4 ข้อพลาดการไดเอ็ตที่เพิ่มไขมันหน้าท้องให้คุณ

 

คุณใช้ความพยายามอย่างมากเพื่อจะลดน้ำหนัก แต่ทำยังไงก็ยังไม่เห็นผลก้าวหน้าใดๆ บางทีอาจเป็นเพราะสิ่งที่คุณทำอยู่นั้นมีความเชื่อผิดๆบางอย่างแฝงอยู่ ทำให้มันพลาดไปก็ได้ เรามาทบทวนวิธีและความเชื่อที่คุณใช้ เพื่อฟื้นฟูระบบเผาผลาญอาหารและทำให้น้ำหนักตัวลดลงได้อย่างรวดเร็วและง่ายขึ้นด้วยกัน

 

1. เพราะบริโภคมื้อดึกทำให้อ้วนขึ้น:ไม่จริง” สาวกมื้อดึกคงจะยิ้มดีใจกับเรื่องนี้ ซึ่งเป็นความเชื่อผิดๆกันมานาน ความจริงคือในตอนกลางคืนร่างกายของเราไม่ได้มีการเก็บไขมันไว้มากกว่าเวลาอื่นๆของวันแต่อย่างใด แต่ชนิดอาหารที่เราบริโภคเข้าไปนั่นต่างหาก ที่จะทำให้เรามีน้ำหนักเพิ่มขึ้นหรือไม่ ไม่เกี่ยวกับเวลาที่เราบริโภคอาหาร การวิจัยล่าสุดพบว่า การบริโภคมื้อดึกไม่ได้เป็นสาเหตุของการมีน้ำหนักตัวเพิ่มมากขึ้น เรื่องนี้ถูกพิสูจน์โดยการทดลองกับอาสาสมัครที่ถูกแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรกจะถูกจัดให้บริโภคอาหารมื้อใหญ่เป็นอาหารเช้า ในขณะที่อีกกลุ่มหนึ่งจะถูกจัดให้บริโภคมื้อใหญ่ในช่วงเวลาหลัง 2 ทุ่มเป็นต้นไป ทำแบบนี้ต่อเนื่องเป็นระยะเวลา 6 เดือนก็พบว่า กลุ่มที่บริโภคมื้อใหญ่หลังจาก 2 ทุ่ม กลับสามารถลดปริมาณไขมันในร่างกายได้มากกว่ากลุ่มแรกที่บริโภคมื้อเช้าเป็นมื้อหนักถึง 10% และสามารถลดน้ำหนักได้มากกว่ากลุ่มแรกถึง 11% การทดลองนี้เป็นบทสรุปว่า มันไม่ได้เกี่ยวกับเวลาในการบริโภค แต่สิ่งที่เป็นปัญหาน้ำหนักเพิ่มขึ้นก็คือ การที่เราบริโภคอาหารที่มีแคลอรี่สูงนั่นต่างหาก ที่ทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นได้อย่างแน่นอน ไม่ว่าเป็นเวลาใดก็ตาม

 

healthdiet02

 

2. บริโภคมื้อเล็กๆบ่อยๆตลอดวันจะช่วยกระตุ้นระบบเผาผลาญอาหารได้ดีกว่า:ไม่จริง” ความช้าหรือเร็วของระบบการเผาผลาญอาหาร ไม่ได้ขึ้นอยู่กับจำนวนของมื้ออาหารที่เราบริโภคระหว่างวันว่าบ่อยแค่ไหน การบริโภคมื้อเล็กๆบ่อยๆอาจจะช่วยคุณไม่ให้บริโภคอาหารแต่ละมื้อในปริมาณมากเกินไป แต่ไม่ได้ช่วยให้คุณลดน้ำหนักได้เร็วขึ้นพราะร่างกายเผาผลาญได้ดีขึ้นตามที่คุณเชื่อแต่อย่างใด และก็ไม่ได้ให้ผลใดๆกับระบบการเผาผลาญอาหารของคุณด้วย

 

3. การบริโภคแต่อาหารแคลอรี่ต่ำตลอดเวลาจะช่วยให้ลดน้ำหนักได้เร็วกว่า: ไม่จริง” ถ้าคุณบริโภคอาหารที่มีแคลอรี่น้อยกว่าปริมาณแคลอรี่ที่ร่างกายต้องการใช้งานในแต่ละวัน อัตราการเผาผลาญอาหารของร่างกายคุณก็จะลดลงตามไปด้วย มันจึงทำให้ยากขึ้นที่คุณจะลดน้ำหนักลง จากการวิจัยพบว่า การไดเอ็ตที่บริโภคอาหารต่ำกว่า 1200 แคลอรี่ต่อวัน จะนำไปสู่อัตราการลดลงอย่างน่าวิตกของระบบการเผาผลาญอาหารของร่างกายหรือที่เรียกว่า Resting Metabolic Rate ( RMR)

 

healthdiet03

 

4. ร่างกายไม่ได้เผาผลาญแคลอรี่จากอาหารทั้งหมดได้เท่ากัน:จริง” ข้อสุดท้ายนี้แหละที่เป็นเรื่องจริงเพียงข้อเดียว เมื่อเราบริโภคอาหารเข้าไป ร่างกายของเราก็จะต้องย่อยอาหารหลายชนิดที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งความสามารถในการย่อยอาหารของร่ากายจะแบ่งออกคือ สำหรับกาหารที่ได้รับทั้งหมด มันจะสามารถเผาผลาญอโปรตีนได้ 20 – 30 % สามารถเผาผลาญคาร์โบไฮเดรตได้ 6 % และสามารถเผาผลาญไขมันได้เพียง 3% เท่านั้น เมื่อรู้แบบนี้ ทำให้สิ่งที่เราควรระลึกถึงเมื่อบริโภคอาหารก็คือ ควรจะโฟกัสไปที่การบริโภคโปรตีนให้มากกว่าอย่างอื่นในมื้ออาหาร เพราะมันเป็นสิ่งที่ร่างกายสามารถเผาผลาญได้เร็วกว่าแม้ว่าเราจะยังไม่ได้ไปออกกำลังกายใดๆเลย กระบวนการนี้ถูกรู้จักกันในชื่อว่า Thermal Effect of Food หรือ TEF ตัวอย่างเช่น ถ้าคุณบริโภคเนื้อไก่ที่มีแคลอรี่ 1,000 แคลอรี่ และบริโภคไอศกรีมที่มีแคลอรี่ 1,000 แคลอรี่เท่าๆกัน คุณก็จะมีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นเพราะไอศกรีม ไม่ใช่เนื้อไก่ที่ร่างกายได้เผาผลาญไปหมดแล้ว เพราะไอศกรีมที่บริโภคเข้าไป มันจะถูกเผาผลาญไปได้เพียงแค่ 3% เท่านั้น และที่เหลืออยู่ก็กลายเป็นไขมันสะสมอยู่ในร่างกายคุณนั่นแหละ เมื่อเทียบกับโปรตีนที่ถูกเผาผลาญไปแล้ว 20 – 30%

 

เล่ามาถึงตอนนี้ ก็คงทำให้คุณรู้ว่าต่อไปเราจะปรับเปลี่ยนวิธีบริโภคกันอย่างไร จะได้มีหุ่นสวยทันรับปีใหม่กันได้ทัน ทีนี้สวยแล้ว หุ่นดีแล้ว ก็เตรียมตัวมีความสุขกับเทศกาลงานฉลองที่จะมาถึงเร็วๆนี้กันได้เลยค่ะ

ไปเที่ยวทีไร…ทำไมเราถูกยุงกัดคนเดียวในกลุ่ม

 

เคยสงสัยไหมคะ ว่าเวลาไปเที่ยวกับเพื่อนๆทีไร ทำไมเราถึงได้โดนยุงกัดอยู่แค่คนเดียวในกลุ่ม ในขณะที่เพื่อนคนอื่นๆไม่มีใครโดนเลย เรื่องนี้มีข้อมูลน่าสนใจที่จะบอกได้ว่า สิ่งนี้ไม่ใช่เรื่องที่คุณคิดไปเองคนเดียว แต่มันมีเหตุผลทางสุขภาพรองรับสิ่งนี้ด้วย จากการศึกษาดร. โจเซฟ เอ็ม คอนลอน นักกีฏวิทยาของสหรัฐอเมริกา ได้เล่าถึงเรื่องนี้ว่า “ กรณีศึกษาเหล่านี้ ทำให้ไม่ต้องมีข้อสงสัยเลยว่า ทำไมคนบางคนถึงมีความดึงดูดสำหรับยุงที่จะเข้ามากัดพวกเขาได้มากกว่า นั่นเป็นเพราะการที่เรามีสารเคมีบางอย่างหลั่งออกมาทางผิวหนัง และมีกลิ่นหอมประจำตัวในผิวของแต่ละคนที่แตกต่างกันออกไป “ ซึ่งส่วนประกอบที่แตกต่างทางร่างกายนี้เอง ที่ทำให้คนๆหนึ่งกลายเป็นเป้าหมายยอดนิยมสำหรับยุงที่จะเข้ามาหา เนื่องจากมันได้พบแรงดึงดูดที่เกินห้ามใจจากร่างกายของคุณนั่นเอง สภาวะเหล่านี้มันคืออะไรบ้าง

 

คุณกำลังตั้งครรภ์:

ยุงที่กัดกินเลือดมนุษย์ คือยุงตัวเมีย มันมีคุณสมบัติพิเศษหนึ่งคือ มันมีความไวและชอบเป็นพิเศษกับการได้พบกับกาซคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งยุงตัวเมียนี้จะมีตัวรับประสาทสัมผัสพิเศษหรือ nerve receptor ที่จะเป็นเหมือนเครื่องให้มันตรวจจับกาซนี้ในสภาพแวดล้อม จากการศึกษาเมื่อปี 2002 ได้พูดถึงเรื่องนี้ว่า เมื่อผู้หญิงอยู่ในช่วงระยะเดือนท้ายๆของการตั้งครรภ์ ช่วงนั้นลมหายใจออกของผู้หญิง จะมีกาซคาร์บอนไดออกไซด์มากกว่าในช่วงเวลาที่เธอไม่ได้ตั้งครรภ์อยู่ถึง 21% การวิจัยนี้ได้ช่วยอธิบายว่า ทำไมผู้หญิงตั้งครรภ์ซึ่งเข้าร่วมในการทดลองนี้ จึงมีความดึงดูดสำหรับยุงมากขึ้นเป็นสองเท่า แต่เรื่องของกาซคาร์บอนไดออกไซด์ ก็อาจไม่ใช่แค่เหตุผลเดียวที่ทำให้คุณเป็นที่ชื่นชอบของฝูงยุงเหล่านี้ มันอาจจะเป็นเพราะว่าผู้หญิงที่ตั้งครรภ์จะมีกลิ่นพิเศษอื่นๆของร่างกาย ที่จะดึงดูดให้แมลงต่างๆเข้ามาหาเธอมากขึ้นก็ได้ นี่คือการระบุของ ดร.ลอรา แฮริงตัน อาจารย์คณะของมหาวิทยาลัยคอร์เนล ที่ออกมาสนับสนุนกรณีศึกษาดังกล่าว

 

ตัวของคุณเต็มไปด้วยเหงื่อ:

 

healthmos02

 

ถ้าหากทุกครั้งที่ไปออกกำลังกายกลางแจ้งแล้วถูกแมลงกัดจนคุณรำคาญ บางทีคุณอาจต้องเปลี่ยนสถานที่หรือวิธีออกกำลังกายมาเป็นแบบอยู่แต่ในห้องยิม หรือไม่ก็เปลี่ยนไปเข้าซาวน่าแทนแล้วละ ที่เป็นแบบนี้ก็เพราะสิ่งที่ร่างกายผลิตออกมาด้วยในช่วงออกกำลังกายก็คือกรดแลกติก มันเป็นสิ่งที่หลั่งออกมาปะปนกับเหงื่อเมื่อมีการออกกำลังกายที่หักโหม ซึ่งกรดนี้แหละที่จะเป็นแรงดึงดูดที่ฝูงยุงปรารถนา จากการระบุของคอนลอนบอกว่า เมื่อคุณมีเหงื่อออกจนเปียกชุ่มไปหมด และผสมกับอุณหภูมิที่สูงกว่าปกติของร่างกาย ทั้งหมดก็จะเป็นส่วนสำคัญ โดยเฉพาะความอุ่นที่เพิ่มขึ้นนี้ จะเป็นยิ่งดึงดูดยุงให้วิ่งเข้ามาหาคุณอย่างไม่ต้องรั้งรออะไรเลยทีเดียว

 

คุณมีเลือดกรุ๊ปโอ:

เหตุผลที่ยุงชอบเลือดกรุ๊ปนี้ มันก็เหมือนกับที่คุณชื่นชอบอาหารจานโปรดนั่นแหละ ยุงเหล่านี้ก็เลือกพื้นที่ๆจะตรงเข้าไปแลนดิ้งหาอาหารที่เจาะจงว่าเป็นพื้นที่ชื่นชอบของมันเหมือนกัน และอย่าลืมว่าการหาอาหารของมัน ก็คือการดูดเลือดของคุณผ่านทางเส้นเลือดนั่นเอง เรื่องนี้ได้มีการบอกไว้ในนิตยสาร Journal of Medical Entomology ว่าได้มีการพบว่า เจ้ายุงผู้กระหายเลือดนี้จะชื่นชอบเป็นพิเศษสำหรับผู้ที่มีเลือดกรุ๊ปโอ “ดังนั้น คนเลือดกรุ๊ปโอจึงมีลักษณะพิเศษ ที่ทำให้ยุงชื่นชอบกลิ่นของพวกเขาเป็นพิเศษกว่าเลือดกรุ๊ปอื่นๆ”

 

คุณเพิ่งดื่มมา:

 

healthmos03

 

รู้สึกไหมว่า เรื่องถูกยุงกัดเป็นเรื่องที่รบกวนในช่วงเวลา happy hour ของคุณในบาร์ทุกครั้ง แต่นั่นเป็นเพราะการมีแอลกอฮอล์ในร่างกาย อาจกระตุ้นให้คุณถูกยุงกัดได้มากขึ้น การศึกษาในอาฟริกาตะวันตก ได้ลองให้อาสาสมัครสองกลุ่มที่ดื่มเบียร์กลุ่มหนึ่งและหรือดื่มน้ำอีกกลุ่มหนึ่งนั่งในพื้นที่ๆมียุง ผลที่ออกมาพบว่า“ การดื่มเบียร์จะเพิ่มระดับแรงความดึงดูดใจในเลือดให้กับยุงที่จะอยากดูดเลือดคุณมากขึ้น” นอกจากนี้ ก็ยังมีการทดลองเล็กๆที่ทำขึ้นในประเทศญี่ปุ่นที่สนับสนุนเรื่องนี้ว่า ยุงจะเข้ามาหาคนที่ร่างกายได้มีย่อยสลายของแอลกอฮอล์เกิดขึ้นในระบบการย่อย

 

