พันธุกรรมสุขภาพจากแม่และพ่อ…ที่ส่งต่อถึงเรา

มีใครบ้างคะที่ตอนนี้ดูแลสุขภาพคุณพ่อคุณแม่ที่ท่านเป็นผู้สูงวัย เมื่อท่านอายุมากขึ้น สุขภาพย่อมไม่ได้เต็มร้อยเหมือนเมื่อก่อน เราก็ควรหมั่นดูแลท่านให้ใกล้ชิดขึ้น แต่ถ้าใครที่คุณพ่อคุณแม่มีสุขภาพแข็งแรงดีเยี่ยมแม้เข้าสู่วัยชราก็ถือว่าโชคดี แต่ไม่ว่าท่านจะมีเรื่องราวสุขภาพแบบไหนก็ตาม สิ่งที่เกิดกับท่านอยู่นั้น ก็จะบ่งบอกถึงอนาคตสุขภาพของตัวเราเองด้วยจากเหตุผลทางพันธุกรรมที่ได้รับถ่ายทอดมา ยีนพันธุกรรมของพ่อแม่ จะมีบทบาทสำคัญในความเสี่ยงสุขภาพของเราเมื่อวัยเพิ่มขึ้น เช่นการเป็นโรคซึมเศร้า หรือการมีอายุยืนยาวแค่ไหน รวมทั้งการเกิดกระบวนการความชราว่าจะเร็วหรือช้าอีกด้วย ลองมาดูสิ่งที่เกิดขึ้นกับท่านและความเกี่ยวเนื่องที่เราจะได้รับว่ามีอะไรบ้างอย่างไร:

 

healthgene02

พ่อหรือแม่ฉลองวันเกิดอายุ 70:

สิ่งนี้แปลว่าเราจะมีความเสี่ยงน้อยมากกับปัญหาโรคระบบของหัวใจเมื่อมีวัยเพิ่มขึ้น รวมถึงความเสี่ยงเรื่องโรคของหลอดเลือดหัวใจ โรคความดันโลหิตสูงและโรคคอเลสเตอรอลที่จะน้อยกว่าคนอื่นๆ และถ้าหลังจากการฉลองวันเกิดครั้งนี้แล้ว ท่านยังมีอายุยืนยาวถึง 80 และ 90 ปี การวิจัยระบุว่าในทุกๆ 10 ปีที่ท่านยังมีชีวิตอยู่หลังวัย 70 ความเสี่ยงของคุณที่จะเสียชีวิตจากโรคหัวใจก็จะลดลงไป 20% ในทุกๆสิบปีที่ว่านี้ด้วย จากที่พบว่าพ่อแม่ที่อายุเกิน 70 ปี จะมีแนวโน้มส่งต่อยีนป้องกันโรคเหล่านี้ให้ลูกได้รับสืบทอดต่อมา

เพื่อผลดีแบบเดียวกัน: บริโภคส้มวันละสองผลทุกวัน วิธีนี้จะช่วยลดความเสี่ยงการเกิดโรคหัวใจลงได้ 22% โดยวิตามินซีในส้มจะช่วยลดระดับของโปรตีนที่ทำให้เกิดการข้นตัวของโลหิตที่จะไปเกาะผนังเส้นเลือดจนอุดตันให้น้อยลงได้

 

พ่อหรือแม่คนใดคนหนึ่งเป็นโรคจอตาเสื่อม (macular degeneration):

โรคจอตาเสื่อม คือโรคจากการเสื่อมบริเวณจุดภาพชัดของจอตา ทำให้สูญเสียการมองเห็นส่วนกลางของภาพ ถ้าพ่อหรือแม่คนใดคนหนึ่งมีอาการนี้ ก็แสดงว่าเรามีโอกาสเสี่ยงต่อโรคนี้ด้วยเช่นกัน จากสถิติประวัติครอบครัวพบว่า คนที่มีพ่อแม่เป็นโรคนี้ 7 คน จะมี 1 คนที่ได้รับการสืบทอดมา เนื่องจากมีองค์ประกอบในยีนที่มีความเสี่ยง ซึ่งสิ่งนี้จะเกิดขึ้นได้เมื่อเราอายุ 40 ปีขึ้นไป

วิธีรับมือ: เพิ่มการบริโภคอาหารที่อุดมด้วยวิตามินดี ให้มากขึ้น การวิจัยพบว่ามีความเกี่ยวข้องกันของการขาดวิตามินดีกับความเสี่ยงการเกิดโรคจอตาเสื่อม โดยเฉพาะในกลุ่มคนที่เสี่ยงจากกรรมพันธุ์ ซึ่งวิตามินดีจะช่วยได้จากบทบาทของมันที่ต้านการติดเชื้อ ควรให้ร่างกายสัมผัสกับแสงแดดช่วงเช้าตรู่หรือบ่ายแก่ๆ ซึ่งเป็นเวลาที่ร่างกายสะสมวิตามินดีไว้ได้ดีที่สุด

 

แม่สะโพกหัก:

ความเสี่ยงเรื่องนี้ของเราก็จะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า ซึ่งจะรู้ได้เมื่อเราอายุ 50 -90 ปี อันเป็นเวลายีนของเราจะบอกเรื่องความหนาแน่นของกระดูก ซึ่งยีนที่ว่านี้จะควบคุมความหนาแน่นของกระดูก และทำให้เราเพิ่มความเสี่ยงต่อกระดูกแตกหักได้มากกว่าคนทั่วไปประมาณ 50%

วิธีรับมือ: เพิ่มการบริโภคถั่วเหลืองให้มากขึ้น รวมทั้งผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลืองด้วยเช่น เต้าหู้ มิโสะ เพราะอาหารเหล่านี้มีสารไอโซฟลาโวน( isoflavone) ซึ่งเป็นสารเคมีที่มีโครงสร้างคล้ายกับโครงสร้างฮอร์โมนเอสโตรเจน (oestrogen) ซึ่งช่วยป้องกันผู้หญิงช่วงวัยทองจากโรคกระดูกพรุน

 

พ่อหรือแม่เป็นโรคซึมเศร้า:

ความเสี่ยงของเราต่อโรคนี้ก็จะสูงถึงหนึ่งในสาม จากแนวโน้มของยีนที่จะส่งต่อยังรุ่นต่อๆไปพบว่า จะมียีนเอกลักษณ์บุคคลที่มีความเกี่ยวเนื่องกับการเกิดโรคนี้ ซึ่งนักวิจัยอธิบายว่า ในขณะที่ 60% ของการเกิดโรคซึมเศร้าส่วนใหญ่มาจากสถานการณ์ชีวิตประจำวัน แต่ก็มีอีก 40% ที่จะถูกตัดสินจากยีนพันธุกรรม

วิธีรับมือ: บริโภคเนื้อสัตว์แดงปลอดไขมันที่เลี้ยงในทุ่งหญ้าเช่นเนื้อวัวในขนาดชิ้นเท่าฝ่ามือให้ได้ 3 ครั้งทุกๆสัปดาห์ ซึ่งนักวิจัยระบุว่า หากเรามียีนพันธุกรรมนี้และบริโภคเนื้อสัตว์แดงปริมาณน้อยกว่านี้ ก็จะยังมีแนวโน้มเป็นสองเท่าที่เสี่ยงต่อการเป็นโรคซึมเศร้า เนื้อวัวที่เลี้ยงในทุ่งหญ้าเป็นอาหารที่อุดมด้วยธาตุเหล็กและกรดไขมันโอเมก้า-3 ซึ่งเป็นสารอาหารที่เกี่ยวข้องกับพัฒนาการอารมณ์สุขภาพที่ดีของสภาวะจิตใจ

 

healthgene04

แม่มีผิวสวยที่ดูอ่อนเยาว์:

เราก็จะได้รับสิ่งดีๆนี้สืบทอดจากแม่เช่นกัน เนื่องจากไมโตคอนเดรีย ( mitochondria) ซึ่งเป็นเสมือนบ้านแห่งพลังงานของเซลล์ ที่มีบทบาทสำคัญในเรื่องสภาวะความชราของร่างกาย และทำหน้าที่ควบคุมว่าเราจะชราลงอย่างไร ไมโตคอนเดรียนี้ก็จะถูกสืบทอดจากแม่มายังเรา ทำให้เรามีผิวสวยใสไร้ริ้วรอยดูอ่อนเยาว์ได้นานกว่าแบบเดียวกันด้วย

เพื่อผลดีแบบเดียวกัน: ใช้ผลิตภัณฑ์กันแดดทุกวันเป็นประจำ ทำแบบนี้จะทำให้ลดโอกาสการเกิดริ้วรอยของผิวพรรณลงได้ถึง 24% จากการวิจัยของมหาวิทยาลัยควีนสแลนด์ ออสเตรเลีย

 

พ่อหรือแม่เป็นโรคหลอดเลือดสมอง (stroke) ก่อนอายุ 65 ปี:

Stroke หรือโรคหลอดเลือดสมอง คือภาวะที่สมองขาดเลือดไปเลี้ยงเนื่องจากหลอดเลือดมีการอุดตันหรือแตก ทำให้เนื้อเยื่อสมองถูกทำลาย การทำงานของสมองหยุดชะงักลง ถ้าพ่อหรือแม่ของเราเป็นโรคนี้ก่อนที่ท่านจะมีวัย 65 ปี โอกาสความเสี่ยงโรคนี้ของเราก็จะเพิ่มขึ้นเป็นสามเท่า ได้มีการวิจัยในเรื่องของยีนกับความเกี่ยวเนื่องของโรคนี้ว่า มียีนบางตัวที่เกี่ยวข้องกับการเกิด Stroke ทั้งสองชนิดคือ 1. ภาวะเลือดออกในสมองหรือ hemorrhagic Stroke ที่มาจากการมีเลือดออกในสมอง ซึ่งเกิดจากเส้นเลือดในสมองแตก และ 2. ภาวะสมองขาดเลือดหรือ Ischemic strokes ที่เกิดจากมีลิ่มเลือดไปอุดตันการไหลเวียนของเลือดที่จะไปเลี้ยงสมอง

วิธีรับมือ: หัดสวดมนต์ทำสมาธิให้จิตใจสงบ การศึกษาพบว่าเมื่อทำแบบนี้เป็นประจำทุกวันเป็นเวลาแปดสัปดาห์ จะช่วยลดความดันโลหิตที่เคยสูงให้ลดลงอย่างน่าพอใจ การมีความดันโลหิตสูง คือสิ่งที่ทำให้เกิดความเสี่ยงของโรคสโตรค ซึ่งนักวิจัยได้พบว่า การสวดมนต์ต่อเนื่องจะช่วยลดระดับความดันโลหิตได้ผลดี

 

healthgene05

แม่เป็นอัลไซเมอร์:

เราก็จะมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคนี้เพิ่มเป็นสิบเท่า เมื่อเทียบกับคนที่ไม่มีประวัติครอบครัวเป็นโรคนี้ ที่จริงแล้ว ถ้าพ่อหรือแม่คนใดคนหนึ่งเป็นอัลไซเมอร์ ซึ่งเป็นอาการสมองเสื่อม เราก็จะมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นอยู่แล้ว แต่จากการวิจัยแสดงผลว่าโอกาสที่เราจะได้รับสืบทอดโรคนี้ทางแม่มีโอกาสสูงกว่าได้รับจากทางพ่อ

วิธีรับมือ: ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมหลักของไลฟสไตล์บางเรื่องที่ทำเป็นประจำ โดยเฉพาะเรื่องการออกกำลังกายให้สม่ำเสมอขึ้น ควบคุมน้ำหนักตัวให้ไม่เกินมาตรฐาน ลดปริมาณแอลกอฮอล์ไม่ให้มากเกินไป บริโภคอาหารที่มีคุณค่าโภชนาการและงดสูบบุหรี่ การศึกษาพบว่าถ้าใครทำได้แบบนี้อย่างน้อย 4 อย่าง ก็จะลดความเสี่ยงของการเกิดโรคสมองเสื่อมลงได้ถึง 60 %

 

พ่อหรือแม่มีอายุยืนเกินเกณฑ์มาตรฐาน:

ถ้าพ่อของเรามีชีวิตอยู่ผ่านวัย 78 ปี หรือแม่ของเรามีชีวิตอยู่ผ่านวัย 84 ปี ซึ่งหมายถึงอายุยืนยาวกว่ามาตรฐานเกณฑ์อายุเฉลี่ยของคนไทยประมาณ 7 ปี เราก็จะมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งน้อยลง 24% ซึ่งสิ่งนี้เป็นรายงานการมีอายุยืนจากผลของยีนพันธุกรรม ไม่ใช่เรื่องของไลฟสไตล์การใช้ชีวิต

เพื่อผลดีแบบเดียวกัน: ออกกำลังกายเป็นประจำทุกวัน คนที่ออกกำลังกายสม่ำเสมอจะลดความเสี่ยงโรคมะเร็งอวัยวะสำคัญๆ รวมทั้งลดความเสี่ยงของโรคมะเร็งเต้านมลง 10% โรคมะเร็งลำไส้ 16% และโรคมะเร็งตับ 27%

 

healthgene03

พ่อหรือแม่คนใดคนหนึ่งเป็นโรคเบาหวานประเภท 2:

ความเสี่ยงของเราต่อโรคนี้ก็จะเพิ่มเป็นสองเท่า แต่ถ้าทั้งพ่อและแม่เป็นโรคนี้ทั้งคู่ เราก็จะเสี่ยงต่อโรคนี้เพิ่มขึ้นเป็น 6 เท่าเลยทีเดียว ซึ่งความเสี่ยงนี้จะเกิดขึ้นเมื่อพ่อหรือแม่หรือทั้งคู่เป็นโรคนี้ก่อนท่านจะอายุ 50 ปี เพราะมันจะมียีนบ่งชี้ว่าคุณจะมีความเสี่ยงต่อการเกิดเบาหวานประเภท 2 เช่นเดียวกับท่าน แต่ก็มีการวิจัยของสวีเดนพบว่า องค์ประกอบความเสี่ยงนี้อาจเปลี่ยนแปลงได้หากมีการควบคุมพฤติกรรมไลฟสไตล์การบริโภคที่เหมาะสม

