เรียนรู้มารยาทเมื่อเข้าคลาสโยคะ

 

โยคะ กิจกรรมออกกำลังกายสุดฮิตของสาวหุ่นดี การเข้าคลาสโยคะเป็นความสนุกสนาน ตราบใดที่คุณยังไม่ถูกรบกวนด้วยบรรยากาศหรือพฤติกรรมของคนรอบข้าง หรือบางทีตัวคุณเองนั่นแหละ ที่อาจมีพฤติกรรมรบกวนคนอื่นโดยไม่รู้ตัวจากเรื่องปูเสื่อโยคะ ไปจนถึงเรื่องการใช้มือถือระหว่างคลาส เหล่านี้คือมารยาทที่ครูฝึกอยากให้คุณรู้

 

โยคะ เป็นการออกกำลังกายที่บางคนกลัวโดยเฉพาะมือใหม่ เพราะมันไม่ใช่แค่ต้องเรียนรู้ภาษาแปลกๆของชื่อท่าต่างๆและฝึกควบคุมการทรงตัวให้ได้ตามท่าเท่านั้น แต่มันเป็นสิ่งแตกต่างมากๆจากคลาสฟิตเนสปกติของคุณ และก็จะมีเรื่องของมารยาทสำคัญๆที่คุณควรจะรู้ทั้งมือใหม่และมือเก่าเพื่อจะได้ไม่พลาด

 

1. อย่าใส่น้ำหอมจัดๆก่อนไปเข้าคลาส: คลาสโยคะส่วนมาก จะเน้นเรื่องการฝึกกำหนดลมหายใจ จึงต้องมีการหายใจเข้าออกลึกๆ ซึ่งสิ่งที่ทุกคนต้องการก็คือความสงบที่จะไม่ถูกครอบงำด้วยสัมผัสของกลิ่น ไมว่าจะเป็นน้ำหอม, โลชั่นทาผิวหรือบอดี้สเปรย์ก็ตาม

 

2. คิดก่อนจะปูเสื่อโยคะ: ไม่ควรปูเสื่อใกล้กับคนอื่นมากเกินไป เพราะมันอาจมีความเสี่ยงของท่าบางท่า เช่นสุริยนมัสการ ที่แต่ละคนต้องใช้พื้นที่มากพอควร แต่ถ้าคลาสโยคะที่คุณเรียนคนแน่นมาก ก็ให้วางเสื่อของคุณในแนวเอียงๆของพื้นที่ว่างที่เหลืออยู่ ดูว่ามันไม่ไปทับกับเสื่อของคนอื่น สิ่งนี้จะช่วยคุณให้เลี่ยงการ การแกว่งแขนหรือสะโพกใส่หน้าคนอื่นเวลาที่คุณฝึกท่า นี่คือคำแนะนำของครูฝึกโยคะหลายสถาบัน

 

3. คุยก่อนเข้าคลาสให้น้อยที่สุด: ถ้าหากคุณไปเรียนโยคะกับเพื่อนๆ พยายามส่งเสียงให้น้อยที่สุดขณะรอครูฝึกเริ่มการสอน สิ่งนี้สำคัญมาก ควรระลึกเสมอว่า การที่คนเข้ามาฝึกโยคะกัน ก็เพื่อปิดการติดต่อกับโลกภายนอกและหาความสงบ ซึ่งมันจะทำได้ยากหากแวดล้อมด้วยพวกช่างคุย

 

healthyoga03

 

4. ถอดรองเท้าก่อนเดินเข้าคลาส: สตูดิโอโยคะส่วนมาก จะมีที่ในล็อกเกอร์ไว้ให้ใส่รองเท้า ซึ่งคุณควรใช้มันมากกว่าจะถือมันเข้าไปในห้องฝึกด้วยนะ และควรเข้าไปในห้องด้วยสภาพเท้าเปล่าหรือสวมถุงเท้าเท่านั้น

 

