City Break Paris Part XXXII

By Pusit Sansopone

เบรกเที่ยวในกรุงปารีส ตอนที่ 32

‘พระราชวังแวร์ซาย’ (ต่อ)

ชีวิตในแวร์ซาย (Life in the court)
ในตอนนี้เราจะคุยถึงเรื่องราวและข้อเท็จจริงของการใชัชีวิตในพระราชวัง Versailles ซึ่งไม่ได้หมายถึงเฉพาะกษัตริย์และพระบรมวงศานุวงศ์เท่านั้น แต่อย่าลืมว่าในสมัยนั้นพระเจ้าหลุยส์ได้เชิญบรรดาขุนนาง, ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่, รัฐมนตรีของหลายกระทรวงตลอดจนข้าราชบริพารที่มีระดับมาอยู่ที่แวร์ซายทั้งหมด โดยจัดที่พักและอาหารให้ตามเหมาะสม พระเจ้าหลุยส์ทรงตกแต่งประดับประดาพระราชวังแบบหรูหราไม่มีขุนนางคนไหนทำได้เทียบเท่า และจัดให้มีงานอีเว้นท์ต่างๆ เพื่อไม่ให้การมาอยู่ที่แวร์ซายนั้นน่าเบื่อ คือสำหรับบรรดาขุนนางและข้าราชการแล้วการมาอยู่ที่นี่นั้นนอกจากจะได้เข้าเฝ้าพระเจ้าแผ่นดินแบบใกล้ชิดเพื่อความรุ่งเรืองทางการงานแล้วก็ยังได้ใช้ชีวิตแบบหรูหราพบปะแวดวงสังคมชั้นสูงอีกด้วย

City Break Paris Life in Versailles 3

แต่ชีวิตจริงๆนั้นเป็นอย่างไร มันเป็นชีวิตในฝัน(Dream Lifestyle) หรือเป็นชีวิตที่เจอในฝันร้าย(Nightmare) มีเรื่องราวจากหนังสารคดีที่ชื่อ Versailles’dirty secrets และ website thisisversaillesmadame.blogspot.com (credit pics and story) ที่มีเรื่องราวน่าสนใจมาแชร์เรื่องการใช้ชีวิตที่นั่น

ก่อนอื่นเราต้องมาสรุปวัตถุประสงค์ ตรรกะที่มาของการสร้างพระราชวังแวร์ซาย อีกครั้งก่อนที่จะมาทำความเข้าใจกับวิถีชีวิตประจำวันในแวร์ซายว่าทำไมต้องเป็นแบบนั้น

1. เรื่องความผูกพันกับอดีตในวัยเยาว์ เพราะที่นี่มีประวัติความเป็นมาจากการเป็นเสมือนบ้านในชนบทของพระบิดาคือกษัตริย์หลุยส์13 มีสภาพแวดล้อมที่น่ารื่นรมย์และเพลิดเพลิน และท่านเองได้ติดตามพระบิดามาล่าสัตว์ที่นี่ มีข้าราชบริพารติดตามมากมาย ทำให้เกิดบรรยากาศที่รู้สึกหลงใหลในอำนาจของการเป็นกษัตริย์ตั้งแต่ตอนนั้น

2. เรื่องแรงบันดาลใจที่ต้องทำให้แวร์ซายยิ่งใหญ่เหนือใคร เมื่อพระชนมายุได้ยี่สิบสามปีในขณะที่เกิดความคิดสนใจในการบูรณะแวร์ซาย ก็มาเกิดแรงบันดาลใจให้มีความตั้งใจแน่วแน่ก็ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1661 เมื่อนิโคลัส ฟูเกต์ ผู้อำนวยการฝ่ายการเงินของฝรั่งเศส(เรื่องราวอยู่ในตอนที่แล้ว)ได้สร้างคฤหาสน์ชื่อดังแห่งยุคชื่อว่า “Vaux-le-Vicomte” และได้เชิญพระเจ้าหลุยส์ไปร่วมงานฉลองคฤหาสน์ใหม่ได้เสมือนทำให้พระเจ้าหลุยส์เกิดการอิจฉาเลยทีเดียว เพราะคฤหาสน์ของ Fouquet มีการตกแต่งสะท้อนให้เห็นถึงรสนิยมในแบบ Grand Design ยิ่งใหญ่โอ่อ่าในแบบฝรั่งเศสเป็นshowcaseของเจ้าของอย่างแท้จริง ทำให้ท่านคิดว่าVersaillesควรต้องเป็นshowcaseของฝรั่งเศสและต้องยิ่งใหญ่ที่สุดในยุโรป แขกบ้านแขกเมืองมาต้องทึ่งในความยิ่งใหญ่แบบเดียวกับใครที่ได้มาเห็น”Vaux-le-Vicomte”

City Break Paris Life in Versailles 6

ภาพที่สร้างขึ้นจำลองเหตุการณ์วันที่ 17 สิงหาคม ปี 1661 วันที่นิโคลัส ฟูเกต์ ผู้อำนวยการฝ่ายการเงินของฝรั่งเศสได้เชิญพระเจ้าหลุย์ไปร่วมงานฉลองคฤหาสน์ใหม่ “Vaux-le-Vicomte”

