เมื่อพระจันทร์คืนเพ็ญส่งผลต่อสุขภาพร่างกายคุณ

 

ยังจำนิทานเรื่องมนุษย์หมาป่าที่จะกลับคืนร่างในคืนพระจันทร์เต็มดวงกันได้ไหมคะ อย่าเพิ่งตกใจถ้าจะบอกว่า ไม่ใช่แต่มนุษย์หมาป่าเท่านั้น ที่ร่างกายจะมีการเปลี่ยนแปลงจากอิทธิพลของพระจันทร์เต็มดวงในคืนเพ็ญ แต่ร่างกายของมนุษย์เราทุกคน ก็มีการเปลี่ยนแปลงของสุขภาพที่เกิดขึ้นจากอิทธิพลของพระจันทร์ด้วยเช่นกัน

 

ในคืนพระจันทร์เต็มดวง จะเป็นคืนที่พระจันทร์โคจรอยู่ใกล้โลกมากที่สุด แรงดึงดูดระหว่างโลกและดวงจันทร์ ไม่ได้ส่งผลแค่กับพื้นดินและผืนน้ำเท่านั้น แต่ยังมีผลที่เกิดขึ้นกับร่างกายมนุษย์ด้วย จากขนาดความใหญ่และแสงสว่างที่มากกว่าเวลาปกติที่จะเห็นได้ตั้งแต่แรกที่โผล่ขึ้นมาบนท้องฟ้านั่นเอง องค์การนาซาระบุว่า ปรากฏการณ์พระจันทร์เต็มดวงและซูเปอร์มูน (supermoon) บางครั้งจะเกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวในหนึ่งปี แต่บางครั้งก็อาจจะเกิดมากกว่านั้นก็ได้ เช่นในปี 2013 ที่ผ่านมา ได้มีปรากฏการณ์ซูเปอร์มูนนี้เกิดขึ้นถึง 3 ครั้งซึ่งนับว่ามากที่สุด ซึ่งก็จะมี 4 เรื่องหลักของสุขภาพเหล่านี้ที่พระจันทร์จะมีอิทธิพลกับเรา

 

ความช้าหรือเร็วของวงจรการมีรอบเดือน:

 

healthmoon03

 

โดยปกติแล้ว วงจรการมีรอบเดือนของผู้หญิงจะอยู่ที่ 28 วันต่อครั้ง ซึ่งเมื่อพิจารณาดูแล้วก็พบว่า มันใกล้เคียงแทบจะเป็นวงจรเดียวกับรอบการโคจรของดวงจันทร์คือ 29 วัน ได้มีการทดลองกับอาสาสมัครผู้หญิงจำนวน 826 คน ที่มีอายุในช่วง 16 ถึง 25 ปี ซึ่งเป็นวัยเจริญพันธุ์ เพื่อศึกษาถึงความเกี่ยวข้องของการมีรอบเดือนกับวงจรการโคจรของพระจันทร์ ซึ่งจากการทดลองนี้ได้พบว่า เกือบทั้งหมดของผู้หญิงเหล่านี้จะมีรอบเดือนในช่วงเวลาเดียวกับในวันที่พระจันทร์เต็มดวง โดยที่ผู้หญิงกลุ่มที่มีรอบเดือนในระหว่างช่วงอื่นๆของพระจันทร์จะมีอยู่เพียง 12.5% ของผู้หญิงทั้งหมดที่เข้าร่วมการทดลองนี้

 

การเพิ่มขึ้นของอัตราการเกิดของเด็กทารก:

 

healthmoon02

 

โดยเฉพาะปรากฏการณ์ซูเปอร์มูนที่สามารถทำให้เกิดสิ่งที่ว่านี้ให้เป็นไปได้มากขึ้น จากการวิจัยที่ติดตามผลของการเกิดของทารก 1,000 รายในโรงพยาบาลเอกชนของเมืองเกียวโต ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่มารดายังอยู่ในช่วงระหว่างรอดูอาการใกล้คลอดอยู่ และก็ได้พบว่ามีทารกจำนวนมากได้ถือกำเนิดขึ้นมาในเวลาใกล้กับที่พระจันทร์เต็มดวงมากที่สุด นั่นคือช่วงแวลาที่แรงดึงดูดระหว่างโลกกับดวงจันทร์มีพลังแรงมากที่สุดด้วย ซึ่งเหตุการณ์แบบนี้จะพบในอัตรามากขึ้นไปอีก เมื่อมันเป็นปรากฏการณ์ของซูเปอร์มูน ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องแรงดึงดูดของโลก

 

การส่งผลต่อระบบการนอนหลับของคุณ:

 

healthmoon05

 

หากคุณรู้สึกว่านอนหลับยากขึ้นในช่วงที่พระจันทร์เต็มดวง มันเป็นแบบนั้นจริงๆไม่ใช่ว่าคุณคิดไปเอง จากการศึกษาเกี่ยวกับวงจรนาฬิกาชีวภาพของร่างกาย โดยการให้อาสาสมัครใช้เวลา 3 วันครึ่ง อยู่ในห้องแล็บทดลองเกี่ยวกับการนอนหลับ ซึ่งเป็นห้องที่ไม่มีนาฬิกา และอาสาสมัครก็จะไม่ได้เห็นแสงภายนอกใดๆเลย ในที่นั้น อาสาสมัครจะได้รับอนุญาตให้นอนหลับและตื่นขึ้นเหมือนกับเวลาปกติที่เขาเคยทำในกิจวัตรประจำวัน การวิจัยของสวิตเซอร์แลนด์ ได้เก็บข้อมูลการนอนหลับจากอาสาสมัครจำนวน 33 คน นำมาเปรียบเทียบกับระยะเวลาข้างขึ้นแรมของดวงจันทร์ ซึ่งก็ได้พบว่าในเวลา 4 วันของช่วงก่อนและหลังจากพระจันทร์เต็มดวง อาสาสมัครเหล่านี้จะต้องใช้เวลานานกว่าปกติ 5 นาที กว่าที่เขาจะสามารถหลับได้ตามปกติ นอกจากนี้ ผลการทดลองโดยรวมยังพบว่า ในคืนพระจันทร์เต็มดวง ยังทำให้เวลาการนอนของอาสาสมัครเหล่านี้น้อยลงกว่าที่เคยถึง 20 นาที และมีอัตราการหลับลึกได้น้อยกว่าปกติถึง 30% นอกจากนี้ พวกเขาก็ยังมีระดับคุณภาพการนอนหลับที่ด้อยลงอีกด้วยสิ่งนี้แสดงถึงการที่พระจันทร์มีผลต่อระดับฮอร์โมนเมลาโทนินของร่างกายเรา นี่คือการทดลองเพื่อระบุถึงความเกี่ยวโยงกันของการนอนหลับขอมนุษย์กับวงจรนาฬิกาข้างขึ้นข้างแรมของดวงจันทร์

 

การฟื้นตัวของร่างกายจากการผ่าตัด:

 

healthmoon04

 

จากการศึกษาเรื่องนี้พบว่า คนไข้ที่มีเคสผ่าตัดด่วนเกี่ยวกับโรคหัวใจที่เรียกว่า acute aortic dissection repair ซึ่งหมายถึงมีภาวะการฉีกขาดของหลอดเลือด หากมีการผ่าตัดเกิดขึ้นในระหว่างที่พระจันทร์เต็มดวง คนไข้จะใช้เวลาอยู่ในโรงพยาบาลหลังการผ่าตัดเป็นระยะเวลาที่สั้นกว่าและมีอัตราการเสียชีวิตน้อยกว่าคนไข้ที่ได้รับการผ่าตัดแบบเดียวกันในช่วงเวลาอื่นๆของการโคจรของดวงจันทร์ จากการศึกษาเมื่อปี 2013 ระบุว่า คนไข้ที่ได้รับการผ่าตัดระหว่างพระจันทร์เต็มดวง จะอยู่โรงพยาบาลเพื่อพักฟื้นหลังการผ่าตัดประมาณ 10 วัน ซึ่งสั้นกว่าอัตราเฉลี่ยของคนไข้ที่ได้รับการผ่าตัดแบบเดียวกันนี้ในช่วงเวลาอื่นๆของวงจรการโคจรของดวงจันทร์ ที่ปกติจะใช้เวลาประมาณ 14 วัน แต่ที่โชคร้ายก็คือ การที่เราเลือกไม่ได้ว่าร่างกายจะเกิดอาการของโรคหัวใจที่ว่านี้ขึ้นเมื่อไหร่

 

เล่ามาทั้งหมดถึงตอนนี้ ก็ทำให้นึกว่า ธรรมชาติทุกสิ่งมีความสำคัญ เพราะเป็นสิ่งที่มีผลต่อร่างกายและสุขภาพของเราทั้งสิ้น ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปเวลามองพระจันทร์ ก็คงจะบอกแต่ว่า “จันทร์เจ้า ขอข้าวขอแกง” อย่างเดียวไม่พอเสียแล้ว ใครมองพระจันทร์คืนนี้ อย่าลืมขอสุขภาพดีจากพระจันทร์ให้ตัวเราด้วยนะคะ

4 ข้อพลาดการไดเอ็ตที่เพิ่มไขมันหน้าท้องให้คุณ

 

คุณใช้ความพยายามอย่างมากเพื่อจะลดน้ำหนัก แต่ทำยังไงก็ยังไม่เห็นผลก้าวหน้าใดๆ บางทีอาจเป็นเพราะสิ่งที่คุณทำอยู่นั้นมีความเชื่อผิดๆบางอย่างแฝงอยู่ ทำให้มันพลาดไปก็ได้ เรามาทบทวนวิธีและความเชื่อที่คุณใช้ เพื่อฟื้นฟูระบบเผาผลาญอาหารและทำให้น้ำหนักตัวลดลงได้อย่างรวดเร็วและง่ายขึ้นด้วยกัน

 

