เคล็ดลับความสำเร็จของเชฟระดับโลก Thomas Bühner สามดาวมิชลิน และคะแนน GaultMillau 19 จาก 20

จับใจความจากงานเปิดตัวเชฟ ณ โรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล หัวหิน รีสอร์ท ในรอบผู้สื่อข่าว และจากที่ได้เจอเชฟกับผู้ช่วย (Head Chef) โดยบังเอิญ ในช่วงบ่ายก่อนงานแถลงข่าว จึงมีโอกาสได้พูดคุยกันแบบสบายๆก่อนใคร (เพราะเชฟไม่นึกว่าอายุขนาดนี้จะเป็นผู้สื่อข่าว ฮ่ะ ฮ่ะ!) เชฟเป็นคนสุภาพ ติดดิน และให้เกียรติผู้อื่น หลักๆ ที่อยากนำมาคุยเล่าสู่กันฟังคือ(เราคิดว่า)ความสำเร็จของเชฟนั้นมาจาก

Exclusive-Dinner-with-Thomas-Buhner-5

1. ได้รับการแนะแนวที่ดี ในการเลือกสายอาชีพตั้งแต่อายุยังน้อย เชฟเล่าว่า เมื่ออายุประมาณ 13 ปี เรียนจบชั้นมัธยมปลาย ยังไม่ได้ต่อ High School ไม่รู้ว่าควรจะไปเรียนต่อทางไหนดี จึงไปทำการทดสอบที่เอเจนซี่ที่เกี่ยวกับการศึกษา ใช้เวลา 6 ชั่วโมง ได้คำตอบมาว่า อาชีพที่ควรทำในอนาคตคือเป็นเกษตรกร หรือ คนอบขนม หรือคนทำอาหาร เชฟเลือกอันสุดท้ายก็เพราะคิดว่า มันน่าจะลำบากน้อยกว่าสองอันแรก โดยให้สัญญากับพ่อแม่ที่ไม่เต็มใจจะให้ลูกเลือกเดินทางนี้เลยว่า อย่าห่วงเลย ถ้าฉันจะไปเป็นคนทำอาหาร ฉันก็จะเป็นคนทำอาหารที่ดีที่สุด นั่นคือเมื่อสัก 20-30 ปีมาแล้ว ฟังแล้วกลับมาย้อนคิดถึงบ้านเรา เราไม่มีการแนะแนวที่เป็นรูปธรรมแบบนี้ในระบบการศึกษาของบ้านเราเลย อีกทั้งพ่อแม่ชาวเอเชียเราก็ไม่ได้มีใจที่เปิดกว้างแบบนี้กันมากนัก หลายๆคนต้องเสียเวลาในชีวิตไปเรียนในวิชาที่ไม่ได้ชอบ ไม่ได้ถนัด สูญเสียศักยภาพ และพรสวรรค์ไปทำสิ่งที่ไม่มีใจรัก แล้วสุดท้ายก็เป็นได้แค่ฟันเฟืองตัวเล็กๆ ตัวหนึ่งในระบบกระแสหลัก อีกอย่างที่น่าสังเกตตรงนี้คือความคิดที่ว่า ฉันจะเป็นอะไรก็ตาม แต่ฉันจะเป็นให้ดีที่สุด ในอาชีพนั้นๆ ทัศนคติเช่นนี้ พบได้มากในประเทศที่เจริญแล้วและค่อนข้างมีวินัยในตัวเอง เช่น ญี่ปุ่น เยอรมัน ถ้าเราสามารถปลูกฝังให้เด็กของเรารู้จักคิดแบบนี้ ไม่คิดเลือกงาน คงจะดีไม่น้อย

2. ทำในสิ่งที่รัก ข้อนี้สืบเนื่องมาจากข้อแรกเป็นข้อขยายว่า เมื่อคนเราได้ทำในสิ่งที่รักที่ถนัดย่อมจะทำได้ดี อันนี้อยากฝากถึงพ่อแม่ ผู้ปกครอง บางครั้งเราอยากให้ลูกประกอบอาชีพที่เราเห็นว่า ปลอดภัยทั้งทางกายภาพและทางการเงิน มีงานที่มีเกียรติ แต่บางครั้งก็ต้องยอมผ่อนปรน สังเกตดูความถนัดของลูกด้วย งานหลายๆอย่างในสมัยนี้ เป็นสิ่งใหม่ๆที่ยังไม่เคยเกิดขึ้นในยุคสมัยของเรา การที่เราอนุญาตให้ลูกได้มีโอกาสคิดริเริ่มทำสิ่งใหม่ๆ ในสิ่งที่เขารัก ให้กำลังใจเมื่อเขาท้อแท้ ย่อมจะทำให้เกิดผลสูงสุด ในอาชีพการงานของเขา