City Break Paris Life in Versailles 2

คฤหาสน์ที่ยิ่งใหญ่ต้นแบบของแวร์ซายมองจากมุมสูง

แน่นอนว่าสำหรับ Fouquet นั้นก็กลายเป็นแค่คนโง่คนหนึ่งที่พยายามอวดตัวก้าวล้ำหน้ากษัตริย์ด้วยความโอ่อ่าหรูหราจึงถูกกล่าวหาใส่ความว่าโกงเงินพระคลังหลวงที่ตนเองเป็นผู้คุมอยู่ และสามสัปดาห์หลังจากงานเลี้ยงต้อนรับของคฤหาสน์ตัวเอง กษัตริย์หลุยส์ก็สั่งจับกุม Fouquet และถือเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้ายในประวัติศาสตร์ฝรั่งเศสที่ประมุขแห่งรัฐแทรกแซงการตัดสินใจของศาลโดยเพิ่มการลงโทษจากการจำคุกธรรมดาเป็นโทษจำคุกตลอดชีวิตในป้อม Pinerolo แต่การจับกุม Fouquet ถือเป็นตัวอย่างราชาธิปไตยในยุคของกษัตริย์หลุยส์ที่แสดงให้ผู้ต่อต้านท่านรับรู้ว่ากษัตริย์คือผู้มีอำนาจสูงที่สุดในแผ่นดิน

3. เรื่องความปลอดภัย และเรื่องการเมือง การลดทอนอำนาจขุนนาง วัตถุประสงค์สำคัญอีกประการหนึ่งสำหรับการบูรณะแวร์ซายส์ของพระเจ้าหลุยส์ที่14 คือการลดทอนอำนาจขุนนางและชนชั้นสูงให้มาอยู่ภายใต้การควบคุมของพระองค์ เนื่องจากพระเจ้าหลุยส์ยังคงบอบช้ำจากเหตุการณ์กบฏ Fronde ที่มีสาเหตุมาจากฝ่ายต่อต้านกษัตริย์ มีเหตุการณ์ขุนนางรับเงินจากนายทุนให้ขัดคำสั่งกษัตริย์เพื่อประโยชน์ส่วนตัว แม้แต่ข้าศึกอย่างพวกชาวดัตช์ก็แทรกแซงผ่านขุนนางเหล่านี้ ทำให้ขุนนางเริ่มมีอำนาจมาก ทำให้เกิดความไม่มั่นคง เนื่องจากท่านขึ้นครองราชย์ตั้งแต่ทรงพระเยาว์มากและพระมารดาเป็นผู้สำเร็จราชการแทนจึงมีฝ่ายที่พยายามจะโค่นล้มท่านอยู่ตลอดเวลา

City Break Paris Life in Versailles 7

สัญลักษณ์ของพระเจ้าหลุยส์ที่14 ที่เป็นรูปดวงอาทิตย์ตามฉายา The Sun King หรือ สุริยะราชา

ดังนั้นเมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม ค.ศ. 1682 พระเจ้าหลุยส์ที่สิบสี่ได้ประกาศย้ายที่ทำการรัฐและพระราชวังมาที่ “Chateau of Versailles” ซึ่งการย้ายถิ่นฐานไปแวร์ซายหมายถึงการไปสร้างกรงทองให้ข้าราชบริพารที่นั่น ท่านจะได้อยู่ใกล้ชิดและมองเห็นพฤติกรรมขุนนางที่ทำตัวเป็นปรปักษ์กับท่าน และเพื่อให้ขุนนางมาทำหน้าที่เป็นผู้ติดตามรับใช้ มากกว่าเป็นผู้ตัดสินใจเรื่องความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชนหรือเก็บภาษีที่ดินแบบเดิม ขุนนางถูกบังคับด้วยอำนาจของกษัตริย์ที่จะให้เข้าเฝ้ายืนดูพระเจ้าหลุยส์แต่งตัวหรือทรงเสวยหรือทรงกิจกรรมอื่นๆและขุนนางแต่ละคนจะต้องคอยเสนอหน้าและทำตัวให้เป็นทีไว้วางใจเพื่อจะได้บำเหน็จและรางวัลจากกษัตริย์ ทำให้พระเจ้าหลุยส์ทรงมีอำนาจมากขึ้นเรื่อยๆ สำหรับขุนนางที่พระองค์ไม่โปรดก็จะถูกสั่งลดรายได้เพราะทุกอย่างที่แวร์ซายมีให้ครบแล้ว จึงเกิดระบบที่ต้องพึ่งพากษัตริย์แห่งพระอาทิตย์พระองค์นี้และราวกับว่าบริวารหรือทุกอย่างหมุนรอบตัวพระองค์อย่างแท้จริง ที่มาของฉายา the Sun-King หรือ สุริยะราชา ด้วยเหตุนี้จึงมีสมาชิกของชนชั้นสูงจำนวนกว่า 5,000 คนที่อาศัยอยู่ในแวร์ซายและรอบๆ มาปรากฏตัวทุกวันที่แวร์ซายเพื่อเข้าเฝ้าติดตามตั้งแต่พระองค์ตื่นขึ้นมาและดำเนินไปตามราชพิธีต่างๆของแต่ละวัน

ชีวิตในแต่ละวันที่แวร์ซาย
แน่นอนว่าชีวิตในแต่ละวันที่แวร์ซายนั้นจะขึ้นอยู่กับตารางเวลาของพระเจ้าหลุยส์เป็นสำคัญ ได้มีบันทึก(Memoirs) ของดยุคแห่งแซงซิมง (Duc de Saint-Simon) ข้าราชการในสมัยของพระองค์ได้เขียนถึงตารางเวลาประจำวันของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ไว้แบบนี้