วิธีรับมือ: เพิ่มการบริโภคธัญพืช, ผักผลไม้สด, ถั่วชนิดต่างๆให้มากขึ้น พืชผักเหล่านี้มีกรดอมิโนที่สามารถช่วยลดการเกิดโรคเบาหวานประเภท 2 ลงได้ถึง 20% ทั้งยังมีไฟเบอร์, สารโภชนาการจากพืช, สารต้านอนุมูลอิสระและกรดไขมันที่มีประโยชน์ ทั้งหมดนี้จะช่วยสนับสนุนแบคทีเรียที่ดีในลำไส้และปรับสมดุลระดับกลูโคสในกระแสโลหิตให้เหมาะสม

ได้รู้อย่างนี้แล้วจะเห็นใช่ไหมคะว่า สายสัมพันธ์ของครอบครัวเป็นสิ่งที่ลึกซึ้ง นอกจากในเรื่องของภาพลักษณ์และจิตใจแล้ว ก็ยังส่งผลมาถึงเรื่องสุขภาพที่สืบทอดถึงกันได้ด้วย เมื่อรู้อย่างนี้แล้ว อย่าลืมดูแลสุขภาพคุณพ่อคุณแม่ให้ใกล้ชิดขึ้น พร้อมทั้งเรียนรู้และดูแลสุขภาพตัวเองไปด้วยพร้อมๆกัน เพื่อจะได้เป็นครอบครัวสุขภาพดีทั้งร่างกายและจิตใจกันทุกคนค่ะ

นอนตะแคงซ้าย เทรนด์น่าสนใจของสายสุขภาพ

 

จำได้ว่าเมื่อตอนเด็กๆ ผู้ใหญ่มักสอนว่าให้เรานอนตะแคงขวาจะดีกว่า แต่วันนี้ มีข้อมูลดีๆของเรื่องสุขภาพการนอนหลับมาเล่าให้ฟังเรื่องของการนอนตะแคงด้านซ้าย ที่ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพการนอนหลับได้ทำการศึกษาไว้น่าสนใจมาก

เวลานอนหลับ ทุกคนก็จะเลือกท่านอนที่รู้สึกสบายที่สุด แต่หลายคนก็ตั้งคำถามกับตัวเองว่า ท่านี้มันดีต่อสุขภาพแค่ไหน จะนอนท่าไหนให้หลับสนิท นอนหงาย ตะแคงซ้ายตะแคงขวาเลือกไม่ถูก และเมื่อมีปัญหาการนอนหลับ เราก็จะโทษเรื่องท่านอนนี่แหละเป็นสิ่งแรก เช่นจะถามตัวเองว่า นอนหงายหรือนอนคว่ำเอาไงดี คิดจนอ่อนใจแล้วก็หลับไปเองด้วยท่าไหนก็ไม่รู้เหมือนกัน

ดร. จอห์น ดุยลลาร์ด ( Dr. John Douillard) แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านอายุรเวทของมลรัฐโคโลราโด สหรัฐอเมริกา ได้เล่าเรื่องของการนอนตะแคงซ้ายไว้ว่า เป็นสิ่งที่ช่วยให้ร่างกายได้พักผ่อนอย่างแท้จริง และต่อไปนี้คือเหตุผลว่าทำไม

 

1. กระดูกสันหลังและการหายใจ: ถ้าคุณไม่ได้นอนเพื่อจะวัดความสมมาตรของร่างกายทั้งสองข้างเมื่ออยู่บนเตียงแล้วละก็ ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพการนอนหลับแนะนำว่า คุณควรจะยึดติดกับการนอนตะแคงด้านใดด้านหนึ่งเอาไว้ เพราะนั่นคือสิ่งที่สัญชาตญาณของกระดูกสันหลังบอกคุณ หากคุณนอนหงาย น้ำหนักทั้งหมดของคุณก็จะลงไปอยู่ที่กระดูกสันหลัง ทำความกดดันให้กับหลังและสะโพก ทั้งทำให้ช่วงหลังส่วนล่างของคุณอยู่ในสภาพถูกแขวนลอยๆทำให้เป็นอันตรายในระยะยาว และหากนอนคว่ำ ก็จะไปทำความเครียดให้กับหลังและคอ การนอนตะแคง จึงเป็นท่านอนที่ดีที่สุดที่ช่วยให้เราหายใจนำออกซิเจนเข้าสู่ปอดได้ดีกว่า

 

healthleft03

 

2. ระบบการย่อยอาหาร: เมื่ออาหารเดินทางผ่านลงไปสู่กระเพาะอาหารของคุณและเกิดการย่อย อาหารส่วนที่ยังย่อยไม่หมดจะถูกย่อยสลายได้เร็วกว่าถ้านอนตะแคงซ้าย นี่คือการระบุของ ดร. ดุยลลาร์ด ทั้งการนอนตะแคงซ้ายจะทำให้กากอาหารที่ย่อยสลายแล้ว เดินทางจากลำไส้เล็กไปสู่ลำไส้ใหญ่ได้คล่องตัวกว่า ดร.ดุยล์ลาร์ดแนะนำว่า หลังการบริโภคอาหารมื้อเที่ยงแล้ว หากเราสามารถหาพื้นที่นอนพักผ่อนด้วยการนอนตะแคงซ้ายได้สักสิบนาที ก็จะช่วยให้อาหารย่อยได้เร็วกว่า ทั้งช่วยบรรเทาอาการอิ่มแล้วง่วงมากอยากหลับหรือ “food coma” ได้ด้วย ซึ่งอาการนี้เกิดจากร่างกายใช้พลังงานไปกับการย่อยอาหารอย่างมากจนเหลือพลังงานให้ร่างกายส่วนอื่นน้อยลง

 

3. ระบบไหลเวียนของต่อมน้ำเหลือง: การทำงานส่วนใหญ่ของระบบการไหลเวียนต่อมน้ำเหลืองของเรา จะอยู่ที่ร่างกายด้านซ้าย ซึ่งหากมีการอุดตันขึ้น ก็มักจะเกิดกับร่างกายด้านซ้าย การนอนตะแคงซ้าย จึงเท่ากับช่วยให้ร่างกายมีแรงดึงดูดของต่อมน้ำเหลือง ให้ระบายของเหลวไหลเวียนไปยังหัวใจและม้ามได้ดีขึ้น ซึ่งอวัยวะทั้งสองที่ว่านี้ก็จะอยู่ที่ร่างกายฝั่งซ้ายของเราเช่นกัน

นอกจากนี้ การนอนตะแคงซ้ายยังให้ผลดีต่อสุขภาพอีกมากมายเช่น:

 

healthleft02

 

ป้องกันฮาร์ทเบิร์นและช่วยระบบการย่อย: กระเพาะอาหารของเราที่อยู่ใต้กล้ามเนื้อหูรูดคาร์เดีย (cardiac sphincter) ซึ่งเป็นกล้ามเนื้อหูรูดเชื่อมต่อหลอดอาหารกับกระเพาะอาหาร กล้ามเนื้อนี้จะเปิดปิดเพื่อควบคุมการเคลื่อนที่ของอาหารลงสู่กระเพาะอาหาร และป้องกันไม่ให้อาหารไหลย้อนเข้าสู่หลอดอาหารอีก การนอนตะแคงซ้าย จะช่วยป้องกันการไหลย้อนของกรดและอาการฮาร์ทเบิร์นที่ทำให้แสบร้อนช่วงกลางอกจากการถูกน้ำย่อยกัดได้ในระหว่างที่เรานอนหลับ

ฟื้นฟูสุขภาพของลำไส้: การนอนตะแคงซ้าย จะช่วยให้ร่างกายกำจัดขยะพิษที่สะสมในลำไส้ออกไปง่ายขึ้น โดยการถ่ายโอนมันจากลำไส้เล็กไปสู่ลำไส้ใหญ่ ซึ่งผ่านทางลิ้นปิดเปิดระหว่างส่วนปลายของลำไส้เล็กที่ติดต่อกับส่วนลำไส้ใหญ่ที่เรียกว่า ลิ้นอิลีโอซีคัล (ileocecal valve) ที่อยู่ด้านซ้ายของร่างกาย การนอนตะแคงซ้าย จะช่วยแรงดึงดูดทำให้เกิดพัฒนาการของระบบเคลื่อนไหวของลำไส้ทำให้ขยับตัวได้ดีขึ้น

พัฒนาระบบทำงานของหัวใจ: การนอนตะแคงซ้าย จะช่วยให้หัวใจทำงานสูบฉีดโลหิตเข้าสู่ร่างกายได้ง่ายขึ้น

ฟื้นฟูการไหลเวียนของต่อมน้ำเหลือง: การทำงานของต่อมน้ำเหลืองจะกรองและระบายน้ำเหลืองที่ผ่านการกำจัดสิ่งแปลกปลอมแล้วเข้าสู่ท่อน้ำเหลืองขนาดใหญ่ที่เรียกว่า thoracic duct ที่อยู่ด้านซ้ายของร่างกาย การนอนตะแคงซ้ายจะช่วยขจัดสารพิษที่ค้างอยู่ออกไปได้ดีกว่า ทั้งช่วยการทำงานของต่อมน้ำเหลืองนำโปรตีนที่หายไปกลับคืนมาให้เซลล์ด้วย

ฟื้นฟูสุขภาพตับ: ตับเป็นอวัยวะที่ตั้งอยู่ทางด้านขวาของร่างกาย อายุรเวทเชื่อว่า การนอนตะแคงซ้าย จะช่วยให้ของเสียในตับไม่ตกตะกอนค้างอยู่ภายใน สามารถถูกกำจัดออกไปได้ดีขึ้น

ฟื้นฟูการทำงานของม้าม: การนอนตะแคงด้านซ้าย จะช่วยแรงดึงดูดทำให้ฟื้นฟูการไหลเวียนของเลือดที่จะไปสู่ม้าม ช่วยให้ม้ามทำงานได้ดีขึ้น

 

healthleft04

 

ให้ผลกำไรในช่วงตั้งครรภ์: โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงสามเดือนสุดท้ายของการตั้งครรภ์ การนอนตะแคงซ้ายจะช่วยช่วยเพิ่มการไหลเวียนของโลหิตที่จะไปเลี้ยงทารกในครรภ์ได้ดีขึ้น และยังช่วยการทำงานของตับอีกด้วย

ช่วยหยุดการนอนกรน: การนอนตะแคงซ้ายจะช่วยบำบัดเรื่องการกรน เพราะออกซิเจนจะเข้าสู่ร่างกายได้มากกว่า โดยเฉพาะในผู้ป่วยสภาวะหยุดหายใจขณะหลับ(sleep apnea)

เหล่านี้คือข้อมูลที่น่าพิจารณาของการนอนตะแคงซ้าย แต่อย่างไรก็ตาม ดร.สตีเวน พาร์ค (Dr. Steven Park) แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการนอนหลับแนะนำว่า การพยายามเปลี่ยนท่าการนอนจากที่เราคุ้นเคยอย่างกะทันหันอาจไม่ใช่สิ่งที่ดีนัก เพราะมันจะไปทำลายความคุ้นเคยต่อกิจวัตรการนอนของคุณ แต่อย่างไรก็ตาม หากคุณสนใจที่จะเริ่มฝึกหัดนอนตะแคงซ้ายแล้วละก็ ลองใช้เคล็ดลับค่อยเป็นค่อยไปที่แนะนำโดยผู้เชี่ยวชาญ:

เย็บลูกเทนนิสหรือลูกบอลนิ่มๆติดไว้ที่ข้างหลังเสื้อนอนของคุณ: เมื่อคุณเริ่มจะหมุนตัวกลับไปในระหว่างที่นอน มันก็จะได้ช่วยรั้งคุณไว้ให้กลับมานอนตะแคงซ้ายเหมือนเดิม

หาหมอนหนุนหลังไว้หลายๆใบในขณะนอนตะแคงซ้าย: มันก็จะช่วยให้คุณไม่เปลี่ยนท่ากลับมาอีกด้าน

แนะนำเคล็ดลับเหล่านี้ให้ ถ้าคุณลองทำแล้วรู้สึกว่าเริ่มคุ้นเคยกับการนอนตะแคงซ้าย ก็ขอให้ได้รับผลกำไรสุขภาพจากมันเต็มที่นะคะ!