3. ให้เกียรติ และทำดีกับเพื่อนร่วมงาน เชฟย้ำแล้วย้ำอีกว่า เขาคงมาไม่ถึงจุดนี้ได้หากขาดทีมที่ดี เชฟเล่าว่าในสมัยก่อนเชฟรุ่นโบราณมักจะปฏิบัติต่อเด็กฝึกงานในร้านอาหารอย่างไม่ให้เกียรติ ดังนั้นเมื่อเขาได้มาเป็นเจ้าของร้านอาหาร เป็นเชฟใหญ่เองแล้ว เขาจึงตั้งใจว่าจะไม่ทำแบบคนรุ่นก่อนๆ เรื่องนี้เห็นด้วยเป็นอย่างมาก จากประสบการณ์ตรง มีหลายคนที่สมัยเรียนด้วยกันในโรงเรียนทำอาหาร ไม่ได้เป็นคนเก่งหรือท็อปของห้อง แต่เป็นคนมีน้ำใจ ช่วยเหลือผู้อื่น ไม่กั๊ก ไม่วิ่งประจบครู ทำดีของเขาไปเรื่อยๆ แล้วเขาก็ก้าวหน้าไปได้ ไกลกว่าคนที่ได้คะแนนสูงๆ เห็นแก่ตัวเสียอีก งานอาชีพส่วนใหญ่ จำเป็นจะต้องอาศัยทีมที่ดี ดังนั้นอุปนิสัยใจคอที่แท้จริงจะปรากฎออกมาในระยะยาว คนที่มีคนชอบพอ ก็จะมีคนเต็มใจให้การช่วยเหลือสนับสนุน ให้ได้รับความสำเร็จในที่สุด

Secret Of Success Chef Thomas Buhner 1

Secret Of Success Chef Thomas Buhner 3

Secret Of Success Chef Thomas Buhner 2

4. ควรมีความคิดสร้างสรรค์ และสามารถนำเอาสิ่งต่างๆ รอบตัวมาประยุกต์ให้เกิดประโยชน์กับงานของตัวเอง อันนี้เชฟไม่ได้พูด แต่สังเกตเอาเอง ว่าคนจะประสบความสำเร็จได้นั้น ถามเชฟว่า อะไรคือแรงบันดาลใจของเชฟ เชฟตอบว่าทุกสิ่งรอบตัว เราต้องหัดสังเกต หัดใช้ความคิด และเรียนรู้เพิ่มประสบการณ์ให้มากขึ้นในทุกๆทาง เรื่องนี้มีตัวอย่างชัดๆ คือในช่วง Press Conference เชฟอธิบายถึงวิธีการทำอาหารแต่ละชนิดให้สื่อมวลชนฟังโดยละเอียด ปิดท้ายด้วยจานขนมหวาน เป็นรูปเป็ดรสเหมือนพุดดิ้งมะม่วง นั่งอยู่บนมะม่วงสดที่หั่นเต๋าเล็กอย่างสวยงาม มีเกล็ดน้ำแข็ง Granita ทำจากน้ำส้มและมีโฟมทำจากซอสส้มอยู่ข้างๆ เชฟได้ความคิดมาจากเป็ดยักษ์ลอยน้ำโดยศิลปินชาวดัชช์ ในอ่าวฮ่องกงในปี 2556 เชฟเล่าขำๆว่า เป็ดยักษ์ตัวนั้นเป็นที่ฮือฮา เป็นข่าวใหญ่ ผู้คนตื่นเต้น ดังนั้นพ่อค้าชาวจีนก็จะทำ ตัวเป็ดก็อปปี้ขายกันไปเกลื่อนทั่วบ้านทั่วเมือง เป็ดจานนี้ เราก็อปปี้ของก็อปปี้มาอีกทีนึง ^_^ เป็นจานอาหารที่แฝงไปด้วยอารมณ์ขัน และอร่อยมาก เชฟบอกว่า เมื่อคุณมีมะม่วงที่ดีที่สุดแบบนี้ ทางที่ดีที่สุด คือไม่ต้องไปทำอะไรกับมันเลย