ยีนของคุณทำให้มีความดึงดูดมากกว่าคนอื่นๆ:

มีการวิจัยพบว่าเรื่องของพันธุกรรมอาจมีความเกี่ยวข้องกับสิ่งนี้ เช่นเดียวกับที่มันเกี่ยวข้องกับพฤติกรรมหลายๆอย่าง โดยกลุ่มนักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยในลอนดอนระบุว่า การผลิตสารเคมีในร่างกายของคนบางคน จะผลิตสารเคมีป้องกันยุงที่จะเข้ามาใกล้ๆ ในขณะที่บางคนกลับมีสารเคมีที่ดึงดูดยุงเหล่านี้ให้เข้ามาหา ซึ่งผลจากการทดลองที่เกิดขึ้น ได้ถูกระบุว่ามันเป็นเรื่องของการควบคุมโดยยีนพันธุกรรมในร่างกายของเรานั่นเอง

 

ทีนี้เวลาไปไหนกับเพื่อนแล้วเขาบ่นว่าเจอเหตุการณ์แบบนี้ ก็คงต้องทำความเข้าใจกับเขาหน่อยอย่าไปคิดว่าเขารู้สึกไปเอง หรือถ้าหากสิ่งนี้เกิดขึ้นกับตัวคุณ หรือคุณอยู่ในข้อระบุใดๆของเรื่องนี้ก็ตาม เวลาไปไหน ก็อย่าลืมเตรียมป้องกันตัวเองด้วยการเตรียมยาทากันยุงและเลือกเสื้อผ้าให้พร้อมรับสถานการณ์ด้วย ทีนี้เที่ยวไหนก็น่าจะเที่ยวได้สนุกขึ้นแล้วค่ะ

ล้างพิษฟลูออไรด์ให้ร่างกายคุณ

 

เวลาพูดถึงฟลูออไรด์ เราก็มักนึกแต่ข้อดีของมันที่ได้ยินว่าช่วยเรื่องการป้องกันฟันผุ ซึ่งที่จริงแล้ว ฟลูออไรด์ก็เหมือนสารทั่วไปที่จะมีทั้งประโยชน์และโทษ หากได้รับมากเกินไปหรือไม่ถูกวิธี ก็อาจเกิดพิษสะสมจนเกิดความเสี่ยงสุขภาพหลายอย่างได้เช่นกัน

 

ฟลูออไรด์ในน้ำประปา ปลอดภัยแค่ไหน

มันอาจจะน่ากลัวถ้าเราจะต้องมาคิดว่า น้ำประปาที่เราดื่มหรือใช้อยู่ทุกวันนี้มันจะมีฟลูออไรด์อยู่แค่ไหน ปลอดภัยหรือเปล่า ซึ่งต้องบอกว่า ฟลูออไรด์ เป็นแร่ธาตุธรรมชาติที่มีอยู่ตามแหล่งน้ำใต้พื้นดินและน้ำในมหาสมุทร ฟลูออไรด์ในธรรรมชาติ จะเป็นเกลือของแร่ธาตุที่ชื่อว่า ฟลูออรีน (fluorine) ส่วนฟลูออไรด์ในน้ำประปานั้น จะเป็นเกลือโซเดียมฟลูออไรด์ที่ถูกเติมลงในน้ำประปา ด้วยเหตุผลที่เชื่อว่าจะช่วยรักษาสุขภาพฟันที่ดี แต่สำหรับเรื่องนี้เมื่อหลายปีก่อน มีการศึกษาของมหาวิทยาลัยเวสท์ เวอร์จิเนีย (The West Virginia University Rural Health Research Center) ออกมาระบุว่า ที่จริงแล้ว ฟลูออไรด์ช่วยอะไรไม่ได้มากนักในเรื่องการป้องกันโรคฟันผุ ซึ่งคุณสมบัติข้อนี้ของมันไม่สามารถสู้กับวิตามินดีและกรดไขมันโอเมก้า -3 ที่ให้ประสิทธิภาพป้องกันฟันผุได้ดีกว่ามากมาย ในสหรัฐอเมริกาเอง ก็ยังมีการเรียกร้องให้ลดปริมาณฟลูออไรด์ที่ผสมอยู่ในน้ำประปาลง หลังจากที่มีการยืนยันจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดว่า ปริมาณฟลูออไรด์ที่ร่างกายได้รับมากเกินไป อาจไปลดระดับไอคิวของสมองได้ ซึ่งเรื่องนี้ก็ยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ในนักวิทยาศาสตร์ แต่ไม่ว่าบทสรุปจะเป็นอย่างไรก็ตาม มันสำคัญอย่างมากที่จะต้องรู้เรื่องการทำทรีทเมนท์ล้างพิษสะสมของฟลูออไรด์นี้เอาไว้บ้าง รวมทั้งศึกษาข้อมูลข้อดีข้อเสียของมันด้วย

 

องค์การอนามัยโลก ได้กำหนดค่ามาตรฐานของฟลูออไรด์เพื่อความปลอดภัยในคู่มือมาตรฐานน้ำในปี 1996 กำหนดค่าไว้ที่ 1.5 ส่วนในล้านส่วนหรือ ppm. โดยขึ้นอยู่กับอุณหภูมิเฉลี่ยของแต่ละประเทศด้วย สำหรับประเทศไทย ปริมาณฟลูออไรด์ในน้ำที่เหมาะสม ควรอยู่ที่ 0.6 – 0.8 ppm. ซึ่งจากข้อมูลการเฝ้าระวังน้ำบริโภคธรรมชาติ ของกองทันตสาธารณสุข ในปี 2532 – 2544 พบว่าแหล่งน้ำทั่วประเทศ ร้อยละ 97.6 จะมีฟลูออไรด์อยู่ต่ำกว่า 1.5 ppm.ส่วนแหล่งน้ำที่เหลืออีกร้อยละ 2.4 จะมีฟลูออไรด์อยู่ในระดับเท่ากับหรือสูงกว่า 1.5 ppm. ซึ่งจะมีปัญหาต่อสุขภาพหากบริโภคเป็นเวลานานๆ โดยปริมาณฟลูออไรด์ในน้ำที่พบสูงสุดคือ 16.4 ppm. ที่ ต. บ่อพลอย จ.กาญจนบุรี ซึ่งเป็นน้ำจากแหล่งน้ำหลักคือ น้ำบ่อบาดาล แหล่งน้ำชุมชน และประปาผิวดิน

 

อย่างไรก็ตามสำหรับน้ำประปาที่ใช้ในกรุงเทพฯ ขณะนี้ มีปริมาณฟลูออไรด์เพียงเล็กน้อยมาก และไม่ถึงระดับที่จะป้องกันโรคฟันผุได้ คือมีอยู่เพียง 0.3 ppm. เท่านั้น และประเทศไทย จะมีการเติมฟลูออไรด์ลงในน้ำประปาเพียง 2 จังหวัดเท่านั้น คือที่จังหวัดนครนายกและที่จังหวดประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งเป็นพื้นที่เล็กๆทำให้การประปามารถควบคุมคุณภาพได้อย่างมีความพร้อมและกำลังอยู่ในระหว่างการพิจารณาประเมินผลโครงการการเติมฟลูออไรด์ดังกล่าว ซึ่งถึงแม้ประเทศไทยจะมีความเสี่ยงเรื่องนี้อยู่น้อยมาก แต่เมื่อโลกยุคนี้สามารถเชื่อมต่อกันได้ในทุกพื้นที่ด้วยการเดินทาง จึงมีความจำเป็นที่เราจะต้องเรียนรู้ ถึงวิธีทำทรีทเมนท์ล้างพิษของฟลูออไรด์ที่สะสมอยู่ในร่างกาย เพื่อความปลอดภัยไว้ก่อน

 

ทรีทเมนท์ล้างพิษฟลูออไรด์ด้วยสารธรรมชาติ

 

healthtoxin003

 

ไอโอดีน (Iodine)

ไอโอดีน ซึ่งเป็นแร่ธาตุที่มีอยู่ในเกลือที่เราบริโภค ถึงแม้แร่ธาตุนี้ จะช่วยล้างพิษสะสมของฟลูออไรด์ได้ แต่ก็มีข้อควรระวังก็คือ การได้รับไอโอดีนมากหรือน้อยเกินไป ก็จะนำเราไปสู่ความเสี่ยงของโรคเกี่ยวกับต่อมไทรอยด์ได้เช่นกัน การทำงานของเกลือในการล้างพิษฟลูออไรด์ก็คือ มันจะทำให้กระเพาะปัสสาวะขับสารโซเดียมฟลูออไรด์และแคลเซียมฟลูออไรด์ให้ออกมาจากร่างกายได้มากขึ้น แต่แน่นอนก็คือจะมีแคลเซียมบางส่วนจากกระดูกของเราที่ถูกนำพาออกไปกับปัสสาวะด้วย ดังนั้นหากคุณเลือกที่จะใช้การล้างพิษด้วยไอโอดีน ก็ควรบริโภคผลิตภัณฑ์เสริมอาหารแคลเซียมคู่กันไปด้วยเพื่อทดแทนสิ่งนี้ ซึ่งนอกจากไอโอดีนแล้ว เลซิติน ก็สามารถช่วยขจัดฟลูออไรด์ส่วนเกินออกไปจากร่างกายได้ดีเช่นกัน

 

มะขาม (Tamarind)

เป็นวิธีล้างพิษสะสมของฟลูออไรด์ในร่างกายด้วยวิธีการใช้พืชธรรมชาติที่มีความปลอดภัยอยู่มาก มะขามมีคุณสมบัติที่ดีหลายอย่างในการแพทย์อายุรเวท ซึ่งถูกนำมาทำเป็นชาหรือเป็นสารละลายในแอลกอฮอล์และนำมาใช้เพื่อช่วยดึงเอาฟลูออไรด์ออกมาจากร่างกายเราโดยการขับออกมาทางปัสสาวะ วิธีใช้ก็คือนำเนื้อมะขามมาต้มกับน้ำเป็นชาใช้ดื่มอุ่นๆจิบเรื่อยๆเป็นระยะๆตลอดวัน ประมาณ 2-3 วันก็จะช่วยเรื่องนี้ได้ดี

 

การล้างพิษสะสมในตับ (Liver Cleanse)

หน้าที่ของตับ คือการขจัดสารพิษที่สะสมในร่างกาย การทำทรีทเมนท์ล้างพิษในตับด้วยวิธีการต่างๆ จึงเป็นการทำความสะอาดล้างพิษของฟลูออไรด์ที่สะสมอยู่ด้วย โดยมากการล้างพิษตับจะใช้เวลาประมาณ 1 สัปดาห์และสามารถทำได้ด้วยตนเองแบบค่อยเป็นค่อยไป แต่ต้องแน่ใจถึงความปลอดภัยและความสะอาด รวมทั้งต้องทำตามคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญอย่างจริงจัง อย่างไรก็ตาม คุณสามารถทำความสะอาดตับได้ในทุกๆวันด้วยการบริโภคอาหารที่จะทำความสะอาดให้ตับ

 

โบรอน Boron

เป็นสารอาหารที่น่าสนใจในการล้างพิษสะสมจาอกฟลูออไรด์ โบรอนจะทำให้ร่างกายลดการขับแคลเซียมในกระดูกออกมาทางปัสสาวะลงได้ถึง 40% ทั้งยังมีคุณสมบัติช่วยให้กล้ามเนื้อและกระดูกยืดหยุ่นแข็งแรงมากขึ้น องค์การอนามัยโลกระบุว่า โบอนช่วยคงสภาพของกระดูกให้กับผู้ที่ร่างกายขาดวิตามินดี แมกนีเซียมและโปตัสเซียม ช่วยเพิ่มการดูดซึมของแคลเซียม ลดโอกาสการเกิดหินปูนที่เกาะตามกระดูก รวมทั้งช่วยล้างพิษสะสมของฟลูออไรด์ได้ด้วย ปริมาณที่แนะนำคือ การบริโภคให้ได้ 3 มิลลิกรัมต่อวัน โดยพืชผักธรรมชาติที่มีสารนี้ได้แก่ แอปเปิ้ล กีวี ลูกพีช องุ่น อโวคาโด ธัญพืชต่างๆ นมถั่วเหลือง มะเขือเทศ อัลมอนด์ บร็อคโคลี กล้วย ไวน์และน้ำผึ้ง

 

การทำซาวน่าแบบแห้ง (Dry Saunas)

 

healthtoxin004

 

ซาวน่า เป็นการขับเหงื่อออกจากร่างกายโดยการใช้ความร้อน ตามด้วยการอาบน้ำเย็น การทำซาวน่าแห้ง จะต่างจากซาวน่าปกติคือ ห้องที่ใช้จะเป็นห้องที่มีอุณหภูมิสูงแต่จะไม่มีความชื้น โดยจะใช้กระแสไฟฟ้าเปลี่ยนเป็นคลื่นความร้อนอินฟราเรด ข้อดีของซาวน่าแห้งคือร่างกายจะถูกกระตุ้นให้ขับสารพิษจากโลหะออกมาได้มากขึ้น ช่วยเร่งกระบวนการเผาผลาญอาหารให้ทำงานได้ดีขึ้น เพราะซาวน่าแห้งจะทำให้เสียเหงื่อมากกว่าซาวน่าแบบไอน้ำ อย่างไรก็ตาม ซาวน่าแห้ง ถือว่าเป็นการทำทรีทเมนท์แบบเข้มข้น เป็นการระบายโซเดียมฟลูออไรด์ออกจากเนื้อเยื่อและไขมันของคุณโดยทางเหงื่อ เพียงแต่ให้แน่ใจว่าคุณรักษาร่างกายไว้ไม่ให้ขาดน้ำในระหว่างการทำซาวน่านี้เท่านั้น ด้วยการจิบน้ำกลั่นหรือน้ำสะอาดตลอดเวลา

 

การใช้เครื่องกรองน้ำที่ใช้ระบบ Reverse Osmosis

เป็นวิธีที่ง่ายที่สุดและได้ผลดี เครื่องกรองนำระบบนี้ จะช่วยจำกัดปริมาณของฟลูออไรด์ที่จะเข้าสู่ร่างกายได้ส่วนหนึ่ง เพราะมันจะช่วยกรองกำจัดสารละลายในน้ำออกไป ทำให้มีความปลอดภัยในระดับหนึ่งต่อการบริโภค การกรองน้ำด้วยระบบนี้ ถือว่าเป็นการกรองในขั้นละเอียดที่สุดที่ใช้กันอย่างแพร่หลายทั่วโลก ดังนั้น การดื่มน้ำที่ผ่านกระบวนการกรองแบบนี้ จึงมีความปลอดภันจากสารฟลูออไรด์ในระดับหนึ่ง

 

