลับระหว่างวัน”กันมาแล้วทั้งในอดีตจนถึงปัจจุบัน

นักวิทยาศาสตร์ระบุว่า ในสายพันธุ์ของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมทั้งหมด มีถึง 85%ที่มีวงจรการนอนหลับแบบเป็นช่วงๆหรือที่เรียกว่า polyphasic sleep ซึ่งเป็นพวกที่จะใช้เวลาในการนอนแค่วันละ 3-4 ชั่วโมง แต่ร่างกายจะได้ประโยชน์และได้พักผ่อนเหมือนกับการนอนหลับลึกของเวลาปกติ ซึ่งจะมีแพทเทิร์นของการงีบหลับที่หลากหลาย ซึ่งทุกแพทเทิร์นจะช่วยให้มีประสิทธิภาพในการทำงานมากขึ้น ซึ่งมนุษย์เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมเพียงสายพันธุ์เดียวเท่านั้นที่มีพฤติกรรมการนอนไม่เพียงพอตามจำนวนชั่วโมงที่แนะนำการงีบหลับจึงช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานและช่วยสมดุลระดับพลังงานในร่างกาย

ตามทฤษฎีแล้ว พฤติกรรมการงีบหลับของเราจะแบ่งเป็น 3 ประเภทด้วยกันคือแบบฉุกเฉิน, แบบกิจวัตร และแบบเตรียมตัวมาก่อน อย่างไหนเป็นยังไงมาค่ะจะเล่าให้ฟัง

การงีบหลับแบบฉุกเฉิน (Emergency napping) คำอธิบายง่ายๆก็คือ เวลาที่เราทำงานจนเหนื่อยโทรมกลับมาถึงบ้านแล้วก็หลับน็อคไปอย่างรวดเร็วแบบที่ตัวเองก็ไม่คิดมาก่อน แน่นอนที่การหลับแบบนี้ไม่ใช่การหลับเพื่อสุขภาพดี แต่เป็นเพราะร่างกายเกิดอาการฟิวส์ขาดขึ้นมาต่างหาก

การงีบหลับแบบกิจวัตร (Habitual napping) สิ่งนี้เกิดขึ้นจากร่างกายถูกฝึกอยู่เป็นประจำให้มีการนอนหลับในช่วงเวลาเดียวกันของทุกๆวันเช่นทุกๆวันคุณจะต้องนอนหลับราวๆ 40 นาทีทุกๆสี่โมงเย็นเป็นต้นไป แบบนี้เป็นต้น เป็นการตั้งสวิทช์ให้กับร่างกายอย่างหนึ่ง

การงีบหลับแบบเตรียมตัวมาก่อน (Preparatory napping) เป็นการงีบหลับเพื่อเตรียมร่างกายก่อนจะต้องไปทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งเป็นเวลานานๆ ที่คุณจะไม่มีโอกาสได้นอน เช่นหมอที่จะต้องผ่าตัดตลอดคืน หรือเมื่อต้องขับรถเดินทางไกลๆเป็นเวลานานๆ เป็นต้น ซึ่งผู้เชี่ยวชาญด้านการนอนหลับแนะนำว่า เราควรใช้เวลางีบหลับประมาณ 20-30 นาทีต่อวันเพื่อช่วยฟื้นฟูประสิทธิภาพการทำงานและความกระตือรือร้นของสมองให้ดีขึ้น

ผลดีของสุขภาพจากการงีบหลับ:สิ่งนี้ให้อะไรดีๆอะไรกับคุณบ้าง

Health Napping 2

1. คุณมีความสุขมากขึ้น ในช่วงเวลาของการงีบหลับประมาณ 20-30 นาทีนั้น คุณจะรู้สึกว่าตัวเองได้พักผ่อนและสดชื่นขึ้น สามารถช่วยฟื้นฟูร่างกายและจิตใจให้มีความสุขได้มากขึ้นเมื่อตื่นขึ้นมา ซึ่งความรู้สึกสดชื่นที่ว่านี้ จะมีอยู่ประมาณ 30 นาทีหลังจากการตื่น จากนั้นก็จะหายไป
2. คุณเอาชนะความรู้สึกซึมเซาระหว่างวันได้ วัฏฏจักรของระบบนาฬิกาชีวภาพในร่างกายเราจะทำให้รู้สึกง่วงซึมเซาในช่วงเวลาราวๆบ่าย 3 โมงซึ่งมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดได้ทำการศึกษาและระบุว่า การงีบหลับเป็นวิธีดีที่สุดในการต่อสู้กับมัน
3. คุณทำสิ่งผิดพลาดน้อยลง การงีบหลับจะช่วยพัฒนาความตื่นตัวของร่างกาย ให้มีประสิทธิภาพการทำงานได้ดีขึ้นมีสมาธิมากขึ้น ลดความผิดพลาดและการเกิดอุบัติเหตุ
4. คุณมีการปฏิบัติและแสดงออกที่ดีขึ้น การศึกษาขององค์การนาซาพบว่าหากให้นักบินอวกาศที่อยู่ระหว่างการฝึก ได้มีการงีบหลับ 40 นาทีระหว่างวันจะทำให้มีพัฒนาการในด้านการฝึกเพิ่มขึ้น 34% และความกระตือรือร้นเพิ่มขึ้นถึง 100%.
5. คุณได้รับการฟื้นฟูความจำ การวิจัยของมหาวิทยาลัยซาร์แลนด์ ประเทศเยอรมันพบว่าการงีบหลับ 45 นาทีจะช่วยพัฒนาระบบความจำของสมองได้ถึง200%
6. คุณมีความคิดสร้างสรรค์งานได้ดีขึ้น การวิจัยแสดงว่าการงีบหลับจะช่วยให้สมองซีกขวาของเราซึ่งเกี่ยวข้องกับความคิดสร้างสรรค์มีความกระตือรือร้นขึ้นในการที่จะสื่อสารกับร่างกาย
7. คุณมีสุขภาพระบบหัวใจที่ดีขึ้น การศึกษาที่ทำโดยคณะวิทยาศาสตร์ของมหาวิทยาลัยเอเธนส์ ประเทศกรีซร่วมกับมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด พบว่าผู้ที่งีบหลับ 30 นาทีระหว่างวันสามารถลดความเสี่ยงโรคหัวใจลงได้ 37%

Health Napping 4

8. คุณอยากบริโภคอาหารขยะน้อยลง จากการศึกษาของมหาวิทยาลัยเบอร์กเลย์พบว่าการอดนอนจะมีผลต่อสมองส่วนหน้าหรือคอร์เท็กซ์ ซึ่งมีหน้าที่เกี่ยวกับการตัดสินใจและควบคุมตัวเองการอดนอนจะทำให้คุณรู้สึกอยากบริโภคอาหารขยะมากขึ้น
9. คุณรู้สึกอิ่มเร็วขึ้น เมือคุณรู้สึกง่วงนอน ร่างกายก็จะผลิตฮอร์โมนเกรลินน้อยลง ซึ่งฮอร์โมนนี้ทำให้เราเกิดความหิว มีการศึกษาแสดงให้เห็นความเกี่ยวข้องกันของการอดนอนและการเพิ่มขึ้นของเกรลินในร่างกายที่ทำให้เกิดอัตราเสี่ยงสูงของโรคเบาหวานการวิจัยแนะนำว่า การงีบหลับสม่ำเสมอจะช่วยเพิ่มความรู้สึกไม่อยากบริโภคอาหารทำให้เราบริโภคน้อยลง
10. คุณอารมณ์อ่อนไหวน้อยลง คนที่นอนไม่พอมักมีแนวโน้มอารมณ์อ่อนไหวและทะเลาะกับคนอื่นๆได้บ่อยกว่า เมื่อเทียบกับคนที่นอนเพียงพอและได้งีบหลับระหว่างวันที่จะมีความมั่นคงทางอารมณ์มากกว่าคนอดนอน
11. คุณจะลดความเสี่ยงการบาดเจ็บลง จากสถิติพบว่า การเกิดอุบัติเหตุบนถนน หรืออุบัติเหตุจากการบริโภคยาผิดพลาด มักมีสาเหตุจากการนอนที่ไม่เพียงพอกับความต้องการร่างกาย

Health Napping 3

12. คุณผลิตผลงานได้มากขึ้น เพราะผลของการได้งีบหลับช่วยเพิ่มศักยภาพของการผลิตงานและการแสดงออกให้ดีขึ้นนั่นเอง
13. สมองของคุณได้รับการป้องกันจากการรับข้อมูลมากเกินไป การงีบหลับช่วยให้สมองของคุณมีการจัดระเบียบข้อมูลต่างๆที่โอเวอร์โหลดอยู่ให้ดีขึ้นนอกจากนี้ยังพบว่ามันมีความเกี่ยวข้องโดยตรงระหว่างการงีบหลับกับการสนับสนุนความจำของสมองที่ทำให้ลดความเสี่ยงของโรคสมองเสื่อม
14. คุณตัดสินเรื่องต่างๆได้ถูกต้องแม่นยำขึ้น สำหรับสมองส่วนหน้าที่มีหน้าที่เกี่ยวกับการตัดสินใจของเรานั้น การอดนอนจะให้ผลทางลบกับสมองส่วนนี้โดยตรง นำไปสู่การตัดสินที่ผิดพลาดจากการขาดความคิดควบคุมผิดชอบการงีบหลับจึงช่วยให้สมองได้พักผ่อน และคุณก็จะไม่รู้สึกโทษตัวเองกับการตัดสินใจเรื่องต่างๆในภายหลัง

ที่นี้มารู้ข้อมูลพฤติกรรมการนอนหลับของเหล่าคนดังและอัจฉริยะระดับโลกที่มีแพทเทิร์นการนอนแบบPolyphasic Sleepหรืองีบหลับเป็นช่วงๆระหว่างวันกันบ้างโทมัส อัลวา เอดิสัน มีนิสัยนอนหลับแบบเป็นช่วงสั้นๆตลอดวันแทนการหลับยาว, โดนัลด์ ทรัมป์ นอนเพียง 3-4 ชั่วโมงต่อคืน, วอลแตร์ นอนวันละ 4 ชั่วโมงต่อคืน, โมสาร์ท นอน 5 ชั่วโมงต่อคืน โดยจะแต่งเพลงราวๆตี 1 และตื่นขึ้นในตอน 6 โมงเช้า, ลีโอนาโด ดาวินชี ไม่นอนตอนกลางคืน แต่จะใช้การงีบหลับ 20 นาทีในทุกๆ 4 ชั่วโมงตลอดวัน เป็นต้นเห็นไหมคะว่า คนดังและบรรดาอัจฉริยะระดับโลก เขาก็ไม่ได้นอนกันยาวๆ