 

ประสบการณ์สุดหรูกับเชฟมิชลินสามดาว Thomas Bühner ณ โรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล หัวหิน รีสอร์ท

คุณบรรณาธิการมอบหมายงานให้ไปสังเกตการณ์ งานเปิดตัวเชฟมิชลินสามดาว Thomas Bühner เมื่อวันเสาร์ที่ 12 พฤษภาคมที่ผ่านมา โชคดีตอนที่รับโทรศัพท์ กำลังดูหนังจาก Netflix อยู่ สมองทำงานแค่ครึ่งส่วน จึงตอบรับไปแบบไม่มีอาการลิงโลด เสียสติจนเกินงาม

Exclusive-Dinner-with-Thomas-Buhner-3

Exclusive-Dinner-with-Thomas-Buhner-2

คุณขา ..สำหรับคนทำอาหาร บอกให้ไปงานแบบนี้ มันเหมือนส่งไปเมกกะ!! มันเหมือนเป็นติ่งเกาหลี แล้วอยู่ดีๆ วันนึงจะได้ไปเจอตัวเป็นๆของวงเกาหลี BTS!! ขนาดระดับหนึ่งดาวอย่างเจ๊ไฝ ถ้าอยากชิมอาหาร ยังต้องถามใจเธอดูก่อน ว่าพร้อมจะเข้าคิวรอทีละ 4-5 ชั่วโมงมั๊ย นี่ระดับสามดาว มีสตางค์ก็ไม่ใช่จะได้ทานง่ายๆ ค่ะ ต้องจองล่วงหน้ากันเป็นเดือนๆ แล้วนี่เชฟจะบินมาพร้อมอาหารแสนพิเศษ นำเข้ามาจากเยอรมัน รวมถึงไวน์ฝรั่งเศสที่จะให้ดื่มไปพร้อมกับอาหาร ก็นำมาพร้อมๆกับเชฟด้วย ไม่ให้ตื่นเต้นได้ยังไง อารมณ์ประมาณซินเดอเรลล่า แทบอยากจะควบรถฟักทองไปเสียตั้งแต่คืนวันศุกร์เลยทีเดียวจ้า

เชฟ Thomas Bühner เป็นชาวเยอรมัน เป็นเจ้าของร้านอาหารฝรั่งเศส La Vie ในเมืองเก่าแก่ Osnabrück ทางตะวันตกเฉียงเหนือของเยอรมัน นอกจากเชฟจะได้ดาวถึงสามดวงจากมิชลินแล้ว ร้าน La Vie ก็ยังได้คะแนน GaultMillau points ถึง 19 คะแนนจาก 20 มีเพียงไม่กี่ร้านในโลกนี้ที่ได้คะแนนสูงถึงขนาดนี้

Exclusive-Dinner-with-Thomas-Buhner-4

Exclusive-Dinner-with-Thomas-Buhner-5

Exclusive-Dinner-with-Thomas-Buhner-6

Chef’s signature dish : Marinated cod covered with sliced Australian wagyu beef served with saffron reduction

อาหารของเชฟ Thomas Bühner เป็นอาหารฝรั่งเศสแนวสมัยใหม่ เน้นหลักปรัชญาเป็น 3 มิติด้วยกันคือ มิติแรกเน้นเรื่องรสตามธรรมชาติของอาหารแต่ละชนิด มิติที่สองคือการอธิบายว่าอาหารแต่ละจานถูกเตรียมมาอย่างไร มิติที่สามเพื่อเป็นการแสดงถึงความหลากหลายของวัตถุดิบและองค์ประกอบของอาหาร