5. ห้ามก้าวล่วงเสื่อของคนอื่นเป็นอันขาด: จำไว้ว่า พื้นที่เสื่อโยคะคือบริเวณส่วนตัวของทุกคน มันจึงไม่เหมาะสมอย่างยิ่งที่คุณจะเอาเท้า, มือ หรือใบหน้า หรืออวัยวะส่วนใดๆไปวางบนเสื่อของคนอื่น ไม่ว่าเขาจะอยู่หรือไม่ก็ตาม

 

6. ห้ามเซลฟี่เด็ดขาด: อันนี้จริงจังที่สุดนะ ไม่มีอะไรน่ารำคาญเท่าเวลาที่ทุกคนฝึกอย่างตั้งใจแล้วมีใครวุ่นวายกับการเซลฟี่หรือถ่ายรูปให้หน่อย ไม่ว่าคุณจะแน่ใจความสวยเป๊ะแค่ไหน ให้ถ่ายรูปได้หลังจากคลาสจบแล้วเท่านั้น มันจะเป็นการฝึกโยคะที่ได้ผลดีมาก หากคุณเก็บโทรศัพท์ไว้ในล็อกเกอร์แล้วตั้งใจฝึกจริงๆ และก็ไม่เกิดโอกาสที่เสียงมือถือรบกวนคนอื่นโดยเฉพาะในท่าศวาสนะหรือท่าศพ ซึ่งเป็นท่าสุดท้ายของคลาสที่ทุกคนนอนพักผ่อนคลาย

 

healthyoga02

 

7 อย่าเข้าคลาสสาย: การเข้าคลาสช้าก็คือการรบกวนความสงบของคนอื่น โดยเฉพาะหากคลาสนั้นเริ่มต้นด้วยการทำสมาธิหรือกำหนดลมหายใจ ยิ่งถ้านี่คือคลาสครั้งแรกของคุณ ก็ยิ่งสำคัญมากที่จะต้องมาก่อนเวลา เพราะสตูดิโอโยคะส่วนมากจะให้คุณกรอกข้อมูลในการเข้าเรียนครั้งแรก จึงควรไปก่อนและตรวจเช็คข้อมูลระเบียบต่างๆให้ครบถ้วนและทำตามอย่างเคร่งครัด

 

8. อย่าออกจากคลาสเร็วเกินไปเมื่อตอนจบ: นึกดูเมื่อจบคลาสและทุกคนยังนอนอยู่ในท่าศวาสนะ แล้วคุณลุกขึ้นเก็บข้าวของเสียงดังเพื่อจะออกไปจากห้องว่ามันรบกวนแค่ไหน ดังนั้น หากคุณรู้ตัวว่าจะต้องออกจากคลาสเร็วกว่าคนอื่น ก็ให้เลือกพื้นที่ๆใกล้ประตูที่สุดที่จะสามารถออกไปได้เงียบๆ

 

เรื่องของมารยาท เป็นสิ่งที่ต้องมีตลอดเวลาไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนกับใคร ไหนๆมาออกกำลังกายเพื่อให้ได้สุขภาพที่ดี ทุกคนที่มาทำกิจกรรมนี้ร่วมกันก็ควรจะได้สุขภาพจิตใจที่ดีกลับไปด้วย ไม่มีอะไรยากถ้าแค่นึกถึงใจเขาใจเราเท่านั้นเองค่ะ ขอให้สนุกกับการออกกำลังกายทุกคนนะคะ

“กิน..ให้ผอม” รู้จักสารอาหารช่วยลดพุง

 

ช่วงนี้เห็นเอวบางๆของแม่นางการะเกดในบุพเพสันนิวาสทีไร ก็อดอิจฉาไม่ได้เลยนะออเจ้า อยากไล่ไขมันออกไปจากพุงกลมๆของเรา ก็ต้องเข้าใจเรื่องสารอาหารช่วยเผาผลาญไขมัน จัดให้ในเรื่องนี้เลยค่ะ

 