Health Napping 1

สิ่งที่สำคัญที่สุดของของการนอนหลับพักผ่อนก็คือคุณภาพของการนอนที่คุณได้ หากนอนคืนละหลายๆชั่วโมงแต่ร่างกายไม่ได้มีการพักผ่อนจริงๆจากการหลับลึก ก็ไม่มีประโยชน์อะไร การงีบหลับหรือการนอนกลางวันไม่ได้เป็นเรื่องเลวร้าย อย่าลืมเล่าเรื่องนี้ให้เจ้านายของคุณฟัง แล้วก็หาที่งีบหลับให้มิดชิดเป็นที่เป็นทางกันด้วย จะได้งีบหลับกันได้สบายใจแบบไม่ต้องฝันร้ายขอให้หลับสบายตื่นมาพร้อมทำงานทุกท่านนะคะ

พันธุกรรมสุขภาพจากแม่และพ่อ…ที่ส่งต่อถึงเรา

มีใครบ้างคะที่ตอนนี้ดูแลสุขภาพคุณพ่อคุณแม่ที่ท่านเป็นผู้สูงวัย เมื่อท่านอายุมากขึ้น สุขภาพย่อมไม่ได้เต็มร้อยเหมือนเมื่อก่อน เราก็ควรหมั่นดูแลท่านให้ใกล้ชิดขึ้น แต่ถ้าใครที่คุณพ่อคุณแม่มีสุขภาพแข็งแรงดีเยี่ยมแม้เข้าสู่วัยชราก็ถือว่าโชคดี แต่ไม่ว่าท่านจะมีเรื่องราวสุขภาพแบบไหนก็ตาม สิ่งที่เกิดกับท่านอยู่นั้น ก็จะบ่งบอกถึงอนาคตสุขภาพของตัวเราเองด้วยจากเหตุผลทางพันธุกรรมที่ได้รับถ่ายทอดมา ยีนพันธุกรรมของพ่อแม่ จะมีบทบาทสำคัญในความเสี่ยงสุขภาพของเราเมื่อวัยเพิ่มขึ้น เช่นการเป็นโรคซึมเศร้า หรือการมีอายุยืนยาวแค่ไหน รวมทั้งการเกิดกระบวนการความชราว่าจะเร็วหรือช้าอีกด้วย ลองมาดูสิ่งที่เกิดขึ้นกับท่านและความเกี่ยวเนื่องที่เราจะได้รับว่ามีอะไรบ้างอย่างไร:

 

healthgene02

พ่อหรือแม่ฉลองวันเกิดอายุ 70:

สิ่งนี้แปลว่าเราจะมีความเสี่ยงน้อยมากกับปัญหาโรคระบบของหัวใจเมื่อมีวัยเพิ่มขึ้น รวมถึงความเสี่ยงเรื่องโรคของหลอดเลือดหัวใจ โรคความดันโลหิตสูงและโรคคอเลสเตอรอลที่จะน้อยกว่าคนอื่นๆ และถ้าหลังจากการฉลองวันเกิดครั้งนี้แล้ว ท่านยังมีอายุยืนยาวถึง 80 และ 90 ปี การวิจัยระบุว่าในทุกๆ 10 ปีที่ท่านยังมีชีวิตอยู่หลังวัย 70 ความเสี่ยงของคุณที่จะเสียชีวิตจากโรคหัวใจก็จะลดลงไป 20% ในทุกๆสิบปีที่ว่านี้ด้วย จากที่พบว่าพ่อแม่ที่อายุเกิน 70 ปี จะมีแนวโน้มส่งต่อยีนป้องกันโรคเหล่านี้ให้ลูกได้รับสืบทอดต่อมา

เพื่อผลดีแบบเดียวกัน: บริโภคส้มวันละสองผลทุกวัน วิธีนี้จะช่วยลดความเสี่ยงการเกิดโรคหัวใจลงได้ 22% โดยวิตามินซีในส้มจะช่วยลดระดับของโปรตีนที่ทำให้เกิดการข้นตัวของโลหิตที่จะไปเกาะผนังเส้นเลือดจนอุดตันให้น้อยลงได้

 

พ่อหรือแม่คนใดคนหนึ่งเป็นโรคจอตาเสื่อม (macular degeneration):

โรคจอตาเสื่อม คือโรคจากการเสื่อมบริเวณจุดภาพชัดของจอตา ทำให้สูญเสียการมองเห็นส่วนกลางของภาพ ถ้าพ่อหรือแม่คนใดคนหนึ่งมีอาการนี้ ก็แสดงว่าเรามีโอกาสเสี่ยงต่อโรคนี้ด้วยเช่นกัน จากสถิติประวัติครอบครัวพบว่า คนที่มีพ่อแม่เป็นโรคนี้ 7 คน จะมี 1 คนที่ได้รับการสืบทอดมา เนื่องจากมีองค์ประกอบในยีนที่มีความเสี่ยง ซึ่งสิ่งนี้จะเกิดขึ้นได้เมื่อเราอายุ 40 ปีขึ้นไป

วิธีรับมือ: เพิ่มการบริโภคอาหารที่อุดมด้วยวิตามินดี ให้มากขึ้น การวิจัยพบว่ามีความเกี่ยวข้องกันของการขาดวิตามินดีกับความเสี่ยงการเกิดโรคจอตาเสื่อม โดยเฉพาะในกลุ่มคนที่เสี่ยงจากกรรมพันธุ์ ซึ่งวิตามินดีจะช่วยได้จากบทบาทของมันที่ต้านการติดเชื้อ ควรให้ร่างกายสัมผัสกับแสงแดดช่วงเช้าตรู่หรือบ่ายแก่ๆ ซึ่งเป็นเวลาที่ร่างกายสะสมวิตามินดีไว้ได้ดีที่สุด

 

แม่สะโพกหัก:

ความเสี่ยงเรื่องนี้ของเราก็จะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า ซึ่งจะรู้ได้เมื่อเราอายุ 50 -90 ปี อันเป็นเวลายีนของเราจะบอกเรื่องความหนาแน่นของกระดูก ซึ่งยีนที่ว่านี้จะควบคุมความหนาแน่นของกระดูก และทำให้เราเพิ่มความเสี่ยงต่อกระดูกแตกหักได้มากกว่าคนทั่วไปประมาณ 50%

วิธีรับมือ: เพิ่มการบริโภคถั่วเหลืองให้มากขึ้น รวมทั้งผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลืองด้วยเช่น เต้าหู้ มิโสะ เพราะอาหารเหล่านี้มีสารไอโซฟลาโวน( isoflavone) ซึ่งเป็นสารเคมีที่มีโครงสร้างคล้ายกับโครงสร้างฮอร์โมนเอสโตรเจน (oestrogen) ซึ่งช่วยป้องกันผู้หญิงช่วงวัยทองจากโรคกระดูกพรุน

 

พ่อหรือแม่เป็นโรคซึมเศร้า:

ความเสี่ยงของเราต่อโรคนี้ก็จะสูงถึงหนึ่งในสาม จากแนวโน้มของยีนที่จะส่งต่อยังรุ่นต่อๆไปพบว่า จะมียีนเอกลักษณ์บุคคลที่มีความเกี่ยวเนื่องกับการเกิดโรคนี้ ซึ่งนักวิจัยอธิบายว่า ในขณะที่ 60% ของการเกิดโรคซึมเศร้าส่วนใหญ่มาจากสถานการณ์ชีวิตประจำวัน แต่ก็มีอีก 40% ที่จะถูกตัดสินจากยีนพันธุกรรม

วิธีรับมือ: บริโภคเนื้อสัตว์แดงปลอดไขมันที่เลี้ยงในทุ่งหญ้าเช่นเนื้อวัวในขนาดชิ้นเท่าฝ่ามือให้ได้ 3 ครั้งทุกๆสัปดาห์ ซึ่งนักวิจัยระบุว่า หากเรามียีนพันธุกรรมนี้และบริโภคเนื้อสัตว์แดงปริมาณน้อยกว่านี้ ก็จะยังมีแนวโน้มเป็นสองเท่าที่เสี่ยงต่อการเป็นโรคซึมเศร้า เนื้อวัวที่เลี้ยงในทุ่งหญ้าเป็นอาหารที่อุดมด้วยธาตุเหล็กและกรดไขมันโอเมก้า-3 ซึ่งเป็นสารอาหารที่เกี่ยวข้องกับพัฒนาการอารมณ์สุขภาพที่ดีของสภาวะจิตใจ

 

healthgene04

แม่มีผิวสวยที่ดูอ่อนเยาว์:

เราก็จะได้รับสิ่งดีๆนี้สืบทอดจากแม่เช่นกัน เนื่องจากไมโตคอนเดรีย ( mitochondria) ซึ่งเป็นเสมือนบ้านแห่งพลังงานของเซลล์ ที่มีบทบาทสำคัญในเรื่องสภาวะความชราของร่างกาย และทำหน้าที่ควบคุมว่าเราจะชราลงอย่างไร ไมโตคอนเดรียนี้ก็จะถูกสืบทอดจากแม่มายังเรา ทำให้เรามีผิวสวยใสไร้ริ้วรอยดูอ่อนเยาว์ได้นานกว่าแบบเดียวกันด้วย

เพื่อผลดีแบบเดียวกัน: ใช้ผลิตภัณฑ์กันแดดทุกวันเป็นประจำ ทำแบบนี้จะทำให้ลดโอกาสการเกิดริ้วรอยของผิวพรรณลงได้ถึง 24% จากการวิจัยของมหาวิทยาลัยควีนสแลนด์ ออสเตรเลีย

 

พ่อหรือแม่เป็นโรคหลอดเลือดสมอง (stroke) ก่อนอายุ 65 ปี:

Stroke หรือโรคหลอดเลือดสมอง คือภาวะที่สมองขาดเลือดไปเลี้ยงเนื่องจากหลอดเลือดมีการอุดตันหรือแตก ทำให้เนื้อเยื่อสมองถูกทำลาย การทำงานของสมองหยุดชะงักลง ถ้าพ่อหรือแม่ของเราเป็นโรคนี้ก่อนที่ท่านจะมีวัย 65 ปี โอกาสความเสี่ยงโรคนี้ของเราก็จะเพิ่มขึ้นเป็นสามเท่า ได้มีการวิจัยในเรื่องของยีนกับความเกี่ยวเนื่องของโรคนี้ว่า มียีนบางตัวที่เกี่ยวข้องกับการเกิด Stroke ทั้งสองชนิดคือ 1. ภาวะเลือดออกในสมองหรือ hemorrhagic Stroke ที่มาจากการมีเลือดออกในสมอง ซึ่งเกิดจากเส้นเลือดในสมองแตก และ 2. ภาวะสมองขาดเลือดหรือ Ischemic strokes ที่เกิดจากมีลิ่มเลือดไปอุดตันการไหลเวียนของเลือดที่จะไปเลี้ยงสมอง