City Break Paris Life in Versailles 8

โดยหลักการตารางเวลาที่เคร่งครัดนั้นเพื่อให้เจ้าหน้าที่ในราชการของพระองค์สามารถวางแผนงานของตัวเองได้ แม้ว่าอยู่ไกลออกไปแค่ไหนก็จะรู้ว่าเวลานี้นาทีนี้พระองค์ทรงทำอะไรอยู่ จะต้องวางแผนเข้าเฝ้าตอนไหนอย่างไร

 

ตอนเช้า

City Break Paris Life in Versailles 5

รูปปั้นตามแนวคิดของศิลปิน (Artist impression)ที่จำลองพิธี The King’s Levée

8.30 น. จะมีพิธีที่เรียกว่าพิธีการตื่นนอนของกษัตริย์หรือ “the rising of the king ceremony” หรือ The King’s Levée เป็นพิธีที่จัดขึ้นทุกครั้งที่พระมหากษัตริย์หรือพระราชินีตื่นขึ้นมา เมื่อพระเจ้าหลุยส์ที่14 ปกครองฝรั่งเศสท่านมีพิธีสองแบบคือ grand levéeและ petit levée

grand levee จะเป็นหนึ่งในพิธีที่เคร่งครัดที่เปิดโอกาสให้ข้าราชบริพารทั้งหมดใน Court ที่เรียกว่า Courtier มาเข้าเฝ้าทักทายและชื่นชมบารมีของพระราชาตั้งแต่ที่พระองค์ตื่นขึ้นมา เปรียบเสมือนการมาชื่นชมแสงอาทิตย์ยามเช้าที่โผล่มาจากขอบฟ้า

City Break Paris Life in Versailles 9

ภาพของ Nurse Maid ต้นห้องบรรทมของพระเจ้าหลุยส์ที่14ซึ่งเคยทำหน้าที่เลี้ยงดูท่านตั้งแต่สมัยทรงพระเยาว์

พิธีเริ่มขึ้นตอน8.30 น.จะมีการปลุกพระองค์ ซึ่งเป็นหน้าที่ของต้นห้องหรือ Chambre Valet ซึ่งมีอยู่ช่วงหนึ่ง Nurse Maid ของพระองค์ซึ่งเคยทำหน้าที่เลี้ยงดูท่านตั้งแต่สมัยทรงพระเยาว์เหมือนเป็น “แม่นม”ของท่านจะทำหน้าที่ปลุกท่านเอง จากนั้นจะมีการตรวจสุขภาพโดยหมอและศัลยแพทย์ ซึ่งรวมถึงการตรวจสิ่งที่พระองค์ขับถ่ายออกมาตรงนี้ถือเป็นการเริ่มต้นของพิธีการประจำวันขึ้น จากนั้นจะมีขบวนผู้เข้าเฝ้าชุดแรกที่เรียกว่า Grand Entrée เริ่มขึ้นโดย Grand Chamberlain ซึ่งก็คือตำแหน่งอาวุโสของผู้ที่ได้รับแต่งตั้งและเป็นที่ไว้วางใจสูงสุดของกษัตริย์ให้จัดการระเบียบพิธีต่างๆภายในพระราชวังเปรียบเสมือน’พ่อบ้าน’นั่นเอง ซึ่งเป็นผู้นำขบวนราชบริพาร Courtier ตามยศและชั้นที่มีสิทธิเข้ามา(ซึ่งตามเกร็ดประวัติศาสตร์บอกว่าสิทธินี้สามารถซื้อขายได้) ณ ตอนนี้ พระราชายังคงประทับอยู่บนเตียงสวมเสื้อชุดนอนและวิกผม หลังจากที่มีการให้ท่านล้างหน้าล้างมือด้วยน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์แล้วต้นห้อง Chambre Valet ของห้องนอนและคนรับใช้อาวุโสจะดึงเสื้อของพระราชา คนละแขนออกแล้ว ท่านแกรนด์แชมเบอร์เลนก็เป็นผู้หยิบเสื้อตัวใหม่สำหรับวันนี้ให้พระองค์ และข้าราชบริพารชุดแรกก็จะกล่าวอวยพรท่านพร้อมกันก่อนถูกเชิญให้ไปรออยู่ในห้องถัดไป

City Break Paris Life in Versailles

ภาพวาดจำลองเหตุการณ์ในพิธี The King’s Levée จะสังเกตได้ว่ามีเตียงที่บรรทมอยู่ฉากหลัง

จากนั้นก็ถึงเวลาสำหรับ Première Entrée สำหรับข้าราชบริพารที่มีฐานะและสิทธิน้อยกว่าซึ่งสามารถเข้ามาในช่วงเวลาที่กษัตริย์จะแต่งตัวซึ่งพระเจ้า หลุยส์ที่14 มักชอบที่จะจัดการเอง ดังนั้นหลังการได้รับมอบชุดแต่งกายแล้วกระจกถูกจัดขึ้นสำหรับการโกนหนวดหวีผมที่โต๊ะ จากนั้นข้าราชบริพารที่เหลือก็สามารถเข้ามาได้ ก็จะถึงช่วงที่พระองค์ทรงถุงน่องและรองเท้า