1. เพราะบริโภคมื้อดึกทำให้อ้วนขึ้น:ไม่จริง” สาวกมื้อดึกคงจะยิ้มดีใจกับเรื่องนี้ ซึ่งเป็นความเชื่อผิดๆกันมานาน ความจริงคือในตอนกลางคืนร่างกายของเราไม่ได้มีการเก็บไขมันไว้มากกว่าเวลาอื่นๆของวันแต่อย่างใด แต่ชนิดอาหารที่เราบริโภคเข้าไปนั่นต่างหาก ที่จะทำให้เรามีน้ำหนักเพิ่มขึ้นหรือไม่ ไม่เกี่ยวกับเวลาที่เราบริโภคอาหาร การวิจัยล่าสุดพบว่า การบริโภคมื้อดึกไม่ได้เป็นสาเหตุของการมีน้ำหนักตัวเพิ่มมากขึ้น เรื่องนี้ถูกพิสูจน์โดยการทดลองกับอาสาสมัครที่ถูกแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรกจะถูกจัดให้บริโภคอาหารมื้อใหญ่เป็นอาหารเช้า ในขณะที่อีกกลุ่มหนึ่งจะถูกจัดให้บริโภคมื้อใหญ่ในช่วงเวลาหลัง 2 ทุ่มเป็นต้นไป ทำแบบนี้ต่อเนื่องเป็นระยะเวลา 6 เดือนก็พบว่า กลุ่มที่บริโภคมื้อใหญ่หลังจาก 2 ทุ่ม กลับสามารถลดปริมาณไขมันในร่างกายได้มากกว่ากลุ่มแรกที่บริโภคมื้อเช้าเป็นมื้อหนักถึง 10% และสามารถลดน้ำหนักได้มากกว่ากลุ่มแรกถึง 11% การทดลองนี้เป็นบทสรุปว่า มันไม่ได้เกี่ยวกับเวลาในการบริโภค แต่สิ่งที่เป็นปัญหาน้ำหนักเพิ่มขึ้นก็คือ การที่เราบริโภคอาหารที่มีแคลอรี่สูงนั่นต่างหาก ที่ทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นได้อย่างแน่นอน ไม่ว่าเป็นเวลาใดก็ตาม

 

healthdiet02

 

2. บริโภคมื้อเล็กๆบ่อยๆตลอดวันจะช่วยกระตุ้นระบบเผาผลาญอาหารได้ดีกว่า:ไม่จริง” ความช้าหรือเร็วของระบบการเผาผลาญอาหาร ไม่ได้ขึ้นอยู่กับจำนวนของมื้ออาหารที่เราบริโภคระหว่างวันว่าบ่อยแค่ไหน การบริโภคมื้อเล็กๆบ่อยๆอาจจะช่วยคุณไม่ให้บริโภคอาหารแต่ละมื้อในปริมาณมากเกินไป แต่ไม่ได้ช่วยให้คุณลดน้ำหนักได้เร็วขึ้นพราะร่างกายเผาผลาญได้ดีขึ้นตามที่คุณเชื่อแต่อย่างใด และก็ไม่ได้ให้ผลใดๆกับระบบการเผาผลาญอาหารของคุณด้วย

 

3. การบริโภคแต่อาหารแคลอรี่ต่ำตลอดเวลาจะช่วยให้ลดน้ำหนักได้เร็วกว่า: ไม่จริง” ถ้าคุณบริโภคอาหารที่มีแคลอรี่น้อยกว่าปริมาณแคลอรี่ที่ร่างกายต้องการใช้งานในแต่ละวัน อัตราการเผาผลาญอาหารของร่างกายคุณก็จะลดลงตามไปด้วย มันจึงทำให้ยากขึ้นที่คุณจะลดน้ำหนักลง จากการวิจัยพบว่า การไดเอ็ตที่บริโภคอาหารต่ำกว่า 1200 แคลอรี่ต่อวัน จะนำไปสู่อัตราการลดลงอย่างน่าวิตกของระบบการเผาผลาญอาหารของร่างกายหรือที่เรียกว่า Resting Metabolic Rate ( RMR)

 

healthdiet03

 

4. ร่างกายไม่ได้เผาผลาญแคลอรี่จากอาหารทั้งหมดได้เท่ากัน:จริง” ข้อสุดท้ายนี้แหละที่เป็นเรื่องจริงเพียงข้อเดียว เมื่อเราบริโภคอาหารเข้าไป ร่างกายของเราก็จะต้องย่อยอาหารหลายชนิดที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งความสามารถในการย่อยอาหารของร่ากายจะแบ่งออกคือ สำหรับกาหารที่ได้รับทั้งหมด มันจะสามารถเผาผลาญอโปรตีนได้ 20 – 30 % สามารถเผาผลาญคาร์โบไฮเดรตได้ 6 % และสามารถเผาผลาญไขมันได้เพียง 3% เท่านั้น เมื่อรู้แบบนี้ ทำให้สิ่งที่เราควรระลึกถึงเมื่อบริโภคอาหารก็คือ ควรจะโฟกัสไปที่การบริโภคโปรตีนให้มากกว่าอย่างอื่นในมื้ออาหาร เพราะมันเป็นสิ่งที่ร่างกายสามารถเผาผลาญได้เร็วกว่าแม้ว่าเราจะยังไม่ได้ไปออกกำลังกายใดๆเลย กระบวนการนี้ถูกรู้จักกันในชื่อว่า Thermal Effect of Food หรือ TEF ตัวอย่างเช่น ถ้าคุณบริโภคเนื้อไก่ที่มีแคลอรี่ 1,000 แคลอรี่ และบริโภคไอศกรีมที่มีแคลอรี่ 1,000 แคลอรี่เท่าๆกัน คุณก็จะมีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นเพราะไอศกรีม ไม่ใช่เนื้อไก่ที่ร่างกายได้เผาผลาญไปหมดแล้ว เพราะไอศกรีมที่บริโภคเข้าไป มันจะถูกเผาผลาญไปได้เพียงแค่ 3% เท่านั้น และที่เหลืออยู่ก็กลายเป็นไขมันสะสมอยู่ในร่างกายคุณนั่นแหละ เมื่อเทียบกับโปรตีนที่ถูกเผาผลาญไปแล้ว 20 – 30%

 

เล่ามาถึงตอนนี้ ก็คงทำให้คุณรู้ว่าต่อไปเราจะปรับเปลี่ยนวิธีบริโภคกันอย่างไร จะได้มีหุ่นสวยทันรับปีใหม่กันได้ทัน ทีนี้สวยแล้ว หุ่นดีแล้ว ก็เตรียมตัวมีความสุขกับเทศกาลงานฉลองที่จะมาถึงเร็วๆนี้กันได้เลยค่ะ

ไปเที่ยวทีไร…ทำไมเราถูกยุงกัดคนเดียวในกลุ่ม

 

เคยสงสัยไหมคะ ว่าเวลาไปเที่ยวกับเพื่อนๆทีไร ทำไมเราถึงได้โดนยุงกัดอยู่แค่คนเดียวในกลุ่ม ในขณะที่เพื่อนคนอื่นๆไม่มีใครโดนเลย เรื่องนี้มีข้อมูลน่าสนใจที่จะบอกได้ว่า สิ่งนี้ไม่ใช่เรื่องที่คุณคิดไปเองคนเดียว แต่มันมีเหตุผลทางสุขภาพรองรับสิ่งนี้ด้วย จากการศึกษาดร. โจเซฟ เอ็ม คอนลอน นักกีฏวิทยาของสหรัฐอเมริกา ได้เล่าถึงเรื่องนี้ว่า “ กรณีศึกษาเหล่านี้ ทำให้ไม่ต้องมีข้อสงสัยเลยว่า ทำไมคนบางคนถึงมีความดึงดูดสำหรับยุงที่จะเข้ามากัดพวกเขาได้มากกว่า นั่นเป็นเพราะการที่เรามีสารเคมีบางอย่างหลั่งออกมาทางผิวหนัง และมีกลิ่นหอมประจำตัวในผิวของแต่ละคนที่แตกต่างกันออกไป “ ซึ่งส่วนประกอบที่แตกต่างทางร่างกายนี้เอง ที่ทำให้คนๆหนึ่งกลายเป็นเป้าหมายยอดนิยมสำหรับยุงที่จะเข้ามาหา เนื่องจากมันได้พบแรงดึงดูดที่เกินห้ามใจจากร่างกายของคุณนั่นเอง สภาวะเหล่านี้มันคืออะไรบ้าง

 

คุณกำลังตั้งครรภ์:

ยุงที่กัดกินเลือดมนุษย์ คือยุงตัวเมีย มันมีคุณสมบัติพิเศษหนึ่งคือ มันมีความไวและชอบเป็นพิเศษกับการได้พบกับกาซคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งยุงตัวเมียนี้จะมีตัวรับประสาทสัมผัสพิเศษหรือ nerve receptor ที่จะเป็นเหมือนเครื่องให้มันตรวจจับกาซนี้ในสภาพแวดล้อม จากการศึกษาเมื่อปี 2002 ได้พูดถึงเรื่องนี้ว่า เมื่อผู้หญิงอยู่ในช่วงระยะเดือนท้ายๆของการตั้งครรภ์ ช่วงนั้นลมหายใจออกของผู้หญิง จะมีกาซคาร์บอนไดออกไซด์มากกว่าในช่วงเวลาที่เธอไม่ได้ตั้งครรภ์อยู่ถึง 21% การวิจัยนี้ได้ช่วยอธิบายว่า ทำไมผู้หญิงตั้งครรภ์ซึ่งเข้าร่วมในการทดลองนี้ จึงมีความดึงดูดสำหรับยุงมากขึ้นเป็นสองเท่า แต่เรื่องของกาซคาร์บอนไดออกไซด์ ก็อาจไม่ใช่แค่เหตุผลเดียวที่ทำให้คุณเป็นที่ชื่นชอบของฝูงยุงเหล่านี้ มันอาจจะเป็นเพราะว่าผู้หญิงที่ตั้งครรภ์จะมีกลิ่นพิเศษอื่นๆของร่างกาย ที่จะดึงดูดให้แมลงต่างๆเข้ามาหาเธอมากขึ้นก็ได้ นี่คือการระบุของ ดร.ลอรา แฮริงตัน อาจารย์คณะของมหาวิทยาลัยคอร์เนล ที่ออกมาสนับสนุนกรณีศึกษาดังกล่าว