วิธีรับมือ: หัดสวดมนต์ทำสมาธิให้จิตใจสงบ การศึกษาพบว่าเมื่อทำแบบนี้เป็นประจำทุกวันเป็นเวลาแปดสัปดาห์ จะช่วยลดความดันโลหิตที่เคยสูงให้ลดลงอย่างน่าพอใจ การมีความดันโลหิตสูง คือสิ่งที่ทำให้เกิดความเสี่ยงของโรคสโตรค ซึ่งนักวิจัยได้พบว่า การสวดมนต์ต่อเนื่องจะช่วยลดระดับความดันโลหิตได้ผลดี

 

healthgene05

แม่เป็นอัลไซเมอร์:

เราก็จะมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคนี้เพิ่มเป็นสิบเท่า เมื่อเทียบกับคนที่ไม่มีประวัติครอบครัวเป็นโรคนี้ ที่จริงแล้ว ถ้าพ่อหรือแม่คนใดคนหนึ่งเป็นอัลไซเมอร์ ซึ่งเป็นอาการสมองเสื่อม เราก็จะมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นอยู่แล้ว แต่จากการวิจัยแสดงผลว่าโอกาสที่เราจะได้รับสืบทอดโรคนี้ทางแม่มีโอกาสสูงกว่าได้รับจากทางพ่อ

วิธีรับมือ: ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมหลักของไลฟสไตล์บางเรื่องที่ทำเป็นประจำ โดยเฉพาะเรื่องการออกกำลังกายให้สม่ำเสมอขึ้น ควบคุมน้ำหนักตัวให้ไม่เกินมาตรฐาน ลดปริมาณแอลกอฮอล์ไม่ให้มากเกินไป บริโภคอาหารที่มีคุณค่าโภชนาการและงดสูบบุหรี่ การศึกษาพบว่าถ้าใครทำได้แบบนี้อย่างน้อย 4 อย่าง ก็จะลดความเสี่ยงของการเกิดโรคสมองเสื่อมลงได้ถึง 60 %

 

พ่อหรือแม่มีอายุยืนเกินเกณฑ์มาตรฐาน:

ถ้าพ่อของเรามีชีวิตอยู่ผ่านวัย 78 ปี หรือแม่ของเรามีชีวิตอยู่ผ่านวัย 84 ปี ซึ่งหมายถึงอายุยืนยาวกว่ามาตรฐานเกณฑ์อายุเฉลี่ยของคนไทยประมาณ 7 ปี เราก็จะมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งน้อยลง 24% ซึ่งสิ่งนี้เป็นรายงานการมีอายุยืนจากผลของยีนพันธุกรรม ไม่ใช่เรื่องของไลฟสไตล์การใช้ชีวิต

เพื่อผลดีแบบเดียวกัน: ออกกำลังกายเป็นประจำทุกวัน คนที่ออกกำลังกายสม่ำเสมอจะลดความเสี่ยงโรคมะเร็งอวัยวะสำคัญๆ รวมทั้งลดความเสี่ยงของโรคมะเร็งเต้านมลง 10% โรคมะเร็งลำไส้ 16% และโรคมะเร็งตับ 27%

 

healthgene03

พ่อหรือแม่คนใดคนหนึ่งเป็นโรคเบาหวานประเภท 2:

ความเสี่ยงของเราต่อโรคนี้ก็จะเพิ่มเป็นสองเท่า แต่ถ้าทั้งพ่อและแม่เป็นโรคนี้ทั้งคู่ เราก็จะเสี่ยงต่อโรคนี้เพิ่มขึ้นเป็น 6 เท่าเลยทีเดียว ซึ่งความเสี่ยงนี้จะเกิดขึ้นเมื่อพ่อหรือแม่หรือทั้งคู่เป็นโรคนี้ก่อนท่านจะอายุ 50 ปี เพราะมันจะมียีนบ่งชี้ว่าคุณจะมีความเสี่ยงต่อการเกิดเบาหวานประเภท 2 เช่นเดียวกับท่าน แต่ก็มีการวิจัยของสวีเดนพบว่า องค์ประกอบความเสี่ยงนี้อาจเปลี่ยนแปลงได้หากมีการควบคุมพฤติกรรมไลฟสไตล์การบริโภคที่เหมาะสม

วิธีรับมือ: เพิ่มการบริโภคธัญพืช, ผักผลไม้สด, ถั่วชนิดต่างๆให้มากขึ้น พืชผักเหล่านี้มีกรดอมิโนที่สามารถช่วยลดการเกิดโรคเบาหวานประเภท 2 ลงได้ถึง 20% ทั้งยังมีไฟเบอร์, สารโภชนาการจากพืช, สารต้านอนุมูลอิสระและกรดไขมันที่มีประโยชน์ ทั้งหมดนี้จะช่วยสนับสนุนแบคทีเรียที่ดีในลำไส้และปรับสมดุลระดับกลูโคสในกระแสโลหิตให้เหมาะสม

ได้รู้อย่างนี้แล้วจะเห็นใช่ไหมคะว่า สายสัมพันธ์ของครอบครัวเป็นสิ่งที่ลึกซึ้ง นอกจากในเรื่องของภาพลักษณ์และจิตใจแล้ว ก็ยังส่งผลมาถึงเรื่องสุขภาพที่สืบทอดถึงกันได้ด้วย เมื่อรู้อย่างนี้แล้ว อย่าลืมดูแลสุขภาพคุณพ่อคุณแม่ให้ใกล้ชิดขึ้น พร้อมทั้งเรียนรู้และดูแลสุขภาพตัวเองไปด้วยพร้อมๆกัน เพื่อจะได้เป็นครอบครัวสุขภาพดีทั้งร่างกายและจิตใจกันทุกคนค่ะ

นอนตะแคงซ้าย เทรนด์น่าสนใจของสายสุขภาพ

 

จำได้ว่าเมื่อตอนเด็กๆ ผู้ใหญ่มักสอนว่าให้เรานอนตะแคงขวาจะดีกว่า แต่วันนี้ มีข้อมูลดีๆของเรื่องสุขภาพการนอนหลับมาเล่าให้ฟังเรื่องของการนอนตะแคงด้านซ้าย ที่ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพการนอนหลับได้ทำการศึกษาไว้น่าสนใจมาก

เวลานอนหลับ ทุกคนก็จะเลือกท่านอนที่รู้สึกสบายที่สุด แต่หลายคนก็ตั้งคำถามกับตัวเองว่า ท่านี้มันดีต่อสุขภาพแค่ไหน จะนอนท่าไหนให้หลับสนิท นอนหงาย ตะแคงซ้ายตะแคงขวาเลือกไม่ถูก และเมื่อมีปัญหาการนอนหลับ เราก็จะโทษเรื่องท่านอนนี่แหละเป็นสิ่งแรก เช่นจะถามตัวเองว่า นอนหงายหรือนอนคว่ำเอาไงดี คิดจนอ่อนใจแล้วก็หลับไปเองด้วยท่าไหนก็ไม่รู้เหมือนกัน

ดร. จอห์น ดุยลลาร์ด ( Dr. John Douillard) แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านอายุรเวทของมลรัฐโคโลราโด สหรัฐอเมริกา ได้เล่าเรื่องของการนอนตะแคงซ้ายไว้ว่า เป็นสิ่งที่ช่วยให้ร่างกายได้พักผ่อนอย่างแท้จริง และต่อไปนี้คือเหตุผลว่าทำไม

 

1. กระดูกสันหลังและการหายใจ: ถ้าคุณไม่ได้นอนเพื่อจะวัดความสมมาตรของร่างกายทั้งสองข้างเมื่ออยู่บนเตียงแล้วละก็ ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพการนอนหลับแนะนำว่า คุณควรจะยึดติดกับการนอนตะแคงด้านใดด้านหนึ่งเอาไว้ เพราะนั่นคือสิ่งที่สัญชาตญาณของกระดูกสันหลังบอกคุณ หากคุณนอนหงาย น้ำหนักทั้งหมดของคุณก็จะลงไปอยู่ที่กระดูกสันหลัง ทำความกดดันให้กับหลังและสะโพก ทั้งทำให้ช่วงหลังส่วนล่างของคุณอยู่ในสภาพถูกแขวนลอยๆทำให้เป็นอันตรายในระยะยาว และหากนอนคว่ำ ก็จะไปทำความเครียดให้กับหลังและคอ การนอนตะแคง จึงเป็นท่านอนที่ดีที่สุดที่ช่วยให้เราหายใจนำออกซิเจนเข้าสู่ปอดได้ดีกว่า

 

healthleft03

 

2. ระบบการย่อยอาหาร: เมื่ออาหารเดินทางผ่านลงไปสู่กระเพาะอาหารของคุณและเกิดการย่อย อาหารส่วนที่ยังย่อยไม่หมดจะถูกย่อยสลายได้เร็วกว่าถ้านอนตะแคงซ้าย นี่คือการระบุของ ดร. ดุยลลาร์ด ทั้งการนอนตะแคงซ้ายจะทำให้กากอาหารที่ย่อยสลายแล้ว เดินทางจากลำไส้เล็กไปสู่ลำไส้ใหญ่ได้คล่องตัวกว่า ดร.ดุยล์ลาร์ดแนะนำว่า หลังการบริโภคอาหารมื้อเที่ยงแล้ว หากเราสามารถหาพื้นที่นอนพักผ่อนด้วยการนอนตะแคงซ้ายได้สักสิบนาที ก็จะช่วยให้อาหารย่อยได้เร็วกว่า ทั้งช่วยบรรเทาอาการอิ่มแล้วง่วงมากอยากหลับหรือ “food coma” ได้ด้วย ซึ่งอาการนี้เกิดจากร่างกายใช้พลังงานไปกับการย่อยอาหารอย่างมากจนเหลือพลังงานให้ร่างกายส่วนอื่นน้อยลง

 

3. ระบบไหลเวียนของต่อมน้ำเหลือง: การทำงานส่วนใหญ่ของระบบการไหลเวียนต่อมน้ำเหลืองของเรา จะอยู่ที่ร่างกายด้านซ้าย ซึ่งหากมีการอุดตันขึ้น ก็มักจะเกิดกับร่างกายด้านซ้าย การนอนตะแคงซ้าย จึงเท่ากับช่วยให้ร่างกายมีแรงดึงดูดของต่อมน้ำเหลือง ให้ระบายของเหลวไหลเวียนไปยังหัวใจและม้ามได้ดีขึ้น ซึ่งอวัยวะทั้งสองที่ว่านี้ก็จะอยู่ที่ร่างกายฝั่งซ้ายของเราเช่นกัน

นอกจากนี้ การนอนตะแคงซ้ายยังให้ผลดีต่อสุขภาพอีกมากมายเช่น:

 

healthleft02

 

ป้องกันฮาร์ทเบิร์นและช่วยระบบการย่อย: กระเพาะอาหารของเราที่อยู่ใต้กล้ามเนื้อหูรูดคาร์เดีย (cardiac sphincter) ซึ่งเป็นกล้ามเนื้อหูรูดเชื่อมต่อหลอดอาหารกับกระเพาะอาหาร กล้ามเนื้อนี้จะเปิดปิดเพื่อควบคุมการเคลื่อนที่ของอาหารลงสู่กระเพาะอาหาร และป้องกันไม่ให้อาหารไหลย้อนเข้าสู่หลอดอาหารอีก การนอนตะแคงซ้าย จะช่วยป้องกันการไหลย้อนของกรดและอาการฮาร์ทเบิร์นที่ทำให้แสบร้อนช่วงกลางอกจากการถูกน้ำย่อยกัดได้ในระหว่างที่เรานอนหลับ