City Break Paris Life in Versailles 10

ภาพจำลองเหตุการณ์ช่วงที่มีแพทย์และศัลยแพทย์ตรวจเช็คสุขภาพของพระเจ้าหลุยส์

ซึ่งตอนนั้นห้องจะแออัดมากจากนั้นพระองค์ก็จะสวดภาวนาที่ข้างเตียงในขณะที่เจ้าหน้าที่ต้นห้องเก็บเสื้อผ้าจัดที่นอนแล้วพระองค์ก็จะออกไปที่ห้องติดกันที่ข้าราชบริพารรออยู่แล้ว เพื่อเสวยน้ำซุปและอาหารเช้า ร่วมโต๊ะกับสมาชิกที่สำคัญที่สุดและข้าราชการผู้ใหญ่ผู้รับใช้ของพระราชวงศ์ที่ได้รับอนุญาตให้เฝ้า ก่อนเดินไปห้องถัดไปที่ข้าราชบริพารที่ไม่ได้ร่วมเสวยรออยู่เพื่อที่ท่านจะประกาศว่าท่านอยากจะทำอะไรในวันนั้น

สำหรับพิธี petit levee เป็นพิธีขนาดย่อ คือแค่ให้ข้าราชบริพารที่มีสิทธิเท่านั้นที่สามารถชมการปลุกพระราชาและการแต่งตัวของพระองค์ได้ ไม่ใช่เรื่องแปลกที่กษัตริย์จริงๆแล้วอาจทรงตื่นขึ้นมาก่อนหลายชั่วโมงเพื่อออกไปล่าสัตว์ แล้วทรงกลับมาที่เตียงเพื่อรับพิธีเลฟเว่ แบบย่อนี้ ซึ่งผู้เข้าร่วมพิธีทั้งหมดมักเป็นเพศชายประมาณ 100 คน

City Break Paris Life in Versailles 4

จะสังเกตว่าห้องบรรทมของพระเจ้าหลุยส์จะไม่เป็นส่วนตัว และมีรั้วเตี้ยๆกั้นไว้ระหว่างส่วนที่เป็นเตียงและส่วนที่เป็นแกลเลอรี่ สำหรับเป็นบริเวณที่ข้าราชบริพารจะต้องมาเป็นสักขีพยานให้พระราชาเมื่อทรงลุกจากเตียงทุกเช้า

 

สำหรับพิธีการต่างๆ ในช่วงที่เหลือของวันจะเป็นอย่างไรโปรดติดตามได้ในการ update คราวหน้าครับ

City Break Paris Part XXXI

By Pusit Sansopone

เบรกเที่ยวในกรุงปารีส ตอนที่ 31

‘พระราชวังแวร์ซาย’ ตอนที่ 3

ต้นแบบของความยิ่งใหญ่
หลายคนคงไม่ทราบว่าพระราชวังแวร์ซาย มีต้นแบบมาจากไหน สถานที่แห่งไหนที่เป็นแรงบันดาลใจให้พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ตัดสินใจตั้งใจทำแวร์ซายให้เป็นพระราชวังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในยุโรปหรือในโลกของช่วงนั้น วันนี้ผมจะขอเล่าถึงปราสาทนอกกรุงปารีสแห่งหนึ่ง และขอแนะนำให้ท่านหาโอกาสไปเที่ยวด้วยครับเพราะมันอยู่ห่างจากกรุงปารีสไปแค่ประมาณ 45 กิโล และก็คุ้มค่าในการไปเยี่ยมชม เพราะที่นั่นมันคือปราสาทต้นแบบของพระราชวังแวร์ซายที่เราพูดถึงกันอยู่นั่นเอง

นั่นคือปราสาท Château de Vaux-le-Vicomte ชาโต เดอ โวเลอวีกง หากท่านเคยไปเที่ยวชมแวร์ซายมาแล้วและเบื่อความแออัดของผู้คนที่ต่อคิวยาวเป็นชั่วโมงแบบผม ให้มาที่นี่ก็ดีครับแค่ไม่ถึงชั่วโมงจากปารีส คุณจะพบกับปราสาทที่สวยงามซึ่งเป็นแรงบันดาลใจสำหรับแวร์ซาย มีประวัติอันน่าสนใจ มีการตกแต่งภายในที่สวยงาม และแน่นอนว่ามีสวนฝรั่งเศสที่สวยสมบูรณ์แบบ

City Break Paris Versailles Palace-Chateau-de-Vaux-le-Vicomte 12

Château de Vaux-le-Vicomte เป็นปราสาทฝรั่งเศสแบบบาโรกที่ตั้งอยู่ใน Maincy ใกล้ Melun ทางตะวันออกเฉียงใต้ของปารีสในเขต Seine-et-Marne ของประเทศฝรั่งเศส

 

คำว่า Château กับ Palais (Castle and Palace) เมื่อจะพูดกันถึงวังหรือปราสาทเราควรพูดถึงความแตกต่างกันระหว่างทั้งสองอย่างก่อน คำว่า Palais หรือ Palace ในภาษาอังกฤษก็คือพระราชวังหรือ Royal Residence ที่ประทับของพระเจ้าแผ่นดิน หรือโป๊ปในสมัยก่อน และมักต้องอยู่ในเมือง แต่คำว่าปราสาท Château หรือ Castle นั้นมักเป็นของขุนนางระดับสูงเจ้าผู้ครองนคร เช่น ดยุค หรือ ลอร์ด แต่พระเจ้าแผ่นดินก็มีChâteauได้แต่มักจะอยู่นอกเมืองในชนบทหรือในป่าริมทะเลสาบหรือเชิงเขา เป็นปราสาทสำหรับแปรพระราชฐานเพื่อล่าสัตว์หรือเป็นปราสาทตามฤดูนั่นเอง จะเห็นว่าแวร์ซายนั้นเคยถูกเรียกว่า Château de Versailles เพราะมันเคยเป็นกระท่อมล่าสัตว์อยู่ในป่าแต่ภายหลังพอพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ย้ายมาประทับที่นี่ถาวรในปี 1682 ทำให้เปลี่ยนสถานะกลายเป็น Royal Residence จึงต้องเรียกว่า Palais de Versailles