บริโภค “ขมิ้นชัน” ไม่ใช่ดีต่อสุขภาพเสมอไป เข้าใจก่อนบริโภค

 

เมื่อวันก่อน ดิฉันเข้าไปในเฟสบุค ก็ได้เห็นว่ามีการพูดถึงสรรพคุณของ “ขมิ้นชัน” ว่าช่วยป้องกันโรคและอาการต่างๆได้มากมาย และก็ได้เห็นว่ามีคนที่สนใจทั้งสั่งซื้อและแชร์ข้อความ ทำให้ต้องมาเล่าเรื่องราวของสมุนไพรชนิดนี้ ว่ามันไม่ได้มีแต่ผลดีเพียงด้านเดียว แต่สามารถก่อปัญหาสุขภาพได้เช่นกัน หากเราบริโภคโดยไม่รู้จักมันอย่างแท้จริง

 

คุณรู้จัก “ขมิ้นชัน” ดีแค่ไหน

ก่อนอื่น เรามาทำความรู้จักกับเจ้าสมุนไพรสีสวยนี้กันก่อนค่ะ “ขมิ้นชัน” หรือที่ขมิ้นแกงที่เราใช้ใส่ในอาหารชนิดต่างๆนี้ ส่วนที่เรานำมาใช้ก็คือรากของมันที่อยู่ลึกลงไปในดิน เมื่อเรามองย้อนหลังไปในประเทศอินเดียก็พบว่า มีการใช้ขมิ้นชันมาเกือบจะเป็นเวลาสี่พันปีมาแล้ว ทั้งใช้ปรุงอาหาร ใช้เป็นยารักษาโรคบาง รวมถึงใช้ในพิธีกรรมต่างๆ แม้จะยังไม่มีรายงานทางการแพทย์รับรองถึงประโยชน์ของมัน แต่ขมิ้นชัน ก็เป็นสมุนไพรที่ได้รับการศึกษาค้นคว้าจากวงการผู้ผลิตยาและเครื่องสำอาง ตลอดจนวงการธรรมชาติบำบัดอย่างกว้างขวางถึงคุณประโยชน์ในด้านสุขภาพ

 

ขมิ้นชัน จะถูกพูดถึงสรรพคุณในการเป็นสมุนไพรธรรมชาติบำบัดที่เชื่อว่ามันมีผลข้างเคียงน้อยมากเมื่อเทียบกับการใช้ยาทั่วไป แต่ข้อมูลสรรพคุณมากมายนี้เอง ที่ทำให้เข้าใจคลาดเคลื่อนและขาดความระวังในการใช้ สิ่งที่ให้ผลกำไรสุขภาพของเราในขมิ้นชัน ก็คือสารประกอบของมันที่มีชื่อว่า “เคอร์คูมิน” (curcumin) ซึ่งมีการศึกษาวิจัยของหลายสถาบันพบว่า เคอร์คูมิน มีคุณสมบัติเป็นสารต้านการติดเชื้อ ( anti-inflammation), สารต้านอนุมูลอิสระ ( anti-oxidant) , สารต้านการก่อมะเร็ง (anti-carcinogenic) และสารต้านการจับตัวเป็นก้อนของโลหิต (anti-thrombotic) สรรพคุณเหล่านี้ถูกผู้ผลิตนำมาบอกเล่า ทั้งผลิตภัณฑ์เสริมอาหารและเครื่องสำอาง ที่นำขมิ้นชันมาเป็นส่วนผสมในผลิตภัณฑ์ความงาม และก็ยังนำไปใช้เป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารสมุนไพรในแนวธรรมชาติบำบัด ทั้งแบบผงและแคปซูล เพื่อบริโภคเดี่ยวๆหรือร่วมกับสมุนไพรหรือยาชนิดอื่นๆ แต่การใช้ขมิ้นชันโดยไม่ศึกษาเรื่องผลข้างเคียง ก็จะทำให้คุณสมบัติเดียวกันที่เป็นประโยชน์ กลับเป็นโทษได้ด้วย

 

healthkamin03

 

เลี่ยงบริโภคขมิ้นชันถ้าคุณอยู่ในกลุ่มเหล่านี้

ด้วยคุณสมบัติช่วยต้านการแข็งตัวของโลหิต (anti-thrombotic) ทำให้ผู้ผลิตพยายามทำให้เราเข้าใจว่า ขมิ้นชัน จะช่วยเรื่องของโรคหลอดเลือดอุดตันได้ แต่ในขณะเดียวกัน คุณสมบัตินี้ของมัน ก็หมายถึงการทำให้โลหิตแข็งตัวได้ยากขึ้นเมื่อมีบาดแผลหรือเมื่อผ่าตัด ซึ่งอันตรายมากหากคนไข้มีการบริโภคขมิ้นร่วมกับยาต้านการแข็งตัวของลิ่มเลือดก่อนผ่าตัด เพราะมันจะไปเพิ่มความเสี่ยงของการเลือดออกมากหรือเลือดแข็งตัวได้ช้าลง ยาที่อาจทำให้เกิดเหตุการณ์นี้เมื่อบริโภคร่วมกับขมิ้น เช่นยาวาร์ฟาริน warfarin หรืออีกชื่อคือคูมาดิน ( coumadin) ซึ่งจะไปยับยั้งการสังเคราะห์วิตามินเคซึ่งเป็นวิตามินสำคัญที่ทำให้เกิดกระบวนการจับตัวของลิ่มเลือด, ยาโคลพิโดเกรล clopidogrel หรือที่รู้จักกันคือยา พลาวิกซ์ ( Plavix) , ยาแอสไพริน ( aspirin ) นี่คือสิ่งที่ควรรู้เรื่องแรกเมื่อคิดจะบริโภคขมิ้นชัน

 

healthkamin02

 

เรื่องต่อมาก็คือ ขมิ้นชัน สามารถไปยับยั้งประสิทธิภาพของยาที่ใช้เพื่อลดกรดในกระเพาะอาหารได้ด้วย นั่นคือเมื่อเราบริโภคขมิ้นชันร่วมกับยาลดกรด มันก็จะไปทำให้ร่างกายผลิตกรดในกระเพาะอาหารในปริมาณมากขึ้นกว่าเดิม ซึ่งสิ่งที่จะบอกได้ว่าเกิดปฏิกิริยานี้ในร่างกายก็คือ อาการคลื่นไส้, ท้องอืดและปวดท้อง ทั้งกรดที่ผลิตเกินนี้ ก็สามารถจะไปทำความเสียหายให้กับหลอดอาหารได้ ยาลดกรดที่มักจะมีปัญหาเมื่อบริโภคร่วมกับขมิ้นชันนี้ได้แก่ยาไซเมทิดีน Cimetidine หรือยาทากาเมท ( Tagamet) ซึ่งเป็นยาในกลุ่มออกฤทธิ์ยับยั้งการหลั่งของกรดในกระเพาะอาหาร, ยาฟาโมทิดีน (Famotidine) หรือยาเป็ปซิด ( Pepcid) ซึ่งเป็นยารักษาแผลในกระเพาะอาหารหรือโรคกรดไหลย้อน, ยารานิทิดีน ( Ranitidine) หรือยาแซนแทค (Zantac) และยาโอเมพราโซล ( Omeprazole ) ซึ่งทั้งหมดเป็นยาในกลุ่มลดการหลั่งกรดในกระเพาะอาหาร ที่ควรระวังในการนำมาใช้บริโภคร่วมกับขมิ้นชัน

 

นอกจากนี้ ขมิ้นชัน ยังเป็นสมุนไพรที่ควรระวังหากมีการบริโภคร่วมกับยารักษาโรคเบาหวาน เนื่องจากยาเหล่านั้นจะลดระดับน้ำตาลในเลือดให้มีระดับต่ำลง ขมิ้นชัน จะไปเพิ่มประสิทธิภาพของการลดน้ำตาล ทำให้เกิดความเสี่ยงที่ผู้ป่วยจะมีระดับน้ำตาลในเลือดต่ำเกินไป อันจะนำไปสู่ผลข้างเคียงอื่นๆเช่นอาการสั่น,การเกิดความรู้สึกวิตกกังวล, สายตาเบลอมองเห็นภาพไม่ชัดเจน, ภาวะสมองทำงานบกพร่องกระทันหัน ทำไห้กิดอาการสับสน เกิดปัญหากับประสิทธิภาพความทรงจำ ความคิดและระดับความรู้สึกตัว หรือที่เรียกว่าภาวะสับสนฉับพลัน (delirium) ที่เกิดจากการลดประสิทธิภาพของสภาวะการรับรู้เกี่ยวกับตัวเองและสิ่งแวดล้อม จากปัญหากระบวนการทำงานของสมอง

 

healthkamin04

 

การบริโภคขมิ้นชัน ยังสามารถทำให้เกิดการแพ้อาหารได้ในบางคน ซึ่งจะแสดงผลออกมาหลากหลายอาทิ การเกิดผื่นสิว, โรคลมพิษ, ผื่นแพ้ผิวหนัง, หรือหากแพ้มากๆก็อาจมีอาการรุนแรงอื่นๆเช่น หายใจติดขัดเป็นห้วงๆ หรือนำไปสู่อาการแพ้ที่รุนแรงที่อันตรายถึงชีวิตได้เช่น อาการทางปอด แน่นหน้าอก หายใจหอบ หนังตาและปากบวม กลืนลำบาก ฯลฯ ดังนั้น หากคุณกำลังบริโภคขมิ้นชันนี้อยู่ร่วมกับยาบางชนิด หรือหากคุณพบว่ามีอาการแพ้หรือปัญหาอย่างใดอย่างหนึ่งที่เล่ามานี้เมื่อบริโภคขมิ้นชัน ก็ขอแนะนำให้ลดปริมาณของมันลงมา หรือเปลี่ยนเป็นสมุนไพรชนิดอื่นโดยปรึกษาแพทย์เพื่อให้ได้คำตอบที่เหมาะสม

 

สิ่งที่อยากจะบอกก็คือ ไม่ใช่แต่เรื่องของขมิ้นชัน แต่การที่คุณคิดจะบริโภคผลิตภัณฑ์เสริมอาหารใดๆทั้งวิตามินสังเคราะห์ หรือสมุนไพรที่ระบุว่าผลิตจากธรรมชาติก็ตาม อย่าลืมที่จะศึกษาข้อดีข้อเสียของมันก่อน จำไว้ว่า เมื่อได้รับรู้คำบอกเล่าถึงข้อดีของมัน ให้ถามตัวเองเสมอว่า “แล้วข้อเสียของมันล่ะคืออะไร” และอย่าเพิ่งบริโภคมันจนกว่าคุณจะได้คำตอบข้อหลัง ข้อมูลทั้งสองด้านจะช่วยให้เราตัดสินใจอย่างถูกต้อง เพื่อความปลอดภัยของตัวเราเอง หวังว่าข้อมูลที่เล่ามาจะเป็นประโยชน์ให้คุณตัดสินใจกับการใช้ “ขมิ้นชัน” ได้อย่างเหมาะสมนะคะ

เรื่องไม่ควรทำเมื่อตอนท้องว่าง

 

ก่อนจะคุยกันวันนี้ ต้องมาทำความเข้าใจกันก่อนว่า คำว่าท้องว่างที่ดิฉันพูดถึงนี่ หมายถึงเวลาที่กระเพาะอาหารของคุณยังว่างเปล่า เพราะคุณยังไม่ได้บริโภคอาหารใดๆเข้าไป ไม่ใช่หมายถึงท้องว่างจากการตั้งครรภ์นะคะ เชื่อว่าคุณคงเคยได้ยินเรื่องการดื่มน้ำเป็นสิ่งแรกเมื่อตื่นนอน และอีกหลายเรื่องราวของการดูสุขภาพที่ดี ซึ่งมีหลายเรื่องที่คุณสามารถทำได้เมื่อยังไม่มีอาหารตกถึงท้อง แต่มันก็มีอีกหลายเรื่องเช่นกัน ที่คุณควรหลีกเลี่ยงในเวลาที่กระเพาะอาหารยังว่างเปล่า และต่อไปนี้คือสิ่งที่คุณไม่ควรทำ:

 

healthemty02

 

1. ดื่มชาหรือกาแฟ: การดื่มกาแฟขณะที่ท้องว่างสามารถจะไปกระตุ้นการผลิตกรดในกระเพาะอาหาร ซึ่งเป็นสาเหตุของอาการฮาร์ทเบิร์นและกรดไหลย้อนได้ จำไว้ว่าให้ดื่มน้ำหนึ่งแก้วก่อนที่คุณจะดื่มเครื่องดื่มใดๆเข้าไป หากกระเพาะอาหารของคุณยังว่างเปล่า และควรเติมนมหรือครีมลงในกาแฟหรือชา เพื่อให้ไขมันจากนมหรือครีมช่วยให้กาแฟย่อยง่ายขึ้น ทั้งยังเป็นการเซ็ทอัพร่างกาย ให้ไปสู่การดูดซึมสารอาหารที่เหมาะสมได้ตลอดวันอีกด้วย

 

2. ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์: การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ขณะท้องว่าง จะนำไปสู่การดูดซึมแอลกอฮอล์เข้าสู่กระแสโลหิตโดยตรง ซึ่งสิ่งนี้จะไปขยายหลอดเลือดแดงให้กว้างขึ้น ทั้งยังไปลดความดันโลหิตให้ต่ำวูบลงชั่วคราว และเมื่อมีระดับของแอลกอฮอล์เข้มข้นมากๆในกระแสโลหิต สิ่งนี้ก็จะไปเพิ่มการสูญเสียการควบคุมตัวเองทำให้ควบคุมไม่ได้

 

healthemty03

 

3. บริโภคยา NSAIDS หรือยาแก้ปวด: ยาต้านการอักเสบชนิดที่ไม่ใช่ยาสเตียรอยด์ หรือที่มีชื่อว่า Nonsteroidal Anti-inflammatory Drugs (NSAID) และยาแก้ปวดอีกหลายชนิดเช่นยาพาราเซตามอล, แอสไพริน ฯลฯ เป็นสิ่งที่ไม่ปลอดภัยถ้าบริโภคในขณะท้องว่าง เพราะมันสามารถจะนำไปสู่การมีเลือดออกในทางเดินอาหารได้

 

4. บริโภคผลไม้รสเปรี้ยว: คุณสามารถบริโภคผลไม้บางชนิดได้ในขณะที่ท้องว่าง เช่นกล้วยหรือแอปเปิ้ล แต่ให้อยู่ห่างจากผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว เพราะการบริโภคผลไม้รสเปรี้ยวในขณะท้องว่าง จะนำพาคุณไปสู่ความเสี่ยงของการมีกรดเกินในกระเพาะ

 