 

ตัวของคุณเต็มไปด้วยเหงื่อ:

 

healthmos02

 

ถ้าหากทุกครั้งที่ไปออกกำลังกายกลางแจ้งแล้วถูกแมลงกัดจนคุณรำคาญ บางทีคุณอาจต้องเปลี่ยนสถานที่หรือวิธีออกกำลังกายมาเป็นแบบอยู่แต่ในห้องยิม หรือไม่ก็เปลี่ยนไปเข้าซาวน่าแทนแล้วละ ที่เป็นแบบนี้ก็เพราะสิ่งที่ร่างกายผลิตออกมาด้วยในช่วงออกกำลังกายก็คือกรดแลกติก มันเป็นสิ่งที่หลั่งออกมาปะปนกับเหงื่อเมื่อมีการออกกำลังกายที่หักโหม ซึ่งกรดนี้แหละที่จะเป็นแรงดึงดูดที่ฝูงยุงปรารถนา จากการระบุของคอนลอนบอกว่า เมื่อคุณมีเหงื่อออกจนเปียกชุ่มไปหมด และผสมกับอุณหภูมิที่สูงกว่าปกติของร่างกาย ทั้งหมดก็จะเป็นส่วนสำคัญ โดยเฉพาะความอุ่นที่เพิ่มขึ้นนี้ จะเป็นยิ่งดึงดูดยุงให้วิ่งเข้ามาหาคุณอย่างไม่ต้องรั้งรออะไรเลยทีเดียว

 

คุณมีเลือดกรุ๊ปโอ:

เหตุผลที่ยุงชอบเลือดกรุ๊ปนี้ มันก็เหมือนกับที่คุณชื่นชอบอาหารจานโปรดนั่นแหละ ยุงเหล่านี้ก็เลือกพื้นที่ๆจะตรงเข้าไปแลนดิ้งหาอาหารที่เจาะจงว่าเป็นพื้นที่ชื่นชอบของมันเหมือนกัน และอย่าลืมว่าการหาอาหารของมัน ก็คือการดูดเลือดของคุณผ่านทางเส้นเลือดนั่นเอง เรื่องนี้ได้มีการบอกไว้ในนิตยสาร Journal of Medical Entomology ว่าได้มีการพบว่า เจ้ายุงผู้กระหายเลือดนี้จะชื่นชอบเป็นพิเศษสำหรับผู้ที่มีเลือดกรุ๊ปโอ “ดังนั้น คนเลือดกรุ๊ปโอจึงมีลักษณะพิเศษ ที่ทำให้ยุงชื่นชอบกลิ่นของพวกเขาเป็นพิเศษกว่าเลือดกรุ๊ปอื่นๆ”

 

คุณเพิ่งดื่มมา:

 

healthmos03

 

รู้สึกไหมว่า เรื่องถูกยุงกัดเป็นเรื่องที่รบกวนในช่วงเวลา happy hour ของคุณในบาร์ทุกครั้ง แต่นั่นเป็นเพราะการมีแอลกอฮอล์ในร่างกาย อาจกระตุ้นให้คุณถูกยุงกัดได้มากขึ้น การศึกษาในอาฟริกาตะวันตก ได้ลองให้อาสาสมัครสองกลุ่มที่ดื่มเบียร์กลุ่มหนึ่งและหรือดื่มน้ำอีกกลุ่มหนึ่งนั่งในพื้นที่ๆมียุง ผลที่ออกมาพบว่า“ การดื่มเบียร์จะเพิ่มระดับแรงความดึงดูดใจในเลือดให้กับยุงที่จะอยากดูดเลือดคุณมากขึ้น” นอกจากนี้ ก็ยังมีการทดลองเล็กๆที่ทำขึ้นในประเทศญี่ปุ่นที่สนับสนุนเรื่องนี้ว่า ยุงจะเข้ามาหาคนที่ร่างกายได้มีย่อยสลายของแอลกอฮอล์เกิดขึ้นในระบบการย่อย

 

ยีนของคุณทำให้มีความดึงดูดมากกว่าคนอื่นๆ:

มีการวิจัยพบว่าเรื่องของพันธุกรรมอาจมีความเกี่ยวข้องกับสิ่งนี้ เช่นเดียวกับที่มันเกี่ยวข้องกับพฤติกรรมหลายๆอย่าง โดยกลุ่มนักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยในลอนดอนระบุว่า การผลิตสารเคมีในร่างกายของคนบางคน จะผลิตสารเคมีป้องกันยุงที่จะเข้ามาใกล้ๆ ในขณะที่บางคนกลับมีสารเคมีที่ดึงดูดยุงเหล่านี้ให้เข้ามาหา ซึ่งผลจากการทดลองที่เกิดขึ้น ได้ถูกระบุว่ามันเป็นเรื่องของการควบคุมโดยยีนพันธุกรรมในร่างกายของเรานั่นเอง

 

ทีนี้เวลาไปไหนกับเพื่อนแล้วเขาบ่นว่าเจอเหตุการณ์แบบนี้ ก็คงต้องทำความเข้าใจกับเขาหน่อยอย่าไปคิดว่าเขารู้สึกไปเอง หรือถ้าหากสิ่งนี้เกิดขึ้นกับตัวคุณ หรือคุณอยู่ในข้อระบุใดๆของเรื่องนี้ก็ตาม เวลาไปไหน ก็อย่าลืมเตรียมป้องกันตัวเองด้วยการเตรียมยาทากันยุงและเลือกเสื้อผ้าให้พร้อมรับสถานการณ์ด้วย ทีนี้เที่ยวไหนก็น่าจะเที่ยวได้สนุกขึ้นแล้วค่ะ

เลือกคอร์สนวดแบบไหน…ให้ช่วยแก้ไขสุขภาพ

 

ไหนๆก็มีแคมเปญช้อปช่วยชาติ อนุญาตให้เราไปนวดแล้วมาลดหย่อนภาษีได้ทั้งที ก็มาใช้แคมเปญนี้ให้มีประโยชน์กับสุขภาพกันดีกว่า ใครที่มีปัญหาเหนื่อยเครียดสะสมมานาน วันนี้เรามาใช้โอกาสไปนวดกันค่ะ ทีนี้ศาสตร์การนวดแต่ละอย่าง ก็จะช่วยบำบัดปัญหาสุขภาพได้ต่างกันออกไป จะเลือกอย่างไหนให้เหมาะกับเราดี

 

เทคนิคการนวดยอดนิยมของทั่วโลก เป็นศาสตร์ที่สืบทอดกันมานานและมีอารยธรรมที่น่าสนใจ ศาสตร์การนวดโดยผู้เชี่ยวชาญเหล่านี้ จะช่วยฟื้นฟูสุขภาพร่างกายจิตใจให้สงบผ่อนคลาย รวมทั้งช่วยบำบัดปัญหาการปวดตึงของกล้ามเนื้อให้คุณได้ ศาสตร์ชนิดไหนของชาติใดจะเหมาะกับปัญหาสุขภาพร่างกายแบบใด มาดูกัน!

 

เลือกศาสตร์การนวดให้ตรงความต้องการสุขภาพ

นี่คือศาสตร์นวดบำบัดยอดนิยมของทั่วโลกที่ให้ผลดีต่อสุขภาพ ลองดูซิว่าแบบไหนที่ตรงกับคุณ

 

ต้องการมีพลังทำงานมากขึ้น

เลือก: ศาสตร์การนวดกดจุดแบบจีน (Chinese acupressure )

เป็นศาสตร์การนวดกดจุดที่มีมาแต่ดั้งเดิม ที่ใช้เป็นแนวทางการรักษาโรคในยุคโบราณและสืบทอดมาถึงปัจจุบัน ศาสตร์นี้จะใช้ในรูปแบบของการใช้นิ้วและมือกดลงไปตามจุดพลังงานต่างๆของร่างกาย จุดเหล่านี้จะที่เป็นเสมือนแผนที่พลังงาน ซึ่งเมื่อกดลงไป ก็จะช่วยส่งผ่านพลังงานไปยังส่วนต่างๆของร่างกายได้ทั่วถึง เธอราพิสจะศึกษาและรู้จักจุดเหล่านี้อย่างดี และใช้มือกดลงไปเพื่อคลายความเครียดที่สะสม ปลดปล่อยให้พลังงานชีวิตหรือลมปราณหรือที่รู้จักกันในชื่อของพลังงานชี่ (qi energy) ไหลเวียนได้สะดวก พลังงานชี่จะไปกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิต, ออกซิเจนและสารอาหารที่จำเป็น ให้ไหลเวียนได้คล่องตัวขึ้น ทำให้คุณรู้สึกผ่อนคลายและมีชีวิตชีวา ในการนวดแบบนี้ คุณจะยังคงสวมเสื้อผ้าออยู่ และเธอราพิสก็จะนวดกดจุดไปทั่วร่างากายตามจุดเฉพาะต่างๆตามศาสตร์กำหนด

 

ต้องการฟื้นฟูภูมิคุ้มกันร่างกาย

เลือก: การนวดแบบสวีดิช ( Swedish massage)