คือต้นแบบของ Castle หรือ Château มันมีมาตอนยุคกลางที่ตอนนั้นหลังจากอาณาจักรโรมันสิ้นสลาย เมืองขึ้นทั้งหลายก็เป็นอิสระ แบ่งแยกเป็นแค้วนเล็กแค้วนใหญ่ที่ปกครองตนเองในลักษณะนครรัฐ (City State) ก็เลยต้องสร้างเมืองที่ป้องกันตัวเองได้ เช่นไปอยู่บนภูเขาสูงที่เรียกว่า Hill town หรือถ้าอยู่ที่ราบก็มักสร้างกำแพงเมืองล้อมรอบสูงและหนามีป้อมปราการ Fortress แบบนี้ก็คือ “Walled Town”และใน walled town ก็มักจะมี Castle อยู่ด้านในใจกลางสุดอาจมีการขุดคูคลองล้อมลอบมีสะพานยกเปิดปิดได้หรือถ้าเป็นHill Townก็มักต้องอยู่จุดที่สูงสุดของเมือง เอาล่ะครับปูพื้นกันแล้วเรามาเข้าเรื่องกันดีกว่า

ปราสาท Château de Vaux-le-Vicomte ชาโต เดอ โวเลอวีกง พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 มาถึงแวร์ซายในเดือนตุลาคมปี ค.ศ. 1641 เมื่อบิดาของเขาพระเจ้าหลุยส์13 ส่งเขาและพี่ชายของเขามาเพื่อหนีการระบาดของไข้ทรพิษที่ระบาดถึงพระราชวังที่ประทับที่ Saint-Germain-en-Laye ตอนนั้นพระองค์เพิ่งมีพระชนมายุแค่สามขวบไม่น่าเชื่อว่าอีกเพียง2 ปีต่อจากนั้นพระองค์ก็ขึ้นเป็นกษัตริย์ฝรั่งเศสแล้วเพราะพระเจ้าหลุยส์13 สิ้นพระชนม์ไป และการเยือนแวร์ซายครั้งต่อไปของท่านก็เมื่อท่านอายุ13เป็นในปี ค.ศ. 1651 ซึ่งตอนนั้นพระองค์เริ่ม “หลงใหลในการล่าสัตว์”

ในปี ค.ศ. 1657 เมื่อแวร์ซายก็ยังเป็นเพียงแค่ที่พักล่าสัตว์แบบเจียมเนื้อเจียมตัวแบบเดิมๆ ไม่ได้มีการขยายอะไรเพิ่มเติม แต่ในปีนั้นเองเมื่อ พระเจ้าหลุยส์ที่14 มีพระชนม์ได้ 19 ปี และปีนี่เองที่ปราสาท Château de Vaux-le-Vicomte ชาโต เดอ โวเลอวีกง ได้ถูกสร้างขึ้นโดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ชองท่านที่มีชื่อว่า Nicolas Fouquet นิโกลา ฟูเก่ต์ ซึ่งได้รวบรวมสถาปนิกสุดยอดของฝรั่งเศสตอนนั้น Louis Le Vau กับ สุดยอดนักปฎิมากรรม/จิตรกรรม Charles le Brun และนักออกแบบภูมิทัศน์ André le Nôtre ซึ่งต้องถือเป็น Dream Team มารวมตัวกันเพื่อสร้างChâteauส่วนตัวอันงดงาม และจากทำงานร่วมกันในโครงการขนาดใหญ่เป็นครั้งแรก ความร่วมมือของพวกเขาถือเป็นจุดเริ่มต้นของสถาปัตยกรรมแบบรวมของหลุยส์ที่สิบสี่

เรื่องราวมีอยู่ว่า Fouquet ได้ซื้อปราสาทเล็ก ๆ อยู่ระหว่าง Château de Vincennes และ Fontainebleau เป็นอสังหาริมทรัพย์ของ Vaux-le-Vicomteในปี ค.ศ. 1641 ซึ่งตอนนั้น Fouquet เป็นเพียงเป็นสมาชิกคนหนึ่งของรัฐสภากรุงปารีส Parlement of Paris ในรัชกาลพระเจ้าหลุยส์ที่สิบสาม มีอายุเพียง 26 ปีแต่มีความทะเยอทะยานสูง Fouquet มักจะเป็นผู้อุปถัมภ์ศิลปะการดึงดูดศิลปินมากมาย ด้วยความเอื้ออาทรของเขาทำให้มักได้รับการตอบแทนเป็นผลงานที่ล้ำค่า จากนั้นในปีค.ศ.1656 Fouquet แต่งงานครั้งที่สองโดย ภรรยาคนใหม่ของเขาเป็นเป็นทายาทคนเดียวของครอบครัวที่ร่ำรวยมาก มรดกของเธอได้เพิ่มความมั่งคั่งให้กับ Fouquet และเมื่อ Fouquet กลายเป็นผู้คุมเงินของกษัตริย์หลุยส์ที่สิบสี่ของในปี ค.ศ.1657 ความมั่งคั่งของเขาเพิ่มขึ้นอย่างมาก Fouquet จึงตัดสินใจที่จะพัฒนาที่ดินและปราสาทเล็กๆ ของเขาที่ทรุดโทรมให้กลายเป็นปราสาทในเทพนิยาย