ไม่ว่าจะเป็นการล้างพิษฟลูออไรด์ด้วยวิธีการใดก็ตาม ควรใช้ด้วยความระมัดระวัง และใช้ความถี่ของระยะการล้างพิษที่เหมาะสมที่ทำให้คุณรู้สึกดีทั้งร่างกายและจิตใจ และเมื่อได้ล้างพิษสะสมของฟลูออไรด์ออกไปแล้ว สิ่งที่ควรทำต่อไปก็คือ การจำกัดการนำสารนี้เข้าสู่ร่างกายให้อยู่ในปริมาณที่เหมาะสม พยายามหาความรู้ใหม่ๆอยู่เสมอ อย่ายึดติดกับข้อมูลหรือความเชื่อเดิมๆใดๆเป็นเวลานานๆ เพื่อคุณจะได้มีพัฒนาการที่ดีขึ้นของสุขภาพโดยรวม

 

เครดิตรูป: Water Tap

รู้จักไลฟสไตล์เปลี่ยนคุณให้ดูเด็กลง

 

ก็ในเมื่อไม่มีใครอยากดูแก่ ก็ต้องมาเรียนรู้ไลฟสไตล์สุขภาพและความงามที่จะทำให้คุณดูเด็กลงด้วยกัน

 

เคยไหมคะเวลาไปงานเลี้ยงรวมรุ่นแล้วจะแอบนึกว่า เพื่อนคนนี้เจอทีไรก็ยังดูสวยเด็กทุกที หรือเพื่อนคนนี้ไปทำอะไรมาถึงหน้าตาผมเผ้าไปหมดขนาดนั้น ก็งานแบบนี้แหละจะบอกว่าใครดูแลตัวเองได้ดีแค่ไหน

 

แน่นอนที่ถึงเราจะไม่สามารถหยุดเวลาได้ แต่เราสามารถหมุนนาฬิกากลับไปให้มีเส้นผม มือและผิวพรรณที่ยังดูอ่อนเยาว์กว่าวัยจริงได้ โดยที่คุณไม่ต้องทำศัลยกรรมความงาม หรือซื้อทรีทเมนท์แพงๆ หรือต้องพึ่งผลิตภัณฑ์เสริมอาหารหรือโลชั่นแบรนด์ใดๆ แค่ตรวจสอบพฤติกรรมไลฟสไตล์ประจำวัน และเพิ่มเรื่องง่ายๆเหล่านี้ในชีวิตประจำวันเท่านั้นเอง

 

 

1. เลิกใช้อุปกรณ์แต่งผมที่ใช้ความร้อน: เส้นผมที่ดูเด็กลงคือผมที่มีสปริงยืดหยุ่นและเงางามเป็นประกาย แต่การใช้คีมหนีบผมหรืออุปกรณ์ม้วนลอนผมที่ต้องใช้ความร้อนสูงๆ จะทำให้เส้นผมเสียหายหรือแตกหักได้ง่ายๆ ”

 

เพื่อความสวยย้อนเวลา: ให้เส้นผมได้พักจากการใช้เครื่องเป่าผมที่ร้อนจัด โดยการปล่อยให้ผมแห้งเองตามธรรมชาติ

 

 

2. ใช้ผลิตภัณฑ์กันแดดกับผิวทุกๆวัน: การทาครีมกันแดดทุกวันจะช่วยป้องกันผิวจากความเสี่ยงโรคมะเร็งผิวหนัง จากการศึกษาพบว่าคนที่ทาครีมกันแดด 2-3 วันในหนึ่งสัปดาห์ จะมีความเสี่ยงจากการที่ผิวจะเกิดความชราได้มากกว่าคนที่ทาครีมกันแดดประจำทุกๆวันถึงสองเท่า

 

เพื่อความสวยย้อนเวลา: ผลิตภัณฑ์กันแดดที่มีค่า SPF30 เป็นค่ากันแดดที่เหมาะสมที่แพทย์ผิวหนังแนะนำ ควรทามันทุกๆวันไม่ว่าจะฝนตกหรือแดดออกก็ตาม และให้ใช้มันบ่อยครั้งกว่าที่คุณคิดว่าต้องการ ที่เป็นแบบนี้เพราะคนส่วนใหญ่มักใช้ครีมกันแดดแค่ปริมาณเพียง 1 ใน 4 ของปริมาณที่ถูกแนะนำว่าควรจะใช้ในชีวิตจริงอยู่บ่อยๆ กฎที่ควรจำของปริมาณครีมกันแดดก็คือ ครั้งละ 2 ข้อนิ้วโดยทาให้คลุมพื้นที่ผิวให้ทั่ว ทิ้งไว้ให้ซึมสู่ผิวสักคครู่แล้วค่อยทาซ้ำจนได้ปริมาณที่เหมาะสม

 

 

healthlife004

 

 

3. ทาโลชั่นที่มือของคุณด้วย: ผิวที่หลังมือมีความบอบบางมาก และเสี่ยงที่จะเกิดริ้วรอยบอกวัยได้มากที่สุดเมื่อเทียบกับผิวในส่วนอื่นๆของร่างกาย เมื่ออากาศที่แห้งขโมยความชุ่มชื้นไป ผิวมือของคุณก็จะดูแก่กว่าที่มันควรจะเป็น การใช้โลชั่นจะช่วยเรื่องนี้ได้ เลือกโลชั่นที่มีส่วนผสมของสารกันแดด เพื่อช่วยลดความเสียหายของผิวจากแสงแดดที่ทำให้หลังมือคุณเป็นจุดสีน้ำตาลและริ้วรอยต่างๆ

 

เพื่อความสวยย้อนเวลา: อย่าลืมทามอยซ์เจอร์ที่มีค่ากันแดด SPF30 ที่หลังมือคุณทุกเช้าเพื่อเพิ่มความชุ่มชื่น

 

 

4. เลี่ยงอาหารที่ทำให้เกิดคราบฟัน: ฟันสีขาวบ่งบอกสัญญาณของสุขภาพดีและความเยาว์วัย อาหารที่มีสีคล้ำ, อาหารร้อนจัด, อาหารที่เหนียวเกินไป หรือซอสอย่างเช่นซอสบาร์บีคิว ก็เสี่ยงสูงมากที่จะทำให้เกิดคราบฟันเป็นสีคล้ำ เครื่องดื่มอย่างไวน์แดง, กาแฟและโคลา ก็ถูกระบุว่าทำให้เกิดคราบสีคล้ำที่ฟันได้ด้วยเช่นกัน

 

เพื่อความสวยย้อนเวลา: ป้องกันฟันของคุณจากการเกิดคราบได้ไม่ยาก ทั้งยังสามารถบริโภคอาหารได้อร่อยอีกด้วย แทนที่จะใช้บาร์บีคิวซอสคู่กับอกไก่ ก็เปลี่ยนมาใช้เป็นซอสมะม่วงซัลซาหรือสมุนไพรต่างๆแทน ก็จะได้คุณค่าโภชนาการมากกว่าด้วย หรือเปลี่ยนจากการดื่มเครื่องดื่มโซดาสีเข้มๆมาเป็นแบบใสแทน

 

 

healthlife005

 

 

5. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ: การออกกำลังกาย จะช่วยพัฒนาระบบไหลเวียนของเหลวภายในร่างกาย ทำให้ผิวดูดีขึ้น รวมไปถึงผิวรอบดวงตาของเราด้วยที่จะลดการบวมและรอยคล้ำลงได้ นอกจากนี้ ยังมีการศึกษาจากมหาวิทยาลัยแมคมาสเตอร์ในประเทศแคนาดาที่พบว่า การออกกำลังกาย จะช่วยย้อนเวลาของผิวที่ดูชราให้เยาว์วัยลงได้ด้วย นอกจากจะได้รูปร่างที่ดีแล้ว ก็จะยังได้ผิวพรรณที่ดีขึ้นจากกิจกรรมนี้

 

เพื่อความสวยย้อนเวลา: ให้นึกถึงข้อดีที่ว่านี้เพื่อจะออกกำลังกายให้ได้ 30 นาทีต่อวันในทุกๆวัน

 

 

6. จำกัดปริมาณโซเดียมแต่ละวัน: การบริโภคอาหารเค็มปริมาณมากเกินไป จะทำให้คุณตัวบวมเพราะร่างกายเก็บกักน้ำส่วนเกินเอาไว้ ทำให้ดูบวมฉุไปทั้งตัวโดยเฉพาะที่ผิวใต้ตา

 

เพื่อความสวยย้อนเวลา: กำจัดอาการท้องอืดด้วยการตระหนักถึงปริมาณโซเดียมที่แฝงอยู่ในอาหารที่คุณบริโภคเข้าไป เพราะมันจะมีเกลือเป็นส่วนผสมอยู่ทุกหนทุกแห่ง ทั้งในขนมปัง, ซีเรียล, เครื่องปรุงอาหาร, ซอสต่างๆ, ผลิตภัณฑ์อาหารจากเนื้อสัตว์, และแม้แต่ในขนมหวานเบเกอรี่หลายๆชนิดก็เต็มไปด้วยเกลือ

 

 

7. คุมพฤติกรรมติดมือถือให้ได้: การก้มหน้าพิมพ์ข้อความในมือถือ หรือก้มดูเฟสบุคนานๆ จะทำให้เกิดริ้วรอยย่นที่ผิวบริเวณคอ และหากคุณก้มแบบนี้เป็นประจำเป็นเวลานานๆ ริ้วรอยนั้นก็จะเป็นริ้วรอยถาวร

 

เพื่อความสวยย้อนเวลา: ลองสังเกตดูว่าคุณพิมพ์ข้อความบนมือถือมากที่สุดที่ไหน ที่ออฟฟิศ, ในรถไฟฟ้า จากนั้นให้เอารูปของแฟน หรือรูปครอบครัว หรือสถานที่ๆคุณไปมาแล้วชอบ มาไว้ที่ระดับที่จะเงยหน้าขึ้นมามองมันบ่อยๆในขณะที่กำลังพิมพ์ข้อความในมือถือ

 

 

8. ใช้น้ำยาบ้วนปากทุกวัน: ถ้าคุณทำแบบนี้อยู่แล้วละก็ ถือว่ามาถูกทางแล้วละ น้ำยาบ้วนปากจะช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรียในซอกฟัน ทั้งช่วยทำความสะอาดเหงือกของคุณให้คุณมีฟันที่สวยสะอาด และเหงือกเป็นสีชมพูสวย ซึ่งตรงข้ามกับเหงือกสีแดงที่เป็นสัญญาณของโรคเหงือก

 

เพื่อความสวยย้อนเวลา: เลือกน้ำยาบ้วนปากที่ปลอดจากแอลกอฮอล์ และควรเป็นสารที่มีส่วนประกอบของธรรมชาติ

 

 

9. บริโภคอาหารที่มีโปรตีนสูง: หากคุณต้องการให้เส้นผมมีสุขภาพดี ก็ต้องเริ่มจากพื้นฐาน นั่นคือการบริโภคอาหารอุดมด้วยโปรตีน เพื่อรักษาสมดุลการผลิตเส้นผมของร่างกาย เพราะโปรตีนเป็นสารอาหารที่จะช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของเส้นผม

 

เพื่อความสวยย้อนเวลา: ผู้หญิงควรบริโภคโปรตีนให้ได้ 46 กรัมต่อวัน และมากกว่านี้หากคุณตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร หรือเป็นนักกีฬาที่กำลังจะเตรียมเข้าแข่งขัน ตัวอย่างอาหารโปรตีนที่แนะนำเช่น ปลาแซลมอน 3 ออนซ์จะมีโปรตีน 22 กรัม ในขณะที่นมไขมันต่ำหนึ่งแก้วจะให้โปรตีน 8 กรัม

 

 

healthlife002

 

 

10. อย่าแปรงผมขณะเปียก: ถ้าคุณเลิกใช้ที่เป่าผมแบบร้อน ทั้งบริโภคโปรตีนมากขึ้น แต่เส้นผมของคุณยังบางและดูลีบแบนสีหม่นหมอง ไม่เป็นประกายเงางามแล้วละก็ คงต้องโทษพฤติกรรมหลังการสระผมของคุณ ว่าเป็นสาเหตุของปัญหานี้ นั่นคือการแปรงผมในขณะที่มันยังเปียกอยู่ซึ่งเส้นผมอยู่สภาวะที่อ่อนแอที่สุด สามารถทำให้เกิดความเสียหายที่นำไปสู่เส้นผม

 

เพื่อความสวยย้อนเวลา: อย่าแปรงผมขณะที่มันยังเปียกอยู่ หลังสระผมเสร็จ ให้ใช้หวีซี่ห่างๆที่มีปลายของซี่หวีแบบทื่อไม่แหลมคม หวีเบาๆทั่วศีรษะให้ผมไม่พันกัน

 

 

11. บริโภคผักใบสีเขียว: ผักเหล่านี้เป็นเหมือนแปรงสีฟันธรรมชาติ ทั้งยังอุดมด้วยไฟเบอร์เช่นผักโขม ผักกาด กะหล่ำและบร็อคโคลี จะช่วยทำความสะอาดฟัน ไฟเบอร์ของมันยังช่วยป้องกันคราบพลัคที่จะมาติดเคลือบฟันได้อีกด้วย นอกจากนี้ ยังช่วยให้ผิวสวยสดใสหากคุณบริโภคให้ได้วันละ 3 ครั้ง

 

เพื่อความสวยย้อนเวลา: ควรบริโภคผักผลไม้สดให้ได้สองถ้วยครึ่งต่อวัน นี่คือปริมาณที่นักโภชนาการแนะนำสำหรับผู้หญิงที่มีอายุน้อยกว่า 40 ปี

 

 

12. ควบคุมความเหนื่อย: ความเหนื่อยล้าไม่เพียงแต่จะทำให้คุณวุ่นวายในใจเท่านั้น แต่มันยังแสดงผลออกมารูปลักษณ์ภายนอกของคุณอีกด้วย นั่นคือสภาพผิวที่เกิดการแพ้ เป็นสิวรวมถึงอาการผื่นแพ้ต่างๆของผิวหนัง

 

เพื่อความสวยย้อนเวลา: จากการศึกษาพบว่า การเข้าสังคมและการอยู่ในโลกออนไลน์ มีบทบาทอย่างมากเกี่ยวกับความเหนื่อยล้านี้ ให้แน่ใจว่าคุณจัดเวลาได้เหมาะสมระหว่างการอยู่ในหมู่เพื่อนฝูงกับการพักผ่อน

 

 

healthlife003

 

 

13. นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ: เมื่อเราได้หลับลึก ร่างกายจะผลิตฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรนที่มีคุณภาพได้ดีกว่า ซึ่งฮอร์โมนเหล่านี้ จะช่วยระบบการซ่อมสร้างของผิวหนังให้ทำงานได้ดีขึ้น ทำให้ผิวสวยสดใสในตอนเช้า ทั้งฮอร์โมนคุณภาพนี้ ก็ยังช่วยป้องกันการเกิดสิวได้อีกด้วย

 