5. ออกกำลังกาย: ถ้าคุณคิดว่าจะสามารถลดน้ำหนักได้มากกว่าด้วยการออกกำลังกายโดยไม่บริโภคอะไรเลยในตอนเช้าละก็ นั่นคือความคิดที่ผิด เพราะเมื่อเวลาที่คุณออกกำลังกาย ร่างกายจะต้องใช้ไกลโคเจน (glycogen) ซึ่งมาจากอาหารที่คุณบริโภคเพื่อมาเผาผลาญไขมัน ซึ่งถ้าคุณไม่มีระดับของไกลโคเจนที่เพียงพอ ร่างกายของคุณก็จะยุติการเผาผลาญไขมัน และนำไปสู่การเก็บสะสมไขมันไว้ในร่างกายไว้ในปริมาณที่มากกว่า

 

6. ออกไปทำงาน: การออกไปทำงานโดยท้องว่างไม่ได้บริโภคอะไรเลย จะจำกัดประสิทธิภาพและศักยภาพในการทำงานและความคิดให้ด้อยลง การตัดสินใจแก้ไขปัญหาของงานก็จะไม่เฉียบคมเท่าที่ควร ดังนั้น ก่อนไปทำงานให้ฟังเสียงความต้องการของร่างกาย และอย่าละเลยความรู้สึกที่คุณมีในเรื่องของอาหารเช้า ถ้าร่างกายคุณรู้สึกว่าขาดพลังงานเมื่อออกไปทำงานด้วยท้องที่ว่างเปล่า ก็อย่าลืมบริโภคอาหารบ้างแม้เพียงเล็กน้อยก็ยังดีในคราวต่อไป เพื่อให้คุณมีพลังทำงานได้ตลอดเช้าก่อนจะถึงมื้อเที่ยง

 

healthemty04

 

7. ซื้อของในซูเปอร์มาร์เก็ต: ไม่มีใครไม่ชอบการช้อปปิ้ง แต่ให้หลีกเลี่ยงการก้าวเข้าไปในซูเปอร์มาร์เก็ตเมื่อท้องว่าง เพราะคุณจะมีแนวโน้มที่จะซื้ออาหารที่มีแคลอรี่และไขมันสูง ดังนั้น คราวหน้าที่คุณจะเข้าไปในที่นั้น ให้บริโภคอาหารให้อิ่มก่อนค่อยก้าวเข้าไป

 

อาหารคือพลังงานที่จะทำให้ร่างกายทำกิจวัตรในชีวิตประจำวันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้น ร่างกายของเราควรได้รับการเติมเต็มด้วยอาหารอย่างเพียงพอเพื่อใช้ในชีวิตประจำวัน เหมือนกับที่เราต้องเติมน้ำมันให้รถยนต์เพื่อให้มันขับเคลื่อนไปได้ การอดอาหารไม่ใช่วิธีได้มาซึ่งรูปร่างที่ดี แต่การบริโภคอย่างมีสติ เพื่อให้ร่างกายได้สารอาหารที่ดีในปริมาณที่เหมาะสมต่างหาก ที่จะทำให้เรามีรูปร่างดูดีดังต้องการ เมื่อรู้แบบนี้แล้ว ก็อย่าลืมเติมพลังงานให้ร่างกายให้เพียงพอในเวลาที่เหมาะสมกันด้วยนะคะ

“ปวดศีรษะ” แก้ไขได้ถ้าเข้าใจถึงสาเหตุ

 

สภาพอากาศช่วงนี้ที่เดี่ยวร้อนเดี๋ยวฝน ทำให้หลายคนคงรู้สึกไม่สบาย และอาการอย่างหนึ่งที่มักเกิดขึ้นบ่อยๆก็คืออาการ“ปวดศีรษะ” ซึ่งถึงแม้ว่ามันจะเป็นสิ่งที่ได้ยินบ่อยๆเหมือนเป็นเรื่องธรรมดาที่เกิดขึ้นกับใครก็ได้ แต่รู้ไหมว่าอาการนี้ เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้คนทำงานส่วนมากต้องลาหยุดงานหรือหยุดเรียน หรือบางรายต้องไปพบแพทย์จากการปวดศีรษะแบบเรื้อรังไม่ยอมหายขาด ซึ่งบางคนก็จะเกิดอาการปวดนี้ขึ้นเมื่อรู้สึกเหนื่อยล้าหรือนอนไม่พอ ในขณะที่บางคนก็จะปวดศีรษะถ้าวันนั้นดื่มน้ำน้อยเกินไป จะเห็นได้ว่า สาเหตุการปวดศีรษะมักจะมีหลากหลาย มาเรียนรู้ว่ามันเกิดจากอะไรและจะดูแลอย่างไร

อาการปวดศีรษะที่เรามักจะเป็นกันบ่อยที่สุด จะมีอยู่ 4 ชนิดด้วยกัน และทุกชนิดก็จะบอกถึงปัญหาบางอย่างในร่างกายของเรา ซึ่งถ้าหากคุณเรียนรู้สัญญาณของมัน คุณก็จะบำบัดได้อย่างถูกต้องหากมันเกิดขึ้นกับคุณหรือคนใกล้ชิด

 

1. ปวดศีรษะจากไซนัสอักเสบ ( Sinus headache): ไซนัส คือโพรงอากาศเล็กๆในกระโหลกศีรษะ โพรงนี้จะอยู่รอบๆบริเวณจมูกและมีทางเชื่อมต่อกับโพรงจมูก เมื่อมีเชื้อโรคลุกลามเข้าไป จะทำให้เกิดการอักเสบและปวดศีรษะ อาการปวดศีรษะจากไซนัสจะเกิดขึ้น เมื่อโพรงไซนัสเริ่มมีอาการติดเชื้อหรือถูกปิดกั้น ซึ่งจะทำให้เกิดความเจ็บปวดขึ้นที่ภายในบริเวณหลังแก้ม, และช่วงระหว่างจมูกและนัยน์ตา อาการปวดนี้จะยิ่งเลวร้ายขึ้นไปอีก เวลาที่คุณต้องโน้มตัวไปทางด้านหน้าหรือเมื่อตื่นนอนในตอนเช้า ซึ่งสาเหตุที่พบบ่อยๆว่าทำให้เกิดอาการอักเสบนี้ จะรวมถึงปฏิกิริยาภูมิแพ้ของร่างกาย, การเกิดก้อนบวมหรือเกิดการติดเชื้อ ซึ่งสิ่งที่ควรรู้ก็คือ อาการปวดศีรษะจากไซนัสอักเสบนี้ จะมีอาการรุนแรงและใกล้เคียงอย่างมากกับการปวดศีรษะไมเกรน ทำให้อาจเกิดความเข้าใจสับสนได้

วิธีดูแล: พยายามดื่มน้ำสะอาดและบริโภคอาหารที่เป็นของเหลวให้มากที่สุด นอกจากนี้ สิ่งที่จะช่วยให้อาการนี้ทุเลาลงได้มากก็คือการใช้น้ำอุ่น ซึ่งจะให้ผลดีมากในการช่วยลดอาการติดเชื้อ น้ำอุ่นจะช่วยเปิดโพรงไซนัสให้โล่งขึ้นจากการอุดตัน นอกจากนี้ สิ่งที่แนะนำคือการประคบเย็นและร้อนสลับกัน ซึ่งจะช่วยให้จมูกโล่งขึ้นและลดความเจ็บปวดลง, การบริโภคซุปอุ่นๆหรือขิงสด ซึ่งเป็นพืชสมุนไพรที่มีคุณสมบัติทรงพลัง ช่วยลดอาการติดเชื้อและความเจ็บปวด

 

healthheadacne03

 

2. ปวดศีรษะจากความเครียด (Tension headache): เป็นอาการปวดศีรษะที่เกิดขึ้นมากและบ่อยที่สุด ซึ่งอาการนี้เมื่อเกิดขึ้น จะรู้สึกปวดตุบๆเหมือนกับมีอะไรมากดหรือบีบ ซึ่งจะเป็นความปวดคงที่อยู่บริเวณรอบๆศีรษะ จุดหลักที่จะมีอาการก็คือ ที่ส่วนท้ายทอย ส่วนด้านหลังของกระโหลกศีรษะ ตลอดจนที่คอหรือที่ขมับทั้งสองข้าง ซึ่งอาจเกิดขึ้นที่บริเวณส่วนใดส่วนหนึ่งหรือทุกส่วนรวมกัน และอาการปวดนี้ ยังสามารถแผ่ไปถึงบริเวณด้านบนหรือล่างของนัยน์ตาได้อีกด้วย อาการปวดศีรษะจะเกิดขึ้นได้ทั้งแบบไม่กี่นาที หรือเกิดไปจนถึงนานๆ 2-3 วัน สิ่งที่จะกระตุ้นอาการให้เกิดได้ง่ายขึ้นก็คือ การอดนอน ,อดอาหารและน้ำ, การเผชิญสถานการณ์ของความเหนื่อยล้า, การถูกกดดันอย่างสูงทางอารมณ์ ตลอดจนการดื่มแอลกอฮอล์

วิธีดูแล: วิธีธรรมชาติบำบัด แนะนำให้ใช้น้ำมันหอมระเหยเปปเปอร์มินท์และชาขิง เพื่อที่จะช่วยลดอาการปวด ลองหยดน้ำมันเปปเปอร์มินท์ลงที่บริเวณโคนผมและกดนวดให้ทั่วศีรษะ เพื่อให้ความเย็นซ่าของน้ำมันช่วยคลายความตึงของกล้ามเนื้อบริเวณศีรษะและลำคอ การดื่มชาขิงอุ่นๆก็ยังช่วยลดการติดเชื้อได้ด้วย

 

3. ปวดศีรษะคลัสเตอร์ (Cluster Headache): เป็นชื่อของอาการปวดศีรษะจากความผิดปกติของเส้นประสาทสมองคู่ที่ 5 และระบบประสาทอัตโนมัติ ( TACs) ที่มักจะพบอาการนี้ในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง จะมีอาการปวดศีรษะอย่างรุนแรงด้านเดียวที่บริเวณรอบตา เหนือเบ้าตาหรือขมับ บางครั้งอาจมีอาการตาแดง น้ำตาไหล คัดจมูก หนังตาบวม เกิดขึ้นร่วมด้วย ซึ่งสาเหตุการเกิดยังไม่เป็นที่ทราบชัดเจน แต่เป็นเพราะความผิดปกติในการเชื่อมโยงของสารสื่อประสาทบางชนิด ซึ่งอาการปวดศีรษะคลัสเตอร์นี้ สามารถถ่ายทอดถึงกันทางกรรมพันธุ์ได้ และมักเป็นในผู้ชายอายุ 30-50 ปี โดยมีปัจจัยกระตุ้นคือการดื่มแอลกอฮอล์, การออกกำลังกายหักโหม,การอยู่ในที่ๆมีอุณหภูมิร้อนจัด และการสัมผัสกับกลิ่นที่รุนแรง

วิธีดูแล: แนวทางธรรมชาติบำบัดพบว่า การใช้ครีมที่มีส่วนผสมของสารแคปไซซิน (Capsaicin) ซึ่งเป็นสารที่มีในพืชตระกูลพริก โดยเฉพาะพริกคาเยน ( cayenne pepper) ทาที่บริเวณปวดเพียงปริมาณเล็กน้อย ก็สามารถทำให้ร่างกายมีการส่งสัญญาณไปยังระบบประสาท เพื่อบรรเทาความเจ็บปวดจากเส้นประสาทที่เกิดการอุดตันนี้ได้

 

healthheadacne02

 

4. ปวดศีรษะไมเกรน (migraine): จากสถิติพบว่า ไมเกรนมักจะเกิดกับคนที่อยู่ในช่วงอายุระหว่าง 25 ปีและอายุ 55 ปี แต่ความจริงแล้ว มันสามารถจะเกิดกับทุกคนได้โดยไม่เลือกวัย อาการปวดศีรษะชนิดนี้ จะมีความซับซ้อนมากกว่าอาการปวดศีรษะชนิดอื่นๆ เพราะไมเกรนจะรวมอาการหลากหลายที่แตกต่างกันของระบบประสาท และแสดงออกทางร่างกายอย่างหลากหลาย รวมทั้งการปวดศีรษะอย่างเข้มข้นทรมาน ซึ่งจะมีทั้งอาการปวดสั่นที่ศีรษะข้างใดข้างหนึ่งเท่านั้น และอาการปวดสั่นรุนแรงเกิดขึ้นที่ศีรษะทั้งสองข้าง ซึ่งจะพบได้ถึงหนึ่งในสามของผู้ที่ถูกโจมตีด้วยอาการไมเกรน อาการปวดนี้จะรวมไปถึงมีการอาเจียน เวียนศีรษะ คลื่นไส้ ตาพร่าหรือมีความผิดปกติของการมองเห็น อาการอ่อนไหวอย่างมากต่อแสงสว่าง กลิ่น การสัมผัส เสียง เช่นเดียวกับความรู้สึกซ่าชาหรือเจ็บเสียวที่ใบหน้า ซึ่งจะมีอาการปวดเหล่านี้แผ่จากด้านบนของศีรษะลงมาสู่ด้านล่าง

วิธีดูแล: ได้มีการศึกษาระบุว่า มีคนไข้ไมเกรนมากมายที่ได้รับผลกำไรจากการบริโภคกรดไขมันโอเมก้า-3, วิตามิน บี12 หรือไรโบฟลาวิน ( riboflavin),และแมกนีเซียม ซึ่งนักธรรมชาติบำบัดแนะนำให้เพิ่มสารอาหารเหล่านี้ หรือผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเหล่านี้ในมื้อประจำวันของคุณ

 