อันนี้ไม่ใช่วิธีการนวดแบบกดตามจุด แต่เป็นการนวดโดยใช้นิ้วและฝ่ามือ กดลากเป็นแนวยาวไปตามร่างกายเราแบบที่เรียกว่า stroke วิธีลากมือไปตามแนวร่างกายแบบนี้ จะมีทั้งช่วงจังหวะแบบยาวและสั้น ร่วมกับการกดเพียงเบาๆ เป็นสไตล์การนวดสัมผัสแบบสวีเดนที่มีชื่อเสียงมานานว่าจะช่วยกระตุ้นให้ร่างกายเพิ่มภูมิคุ้มกันเชื้อไวรัสต่างๆได้ดีขึ้น โดยเฉพาะไวรัสที่เป็ณต้นเหตุของโรคหวัดและไข้หวัดที่มากับฤดูหนาว นอกจากนี้ การนวดแบบสวีดิช ยังสามารถช่วยพัฒนาระบบการไหลเวียนของโลหิต ช่วยระบายของเสียที่สะสมอยู่ออกไปจากร่างกาย และเพิ่มความกระปรี้ประเปร่าให้คุณได้ด้วย การนวดแบบสวีดิชนี้จะใช้การผสมผสาน ทั้งการกดลากมือเป็นแนวเส้นยาวๆไปตามร่างกาย, การกดนวดวนเป็นวงกลมตามจุดกล้ามเนื้อ และการตบเป็นจังหวะสั้นๆด้วยสันมือ ซึ่งจะไม่ทำให้รู้สึกเจ็บ ทรีทเมนท์จะครอบคลุมไปทั่วร่างกาย โดยใช้น้ำมันหอมระเหยทาบนผิวหนัง ซึ่งการทำทรีทเมนท์แบบนี้จะต้องถอดเสื้อผ้าและนอนบนเตียงโดยมีผ้าห่มผืนใหญ่คลุมไว้

 

ต้องการบำบัดอาการปวดตึงกล้ามเนื้อ

 

healthmass004

 

เลือก: การนวดแบบไทย (Thai massage)

เป็นการนวดแบบที่มีพื้นฐานมาจากโยคะของอินเดีย ซึ่งได้ถูกนำมาผสมผสานกับศาสตร์ดั้งเดิมของท้องถิ่น ซึ่งหลังจากการนวดแบบนี้แล้ว คุณจะรู้สึกว่าร่างกายได้มีการ “ยืดเส้น”และการ “ดัด” เกิดขึ้นในทุกๆส่วนต่าง ทำให้ความปวดตึงที่เคยมีจากอาการออฟฟิศซินโดรมบรรเทาลง ร่างกายเคลื่อนไหวสะดวกขึ้น โดยเฉพาะที่บริเวณรอบเอว กล้ามเนื้อหลังและที่ขาอ่อน การนวดแบบนี้ ยังช่วยให้ระบบการไหลเวียนของโลหิตและการส่งสารอาหารไปเลี้ยงยังส่วนต่างๆของร่างกาย มีการพัฒนาประสิทธิภาพที่ดีมากขึ้น ทำให้รู้สึกสดชื่นและกระฉับกระเฉงคล่องตัว การนวดแบบไทยจะนวดโดยให้คุณสวมใส่ชุดหลวมๆ ใช้เวลาการนวดราวๆ 60 -90 นาที และจะมีการเตรียมกล้ามเนื้อให้พร้อมก่อนรับการนวดดัดหรือยืดเส้นสาย โดยเธอราพิสจะเริ่มจากการใช้นิ้วและฝ่ามือกดไปตามจุดต่างๆและใช้เทคนิคการยืดเส้น เพื่อกระตุ้นเส้นและกล้ามเนื้อทั้งในแนวตรงและแนวขวางให้มีความพร้อมก่อน

 

ต้องการผ่อนคลายและยืดหยุ่นกล้ามเนื้ออย่างนุ่มนวล

 

helthmass003

 

เลือก: การนวดกดจุดแบบชิอัตสุ (Shiatsu) ของญี่ปุ่น

ชิอัตสุ ( Shiatsu) เป็นคำที่มาภาษาญี่ปุ่นสองคำด้วยกันคือ ชิ ( shi) ที่แปลว่านิ้ว และ อัตสุ ( atsu) ที่แปลวาการกด ทั้งสองคำนี้จึงอธิบายความหมายของเทคนิคการนวดนี้ได้เป็นอย่างดี ว่าหมายถึงการใช้นิ้วกดเบาๆอย่างนุ่มนวลร่วมกับการนวดเพื่อให้ร่างกายมีความยืดหยุ่นของเส้นและกล้ามเนื้อส่วนต่างๆ ซึ่งการนวดแบบนี้จะแตกต่างจากการนวดแบบไทยตรงที่นุ่มนวลกว่าและไม่มีการดัดร่างกาย ถ้าเปรียบเทียบการนวดแบบนี้ก็จะคล้ายกับการเข้าคลาสโยคะแบบเล็กๆ ที่จะช่วยให้ผ่อนคลายกล้ามเนื้อที่ใช้งานมานานจนมความตึงตัว ในระหว่างทรีทเมนท์การนวด จะให้คุณจะสวมชุดสบายๆ และจะนวดด้วยท่านั่งหรือนอนที่หลากหลาย เธอราพิสจะใช้ฝ่ามือ นิ้วมือ กดตรงๆลงไปตามจุดเฉพาะต่างๆ ตามที่ได้ระบุในศาสตร์ชิอัตสุของญี่ปุ่น ซึ่งการกดนี้จะเป็นการ “ เปิดช่อง” ให้กระแสพลังงานภายในร่างกายหมุนเวียนได้สะดวกขึ้น หลังจากการนวดแบบนี้คุณจะรู้สึกว่าร่างกายเบาสบายขึ้นเพราะมันจะช่วยพัฒนาความยืดหยุ่นของร่างกายและระบบไหลเวียนของโลหิต

 

ต้องการบรรเทาความเครียดปวดศีรษะ

 

healthmass002

 

เลือก: การนวดศีรษะแบบอายุรเวท (Ayurveda Head Massage) ของอินเดีย

การนวดศีรษะแบบอายุรเวท (Ayurveda head massage) เป็นศาสตร์ดั้งเดิมของอินเดียโบราณ จะใช้เทคนิคการนวดโดยใช้นิ้วกดนวดไปทั่วทั้งศีรษะ ใบหน้า ลำคอและไหล่ เพื่อคลายความเมื่อยล้าสะสมที่มาจากความเครียดของระบบประสาทที่ทำให้เกิดอาการปวดศีรษะจากความเครียดของจิตใจ ซึ่งในระหว่างการนวด คุณจะรู้สึกสบายๆเหมือนนอนสระผมบนเตียง ต่างกันตรงที่เทคนิคการนวดของเธฮราพิส ที่จะใช้ฝ่ามือนิ้วหัวแม่มือกดไปตามจุดต่างๆในจังหวะหนักเบาต่างกัน บางครั้งอาจจะมีการดึงเส้นผมเบาๆเพื่อกระตุ้นหนังศีรษะให้ตื่นตัว สิ่งที่ควรรู้ก็คือจะมีการใช้น้ำมันหอมชโลมที่หนังศีรษะด้วยในการนวด ดังนั้น หลังจากการนวดแบบนี้ คุณอาจรู้สึกว่ามีความมันที่ศีรษะเล็กน้อยซึ่งอาจไม่สะดวกในการไปงานหรือทำภารกิจอื่นๆ แต่จะบอกให้ว่า มันเป็นการนวดที่ช่วยปลดปล่อยความเครียดออกไปจากหัวของเราได้ดีคุ้มค่าทีเดียว

 

ทั้งหมดนี้แหละค่ะที่เป็นศาสตร์การนวดที่ถูกจัดอันดับว่าได้ผลดีที่สุดของชาติต่างๆในโลก และในสปาระดับอินเตอร์ของบ้านเราก็จะมีคอร์สนวดเหล่านี้ให้บริการเป็นพื้นฐาน แค่เลือกให้ตรงความต้องการของคุณเท่านั้น ก็จะช่วยให้ผลดีต่อสุขภาพ บำบัดความเครียดให้พร้อมจะกลับไปทำงาน หรือจะกลับไปจัดการกับใบเสร็จอาบอบนวดช้อปช่วยชาติของใครก็เบาๆหน่อยละกัน เดี๋ยวเส้นสายที่เพิ่งคลายจะกลับมาตึงปวดอีก ยังไงก็ขอให้ได้ยืดเส้นยืดสายสุขภาพดีกันทุกคนนะคะ

รู้จักไลฟสไตล์เปลี่ยนคุณให้ดูเด็กลง

 

ก็ในเมื่อไม่มีใครอยากดูแก่ ก็ต้องมาเรียนรู้ไลฟสไตล์สุขภาพและความงามที่จะทำให้คุณดูเด็กลงด้วยกัน

 

เคยไหมคะเวลาไปงานเลี้ยงรวมรุ่นแล้วจะแอบนึกว่า เพื่อนคนนี้เจอทีไรก็ยังดูสวยเด็กทุกที หรือเพื่อนคนนี้ไปทำอะไรมาถึงหน้าตาผมเผ้าไปหมดขนาดนั้น ก็งานแบบนี้แหละจะบอกว่าใครดูแลตัวเองได้ดีแค่ไหน

 

แน่นอนที่ถึงเราจะไม่สามารถหยุดเวลาได้ แต่เราสามารถหมุนนาฬิกากลับไปให้มีเส้นผม มือและผิวพรรณที่ยังดูอ่อนเยาว์กว่าวัยจริงได้ โดยที่คุณไม่ต้องทำศัลยกรรมความงาม หรือซื้อทรีทเมนท์แพงๆ หรือต้องพึ่งผลิตภัณฑ์เสริมอาหารหรือโลชั่นแบรนด์ใดๆ แค่ตรวจสอบพฤติกรรมไลฟสไตล์ประจำวัน และเพิ่มเรื่องง่ายๆเหล่านี้ในชีวิตประจำวันเท่านั้นเอง

 

 

1. เลิกใช้อุปกรณ์แต่งผมที่ใช้ความร้อน: เส้นผมที่ดูเด็กลงคือผมที่มีสปริงยืดหยุ่นและเงางามเป็นประกาย แต่การใช้คีมหนีบผมหรืออุปกรณ์ม้วนลอนผมที่ต้องใช้ความร้อนสูงๆ จะทำให้เส้นผมเสียหายหรือแตกหักได้ง่ายๆ ”

 