1. เผาผลาญไขมันด้วยแคลเซียม ไพรูเวท (Calcium pyruvate): สารนี้มีบทบาทเติมพลังงานให้กับเซลล์ จากการศึกษาของมหาวิทยาลัยพิทสเบิร์ก รัฐเพนซิลเวเนีย สหรัฐอเมริกา พบว่า ผู้ที่ลดน้ำหนักด้วยวิธีบริโภคจำกัดแคลอรี่ หากได้รับสารอาหารนี้ จะลดไขมันลงได้มากกว่าถึง 48% เนื่องจากมันทำให้เซลล์ไขมันถูกเผาผลาญได้มีประสิทธิภาพกว่า สารนี้พบได้ในแอปเปิ้ลแดง, องุ่นแดง, ไวน์แดงและชีส และถ้าจะเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ก็แนะนำในปริมาณบริโภค 1,000 มิลลิกรัมขณะท้องว่างก่อนมื้อเช้าและเย็น

 

healtheat03

 

2. ขับแกสในท้องด้วยเมล็ดยี่หร่า: ท้องอืดก็ทำให้มีพุงได้ เมล็ดยี่หร่าจะช่วยลดแกสเพราะมันมีกรดคุณสมบัติยาขับลมในท้อง ช่วยสนับสนุนแบคทีเรียชนิดดีย่อยสลายอาหาร และขัดขวางการเติบโตของแบคทีเรียชนิดเลวอีกด้วย

 

3. ดูแลสมดุลอินซูลินด้วยอบเชย: สารออกฤทธิ์ชื่อเมทิลไฮดรอกซี ชาลโคน โพลีเมอร์(methylhydroxy chalcone polymer) หรือ MHCP ในอบเชย จะช่วยให้เซลล์ไขมันตอบรับอินซูลินได้ดีขึ้น ร่างกายจึงขนส่งน้ำตาลไปสู่เซลล์และแปรสภาพเป็นพลังงานได้มากขึ้น ทำให้อินซูลินในกระแสเลือดลดต่ำลง การมีอินซูลินสูงจะทำให้ร่างกายสะสมไขมันเอาไว้มาก การบริโภคอบเชย จึงช่วยรักษาระดับอินซูลินและแก้ปัญหาไขมันหน้าท้อง

 

4. ชาเขียวช่วยเผาผลาญไขมัน: สารประกอบโพลีฟีนอลหลักในชาเขียวชื่อว่าเอพิแกลโลคาเทชิน แกลเลท(epigallocatechin gallate) หรือ EGCG ทำให้อุณหภูมิร่างกายสูงขึ้น จึงใช้พลังงานเผาผลาญไขมันเพิ่มขึ้น ชานี้ยังอุดมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยลดการติดเชื้อซึ่งเป็นสาเหตุการเกิดไขมันหน้าท้อง ควรเลือกชาเขียวใบต้มสดจะดีกว่าชนิดผงและผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร

 

healtheat04

 

5. ฟูโคแซนทิน (Fucoxanthin) สารแคโรทีนอยด์ในสาหร่ายทะเลสีน้ำตาลช่วยลดน้ำหนัก : นักวิทยาศาสตร์ได้ให้สารนี้กับหนูทดลองที่เป็นโรคอ้วนและพบว่า มันสามารถลดน้ำหนักลงได้ 5 -10% ซึ่งสารนี้อาจช่วยเพิ่มอัตราการเผาผลาญไขมันในช่องท้อง สาหร่ายนี้จะมีขายในร้านสุขภาพของญี่ปุ่นโดยเฉพาะภายใต้ชื่อว่าวากาเมะ (wakame) และ ฮิจิกิ (hijiki)

 

6. โอเมก้า-3 (Omega-3) ลดไขมันหน้าท้อง: สารนี้ช่วยเก็บกวาดฮอร์โมนคอร์ติซอลและอดรีนาลีนที่พุ่งสูงขึ้น ป้องกันร่างกายเสียหายและการสะสมไขมันที่เกิดจากความเหนื่อยเรื้อรัง พบสารอาหารนี้ในปลาทะเลที่อุดมด้วยไขมันเช่นแซลมอน และในพืชบางชนิดเช่น เมล็ดเจีย (chia seed),เมล็ดแฟล็กซ์ (flaxseed) รวมทั้งผลิตภัณฑ์เสริมอาหารโอเมก้า-3 ก็ช่วยได้