ฟื้นฟูสุขภาพของลำไส้: การนอนตะแคงซ้าย จะช่วยให้ร่างกายกำจัดขยะพิษที่สะสมในลำไส้ออกไปง่ายขึ้น โดยการถ่ายโอนมันจากลำไส้เล็กไปสู่ลำไส้ใหญ่ ซึ่งผ่านทางลิ้นปิดเปิดระหว่างส่วนปลายของลำไส้เล็กที่ติดต่อกับส่วนลำไส้ใหญ่ที่เรียกว่า ลิ้นอิลีโอซีคัล (ileocecal valve) ที่อยู่ด้านซ้ายของร่างกาย การนอนตะแคงซ้าย จะช่วยแรงดึงดูดทำให้เกิดพัฒนาการของระบบเคลื่อนไหวของลำไส้ทำให้ขยับตัวได้ดีขึ้น

พัฒนาระบบทำงานของหัวใจ: การนอนตะแคงซ้าย จะช่วยให้หัวใจทำงานสูบฉีดโลหิตเข้าสู่ร่างกายได้ง่ายขึ้น

ฟื้นฟูการไหลเวียนของต่อมน้ำเหลือง: การทำงานของต่อมน้ำเหลืองจะกรองและระบายน้ำเหลืองที่ผ่านการกำจัดสิ่งแปลกปลอมแล้วเข้าสู่ท่อน้ำเหลืองขนาดใหญ่ที่เรียกว่า thoracic duct ที่อยู่ด้านซ้ายของร่างกาย การนอนตะแคงซ้ายจะช่วยขจัดสารพิษที่ค้างอยู่ออกไปได้ดีกว่า ทั้งช่วยการทำงานของต่อมน้ำเหลืองนำโปรตีนที่หายไปกลับคืนมาให้เซลล์ด้วย

ฟื้นฟูสุขภาพตับ: ตับเป็นอวัยวะที่ตั้งอยู่ทางด้านขวาของร่างกาย อายุรเวทเชื่อว่า การนอนตะแคงซ้าย จะช่วยให้ของเสียในตับไม่ตกตะกอนค้างอยู่ภายใน สามารถถูกกำจัดออกไปได้ดีขึ้น

ฟื้นฟูการทำงานของม้าม: การนอนตะแคงด้านซ้าย จะช่วยแรงดึงดูดทำให้ฟื้นฟูการไหลเวียนของเลือดที่จะไปสู่ม้าม ช่วยให้ม้ามทำงานได้ดีขึ้น

 

healthleft04

 

ให้ผลกำไรในช่วงตั้งครรภ์: โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงสามเดือนสุดท้ายของการตั้งครรภ์ การนอนตะแคงซ้ายจะช่วยช่วยเพิ่มการไหลเวียนของโลหิตที่จะไปเลี้ยงทารกในครรภ์ได้ดีขึ้น และยังช่วยการทำงานของตับอีกด้วย

ช่วยหยุดการนอนกรน: การนอนตะแคงซ้ายจะช่วยบำบัดเรื่องการกรน เพราะออกซิเจนจะเข้าสู่ร่างกายได้มากกว่า โดยเฉพาะในผู้ป่วยสภาวะหยุดหายใจขณะหลับ(sleep apnea)

เหล่านี้คือข้อมูลที่น่าพิจารณาของการนอนตะแคงซ้าย แต่อย่างไรก็ตาม ดร.สตีเวน พาร์ค (Dr. Steven Park) แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการนอนหลับแนะนำว่า การพยายามเปลี่ยนท่าการนอนจากที่เราคุ้นเคยอย่างกะทันหันอาจไม่ใช่สิ่งที่ดีนัก เพราะมันจะไปทำลายความคุ้นเคยต่อกิจวัตรการนอนของคุณ แต่อย่างไรก็ตาม หากคุณสนใจที่จะเริ่มฝึกหัดนอนตะแคงซ้ายแล้วละก็ ลองใช้เคล็ดลับค่อยเป็นค่อยไปที่แนะนำโดยผู้เชี่ยวชาญ:

เย็บลูกเทนนิสหรือลูกบอลนิ่มๆติดไว้ที่ข้างหลังเสื้อนอนของคุณ: เมื่อคุณเริ่มจะหมุนตัวกลับไปในระหว่างที่นอน มันก็จะได้ช่วยรั้งคุณไว้ให้กลับมานอนตะแคงซ้ายเหมือนเดิม

หาหมอนหนุนหลังไว้หลายๆใบในขณะนอนตะแคงซ้าย: มันก็จะช่วยให้คุณไม่เปลี่ยนท่ากลับมาอีกด้าน

แนะนำเคล็ดลับเหล่านี้ให้ ถ้าคุณลองทำแล้วรู้สึกว่าเริ่มคุ้นเคยกับการนอนตะแคงซ้าย ก็ขอให้ได้รับผลกำไรสุขภาพจากมันเต็มที่นะคะ!

บริโภค “ขมิ้นชัน” ไม่ใช่ดีต่อสุขภาพเสมอไป เข้าใจก่อนบริโภค

 

เมื่อวันก่อน ดิฉันเข้าไปในเฟสบุค ก็ได้เห็นว่ามีการพูดถึงสรรพคุณของ “ขมิ้นชัน” ว่าช่วยป้องกันโรคและอาการต่างๆได้มากมาย และก็ได้เห็นว่ามีคนที่สนใจทั้งสั่งซื้อและแชร์ข้อความ ทำให้ต้องมาเล่าเรื่องราวของสมุนไพรชนิดนี้ ว่ามันไม่ได้มีแต่ผลดีเพียงด้านเดียว แต่สามารถก่อปัญหาสุขภาพได้เช่นกัน หากเราบริโภคโดยไม่รู้จักมันอย่างแท้จริง

 

คุณรู้จัก “ขมิ้นชัน” ดีแค่ไหน

ก่อนอื่น เรามาทำความรู้จักกับเจ้าสมุนไพรสีสวยนี้กันก่อนค่ะ “ขมิ้นชัน” หรือที่ขมิ้นแกงที่เราใช้ใส่ในอาหารชนิดต่างๆนี้ ส่วนที่เรานำมาใช้ก็คือรากของมันที่อยู่ลึกลงไปในดิน เมื่อเรามองย้อนหลังไปในประเทศอินเดียก็พบว่า มีการใช้ขมิ้นชันมาเกือบจะเป็นเวลาสี่พันปีมาแล้ว ทั้งใช้ปรุงอาหาร ใช้เป็นยารักษาโรคบาง รวมถึงใช้ในพิธีกรรมต่างๆ แม้จะยังไม่มีรายงานทางการแพทย์รับรองถึงประโยชน์ของมัน แต่ขมิ้นชัน ก็เป็นสมุนไพรที่ได้รับการศึกษาค้นคว้าจากวงการผู้ผลิตยาและเครื่องสำอาง ตลอดจนวงการธรรมชาติบำบัดอย่างกว้างขวางถึงคุณประโยชน์ในด้านสุขภาพ

 

ขมิ้นชัน จะถูกพูดถึงสรรพคุณในการเป็นสมุนไพรธรรมชาติบำบัดที่เชื่อว่ามันมีผลข้างเคียงน้อยมากเมื่อเทียบกับการใช้ยาทั่วไป แต่ข้อมูลสรรพคุณมากมายนี้เอง ที่ทำให้เข้าใจคลาดเคลื่อนและขาดความระวังในการใช้ สิ่งที่ให้ผลกำไรสุขภาพของเราในขมิ้นชัน ก็คือสารประกอบของมันที่มีชื่อว่า “เคอร์คูมิน” (curcumin) ซึ่งมีการศึกษาวิจัยของหลายสถาบันพบว่า เคอร์คูมิน มีคุณสมบัติเป็นสารต้านการติดเชื้อ ( anti-inflammation), สารต้านอนุมูลอิสระ ( anti-oxidant) , สารต้านการก่อมะเร็ง (anti-carcinogenic) และสารต้านการจับตัวเป็นก้อนของโลหิต (anti-thrombotic) สรรพคุณเหล่านี้ถูกผู้ผลิตนำมาบอกเล่า ทั้งผลิตภัณฑ์เสริมอาหารและเครื่องสำอาง ที่นำขมิ้นชันมาเป็นส่วนผสมในผลิตภัณฑ์ความงาม และก็ยังนำไปใช้เป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารสมุนไพรในแนวธรรมชาติบำบัด ทั้งแบบผงและแคปซูล เพื่อบริโภคเดี่ยวๆหรือร่วมกับสมุนไพรหรือยาชนิดอื่นๆ แต่การใช้ขมิ้นชันโดยไม่ศึกษาเรื่องผลข้างเคียง ก็จะทำให้คุณสมบัติเดียวกันที่เป็นประโยชน์ กลับเป็นโทษได้ด้วย

 

healthkamin03

 

เลี่ยงบริโภคขมิ้นชันถ้าคุณอยู่ในกลุ่มเหล่านี้

ด้วยคุณสมบัติช่วยต้านการแข็งตัวของโลหิต (anti-thrombotic) ทำให้ผู้ผลิตพยายามทำให้เราเข้าใจว่า ขมิ้นชัน จะช่วยเรื่องของโรคหลอดเลือดอุดตันได้ แต่ในขณะเดียวกัน คุณสมบัตินี้ของมัน ก็หมายถึงการทำให้โลหิตแข็งตัวได้ยากขึ้นเมื่อมีบาดแผลหรือเมื่อผ่าตัด ซึ่งอันตรายมากหากคนไข้มีการบริโภคขมิ้นร่วมกับยาต้านการแข็งตัวของลิ่มเลือดก่อนผ่าตัด เพราะมันจะไปเพิ่มความเสี่ยงของการเลือดออกมากหรือเลือดแข็งตัวได้ช้าลง ยาที่อาจทำให้เกิดเหตุการณ์นี้เมื่อบริโภคร่วมกับขมิ้น เช่นยาวาร์ฟาริน warfarin หรืออีกชื่อคือคูมาดิน ( coumadin) ซึ่งจะไปยับยั้งการสังเคราะห์วิตามินเคซึ่งเป็นวิตามินสำคัญที่ทำให้เกิดกระบวนการจับตัวของลิ่มเลือด, ยาโคลพิโดเกรล clopidogrel หรือที่รู้จักกันคือยา พลาวิกซ์ ( Plavix) , ยาแอสไพริน ( aspirin ) นี่คือสิ่งที่ควรรู้เรื่องแรกเมื่อคิดจะบริโภคขมิ้นชัน