ไม่ว่าจะมีอาการผิดปกติมากหรือน้อยใดๆที่ขึ้นกับร่างกายของเรา การค้นหาทุกสาเหตุให้พบแต่เนิ่นๆ ไม่ปล่อยปละละเลย จะช่วยให้เรื่องเล็กไม่กลายเป็นเรื่องใหญ่ เพราะหลายเรื่องของปัญหาสุขภาพ เราแก้ไขได้โดยเริ่มที่ตัวของเราเองถ้ารู้สาเหตุ โดยเฉพาะเรื่องของอาการปวดศีรษะ แค่หลีกเลี่ยงที่จะนำตัวเองเข้าไปอยู่ในสภาวะแวดล้อมของความเสี่ยงทั้งร่างกายและจิตใจ ไม่เครียดไม่ย้ำคิดย้ำทำ ไม่ปล่อยให้ความรู้สึกด้านลบเข้ามาทำร้ายตัวเอง เพียงเท่านี้ก็จะทุเลาเรื่องที่จะทำให้เกิดปัญหาสุขภาพไปได้มากมายแล้วค่ะ

เรื่องน่ารู้ของการผสมผสานน้ำผักผลไม้

 

อากาศร้อนๆบริโภคอะไรก็ไม่ชื่นใจเท่าผลไม้ ทั้งแบบสดๆ, แบบน้ำผลไม้คั้นสด หรือแบบสมูตตี้ปั่นก็อร่อยสดชื่นได้เหมือนกัน แต่มีหลายคนที่รู้สึกว่าบางครั้งดื่มหรือบริโภคผลไม้บางอย่างด้วยกันแล้ว จะมีอาการผิดปกติของร่างกายเช่นปวดท้อง, แน่นอึดอัดจากแกส, ท้องเสีย หรือแม้แต่ปวดศีรษะ นั่นเป็นเพราะเราผสมผสานชนิดของผักผลไม้ที่บริโภคเข้าไปนั้นอย่าง “ไม่เข้ากัน” ทำให้ร่างกายเกิดมีปัญหา วันนี้ชวนมาเรียนรู้เรื่องของหลักการผสมผสานผักผลไม้สด เพื่อให้คุณดื่มน้ำผักผลไม้หน้าร้อนได้อย่างชื่นใจพร้อมสุขภาพดีกันค่ะ

 

หลีกเลี่ยงการผสมผสานสิ่งเหล่านี้

ไม่ว่าจะเป็นการนำมารวมกันเพื่อทำน้ำผลไม้ หรือจะบริโภคมันในรูปแบบผลไม้สดก็ตาม ผักผลไม้เหล่านี้รวมถึงขนมหวานบางอย่าง ที่มักถูกนำมาผสมผสานเพื่อทำเป็นสมูตตี้ปั่นให้คุณดื่ม ก็มีสารเคมีในอาหารที่ขัดหรือตรงกันข้ามกันและมีความยากที่จะผสมผสาน เมื่อมันถูกนำมารวมกันและเข้าสู่ระบบการย่อย สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ ร่างกายไม่สามารถย่อยสลายมันได้หมดทำให้เกิดอาการต่างๆ ต่อไปนี้คือสิ่งที่ไม่ควรถูกนำมารวมเข้าด้วยกัน

1. กล้วยหอมกับขนมพุดดิ้ง: มักเป็นเมนูปั่นที่ครีเอทโดยร้านขายสมูตตี้ที่ขาดความรู้เรื่องของ food combining และหวังเพียงแต่จะนำเสนอรสชาติที่เข้มข้นเท่านั้น แต่การจับเอาสองสิ่งนี้มารวมกันเพื่อครีเอทเป็นน้ำผลไม้ คือการสร้างงานหนักให้กับกระเพาะอาหารต่อการทำหน้าที่ในการย่อย ทั้งเครื่องดื่มนี้ยังไปชลอความคิดให้เฉื่อยชา รวมทั้งเพิ่มการสร้างมลพิษจากปริมาณน้ำตาลที่สูงให้กับร่างกายแทนที่จะดีต่อสุขภาพ และถ้านำเครื่องดื่มนี้ไปให้เด็กๆบริโภค มันก็อาจจะเป็นสิ่งที่ส่งผลเสียอย่างมากต่อระบบการย่อย

2. ส้มกับแครอท: ถึงแม้การนำสองสิ่งนี้มาผสมกัน จะเป็นยอดนิยมของน้ำผลไม้ทั้งในรูปแบบของน้ำผลไม้กล่องหรือแบบคั้นสดก็ตาม แต่การดื่มน้ำผสมสองสิ่งนี้ จะทำให้เกิดอาการแสบร้อนในช่องอกหรือที่เรียกว่าฮาร์ทเบิร์น ตลอดจนอาการกรดไหลย้อนที่ทำให้รู้สึกมีรสขมของน้ำดี หรือรสเปรี้ยวของกรดในคอหรือในปาก เพราะมีการย้อนกลับของกรดในกระเพาะอาหาร ( bile reflux) รวมทั้งอาการแสบร้อนในช่องอกจากการถูกกรดกัดกร่อน เช่นทั้งยังทำให้ไตต้องทำงานหนักขึ้น ซึ่งเป็นเครื่องดื่มที่ไม่เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับไต

 

healthfruit04

 

3. สับปะรดกับนม: เมื่อสองสิ่งนี้มารวมกัน จะทำให้เกิดแกสในกระเพาะอาหาร, อาการคลื่นไส้, ปวดศีรษะ,และการปวดท้อง และอาจนำไปสู่การติดเชื้อในระบบการย่อยรวมไปถึงท้องร่วงได้

4. มะละกอกับมะนาว: เมื่ออยู่ด้วยกันจะทำให้เกิดการพัฒนาไปสู่โรคโลหิตจางหรือภาวะซีด รวมทั้งทำให้เกิดความยุ่งยากของเฮโมโกลบิน ซึ่งเป็นสารโปรตีนที่อยู่ในกระแสโลหิตของร่างกาย ควรเลี่ยงการผสมผสานของสองสิ่งนี้และระวังให้กับเด็กๆของคุณด้วย

5. กล้วยหอมกับฝรั่ง: เมื่ออยู่ด้วยกันจะทำให้เกิดแกสและกรดในกระเพาะอาหาร ทำให้รู้สึกคลื่นไส้และจุกแน่น, หนักท้อง, ปวดศีรษะ, และปวดท้อง

6. ส้มกับนม: ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่ชอบผสมน้ำส้มคั้นลงในชามซีเรียลหรือข้าวโอ๊ต บริโภคเป็นอาหารเช้า ก็ควรเลิกทำสิ่งนี้ได้แล้ว เพราะน้ำส้มจะทำให้กระเพาะอาหารเกิดความยุ่งยากในการย่อยสลายอาหารกลุ่มแป้งคาร์โบไฮเดรตที่อยู่ในซีเรียล ยิ่งกว่านั้น เมื่อน้ำส้มกับนมถูกนำมารวมอยู่ด้วยกันในท้อง มันก็จะยากต่อระบบการย่อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับเด็กๆ

 

healthfruit03

 

7. ผักกับผลไม้: การผสมผสานผักเข้ากับผลไม้เพื่อทำเป็นเครื่องดื่ม จะต้องใช้ความระวังเป็นอย่างมาก เพราะผลไม้จะมีน้ำตาลอยู่มากกว่า ทำให้ไม่สามารถย่อยได้ในเวลาที่เท่ากัน และมันก็จะยังคงอยู่ในกระเพาะของคุณ โดยจะถูกหมักเอาไว้และทำให้เกิดเป็นสารพิษ ตามมาด้วยอาการหลายอย่างเช่นปวดท้อง, มีแกส, เกิดการติดเชื้อ, อาเจียน, และแม้แต่การปวดศีรษะ นอกจากนี้ ผลไม้ยังมีแนวโน้มการมีกรดอยู่ในปริมาณมาก ซึ่งอาจจะไปทำลายคุณค่าทางโภชนาการของผักที่ถูกนำมาผสม

 

กฎยกเว้นของการผสมผสาน

แต่ก็ไม่ใช่ว่าเราจะไม่สามารถนำผักกับผลไม้มาผสมผสานกันได้โดยสิ้นเชิง เพราะมันก็มีข้อยกเว้นเรื่องนี้ที่น่ารู้ นั่นคือมีผักและผลไม้บางอย่าง ที่เราสามารถจะนำมันไปผสมรวมกับอย่างอื่นได้เช่น แอปเปิ้ล, กล้วยหอม, และแครอท ที่จะอยู่ในข้อยกเว้นของกฎที่ว่านี้ แอปเปิ้ลกับกล้วยหอม เป็นผลไม้ที่สามารถนำมาผสมผสานกับเมนูจานผักและน้ำผลไม้หรือสมูตตี้ต่างๆได้ แครอท ก็สามารถนำมาผสมทำเป็นน้ำผลไม้หรือสมูตตี้ต่างๆได้เช่นกัน โดยมันจะไม่ทำลายคุณค่าโภชนาการของผักผลไม้อื่นๆที่ผสมผสาน เพียงแต่ให้ระวังและหลีกเลี่ยงการนำแครอทมาผสมกับส้มเท่านั้นนอกจากนี้ ยังมีสิ่งที่ควรรู้อีกเรื่องหนึ่งก็คือ ถึงแม้แอปเปิ้ล จะเป็นผลไม้ที่สามารถนำมาผสมผสานกับผักผลไม้อื่นๆได้ดีก็ตาม แต่มันก็มีความเข้มข้นของวิตามินและแร่ธาตุมากกว่าผลไม้ชนิดอื่นๆ ซึ่งร่างกายจะต้องใช้เวลาในการย่อยนานกว่าผักผลไม้ชนิดอื่นคือประมาณ 40-60 นาที

 

healthfruit02

 

กฎง่ายๆที่คุณควรจำและระวังเมื่อจะผสมผักผลไม้เข้าด้วยกันก็คือ “ให้แยกผักผลไม้ที่เป็นกรดออกมาจากผลไม้รสหวาน” อย่าบริโภคสลัดผลไม้แบบมาตรฐานที่ผสมผสานโดยคนขายขาดความรู้ สลัดผลไม้แบบนี้มักวางขายกันทัวไป ซึ่งสร้างปัญหาให้ระบบการย่อย ด้วยการผสมผสานของผลไม้ที่ไม่เข้ากันอย่างเช่นเมลอน, แอปเปิ้ล, สับปะรด, กล้วยหอม,และสตรอเบอร์รี่ ไว้ในชามเดียวกัน ถ้าจะให้ดีควรเลือกผลไม้ที่จะนำมาทำสลัดด้วยตัวคุณเองทุกชนิด หรือลองทำสลัดมิกซ์เบอร์รี่ ที่ผสมเบอร์รี่หลากชนิดเข้าด้วยกัน ก็จะให้ทั้งความอร่อยและสุขภาพที่ดีกว่า

หน้าร้อนเราอาจจะต้องระวังเรื่องของอาหารมากเป็นพิเศษ เพราะนอกจากเราจะใช้สิ่งนี้เพื่อเติมเต็มพลังงานให้กับร่างกายแล้ว เราก็มักจะใช้อาหารเพื่อให้ช่วยคลายความร้อนของสภาพอากาศอีกด้วย การผสมผสานของอาหารที่มีสารเคมีไม่เข้ากัน นอกจากจะไม่ช่วยให้ร่างกายดีขึ้น ก็อาจทำให้เกิดความยุ่งยากขึ้นได้ ช่างเลือกขึ้นอีกสักนิดเมื่อคิดจะบริโภคอะไรเข้าไป ก็จะช่วยให้สุขภาพดีรับร้อนกันได้สบายใจค่ะ

ปฎิบัติการยกระดับคุณภาพการนอนหลับของคุณ

 

ทุกเช้าของทุกวัน เราบอกไม่ได้ว่าวันนี้จะเป็นวันดีหรือวันร้าย แต่ถ้าเมื่อคืนที่ผ่านมาคุณนอนไม่พอแล้วละก็ โอกาสที่มันจะเป็นวันดีๆก็คงมีน้อย ถึงแม้เราจะรู้ว่าควรนอนวันละไม่ต่ำกว่า 7 ชั่วโมง แต่หลายคนก็ทำไม่ได้ หรือทำได้ครบชั่วโมงแต่ไม่ได้คุณภาพการนอนที่ดี วันนี้เราจะมาบอกเคล็ดลับการนอนหลับให้มีคุณภาพการนอนที่ดีขึ้น

 

ปรับทัศนคติกิจวัตรการนอนหลับ

ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่นอนไม่พออยู่บ่อยๆ ก็คงต้องจับมาปรับทัศนคติกันใหม่ให้เข้าใจว่า การนอนหลับสนิทในเวลาที่เพียงพอนั้น มีความสำคัญต่อสุขภาพของเราอย่างมาก มันจะช่วยให้สมองสามารถทำงานซ่อมแซมตัวเองและฟื้นฟูระบบการล้างพิษ เพื่อเสริมสร้างความจำและรวบรวมข้อมูลได้มีประสิทธิภาพ เมื่อเราเป็นผู้ใหญ่ เราต้องการเวลาโดยเฉลี่ย 7-9 ชั่วโมงสำหรับการนอนหลับสนิทโดยไม่มีการถูกรบกวน อย่างไรก็ตาม คนทำงานส่วนใหญ่จะใช้เวลาการนอนโดยเฉลี่ยคืนละ 6.5 ชั่วโมง และก็มีคนทำงานจำนวนมากที่นอนเพียงคืนละ 5 ชั่วโมงเท่านั้น

 

เพื่อการนอนหลับอย่างมีคุณภาพ:

 

healthsleep04

 

1. เข้านอนและตื่นนอนในเวลาเดียวกันทุกวัน การทำแบบนี้จะช่วยให้ร่างกายจัดระบบการหลับและตื่นได้เป็นเวลาที่แน่นอน ทำให้ได้พักผ่อนนอนหลับอย่างเต็มที่

2.ให้ร่างกายสัมผัสกับแสงแดด การพบแสงแดดจะทำให้นาฬิกาชีวภาพในร่างกายปรับตัวได้ถูกต้องกับช่วงเวลากลางวันกลางคืน เมื่อถึงกลางคืน นาฬิกาชีวภาพก็จะเตือนร่างกายให้ผลิตสารเมลาโทนินเพื่อสนับสนุนการนอนหลับ