เพื่อความสวยย้อนเวลา: ให้เส้นผมได้พักจากการใช้เครื่องเป่าผมที่ร้อนจัด โดยการปล่อยให้ผมแห้งเองตามธรรมชาติ

 

 

2. ใช้ผลิตภัณฑ์กันแดดกับผิวทุกๆวัน: การทาครีมกันแดดทุกวันจะช่วยป้องกันผิวจากความเสี่ยงโรคมะเร็งผิวหนัง จากการศึกษาพบว่าคนที่ทาครีมกันแดด 2-3 วันในหนึ่งสัปดาห์ จะมีความเสี่ยงจากการที่ผิวจะเกิดความชราได้มากกว่าคนที่ทาครีมกันแดดประจำทุกๆวันถึงสองเท่า

 

เพื่อความสวยย้อนเวลา: ผลิตภัณฑ์กันแดดที่มีค่า SPF30 เป็นค่ากันแดดที่เหมาะสมที่แพทย์ผิวหนังแนะนำ ควรทามันทุกๆวันไม่ว่าจะฝนตกหรือแดดออกก็ตาม และให้ใช้มันบ่อยครั้งกว่าที่คุณคิดว่าต้องการ ที่เป็นแบบนี้เพราะคนส่วนใหญ่มักใช้ครีมกันแดดแค่ปริมาณเพียง 1 ใน 4 ของปริมาณที่ถูกแนะนำว่าควรจะใช้ในชีวิตจริงอยู่บ่อยๆ กฎที่ควรจำของปริมาณครีมกันแดดก็คือ ครั้งละ 2 ข้อนิ้วโดยทาให้คลุมพื้นที่ผิวให้ทั่ว ทิ้งไว้ให้ซึมสู่ผิวสักคครู่แล้วค่อยทาซ้ำจนได้ปริมาณที่เหมาะสม

 

 

healthlife004

 

 

3. ทาโลชั่นที่มือของคุณด้วย: ผิวที่หลังมือมีความบอบบางมาก และเสี่ยงที่จะเกิดริ้วรอยบอกวัยได้มากที่สุดเมื่อเทียบกับผิวในส่วนอื่นๆของร่างกาย เมื่ออากาศที่แห้งขโมยความชุ่มชื้นไป ผิวมือของคุณก็จะดูแก่กว่าที่มันควรจะเป็น การใช้โลชั่นจะช่วยเรื่องนี้ได้ เลือกโลชั่นที่มีส่วนผสมของสารกันแดด เพื่อช่วยลดความเสียหายของผิวจากแสงแดดที่ทำให้หลังมือคุณเป็นจุดสีน้ำตาลและริ้วรอยต่างๆ

 

เพื่อความสวยย้อนเวลา: อย่าลืมทามอยซ์เจอร์ที่มีค่ากันแดด SPF30 ที่หลังมือคุณทุกเช้าเพื่อเพิ่มความชุ่มชื่น

 

 

4. เลี่ยงอาหารที่ทำให้เกิดคราบฟัน: ฟันสีขาวบ่งบอกสัญญาณของสุขภาพดีและความเยาว์วัย อาหารที่มีสีคล้ำ, อาหารร้อนจัด, อาหารที่เหนียวเกินไป หรือซอสอย่างเช่นซอสบาร์บีคิว ก็เสี่ยงสูงมากที่จะทำให้เกิดคราบฟันเป็นสีคล้ำ เครื่องดื่มอย่างไวน์แดง, กาแฟและโคลา ก็ถูกระบุว่าทำให้เกิดคราบสีคล้ำที่ฟันได้ด้วยเช่นกัน

 

เพื่อความสวยย้อนเวลา: ป้องกันฟันของคุณจากการเกิดคราบได้ไม่ยาก ทั้งยังสามารถบริโภคอาหารได้อร่อยอีกด้วย แทนที่จะใช้บาร์บีคิวซอสคู่กับอกไก่ ก็เปลี่ยนมาใช้เป็นซอสมะม่วงซัลซาหรือสมุนไพรต่างๆแทน ก็จะได้คุณค่าโภชนาการมากกว่าด้วย หรือเปลี่ยนจากการดื่มเครื่องดื่มโซดาสีเข้มๆมาเป็นแบบใสแทน

 

 

healthlife005

 

 

5. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ: การออกกำลังกาย จะช่วยพัฒนาระบบไหลเวียนของเหลวภายในร่างกาย ทำให้ผิวดูดีขึ้น รวมไปถึงผิวรอบดวงตาของเราด้วยที่จะลดการบวมและรอยคล้ำลงได้ นอกจากนี้ ยังมีการศึกษาจากมหาวิทยาลัยแมคมาสเตอร์ในประเทศแคนาดาที่พบว่า การออกกำลังกาย จะช่วยย้อนเวลาของผิวที่ดูชราให้เยาว์วัยลงได้ด้วย นอกจากจะได้รูปร่างที่ดีแล้ว ก็จะยังได้ผิวพรรณที่ดีขึ้นจากกิจกรรมนี้

 

เพื่อความสวยย้อนเวลา: ให้นึกถึงข้อดีที่ว่านี้เพื่อจะออกกำลังกายให้ได้ 30 นาทีต่อวันในทุกๆวัน

 

 

6. จำกัดปริมาณโซเดียมแต่ละวัน: การบริโภคอาหารเค็มปริมาณมากเกินไป จะทำให้คุณตัวบวมเพราะร่างกายเก็บกักน้ำส่วนเกินเอาไว้ ทำให้ดูบวมฉุไปทั้งตัวโดยเฉพาะที่ผิวใต้ตา

 

เพื่อความสวยย้อนเวลา: กำจัดอาการท้องอืดด้วยการตระหนักถึงปริมาณโซเดียมที่แฝงอยู่ในอาหารที่คุณบริโภคเข้าไป เพราะมันจะมีเกลือเป็นส่วนผสมอยู่ทุกหนทุกแห่ง ทั้งในขนมปัง, ซีเรียล, เครื่องปรุงอาหาร, ซอสต่างๆ, ผลิตภัณฑ์อาหารจากเนื้อสัตว์, และแม้แต่ในขนมหวานเบเกอรี่หลายๆชนิดก็เต็มไปด้วยเกลือ

 

 

7. คุมพฤติกรรมติดมือถือให้ได้: การก้มหน้าพิมพ์ข้อความในมือถือ หรือก้มดูเฟสบุคนานๆ จะทำให้เกิดริ้วรอยย่นที่ผิวบริเวณคอ และหากคุณก้มแบบนี้เป็นประจำเป็นเวลานานๆ ริ้วรอยนั้นก็จะเป็นริ้วรอยถาวร

 

เพื่อความสวยย้อนเวลา: ลองสังเกตดูว่าคุณพิมพ์ข้อความบนมือถือมากที่สุดที่ไหน ที่ออฟฟิศ, ในรถไฟฟ้า จากนั้นให้เอารูปของแฟน หรือรูปครอบครัว หรือสถานที่ๆคุณไปมาแล้วชอบ มาไว้ที่ระดับที่จะเงยหน้าขึ้นมามองมันบ่อยๆในขณะที่กำลังพิมพ์ข้อความในมือถือ

 

 

8. ใช้น้ำยาบ้วนปากทุกวัน: ถ้าคุณทำแบบนี้อยู่แล้วละก็ ถือว่ามาถูกทางแล้วละ น้ำยาบ้วนปากจะช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรียในซอกฟัน ทั้งช่วยทำความสะอาดเหงือกของคุณให้คุณมีฟันที่สวยสะอาด และเหงือกเป็นสีชมพูสวย ซึ่งตรงข้ามกับเหงือกสีแดงที่เป็นสัญญาณของโรคเหงือก

 

เพื่อความสวยย้อนเวลา: เลือกน้ำยาบ้วนปากที่ปลอดจากแอลกอฮอล์ และควรเป็นสารที่มีส่วนประกอบของธรรมชาติ

 

 

9. บริโภคอาหารที่มีโปรตีนสูง: หากคุณต้องการให้เส้นผมมีสุขภาพดี ก็ต้องเริ่มจากพื้นฐาน นั่นคือการบริโภคอาหารอุดมด้วยโปรตีน เพื่อรักษาสมดุลการผลิตเส้นผมของร่างกาย เพราะโปรตีนเป็นสารอาหารที่จะช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของเส้นผม

 

เพื่อความสวยย้อนเวลา: ผู้หญิงควรบริโภคโปรตีนให้ได้ 46 กรัมต่อวัน และมากกว่านี้หากคุณตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร หรือเป็นนักกีฬาที่กำลังจะเตรียมเข้าแข่งขัน ตัวอย่างอาหารโปรตีนที่แนะนำเช่น ปลาแซลมอน 3 ออนซ์จะมีโปรตีน 22 กรัม ในขณะที่นมไขมันต่ำหนึ่งแก้วจะให้โปรตีน 8 กรัม

 

 

healthlife002

 

 

10. อย่าแปรงผมขณะเปียก: ถ้าคุณเลิกใช้ที่เป่าผมแบบร้อน ทั้งบริโภคโปรตีนมากขึ้น แต่เส้นผมของคุณยังบางและดูลีบแบนสีหม่นหมอง ไม่เป็นประกายเงางามแล้วละก็ คงต้องโทษพฤติกรรมหลังการสระผมของคุณ ว่าเป็นสาเหตุของปัญหานี้ นั่นคือการแปรงผมในขณะที่มันยังเปียกอยู่ซึ่งเส้นผมอยู่สภาวะที่อ่อนแอที่สุด สามารถทำให้เกิดความเสียหายที่นำไปสู่เส้นผม

 

เพื่อความสวยย้อนเวลา: อย่าแปรงผมขณะที่มันยังเปียกอยู่ หลังสระผมเสร็จ ให้ใช้หวีซี่ห่างๆที่มีปลายของซี่หวีแบบทื่อไม่แหลมคม หวีเบาๆทั่วศีรษะให้ผมไม่พันกัน

 

 