 

healthkamin02

 

เรื่องต่อมาก็คือ ขมิ้นชัน สามารถไปยับยั้งประสิทธิภาพของยาที่ใช้เพื่อลดกรดในกระเพาะอาหารได้ด้วย นั่นคือเมื่อเราบริโภคขมิ้นชันร่วมกับยาลดกรด มันก็จะไปทำให้ร่างกายผลิตกรดในกระเพาะอาหารในปริมาณมากขึ้นกว่าเดิม ซึ่งสิ่งที่จะบอกได้ว่าเกิดปฏิกิริยานี้ในร่างกายก็คือ อาการคลื่นไส้, ท้องอืดและปวดท้อง ทั้งกรดที่ผลิตเกินนี้ ก็สามารถจะไปทำความเสียหายให้กับหลอดอาหารได้ ยาลดกรดที่มักจะมีปัญหาเมื่อบริโภคร่วมกับขมิ้นชันนี้ได้แก่ยาไซเมทิดีน Cimetidine หรือยาทากาเมท ( Tagamet) ซึ่งเป็นยาในกลุ่มออกฤทธิ์ยับยั้งการหลั่งของกรดในกระเพาะอาหาร, ยาฟาโมทิดีน (Famotidine) หรือยาเป็ปซิด ( Pepcid) ซึ่งเป็นยารักษาแผลในกระเพาะอาหารหรือโรคกรดไหลย้อน, ยารานิทิดีน ( Ranitidine) หรือยาแซนแทค (Zantac) และยาโอเมพราโซล ( Omeprazole ) ซึ่งทั้งหมดเป็นยาในกลุ่มลดการหลั่งกรดในกระเพาะอาหาร ที่ควรระวังในการนำมาใช้บริโภคร่วมกับขมิ้นชัน

 

นอกจากนี้ ขมิ้นชัน ยังเป็นสมุนไพรที่ควรระวังหากมีการบริโภคร่วมกับยารักษาโรคเบาหวาน เนื่องจากยาเหล่านั้นจะลดระดับน้ำตาลในเลือดให้มีระดับต่ำลง ขมิ้นชัน จะไปเพิ่มประสิทธิภาพของการลดน้ำตาล ทำให้เกิดความเสี่ยงที่ผู้ป่วยจะมีระดับน้ำตาลในเลือดต่ำเกินไป อันจะนำไปสู่ผลข้างเคียงอื่นๆเช่นอาการสั่น,การเกิดความรู้สึกวิตกกังวล, สายตาเบลอมองเห็นภาพไม่ชัดเจน, ภาวะสมองทำงานบกพร่องกระทันหัน ทำไห้กิดอาการสับสน เกิดปัญหากับประสิทธิภาพความทรงจำ ความคิดและระดับความรู้สึกตัว หรือที่เรียกว่าภาวะสับสนฉับพลัน (delirium) ที่เกิดจากการลดประสิทธิภาพของสภาวะการรับรู้เกี่ยวกับตัวเองและสิ่งแวดล้อม จากปัญหากระบวนการทำงานของสมอง

 

healthkamin04

 

การบริโภคขมิ้นชัน ยังสามารถทำให้เกิดการแพ้อาหารได้ในบางคน ซึ่งจะแสดงผลออกมาหลากหลายอาทิ การเกิดผื่นสิว, โรคลมพิษ, ผื่นแพ้ผิวหนัง, หรือหากแพ้มากๆก็อาจมีอาการรุนแรงอื่นๆเช่น หายใจติดขัดเป็นห้วงๆ หรือนำไปสู่อาการแพ้ที่รุนแรงที่อันตรายถึงชีวิตได้เช่น อาการทางปอด แน่นหน้าอก หายใจหอบ หนังตาและปากบวม กลืนลำบาก ฯลฯ ดังนั้น หากคุณกำลังบริโภคขมิ้นชันนี้อยู่ร่วมกับยาบางชนิด หรือหากคุณพบว่ามีอาการแพ้หรือปัญหาอย่างใดอย่างหนึ่งที่เล่ามานี้เมื่อบริโภคขมิ้นชัน ก็ขอแนะนำให้ลดปริมาณของมันลงมา หรือเปลี่ยนเป็นสมุนไพรชนิดอื่นโดยปรึกษาแพทย์เพื่อให้ได้คำตอบที่เหมาะสม

 

สิ่งที่อยากจะบอกก็คือ ไม่ใช่แต่เรื่องของขมิ้นชัน แต่การที่คุณคิดจะบริโภคผลิตภัณฑ์เสริมอาหารใดๆทั้งวิตามินสังเคราะห์ หรือสมุนไพรที่ระบุว่าผลิตจากธรรมชาติก็ตาม อย่าลืมที่จะศึกษาข้อดีข้อเสียของมันก่อน จำไว้ว่า เมื่อได้รับรู้คำบอกเล่าถึงข้อดีของมัน ให้ถามตัวเองเสมอว่า “แล้วข้อเสียของมันล่ะคืออะไร” และอย่าเพิ่งบริโภคมันจนกว่าคุณจะได้คำตอบข้อหลัง ข้อมูลทั้งสองด้านจะช่วยให้เราตัดสินใจอย่างถูกต้อง เพื่อความปลอดภัยของตัวเราเอง หวังว่าข้อมูลที่เล่ามาจะเป็นประโยชน์ให้คุณตัดสินใจกับการใช้ “ขมิ้นชัน” ได้อย่างเหมาะสมนะคะ

เรื่องไม่ควรทำเมื่อตอนท้องว่าง

 

ก่อนจะคุยกันวันนี้ ต้องมาทำความเข้าใจกันก่อนว่า คำว่าท้องว่างที่ดิฉันพูดถึงนี่ หมายถึงเวลาที่กระเพาะอาหารของคุณยังว่างเปล่า เพราะคุณยังไม่ได้บริโภคอาหารใดๆเข้าไป ไม่ใช่หมายถึงท้องว่างจากการตั้งครรภ์นะคะ เชื่อว่าคุณคงเคยได้ยินเรื่องการดื่มน้ำเป็นสิ่งแรกเมื่อตื่นนอน และอีกหลายเรื่องราวของการดูสุขภาพที่ดี ซึ่งมีหลายเรื่องที่คุณสามารถทำได้เมื่อยังไม่มีอาหารตกถึงท้อง แต่มันก็มีอีกหลายเรื่องเช่นกัน ที่คุณควรหลีกเลี่ยงในเวลาที่กระเพาะอาหารยังว่างเปล่า และต่อไปนี้คือสิ่งที่คุณไม่ควรทำ:

 

healthemty02

 

1. ดื่มชาหรือกาแฟ: การดื่มกาแฟขณะที่ท้องว่างสามารถจะไปกระตุ้นการผลิตกรดในกระเพาะอาหาร ซึ่งเป็นสาเหตุของอาการฮาร์ทเบิร์นและกรดไหลย้อนได้ จำไว้ว่าให้ดื่มน้ำหนึ่งแก้วก่อนที่คุณจะดื่มเครื่องดื่มใดๆเข้าไป หากกระเพาะอาหารของคุณยังว่างเปล่า และควรเติมนมหรือครีมลงในกาแฟหรือชา เพื่อให้ไขมันจากนมหรือครีมช่วยให้กาแฟย่อยง่ายขึ้น ทั้งยังเป็นการเซ็ทอัพร่างกาย ให้ไปสู่การดูดซึมสารอาหารที่เหมาะสมได้ตลอดวันอีกด้วย

 

2. ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์: การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ขณะท้องว่าง จะนำไปสู่การดูดซึมแอลกอฮอล์เข้าสู่กระแสโลหิตโดยตรง ซึ่งสิ่งนี้จะไปขยายหลอดเลือดแดงให้กว้างขึ้น ทั้งยังไปลดความดันโลหิตให้ต่ำวูบลงชั่วคราว และเมื่อมีระดับของแอลกอฮอล์เข้มข้นมากๆในกระแสโลหิต สิ่งนี้ก็จะไปเพิ่มการสูญเสียการควบคุมตัวเองทำให้ควบคุมไม่ได้

 

healthemty03

 

3. บริโภคยา NSAIDS หรือยาแก้ปวด: ยาต้านการอักเสบชนิดที่ไม่ใช่ยาสเตียรอยด์ หรือที่มีชื่อว่า Nonsteroidal Anti-inflammatory Drugs (NSAID) และยาแก้ปวดอีกหลายชนิดเช่นยาพาราเซตามอล, แอสไพริน ฯลฯ เป็นสิ่งที่ไม่ปลอดภัยถ้าบริโภคในขณะท้องว่าง เพราะมันสามารถจะนำไปสู่การมีเลือดออกในทางเดินอาหารได้

 

4. บริโภคผลไม้รสเปรี้ยว: คุณสามารถบริโภคผลไม้บางชนิดได้ในขณะที่ท้องว่าง เช่นกล้วยหรือแอปเปิ้ล แต่ให้อยู่ห่างจากผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว เพราะการบริโภคผลไม้รสเปรี้ยวในขณะท้องว่าง จะนำพาคุณไปสู่ความเสี่ยงของการมีกรดเกินในกระเพาะ

 

5. ออกกำลังกาย: ถ้าคุณคิดว่าจะสามารถลดน้ำหนักได้มากกว่าด้วยการออกกำลังกายโดยไม่บริโภคอะไรเลยในตอนเช้าละก็ นั่นคือความคิดที่ผิด เพราะเมื่อเวลาที่คุณออกกำลังกาย ร่างกายจะต้องใช้ไกลโคเจน (glycogen) ซึ่งมาจากอาหารที่คุณบริโภคเพื่อมาเผาผลาญไขมัน ซึ่งถ้าคุณไม่มีระดับของไกลโคเจนที่เพียงพอ ร่างกายของคุณก็จะยุติการเผาผลาญไขมัน และนำไปสู่การเก็บสะสมไขมันไว้ในร่างกายไว้ในปริมาณที่มากกว่า

 

6. ออกไปทำงาน: การออกไปทำงานโดยท้องว่างไม่ได้บริโภคอะไรเลย จะจำกัดประสิทธิภาพและศักยภาพในการทำงานและความคิดให้ด้อยลง การตัดสินใจแก้ไขปัญหาของงานก็จะไม่เฉียบคมเท่าที่ควร ดังนั้น ก่อนไปทำงานให้ฟังเสียงความต้องการของร่างกาย และอย่าละเลยความรู้สึกที่คุณมีในเรื่องของอาหารเช้า ถ้าร่างกายคุณรู้สึกว่าขาดพลังงานเมื่อออกไปทำงานด้วยท้องที่ว่างเปล่า ก็อย่าลืมบริโภคอาหารบ้างแม้เพียงเล็กน้อยก็ยังดีในคราวต่อไป เพื่อให้คุณมีพลังทำงานได้ตลอดเช้าก่อนจะถึงมื้อเที่ยง

 

healthemty04

 