ดังนั้นอาหารส่วนใหญ่จะถูกทำให้สุกด้วยความร้อนต่ำ และใช้เวลาไม่นาน เพื่อดึงรสชาติของวัตถุดิบแต่ละชนิดออกมาให้ได้มากที่สุด เชฟให้สัมภาษณ์ว่า วัตุดิบ หรืออาหารแต่ละชนิด เหมือนกับเครื่องดนตรีแต่ละชิ้น มันดีในตัวของมันเอง แต่มันจะดีขึ้นไปอีกระดับ เมื่อเราสามารถนำเอามันมารวมกัน และสรรค์สร้างดนตรีเช่นวงออเคสตร้าขึ้นมาได้ เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงที่เราได้สัมผัสจากอาหารของเชฟในคืนนั้น ยกตัวอย่างจานขนมหวาน เมนูบอกไว้ว่าเป็น “Cube of smoked banana, pecan nut and tamarind” (ตามรูปข้างล่าง) เวลาที่จานของหวานนี้มาเสิร์ฟ มีไอศครีมมาด้วย ตักเข้าปากไป ..เอ๊ะ ! เค็ม ! ถามเชฟว่า จานนี้สตาฟท์ของเมืองไทยทำหรือ (นึกว่าเขาทำผิด) เชฟทำหน้ายิ้มๆตอบว่า เราทำเอง (เชฟมีทีมมาด้วย เป็น Head chef หนึ่งคน และเชฟรองลงมาอีกหนึ่งคน) เชฟบอก ลองทานด้วยกันทั้งหมดดูสิ แล้วมันก็จริงอย่างที่เขาแนะนำ คือรสหวานจัดของช็อกโกแลตขาว รสเปรี้ยวของมะขามเปียก รสหวานอ่อนๆจากกล้วยย่างรมควัน รวมกับไอศครีมที่ออกรสเค็ม มันรวมกันแล้ว เกิดเป็นอีกรสที่กลมกล่อม ที่ลงตัว อย่างไม่น่าเชื่อ ยิ่งดื่มไวน์หวานที่จัดมาให้คู่กัน ยิ่งเพิ่มมิติของการรับรสให้ทวีคูณ

Exclusive-Dinner-with-Thomas-Buhner-8

Cube of smoked banana, pecan nut and tamarind

Exclusive-Dinner-with-Thomas-Buhner-7

อาหารหลายๆจานที่เสิร์ฟในคืนนั้น ก็จะมีลูกเล่นทำนองนี้ มีบางอย่างที่ทำให้ประหลาดใจ เช่น เอากิมจิมาเป็นส่วนผสมของซอส รับประทานกับหนวดปลาหมึกยักษ์และเนื้อหมูป่า บางอย่างก็น่าทึ่ง เช่น อาหารร้อนกับเย็นในจานเดียวกัน (Potato foam with pumpkin curry ice-cream) การทำซอสเสิร์ฟกับนกพิราบด้วยการเอามันฝรั่งไปย่างจนเกรียมมีรสหวานเกิดขึ้น แล้วจึงคั้นเอาน้ำจากมันฝรั่งย่างสีน้ำตาลสวยนั้นมาราดเป็นซอสแล้วก็มีบางอย่างที่ทำให้ช็อคเล็กๆ สำหรับคนที่ไม่คุ้นเคย เช่น Blood pudding ที่มาในจานเนื้อกวาง Roebuck โดยเชฟใช้เทคนิคในการปรุงอาหารแต่ละชนิดเพื่อต้องการให้รสของวัตถุดิบเด่น เช่น การนึ่งปลาในอุณหภูมิเพียง 65 องศา หรือวิธีปรุงอาหาร Étouffée คือการตุ๋นด้วยไฟอ่อนๆโดยให้น้ำจากผักหรือวัตถุดิบออกมาเอง บางชนิดอาจใช้ไวน์เพืยงเล็กน้อยมาช่วย นกพิราบในเมนูปรุงสุกด้วยวิธีนี้ ได้เนื้อนกรสชุ่มฉ่ำ ไม่คาว เรียกได้ว่า ใน 6 course Menu ที่เสิร์ฟมาแต่ละจาน มีหลากหลายอารมณ์ ทำให้น่าสนใจ ไปตลอดการรับประทานอาหารนั้นเลยค่ะ

ส่วนไวน์ที่เชฟจัดมาให้ดื่มคู่กันนั้น ยอมรับเลยว่าสุดยอดจริงๆ ในความแตกต่างกันของแต่ละชนิดไวน์ ได้ถูกจัดสรรมาอย่างรอบคอบเพื่อให้เหมาะกับอาหารแต่ละชนิด