สัญลักษณ์แห่งอำนาจและอิทธิพล วัตถุประสงค์ของ Nicolas Fouquet สำหรับการพัฒนา Vaux-le-Vicomte ก็คือตั้งใจสะท้อนความยิ่งใหญ่ของมันจะเป็นสัญลักษณ์ของอำนาจความมั่งคั่งและอิทธิพลของเขา ในฐานะผู้อำนวยการด้านการเงินเป็นหน้าที่ของเขาในการระดมทุนที่จำเป็นสำหรับการทำงานของรัฐ ในขณะที่รายได้บางส่วนมาจากภาษีส่วนใหญ่มาจากเงินให้สินเชื่อและ Fouquet มักต้องยืมด้วยเครดิตของตัวเองเพื่อให้มั่นใจว่ารัฐนั้นมีเงินสดเป็นอย่างดี ความงดงามของ Châteauและสวนของ Vaux-le-Vicomte ได้ให้หลักฐานที่ชัดเจนแก่เจ้าหนี้ว่าที่นี่เป็นของผู้ที่คุ้มค่ากับการลงทุนได้และสามารถชำระหนี้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ

City Break Paris Versailles Palace-Chateau-de-Vaux-le-Vicomte 5

อย่างไรก็ตาม Vaux-le-Vicomte เป็นมากกว่า “หน้าตา” สำหรับผู้กำกับการคลังคนนี้ Fouquet มองว่ามันเป็นปราสาทแห่งความสุขและความเลิศหรูในรสนิยม มันถูกใช้ในการจัดงานวรรณกรรมละครและบัลเล่ต์มีห้องพักผ่อนสำหรับเล่นเกม และได้เตรียมส่วนหนึ่งไว้สำหรับรับรองพระมหากษัตริย์สามารถรองรับการเสด็จของพระเจ้าหลุยส์และคณะผู้ติดตาม ด้วยเหตุนี้ Vaux-le-Vicomte ได้รวมอพาร์ทเมนท์ที่หรูหราตระการตาไว้มีศิลปะทั้งภาพวาดและรูปแกะสลักบรรดาเหล่าเทพต่างๆ ที่เชิดชูกษัตริย์ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ต่างๆ เช่น Jupiter หมายถึงการมีอำนาจ, Mar สำหรับความกล้าหาญ, Venus สำหรับความอุดมสมบูรณ์และการเฝ้าระวัง Diana หมายถึงชีวิตกับ โชคชะตา เหมือนการล่าสัตว์ หนึ่งในเพดานเป็นจุดเด่นของ Triumph of Fidelity แสดงความจงรักภักดีของ Fouquet ต่อกษัตริย์ในช่วง Fronde สงครามกลางเมืองที่ทำให้ฝรั่งเศสวุ่นวาย, ภาพทอในแสดงถึงวัยหนุ่มของหลุยส์ ทอจากโรงงานที่ก่อตั้งโดย Fouquet ที่บริเวณใกล้เคียงในเขต Maincy ภาพตกแต่งผนัง “พระราชวังของดวงอาทิตย์” แสดงเห็นอพอลโลซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งแสงความฉลาดและแรงบันดาลใจ และมีภาพกระรอกที่เป็นสัญญลักษณ์ของตระกูล Fouquet

City Break Paris Versailles Palace-Chateau-de-Vaux-le-Vicomte 14

หลังจากใช้เวลา 5 ปี (ค.ศ1656 ถึง 1661) ปราสาทก็เสร็จสมบูรณ์ ในวันที่ 17 สิงหาคม ค.ศ. 1661 Fouquet ก็ได้(บังอาจ)เป็นเจ้าภาพเลี้ยงอาหารแบบที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่เคยเห็นมาก่อนเพื่อแนะนำผลงานชิ้นเอกที่เพิ่งสร้างใหม่ของเขาให้กับกษัตริย์หลุยส์ที่14 และบรรดาเหล่าขุนนางและนักการเมืองทหารผู้ใหญ่ ที่ใช้คำว่าบังอาจในวงเล็บก็เพราะ Fouquet ไม่รู้ตัวได้อย่างไรว่ากำลังเล่นอะไรอยู่ แม้ว่าในขณะนั้นพระเจ้าหลุยส์มีพระชันษาแค่ 23 แต่ท่านก็คือ The Sun King ใครบังอาจมาเปล่งรัศมีแข่งกับแสงอาทิตย์ย่อมพ่ายแพ้ในที่สุด

แม้ว่าความตั้งใจจริงของ Fouquet คือการประจบกษัตริย์ตั้งใจจะให้ตนเองได้รับการเลื่อนขั้นมาเป็นหัวหน้ารัฐบาลเพราะในปีนั้น Mazarin ผู้สำเร็จราชกาลของพระเจ้าหลุยส์เสียชีวิตไป (ค.ศ. 1661) แต่อนิจจา Fouquet นั้นคาดผิดแบบมือใหม่สุดๆ การต้อนรับพระเจ้าหลุยส์ในวันนั้นมีการจัดแสดงความหรูหราฟุ่มเฟือยเกินหน้าเกินตาแม้แต่กษัตริย์เอง ผู้ที่เป็นคู่แข่งทางการเมือง Baptiste Colbert จึงทูลกษัตริย์ให้เชื่อว่าความหรูหราฟุ่มเฟือยนี้ของรัฐมนตรีคลังซึ่งดูแลการเงินนี้เอาเงินยักยอกเงินมาจากคลังและเรียกเก็บภาษีประชาชนมาแต่ไม่นำส่ง ทั้งๆที่ความจริงแล้วไม่ใช่และ Fouquet เองก็มีความจงรักภักดีสูง แต่การกระทำถือเป็นความผิดพลาดของตัวเองอย่างช่วยไม่ได้ ประกอบกับในช่วงนั้นเองพระเจ้าหลุยส์ยังพระเยาว์เกินไปและยังฟังความฝ่ายเดียวทำให้เกิดการล่มสลายของ Fouquet ได้ง่ายๆ