เพื่อความสวยย้อนเวลา: หากคุณชอบอยู่ดึกเพื่อดูรายการโปรด ก็ให้จำกัดเวลาการดูและทำตามอย่างเคร่งครัด พยายามหาสิ่งผ่อนคลายทำ เพื่อให้คุณรู้สึกสงบจากความตื่นเต้นของรายการที่เพิ่งจบไป เช่นอาจดื่มนมอุ่นๆที่ผสมน้ำผึ้งเล็กน้อยสักแก้ว ก็จะช่วยให้หลับสบายขึ้น

ปฏิบัติการเพิ่มผลกำไรให้กับมื้อเจ

 

ช่วงสัปดาห์สุดท้ายของเดือนตุลาคมที่เป็นช่วงของการกินเจ นอกจากเรื่องกลัวจะขาดสารอาหารแล้ว ก็มีหลายคนที่พูดให้ได้ยินว่า มีมื้อเจบางมื้อที่พอบริโภคแล้วก็รู้สึกว่าท้องอืด แน่นท้อง หรือถ้าขั้นหนักหน่อยก็ปวดท้องเป็นตะคริวในช่วงเวลาสั้นๆหลังจากบริโภคอาหารมื้อเที่ยง ก็เลยอยากจะมาเล่าให้ฟังเพื่อให้ได้เรียนรู้เรื่องนี้ ที่สาเหตุหนึ่งอาจมาจากการที่เราได้นำอาหารที่ไม่มีความลงตัวในศาสตร์ของการผสมผสานอาหารมารวมเข้าไว้ด้วยกันนั่นเอง

 

 

เรื่องราวของศาสตร์แห่งการผสมผสานอาหารหรือ food combination คือการรวมกันของความรู้ทางวิทยาศาสตร์ของโภชนาการ เพื่อให้เราเข้าถึงสภาวะทางเคมีของอาหารที่บริโภคเข้าไปและมันถูกจับให้ผสมผสานกันในกระบวนการย่อย การจับคู่อาหารที่มีส่วนประกอบสอดคล้องกัน ก็จะทำให้ร่างกายได้รับประโยชน์สูงสุด ได้พลังงานเต็มที่และมีการย่อยสลายของอาหารที่ดีกว่า ทั้งในเรื่องอัตราส่วนของสารอาหารที่ถูกย่อย และความหลากหลายของเอนไซม์ที่จะได้รับก็ครบถ้วนกว่าด้วย

 

 

กฎของการผสมผสานอาหาร ( Food Combination Rules)

 

healthvegetable003

 

สิ่งที่ควรรู้ก็คือ ร่างกายของเรามีความสามารถในการย่อยอาหารแต่ละชนิดได้ไม่เท่ากัน การเข้าใจการผสมผสานอาหารเบื้องต้นข้อนี้จะช่วยลดปัญหาให้ง่ายขึ้น และความสามารถในการย่อยอาหารของแต่ละคนก็ไม่เท่ากันด้วย ในขณะที่บางคนสามารถย่อยอาหารที่บริโภคเข้าไปได้ง่ายๆไม่มีปัญหา แต่ระบบการย่อยของบางคนก็เกิดการสะดุด และมีอาการท้องอืดเมื่อบริโภคอาหารที่ไม่ได้มีการผสมผสานตามหลักที่เหมาะสมนั้นๆ กฎง่ายๆของการผสมผสานอาหารก็คือ: 1. หากคุณรู้สึกว่ากินเจแล้วท้องอืด ก็ไม่ควรผสมผสานอาหารแป้งและโปรตีนเข้าด้วยกัน เพราะจะทำให้ระบบการย่อยทำงานช้าลง ทั้งอาจทำให้เกิดการหักล้างกันของสารอาหารที่มีประโยชน์ที่เกิดขึ้นได้โดยไม่ตั้งใจ ด้วยเหตุนี้ จึงควรให้เวลาในการวางแผนผสมผสานอาหาร และควรมีออกแบบล่วงหน้าหากอาหารมื้อนั้นของคุณมีแป้งหรือโปรตีนเป็นส่วนประกอบหลัก 2.หลังจากที่รู้ว่าส่วนประกอบหลักของอาหารจานนั้นของคุณคืออะไรแล้ว ก็สามารถเติมผักลงไปได้หลากชนิดตามที่คุณชอบ แต่ให้เก็บผักที่เป็นกลุ่มแป้งอย่างเช่นมันฝรั่ง ข้าวโพด มันต่างๆ ควินัว ฯลฯ เอาไว้ใช้สำหรับเมนูที่เป็นแป้งเป็นหลักเท่านั้น ไม่ควรนำมันมาผสมผสานกับเมนูที่ใช้โปรตีนเป็นหลัก 3. ให้บริโภคผลไม้ต่างๆแยกออกมาต่างหาก ไม่ควรผสมผสานมันเข้าไปในอาหารจานนั้น และควรบริโภคก่อนหรือหลังมื้ออาหารของคุณเป็นเวลาครึ่งชั่วโมง

 

 

อย่างไรก็ตาม คุณไม่จำเป็นต้องทำตามกฎเหล่านี้ตลอดเวลา แต่ให้นึกถึงมันเอาไว้ในช่วงระหว่างวัน เมื่อคุณต้องการตัวช่วยพิเศษเกี่ยวกับเรื่องของระบบการย่อยที่ดี

 

 

ความเหนื่อยล้าประจำวันกับระบบลำไส้ของคุณ:

มีการศึกษาหนึ่งตั้งข้อสังเกตว่า ความเหนื่อยล้า คือสาเหตุหนึ่งของการชลอตัวลงของแบคทีเรียชนิดดีที่มีในระบบการย่อย และในเดียวกัน ความเหนื่อยนี้ก็จะไปเพิ่มจำนวนแบคทีเรียชนิดเลวที่เป็นสาเหตุของการติดเชื้อให้มากขึ้นด้วย และเมื่อสุขภาพที่ดีของระบบย่อยอาหารของร่างกายมีบทบาทสำคัญกับความงาม สิ่งนี้จึงส่งผลไปถึงผิวพรรณที่ดูสวยกระจ่างใส, น้ำหนักตัวที่เหมาะสม, อารมณ์รื่นรมย์มีความสุข, และระบบภูมิคุ้มกันที่ดี เมื่อทุกอย่างต่อเนื่องกันไปหมด นอกจากการวางแผนการกินเจเพื่อให้ได้สุขภาพที่ดีแล้ว จึงสำคัญที่เราจะต้องวางความเหนื่อยล้าจากพฤติกรรมที่ทำอยู่เป็นประจำทุกวันลงให้ได้ ด้วยการฝึกหัดหาพื้นที่สงบผ่อนคลายให้กับชีวิตของเราด้วยในแต่ละวัน พื่อให้ระบบการย่อยมีประสิทธิภาพไม่เกิดการแปรปรวน

 

 

เติมขมิ้นและพริกไทยดำลงในเมนูเจ:

 

healthvegetable004

 

ขมิ้นและพริกไทยดำ เป็นเครื่องเทศสองชนิดที่ไม่ได้ถูกห้ามในการกินเจ และเมื่อสองสิ่งนี้มาอยู่คู่กัน ก็จะเกิดผลดีต่อสุขภาพเพิ่มขึ้นกว่าการอยู่เดี่ยวๆอย่างมาก เพียงผงขมิ้นป่นจำนวนเล็กน้อยถูกโปรยลงในอาหาร ก็จะไปเติมผลกำไรแห่งความงามที่สำคัญๆให้คุณอย่างมากมาย รวมถึงช่วยลดการติดเชื้อและช่วยเพิ่มปริมาณของสารต้านอนุมูลอิสระให้ด้วย และหากคุณใช้มันร่วมกับพริกไทยดำป่นแล้วละก็ การศึกษาพบว่ามันจะเพิ่มการดูดซึมคุณสมบัติดีๆของขมิ้นที่จะเข้าสู่ร่างกายให้มากขึ้นอย่างมหัศจรรย์ถึง 2000 % เลยทีเดียว แม้จะเป็นพริกไทยดำป่นเพียงเล็กน้อยที่ถูกผสมลงไป นี่คือเคล็ดลับความงามและสุขภาพดีที่ทำได้ไม่ยากในการกินเจนี้

 

 

เติมพลังเตรียมรับฤดูหนาวให้สมูตตี้เจ:

เพิ่มพลังให้กับสมูตตี้หวานๆง่ายๆแบบธรรมดาที่เคยดื่มในช่วงหน้าร้อน เพื่อเตรียมพร้อมร่างกายให้รับมือกับสภาวะอากาศที่กำลังจะเปลี่ยนเข้าสู่ฤดูหนาว ด้วยการเติมเมล็ดเจีย ( chia seed) 1-2 ช้อนโต๊ะ ลงในสมูตตี้รสโปรดของคุณทุกๆแก้ว วิธีนี้จะเพิ่มพลังให้กับร่างกาย ทั้งยังทำให้คุณมีผิวพรรณที่ดีขึ้นในช่วงหน้าหนาวนี้ด้วย เมล็ดเจียอุดมด้วยกรดไขมันที่มีประโยชน์สำหรับผิวสวย ช่วยต้านการติดเชื้อและฟื้นฟูแร่ธาตุในร่างกาย ทั้งยังมีคุณสมบัติช่วยให้คลายความเหนื่อยล้า แค่คุณบริโภคมันให้ได้ในปริมาณ 4 ช้อนโต๊ะต่อวัน

 

 

เตรียมร่างกายให้พร้อมกับมื้อเจ:

กุญแจสำคัญที่จะนำไปสู่ระบบการย่อยที่พร้อมและการมีผิวพรรณเปล่งปลั่งสดใส ก็คือการที่จะต้อง “ตั้ง”ระบบการย่อยที่ดีให้กับตัวเองก่อนมื้ออาหาร ด้วยการดื่มน้ำสะอาดอุณหภูมิห้อง 15 นาทีก่อนที่จะบริโภคอาหาร การทำแบบนี้จะช่วยเพิ่มความชุ่มชื่นให้กับลำไส้และระบบการย่อยของคุณ และนอกจากนี้ คุณต้องตัดจากการวุ่นวายกับคอมพิวเตอร์ สมาร์ทโฟน ทีวี และความเหนื่อยล้าทั้งหมดที่เกิดขึ้นในช่วงทำงานก่อนหน้านี้ด้วย ก็แค่หายใจลึกๆเพื่อลดความเหนื่อยล้าที่มีอยู่ และใช้ชีวิตกับปัจจุบันว่านี่คือถึงเวลาอาหารที่คุณต้องหยุดคิดเรื่องงานได้แล้ว เมื่อทำแบบนี้ได้คุณก็จะสามารถนั่งลงที่ร้านและเลือกอาหารที่ดีต่อร่างกายได้ โดยปราศจากอารมณ์ด้านลบมาทำให้เกิดความผิดพลาด ลองทำแบบนี้ทุกครั้งก่อนนั่งลงบนโต๊ะอาหารสักสัปดาห์ แล้วจะสังเกตพบความแตกต่างของระบบการย่อยที่ดีขึ้นไม่ว่าจะเป็นมื้อใดก็ตาม

 

 

บริโภคผักในตระกูลกะหล่ำให้มากขึ้น:

 

healthvegetable005

 

ผักกะหล่ำชนิดต่างๆ รวมทั้งบร็อคโคลี, กะหล่ำปลี, ผักกวางตุ้ง ฯลฯ เหล่านี้ถูกจัดว่าเป็นอาหารซูเปอร์ฟู้ดของความงาม และทำให้มีสุขภาพดี ช่วยลดความเสี่ยงของโรคร้ายต่างๆให้กับผู้หญิง เพราะผักในตระกูลนี้มีสารชื่อว่า ไอโซไธโอไซยาเนท (isothiocyanates) ซึ่งจะไปช่วยกระตุ้น Nrf2 ในร่างกาย ซึ่ง Nrf2 นี้ คือโปรตีนในเซลล์ของร่างกาย ที่เป็นตัวช่วยกระตุ้นให้เกิดการขจัดสารพิษ ต่อต้านการเกิดอนุมูลอิสระและการอักเสบติดเชื้อต่างๆในเซลล์ ปัจจุบัน สารนี้ได้รับความสนใจอย่างกว้างขวางในวงการอุตสาหกรรมยา ว่ามันอาจเป็นตัวช่วยของร่างกายในแนวทางป้องกันโรคต่างๆได้ นอกจากนี้ ผักในตระกูลกะหล่ำก็ยังช่วยขจัดฮอร์โมนเอสโตรเจนส่วนเกินของร่างกาย ที่จะไปเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็งเต้านมและมะเร็งรังไข่ได้อีกด้วย

 

 

จิบชาสมุนไพรช่วยระบบการย่อย:

อย่าลืมตุนชาสมุนไพรไว้ในครัวเพื่อช่วยระบบการย่อยอาหาร สิ่งนี้ยังช่วยให้มีผิวพรรณเปล่งปลั่ง เลือกชาขิงออร์แกนิก ที่มีสารช่วยการผ่อนคลายของกระเพาะอาหาร และช่วยคลายอาการของอาหารไม่ย่อย หรือคุณอาจทำชาสมุนไพรนี้ด้วยตัวเอง โดยผสมเมล็ดยี่หร่า (fennel) เข้ากับผงลูกกระวาน ( cardamom) และผงขิงอบแห้งที่หาซื้อได้ในซูเปอร์มาร์เก็ตทั่วไป จากนั้นนำส่วนผสมทั้งหมดมาใส่ลงในชาแดงหรือ ( rooibos tea)ที่ปลอดคาเฟอีนและอุดมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ

 

 

ยืดหยุ่นกับการเตรียมอาหารเจ:

 

healthvegetable002

 

หลายคนบอกว่า การเตรียมอาหารเจเป็นเรื่องยุ่งยาก ซึ่งถ้าจะพูดอย่างซื่อสัตย์ เราก็ต้องยอมรับว่า ไม่มีใครสนุกกับการต้องเตรียมและทำอาหารประจำวัน เมื่อคุณรู้สึกเหนื่อยและไม่มีแรงบันดาลใจ ไม่ว่าจะเป็นการเตรียมอาหารเจหรืออาหารธรรมดาๆ เพราะมันเป็นเวลาที่คุณต้องการพักผ่อนมากกว่า แต่ในขณะเดียวกัน ร่างกายของเราก็ต้องการอาหารที่มีประโยชน์ สิ่งที่จะทำให้คุณประนีประนอมกับสองเรื่องนี้ได้ก็คือ การหาข้อมูลร้านอาหารเจที่มีคุณภาพดีจริงๆ หรือซื้อผักผลไม้สดแบบที่เตรียมพร้อมปรุง เพื่อลดขั้นตอนการทำอาหารให้สั้นลง การใช้แอพช้อปปิ้งสินค้าอาหารจากซูเปอร์มาร์เก็ต ก็สามารถช่วยลดเวลาการจ่ายของเหล่านี้ให้คุณได้ สิ่งที่สำคัญคือคุณต้องวางแผนล่วงหน้าว่ามื้อไหนจะบริโภคอะไร ทีนี้คุณก็จะมีเวลาพักผ่อนเพิ่มขึ้นและได้รับสารอาหารที่ดีเหมาะสม โดยไม่จำเป็นต้องเตรียมหรือทำอาหารด้วยตัวเองทุกครั้ง