Exclusive-Dinner-with-Thomas-Buhner-9

Potato foam with pumpkin curry ice-cream

Exclusive-Dinner-with-Thomas-Buhner-10

Roebuck venison served with red cabbage gel Asian spices

Exclusive-Dinner-with-Thomas-Buhner-11

Lightly étouffée breast pigeon served with smoked juniper and caramelized sweet potato

Exclusive-Dinner-with-Thomas-Buhner-12

Marinated cod covered with sliced Australian wagyu beef served with saffron reduction

Exclusive-Dinner-with-Thomas-Buhner-13

Octopus cooked with kimchi and wild boar emulsion

ประสบการณ์ทั้งหมดนี้ ทำให้นึกนิยมในโรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล หัวหิน รีสอร์ท การที่จะประสานจนได้ตัวเชฟระดับโลกขนาดนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย ราคาก็คงสูง เทียบกับที่คิดเงินกับแขกในโรงแรมเพียงไม่กี่มื้อคงไม่ได้กำรี้กำไรสักเท่าไหร่ แต่อุตส่าห์ทำ เพื่อให้แขกของโรงแรมได้รับความสะดวก ได้มีโอกาสสัมผัสประสบการณ์ชั้นยอดจากเชฟระดับสามดาว และเพื่อให้พนักงานของโรงแรมได้เห็นการทำงานของเชฟระดับมืออาชีพ ได้ยกระดับของตัวเองขึ้นมาอีก นับว่ามีความตั้งใจที่จะทำให้การบริการของตัวเอง อยู่ในระดับแนวหน้า

 

นอกจากโลเคชั่นที่ดี มีศูนย์การค้าอยู่ใกล้ ได้ทั้งวิวทะเล วิวสวน โรงแรมเป็นรูปแบบโคโลเนียล สบายตา และห้องที่สวยงามน่าพักผ่อนแล้ว การที่โรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัลยังใส่ใจจัดกิจกรรมต่างๆเพื่อคืนกำไรให้ลูกค้าแบบนี้ โรงแรมน่าจะก้าวขึ้นมาอยู่ในระดับแถวหน้า ล้ำนำคนอื่นไปได้อีกหลายก้าวทีเดียว

ฟังแจ๊ส จิบไวน์ ในเงาจันทร์ ที่ GranMonte Vineyard and Winery

ตลอดทั้งเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ถือเป็นเดือนแห่งการมอบประสบการณ์ความสุขสุดพิเศษ เพื่อเฉลิมฉลองเทศกาลเก็บเกี่ยวองุ่นประจำปีของ ‘ไร่องุ่นไวน์กราน-มอนเต้’ เขาใหญ่

ท่ามกลางบรรยากาศของทิวแถวองุ่นที่เรียงต้นเป็นแนวสุดลูกหูลูกตา กลายเป็นฉากสวยสำหรับเทศกาล GranMonte Harvest Month All February 2018 ไม่ว่าจะเป็นการร่วมสัมผัสกับขั้นตอนการทำไวน์ ลงแข่งขันเก็บองุ่น ลิ้มรสอาหารและไวน์ชั้นเลิศ พร้อมคอนเสิร์ต Jazz in the Vineyard ในช่วงค่ำคืน

23_องุ่นไวน์จากไร่องุ่นกราน-มอนเต้_resize

 

02_วิสุตา-วิสุทธิ์-สกุณา โลหิตนาวี เจ้าของไร่องุ่นไวน์กราน-มอนเต้_resize

นิกกี้ วิสุตา, วิสุทธิ์ และสกุณา โลหิตนาวี

19_ผู้ร่วมงานเทศกาล Harvest Festival 2018_resize

นิกกี้ โลหิตนาวี ผู้ซึ่งเป็นทั้งไวน์เมคเกอร์ และทายาทคนโตของวิสุทธิ์กับสกุณา โลหิตนาวี เจ้าของไร่แห่งนี้เล่าว่า ไร่องุ่นไวน์ กราน-มอนเต้ ได้จัดกิจกรรมอย่างต่อเนื่องมาเป็นปีที่ 16 แล้ว นับเป็นการสังสรรค์ พบปะ และเฉลิมฉลองฤดูที่ให้มาซึ่งผลผลิตในการทำไวน์ชั้นเลิศของกราน-มอนเต้ เปิดโอกาสให้คนรักไวน์ได้มาเจอะเจอกัน มีความสุขสนุกร่วมกัน ทั้งชาวไทยและต่างประเทศ