7. ซื้อของในซูเปอร์มาร์เก็ต: ไม่มีใครไม่ชอบการช้อปปิ้ง แต่ให้หลีกเลี่ยงการก้าวเข้าไปในซูเปอร์มาร์เก็ตเมื่อท้องว่าง เพราะคุณจะมีแนวโน้มที่จะซื้ออาหารที่มีแคลอรี่และไขมันสูง ดังนั้น คราวหน้าที่คุณจะเข้าไปในที่นั้น ให้บริโภคอาหารให้อิ่มก่อนค่อยก้าวเข้าไป

 

อาหารคือพลังงานที่จะทำให้ร่างกายทำกิจวัตรในชีวิตประจำวันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้น ร่างกายของเราควรได้รับการเติมเต็มด้วยอาหารอย่างเพียงพอเพื่อใช้ในชีวิตประจำวัน เหมือนกับที่เราต้องเติมน้ำมันให้รถยนต์เพื่อให้มันขับเคลื่อนไปได้ การอดอาหารไม่ใช่วิธีได้มาซึ่งรูปร่างที่ดี แต่การบริโภคอย่างมีสติ เพื่อให้ร่างกายได้สารอาหารที่ดีในปริมาณที่เหมาะสมต่างหาก ที่จะทำให้เรามีรูปร่างดูดีดังต้องการ เมื่อรู้แบบนี้แล้ว ก็อย่าลืมเติมพลังงานให้ร่างกายให้เพียงพอในเวลาที่เหมาะสมกันด้วยนะคะ

“ปวดศีรษะ” แก้ไขได้ถ้าเข้าใจถึงสาเหตุ

 

สภาพอากาศช่วงนี้ที่เดี่ยวร้อนเดี๋ยวฝน ทำให้หลายคนคงรู้สึกไม่สบาย และอาการอย่างหนึ่งที่มักเกิดขึ้นบ่อยๆก็คืออาการ“ปวดศีรษะ” ซึ่งถึงแม้ว่ามันจะเป็นสิ่งที่ได้ยินบ่อยๆเหมือนเป็นเรื่องธรรมดาที่เกิดขึ้นกับใครก็ได้ แต่รู้ไหมว่าอาการนี้ เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้คนทำงานส่วนมากต้องลาหยุดงานหรือหยุดเรียน หรือบางรายต้องไปพบแพทย์จากการปวดศีรษะแบบเรื้อรังไม่ยอมหายขาด ซึ่งบางคนก็จะเกิดอาการปวดนี้ขึ้นเมื่อรู้สึกเหนื่อยล้าหรือนอนไม่พอ ในขณะที่บางคนก็จะปวดศีรษะถ้าวันนั้นดื่มน้ำน้อยเกินไป จะเห็นได้ว่า สาเหตุการปวดศีรษะมักจะมีหลากหลาย มาเรียนรู้ว่ามันเกิดจากอะไรและจะดูแลอย่างไร

อาการปวดศีรษะที่เรามักจะเป็นกันบ่อยที่สุด จะมีอยู่ 4 ชนิดด้วยกัน และทุกชนิดก็จะบอกถึงปัญหาบางอย่างในร่างกายของเรา ซึ่งถ้าหากคุณเรียนรู้สัญญาณของมัน คุณก็จะบำบัดได้อย่างถูกต้องหากมันเกิดขึ้นกับคุณหรือคนใกล้ชิด

 

1. ปวดศีรษะจากไซนัสอักเสบ ( Sinus headache): ไซนัส คือโพรงอากาศเล็กๆในกระโหลกศีรษะ โพรงนี้จะอยู่รอบๆบริเวณจมูกและมีทางเชื่อมต่อกับโพรงจมูก เมื่อมีเชื้อโรคลุกลามเข้าไป จะทำให้เกิดการอักเสบและปวดศีรษะ อาการปวดศีรษะจากไซนัสจะเกิดขึ้น เมื่อโพรงไซนัสเริ่มมีอาการติดเชื้อหรือถูกปิดกั้น ซึ่งจะทำให้เกิดความเจ็บปวดขึ้นที่ภายในบริเวณหลังแก้ม, และช่วงระหว่างจมูกและนัยน์ตา อาการปวดนี้จะยิ่งเลวร้ายขึ้นไปอีก เวลาที่คุณต้องโน้มตัวไปทางด้านหน้าหรือเมื่อตื่นนอนในตอนเช้า ซึ่งสาเหตุที่พบบ่อยๆว่าทำให้เกิดอาการอักเสบนี้ จะรวมถึงปฏิกิริยาภูมิแพ้ของร่างกาย, การเกิดก้อนบวมหรือเกิดการติดเชื้อ ซึ่งสิ่งที่ควรรู้ก็คือ อาการปวดศีรษะจากไซนัสอักเสบนี้ จะมีอาการรุนแรงและใกล้เคียงอย่างมากกับการปวดศีรษะไมเกรน ทำให้อาจเกิดความเข้าใจสับสนได้

วิธีดูแล: พยายามดื่มน้ำสะอาดและบริโภคอาหารที่เป็นของเหลวให้มากที่สุด นอกจากนี้ สิ่งที่จะช่วยให้อาการนี้ทุเลาลงได้มากก็คือการใช้น้ำอุ่น ซึ่งจะให้ผลดีมากในการช่วยลดอาการติดเชื้อ น้ำอุ่นจะช่วยเปิดโพรงไซนัสให้โล่งขึ้นจากการอุดตัน นอกจากนี้ สิ่งที่แนะนำคือการประคบเย็นและร้อนสลับกัน ซึ่งจะช่วยให้จมูกโล่งขึ้นและลดความเจ็บปวดลง, การบริโภคซุปอุ่นๆหรือขิงสด ซึ่งเป็นพืชสมุนไพรที่มีคุณสมบัติทรงพลัง ช่วยลดอาการติดเชื้อและความเจ็บปวด

 

healthheadacne03

 

2. ปวดศีรษะจากความเครียด (Tension headache): เป็นอาการปวดศีรษะที่เกิดขึ้นมากและบ่อยที่สุด ซึ่งอาการนี้เมื่อเกิดขึ้น จะรู้สึกปวดตุบๆเหมือนกับมีอะไรมากดหรือบีบ ซึ่งจะเป็นความปวดคงที่อยู่บริเวณรอบๆศีรษะ จุดหลักที่จะมีอาการก็คือ ที่ส่วนท้ายทอย ส่วนด้านหลังของกระโหลกศีรษะ ตลอดจนที่คอหรือที่ขมับทั้งสองข้าง ซึ่งอาจเกิดขึ้นที่บริเวณส่วนใดส่วนหนึ่งหรือทุกส่วนรวมกัน และอาการปวดนี้ ยังสามารถแผ่ไปถึงบริเวณด้านบนหรือล่างของนัยน์ตาได้อีกด้วย อาการปวดศีรษะจะเกิดขึ้นได้ทั้งแบบไม่กี่นาที หรือเกิดไปจนถึงนานๆ 2-3 วัน สิ่งที่จะกระตุ้นอาการให้เกิดได้ง่ายขึ้นก็คือ การอดนอน ,อดอาหารและน้ำ, การเผชิญสถานการณ์ของความเหนื่อยล้า, การถูกกดดันอย่างสูงทางอารมณ์ ตลอดจนการดื่มแอลกอฮอล์

วิธีดูแล: วิธีธรรมชาติบำบัด แนะนำให้ใช้น้ำมันหอมระเหยเปปเปอร์มินท์และชาขิง เพื่อที่จะช่วยลดอาการปวด ลองหยดน้ำมันเปปเปอร์มินท์ลงที่บริเวณโคนผมและกดนวดให้ทั่วศีรษะ เพื่อให้ความเย็นซ่าของน้ำมันช่วยคลายความตึงของกล้ามเนื้อบริเวณศีรษะและลำคอ การดื่มชาขิงอุ่นๆก็ยังช่วยลดการติดเชื้อได้ด้วย

 

3. ปวดศีรษะคลัสเตอร์ (Cluster Headache): เป็นชื่อของอาการปวดศีรษะจากความผิดปกติของเส้นประสาทสมองคู่ที่ 5 และระบบประสาทอัตโนมัติ ( TACs) ที่มักจะพบอาการนี้ในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง จะมีอาการปวดศีรษะอย่างรุนแรงด้านเดียวที่บริเวณรอบตา เหนือเบ้าตาหรือขมับ บางครั้งอาจมีอาการตาแดง น้ำตาไหล คัดจมูก หนังตาบวม เกิดขึ้นร่วมด้วย ซึ่งสาเหตุการเกิดยังไม่เป็นที่ทราบชัดเจน แต่เป็นเพราะความผิดปกติในการเชื่อมโยงของสารสื่อประสาทบางชนิด ซึ่งอาการปวดศีรษะคลัสเตอร์นี้ สามารถถ่ายทอดถึงกันทางกรรมพันธุ์ได้ และมักเป็นในผู้ชายอายุ 30-50 ปี โดยมีปัจจัยกระตุ้นคือการดื่มแอลกอฮอล์, การออกกำลังกายหักโหม,การอยู่ในที่ๆมีอุณหภูมิร้อนจัด และการสัมผัสกับกลิ่นที่รุนแรง

วิธีดูแล: แนวทางธรรมชาติบำบัดพบว่า การใช้ครีมที่มีส่วนผสมของสารแคปไซซิน (Capsaicin) ซึ่งเป็นสารที่มีในพืชตระกูลพริก โดยเฉพาะพริกคาเยน ( cayenne pepper) ทาที่บริเวณปวดเพียงปริมาณเล็กน้อย ก็สามารถทำให้ร่างกายมีการส่งสัญญาณไปยังระบบประสาท เพื่อบรรเทาความเจ็บปวดจากเส้นประสาทที่เกิดการอุดตันนี้ได้

 

healthheadacne02

 

4. ปวดศีรษะไมเกรน (migraine): จากสถิติพบว่า ไมเกรนมักจะเกิดกับคนที่อยู่ในช่วงอายุระหว่าง 25 ปีและอายุ 55 ปี แต่ความจริงแล้ว มันสามารถจะเกิดกับทุกคนได้โดยไม่เลือกวัย อาการปวดศีรษะชนิดนี้ จะมีความซับซ้อนมากกว่าอาการปวดศีรษะชนิดอื่นๆ เพราะไมเกรนจะรวมอาการหลากหลายที่แตกต่างกันของระบบประสาท และแสดงออกทางร่างกายอย่างหลากหลาย รวมทั้งการปวดศีรษะอย่างเข้มข้นทรมาน ซึ่งจะมีทั้งอาการปวดสั่นที่ศีรษะข้างใดข้างหนึ่งเท่านั้น และอาการปวดสั่นรุนแรงเกิดขึ้นที่ศีรษะทั้งสองข้าง ซึ่งจะพบได้ถึงหนึ่งในสามของผู้ที่ถูกโจมตีด้วยอาการไมเกรน อาการปวดนี้จะรวมไปถึงมีการอาเจียน เวียนศีรษะ คลื่นไส้ ตาพร่าหรือมีความผิดปกติของการมองเห็น อาการอ่อนไหวอย่างมากต่อแสงสว่าง กลิ่น การสัมผัส เสียง เช่นเดียวกับความรู้สึกซ่าชาหรือเจ็บเสียวที่ใบหน้า ซึ่งจะมีอาการปวดเหล่านี้แผ่จากด้านบนของศีรษะลงมาสู่ด้านล่าง