 

7. เคอร์เซทิน (Quercetin) พัฒนาภูมิต้านทาน: สารฟลาโวนอยด์ที่ช่วยต่อสู้ไขมันหน้าท้องได้ดี โดยมันจะไปทำให้เซลล์ไขมันที่เพิ่งก่อตัวหยุดการเจริญเติบโต จึงยับยั้งอัตราการเกิดใหม่ของเซลล์ไขมันได้ดีกว่าสารฟลาโวนอยด์ชนิดอื่นๆ สารนี้มีมากในแอปเปิ้ล,หอมแดง,ชาเขียว, องุ่นแดง, มะเขือเทศ,บร็อคโคลี,เชอรี่, ราสพ์เบอร์รี่,และผักใบสีเขียวเข้ม ซึ่งการรับสารนี้จากอาหารจะให้ผลดีกว่าผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร

 

healtheat02

 

8. เรสเวราทรอล (resveratrol) ฟื้นฟูเมตาบอลิซึ่มให้เผาผลาญแคลอรี่ได้มากขึ้น: สารนี้ยังช่วยควบคุมสมดุลของเอสโตรเจน ซึ่งการมีเอสโตรเจนสูงจะทำให้ร่างกายเพิ่มการสะสมไขมัน เราพบสารนี้ได้ในองุ่นแดง, ไวน์แดง, ถั่วลิสง,และดาร์กชอกโกแล็ต

 

9. วิตามินซี ช่วยลดระดับฮอร์โมนคอร์ติซอลจากความเหนื่อยล้า: การเพิ่มของคอร์ติซอลจะทำให้เกิดการสะสมไขมันหน้าท้อง วิธีคือให้บริโภคอาหารที่อุดมด้วยวิตามินซีอย่างน้อยสองอย่างในแต่ละวัน ได้แก่ส้ม, กีวีและพริกหวานสีเขียว ถ้าเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ก็ให้บริโภควันละ 500 มิลลิกรัมและเลือกสูตร time – released formula

 

10. น้ำช่วยลดไขมันหน้าท้อง: แค่ดื่มน้ำสะอาดประมาณ 17 ออนซ์ เราก็จะมีการเพิ่มขึ้นของอัตราเมตาบอลิซึ่มประมาณ 30% ปริมาณของเหลวที่เพิ่มขึ้นนี้จะสนับสนุนการย่อยสลายของไขมัน ซึ่งสิ่งควรรู้คือ การขาดน้ำสามารถไปลดระดับเมตาบอลิซึ่มของเราได้ จึงแนะนำให้ดื่มน้ำอย่างน้อย 64 ออนซ์ต่อวัน

 

ทั้งหมดคือสารอาหารที่นอกจากช่วยให้พุงหายไปแล้ว ก็ยังช่วยให้เรามีสุขภาพโดยรวมที่ดีขึ้นด้วยกินอย่างไรให้ผอมคำตอบก็คือกินอย่างมีสติและเข้าใจทั้งเรื่องของคุณภาพและปริมาณถ้าทำได้แบบนี้ การกินก็จะเป็นเรื่องดีต่อสุขภาพของทุกคน ยิ่งถ้าออกกำลังกายสม่ำเสมอ เอวบางๆก็จะเป็นของสาวๆออเจ้าทุกคนแน่นอนค่ะ

ปฏิบัติการเพิ่มผลกำไรให้กับมื้อเจ

 