11. บริโภคผักใบสีเขียว: ผักเหล่านี้เป็นเหมือนแปรงสีฟันธรรมชาติ ทั้งยังอุดมด้วยไฟเบอร์เช่นผักโขม ผักกาด กะหล่ำและบร็อคโคลี จะช่วยทำความสะอาดฟัน ไฟเบอร์ของมันยังช่วยป้องกันคราบพลัคที่จะมาติดเคลือบฟันได้อีกด้วย นอกจากนี้ ยังช่วยให้ผิวสวยสดใสหากคุณบริโภคให้ได้วันละ 3 ครั้ง

 

เพื่อความสวยย้อนเวลา: ควรบริโภคผักผลไม้สดให้ได้สองถ้วยครึ่งต่อวัน นี่คือปริมาณที่นักโภชนาการแนะนำสำหรับผู้หญิงที่มีอายุน้อยกว่า 40 ปี

 

 

12. ควบคุมความเหนื่อย: ความเหนื่อยล้าไม่เพียงแต่จะทำให้คุณวุ่นวายในใจเท่านั้น แต่มันยังแสดงผลออกมารูปลักษณ์ภายนอกของคุณอีกด้วย นั่นคือสภาพผิวที่เกิดการแพ้ เป็นสิวรวมถึงอาการผื่นแพ้ต่างๆของผิวหนัง

 

เพื่อความสวยย้อนเวลา: จากการศึกษาพบว่า การเข้าสังคมและการอยู่ในโลกออนไลน์ มีบทบาทอย่างมากเกี่ยวกับความเหนื่อยล้านี้ ให้แน่ใจว่าคุณจัดเวลาได้เหมาะสมระหว่างการอยู่ในหมู่เพื่อนฝูงกับการพักผ่อน

 

 

healthlife003

 

 

13. นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ: เมื่อเราได้หลับลึก ร่างกายจะผลิตฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรนที่มีคุณภาพได้ดีกว่า ซึ่งฮอร์โมนเหล่านี้ จะช่วยระบบการซ่อมสร้างของผิวหนังให้ทำงานได้ดีขึ้น ทำให้ผิวสวยสดใสในตอนเช้า ทั้งฮอร์โมนคุณภาพนี้ ก็ยังช่วยป้องกันการเกิดสิวได้อีกด้วย

 

เพื่อความสวยย้อนเวลา: หากคุณชอบอยู่ดึกเพื่อดูรายการโปรด ก็ให้จำกัดเวลาการดูและทำตามอย่างเคร่งครัด พยายามหาสิ่งผ่อนคลายทำ เพื่อให้คุณรู้สึกสงบจากความตื่นเต้นของรายการที่เพิ่งจบไป เช่นอาจดื่มนมอุ่นๆที่ผสมน้ำผึ้งเล็กน้อยสักแก้ว ก็จะช่วยให้หลับสบายขึ้น

ปฏิบัติการเพิ่มผลกำไรให้กับมื้อเจ

 

ช่วงสัปดาห์สุดท้ายของเดือนตุลาคมที่เป็นช่วงของการกินเจ นอกจากเรื่องกลัวจะขาดสารอาหารแล้ว ก็มีหลายคนที่พูดให้ได้ยินว่า มีมื้อเจบางมื้อที่พอบริโภคแล้วก็รู้สึกว่าท้องอืด แน่นท้อง หรือถ้าขั้นหนักหน่อยก็ปวดท้องเป็นตะคริวในช่วงเวลาสั้นๆหลังจากบริโภคอาหารมื้อเที่ยง ก็เลยอยากจะมาเล่าให้ฟังเพื่อให้ได้เรียนรู้เรื่องนี้ ที่สาเหตุหนึ่งอาจมาจากการที่เราได้นำอาหารที่ไม่มีความลงตัวในศาสตร์ของการผสมผสานอาหารมารวมเข้าไว้ด้วยกันนั่นเอง

 

 

เรื่องราวของศาสตร์แห่งการผสมผสานอาหารหรือ food combination คือการรวมกันของความรู้ทางวิทยาศาสตร์ของโภชนาการ เพื่อให้เราเข้าถึงสภาวะทางเคมีของอาหารที่บริโภคเข้าไปและมันถูกจับให้ผสมผสานกันในกระบวนการย่อย การจับคู่อาหารที่มีส่วนประกอบสอดคล้องกัน ก็จะทำให้ร่างกายได้รับประโยชน์สูงสุด ได้พลังงานเต็มที่และมีการย่อยสลายของอาหารที่ดีกว่า ทั้งในเรื่องอัตราส่วนของสารอาหารที่ถูกย่อย และความหลากหลายของเอนไซม์ที่จะได้รับก็ครบถ้วนกว่าด้วย

 

 

กฎของการผสมผสานอาหาร ( Food Combination Rules)

 

healthvegetable003

 

สิ่งที่ควรรู้ก็คือ ร่างกายของเรามีความสามารถในการย่อยอาหารแต่ละชนิดได้ไม่เท่ากัน การเข้าใจการผสมผสานอาหารเบื้องต้นข้อนี้จะช่วยลดปัญหาให้ง่ายขึ้น และความสามารถในการย่อยอาหารของแต่ละคนก็ไม่เท่ากันด้วย ในขณะที่บางคนสามารถย่อยอาหารที่บริโภคเข้าไปได้ง่ายๆไม่มีปัญหา แต่ระบบการย่อยของบางคนก็เกิดการสะดุด และมีอาการท้องอืดเมื่อบริโภคอาหารที่ไม่ได้มีการผสมผสานตามหลักที่เหมาะสมนั้นๆ กฎง่ายๆของการผสมผสานอาหารก็คือ: 1. หากคุณรู้สึกว่ากินเจแล้วท้องอืด ก็ไม่ควรผสมผสานอาหารแป้งและโปรตีนเข้าด้วยกัน เพราะจะทำให้ระบบการย่อยทำงานช้าลง ทั้งอาจทำให้เกิดการหักล้างกันของสารอาหารที่มีประโยชน์ที่เกิดขึ้นได้โดยไม่ตั้งใจ ด้วยเหตุนี้ จึงควรให้เวลาในการวางแผนผสมผสานอาหาร และควรมีออกแบบล่วงหน้าหากอาหารมื้อนั้นของคุณมีแป้งหรือโปรตีนเป็นส่วนประกอบหลัก 2.หลังจากที่รู้ว่าส่วนประกอบหลักของอาหารจานนั้นของคุณคืออะไรแล้ว ก็สามารถเติมผักลงไปได้หลากชนิดตามที่คุณชอบ แต่ให้เก็บผักที่เป็นกลุ่มแป้งอย่างเช่นมันฝรั่ง ข้าวโพด มันต่างๆ ควินัว ฯลฯ เอาไว้ใช้สำหรับเมนูที่เป็นแป้งเป็นหลักเท่านั้น ไม่ควรนำมันมาผสมผสานกับเมนูที่ใช้โปรตีนเป็นหลัก 3. ให้บริโภคผลไม้ต่างๆแยกออกมาต่างหาก ไม่ควรผสมผสานมันเข้าไปในอาหารจานนั้น และควรบริโภคก่อนหรือหลังมื้ออาหารของคุณเป็นเวลาครึ่งชั่วโมง

 

 

อย่างไรก็ตาม คุณไม่จำเป็นต้องทำตามกฎเหล่านี้ตลอดเวลา แต่ให้นึกถึงมันเอาไว้ในช่วงระหว่างวัน เมื่อคุณต้องการตัวช่วยพิเศษเกี่ยวกับเรื่องของระบบการย่อยที่ดี

 

 

ความเหนื่อยล้าประจำวันกับระบบลำไส้ของคุณ:

มีการศึกษาหนึ่งตั้งข้อสังเกตว่า ความเหนื่อยล้า คือสาเหตุหนึ่งของการชลอตัวลงของแบคทีเรียชนิดดีที่มีในระบบการย่อย และในเดียวกัน ความเหนื่อยนี้ก็จะไปเพิ่มจำนวนแบคทีเรียชนิดเลวที่เป็นสาเหตุของการติดเชื้อให้มากขึ้นด้วย และเมื่อสุขภาพที่ดีของระบบย่อยอาหารของร่างกายมีบทบาทสำคัญกับความงาม สิ่งนี้จึงส่งผลไปถึงผิวพรรณที่ดูสวยกระจ่างใส, น้ำหนักตัวที่เหมาะสม, อารมณ์รื่นรมย์มีความสุข, และระบบภูมิคุ้มกันที่ดี เมื่อทุกอย่างต่อเนื่องกันไปหมด นอกจากการวางแผนการกินเจเพื่อให้ได้สุขภาพที่ดีแล้ว จึงสำคัญที่เราจะต้องวางความเหนื่อยล้าจากพฤติกรรมที่ทำอยู่เป็นประจำทุกวันลงให้ได้ ด้วยการฝึกหัดหาพื้นที่สงบผ่อนคลายให้กับชีวิตของเราด้วยในแต่ละวัน พื่อให้ระบบการย่อยมีประสิทธิภาพไม่เกิดการแปรปรวน

 

 

เติมขมิ้นและพริกไทยดำลงในเมนูเจ:

 

healthvegetable004

 

ขมิ้นและพริกไทยดำ เป็นเครื่องเทศสองชนิดที่ไม่ได้ถูกห้ามในการกินเจ และเมื่อสองสิ่งนี้มาอยู่คู่กัน ก็จะเกิดผลดีต่อสุขภาพเพิ่มขึ้นกว่าการอยู่เดี่ยวๆอย่างมาก เพียงผงขมิ้นป่นจำนวนเล็กน้อยถูกโปรยลงในอาหาร ก็จะไปเติมผลกำไรแห่งความงามที่สำคัญๆให้คุณอย่างมากมาย รวมถึงช่วยลดการติดเชื้อและช่วยเพิ่มปริมาณของสารต้านอนุมูลอิสระให้ด้วย และหากคุณใช้มันร่วมกับพริกไทยดำป่นแล้วละก็ การศึกษาพบว่ามันจะเพิ่มการดูดซึมคุณสมบัติดีๆของขมิ้นที่จะเข้าสู่ร่างกายให้มากขึ้นอย่างมหัศจรรย์ถึง 2000 % เลยทีเดียว แม้จะเป็นพริกไทยดำป่นเพียงเล็กน้อยที่ถูกผสมลงไป นี่คือเคล็ดลับความงามและสุขภาพดีที่ทำได้ไม่ยากในการกินเจนี้