วิธีดูแล: ได้มีการศึกษาระบุว่า มีคนไข้ไมเกรนมากมายที่ได้รับผลกำไรจากการบริโภคกรดไขมันโอเมก้า-3, วิตามิน บี12 หรือไรโบฟลาวิน ( riboflavin),และแมกนีเซียม ซึ่งนักธรรมชาติบำบัดแนะนำให้เพิ่มสารอาหารเหล่านี้ หรือผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเหล่านี้ในมื้อประจำวันของคุณ

 

ไม่ว่าจะมีอาการผิดปกติมากหรือน้อยใดๆที่ขึ้นกับร่างกายของเรา การค้นหาทุกสาเหตุให้พบแต่เนิ่นๆ ไม่ปล่อยปละละเลย จะช่วยให้เรื่องเล็กไม่กลายเป็นเรื่องใหญ่ เพราะหลายเรื่องของปัญหาสุขภาพ เราแก้ไขได้โดยเริ่มที่ตัวของเราเองถ้ารู้สาเหตุ โดยเฉพาะเรื่องของอาการปวดศีรษะ แค่หลีกเลี่ยงที่จะนำตัวเองเข้าไปอยู่ในสภาวะแวดล้อมของความเสี่ยงทั้งร่างกายและจิตใจ ไม่เครียดไม่ย้ำคิดย้ำทำ ไม่ปล่อยให้ความรู้สึกด้านลบเข้ามาทำร้ายตัวเอง เพียงเท่านี้ก็จะทุเลาเรื่องที่จะทำให้เกิดปัญหาสุขภาพไปได้มากมายแล้วค่ะ

เรื่องน่ารู้ของการผสมผสานน้ำผักผลไม้

 

อากาศร้อนๆบริโภคอะไรก็ไม่ชื่นใจเท่าผลไม้ ทั้งแบบสดๆ, แบบน้ำผลไม้คั้นสด หรือแบบสมูตตี้ปั่นก็อร่อยสดชื่นได้เหมือนกัน แต่มีหลายคนที่รู้สึกว่าบางครั้งดื่มหรือบริโภคผลไม้บางอย่างด้วยกันแล้ว จะมีอาการผิดปกติของร่างกายเช่นปวดท้อง, แน่นอึดอัดจากแกส, ท้องเสีย หรือแม้แต่ปวดศีรษะ นั่นเป็นเพราะเราผสมผสานชนิดของผักผลไม้ที่บริโภคเข้าไปนั้นอย่าง “ไม่เข้ากัน” ทำให้ร่างกายเกิดมีปัญหา วันนี้ชวนมาเรียนรู้เรื่องของหลักการผสมผสานผักผลไม้สด เพื่อให้คุณดื่มน้ำผักผลไม้หน้าร้อนได้อย่างชื่นใจพร้อมสุขภาพดีกันค่ะ

 

หลีกเลี่ยงการผสมผสานสิ่งเหล่านี้

ไม่ว่าจะเป็นการนำมารวมกันเพื่อทำน้ำผลไม้ หรือจะบริโภคมันในรูปแบบผลไม้สดก็ตาม ผักผลไม้เหล่านี้รวมถึงขนมหวานบางอย่าง ที่มักถูกนำมาผสมผสานเพื่อทำเป็นสมูตตี้ปั่นให้คุณดื่ม ก็มีสารเคมีในอาหารที่ขัดหรือตรงกันข้ามกันและมีความยากที่จะผสมผสาน เมื่อมันถูกนำมารวมกันและเข้าสู่ระบบการย่อย สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ ร่างกายไม่สามารถย่อยสลายมันได้หมดทำให้เกิดอาการต่างๆ ต่อไปนี้คือสิ่งที่ไม่ควรถูกนำมารวมเข้าด้วยกัน

1. กล้วยหอมกับขนมพุดดิ้ง: มักเป็นเมนูปั่นที่ครีเอทโดยร้านขายสมูตตี้ที่ขาดความรู้เรื่องของ food combining และหวังเพียงแต่จะนำเสนอรสชาติที่เข้มข้นเท่านั้น แต่การจับเอาสองสิ่งนี้มารวมกันเพื่อครีเอทเป็นน้ำผลไม้ คือการสร้างงานหนักให้กับกระเพาะอาหารต่อการทำหน้าที่ในการย่อย ทั้งเครื่องดื่มนี้ยังไปชลอความคิดให้เฉื่อยชา รวมทั้งเพิ่มการสร้างมลพิษจากปริมาณน้ำตาลที่สูงให้กับร่างกายแทนที่จะดีต่อสุขภาพ และถ้านำเครื่องดื่มนี้ไปให้เด็กๆบริโภค มันก็อาจจะเป็นสิ่งที่ส่งผลเสียอย่างมากต่อระบบการย่อย

2. ส้มกับแครอท: ถึงแม้การนำสองสิ่งนี้มาผสมกัน จะเป็นยอดนิยมของน้ำผลไม้ทั้งในรูปแบบของน้ำผลไม้กล่องหรือแบบคั้นสดก็ตาม แต่การดื่มน้ำผสมสองสิ่งนี้ จะทำให้เกิดอาการแสบร้อนในช่องอกหรือที่เรียกว่าฮาร์ทเบิร์น ตลอดจนอาการกรดไหลย้อนที่ทำให้รู้สึกมีรสขมของน้ำดี หรือรสเปรี้ยวของกรดในคอหรือในปาก เพราะมีการย้อนกลับของกรดในกระเพาะอาหาร ( bile reflux) รวมทั้งอาการแสบร้อนในช่องอกจากการถูกกรดกัดกร่อน เช่นทั้งยังทำให้ไตต้องทำงานหนักขึ้น ซึ่งเป็นเครื่องดื่มที่ไม่เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับไต

 

healthfruit04

 

3. สับปะรดกับนม: เมื่อสองสิ่งนี้มารวมกัน จะทำให้เกิดแกสในกระเพาะอาหาร, อาการคลื่นไส้, ปวดศีรษะ,และการปวดท้อง และอาจนำไปสู่การติดเชื้อในระบบการย่อยรวมไปถึงท้องร่วงได้

4. มะละกอกับมะนาว: เมื่ออยู่ด้วยกันจะทำให้เกิดการพัฒนาไปสู่โรคโลหิตจางหรือภาวะซีด รวมทั้งทำให้เกิดความยุ่งยากของเฮโมโกลบิน ซึ่งเป็นสารโปรตีนที่อยู่ในกระแสโลหิตของร่างกาย ควรเลี่ยงการผสมผสานของสองสิ่งนี้และระวังให้กับเด็กๆของคุณด้วย

5. กล้วยหอมกับฝรั่ง: เมื่ออยู่ด้วยกันจะทำให้เกิดแกสและกรดในกระเพาะอาหาร ทำให้รู้สึกคลื่นไส้และจุกแน่น, หนักท้อง, ปวดศีรษะ, และปวดท้อง

6. ส้มกับนม: ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่ชอบผสมน้ำส้มคั้นลงในชามซีเรียลหรือข้าวโอ๊ต บริโภคเป็นอาหารเช้า ก็ควรเลิกทำสิ่งนี้ได้แล้ว เพราะน้ำส้มจะทำให้กระเพาะอาหารเกิดความยุ่งยากในการย่อยสลายอาหารกลุ่มแป้งคาร์โบไฮเดรตที่อยู่ในซีเรียล ยิ่งกว่านั้น เมื่อน้ำส้มกับนมถูกนำมารวมอยู่ด้วยกันในท้อง มันก็จะยากต่อระบบการย่อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับเด็กๆ

 

healthfruit03

 

7. ผักกับผลไม้: การผสมผสานผักเข้ากับผลไม้เพื่อทำเป็นเครื่องดื่ม จะต้องใช้ความระวังเป็นอย่างมาก เพราะผลไม้จะมีน้ำตาลอยู่มากกว่า ทำให้ไม่สามารถย่อยได้ในเวลาที่เท่ากัน และมันก็จะยังคงอยู่ในกระเพาะของคุณ โดยจะถูกหมักเอาไว้และทำให้เกิดเป็นสารพิษ ตามมาด้วยอาการหลายอย่างเช่นปวดท้อง, มีแกส, เกิดการติดเชื้อ, อาเจียน, และแม้แต่การปวดศีรษะ นอกจากนี้ ผลไม้ยังมีแนวโน้มการมีกรดอยู่ในปริมาณมาก ซึ่งอาจจะไปทำลายคุณค่าทางโภชนาการของผักที่ถูกนำมาผสม

 

กฎยกเว้นของการผสมผสาน

แต่ก็ไม่ใช่ว่าเราจะไม่สามารถนำผักกับผลไม้มาผสมผสานกันได้โดยสิ้นเชิง เพราะมันก็มีข้อยกเว้นเรื่องนี้ที่น่ารู้ นั่นคือมีผักและผลไม้บางอย่าง ที่เราสามารถจะนำมันไปผสมรวมกับอย่างอื่นได้เช่น แอปเปิ้ล, กล้วยหอม, และแครอท ที่จะอยู่ในข้อยกเว้นของกฎที่ว่านี้ แอปเปิ้ลกับกล้วยหอม เป็นผลไม้ที่สามารถนำมาผสมผสานกับเมนูจานผักและน้ำผลไม้หรือสมูตตี้ต่างๆได้ แครอท ก็สามารถนำมาผสมทำเป็นน้ำผลไม้หรือสมูตตี้ต่างๆได้เช่นกัน โดยมันจะไม่ทำลายคุณค่าโภชนาการของผักผลไม้อื่นๆที่ผสมผสาน เพียงแต่ให้ระวังและหลีกเลี่ยงการนำแครอทมาผสมกับส้มเท่านั้นนอกจากนี้ ยังมีสิ่งที่ควรรู้อีกเรื่องหนึ่งก็คือ ถึงแม้แอปเปิ้ล จะเป็นผลไม้ที่สามารถนำมาผสมผสานกับผักผลไม้อื่นๆได้ดีก็ตาม แต่มันก็มีความเข้มข้นของวิตามินและแร่ธาตุมากกว่าผลไม้ชนิดอื่นๆ ซึ่งร่างกายจะต้องใช้เวลาในการย่อยนานกว่าผักผลไม้ชนิดอื่นคือประมาณ 40-60 นาที

 

healthfruit02

 