ช่วงสัปดาห์สุดท้ายของเดือนตุลาคมที่เป็นช่วงของการกินเจ นอกจากเรื่องกลัวจะขาดสารอาหารแล้ว ก็มีหลายคนที่พูดให้ได้ยินว่า มีมื้อเจบางมื้อที่พอบริโภคแล้วก็รู้สึกว่าท้องอืด แน่นท้อง หรือถ้าขั้นหนักหน่อยก็ปวดท้องเป็นตะคริวในช่วงเวลาสั้นๆหลังจากบริโภคอาหารมื้อเที่ยง ก็เลยอยากจะมาเล่าให้ฟังเพื่อให้ได้เรียนรู้เรื่องนี้ ที่สาเหตุหนึ่งอาจมาจากการที่เราได้นำอาหารที่ไม่มีความลงตัวในศาสตร์ของการผสมผสานอาหารมารวมเข้าไว้ด้วยกันนั่นเอง

 

 

เรื่องราวของศาสตร์แห่งการผสมผสานอาหารหรือ food combination คือการรวมกันของความรู้ทางวิทยาศาสตร์ของโภชนาการ เพื่อให้เราเข้าถึงสภาวะทางเคมีของอาหารที่บริโภคเข้าไปและมันถูกจับให้ผสมผสานกันในกระบวนการย่อย การจับคู่อาหารที่มีส่วนประกอบสอดคล้องกัน ก็จะทำให้ร่างกายได้รับประโยชน์สูงสุด ได้พลังงานเต็มที่และมีการย่อยสลายของอาหารที่ดีกว่า ทั้งในเรื่องอัตราส่วนของสารอาหารที่ถูกย่อย และความหลากหลายของเอนไซม์ที่จะได้รับก็ครบถ้วนกว่าด้วย

 

 

กฎของการผสมผสานอาหาร ( Food Combination Rules)

 

healthvegetable003

 

สิ่งที่ควรรู้ก็คือ ร่างกายของเรามีความสามารถในการย่อยอาหารแต่ละชนิดได้ไม่เท่ากัน การเข้าใจการผสมผสานอาหารเบื้องต้นข้อนี้จะช่วยลดปัญหาให้ง่ายขึ้น และความสามารถในการย่อยอาหารของแต่ละคนก็ไม่เท่ากันด้วย ในขณะที่บางคนสามารถย่อยอาหารที่บริโภคเข้าไปได้ง่ายๆไม่มีปัญหา แต่ระบบการย่อยของบางคนก็เกิดการสะดุด และมีอาการท้องอืดเมื่อบริโภคอาหารที่ไม่ได้มีการผสมผสานตามหลักที่เหมาะสมนั้นๆ กฎง่ายๆของการผสมผสานอาหารก็คือ: 1. หากคุณรู้สึกว่ากินเจแล้วท้องอืด ก็ไม่ควรผสมผสานอาหารแป้งและโปรตีนเข้าด้วยกัน เพราะจะทำให้ระบบการย่อยทำงานช้าลง ทั้งอาจทำให้เกิดการหักล้างกันของสารอาหารที่มีประโยชน์ที่เกิดขึ้นได้โดยไม่ตั้งใจ ด้วยเหตุนี้ จึงควรให้เวลาในการวางแผนผสมผสานอาหาร และควรมีออกแบบล่วงหน้าหากอาหารมื้อนั้นของคุณมีแป้งหรือโปรตีนเป็นส่วนประกอบหลัก 2.หลังจากที่รู้ว่าส่วนประกอบหลักของอาหารจานนั้นของคุณคืออะไรแล้ว ก็สามารถเติมผักลงไปได้หลากชนิดตามที่คุณชอบ แต่ให้เก็บผักที่เป็นกลุ่มแป้งอย่างเช่นมันฝรั่ง ข้าวโพด มันต่างๆ ควินัว ฯลฯ เอาไว้ใช้สำหรับเมนูที่เป็นแป้งเป็นหลักเท่านั้น ไม่ควรนำมันมาผสมผสานกับเมนูที่ใช้โปรตีนเป็นหลัก 3. ให้บริโภคผลไม้ต่างๆแยกออกมาต่างหาก ไม่ควรผสมผสานมันเข้าไปในอาหารจานนั้น และควรบริโภคก่อนหรือหลังมื้ออาหารของคุณเป็นเวลาครึ่งชั่วโมง