Fouquet จึงถูกจับกุมในสามสัปดาห์หลังจากงานฉลองfêteที่เกิดขึ้นในวันที่ 17 สิงหาคม ค.ศ. 1661 ซึ่งการเล่นของศิลปินดัง Les Fâcheux ของ Molière เป็นการเฉลิมฉลองที่น่าประทับใจแต่มากเกินไปในสถานที่คือบ้านเจ้าภาพที่หรูหราเกินไป ต่อมามีการเขียนประวัติศาสตร์ในยุคของวอลแตร์ได้สรุปว่า “วันที่ 17 สิงหาคมเวลาหกโมงเย็น Fouquet เป็นเหมือนกษัตริย์ของประเทศฝรั่งเศส แต่หลังจาก 2 นาฬิกา เขาเป็น nobody!ถูกกล่าวหาว่าเป็นอาชญากรรม และถูกขังคุกเป็นเวลา 10 ปี

หลังจากถูกจับและคุมขัง Fouquet ภรรยาของเขาก็ถูกเนรเทศออกจาก Vaux-le-Vicomte ปราสาทก็ถูกอายัด พระเจ้าหลุยส์ยังยึด 120 รูปปั้นและต้นส้มทั้งหมดจาก Vaux-le-Vicomte จากนั้นเขาได้ส่งดรีมทีมศิลปิน (Le Vau, Le Nôtreและ Le Brun) ไปทำงานออกแบบสิ่งที่จะเป็นโครงการขนาดใหญ่กว่า Vaux-le-Vicomte นั่นคือพระราชวังและสวนของ Versailles จึงไม่แปลกอะไรที่กลิ่นอายของพระราชวังแวร์ซายจะมีความละม้ายกับปราสาท Vaux-le-Vicomte เพราะทีมคุมก่อสร้างทีมเดียวกันมีแต่ตัวอาคารด้านนอกเท่านั้นที่ไม่เหมือนแต่การตกแต่งภายในนั้นเป็นการยกระดับมาจากที่ปราสาทเพราะสำหรับ The Sun King ทุกอย่างต้องยิ่งใหญ่กว่า

ภายหลัง Madame Fouquet กู้คืนทรัพย์สินของเธอเมื่อ 10 ปีต่อมา และออกไปพร้อมกับลูกชายคนโตของเธอ หลังจากการตายของสามีและลูกชายของเธอ เธอตัดสินใจที่จะนำ Vaux-le-Vicomte ออกขาย

City Break Paris Versailles Palace-Chateau-de-Vaux-le-Vicomte 7

Nicolas Fouquet ผู้อำนวยการด้านการคลังของฝรั่งเศสเจ้าของ Vaux-le-Vicomte (ภาพโดย  Kean Collection / Getty Images)

สวนจากฝีมือผู้สร้างภูมิทัศน์ในตำนาน André Le Nôtre

City Break Paris Versailles Palace-Chateau-de-Vaux-le-Vicomte 11

แกรนด์ซาลอนที่มีรูปทรงสูงตระหง่านของ Vaux-le-Vicomte ซึ่งเป็นห้องพักที่ใช้รับรอง มีจุดเด่นคือเพดานสูงโล่งโปร่งพร้อมทัศนียภาพอันกว้างไกลของสวน
City Break Paris Versailles Palace-Chateau-de-Vaux-le-Vicomte 6

ถือเป็น Chateau แรกๆ ของฝรั่งเศสที่มีห้องอาหาร Dining Room. Credit รูปถ่ายโดย Sylvia Davis

 

สุนทรียศาสตร์กับความมั่งคั่ง

City Break Paris Versailles Palace-Chateau-de-Vaux-le-Vicomte 8

ของตกแต่งดั้งเดิมจาก Vaux-le-Vicomte ถูกนำไปแวร์ซายซึ่งก็คงอยู่มาจนถึงทุกวันนี้ อย่างไรก็ตามเจ้าของปัจจุบันของ Vaux ได้ใช้เวลาห้าชั่วคนสุดท้ายที่ค่อยๆ ฟื้นฟู Château ไปสู่ความงดงามดั้งเดิม จากผนังที่ทาสีและเพดานทองหล่อลงไปที่ห้องครัวที่มีห้องใต้ดินซึ่งมีการปูพื้นด้วยหินผลงานอันโดดเด่นเป็นส่วนหนึ่งของความสง่างามอันเงียบสงบความสนิทสนมและสัดส่วน

ประสบการณ์ที่จะได้จากการเข้าชม

City Break Paris Versailles Palace-Chateau-de-Vaux-le-Vicomte 10

ปัจจุบัน Vaux-le-Vicomte มีเจ้าของเป็นครอบครัว De Vogüé ที่เปิดให้ประชาชนเข้าชมมาตั้งแต่ปี 2511 เพื่อระดมทุนในการดูแลรักษาและร่วมแบ่งปันความงดงามของปราสาทที่สวยงามไม่เหมือนใครพร้อมสวนสวย 1,235 เอเคอร์ ซึ่งออกแบบโดยทีมงาน Dream Team ศิลปินที่มีชื่อเสียงโด่งดังมากที่สุดในศตวรรษที่ 17: สถาปนิก Le Vau, นักจัดสวน Le Nôtre และจิตรกร Le Brun ซึ่งต่อจากนั้นได้ออกมารับงานแบบแวร์ซาย