กฎง่ายๆที่คุณควรจำและระวังเมื่อจะผสมผักผลไม้เข้าด้วยกันก็คือ “ให้แยกผักผลไม้ที่เป็นกรดออกมาจากผลไม้รสหวาน” อย่าบริโภคสลัดผลไม้แบบมาตรฐานที่ผสมผสานโดยคนขายขาดความรู้ สลัดผลไม้แบบนี้มักวางขายกันทัวไป ซึ่งสร้างปัญหาให้ระบบการย่อย ด้วยการผสมผสานของผลไม้ที่ไม่เข้ากันอย่างเช่นเมลอน, แอปเปิ้ล, สับปะรด, กล้วยหอม,และสตรอเบอร์รี่ ไว้ในชามเดียวกัน ถ้าจะให้ดีควรเลือกผลไม้ที่จะนำมาทำสลัดด้วยตัวคุณเองทุกชนิด หรือลองทำสลัดมิกซ์เบอร์รี่ ที่ผสมเบอร์รี่หลากชนิดเข้าด้วยกัน ก็จะให้ทั้งความอร่อยและสุขภาพที่ดีกว่า

หน้าร้อนเราอาจจะต้องระวังเรื่องของอาหารมากเป็นพิเศษ เพราะนอกจากเราจะใช้สิ่งนี้เพื่อเติมเต็มพลังงานให้กับร่างกายแล้ว เราก็มักจะใช้อาหารเพื่อให้ช่วยคลายความร้อนของสภาพอากาศอีกด้วย การผสมผสานของอาหารที่มีสารเคมีไม่เข้ากัน นอกจากจะไม่ช่วยให้ร่างกายดีขึ้น ก็อาจทำให้เกิดความยุ่งยากขึ้นได้ ช่างเลือกขึ้นอีกสักนิดเมื่อคิดจะบริโภคอะไรเข้าไป ก็จะช่วยให้สุขภาพดีรับร้อนกันได้สบายใจค่ะ

ปฎิบัติการยกระดับคุณภาพการนอนหลับของคุณ

 

ทุกเช้าของทุกวัน เราบอกไม่ได้ว่าวันนี้จะเป็นวันดีหรือวันร้าย แต่ถ้าเมื่อคืนที่ผ่านมาคุณนอนไม่พอแล้วละก็ โอกาสที่มันจะเป็นวันดีๆก็คงมีน้อย ถึงแม้เราจะรู้ว่าควรนอนวันละไม่ต่ำกว่า 7 ชั่วโมง แต่หลายคนก็ทำไม่ได้ หรือทำได้ครบชั่วโมงแต่ไม่ได้คุณภาพการนอนที่ดี วันนี้เราจะมาบอกเคล็ดลับการนอนหลับให้มีคุณภาพการนอนที่ดีขึ้น

 

ปรับทัศนคติกิจวัตรการนอนหลับ

ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่นอนไม่พออยู่บ่อยๆ ก็คงต้องจับมาปรับทัศนคติกันใหม่ให้เข้าใจว่า การนอนหลับสนิทในเวลาที่เพียงพอนั้น มีความสำคัญต่อสุขภาพของเราอย่างมาก มันจะช่วยให้สมองสามารถทำงานซ่อมแซมตัวเองและฟื้นฟูระบบการล้างพิษ เพื่อเสริมสร้างความจำและรวบรวมข้อมูลได้มีประสิทธิภาพ เมื่อเราเป็นผู้ใหญ่ เราต้องการเวลาโดยเฉลี่ย 7-9 ชั่วโมงสำหรับการนอนหลับสนิทโดยไม่มีการถูกรบกวน อย่างไรก็ตาม คนทำงานส่วนใหญ่จะใช้เวลาการนอนโดยเฉลี่ยคืนละ 6.5 ชั่วโมง และก็มีคนทำงานจำนวนมากที่นอนเพียงคืนละ 5 ชั่วโมงเท่านั้น

 

เพื่อการนอนหลับอย่างมีคุณภาพ:

 

healthsleep04

 

1. เข้านอนและตื่นนอนในเวลาเดียวกันทุกวัน การทำแบบนี้จะช่วยให้ร่างกายจัดระบบการหลับและตื่นได้เป็นเวลาที่แน่นอน ทำให้ได้พักผ่อนนอนหลับอย่างเต็มที่

2.ให้ร่างกายสัมผัสกับแสงแดด การพบแสงแดดจะทำให้นาฬิกาชีวภาพในร่างกายปรับตัวได้ถูกต้องกับช่วงเวลากลางวันกลางคืน เมื่อถึงกลางคืน นาฬิกาชีวภาพก็จะเตือนร่างกายให้ผลิตสารเมลาโทนินเพื่อสนับสนุนการนอนหลับ

3. ผ่อนคลายจิตใจครึ่งชั่วโมงก่อนเข้านอน พยายามลดการสัมผัสแสงไฟให้มากที่สุดในช่วงที่กำลังจะเข้านอน

4. เอาทีวีออกไปนอกห้องนอน เพื่อจะได้ไม่เปิดมันด้วยความเคยชิน

5. ใช้เสียงเพื่อช่วยผ่อนคลาย ถ้ารู้สึกว่าในห้องเงียบเกินไป ให้เปิดพัดลมหรือดาวน์โหลดเสียงเพลงแนวผ่อนคลายเช่นเพลงในสปาเปิดเป็นแบคกราวนด์เบาๆเพื่อให้ช่วยความสงบ

0000

healthsleep02

000

6. อย่าดื่มคาเฟอีนหลังมื้อเที่ยง โดยเฉพะช่วงหลังบ่ายสองโมงแล้วควรงดเด็ดขาด

7. สร้างความรื่นรมย์ก่อนเข้านอน กิจวัตรที่ช่วยสนับสนุนให้นอนหลับสนิทเช่น อาบน้ำอุ่นๆ, อ่านหนังสือผ่อนคลาย, ดื่มชาสมุนไพรอุ่นๆช่วยการนอนหลับเช่นลาเวนเดอร์, มินท์ หรือคาร์โมมายล์

8. เลี่ยงการเล่นเกมส์ ดูทีวี การใช้คอมพิวเตอร์ ไอแพด มือถือ หรืออุปกรณ์คลื่นไฟฟ้าทุกชนิด อย่าทำสิ่งเหล่านี้ก่อนเข้านอนหรืออยู่บนเตียงนอน เพราะมันจะไปกระตุ้นสมองให้ตื่นตัวและนอนไม่หลับ

9. จัดบรรยากาศในห้องนอน ห้องนอนที่มีอากาศค่อนข้างเย็นและมืดสลัว จะช่วยให้นอนหลับสนิท แต่ก็ควรให้แสงสว่างตอนเช้าสามารถเข้ามาได้เพื่อให้ช่วยปลุกคุณตื่นขึ้น

10. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ แต่ควรทำสิ่งนี้ในช่วง 3-4 ชั่วโมงก่อนเข้านอน

11. จำกัดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ก่อนนอน เครื่องดื่มนี้อาจจะทำให้คุณรู้สึกง่วงนอน แต่จะเป็นการนอนแบบครึ่งหลับครึ่งตื่นทำให้หลับได้ไม่สนิท

000

 

ปัญหาร่างกายที่เกิดจากการนอนหลับ

 

healthsleep03

 

1. ภาวะขาดการนอนหลับ ( Sleep Deprivation): คนส่วนมากจะมีปัญหานี้จากการนอนหลับไม่เพียงพอ ซึ่งมีทั้งแบบเรื้อรังหรือเฉียบพลัน ซึ่งมีสาเหตุมาจากการนอนที่ไม่อิ่มซึ่งจะไปส่งผลร้ายต่อระบบสมองและความจำ ผลเสียในระยะสั้นคือ อาการสมองเบลอและจำสิ่งต่างๆได้ไม่แม่นยำ, ขาดไอเดียสร้างสรรค์, ตัดสินใจผิดพลาด, สูญเสียประสิทธิภาพของสายตาและการขับรถ ผลข้างเคียงในระยะยาวก็คือเกิดอารมณ์หดหู่เศร้าหมอง, โรคอ้วน, โรคเบาหวาน ทั้งสิ่งนี้ยังไปเพิ่มความเหนื่อยล้าให้กับร่างกายทุกส่วนและมีผลเสียกับระบบภูมิต้านทานโรค

2. น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น: คนที่นอนน้อยกว่า 5 ชั่วโมงต่อคืน จะมีโอกาสเป็นโรคเบาหวานสูงกว่าปกติถึง 50% จากการวิจัยเชื่อว่า เพราะมันมีความเกี่ยวข้องกันระหว่างสมดุลของฮอร์โมนหลักที่ทำหน้าที่ควบคุมความรู้สึกอยากอาหารของร่างกาย การอดนอนทำให้รู้สึกหิวเพิ่มขึ้น และระดับฮอร์โมนคอร์ติซอลของความเหนื่อยล้าก็พุ่งสูงขึ้น ทำให้อยากบริโภคอาหารที่มีไขมันและคาร์โบไฮเดรตสูง

3. ภาวะติดหนี้การนอน (Sleep Dept): เมื่อร่างกายอดนอนสะสมไปเรื่อยๆทุกๆวันเพิ่มไปหลายๆชั่วโมง ร่างกายก็จะเกิดความจำว่าได้อดนอน ทำให้พอถึงวันหยุดเราก็จะนอนยาวๆชดเชยชั่วโมงการนอนที่ได้เสียไป และพอถึงวันทำงาน วงจรการสะสมชั่วโมงอดนอนนี้ก็จะเกิดขึ้นอีก ทำให้มานอนใช้หนี้ในวันหยุดแบบนี้วนไปเรื่อยๆ อาการ sleep dept นี้ถ้าไม่มากนัก ก็จะช่วยให้เราหลับได้ง่ายขึ้น แต่ถ้าสะสมชั่วโมงไว้มากๆหรือทำแบบนี้ต่อเนื่องไปนานๆเข้า ก็จะทำให้เกิดโรคร้ายหลายอย่างตามมา

000

 

เห็นไหมคะว่า การนอนหลับให้เพียงพอจะทำให้คุณภาพชีวิตดีขึ้นหลายอย่าง ไม่ง่วงเบลอระหว่างวันในช่วงทำงาน ความคิดแจ่มใสและมีไอเดียสร้างสรรค์ที่ดี การบริโภคน้ำอัดลมและคาเฟอีน ก็จะทำให้หลับสนิทได้ยากขึ้น ถ้าปล่อยให้ตัวเองนอนไม่พอสะสมไปเรื่อยๆ ไม่ต้องถูกมนต์กฤษณะกาลีเหมือนแม่หญิงการะเกดของละครบุพเพสันนิวาส สาวๆก็มีสิทธิ์จะเป็นลมล้มตึงไปได้จากร่างกายอ่อนแอ ดังนั้น ช่วงวันหยุดยาวนี้ มาปรับวิธีการนอนของคุณให้มีคุณภาพ เพื่อสุขภาพที่ดีในระยะยาวกันเถอะค่ะ