 

 

สุดท้ายก็คือเตือนกันว่า อาหารต้องห้ามสำหรับการกินเจได้แก่ กระเทียม หอม กุ้ยช่าย อาหารรสจัด ซึ่งเป็นอาหารที่มีกลิ่นรุนแรงทำให้มีผลต่ออารมณ์ นอกจากนี้ การกินเจให้สุขภาพดีก็คือการควบคุมปริมาณอาหารทุกอย่างให้เหมาะสม เลี่ยงของทอดและแป้งที่จะเพิ่มน้ำหนักตัว รวมทั้งอาหารมันจัด รสเค็มจัด และควรล้างผักผลไม้ที่บริโภคให้แน่ใจว่าสะอาดจริงๆ และอย่าลืมการออกกำลังกายเป็นประจำ เพื่อให้ร่างกายเผาผลาญคาร์โบไฮเดรตจากอาหารเจได้สะดวกขึ้น หวังว่าเรื่องราวที่เล่าในวันนี้ จะช่วยให้กินเจแบบสุขภาพดีด้วยกันทุกท่านนะคะ

มะเร็งเต้านม กับ 3 ไลฟสไตล์เสี่ยงมากที่สุด

 

ตุลาคม เป็นเดือนที่มีความหมายสำคัญในเรื่องสุขภาพของผู้หญิงทั้งโลก ด้วยการเตือนให้เราได้ตระหนักถึงความจำเป็นในการดูแลสุขภาพของ “เต้านม” อวัยวะสำคัญของความเป็นเพศหญิง

 

มะเร็งเต้านม เป็นโรคที่มีสถิติเกิดขึ้นกับผู้หญิงและเป็นสาเหตุของอัตราการเสียชีวิตมากที่สุดโรคหนึ่งของผู้หญิง ซึ่งถึงแม้ว่าอัตราการเกิดโรคนี้จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แต่สิ่งที่เป็นเรื่องดีก็คือ วิทยาการของเทคโนโลยีการรักษายุคใหม่ที่ก้าวหน้าขึ้นเรื่อยๆ จนสามารถพูดได้ว่าขณะนี้ โรคมะเร็งเต้านมเป็นโรคที่สามารถรักษาให้หายได้ หากมีการตรวจพบและรักษาแต่เนิ่นๆ ทำให้ทัศนคติแบบเดิมๆที่คิดกันว่าหากเป็นโรคนี้แล้วจะไม่มีทางรอด ได้ถูกเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง

 

จากสถิติขององค์การอนามัยโลกที่ระบุว่า สามารถพบอัตราการเกิดโรคมะเร็งเต้านมนี้ได้ในผู้หญิง 1 คนของจำนวนผู้หญิงทุกๆ 8 คน และผู้หญิงจะมีความเสี่ยงต่อโรคนี้จนถึงเธอมีอายุ 85 ปี ความเสี่ยงนี้จึงลดน้อยลงก็ตาม สิ่งที่เราควรจะรู้สึกกับตัวเลขสถิตินี้ไม่ใช่การ “ ตระหนก” แต่ควรเป็นการ “ ตระหนัก” ว่าปัจจุบันโรคมะเร็งเต้านม กลายเป็นโรคธรรมดาที่เกิดได้ไม่ยากกับผู้หญิงทุกคนในโลก และขณะที่เรายังไปไม่ถึงการค้นพบวัคซีนใช้ป้องกันโรคมะเร็งเต้านมนี้ได้ เหมือนการพบวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูก คำแนะนำที่แพทย์และนักวิจัยมีก็คือ การปรับไลฟสไตล์เพื่อให้ลดความเสี่ยงจากโรคนี้ เป็นวิธีที่ดีที่สุด

 

จากสถิติพบว่า ไลฟสไตล์ 3 สิ่งนี้คือพฤติกรรมที่ทำให้ผู้หญิงเสี่ยงต่อมะเร็งเต้านมได้มากที่สุด

 

 

healthcancer002

 

 

1. ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์: ไม่ว่าจะดื่มเป็นประจำหรือบางครั้งก็ตาม แต่ถ้าคุณดื่มไวน์วันละสองแก้วเป็นประจำ คุณก็จะมีความเสี่ยงที่จะพัฒนาไปสู่โรคมะเร็งเต้านมได้ 51% หรือถ้าดื่มสัปดาห์ละ 3 -6 แก้ว ก็จะมีความเสี่ยงต่อโรคนี้ได้ประมาณ 15% ที่เป็นแบบนี้ก็เพราะ แอลกอฮอล์จะไปเปลี่ยนระดับของฮอร์โมนในร่างกายของคุณ ทั้งไปกระตุ้นการผลิตสารที่ก่อมะเร็งในร่างกาย รวมทั้งขัดขวางการทำงานของระบบภูมิต้านทานมะเร็งของให้มีประสิทธิภาพด้อยลงอีกด้วย

 

2. น้ำหนักตัวเกินมาตรฐาน: สิ่งนี้จะเพิ่มความเสี่ยงโรคมะเร็งเต้านมให้ผู้หญิงในช่วงหลังจากหมดประจำเดือนหรือวัยทอง ให้เพิ่มขึ้นอีก 42% ที่เป็นแบบนี้ก็เพราะเซลล์ไขมันที่สะสมอยู่นั้นจะไปทำให้เกิดฮอร์โมนเอสโตรเจนเพิ่มมากขึ้น ซึ่งทำให้ร่างกายมีฮอร์โนเพศหญิงมากเกินไป เอสโตรเจน จะไปกระตุ้นฮอร์โมนที่เป็นตัวรับมะเร็งเต้านมในร่างกายให้ให้มีการพัฒนาเติบโตขึ้นได้ และเมื่อมีน้ำหนักเพิ่มขึ้น ก็หมายถึงการมีไขมันวิสเซรัลในช่องท้องมากขึ้น ซึ่งไขมันชนิดนี้เป็นไขมันที่ทำให้เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งเต้านมได้มากกว่าไขมันที่สะสมในส่วนอื่นๆ

 

 

healthcancer003

 

 

3. การใช้ฮอร์โมนทดแทน (HRT): การรักษาอาการบกพร่องของฮอร์โมนโดยการให้ฮอร์โมนทดแทนหรือ Hormone Replacement Therapy (HRT) มักใช้รักษาสำหรับผู้หญิงที่อยู่ในช่วงวัยทอง ซึ่งจะทำให้เกิดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งเต้านมได้มากกว่าปกติเป็น 2 เท่า ในขณะที่ยังรับการรักษาด้วยวิธีนี้อยู่ ยิ่งใช้วิธีนี้นานเท่าไหร่ ก็จะยิ่งมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นเท่านั้น และยิ่งหากเป็นการให้ฮอร์โมนทดแทนในแบบผสมผสาน ที่ใช้ฮอร์โมนทั้งเอสโตรเจนและ โปรเจสโทเจน ซึ่งเป็นฮอร์โมนเพศหญิงทั้งคู่มาผสมผสานกันเพื่อเป็นฮอร์โมนทดแทน ก็จะยิ่งเพิ่มความเสี่ยงขึ้นกว่าการใช้ฮอร์โมนเอสโตรเจนเพียงอย่างเดียว ความเสี่ยงนี้จะมีอยู่ในช่วง 3 ปีหลังจากการใช้ฮอร์โมนทดแทนในแบบที่ว่านี้แล้ว และยังไม่มีการระบุช่วงเวลาของความปลอดภัยว่าเมื่อไหร่ ดังนั้น หากคุณอยู่ในช่วงของการให้ฮอร์โมนทดแทน ก็ควรไปพบแพทย์ทุกๆ 6 เดือนเพื่อเฝ้าระวังตัวเองจากความเสี่ยงนี้ให้ดีที่สุด

 

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ควรรู้เกี่ยวกับมะเร็งเต้านมอีกเรื่องหนึ่งก็คือ ไลฟสไตล์ของเราเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดที่จะทำให้เกิดความเสี่ยงต่อโรคนี้หรือไม่ การมีประวัติครอบครัวที่ไม่มีใครเคยป่วยด้วยโรคมะเร็ง ไม่ได้แปลว่าจะทำให้เราปลอดภัยจากโรคนี้เสมอไป หากมีไลฟสไตล์ที่ไม่เหมาะสม ซึ่งนอกจากการปรับตัวเองด้วยการเลี่ยงจากการดื่มแอลกอฮอล์ รักษาน้ำหนักตัวให้อยู่ในมาตรฐาน และไปพบแพทย์สม่ำเสมอหากใช้ฮอร์โมนทดแทนแล้ว ยังมีเคล็ดลับดีๆที่จะลดความเสี่ยงจากโรคมะเร็งเต้านมได้มากขึ้น สัปดาห์หน้า จะมาเล่าให้ฟังกันค่ะ

ปรับตั้งนาฬิกาชีวภาพ…เพื่อสุขภาพที่ดีกว่า

 

“เพราะนาฬิกาชีวภาพสำคัญต่อสุขภาพโดยรวมของร่างกาย หากนาฬิกานี้ของคุณรวนเรไป ก็ควรตั้งมันใหม่ให้ดีกว่าเดิม”

 

ถ้าคุณคือคนทำงานด้านคอมพิวเตอร์ ก็คงคุ้นเคยกับคำว่า รีบูท ( Reboot) ซึ่งหมายถึงการปิดเครื่องคอมแล้วเปิดใหม่เพื่อให้ระบบทำงานดีขึ้น การทำงานของนาฬิกาชีวภาพในร่างกายเรา ก็เหมือนคอมพิวเตอร์ ที่ใช้งานไปนานๆก็มีอาการรวนเรไปบ้าง วันนี้ เราจะมาชวนคุณรีบูทหรือปิดเปิดมันใหม่เพื่อปรับตั้งให้ระบบสุขภาพของร่างกายทำงานได้ดีขึ้น

 

 

รู้จักกับจังหวะของนาฬิกาชีวิต

ก่อนอื่นขอเล่าให้ฟังว่า ในระบบนาฬิกาชีวภาพร่างกายเรานั้น จะมีวงจรที่เรียกว่า วงจรจังหวะเซอร์คาเดียน (circadian rhythm) ซึ่งหมุนไปเป็นรอบๆละ 24 ชั่วโมงกับเศษอีกเล็กน้อย วงจรนี้จะทำงานตลอดเวลา แม้ในช่วงที่เราไม่สามารถรับรู้วันเวลาหรือกลางวันกลางคืนได้ในขณะนั้นก็ตาม เช่นเมื่ออยู่ใต้ทะเลหรือในถ้ำลึกๆที่แสงสว่างเข้าไปไม่ถึง หรือในคนตาบอด ก็ยังรู้สึกง่วงนอนหรือตื่นนอนได้เหมือนคนปกติจากวงจรที่ว่านี้ การที่วงจรนาฬิกานี้ที่หมุนไป ทำให้เรารู้สึกง่วงนอนในตอนกลางคืนและตื่นในตอนเช้า ซึ่งการทำงานของวงจรเซอร์คาเดียน อาจแปรปรวนไปได้จากพฤติกรรมต่างๆเช่น การท่องหนังสือดึกเพื่อเตรียมสอบ หรือไปปาร์ตี้กับเพื่อนจนถึงเช้า ที่ทำให้ความรู้สึกง่วงนอนที่เคยมีอยู่นั้นหายไป

 

สิ่งที่ควรรู้ก็คือ เจ้าวงจรนี้มันไม่ได้ควบคุมเฉพาะเรื่องการนอนหลับหรือการตื่นนอนของเราเท่านั้น แต่ยังควบคุมระบบอื่นๆด้วยเช่น ความอยากอาหารและระบบการเผาผลาญอาหาร ดังนั้น เมื่อระบบวงจรนี้เสียหาย ก็จะไม่ใช่แค่ทำให้นอนไม่หลับเท่านั้น แต่ยังไปเพิ่มความเสี่ยงของโรคต่างๆมากมาย ทั้งโรคเบาหวาน โรคอ้วน โรคมะเร็งบางชนิด ทำให้อารมณ์หดหู่เศร้าหมอง ฯลฯ และต่อไปนี้คือวิธีปรับตั้งวงจรเซอร์คาเดียนของนาฬิกาชีวภาพของคุณ ให้เที่ยงตรงขึ้นเพื่อการมีสุขภาพที่ดี

 

 

เพื่อให้นาฬิกาชีวภาพตอบรับกลางวันกลางคืนได้ดีขึ้น

 

healthtime002

 

ตื่นนอนเมื่อพระอาทิตย์ขึ้นแล้ว: หากคุณตื่นนอนตอนเช้ามืดที่ยังไม่เห็นแสงอาทิตย์ คุณก็จะเริ่มต้นเวลากลางวันของวันใหม่ด้วยระดับฮอร์โมนคอร์ติซอลที่สูงทำให้เหนื่อยล้าได้มากและเร็วกว่าปกติ ซึ่งสิ่งนี้จะเกิดขึ้นในช่วง 45 นาทีหลังจากที่คุณลุกออกมาจากเตียง และเมื่อเวลาของวันนั้นล่วงเลยไป ระดับของฮอร์โมนคอร์ติซอลที่สูงตั้แต่เริ่มตื่นนั้น ก็สามารถไปเพิ่มความเสี่ยงของโรคหัวใจให้สูงขึ้นได้อย่างน่าอัศจรรย์ ซึ่งอาจนำไปสู่การเสียชีวิตจากโรคนี้ได้ในที่สุด

 

 

จัดการงานที่ต้องใช้ความคิดก่อนมื้อเที่ยง: ระบบนาฬิกาชีวภาพของร่างกายจะมีความฉับไวในการคิดการตัดสินใจมากที่สุดในช่วงระหว่าง 9 โมงเช้าจนถึงเที่ยง ซึ่งเป็นเวลาที่ระดับเมลาโทนินซึ่งสนับสนุนการนอนหลับลดตัวลงจนอยู่ในระดับต่ำที่สุด ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่สมองจะตื่นตัว มีความกระตือรือร้นและสามารถโฟกัสกับสิ่งที่กำลังทำได้มากที่สุด

 

 

ใช้ความคิดวิเคราะห์ปัญหาระหว่างเวลาบ่าย 2 โมงถึง 4 โมงเย็น: เป็นช่วงเวลาที่สมองมีความตื่นตัวเต็มที่และมีสมาธิมากที่สุด เหมาะกับการใช้ช่วงเวลานี้ไปคิดทบทวนปัญหาที่คุณต้องการจะแก้ไข รวมทั้งทำงานที่ต้องใช้ความทรงจำที่แม่นยำ เพราะเมื่อคุณมีสมาธิ ก็จะสามารถทบทวนความคิดไปมาอย่างเป็นอิสระมากขึ้น สนับสนุนให้เกิดความครีเอทีฟและการทำความเข้าใจกับปัญหาได้ดีขึ้น ปัญหาที่มีก็จะได้รับการแก้ไขอย่างเหมาะสมจากกระบวนการความคิดที่ได้กรองแล้ว