3. ผ่อนคลายจิตใจครึ่งชั่วโมงก่อนเข้านอน พยายามลดการสัมผัสแสงไฟให้มากที่สุดในช่วงที่กำลังจะเข้านอน

4. เอาทีวีออกไปนอกห้องนอน เพื่อจะได้ไม่เปิดมันด้วยความเคยชิน

5. ใช้เสียงเพื่อช่วยผ่อนคลาย ถ้ารู้สึกว่าในห้องเงียบเกินไป ให้เปิดพัดลมหรือดาวน์โหลดเสียงเพลงแนวผ่อนคลายเช่นเพลงในสปาเปิดเป็นแบคกราวนด์เบาๆเพื่อให้ช่วยความสงบ

0000

healthsleep02

000

6. อย่าดื่มคาเฟอีนหลังมื้อเที่ยง โดยเฉพะช่วงหลังบ่ายสองโมงแล้วควรงดเด็ดขาด

7. สร้างความรื่นรมย์ก่อนเข้านอน กิจวัตรที่ช่วยสนับสนุนให้นอนหลับสนิทเช่น อาบน้ำอุ่นๆ, อ่านหนังสือผ่อนคลาย, ดื่มชาสมุนไพรอุ่นๆช่วยการนอนหลับเช่นลาเวนเดอร์, มินท์ หรือคาร์โมมายล์

8. เลี่ยงการเล่นเกมส์ ดูทีวี การใช้คอมพิวเตอร์ ไอแพด มือถือ หรืออุปกรณ์คลื่นไฟฟ้าทุกชนิด อย่าทำสิ่งเหล่านี้ก่อนเข้านอนหรืออยู่บนเตียงนอน เพราะมันจะไปกระตุ้นสมองให้ตื่นตัวและนอนไม่หลับ

9. จัดบรรยากาศในห้องนอน ห้องนอนที่มีอากาศค่อนข้างเย็นและมืดสลัว จะช่วยให้นอนหลับสนิท แต่ก็ควรให้แสงสว่างตอนเช้าสามารถเข้ามาได้เพื่อให้ช่วยปลุกคุณตื่นขึ้น

10. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ แต่ควรทำสิ่งนี้ในช่วง 3-4 ชั่วโมงก่อนเข้านอน

11. จำกัดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ก่อนนอน เครื่องดื่มนี้อาจจะทำให้คุณรู้สึกง่วงนอน แต่จะเป็นการนอนแบบครึ่งหลับครึ่งตื่นทำให้หลับได้ไม่สนิท

000

 

ปัญหาร่างกายที่เกิดจากการนอนหลับ

 

healthsleep03

 

1. ภาวะขาดการนอนหลับ ( Sleep Deprivation): คนส่วนมากจะมีปัญหานี้จากการนอนหลับไม่เพียงพอ ซึ่งมีทั้งแบบเรื้อรังหรือเฉียบพลัน ซึ่งมีสาเหตุมาจากการนอนที่ไม่อิ่มซึ่งจะไปส่งผลร้ายต่อระบบสมองและความจำ ผลเสียในระยะสั้นคือ อาการสมองเบลอและจำสิ่งต่างๆได้ไม่แม่นยำ, ขาดไอเดียสร้างสรรค์, ตัดสินใจผิดพลาด, สูญเสียประสิทธิภาพของสายตาและการขับรถ ผลข้างเคียงในระยะยาวก็คือเกิดอารมณ์หดหู่เศร้าหมอง, โรคอ้วน, โรคเบาหวาน ทั้งสิ่งนี้ยังไปเพิ่มความเหนื่อยล้าให้กับร่างกายทุกส่วนและมีผลเสียกับระบบภูมิต้านทานโรค

2. น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น: คนที่นอนน้อยกว่า 5 ชั่วโมงต่อคืน จะมีโอกาสเป็นโรคเบาหวานสูงกว่าปกติถึง 50% จากการวิจัยเชื่อว่า เพราะมันมีความเกี่ยวข้องกันระหว่างสมดุลของฮอร์โมนหลักที่ทำหน้าที่ควบคุมความรู้สึกอยากอาหารของร่างกาย การอดนอนทำให้รู้สึกหิวเพิ่มขึ้น และระดับฮอร์โมนคอร์ติซอลของความเหนื่อยล้าก็พุ่งสูงขึ้น ทำให้อยากบริโภคอาหารที่มีไขมันและคาร์โบไฮเดรตสูง

3. ภาวะติดหนี้การนอน (Sleep Dept): เมื่อร่างกายอดนอนสะสมไปเรื่อยๆทุกๆวันเพิ่มไปหลายๆชั่วโมง ร่างกายก็จะเกิดความจำว่าได้อดนอน ทำให้พอถึงวันหยุดเราก็จะนอนยาวๆชดเชยชั่วโมงการนอนที่ได้เสียไป และพอถึงวันทำงาน วงจรการสะสมชั่วโมงอดนอนนี้ก็จะเกิดขึ้นอีก ทำให้มานอนใช้หนี้ในวันหยุดแบบนี้วนไปเรื่อยๆ อาการ sleep dept นี้ถ้าไม่มากนัก ก็จะช่วยให้เราหลับได้ง่ายขึ้น แต่ถ้าสะสมชั่วโมงไว้มากๆหรือทำแบบนี้ต่อเนื่องไปนานๆเข้า ก็จะทำให้เกิดโรคร้ายหลายอย่างตามมา

000

 

เห็นไหมคะว่า การนอนหลับให้เพียงพอจะทำให้คุณภาพชีวิตดีขึ้นหลายอย่าง ไม่ง่วงเบลอระหว่างวันในช่วงทำงาน ความคิดแจ่มใสและมีไอเดียสร้างสรรค์ที่ดี การบริโภคน้ำอัดลมและคาเฟอีน ก็จะทำให้หลับสนิทได้ยากขึ้น ถ้าปล่อยให้ตัวเองนอนไม่พอสะสมไปเรื่อยๆ ไม่ต้องถูกมนต์กฤษณะกาลีเหมือนแม่หญิงการะเกดของละครบุพเพสันนิวาส สาวๆก็มีสิทธิ์จะเป็นลมล้มตึงไปได้จากร่างกายอ่อนแอ ดังนั้น ช่วงวันหยุดยาวนี้ มาปรับวิธีการนอนของคุณให้มีคุณภาพ เพื่อสุขภาพที่ดีในระยะยาวกันเถอะค่ะ

เลี่ยงอาหารเหล่านี้ เพื่อจะใส่บิกินี่ได้สวย

 

คราวก่อนคุยกันถึงเหตุผลดีๆที่เราควรไปเที่ยวทะเล เมื่อไปทะเลก็ควรมีรูปสวยๆในชุดว่ายน้ำไว้ภูมิใจ แต่ถ้าท้องอืดเพราะมัวเพลินกับอาหาร ก็คงไม่กล้าหยิบชุดว่ายน้ำมาใส่ มาดูอาหารเสี่ยงกลุ่มนี้ที่เป็นศัตรูกับชุดว่ายน้ำของคุณและระวังไว้

 

ท้องอืดเพราะอาหาร FODMAP

ท้องอืด เกิดขึ้นเมื่อมีแกสหรือของเหลวสะสมในระบบทางเดินอาหาร หรือเมื่อแบคทีเรียในลำไส้ใหญ่ มีความลำบากในการย่อยอาหารบางชนิด โดยเฉพาะอาหารคาร์โบไฮเดรตที่มีน้ำตาลจากธรรมชาติสูงหรืออาหาร FODMAP ( Fermentable Oligo-Di-Monosaccharide and Polyols) ที่ทำให้ลำไส้แปรปรวน เมื่อร่างกายไม่สามารถย่อยโมเลกุลน้ำตาลเหล่านี้ได้ มันก็จะเดินทางไปยังลำไส้ใหญ่ส่วนโคลอน โดยไม่ได้มีการย่อยเกิดขึ้น และแบคทีเรียในลำไส้ใหญ่ก็จะหมักมันเอาไว้ ทำให้เกิดแกสและท้องอืด และนี่คืออาหารเสี่ยงที่คุณควรรู้

 

1. ผักสดตระกูลกะหล่ำ: ดอกกะหล่ำ, บร็อคโคลี, กะหล่ำปลี จะทำให้ท้องอืดและมีแกสเมื่อเราบริโภคมันแบบดิบๆ เพราะมันมีไฟเบอร์ในปริมาณสูงมาก ซึ่งทำให้ร่างกายย่อยได้ลำบากทั้งมันยังมีสาร ราฟฟิโนส (raffinose) ซึ่งเป็นโมเลกุลของน้ำตาลที่จัดอยู่ในอาหารกลุ่ม FODMAP ทำให้เกิดแกสในช่องท้องหลังจากบริโภคเข้าไป

แก้ไขโดย: แค่นำมันไปนึ่งเพื่อให้นุ่ม ไฟเบอร์ในอาหารก็จะอ่อนตัวลงจนร่างกายย่อยมันได้ง่ายขึ้น หรือนำไปปั่นละเอียดทำเป็นซุป หรือต้มเป็นซุปผักก็ได้ ไม่ควรบริโภคแบบสดจิ้มกับดิปต่างๆ และหากคุณบริโภคผักตระกูลนี้ที่มีสีเขียวเข้มแล้วท้องอืดบ่อยๆ ก็ให้ลองแทนที่มันด้วยผักที่มีไฟเบอร์สีเขียวน้อยกว่าเช่นผักกาด หรือเปลี่ยนเป็นกะหล่ำปลีดองหรือซาวร์เคร้าส์(sauerkraut) ที่ย่อยง่ายกว่าเพราะมันถูกย่อยมาแล้วในกระบวนการหมัก

 

2. เครื่องดื่มมีฟอง: การอัดแกสในกระบวนการผลิตเครื่องดื่มเหล่านี้ จะไปสร้างฟองอากาศขึ้นในทางเดินระบบลำไส้ ทำให้ท้องอืด

แก้ไขโดย: เปลี่ยนมาดื่มน้ำผลไม้คั้นสด หรือน้ำแร่ที่มีไซรัปมะนาว (lime cordial)แทน หรือเครื่องดื่มที่ไม่ได้ใช้วิธีอัดแกสลงในส่วนผสมเช่น switchel ซึ่งเป็นเครื่องดื่มหมักที่มีจุลินทรีย์โปรไบโอติกอย่าง switchel ส่วนประกอบหลักของเครื่องดื่มนี้คือน้ำส้มแอปเปิ้ลไซเดอร์ที่ไม่ได้ผ่านการพาสเจอร์ไรซ์และน้ำแร่ที่ไม่อัดแกส

 

healthbikini02

 

3. หัวหอม: เป็นพืชที่มี FODMAP สูงเพราะมีสารฟรุคแทน( fructans) ซึ่งเป็นน้ำตาลในกลุ่มอาหาร FODMAP แม้จะบริโภคเพียงเล็กน้อยก็จะส่งผลต่อระบบการย่อย เช่น ทำให้เกิดกรดไหลย้อน,อาหารไม่ย่อย แม้จะนำไปปรุงสุกแล้วก็อาจลดอาการเหล่านี้ได้ในบางคนเท่านั้น

แก้ไขโดย: แทนที่จะบริโภคสดๆ ให้นำมันไปแช่ในน้ำมันมะกอกและนำไปปรุงอาหาร ก็จะช่วยให้ท้องอืดน้อยลง และไม่ควรทดแทนมันด้วยหอมแดงเพราะก็มี FODMAP สูงใกล้เคียงกัน

 

4. แอปเปิ้ล: นักโภชนาการแนะนำว่า ถ้าคุณท้องอืดบ่อยๆ ควรเปลี่ยนแอปเปิ้ลมาเป็นพวกเบอร์รี่หรือแคนตาลูป เพราะถึงแม้แอปเปิ้ลจะอุดมด้วยสารอาหาร แต่มันก็มีน้ำตาลฟรุคโตสที่สูงที่สุดในผลไม้ทั้งหมด ทำให้เป็นอาหาร FODMAP สูง ทั้งปริมาณไฟเบอร์สูงในแอปเปิ้ลก็ทำให้ร่างกายย่อยได้ยาก

แก้ไขโดย: เปลี่ยนเป็นผลไม้ที่มี FODMAP ต่ำเช่นเบอร์รี่, แคนตาลูป, องุ่นหรือกล้วย หรือถ้าเป็นแอปเปิ้ลซอสหรือแอปเปิ้ลปรุงสุกแล้ว ก็จะช่วยให้ร่างกายสามารถย่อยมันได้ดีขึ้น

 

healthbikini05

 

5. น้ำตาลแอลกอฮอล์: คือสารให้ความหวานทดแทน เช่นไซลิทอล, แมนิทอล และซอร์บิทอล มักใช้ในอาหารสำเร็จรูปที่ระบุว่ามีแคลอรี่ต่ำ เช่นในกราโนลาบาร์และซีเรียลบางชนิด น้ำตาลนี้จะเกี่ยวข้องกับปัญหาระบบการย่อยเช่นการมีแกสในช่องท้องและท้องร่วง

แก้ไขโดย: ใช้หญ้าหวานสเตเวียหรือเมเปิ้ลไซรัปบริสุทธิ์ 100% ที่มี FODMAP ต่ำ นอกจากนี้ สารทดแทนความหวานอื่นๆที่อุดมด้วยฟรุคโตสก็เป็นสิ่งควรเลี่ยงเช่นคอร์นไซรัป, น้ำตาลจากอ้อย, น้ำตาลทรายแดง, น้ำตาลบีทรูท และน้ำผึ้งก็มีฟรุคโตสในปริมาณสูงซึ่งอาจทำให้ท้องอืดได้