 

 

อย่างไรก็ตาม คุณไม่จำเป็นต้องทำตามกฎเหล่านี้ตลอดเวลา แต่ให้นึกถึงมันเอาไว้ในช่วงระหว่างวัน เมื่อคุณต้องการตัวช่วยพิเศษเกี่ยวกับเรื่องของระบบการย่อยที่ดี

 

 

ความเหนื่อยล้าประจำวันกับระบบลำไส้ของคุณ:

มีการศึกษาหนึ่งตั้งข้อสังเกตว่า ความเหนื่อยล้า คือสาเหตุหนึ่งของการชลอตัวลงของแบคทีเรียชนิดดีที่มีในระบบการย่อย และในเดียวกัน ความเหนื่อยนี้ก็จะไปเพิ่มจำนวนแบคทีเรียชนิดเลวที่เป็นสาเหตุของการติดเชื้อให้มากขึ้นด้วย และเมื่อสุขภาพที่ดีของระบบย่อยอาหารของร่างกายมีบทบาทสำคัญกับความงาม สิ่งนี้จึงส่งผลไปถึงผิวพรรณที่ดูสวยกระจ่างใส, น้ำหนักตัวที่เหมาะสม, อารมณ์รื่นรมย์มีความสุข, และระบบภูมิคุ้มกันที่ดี เมื่อทุกอย่างต่อเนื่องกันไปหมด นอกจากการวางแผนการกินเจเพื่อให้ได้สุขภาพที่ดีแล้ว จึงสำคัญที่เราจะต้องวางความเหนื่อยล้าจากพฤติกรรมที่ทำอยู่เป็นประจำทุกวันลงให้ได้ ด้วยการฝึกหัดหาพื้นที่สงบผ่อนคลายให้กับชีวิตของเราด้วยในแต่ละวัน พื่อให้ระบบการย่อยมีประสิทธิภาพไม่เกิดการแปรปรวน

 

 

เติมขมิ้นและพริกไทยดำลงในเมนูเจ:

 

healthvegetable004

 

ขมิ้นและพริกไทยดำ เป็นเครื่องเทศสองชนิดที่ไม่ได้ถูกห้ามในการกินเจ และเมื่อสองสิ่งนี้มาอยู่คู่กัน ก็จะเกิดผลดีต่อสุขภาพเพิ่มขึ้นกว่าการอยู่เดี่ยวๆอย่างมาก เพียงผงขมิ้นป่นจำนวนเล็กน้อยถูกโปรยลงในอาหาร ก็จะไปเติมผลกำไรแห่งความงามที่สำคัญๆให้คุณอย่างมากมาย รวมถึงช่วยลดการติดเชื้อและช่วยเพิ่มปริมาณของสารต้านอนุมูลอิสระให้ด้วย และหากคุณใช้มันร่วมกับพริกไทยดำป่นแล้วละก็ การศึกษาพบว่ามันจะเพิ่มการดูดซึมคุณสมบัติดีๆของขมิ้นที่จะเข้าสู่ร่างกายให้มากขึ้นอย่างมหัศจรรย์ถึง 2000 % เลยทีเดียว แม้จะเป็นพริกไทยดำป่นเพียงเล็กน้อยที่ถูกผสมลงไป นี่คือเคล็ดลับความงามและสุขภาพดีที่ทำได้ไม่ยากในการกินเจนี้

 

 

เติมพลังเตรียมรับฤดูหนาวให้สมูตตี้เจ:

เพิ่มพลังให้กับสมูตตี้หวานๆง่ายๆแบบธรรมดาที่เคยดื่มในช่วงหน้าร้อน เพื่อเตรียมพร้อมร่างกายให้รับมือกับสภาวะอากาศที่กำลังจะเปลี่ยนเข้าสู่ฤดูหนาว ด้วยการเติมเมล็ดเจีย ( chia seed) 1-2 ช้อนโต๊ะ ลงในสมูตตี้รสโปรดของคุณทุกๆแก้ว วิธีนี้จะเพิ่มพลังให้กับร่างกาย ทั้งยังทำให้คุณมีผิวพรรณที่ดีขึ้นในช่วงหน้าหนาวนี้ด้วย เมล็ดเจียอุดมด้วยกรดไขมันที่มีประโยชน์สำหรับผิวสวย ช่วยต้านการติดเชื้อและฟื้นฟูแร่ธาตุในร่างกาย ทั้งยังมีคุณสมบัติช่วยให้คลายความเหนื่อยล้า แค่คุณบริโภคมันให้ได้ในปริมาณ 4 ช้อนโต๊ะต่อวัน

 

 

เตรียมร่างกายให้พร้อมกับมื้อเจ:

กุญแจสำคัญที่จะนำไปสู่ระบบการย่อยที่พร้อมและการมีผิวพรรณเปล่งปลั่งสดใส ก็คือการที่จะต้อง “ตั้ง”ระบบการย่อยที่ดีให้กับตัวเองก่อนมื้ออาหาร ด้วยการดื่มน้ำสะอาดอุณหภูมิห้อง 15 นาทีก่อนที่จะบริโภคอาหาร การทำแบบนี้จะช่วยเพิ่มความชุ่มชื่นให้กับลำไส้และระบบการย่อยของคุณ และนอกจากนี้ คุณต้องตัดจากการวุ่นวายกับคอมพิวเตอร์ สมาร์ทโฟน ทีวี และความเหนื่อยล้าทั้งหมดที่เกิดขึ้นในช่วงทำงานก่อนหน้านี้ด้วย ก็แค่หายใจลึกๆเพื่อลดความเหนื่อยล้าที่มีอยู่ และใช้ชีวิตกับปัจจุบันว่านี่คือถึงเวลาอาหารที่คุณต้องหยุดคิดเรื่องงานได้แล้ว เมื่อทำแบบนี้ได้คุณก็จะสามารถนั่งลงที่ร้านและเลือกอาหารที่ดีต่อร่างกายได้ โดยปราศจากอารมณ์ด้านลบมาทำให้เกิดความผิดพลาด ลองทำแบบนี้ทุกครั้งก่อนนั่งลงบนโต๊ะอาหารสักสัปดาห์ แล้วจะสังเกตพบความแตกต่างของระบบการย่อยที่ดีขึ้นไม่ว่าจะเป็นมื้อใดก็ตาม

 

 

บริโภคผักในตระกูลกะหล่ำให้มากขึ้น:

 

healthvegetable005

 

ผักกะหล่ำชนิดต่างๆ รวมทั้งบร็อคโคลี, กะหล่ำปลี, ผักกวางตุ้ง ฯลฯ เหล่านี้ถูกจัดว่าเป็นอาหารซูเปอร์ฟู้ดของความงาม และทำให้มีสุขภาพดี ช่วยลดความเสี่ยงของโรคร้ายต่างๆให้กับผู้หญิง เพราะผักในตระกูลนี้มีสารชื่อว่า ไอโซไธโอไซยาเนท (isothiocyanates) ซึ่งจะไปช่วยกระตุ้น Nrf2 ในร่างกาย ซึ่ง Nrf2 นี้ คือโปรตีนในเซลล์ของร่างกาย ที่เป็นตัวช่วยกระตุ้นให้เกิดการขจัดสารพิษ ต่อต้านการเกิดอนุมูลอิสระและการอักเสบติดเชื้อต่างๆในเซลล์ ปัจจุบัน สารนี้ได้รับความสนใจอย่างกว้างขวางในวงการอุตสาหกรรมยา ว่ามันอาจเป็นตัวช่วยของร่างกายในแนวทางป้องกันโรคต่างๆได้ นอกจากนี้ ผักในตระกูลกะหล่ำก็ยังช่วยขจัดฮอร์โมนเอสโตรเจนส่วนเกินของร่างกาย ที่จะไปเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็งเต้านมและมะเร็งรังไข่ได้อีกด้วย