 

 

ปฏิเสธการบริโภคอาหารในเวลาที่คุณควรจะนอน: นาฬิกาชีวภาพของคุณจะควบคุมการใช้และเก็บสำรองพลังงานของ ร่ากายด้วย ดังนั้น หากคุณบริโภคอาหารในเวลาที่ธรรมชาติร่างกายควรจะนอนหลับพักผ่อน เช่นเวลากลางดึกหรือเช้ามืด โฮกาสที่คุณจะมีน้ำหนักตัวเพิ่มก็เป็นไปได้มากกว่า ถึงแม้ว่าช่วงกลางวันที่ผ่านมาคุณจะบริโภคน้อยแค่ไหนก็ตาม

 

 

เพื่อรีเซ็ทเวลาให้นาฬิกาชีวภาพของคุณ

 

healthtime003

 

อย่านอนดึกตื่นสาย: การเข้านอนช้ากว่าเวลาปกติที่คุณเคยนอนเป็นประจำ ถึงแม้จะอ้างว่าวันรุ่งขึ้นเป็นวันหยุดนอนดึกได้ก็ตาม แต่รู้ไมว่าพฤติกรรมแบบนี้จะทำลายจังหวะของนาฬิกาชีวภาพของคุณ ทำให้แทนที่คุณจะรู้สึกสดชื่นจากการได้นานขึ้นในเช้าวันต่อมา จะกลายเป็นตื่นด้วยความรู้สึกเหนื่อยเพลียกว่าปกติไม่ว่าคุณจะใช้เวลานอนานแค่ไหนก็ตาม

 

 

เปิดม่านหน้าต่างทันทีที่ตื่น: แสงแดดอ่อนๆของยามเช้าจะช่วยลดระดับของเมลาโทนิน ดังนั้น ควรจัดเวลาเข้านอนให้เหมาะสมตรงเวลาทุกๆวันเพื่อให้คุณตื่นขึ้นมารับแสงแดดอ่อนยามเช้า เพราะแค่คุณเข้านอนช้ากว่าเวลาปกติเกินกว่า 6 นาที คุณก็มีแนวโน้มจะตื่นสายจนพลาดจากแสงอาทิตย์ตอนเช้านี้ไปได้แล้ว

 

 

ใช้เวลาสุดสัปดาห์ท่องเที่ยวแนวธรรมชาติ: เลือกไปพักแรมในที่ๆสัญญาณมือถือไปไม่ถึงหรือมีน้อยเวลาตั้งเต๊นท์ อาจฟังดูไม่มีความสะดวกแต่มันจะได้ผลดีในเรื่องการพักผ่อน มันคุ้มค่ามากที่จะใช้เวลาสักสองวันให้ตัวเองอยู่กับแสงธรรมชาติ ปลอดจากแสงหลอดไฟและสัญญาณคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าของอุปกรณ์อิเลคโทรนิกส์ การห่างจากสิ่งเหล่านี้ จะช่วยรีเซ็ทนาฬิกาชีวภาพร่างกายได้อย่างดี

 

healthtime004

 

ออกกำลังกายในตอนบ่าย: การทำกิจกรรมเคลื่อนไหวร่างกายเป็นสิ่งที่ดี แต่ถ้าจะให้ดีกว่าก็คือในช่วงบ่ายระหว่างหลังมื้อเที่ยงกับก่อนมื้อเย็น การออกกำลังในเวลาช่วงนี้จะช่วยควบคุมนาฬิกาชีวภาพของคุณให้ทำงานดีขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณอยู่ในวัย 30 ปี ขึ้นไป นี่เป็นเวลาไพร์มไทม์ในการออกกำลังกายของคุณเลยทีเดียว

 

 

เลี่ยงอาหารขยะ: อาหารเหล่านี้มีไขมันอิ่มตัวสูง ซึ่งไขมันนี้จะไปทำลายระบบนาฬิกาชีวภาพของร่างกาย โดยมันจะไปดีเลย์ระบบการนอนหลับตามเวลาปกติ และยังทำให้คุณอยากบริโภคมื้อดึกในเวลาที่คุณควรจะพักผ่อนนอนหลับ นี่คือการระบุของนักวิจัยของสหรัฐอเมริกา

 

ทั้งหมดก็เป็นวิธีตั้งเวลาใหม่ให้นาฬิกาชีวภาพของเราเดินตรงขึ้น ซึ่งก็หมายถึงการมีสุขภาพที่ดีขึ้นด้วย ในการทำงานประจำวัน การตรงต่อเวลาจะทำให้เกิดการประสานงานของทุกๆฝ่ายได้อย่างสะดวก ทำให้งานลุล่วงไปได้ดี ในเรื่องของการดูแลสุขภาพก็เช่นเดียวกัน ที่ระบบทุกอย่างก็จะต้องมีวงจรหมุนไปอย่างถูกต้อง มาตั้งนาฬิกาชีวภาพของเราให้มีความเที่ยงตรง เพื่อให้ระบบการทำงานของร่างกายทำงานสอดคล้องประสานกันได้อย่างมีประสิทธิภาพกันดีกว่าค่ะ

8 สัญญาณเตือนน่ารู้…คุณแพ้กลูเตนอยู่หรือเปล่า

 

สัปดาห์ก่อน ดิฉันได้รับเมล์จากสมาชิกเพจท่านหนึ่ง เล่าปัญหาสุขภาพของระบบการย่อยอาหารที่ผิดปกติมาหลายปี รวมทั้งอาการไมเกรนที่ไม่ยอมหายขาด เธอเล่าว่ามีคนแนะนำให้ลองรักษาด้วยวิธีแพทย์ทางเลือก แต่ก็ไม่แน่ใจว่าจะดีไหม เมื่อฟังจากอาการที่เธอเล่ามา ทำให้ดิฉันนึกไปถึงสภาวะแพ้สารอย่างหนึ่งคือ กลูเตน ( Gluten) ซึ่งเป็นเรื่องที่คนไทยส่วนมากอาจเป็นแต่ไม่รู้ตัว ทั้งในชีวิตประจำวัน ก็มีความเสี่ยงจากการบริโภคอาหารกลุ่มนี้เช่นพวกเบเกอรี่ กันเป็นประจำ ทำให้คิดว่า ถึงเวลาที่เราควรหาความรู้เรื่องนี้กัน

 

 

กลูเตน (Gluten)คืออะไร

กลูเตน Gluten เป็นไกลโคโปรตีนชนิดหนึ่งที่เกิดจากการรวมตัวของโปรตีน 2 ชนิดคือ กลูเตนิน (Glutenin) และ ไกลอะดิน (Gliadin) รวมกัน มีความเหนียวและยืดหยุ่น ไม่ละลายในน้ำ มันจะทำหน้าที่เสมือนกาวเชื่อมส่วนของอาหารไว้ด้วยกัน มักจะพบกลูเตนในธัญพืชเช่นข้าวสาลี ข้าวไรน์ ข้าวบาร์เลย์ ฯลฯ และในอาหารเจที่จะใช้กลูเตนนี้แทนเนื้อสัตว์ รวมทั้งเบเกอรี่ที่ขายทั่วไป กลูเตน เป็นอาหารที่ก่อภูมิแพ้ชนิดหนึ่ง และมีคนจำนวนมากที่มีแพ้สารนี้โดยไม่รู้ตัว

 

คนที่แพ้กลูเตนหรือมีความอ่อนไหว เมื่อบริโภคเข้าไป ร่างกายก็จะเกิดปฏิกิริยาต่างๆซึ่งแสดงออกว่าคุณกำลังแพ้สารกลูเตนนี้อยู่ ทั้งการปวดข้อ, ปัญหาท้องอืดจากแกสในกระเพาะอาหาร, อาหารไม่ย่อย, ความเหนื่อยเรื้อรังและความรู้สึกหดหู่เศร้าหมอง รวมไปถึงไมเกรน ซึ่งหลายคนนึกไม่ถึงว่าจะมีสาเหตุมาจากการแพ้สารอาหารชนิดนี้

 

 

อาหารชนิดใดบ้างที่มีกลูเตน

อันดับหนึ่งเลยก็คือ ข้าวสาลี (Wheat) คือธัญพืชที่เราพบได้ในส่วนประกอบของอาหารประเภทพาสต้า ซีเรียลและขนมปัง สำหรับน้ำสลัดและซุปต่างๆนั้นก็มีสารกลูเตนนี้อยู่บ้างแต่ก็มักจะในปริมาณเล็กน้อยเท่านั้น และนอกจากข้าวสาลีแล้วข้าวบาร์เลย์และข้าวไรน์ ก็เป็นธัญพืชอีกสองชนิดที่ถูกระบุว่ามีกลูเตน เราจะพบข้าวไรน์ในเบียร์ ขนมปังและซีเรียล การบริโภคอาหารเหล่านี้และเครื่องดื่มที่ว่านี้ ก็จะทำให้คนที่แพ้กลูเตนเกิดอาการแพ้กำเริบขึ้นมา

 

โรคหรืออาการที่อันตรายที่สุดของการแพ้กลูเตน คือโรคที่เราเรียกกันว่า โรคเซลีแอค (Celiac disease) เป็นสภาวะความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกันร่างกาย ที่ส่งผลให้ลำไส้เล็กได้รับความเสียหาย เช่น เกิดการอักเสบของผนังลำไส้เล็ก ทำให้ร่างกายดูดซึมสารอาหารได้ไม่เต็มที่ จึงตามมาด้วยปัญหาสุขภาพอีกมากมายเช่น กระดูกพรุน, มีบุตรยากจากการที่สุขภาพร่างกายไม่สมบูรณ์ ตลอดจนความเสียหายของระบบประสาทส่วนต่างๆ ฯลฯ โรคเซลีแอคนี้ ถูกจัดอยู่ในกลุ่มของโรคออโต้อิมมูนหรือภูมิคุ้มกันบกพร่องชนิดหนึ่ง ที่จะไปทำให้เกิดปัญหากับลำไส้เล็ก ซึ่งเป็นอวัยวะที่ถูกโจมตีจากโรคนี้โดยตรง โดยกลูเตนที่บริโภคเข้าไปนี้ จะไปลดความสามารถของร่างกายในการดูดซึมสารอาหาร และเมื่อร่างกายไม่สามารถดูดซึมสารอาหารได้อย่างมีประสิทธิภาพ ก็จะนำไปสู่ปัญหาเรื้อรังอื่นๆของสุขภาพร่างกายในระยะยาว

 

จากสถิติการศึกษาขององค์การอนามัยโลกพบว่า ปัจจุบันนี้ในประชากร 100 คน จะมี 1 คนที่มีอาการแพ้กลูเตนโดยที่เป็นโรค เซลีแอค นี้ ซึ่งบ่อยครั้งที่พบว่า คนที่มีความอ่อนไหวต่อกลูเตนนี้จะไม่รู้ตัวและคิดว่าตัวเองเป็นโรคเรื้อรังอื่นๆหรือจากสาเหตุอื่นๆ เช่น โรคกระเพาะอาหาร, โรคลำไส้อักเสบ, โรคไมเกรนจากความเครียดสะสม ฯลฯ ด้วยความไม่คาดคิดว่าสิ่งนี้เกิดจากการแพ้อาหาร แต่หลังจากที่พวกเขาได้กำจัดกลูเตนออกไปจากการบริโภค ปัญหาสุขภาพที่เคยเกิดขึ้นก็สิ้นสุดลง

 

 

คุณกำลังแพ้กลูเตนอยู่หรือเปล่า:

ลองสำรวจตัวเองดู หากคุณมีอาการเหล่านี้หลังจากบริโภคอาหารที่มีสารกลูเตนเข้าไปละก็ เชื่อได้เลย

 

 

healthgluten002

 

 

1. รู้สึกหมดแรงและเหนื่อยเรื้อรัง: จากการศึกษาแสดงว่าความเหนื่อยหรืออาการหมดแรง มีความเกี่ยวพันกับการแพ้สารกลูเตน โดยเชื่อว่านี่คือปฏิกิริยาที่เกิดจากความเกี่ยวข้องกันกับระบบการเก็บสำรองพลังงานของร่างกายและระบบการติดเชื้อ

 

 

2. ปัญหาของผิวพรรณ: หากเรามีอาการแพ้กลูเตน ก็จะเกิดอาการของโรคผิวหนังต่างๆเช่นสิว โรคผิวหนังภูมิแพ้,เริม ทั้งยังรวมถึงอาการผิดปกติอื่นๆของผิวหนังเช่นอาการคัน ผิวเป็นรอยแดงเหมือนรอยไหม้, ตุ่มพุพองและผื่นต่างๆ

 

 

3. เจ็บปวดกล้ามเนื้อและข้อต่อ: แค่คุณมีอาการอ่อนไหวต่อกลูเตน ก็จะนำไปสู่การติดเชื้อได้ง่ายๆและการเจ็บปวดข้อต่อต่างๆของร่างกาย ในขณะเดียวกัน มีรายงานได้ถูกตีพิมพ์โดยวารสารของสมาคมโรคไขข้อของสหรัฐอเมริกา ระบุความเกี่ยวข้องกันของการแพ้กลูเตนว่า สารนี้เกี่ยวข้องกับเรื่องไขข้ออักเสบและการปวดข้อต่อส่วนต่างๆของร่างกายด้วย

 

 

healthgluten003

 

 

4. ภาวะสมองตื้อ หลงลืมง่าย (Brain fog): หนึ่งในสิ่งที่น่าตกใจของอาการแพ้กลูเตนก็คือเรื่องนี้ ซึ่งเป็นอาการสมองตื้อ คิดอะไรไม่ออก และอาจเป็นจุดเริ่มต้นของอาการสมองเสื่อมในที่สุด

 

 

5. ความผิดปกติของระบบภูมิต้านทาน: สารแอนตี้บอดี้ ที่เรารู้จักกันในชื่อของ IgA antibodies ที่พบในระบบการย่อยอาหารและน้ำลาย เป็นสารที่ช่วยป้องกันเราจากโรคหวัด โรคไข้หวัดและโรคต่างๆอีกมากมาย การแพ้กลูเตนจะไปมีผลเสียโดยตรงกับสารนี้ ทำให้คุณมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคต่างๆได้ง่ายขึ้น

 

 

6. ไมเกรนเรื้อรังและอาการปวดศีรษะ: ไมเกรนได้รับการจัดว่าเป็นอาการปวดศีรษะที่ทรมานที่สุดในอาการปวดศีรษะทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับมนุษย์ มีรายงานศึกษาหนึ่งแสดงว่า ผู้ที่มีอาการแพ้กลูเตนจะมีแนวโน้มของการเป็นไมเกรนได้ง่ายและรุนแรงกว่าผู้ที่ไม่แพ้สารอาหารดังกล่าว

 

 

healthgluten005

 

 