 

 

เติมพลังเตรียมรับฤดูหนาวให้สมูตตี้เจ:

เพิ่มพลังให้กับสมูตตี้หวานๆง่ายๆแบบธรรมดาที่เคยดื่มในช่วงหน้าร้อน เพื่อเตรียมพร้อมร่างกายให้รับมือกับสภาวะอากาศที่กำลังจะเปลี่ยนเข้าสู่ฤดูหนาว ด้วยการเติมเมล็ดเจีย ( chia seed) 1-2 ช้อนโต๊ะ ลงในสมูตตี้รสโปรดของคุณทุกๆแก้ว วิธีนี้จะเพิ่มพลังให้กับร่างกาย ทั้งยังทำให้คุณมีผิวพรรณที่ดีขึ้นในช่วงหน้าหนาวนี้ด้วย เมล็ดเจียอุดมด้วยกรดไขมันที่มีประโยชน์สำหรับผิวสวย ช่วยต้านการติดเชื้อและฟื้นฟูแร่ธาตุในร่างกาย ทั้งยังมีคุณสมบัติช่วยให้คลายความเหนื่อยล้า แค่คุณบริโภคมันให้ได้ในปริมาณ 4 ช้อนโต๊ะต่อวัน

 

 

เตรียมร่างกายให้พร้อมกับมื้อเจ:

กุญแจสำคัญที่จะนำไปสู่ระบบการย่อยที่พร้อมและการมีผิวพรรณเปล่งปลั่งสดใส ก็คือการที่จะต้อง “ตั้ง”ระบบการย่อยที่ดีให้กับตัวเองก่อนมื้ออาหาร ด้วยการดื่มน้ำสะอาดอุณหภูมิห้อง 15 นาทีก่อนที่จะบริโภคอาหาร การทำแบบนี้จะช่วยเพิ่มความชุ่มชื่นให้กับลำไส้และระบบการย่อยของคุณ และนอกจากนี้ คุณต้องตัดจากการวุ่นวายกับคอมพิวเตอร์ สมาร์ทโฟน ทีวี และความเหนื่อยล้าทั้งหมดที่เกิดขึ้นในช่วงทำงานก่อนหน้านี้ด้วย ก็แค่หายใจลึกๆเพื่อลดความเหนื่อยล้าที่มีอยู่ และใช้ชีวิตกับปัจจุบันว่านี่คือถึงเวลาอาหารที่คุณต้องหยุดคิดเรื่องงานได้แล้ว เมื่อทำแบบนี้ได้คุณก็จะสามารถนั่งลงที่ร้านและเลือกอาหารที่ดีต่อร่างกายได้ โดยปราศจากอารมณ์ด้านลบมาทำให้เกิดความผิดพลาด ลองทำแบบนี้ทุกครั้งก่อนนั่งลงบนโต๊ะอาหารสักสัปดาห์ แล้วจะสังเกตพบความแตกต่างของระบบการย่อยที่ดีขึ้นไม่ว่าจะเป็นมื้อใดก็ตาม

 

 

บริโภคผักในตระกูลกะหล่ำให้มากขึ้น:

 

healthvegetable005

 

ผักกะหล่ำชนิดต่างๆ รวมทั้งบร็อคโคลี, กะหล่ำปลี, ผักกวางตุ้ง ฯลฯ เหล่านี้ถูกจัดว่าเป็นอาหารซูเปอร์ฟู้ดของความงาม และทำให้มีสุขภาพดี ช่วยลดความเสี่ยงของโรคร้ายต่างๆให้กับผู้หญิง เพราะผักในตระกูลนี้มีสารชื่อว่า ไอโซไธโอไซยาเนท (isothiocyanates) ซึ่งจะไปช่วยกระตุ้น Nrf2 ในร่างกาย ซึ่ง Nrf2 นี้ คือโปรตีนในเซลล์ของร่างกาย ที่เป็นตัวช่วยกระตุ้นให้เกิดการขจัดสารพิษ ต่อต้านการเกิดอนุมูลอิสระและการอักเสบติดเชื้อต่างๆในเซลล์ ปัจจุบัน สารนี้ได้รับความสนใจอย่างกว้างขวางในวงการอุตสาหกรรมยา ว่ามันอาจเป็นตัวช่วยของร่างกายในแนวทางป้องกันโรคต่างๆได้ นอกจากนี้ ผักในตระกูลกะหล่ำก็ยังช่วยขจัดฮอร์โมนเอสโตรเจนส่วนเกินของร่างกาย ที่จะไปเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็งเต้านมและมะเร็งรังไข่ได้อีกด้วย

 

 

จิบชาสมุนไพรช่วยระบบการย่อย:

อย่าลืมตุนชาสมุนไพรไว้ในครัวเพื่อช่วยระบบการย่อยอาหาร สิ่งนี้ยังช่วยให้มีผิวพรรณเปล่งปลั่ง เลือกชาขิงออร์แกนิก ที่มีสารช่วยการผ่อนคลายของกระเพาะอาหาร และช่วยคลายอาการของอาหารไม่ย่อย หรือคุณอาจทำชาสมุนไพรนี้ด้วยตัวเอง โดยผสมเมล็ดยี่หร่า (fennel) เข้ากับผงลูกกระวาน ( cardamom) และผงขิงอบแห้งที่หาซื้อได้ในซูเปอร์มาร์เก็ตทั่วไป จากนั้นนำส่วนผสมทั้งหมดมาใส่ลงในชาแดงหรือ ( rooibos tea)ที่ปลอดคาเฟอีนและอุดมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ

 

 

ยืดหยุ่นกับการเตรียมอาหารเจ:

 

healthvegetable002

 

หลายคนบอกว่า การเตรียมอาหารเจเป็นเรื่องยุ่งยาก ซึ่งถ้าจะพูดอย่างซื่อสัตย์ เราก็ต้องยอมรับว่า ไม่มีใครสนุกกับการต้องเตรียมและทำอาหารประจำวัน เมื่อคุณรู้สึกเหนื่อยและไม่มีแรงบันดาลใจ ไม่ว่าจะเป็นการเตรียมอาหารเจหรืออาหารธรรมดาๆ เพราะมันเป็นเวลาที่คุณต้องการพักผ่อนมากกว่า แต่ในขณะเดียวกัน ร่างกายของเราก็ต้องการอาหารที่มีประโยชน์ สิ่งที่จะทำให้คุณประนีประนอมกับสองเรื่องนี้ได้ก็คือ การหาข้อมูลร้านอาหารเจที่มีคุณภาพดีจริงๆ หรือซื้อผักผลไม้สดแบบที่เตรียมพร้อมปรุง เพื่อลดขั้นตอนการทำอาหารให้สั้นลง การใช้แอพช้อปปิ้งสินค้าอาหารจากซูเปอร์มาร์เก็ต ก็สามารถช่วยลดเวลาการจ่ายของเหล่านี้ให้คุณได้ สิ่งที่สำคัญคือคุณต้องวางแผนล่วงหน้าว่ามื้อไหนจะบริโภคอะไร ทีนี้คุณก็จะมีเวลาพักผ่อนเพิ่มขึ้นและได้รับสารอาหารที่ดีเหมาะสม โดยไม่จำเป็นต้องเตรียมหรือทำอาหารด้วยตัวเองทุกครั้ง

 

 

สุดท้ายก็คือเตือนกันว่า อาหารต้องห้ามสำหรับการกินเจได้แก่ กระเทียม หอม กุ้ยช่าย อาหารรสจัด ซึ่งเป็นอาหารที่มีกลิ่นรุนแรงทำให้มีผลต่ออารมณ์ นอกจากนี้ การกินเจให้สุขภาพดีก็คือการควบคุมปริมาณอาหารทุกอย่างให้เหมาะสม เลี่ยงของทอดและแป้งที่จะเพิ่มน้ำหนักตัว รวมทั้งอาหารมันจัด รสเค็มจัด และควรล้างผักผลไม้ที่บริโภคให้แน่ใจว่าสะอาดจริงๆ และอย่าลืมการออกกำลังกายเป็นประจำ เพื่อให้ร่างกายเผาผลาญคาร์โบไฮเดรตจากอาหารเจได้สะดวกขึ้น หวังว่าเรื่องราวที่เล่าในวันนี้ จะช่วยให้กินเจแบบสุขภาพดีด้วยกันทุกท่านนะคะ

ปรับตั้งนาฬิกาชีวภาพ…เพื่อสุขภาพที่ดีกว่า

 

“เพราะนาฬิกาชีวภาพสำคัญต่อสุขภาพโดยรวมของร่างกาย หากนาฬิกานี้ของคุณรวนเรไป ก็ควรตั้งมันใหม่ให้ดีกว่าเดิม”

 

ถ้าคุณคือคนทำงานด้านคอมพิวเตอร์ ก็คงคุ้นเคยกับคำว่า รีบูท ( Reboot) ซึ่งหมายถึงการปิดเครื่องคอมแล้วเปิดใหม่เพื่อให้ระบบทำงานดีขึ้น การทำงานของนาฬิกาชีวภาพในร่างกายเรา ก็เหมือนคอมพิวเตอร์ ที่ใช้งานไปนานๆก็มีอาการรวนเรไปบ้าง วันนี้ เราจะมาชวนคุณรีบูทหรือปิดเปิดมันใหม่เพื่อปรับตั้งให้ระบบสุขภาพของร่างกายทำงานได้ดีขึ้น

 

 