 

6. กระเทียม: พืชนี้เป็นพี่น้องกับหัวหอม จึงมี FODMAPสูงเช่นกัน โดยเฉพาะเมื่อบริโภคสดๆ และยังคงทำให้ท้องอืดได้ถึงแม้จะนำไปปรุงแล้วก็ตาม

แก้ไขโดย: นำไปผ่านความร้อนก่อนจะดีกว่าบริโภคสดๆ แต่ถ้าทำแล้วไม่ช่วยอะไรละก็ ให้แทนที่มันด้วยต้นหอม ซึ่งจะมี FODMAP ต่ำกว่า และรสชาติใกล้เคียงที่สุดเมื่อนำมาทำอาหาร

 

healthbikini03

 

7. ถั่วต่างๆ: ถั่วชนิดต่างๆ เป็นอาหารที่ไม่แนะนำสำหรับผู้ที่ท้องอืดบ่อยๆ เพราะมีปริมาณ FODMAP สูง จากโมเลกุลของน้ำตาลชื่อว่า อัลฟา กาแลคโตไซด์ (alpha-galactoside)

แก้ไขโดย: แทนที่มันด้วยอาหารโปรตีนที่มี FODMAPต่ำเช่น เนื้อวัวที่เลี้ยงในทุ่งหญ้าออร์แกนิก หรือไข่ไก่ ก็ช่วยลดท้องอืดได้ และทำให้ร่างกายได้รับวิตามินและแร่ธาตุอื่นๆเพิ่มขึ้นอีกด้วย เพราะทั้งสองสิ่งที่ใช้ทดแทนนี้ไม่มีกรดไฟติกทั้งมีวิตามินและแร่ธาตุสูงกว่า

 

8. ธัญพืช: ธัญพืชอย่างเช่นข้าวโอ๊ต, ข้าวและข้าวสาลี เป็นสิ่งที่นักโภชนาการไม่แนะนำให้บริโภคสำหรับผู้ที่ท้องอืดบ่อยๆ เพราะมีไฟเบอร์ในปริมาณสูง และมี FODMAPสูงด้วย ทำให้ระบบการย่อยที่มีปัญหายิ่งเลวร้ายลงไปอีก

แก้ไขโดย: เลือกพาสต้าที่ทำจากซุคคินี (zucchini) ซึ่งจะมี FODMAP น้อยกว่าพาสต้าจากข้าวสาลี หรือเลือกควินัว ซึ่งเป็นอาหารใกล้เคียงพืชตระกูลผักโขม แต่ให้แช่มันค้างคืนไว้หนึ่งคืนก่อนนำมาปรุงอาหารเพื่อลดกรดไฟติก

 

9. เห็ด: ในเห็ดมีสาร polyols ทำให้มันมี FODMAP สูง นอกจากนี้ ตามธรรมชาติของเห็ด คือพืชในตระกูลเชื้อราฟังใจ ( fungi) ซึ่งจะไปรบกวนระบบการย่อยอาหารได้ โดยเฉพาะในผู้ที่มีการเจริญเติบโตของเชื้อราแคนดิดา( candida)ภายในร่างกาย ซึ่งเป็นอาการติดเชื้อของทางเดินของลำไส้ ทำให้อาการยิ่งเลวร้ายขึ้น

แก้ไขโดย: การหาสิ่งทดแทนเห็ด ขึ้นอยู่กับว่าจุดประสงค์ที่คุณใส่เห็ดลงในอาหารนั้นๆ เพราะต้องการอะไรระหว่างรสชาติหรือเนื้อสัมผัสของมัน ถ้าเป็นเรื่องของเนื้อสัมผัส สามารถใช้ซุคคินี่ผัด ( zucchini) ทดแทนได้ แต่ถ้าเป็นเรื่องของรสชาติ ก็ให้ใช้น้ำซุปต้มประดูกใส่สาหร่ายคอมบุ (kombu) และเติมเกลือลงไปเล็กน้อย ก็จะให้รสชาติที่ใกล้เคียงกัน

 

healthbikini04

 

10. ผลิตภัณฑ์นม: เป็นอาหารที่มักทำให้คนท้องอืดเพราะมันย่อยยากจากการมีน้ำตาลแลคโตสสูง ซึ่งการย่อยน้ำตาลแลคโตส ร่างกายจะต้องมีเอนไซม์ที่ชื่อว่าแลคตาส ( lactase) สำหรับย่อยน้ำตาลนี้โดยเฉพาะ แต่บางคนร่างกายก็ผลิตเอนไซม์นี้ไม่เพียงพอ หรือหยุดผลิตไปแล้วหลังผ่านช่วงการให้นมบุตร ทำให้ไม่สามารถย่อยน้ำตาลนี้ได้ นอกจากนี้ พบว่า คาเซอิน ( Casein) โปรตีนชนิดหนึ่งในผลิตภัณฑ์นม ก็ทำให้เกิดอาการติดเชื้อในผนังของลำไส้ได้ เช่นกัน ซึ่งการติดเชื้อนี้จะนำไปสู่อาการท้องอืด

แก้ไขโดย: ใช้กะทิหรือนมจากถั่ว เช่น นมอัลมอนด์ ทดแทนได้ดี ทั้งมีวิตามินและแร่ธาตุจำเป็นต่อร่างกาย

 

เห็นไหมคะว่า อาหารธรรมดาๆที่สุดที่เราบริโภคกันนี่แหละ ก็คืออาหารที่ทำให้ท้องอืด เป็นอุปสรรคต่อการใส่ชุดว่ายน้ำรับร้อยได้ แต่อีกส่วนหนึ่งของอาการนี้ ก็เป็นเพราะไลฟสไตล์ของเราด้วยเช่นกัน เช่น บริโภคอาหารเร็วเกินไป, หรือบริโภคในขณะร่างกายถูกรบกวนจากการเล่นมือถือ หรือทำกิจกรรมอื่นๆไปด้วย ระบบการย่อยจึงทำงานได้ไม่เต็มที่ การเคี้ยวอาหารไม่ละเอียด ก็เป็นสาเหตุของท้องอืดได้ด้วยเช่นกัน หน้าร้อนนี้ ควรดูแลเรื่องอาหารเป็นพิเศษ นอกจากกินร้อนช้อนกลางล้างมือแล้ว ก็ต้องเลือกอาหารที่ทำให้เราดูดีด้วย ทีนี้ก็หุ่นสวยแล้วโพสต์รูปบิกินี่กันได้เลยค่ะ

เหตุผลสุขภาพดี ที่ทำให้ควรไปเที่ยวทะเล

 

เสียงนุ่มนวลของเกลียวคลื่นที่ซัดสู่ชายหาดเป็นระยะๆ ลำแสงสดใสของดวงอาทิตย์ที่ส่องผ่านแพก้อนเมฆ ให้ท้องฟ้าเป็นสีฟ้าสวยตัดกับสีขาวของหาดทรายที่ทอดยาวสุดสายตาตามแนวขนานเส้นขอบฟ้าเหมือนไม่มีที่สิ้นสุดแค่ได้สัมผัสตัวอักษรที่เล่าผ่านสายตา ก็เห็นภาพความสุขสงบผ่อนคลายของวันพักผ่อนชายทะเลเข้ามาในความคิดความสงบสวยงามของธรรมชาติ ที่รอให้คนที่อยู่แต่ในห้องสี่เหลี่ยมของออฟฟิศหลายๆชั่วโมงอย่างเรา ออกไปสัมผัสอิสระที่แสวงหาทั้งทางร่างกายและจิตใจ

 

แต่ถ้าคุณต้องการเหตุผลที่มากกว่านี้ เพื่อจะเขียนลาส่งให้เจ้านาย แล้วไปสัมผัสกับชายหาดให้สะดวกใจละก็ มาดูความจริงจากนผู้เชี่ยวชาญด้านประสาทวิทยาที่จะมาเล่าให้ฟังว่า แสงแดด, หาดทราย และชายทะเล สามารถช่วยฟื้นฟูร่างกายและจิตใจให้เราได้อย่างไรบ้าง

 

สุขภาพดีๆที่ได้จากชายหาด:

นักประสาทวิทยาและผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพบำบัดจากสิ่งแวดล้อมหลายคน ระบุถึงผลดีของการไปเที่ยวชายทะเล โดยชี้ให้เห็นถึง สภาพแวดล้อมของธรรมชาติของหาดทรายและทะเล ที่ช่วยฟื้นฟูสุขภาพ ซึ่งจากการศึกษาพบว่า การได้อยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีความงดงามตามธรรมชาติเช่นที่ริมหาดทราย หรือน้ำตกธรรมชาติ ที่มีอากาศสดชื่นและเต็มไปด้วยต้นไม้ จะให้ผลดีต่อฟื้นฟูสุขภาพร่างกายและระบบประสาทที่เหนื่อยล้าจากการทำงาน ได้มากกว่าการออกกำลังกายในฟิตเนส หรือการเที่ยวหาความบันเทิงเช่นในโรงหนัง หรือในสถานที่ที่มีการปรุงแต่งสิ่งแวดล้อมเพื่อเลียนแบบธรรมชาติ ซึ่งมันไม่ทำให้เราได้สัมผัสกับธรรมชาติที่แท้จริง

 

และถ้าหากเราต้องการไปเที่ยวทะเลให้ผ่อนคลายจากความเหนื่อยล้าให้ได้ผลดีเป็นพิเศษ นักประสาทวิทยาก็ยังมีคำแนะนำว่า เราควรเลือกไปในวันที่มีสภาพแวดล้อมพิเศษด้วย เพื่อให้ได้รับการฟื้นฟูสุขภาพเต็มที่อย่างที่ต้องการ ให้เลือกไปในวันที่อากาศไม่ร้อนเกินไป บรรยากาศชายทะเลมีอุณหภูมิพอเหมาะ ลมพัดอ่อนๆและที่สำคัญคือผู้คนไม่พลุกพล่านมาก แบบนี้จึงจะเป็นสภาพแวดล้อมที่ดีต่อการฟื้นฟูสุขภาพมากที่สุด เมื่อเรานั่งลงพักผ่อนบนชายหาดที่ไม่มีมีผู้คนพลุกพล่านเกินไป นักเดินทางที่หลงรักความงดงามของทะเล มักเลือกไปทะเลในวันธรรมดาที่อากาศสดใส และมีสภาพแวดล้อมที่ไม่แน่นเต็มไปด้วยผู้คน ซึ่งผู้คนมากมายเหล่านั้น มักจะไปเพื่อความสนุกสนานมากกว่าจะผ่อนคลายหรือฟื้นฟูสุขภาพให้กับตัวเอง และเมื่อคุณไปในเวลาเดียวกัน ก็ยากที่จะหาความผ่อนคลายได้จริงๆ

 

healthsea02

 

1. แสงแดด: เราต่างรู้กันดีว่า มันมีความเสี่ยงของสุขภาพที่จะออกไปพบแสงแดดเมื่อไปเที่ยวทะเล แต่ก็ต้องไม่ลืมว่า มันก็มีผลกำไรต่อสุขภาพอยู่ด้วยในขณะเดียวกัน เพราะเมื่อผิวของเราสัมผัสกับแสงแดดโดยตรง ร่างกายก็จะสร้างวิตามินดี ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้ร่างกายสามารถดูดซึมแคลเซียมและสร้างกระดูกที่แข็งแรง ซึ่งวิตามินดีนี้ส่วนใหญ่ร่างกายเราจะได้รับจากการบริโภคอาหาร แต่จริงๆแล้ว การได้รับวิตามินดีที่ดีที่สุด ก็คือได้จากแสงแดด ซึ่งเพียงแค่ 10 นาทีที่ได้ออกไปสัมผัสแสงแดดยามเช้าจากภายนอก ก็สามารถทำไห้เราได้รับวิตามินดีในปริมาณที่พอเพียงต่อหนึ่งวันได้แล้ว ร่างกายของเราสามารถผลิตวิตามินดีได้ 10,000 ถึง 25,000 IU โดยใช้เวลาเพียงเล็กน้อย เพียงแค่เราออกไปกลางแจ้งและผิวของเราเริ่มเป็นสีชมพูเรื่อๆเท่านั้น และการสัมผัสกับแสงแดดอ่อนๆ ก็ให้ผลกำไรในการช่วยเพิ่มเอ็นดอร์ฟิน ซึ่งเป็นฮอร์โมนแห่งความสุข ทั้งยังช่วยเพิ่มภูมิคุ้มเกี่ยวกับโรคออโต้อิมมูน ซึ่งเกิดจากภูมิต้านทานร่างกายบกพร่องอีกด้วย แต่เพื่อให้คุณได้รับผลดีจากแสงแดดอย่างเต็มที่ ก็ควรจำกัดการออกแดดนี้ให้ไม่มากเกินไปจนเกิดความเสี่ยงของโรคมะเร็งผิวหนัง โดยถ้าคุณต้องอยู่ในแสงแดดมากกว่า 2-3 นาที ก็ควรสวมเสื้อผ้าที่ปกป้องผิวและทาผลิตภัณฑ์กันแดดที่มีค่าเอสพีเอฟตั้งแต่ 30 หรือกว่านั้น

 

healthsea03

 