7. ปัญหาของฟันและสุขภาพช่องปาก: อาการอื่นๆของการแพ้กลูเตนได้แก่ โรคปากนกกระจอก (canker sore) อาการร้อนใน และแผลเปื่อยในช่องปาก เนื่องจากคนที่แพ้กลูเตนมักจะมีระดับแคลเซียมในร่างกายต่ำ ซึ่งแคลเซียมเป็นสิ่งจำเป็นต่อสุขภาพฟันของเราทุกคน

 

 

8. น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นผิดปกติ: เหตุผลของน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นนี้ก็คือ ความบกพร่องของระบบการดูดซึมอาหาร และการซึมผ่านของลำไส้ที่เป็นไปได้ได้ไม่ดีเท่าที่ควร ซึ่งหากใครที่มีน้ำหนักตัวเพิ่มเพราะเหตุนี้ และได้หยุดบริโภคกลูเตน ก็จะสามารถกลับมาสู่น้ำหนักตัวปกติเดิมของตัวเองได้อีกครั้ง

 

อย่างไรก็ตาม อาการแพ้กลูเตนนี้เป็นเรื่องธรรมดาของคนในเมืองใหญ่ที่จะเกิดอาการนี้ขึ้นได้ไม่แปลกประหลาด จากการบริโภคอาหารพวกเบเกอรี่ที่มีส่วนประกอบของข้าวสาลี และผู้บริโภคแบบมังสวิรัติที่ใช้กลูเตนเป็นส่วนประกอบแทนเนื้อสัตว์

 

 

จะแก้ไขอย่างไรถ้ารู้ว่าแพ้กลูเตน

 

 

healthgluten004

 

 

คำตอบก็คือ อาการนี้ไม่มีทางหายขาด แต่เมื่อรู้สึกว่าแพ้กลูเตน ก็ควรเลี่ยงการบริโภคอาหารที่มีสารนี้เสีย โดยเปลี่ยนเป็นอาหารแป้งที่ปราศจากกลูเตน อันได้แก่ ข้าวโพด, มันฝรั่ง, ข้าว, แป้งข้าวเจ้า, แป้งมันสำปะหลัง, แป้งข้าวเหนียว, ถั่วเหลือง, บัควีท, เมล็ดแฟล็กซ์ , ควินัว, แป้งข้าวโพดคอร์นมีล ฯลฯ เป็นต้น ซึ่งอาหารเหล่านี้ เป็นอาหารประเภทแป้งที่ระบุว่า ปราศจากสารกลูเตน ( gluten – free)

 

สิ่งสำคัญที่คุณต้องรู้ก็คือ ถึงแม้อาการแพ้กลูเตน จะไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่การเลี่ยงจากอาหารแป้งกลุ่มที่มีกลูเตน ก็จะทำให้ปัญหาสุขภาพที่มีอยู่นั้นสงบลงได้ หากคุณพบว่าแพ้สารอาหารชนิดนี้ การเลี่ยงจากมันถือว่าเป็นวิธีแก้ไขที่ดีที่สุด

 

หวังว่าเรื่องนี้ คงเป็นข้อพิจารณาที่ดีให้กับทุกท่านที่มีปัญหาสุขภาพอยู่นะคะ ลองสำรวจดูว่าคุณเป็นคนหนึ่งที่มีอาการทั้งแปดอย่างนี้หรือเปล่า ปัญหาสุขภาพหลายเรื่องเป็นเหมือนเส้นผมบังภูเขา หลายครั้งที่เราคิดว่ามันเป็นเรื่องใหญ่โต แต่จริงๆมันอาจมาจากสาเหตุเล็กนิดเดียวที่คุณสามารถแก้ไขด้วยตัวเองได้ไม่ยาก การหมั่นสังเกต จะเป็นกระจกสุขภาพให้ตัวคุณเองได้ดีที่สุดค่ะ

พลังคู่อาหารช่วยต้านโรค

 

ของอะไรที่อยู่กันเป็นคู่ก็จะช่วยสนับสนุนกันได้ดีกว่า รวมทั้งคู่อาหารเหล่านี้ที่จะให้ผลดีต่อสุขภาพคุณเป็นสองเท่า

 

เรารู้ว่าอาหารและพืชผักหลายชนิดมีประโยชน์ แต่รู้ไหมว่า การนำมันมาบริโภคคู่กัน ก็จะทำให้ได้รับพลังสารอาหารที่ช่วยป้องกันโรคได้ดีขึ้นกว่าเดิมกว่าที่จะบริโภคมันแบบเดี่ยวๆ มาดูการจับคู่อาหารเหล่านี้ที่เราจัดไว้ให้คุณ

 

ไข่กับผักโขม: ช่วยสมดุลการมองเห็นของสายตา

 

healthfood004

 

ไข่แดงและผักโขม ทั้งคู่เป็นอาหารที่อุดมไปด้วยลูทีน (lutein) และซีแซนทิน (zeaxanthin) ซึ่งเป็นสารแคโรทีนอยด์สองชนิดที่มีบทบาทสำคัญในการปกป้องสุขภาพนัยน์ตาส่วนมาคูล่า ( macula) ซึ่งเป็นพื้นที่รูปกรวยสีออกเหลือง ที่อยู่ใจกลางเยื่อชั้นในของลูกตาให้มีสุขภาพดี เมื่อเราบริโภคสองอย่างนี้ด้วยกัน ร่างกายก็จะดูดซึมสารแคโรทีนอยด์จากผักโขมได้มากกว่าเดิมถึง 8 เท่า ที่เป็นแบบนี้เพราะแคโรทีนอยด์เป็นสารอาหารที่ละลายในน้ำมัน จึงซึมสู่ร่างกายง่ายกว่าเมื่อมันถูกย่อยในน้ำมันของกรดไขมันไม่อิ่มตัวที่มีในไข่แดง

 

หัวหอมกับข้าวกล้อง: พัฒนาภูมิต้านทานของร่างกาย

ข้าวกล้องเป็นข้าวที่อุดมด้วยแร่ธาตุสังกะสี ซึ่งจำเป็นต่อระบบภูมิต้านทานของร่างกาย และหัวหอมก็มีสารประกอบของอาหารชนิดหนึ่งที่เรียกว่า ออร์กาโนซัลเฟอร์ (organosulfur) ซึ่งได้รับการวิจัยพบว่าสามารถช่วยป้องกันโรคมะเร็งได้ เมื่อสองสิ่งนี้ถูกนำมาบริโภคด้วยกัน ข้าวกล้องที่อุดมด้วยสังกะสีก็จะถูกย่อยได้ง่ายขึ้น ทั้งร่างกายคุณก็จะสามารถดูดซึมแร่ธาตุสังกะสีขากข้าวกล้องได้มากขึ้นกว่าเดิมถึง 159% อีกด้วย

 

ผงกะหรี่กับพริกไทยดำ: ช่วยป้องกันโรคเบาหวาน

 

healthfood005

 

ในผงกะหรี่มีส่วนผสมของขมิ้นที่มีสารเคอร์คูมิน ( curcumin) สารต้านอนุมูลอิสระที่มีคุณสมบัติช่วยลดการผลิตอินซูลินในร่างกายหลังมื้ออาหารลงได้ถึง 20% ซึ่งสิ่งนี้จะช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคเบาหวานในระยะยาวให้กับคุณ แต่ข้อเสียของสารเคอร์คูมินนี้ก็คือ ร่างกายของเราไม่สามารถจะดูดซึมได้ดีนัก ทำให้มันถูกนำไปใช้ประโยชน์ได้ไม่เต็มที่ ซึ่งหากบริโภคคู่กับพริกไทยดำป่นผสมด้วยเล็กน้อย พริกไทยดำจะมีสารไพเพอรีน ( piperine) ซึ่งเป็นสารที่ช่วยที่เพิ่มความสามารถในการดูดซึมเคอร์คูมินในผงกะหรี่ให้มากขึ้นถึง 2,000% เลยทีเดียว

 

ปลาซาร์ดีนกับมะเขือเทศอบหรือนึ่ง: ช่วยลดความเสี่ยงโรคหัวใจ

ซาร์ดีนและมะเขือเทศอบ อาหารทั้งสองชนิดนี้ ต่างก็มีสารอาหารที่ช่วยสุขภาพของหัวใจที่แตกต่างกัน โดยซาร์ดีนจะมีกรดไขมันโอเมก้า -3 และมะเขือเทศจะมีสารไลโคปีน (lycopene) ซึ่งการบริโภคมันคู่กันก็จะให้ผลดีมากขึ้นในการป้องกันโรคหัวใจ มีการศึกษาพบว่า ผู้หญิงที่ดื่มน้ำมะเขือเทศคู่กับการบริโภคอาหารที่อุดมด้วยโอเมก้า -3 เป็นเวลา 2 สัปดาห์ จะมีอัตราการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจน้อยกว่าผู้หญิงที่ดื่มแต่น้ำมะเขือเทศเดี่ยวๆ ถ้าถามว่าทำไมเป็นแบบนี้คำอธิบายหนึ่งก็คือ กรดไขมันโอเมก้า -3 ทำให้ไลโคปีนถูกย่อยและดูดซึมได้ง่ายขึ้นนั่นเอง

 

บร็อคโคลีต้มกับผักแรดิช: ช่วยป้องกันอาการปวดข้อ

บรอคโคลีเป็นอาหารที่อุดมด้วยสาร ซัลโฟราเฟน (sulforaphane) สารอาหารที่ช่วยชลอการถูกทำลายของกระดูกอ่อนของข้อต่อ ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของการพัฒนาไปสู่โรคข้อเข่าเสื่อม (osteoarthritis) แต่สารซัลโฟราเฟนในพืชมักจะสลายไปเมื่อมันถูกความร้อนจากการปรุงที่อุณหภูมิสูงเกินไป หรือการแช่ในช่องแช่แข็งของตู้เย็น การแก้ปัญหานี้ ทำได้โดยปรุงมันคู่กับผักแรดิชรสชาติเผ็ดรอ้น ซึ่งจะมีเอนไซม์ชนิดหนึ่งที่เรียกว่า ไมโรซิเนส (myrosinase) ช่วยฟื้นฟูคุณสมบัติของซัลโฟราเฟนที่มีอยู่ ในบรอคโคลีได้

 

เนื้อไก่กับชีส: ช่วยป้องกันโรคสมองเสื่อม

 

healthfood003

 

เมื่อเราบริโภคเนื้อไก่กับชีสด้วยกัน ก็คือการให้ร่างกายได้รับวิตามินบีสำคัญถึง 3 ใน 8 ชนิด นั่นก็คือโฟเลท, วิตามินบี6 และวิตามินบี12 ซึ่งเป็นกลุ่มวิตามินที่มีบทบาทอย่างมากกับร่างกาย จากการวิจัยของสหรัฐอเมริกา

 

คำอธิบายหนึ่งของการฟื้นฟูสมองได้ก็คือ เมื่อร่างกายขาดสารโฟเลท วิตามินบี 6 และวิตามินบี 12 ระดับของกรดอมิโนชนิดหนีงที่ชื่อว่า โฮโมซิสเตอีน (homocysteine) ก็จะเพิ่มสูงขึ้น และระดบที่สูงขึ้นของโฮโมซิสเตอีนนี้เอง ที่มีความเกี่ยวเนื่องกับการหดตัวของสมองในวัยที่เพิ่มสูงขึ้น นำไปสู่การสูญเสียความจำและโรคสมองเสื่อม

 

เนื้อสัตว์แดงกับโรสแมรี่: ช่วยป้องกันโรคมะเร็ง

เนื้อสัตว์แดง เป็นอาหารที่อุดมด้วยธาตุเหล็ก สังกะสี วิตามินบี 12 และยิ่งหากเป็นสัตว์เนื้อแดงที่เลี้ยงด้วยหญ้าหรือที่เรียกว่า grass-feed ก็จะอุดมด้วยกรดไขมันโอเมก้า -3 อย่างไรก็ตาม หากมันถูกนำไปปรุงอาหารด้วยความร้อนสูงๆเช่นบาร์บีคิว มันก็จะเกิดการก่อตัวของสารก่อมะเร็งที่ชื่อว่า กรดฮีทเทอโรไซคลิก ( heterocyclic acid) หรือ HCA ขึ้นในอาหาร

 

โรสแมรี่ที่ถูกผสมลงไปในการหมักเนื้อแกะเมื่อนำไปปรุงอาหาร จะช่วยบดการก่อตัวของสารof HCA นี้ลงได้ประมาณ 30 -100% ทั้งนี้เพราะโรสแมรีมีสารประกกอบต่างๆอย่างน้อยถึง 3 ชนิดที่จะช่วยบล็อกการก่อตัวของสาร HCA ไม่ให้ก่อตัวขึ้นในระหว่างการปรุงเนื้อสัตว์ด้วยความร้อนดังกล่าว

 

อโวคาโดกับแครอท: ช่วยฟื้นฟูระดับวิตามิน เอ ของร่างกาย

 

healthfood002

 

จับคู่พืชผักสองชนิดนี้เข้าด้วยกัน จะทำร่างกายของคุณสามารถดูดซึมแคโรทีนจากมันได้มากกว่าปกติถึง 6 เท่า และร่างกายก็จะนำสารนี้ไปแปรสภาพเป้นวิตามินเอ ซึ่งเป็นวิตามินที่สำคัญกับสุขภาพผิวหนัง การมองเห็นของสายตาและระบบภูมิคุ้มกันที่แข็งแรงของร่างกาย อโวคาโดช่วยในเรื่องนี้อย่างไร เนื่องจากสารเบต้าแคโรทีน เป็นสารอาหารที่ละลายในน้ำมัน ดังนั้น ร่างกายของเราจึงขะสามารถนำเบต้าแคโรทีนไปใช้ได้ดีกว่า เมื่อเราบริโภคมันคู่กับพืชที่อุดมด้วยไขมันอย่างอโวคาโด

 

ถั่วชิคพีกับน้ำมะนาว: ช่วยต่อต้านความเหนื่อยล้า

ถั่วชิคพี เป็นอาหารที่อุดมด้วนธาตุเหล็ก ซึ่งเป็นสารอาหารที่ช่วยต้านความเหนื่อยล้า ซึ่งปัญหาคือร่างกายจะดูดซึมธาตุเหล็กในถั่วนี้ได้ยากกว่าธาตุเหล็กที่อยู่ในเนื้อสัตว์เช่นเนื้อแกะ แต่ก็มีทางแก้ไขได้ โดยนำถั่วนี้มาบริโภคด้วยกันกับน้ำมะนาวซึ่งอุดมด้วยวิตามินซี ปฎิกิริยาที่เกิดขึ้นจากวิตามินซีที่มีสภาวะเป็นกรด ก็จะทำให้ธาตุเหล็กในถั่วนี้ถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้ง่ายขึ้นกว่าเดิมถึง 3 เท่า

 

ยังมีคู่อาหารอีกหลายอยางที่คุณสามารถจับคู่กันเพื่อให้ได้ผลดีต่อสุขภาพมากขึ้น ขอเพียงแต่เรารู้จักสารสำคัญในอาหารเหล่านั้นและคุณสมบัติข้อดีข้อด้อยที่ร่างกายจะนำไปใช้ ก็จะได้คู่หูดูโอสนุกๆของเมนูอีกหลายรายการ ปรุงอาหารคราวหน้า อย่าลืมเลือกเมนูจับคู่ให้พืชผักเหล่านี้ เพื่อสุขภาพที่ดีกว่าของทุกคนนะคะ

แอลกอฮอล์กับร่างกายเมื่อวัย 30+

 

รู้ไหมว่าเจ้าเครื่องดื่มนี้ทำอะไรคุณบ้างเมื่อวัยเพิ่มขึ้น

 

 

เราคงเคยได้ยินที่เขาบอกให้ “งดเหล้าเข้าพรรษา” กันในช่วงนี้ แต่ถ้าคุณได้รู้ว่า เจ้าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จะทำให้เกิดอะไรกับร่างกายคุณบ้างเมื่อวัยย่างเข้าเลข 30 คุณอาจจะไม่แตะต้องมันตลอดไปก็ได้!