ปราสาทและสวนได้รับการดูแลอย่างดี แต่ส่วนใหญ่เสน่ห์ของ Vaux คือปฏิทินกิจกรรมพิเศษที่จัดขึ้นตลอดทั้งปีพร้อมโดยครอบครัว De Vogüé เช่น ในเดือนเมษายนไข่ช็อกโกแลตก็จะถูกซ่อนไว้ในสถานที่ตามจุดต่างๆสำหรับล่าไข่อีสเตอร์ขนาดยักษ์

City Break Paris Versailles Palace-Chateau-de-Vaux-le-Vicomte 1

งานแต่งกายแบบยุคศตวรรษที่ 17 ในเดือนพฤษภาคม เป็นการย้อนยุคให้เข้ากับสถานที่ๆสร้างในยุคนั้น ผู้คนแต่งตัวมาเดินในสวนดูแล้วย้อนอดีตแบบหนังperiod มีการฟันดาบ ขี่ม้าและการเต้นรำแบบบาร็อค และในเดือนพฤศจิกายน Chocolatiers จากปารีสที่ยิ่งใหญ่รวมตัวกันที่นี่เพื่อการสาธิตและขนมอบมากมาย

บรรยากาศใต้แสงเทียนตอนเย็น

City Break Paris Versailles Palace-Chateau-de-Vaux-le-Vicomte 9

ไม่มีอะไรที่เหมาะไปกว่าช่วงเย็นใต้แสงเทียนที่แสนโรแมนติกของ Vaux ซึ่งจัดขึ้นทุกวันเสาร์ระหว่างเดือนพฤษภาคมถึงเดือนตุลาคมเมื่อพระอาทิตย์ตก ที่นั่งรอบๆสวนและในปราสาทก็สว่างไสวทั้งภายในและภายนอกโดยมีเทียน 2,000 ตัว ผู้เข้าชมสามารถรับประทานอาหารกลางแจ้งได้ที่ลานระเบียงสวนซึ่งหันหน้าไปทาง Château พรั่งพร้อมไปด้วยอาหารรสเลิศจากร้านอาหาร Les Charmilles (แนะนำให้จองล่วงหน้า)
City Break Paris Versailles Palace-Chateau-de-Vaux-le-Vicomte 2

จากนั้นเดินเล่นกลับไปยัง Château ไปจิบแชมเปญสักแก้วในสวนที่ Le Songe de Vaux แล้วมาเอนกายลงในเก้าอี้สนามฟังเพลงคลาสสิก (เปิดตลอดทั้งวัน) เวลา 10:50 จะมีการแสดงดอกไม้ไฟและถ้ามาที่นี่ในวันเสาร์อาทิตย์ที่สองหรือวันเสาร์สุดท้ายของเดือนคุณก็จะได้ชมการแสดงน้ำพุเต้นระบำตั้งแต่เวลาบ่าย 3-6 น.อีกด้วย

City Break Paris Versailles Palace-Chateau-de-Vaux-le-Vicomte 13

เกี่ยวกับสถานที่เพิ่มเติม

City Break Paris Versailles Palace-Chateau-de-Vaux-le-Vicomte 3

ที่ปราสาทยังมี L’Écureuil Café ซึ่งให้บริการเมนูอาหารกลางวันแบบเบา ๆ และของว่างบนเฉลียงกลางแจ้ง (เปิดบริการทุกวันตั้งแต่เวลา 10.00 น. ถึง 18.00 น. ถึง 10.30 น. ในช่วงเย็นใต้แสงเทียน) และยังอนุญาตให้ใช้พื้นที่ปิกนิกในพื้นที่ๆจัดไว้เฉพาะบริเวณ นอกจากนั้นร้านบูติกของChâteauยังมีของขวัญและของที่ระลึกที่มีมีรสนิยม สุดท้ายก็คือพิพิธภัณฑ์รถม้าของ Vaux นำเสนอรูปลักษณ์ที่น่าทึ่งสำหรับพาหนะม้าลากยุคศตวรรษที่ 17

City Break Paris Versailles Palace-Chateau-de-Vaux-le-Vicomte 15

การเดินทาง
City-rama-Paris city vision เสนอตั๋วแบบแพคเกจที่มีบริการรถรับส่งจากปารีสไปยัง Vaux-le-Vicomte ทุกวันยกเว้นวันอังคารระหว่างวันที่ 31 มีนาคมถึง 31 ตุลาคม ตั้งแต่เวลา 9:15 น. ขากลับรถออกจากปราสาทเวลา 6.15 น. ถ้าจะใช้บริการรถไฟของฝรั่งเศส SNCF ก็จะออกทุกๆครึ่งชั่วโมงจากปารีส Gare de Lyon ไปยังสถานีรถไฟ Melun (ใช้เวลา25 นาที) ซึ่งคุณสามารถใช้บริการรถรับส่ง Chateau bus (เฉพาะวันหยุดสุดสัปดาห์เท่านั้น) หรือแท็กซี่ (ประมาณ 20 ยูโร) จากสถานีรถไฟ