2. หาดทราย: รู้ไหมว่าส้นเท้าของคุณมีต่อมเหงื่อและเส้นประสาทอยู่ในจำนวนมากกว่าทุกๆส่วนของร่างกาย เมื่อเทียบพื้นที่กันต่อหนึ่งตารางเซ็นติเมตร ดังนั้น การเดินเท้าเปล่าริมชายหาดจะช่วยกระตุ้นเท้าได้มากกว่า และไม่เพียงแค่คุณจะได้กระตุ้นปลายเส้นประสาทเท้าเท่านั้น แต่ยังได้เพิ่มความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อเท้าของคุณด้วย ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่สามารถทำได้เมื่อคุณสวมรองเท้า นอกจากนี้ ในทางธรรมชาติบำบัด การเดินเท้าเปล่า ยังทำให้คุณเปิดประสาทสัมผัสเพื่อสื่อสารกับพื้นโลกอย่างแท้จริง ความนุ่มนวลของเม็ดทราย จะช่วยฟื้นฟูอารมณ์จิตใจให้ผ่อนคลาย เป็นเวลาที่คุณจะได้รับความรู้สึกจากผืนโลก เพื่อเชื่อมต่อร่างกายเข้ากับพลังงานที่โลกมอบให้กับเรา ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่มีในไลฟสไตล์ชีวิตยุคใหม่ และการวิจัยพบว่าการเดินเท้าเปล่าบนผืนทรายนั้น เราจะต้องใช้พลังงานมากกว่าการเดินลนพื้นปกตืประมาณ 1.6 to 2.5 เท่า ทำให้กล้ามเนื้อเท้าทำงานเป็นระบบเชื่อมต่อกันได้ดีกว่า แต่ถ้าคุณรู้สึกว่าการวิ่งบนหาดทรายนานๆเหนื่อยเกินไป ก็ให้เดินหรือวิ่งที่พื้นทรายบริเวณอยู่ใกล้ๆน้ำทะเล ซึ่งพื้นผิวตรงนั้นจะช่วยให้รู้สึกผ่อนคลายได้มาก

 

healthsea04

 

3. ทะเล: ในน้ำทะเลอุดมไปด้วยแร่ธาตุที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ทั้งแมกนีเซียม, โปตัสเซียมและไอโอดีน ซึ่งช่วยให้ร่างกายต่อสู้กับอาการติดเชื้อต่างๆ ทั้งยังให้ผลในการบำบัดโรค และช่วยในการล้างพิษได้ด้วย การว่ายน้ำจะช่วยลดความเหนื่อยล้า เพิ่มกำไรที่ดีต่อสุขภาพโดยรวม การศึกษาแสดงว่าการว่ายน้ำและการออกกำลังกายในน้ำ จะช่วยลดความวิตกกังวลและหดหู่เศร้าหมอง นอกจากนี้ การว่ายน้ำยังเป็นการออกกำลังกายที่ดีที่สุด ให้ทั้งความสนุกสนานและกล้ามเนื้อหลักของเราก็สามารถใช้งานทุกๆส่วนได้อย่างเต็มที่ น้ำจะช่วยลดแรงกระแทกได้นุ่มนวลกว่าการออกกำลังชนิดอื่นๆ หากร่างกายได้ว่ายน้ำเป็นประจำสัปดาห์ละสองชั่วโมงครึ่ง ก็จะช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคเรื้อรัง และช่วยฟื้นฟูระบบหัวใจให้ทำงานดีขึ้น การว่ายน้ำ จึงเป็นการออกกำลังกายที่แพทย์มักแนะนำ สำหรับผู้ที่มีอาการบาดเจ็บจากการออกกำลังชนิดอื่นๆมาแล้ว หรือผู้ที่มีอาการปวดข้อ ปวดกล้ามเนื้อ ก็จะสามารถพัฒนาอาการให้ดีขึ้นได้ด้วยการว่ายน้ำนี้

 

ที่เล่ามาทั้งหมด ก็น่าจะเป็นเหตุผลที่ดี ให้คุณลุกจากโต๊ะทำงานที่นั่งอยู่วันละนานๆ เพื่อเก็บของแล้วไปชายทะเลกัน อย่าลืมเอาเรื่องนี้แนบท้ายใบลาให้เจ้านายอ่านด้วยล่ะ จะได้เข้าใจเหตุผลดีๆที่คุณจะไปพักผ่อนรับร้อนนี้ ขอให้เที่ยวสนุก สุขภาพดีกับบรรยากาศรับร้อนชายทะเลกันทุกคนค่ะ

เปิดพฤติกรรมที่ทำให้คุณ “แก่” เร็ว

 

สังเกตไหมเวลาไปงานรวมรุ่นว่าเพื่อนบางคนเวลาก็ทำอะไรเธอไม่ได้ แต่บางคนก็แล้วไปเลย ว่าแล้วกลับมาก็ต้องรีบส่องกระจกดูตัวเอง ต้องยอมรับว่า สิ่งที่ทำให้คนวัยเดียวกันดูแก่เร็วหรือช้ากว่ากันนั้นก็คือ ไลฟสไตล์ของแต่ละคนนั่นเอง อะไรบ้างที่ทำให้คุณแก่เร็วกว่าเพื่อนๆ มาเรียนรู้กันเพื่อบอกตัวเองว่าทีหลังอย่าทำ

 

คุณทำงานหลายอย่างในเวลาเดียวกัน: การทำงานหลากหลายหน้าที่อาจฟังดูเหมือนมีประสิทธิภาพ แต่ความเหนื่อยล้าก็จะโจมตีร่างกายคุณจากหลายทางด้วยเช่นกัน และจริงๆแล้วคือคุณจะทำอะไรไม่เสร็จสักอย่าง ทำให้เหนื่อยล้ากว่าปกติ ความเหนื่อยนี้จะนำไปสู่การเกิดอนุมูลอิสระไปทำลายเซลล์และเป็นสาเหตุของความชรา ดังนั้น แทนที่จะทำทุกอย่างในเวลาเดียวกัน ก็ควรโฟกัสที่งานชิ้นเดียวให้เสร็จเป็นเรื่องๆไปแล้วจึงค่อยเริ่มงานชิ้นใหม่

 

คุณไม่เคยปฏิเสธขนมหวาน: นี่คือการเพิ่มจำนวนกิโลกรัมส่วนเกินให้ร่างกาย และเพิ่มจำนวนปีให้กับใบหน้าของคุณด้วย โมเลกุลของน้ำตาลจะไปจับตัวกับโปรตีนไฟเบอร์ในเซลล์ นี่คือปฏิกิริยาไกลเคชั่น ที่ออกมาในรูปของรอยคล้ำดำของผิวรอบดวงตา, สีผิวไม่สม่ำเสมอ, ผิวบวมน้ำ, เส้นริ้วรอยและรอยยับย่น, การหย่อนคล้อยของใบหน้าและการขยายกว้างของรูขุมขน ดังนั้น ให้งดของหวานหากคุณจะรักษาความอ่อนเยาว์ของผิวเอาไว้

 

healthage03

 

คุณนอนน้อยกว่าห้าชั่วโมงต่อคืนเป็นประจำ: สิ่งนี้ไม่เพียงทำให้เกิดถุงบวมคล้ำใต้ตาเท่านั้น แต่ยังทำให้คุณอายุสั้นลงอีกด้วย ควรนอนหลับให้ได้คืนละไม่ต่ำกว่าเจ็ดชั่วโมง และหากคุณขาดพลังงานในช่วงกลางวัน, ขาดสมาธิทำงาน, น้ำหนักขึ้นโดยไม่ทราบสาเหตุ ให้รีบเข้านอนแต่หัวค่ำเพื่อให้ได้สุขภาพที่ดีขึ้น

 

คุณนั่งดูทีวีแบบมาราธอนตลอดคืน: การทดลองในออสเตรเลียพบว่า คนที่ใช้เวลาประมาณ 6 ชั่วโมงต่อวันในการนั่งเฝ้าหน้าจอทีวี จะมีอายุสั้นกว่าคนที่ไม่ได้เห็นว่าทีวีเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต ถึง 22% สิ่งที่ให้ผลมากเรื่องนี้ก็คือ เรื่องของการนั่งติดที่ไม่มีกิจกรรมเคลื่อนไหวร่างกายหลายๆชั่วโมง เพราะเมื่อคุณนั่งอยู่นานกว่า 30 นาที ร่างกายของคุณก็จะเริ่มส่งน้ำตาลเข้าไปสู่เซลล์ ทำให้มีแนวโน้มต่อการมีน้ำหนักเกินและเป็นโรคอ้วนในที่สุด ดังนั้น ให้ลุกขึ้นทุกๆ 30 นาทีและเดินไปรอบๆบ้าง

คุณไม่ใช้อายครีม: อายครีมดีๆจะช่วยชลอการเกิดริ้วรอยของผิวรอบดวงตา ซึ่งเป็นผิวที่บางกว่าผิวส่วนอื่นๆของใบหน้า ผิวรอบตาที่มีความชุ่มชื่น จะทำให้หน้าดูอ่อนเยาว์กว่าอายุจริงได้หลายปี อายครีมที่ได้ผลดีที่สุด ก็คืออายครีมที่มีส่วนผสมของสารให้ความชุ่มชื้นผิว, กรดไฮยาลูรอนิก, และวิตามินซี ที่จะช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอิลาสติน เพื่อให้ผิวกระชับ

 

healthage04

 

คุณใช้ครีมกันแดดเฉพาะบางโอกาสเท่านั้น: การวิ่ง, การขับรถ, และการเดินไปมาในที่ต่างๆ สิ่งเหล่านี้ทำความเสียหายให้กับผิวได้มากกว่าการใช้เวลาทั้งวันอยู่ที่ชายหาดด้วยซ้ำ ถ้าหากคุณทำสิ่งเหล่านี้โดยไม่มีครีมกันแดดปกป้องผิว การพบกับรังสียูวีคือต้นเหตุของผิวแก่ก่อนวัย ควรปกป้องผิวด้วยครีมกันแดดทุกวันโดยเลือกค่าเอสพีเอฟระหว่าง 30 – 50

 

คุณใช้เมคอัพมากเกินไป: การเมคอัพมากเกินไปทำให้คุณดูแก่ และก็จะแก่ลงจริงๆภายในเวลาไม่กี่ปี นี่คือการระบุของแพทย์ผิวหนังยิ่งถ้าเป็นผลิตภณฑ์ที่มีเบสส่วนผสมของน้ำมัน (oil based products) ที่จะไปอุดตันรูขุมขนและทำให้เกิดสิวขึ้น ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของน้ำหอมและสารระคายเคืองและแอลกอฮอล์ ก็ทำให้ผิวแห้งและเกิดริ้วรอยย่น

 

คุณนอนให้ใบหน้าจมอยู่ในหมอน: การนอนคว่ำหรือการนอนตะแคงให้ใบหน้าจมอยู่ในหมอน จะทำให้เกิดริ้วรอยชราสะสมเนื้อเยื่อเกี่ยวพันและคอลลาเจนในใบหน้าของคุณก็จะเริ่มอ่อนแอมากขึ้นตามอายุที่เพิ่มขึ้น ดังนั้น เมื่อคุณนอนในท่าที่ใบหน้าถูกกดทับแบบเดิมๆทุกคืน ผิวของคุณก็จะไม่เรียบนุ่มนวล ไม่สามารถยืดหยุ่นตัวได้เร็วเหมือนเดิม เส้นริ้วรอยจากการกดทับบนหมอนนี้ สามารถกลายเป็นริ้วรอยถาวร ควรนอนหงายหรือซื้อหมอนผ้าซาตินเรียบลื่นที่ผิวหน้าจะไม่ถูกกดทับ

 

คุณดื่มเครื่องดื่มด้วยหลอดดูด: การดื่มเครื่องดื่นสีเข้มๆด้วยหลอดดูด อาจช่วยให้ฟันคุณไม่เปลี่ยนเป็นสีเข้มจากคราบที่ติดฟัน แต่มันจะทำให้เกิดรอยย่นของผิวรอบดวงตาหากคุณทำเป็นประจำ เพราะการจีบปากบ่อยๆก็จะทำให้เกิดรอยย่นที่รอบริมฝีปาก ดังนั้น รินเครื่องดื่มของคุณใส่แก้วดื่มบ้างจะดีกว่า

 

healthage02

 

คุณงดบริโภคไขมันโดยสิ้นเชิง: ไขมันบางชนิดมีความจำเป็นในการช่วยรักษาความอ่อนเยาว์ของภาพลักษณ์ เช่น กรดไขมันโอเมก้า 3 ที่พบในปลาอุดมด้วยไขมันอย่างปลาแซลมอนและแมคเคอเรล หรือในถั่วเช่นวอลนัทและเมล็ดแฟล็กซ์ กรดไขมันเหล่านี้จะช่วยให้ผิวอิ่มเอิบนุ่มนวล ป้องกันรอยย่น ช่วยฟื้นฟูระบบหัวใจ ซึ่งควรบริโภคปลานี้อย่างน้อยสัปดาห์ละ 2 ครั้ง

 

คุณมีท่าทางทรงตัวที่ไม่เหมาะสม: การนั่งอยู่หน้าคีย์บอร์ดเป็นชั่วโมงๆ จะทำให้กระดูกสันหลังผิดรูป กระดูกสันหลังของเราจะมีสมดุลอยู่ที่เป็นรูปโค้งตัว เอส เพื่อที่จะรักษาสมดุลการทรงตัว การอยู่ในท่าทรงตัวที่ไม่เหมาะสม จะทำให้กล้ามเนื้อ, หมอนรองกระดูก และกระดูกเหนื่อยล้ากว่าปกติ ตามมาด้วยอาการปวดและเหนื่อยล้าของกล้ามเนื้อ และเกิดกระดูกสันหลังเสื่อมและผิดรูปอย่างถาวร ควรฝึกหัดตัวเองให้มีท่าทรงตัวที่ดี ท่าการนั่งที่ถูกคือ หู, ไหล่, และสะโพก ควรจะอยู่ในระนาบเป็นเส้นตรงเดียวกันเมื่อคุณนั่งลงบนเก้าอี้

 

ใครไม่อยากแก่ อ่านแล้วก็อย่าลืมกลับไปปรับปรุงพฤติกรรมกันให้ดีๆ ไปงานเลี้ยงรุ่นคราวหน้าจะได้ตอบคำถามไปทำอะไรมาถึงดูเด็กลงกันแน่นอนค่ะ