 

 

จิบชาสมุนไพรช่วยระบบการย่อย:

อย่าลืมตุนชาสมุนไพรไว้ในครัวเพื่อช่วยระบบการย่อยอาหาร สิ่งนี้ยังช่วยให้มีผิวพรรณเปล่งปลั่ง เลือกชาขิงออร์แกนิก ที่มีสารช่วยการผ่อนคลายของกระเพาะอาหาร และช่วยคลายอาการของอาหารไม่ย่อย หรือคุณอาจทำชาสมุนไพรนี้ด้วยตัวเอง โดยผสมเมล็ดยี่หร่า (fennel) เข้ากับผงลูกกระวาน ( cardamom) และผงขิงอบแห้งที่หาซื้อได้ในซูเปอร์มาร์เก็ตทั่วไป จากนั้นนำส่วนผสมทั้งหมดมาใส่ลงในชาแดงหรือ ( rooibos tea)ที่ปลอดคาเฟอีนและอุดมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ

 

 

ยืดหยุ่นกับการเตรียมอาหารเจ:

 

healthvegetable002

 

หลายคนบอกว่า การเตรียมอาหารเจเป็นเรื่องยุ่งยาก ซึ่งถ้าจะพูดอย่างซื่อสัตย์ เราก็ต้องยอมรับว่า ไม่มีใครสนุกกับการต้องเตรียมและทำอาหารประจำวัน เมื่อคุณรู้สึกเหนื่อยและไม่มีแรงบันดาลใจ ไม่ว่าจะเป็นการเตรียมอาหารเจหรืออาหารธรรมดาๆ เพราะมันเป็นเวลาที่คุณต้องการพักผ่อนมากกว่า แต่ในขณะเดียวกัน ร่างกายของเราก็ต้องการอาหารที่มีประโยชน์ สิ่งที่จะทำให้คุณประนีประนอมกับสองเรื่องนี้ได้ก็คือ การหาข้อมูลร้านอาหารเจที่มีคุณภาพดีจริงๆ หรือซื้อผักผลไม้สดแบบที่เตรียมพร้อมปรุง เพื่อลดขั้นตอนการทำอาหารให้สั้นลง การใช้แอพช้อปปิ้งสินค้าอาหารจากซูเปอร์มาร์เก็ต ก็สามารถช่วยลดเวลาการจ่ายของเหล่านี้ให้คุณได้ สิ่งที่สำคัญคือคุณต้องวางแผนล่วงหน้าว่ามื้อไหนจะบริโภคอะไร ทีนี้คุณก็จะมีเวลาพักผ่อนเพิ่มขึ้นและได้รับสารอาหารที่ดีเหมาะสม โดยไม่จำเป็นต้องเตรียมหรือทำอาหารด้วยตัวเองทุกครั้ง

 

 

สุดท้ายก็คือเตือนกันว่า อาหารต้องห้ามสำหรับการกินเจได้แก่ กระเทียม หอม กุ้ยช่าย อาหารรสจัด ซึ่งเป็นอาหารที่มีกลิ่นรุนแรงทำให้มีผลต่ออารมณ์ นอกจากนี้ การกินเจให้สุขภาพดีก็คือการควบคุมปริมาณอาหารทุกอย่างให้เหมาะสม เลี่ยงของทอดและแป้งที่จะเพิ่มน้ำหนักตัว รวมทั้งอาหารมันจัด รสเค็มจัด และควรล้างผักผลไม้ที่บริโภคให้แน่ใจว่าสะอาดจริงๆ และอย่าลืมการออกกำลังกายเป็นประจำ เพื่อให้ร่างกายเผาผลาญคาร์โบไฮเดรตจากอาหารเจได้สะดวกขึ้น หวังว่าเรื่องราวที่เล่าในวันนี้ จะช่วยให้กินเจแบบสุขภาพดีด้วยกันทุกท่านนะคะ