รู้จักกับจังหวะของนาฬิกาชีวิต

ก่อนอื่นขอเล่าให้ฟังว่า ในระบบนาฬิกาชีวภาพร่างกายเรานั้น จะมีวงจรที่เรียกว่า วงจรจังหวะเซอร์คาเดียน (circadian rhythm) ซึ่งหมุนไปเป็นรอบๆละ 24 ชั่วโมงกับเศษอีกเล็กน้อย วงจรนี้จะทำงานตลอดเวลา แม้ในช่วงที่เราไม่สามารถรับรู้วันเวลาหรือกลางวันกลางคืนได้ในขณะนั้นก็ตาม เช่นเมื่ออยู่ใต้ทะเลหรือในถ้ำลึกๆที่แสงสว่างเข้าไปไม่ถึง หรือในคนตาบอด ก็ยังรู้สึกง่วงนอนหรือตื่นนอนได้เหมือนคนปกติจากวงจรที่ว่านี้ การที่วงจรนาฬิกานี้ที่หมุนไป ทำให้เรารู้สึกง่วงนอนในตอนกลางคืนและตื่นในตอนเช้า ซึ่งการทำงานของวงจรเซอร์คาเดียน อาจแปรปรวนไปได้จากพฤติกรรมต่างๆเช่น การท่องหนังสือดึกเพื่อเตรียมสอบ หรือไปปาร์ตี้กับเพื่อนจนถึงเช้า ที่ทำให้ความรู้สึกง่วงนอนที่เคยมีอยู่นั้นหายไป

 

สิ่งที่ควรรู้ก็คือ เจ้าวงจรนี้มันไม่ได้ควบคุมเฉพาะเรื่องการนอนหลับหรือการตื่นนอนของเราเท่านั้น แต่ยังควบคุมระบบอื่นๆด้วยเช่น ความอยากอาหารและระบบการเผาผลาญอาหาร ดังนั้น เมื่อระบบวงจรนี้เสียหาย ก็จะไม่ใช่แค่ทำให้นอนไม่หลับเท่านั้น แต่ยังไปเพิ่มความเสี่ยงของโรคต่างๆมากมาย ทั้งโรคเบาหวาน โรคอ้วน โรคมะเร็งบางชนิด ทำให้อารมณ์หดหู่เศร้าหมอง ฯลฯ และต่อไปนี้คือวิธีปรับตั้งวงจรเซอร์คาเดียนของนาฬิกาชีวภาพของคุณ ให้เที่ยงตรงขึ้นเพื่อการมีสุขภาพที่ดี

 

 

เพื่อให้นาฬิกาชีวภาพตอบรับกลางวันกลางคืนได้ดีขึ้น

 

healthtime002

 

ตื่นนอนเมื่อพระอาทิตย์ขึ้นแล้ว: หากคุณตื่นนอนตอนเช้ามืดที่ยังไม่เห็นแสงอาทิตย์ คุณก็จะเริ่มต้นเวลากลางวันของวันใหม่ด้วยระดับฮอร์โมนคอร์ติซอลที่สูงทำให้เหนื่อยล้าได้มากและเร็วกว่าปกติ ซึ่งสิ่งนี้จะเกิดขึ้นในช่วง 45 นาทีหลังจากที่คุณลุกออกมาจากเตียง และเมื่อเวลาของวันนั้นล่วงเลยไป ระดับของฮอร์โมนคอร์ติซอลที่สูงตั้แต่เริ่มตื่นนั้น ก็สามารถไปเพิ่มความเสี่ยงของโรคหัวใจให้สูงขึ้นได้อย่างน่าอัศจรรย์ ซึ่งอาจนำไปสู่การเสียชีวิตจากโรคนี้ได้ในที่สุด

 

 

จัดการงานที่ต้องใช้ความคิดก่อนมื้อเที่ยง: ระบบนาฬิกาชีวภาพของร่างกายจะมีความฉับไวในการคิดการตัดสินใจมากที่สุดในช่วงระหว่าง 9 โมงเช้าจนถึงเที่ยง ซึ่งเป็นเวลาที่ระดับเมลาโทนินซึ่งสนับสนุนการนอนหลับลดตัวลงจนอยู่ในระดับต่ำที่สุด ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่สมองจะตื่นตัว มีความกระตือรือร้นและสามารถโฟกัสกับสิ่งที่กำลังทำได้มากที่สุด

 

 

ใช้ความคิดวิเคราะห์ปัญหาระหว่างเวลาบ่าย 2 โมงถึง 4 โมงเย็น: เป็นช่วงเวลาที่สมองมีความตื่นตัวเต็มที่และมีสมาธิมากที่สุด เหมาะกับการใช้ช่วงเวลานี้ไปคิดทบทวนปัญหาที่คุณต้องการจะแก้ไข รวมทั้งทำงานที่ต้องใช้ความทรงจำที่แม่นยำ เพราะเมื่อคุณมีสมาธิ ก็จะสามารถทบทวนความคิดไปมาอย่างเป็นอิสระมากขึ้น สนับสนุนให้เกิดความครีเอทีฟและการทำความเข้าใจกับปัญหาได้ดีขึ้น ปัญหาที่มีก็จะได้รับการแก้ไขอย่างเหมาะสมจากกระบวนการความคิดที่ได้กรองแล้ว

 

 

ปฏิเสธการบริโภคอาหารในเวลาที่คุณควรจะนอน: นาฬิกาชีวภาพของคุณจะควบคุมการใช้และเก็บสำรองพลังงานของ ร่ากายด้วย ดังนั้น หากคุณบริโภคอาหารในเวลาที่ธรรมชาติร่างกายควรจะนอนหลับพักผ่อน เช่นเวลากลางดึกหรือเช้ามืด โฮกาสที่คุณจะมีน้ำหนักตัวเพิ่มก็เป็นไปได้มากกว่า ถึงแม้ว่าช่วงกลางวันที่ผ่านมาคุณจะบริโภคน้อยแค่ไหนก็ตาม

 

 

เพื่อรีเซ็ทเวลาให้นาฬิกาชีวภาพของคุณ

 

healthtime003

 

อย่านอนดึกตื่นสาย: การเข้านอนช้ากว่าเวลาปกติที่คุณเคยนอนเป็นประจำ ถึงแม้จะอ้างว่าวันรุ่งขึ้นเป็นวันหยุดนอนดึกได้ก็ตาม แต่รู้ไมว่าพฤติกรรมแบบนี้จะทำลายจังหวะของนาฬิกาชีวภาพของคุณ ทำให้แทนที่คุณจะรู้สึกสดชื่นจากการได้นานขึ้นในเช้าวันต่อมา จะกลายเป็นตื่นด้วยความรู้สึกเหนื่อยเพลียกว่าปกติไม่ว่าคุณจะใช้เวลานอนานแค่ไหนก็ตาม

 

 

เปิดม่านหน้าต่างทันทีที่ตื่น: แสงแดดอ่อนๆของยามเช้าจะช่วยลดระดับของเมลาโทนิน ดังนั้น ควรจัดเวลาเข้านอนให้เหมาะสมตรงเวลาทุกๆวันเพื่อให้คุณตื่นขึ้นมารับแสงแดดอ่อนยามเช้า เพราะแค่คุณเข้านอนช้ากว่าเวลาปกติเกินกว่า 6 นาที คุณก็มีแนวโน้มจะตื่นสายจนพลาดจากแสงอาทิตย์ตอนเช้านี้ไปได้แล้ว

 

 

ใช้เวลาสุดสัปดาห์ท่องเที่ยวแนวธรรมชาติ: เลือกไปพักแรมในที่ๆสัญญาณมือถือไปไม่ถึงหรือมีน้อยเวลาตั้งเต๊นท์ อาจฟังดูไม่มีความสะดวกแต่มันจะได้ผลดีในเรื่องการพักผ่อน มันคุ้มค่ามากที่จะใช้เวลาสักสองวันให้ตัวเองอยู่กับแสงธรรมชาติ ปลอดจากแสงหลอดไฟและสัญญาณคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าของอุปกรณ์อิเลคโทรนิกส์ การห่างจากสิ่งเหล่านี้ จะช่วยรีเซ็ทนาฬิกาชีวภาพร่างกายได้อย่างดี

 

healthtime004

 

ออกกำลังกายในตอนบ่าย: การทำกิจกรรมเคลื่อนไหวร่างกายเป็นสิ่งที่ดี แต่ถ้าจะให้ดีกว่าก็คือในช่วงบ่ายระหว่างหลังมื้อเที่ยงกับก่อนมื้อเย็น การออกกำลังในเวลาช่วงนี้จะช่วยควบคุมนาฬิกาชีวภาพของคุณให้ทำงานดีขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณอยู่ในวัย 30 ปี ขึ้นไป นี่เป็นเวลาไพร์มไทม์ในการออกกำลังกายของคุณเลยทีเดียว

 

 

เลี่ยงอาหารขยะ: อาหารเหล่านี้มีไขมันอิ่มตัวสูง ซึ่งไขมันนี้จะไปทำลายระบบนาฬิกาชีวภาพของร่างกาย โดยมันจะไปดีเลย์ระบบการนอนหลับตามเวลาปกติ และยังทำให้คุณอยากบริโภคมื้อดึกในเวลาที่คุณควรจะพักผ่อนนอนหลับ นี่คือการระบุของนักวิจัยของสหรัฐอเมริกา

 

ทั้งหมดก็เป็นวิธีตั้งเวลาใหม่ให้นาฬิกาชีวภาพของเราเดินตรงขึ้น ซึ่งก็หมายถึงการมีสุขภาพที่ดีขึ้นด้วย ในการทำงานประจำวัน การตรงต่อเวลาจะทำให้เกิดการประสานงานของทุกๆฝ่ายได้อย่างสะดวก ทำให้งานลุล่วงไปได้ดี ในเรื่องของการดูแลสุขภาพก็เช่นเดียวกัน ที่ระบบทุกอย่างก็จะต้องมีวงจรหมุนไปอย่างถูกต้อง มาตั้งนาฬิกาชีวภาพของเราให้มีความเที่ยงตรง เพื่อให้ระบบการทำงานของร่างกายทำงานสอดคล้องประสานกันได้อย่างมีประสิทธิภาพกันดีกว่าค่ะ