 

 

ถึงแม้ว่าการดื่มไวน์สักแก้วสองแก้วในโอกาสพิเศษ จะเป็นเรื่องที่ใครๆเขาก็ทำกันเป็นปกติก็ตาม แต่เมื่อเราอายุมากขึ้น ระบบการเผาผลาญแอลกอฮอล์ในร่างกายก็จะเริ่มชะลอตัวลง ซึ่งหมายความว่า แม้แอลกอฮอล์ในปริมาณเพียงเล็กน้อยที่เราดื่มเข้าไป ก็จะทำให้เกิดผลเสียอันยิ่งใหญ่ต่อสุขภาพได้อย่างที่เราไม่คาดคิด ตับของเรา ที่เคยทำงานย่อยสลายแอลกอฮอล์ได้ดีเมื่อครั้งที่เราอายุน้อยๆ ก็จะทำงานได้ไม่ดีเท่าแต่ก่อน ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นตามมาก็คือ แอลกอฮอล์และผลข้างเคียงต่างๆของมัน ก็จะคงค้างอยู่ในร่างกายเราได้นานขึ้น” นี่คือสิ่งที่ ดร. แอนดรู รอชฟอร์ด แห่งองค์กร ดริ๊งไวส์ ได้ให้คำแนะนำ “ นอกจากนี้ เมื่ออายุเรามากขึ้น น้ำในระบบร่างกายของเราก็จะมีปริมาณน้อยลง ซึ่งเท่ากับไปเพิ่มความเข้มข้นให้แอลกอฮอล์ที่ค้างอยู่ในร่างกาย ให้เข้มข้นขึ้นกว่าเมื่อก่อนนั่นเอง”

 

 

และนี่คือสิ่งที่แอลกอฮอล์ทำกับร่างกายคุณเมื่อวัยเข้าเลข 30+:

 

 

algohol004

 

 

เส้นรอบเอวของคุณ:

เมื่อวัยเข้าสู่เลข 30+ ระบบการเผาผลาญอาหารในร่างกายก็จะเริ่มช้าลง ทำให้จำนวนแคลอรี่ที่จะสะสมเพิ่มมากขึ้นด้วย โดยเฉพาะแคลอรี่จากการตกค้างของแอลอกอฮอล์ที่ไม่สามารถผาผลาญออกไปได้

 

ไวน์หนึ่งแก้วธรรมดาๆขนาด 150 มล. จะมีปริมาณแคลอรี่อยู่ที่ 430 แคลอรี่ ซึ่งมากกว่าบิสกิตชอคโกแล็ต 1 ชิ้น” นี่คือการระบุของนักโภชนาการชาวอังกฤษ อลิสัน แมคอาลิส “ เมื่อระบบการเผาผลาญอาหารในร่างกายชะลอตัวลง การดื่มแอลกอฮอล์แต่ละครั้งก็จะต้องใช้เวลาและพื้นที่มากขึ้นในการเผาผลาญ และสิ่งนี้เองที่ทำให้น้ำหนักตัวของคุณเพิ่มขึ้นได้มากกว่าและเร็วกว่าเดิมเมื่อวัยเพิ่มชึ้น ดังนั้น สิ่งที่อยากแนะนำก็คือ ให้คุณคิดถึงแอลกอฮอล์ว่ามันคืออาหารขยะประเภทหนึ่ง ที่คุณจะบริโภคมันได้บ้างเป็นครั้งคราว ในปริมาณน้อยที่สุดที่จะทำได้” นี่คือคำแนะนำจากอลิสัน แมคอาลิส

 

 

ผิวพรรณของคุณ:

เมื่อแอลกอฮอล์เข้าสู่ระบบร่างกาย มันก็จะไปขยายหลอดเลือดแดง และเมื่อวัยเพิ่มขึ้น หลอดเลือดเหล่านี้ก็จะอ่อนแอและสูญเสียความสามารถที่จะหดตัวกลับมาเหมือนเดิม ทำให้ผิวเกิดรอยแดง และรอยเส้นเลือดที่ขยายตัวชัด ขึ้น “ นอกจากนี้ แอลกอฮอล์ยังทำให้กิดความเสี่ยงของผิวในอาการแพ้ต่างๆ เช่น โรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนังอักเสบ ซึ่งเป็นโรคผิวหนังที่มักเกิดขึ้นในวัย 30 – 50 ปี ” เป็นการระบุของ ดร. ไมเคิล ริช ผู้อำนวยการศูนย์ผิวหนังของเมลเบิร์น ออสเตรเลีย ดังนั้น ถ้าหากคุณมีแนวโน้มเป็นผื่นแพ้ง่ายหรือมีผิวหน้าแดงง่ายกว่าปกติ ก็ควรจำกัดการบริโภคแอลกอฮอล์ รวมทั้งอาหารที่มรสจัดต่างๆ ทั้งไม่ควรอยู่ในที่ๆมีอากาศร้อนมากๆ ซึ่งจะทำให้หลอดเลือดแดงขยายตัวได้ง่ายๆ

 

 

การทำเลเซอร์ทรีทเมนท์ จะช่วยแก้ปัญหาหลอดเลือดแดงปรากฎชัดเจนได้ดี ทั้งแอลกอฮอล์ยังทำให้ผิวขาดน้ำ เกิดเป็นริ้วรอย ดังนั้น สิ่งที่ควรรู้อีกอย่างของกฎการดื่มแอลกอฮอล์ก็คือ “ ให้ดื่มน้ำตาม 1 แก้ว หลังจากการดื่มแอลกอฮอล์ 1 แก้วทุกครั้ง”

 

 

algohol005

 

 

ระดับความเหนื่อยล้าในร่างกายคุณ:

เมื่ออายุน้อยๆ หลายคนมักใช้แอลกอฮอล์เป็นตัวช่วยปลุกพลังงานให้ร่างกาย โดยคิดว่าเป็นเรื่องที่ใครๆก็ทำกัน แต่รู้ไหมว่า จากพฤติกรรมนี้แหละที่ทำให้เมื่ออายุมากขึ้น เราก็จะใช้แอลกอฮอล์เพื่อผ่อนคลายในชีวิตประจำวัน เพราะการทำแบบนี้เท่ากับคุณเริ่มต้นให้ความเชื่อถือกับแอลกอฮอล์ และนำมันมาเชื่อมโยงกับการแก้ไขความเหนื่อยล้า ทำให้คุณก็จะต้องเริ่มต้นดื่มมันเป็นประจำทุกวัน ยิ่งเราดื่มมากเท่าไหร่ เราก็จะยิ่งกลายเป็นคนติดแอลกอฮอล์ได้ง่ายขึ้นเท่านั้น เพราะเราจะยึดเหนี่ยวมันมากขึ้นเมื่อรู้สึกว่าต้องการความผ่อนคลาย ทั้งๆที่มีทางอื่นที่ดีและเหมาะสมกว่านี้ ดังนั้น ถ้าคุณกำลังตกอยู่ในอาการขกับดักที่จะต้องออกไปชิลล์เอาท์ในตอนกลางคืนด้วยการดริ๊งค์กันเป็นประจำแล้วละก็ วิธีที่จะแก้ไขได้ง่ายๆก็คือ หยุดดื่มมันโดยเริ่มจากในบ้านของคุณก่อนเป็นที่แรก ทิ้งเหล้าทุดขวดในบ้านไปให้หมด เพราะถ้าคุณมีมันอยู่ในบ้าน คุณก็จะดื่มมันในปริมาณมากกว่าปกติ เพราะคุณเป็นเจ้าของมันทั้งขวด ” เป็นคำแนะนำจาก ศจ.ไบเกน

 

 

ตับของคุณ:

การชะลอตัวของประสิทธิภาพการทำงานของตับ คือสิ่งที่เป็นผลด้านลบจากการดื่มแอลกอฮอล์ที่จะเกิดขึ้นกับเราเมื่อวัยเพิ่มขึ้น ซึ่งบอกได้ว่า แอลกอฮอล์ มีอืมธิพลอย่างมากกับอวัยวะส่วนนี้

 

 

มีสารชนิดหนึ่งที่เรียกว่า อะซิทัลดิไฮด์ (acetaldehyde) เป็นสารที่จะถูกผลิตออกมาเมื่อแอลกอฮอล์ในร่างกายถูกย่อยสลายลงไป สารนี้เป็นพิษอย่างมากต่อเซลล์ ยิ่งอายุมากขึ้นร่างกายของเราก็จะยิ่งเก็บมันเอาไว้ได้นานขึ้น สารนี้จะทำให้เกิดรอยแผลขึ้นที่ตับ และแผลนี้ก็จะลุกลามมากขึ้นจนประสิทธิภาพการทำงานของตับเริ่มลดลง แต่ก็อย่าเพิ่งตกใจจนเกินไปเพราะมีข่าวดีที่จะบอกให้รู้ว่า ถึวจะดื่มแอลกอฮอล์เข้าไปจนตับมีรอยแผล แต่ตับของเราก็มีความสามารถที่จะฟื้นฟูตัวเองเรื่องนี้ได้ ถ้าเรางดดื่มแอลกอฮอล์หลังจากที่ดื่มไปแล้วประมาณ 2 วัน ก็จะเป็นการให้เวลากับตับเพื่อซ่อมแซมตัวเองจากแผลดังกล่าว

 

 

ถ้าคุณดื่มในขนาดแก้วมาตรฐานครั้งละไม่เกิน 2 แก้วต่อครั้ง และใช้เวลาหยุดพักประมาณ 2-3 วันหลังจากนั้น ตับของคุณก็จะไม่มีปัญหาไมว่าคุณจะมีอายุเท่าไหร่ก็ตาม” ดร. โรชฟอร์ดระบุ

 

 

algohol003

 

 

หัวใจของคุณ:

มีความเชื่อว่า การดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณเล็กน้อยจะช่วยป้องกันโรคหัวใจ แต่ที่จริงแล้ว สำหรับผู้หญิงช่วงหลังวัยทองที่ระดับฮอร์โมนตามธรรมชาติของเพศหญิงลดลงอย่างรวดเร็ว การดื่มกลับจะทำให้เพิ่มความเสี่ยงต่อหัวใจวายเฉียบพลันได้ง่ายขึ้น “สำหรับคนทั่วไป การดื่มปริมาณ 1 แก้วมาตรฐานไม่เกิน 3 ครั้งต่อสัปดาห์ จะไปลดความดันโลหิตให้ต่ำลง ทำให้มีผลทางบวกกับระบบหลอดเลือดแดงของหัวใจ” ดร.โรชฟอร์ดระบุ “ แต่หากดื่มมากเกินไป ก็จะทำให้คุณสมบัติการป้องกันนี้สูญหายไปด้วย”

 

 

อารมณ์ของคุณ:

อาจมีบางช่วงเวลาของชีวิต ที่เราจะใช้แอลกอฮอล์เป็นสิ่งฟื้นฟูอารมณ์ แต่จากการศึกษาของ ศจ.ไบเกนพบว่า ผลกระทบของแอลกอฮอล์ที่มีต่ออารมณ์ของเรานั้น บ่อยครั้งที่มันจะขึ้นอยู่กับเหตุผลในขณะที่เราดื่มมันเข้าไปด้วย “ ถ้าหากว่าคุณดื่มมันเพราะคุณได้รับเลี้ยงยินดีสักเรื่อง มันก็จะช่วยขยายความรื่นรมย์นั้นๆให้มากขึ้น แต่ก็อย่าลืมว่า มันก็อาจเป็นต้นเหตุของพฤติกรรมเมามายเกินขอบเขตที่เลวร้ายได้ เพราะมันไปขัดขวางการทำงานของสมองส่วนที่ควบคุมเรื่องความกระตือรือร้นและการมีเหตุผลตัดสินถูกผิดต่างๆ รวมทั้งการตัดสินใจ ทำให้คุณสามารถทำอะไรโดยไม่ยั้งคิด นอกจากนี้ การดื่มมากเกินไปก็จะไปลดระดับฮอร์โมนเซโรโทนินในสมอง ทำให้คนติดเหล้ามักเป็นคนหงุดหงิดฉุนเฉียวง่ายๆ

คำแนะนำก็คือ ให้เลี่ยงจากแอลกอฮอล์เมื่อรู้สึกว่ากำลังเจอเรื่องหนักๆในชีวิต อย่าดื่มมันเพื่อหนีปัญหา แต่ให้คุณหันไปทำสิ่งอื่นๆที่คุณรัก ก็จะช่วยเชียร์ให้คุณรู้สึกดีขึ้นอย่างยาวนานกว่า

 

 

algohol002

 

 

ข่าวดีที่ควรรู้!

เมื่ออายุมากขึ้น อาการแฮงก์โอเวอร์ก็จะน้อยลงด้วย: จากการศึกษาพบว่า คนอายุ 18-29 ปี จะมีอาการแฮงก์โอเวอร์มากกว่าคนอายุ 60 ปีขึ้นไปถึง 10 เท่า ซึ่งพัฒนาการของเรื่องความต้านทานต่อแอลกอฮอล์นี้ อาจมีคำอธิบายได้ข้อหนึ่งคือเรื่องของ “ความฉลาดรู้คิด” ที่มีมากขึ้นตามวัยเป็นส่วนสำคัญ “ จากประสบการณ์ที่ได้เรียนรู้ ทำให้คุณสามารถจัดการกับอาการแฮงก์นี้ได้โดยดื่มมันให้น้อยลงกว่าเดิม ซึ่งจากสถิติพบว่า คนอายุน้อยๆมักดื่มในปริมาณ 9 แก้วต่อครั้ง ในขณะที่คนอายุมากจะหยุดอยู่ที่ค่าเฉลี่ยประมาณ 6 แก้วต่อครั้ง เพราะประสบการณ์สอนให้รู้ว่าถ้าดื่มในปริมาณเท่าเดิม จะต้องพบความเลวร้ายในวันต่อมาก็เป็นได้ ” เป็นการระบุของนักเขียน ดร.ริชาร์ด สตีเฟน จากมหาวิทยาลัยคึล ประเทศอังกฤษ