03_สองพี่น้องเจ้าของไร่ มีมี่-สุวิสุทธิ์ และนิกกี้-วิสุตา โลหิตนาวี_resize

สองพี่น้องมีมี่-สุวิสุทธิ์ และนิกกี้-วิสุตา โลหิตนาวี

16_ผู้เข้าแข่งขันเก็บองุ่นไวน์ เทศกาล Harvest Festival 2018_resize

20_ผู้ร่วมงานเทศกาล Harvest Festival 2018_resize

ในปีนี้ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี ได้ให้เกียรติมาร่วมงาน เซเลบริตี้ อาทิ ขวัญชัย ประภัสร์พงษ์, อรรถวิชช์ สุวรรณภักดี, แพรวปรียา ชุมสาย ณ อยุธยา, สันติมาน์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา, ณิชชา บุณยากร, ณชา จึงกานต์กุล, ม.ล. อธิฉัตร ฉัตรชัย ฯลฯ ต่างสนุกสนานกับกิจกรรมต่างๆ ที่ไร่องุ่นไวน์ กราน-มอนเต้ จัดขึ้น

01_พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี ให้เกียรติมาร่วมงาน Harvest Festival 2018_resize

04_ขวัญชัย ประภัสร์พงษ์ และอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี_resize

ขวัญชัย-ประภัสร์พงษ์-และอรรถวิชช์-สุวรรณภักดี

14_ผู้เข้าแข่งขัน Mini Poron Drinking_resize

 

12_ข้าวเม่า-ม.ล.อธิฉัตร ฉัตรชัย ร่วมแข่งขัน Mini Poron Drinking_resize

ข้าวเม่า-ม.ล.อธิฉัตร ฉัตรชัย

06_ติ๊บ-สันติมาน์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา_resize

ติ๊บ-สันติมาน์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา

05_มายด์-แพรวปรียา ชุมสาย ณ อยุธยา กับลูกชาย_resize

มายด์ -แพรวปรียา ชุมสาย ณ อยุธยา กับลูกชาย

11_โบว์-ณชา จึงกานต์กุล สนุกสานากับการเก็บอุง่น กับเพื่อนสาว_resize

โบว์-ณชา จึงกานต์กุล สนุกกับการเก็บอุง่นกับเพื่อนสาว

เป็นบรรยากาศแห่งความรื่นเริง เสียงหัวเราะ รอยยิ้ม จากความสุขที่ได้รับตลอดทั้งวัน และจบลงอย่างสวยงามในค่ำคืนด้วยคอนเสิร์ต Jazz in the Vineyard กังวานเพลงเพราะจากป้อม ออโตบาห์น และนรีกระจ่าง คันธมาส

22_บรรยากาศงาน Jazz in the Vineyard ที่จัดขึ้น ณ ไร่องุ่นไวน์กราน-มอนเต้_resize

งาน Harvest Festival 2018  ได้รับการสนับสนุนเป็นอย่างดีจากสมาคมท่องเที่ยวเขาใหญ่ และได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้เข้าร่วมงานทั้งชาวไทยและต่างประเทศเป็นอย่างมาก …หากไม่อยากรอถึงเทศกาลหน้า ผ่านมาเขาใหญ่แวะชิลแวะช้อปไวน์ชั้นเลิศของเมืองไทยได้ที่นี่เช่นกัน สอบถามเพิ่มเติมที่ E-mail : reservation@granmonte.com โทร.092 806 7755 หรือ www.granmonte.com และfacebook.com/granmonte

24_น้ำองุ่นจากไร่องุ่นไวน์กราน-มอนเต้_resize23_องุ่นไวน์จากไร่องุ่นกราน-มอนเต้_resize

 

Cava – สปาร์คกลิ้งไวน์ ทางเลือกที่ดี ราคาสบายกระเป๋า

ถึงช่วงเวลาแห่งการเฉลิมฉลองแล้ว ถึงแม้ว่าปีนี้อาจไม่ค่อยมีกะจิตกะใจอยากจะออกมาเฮฮาปาร์ตี้อะไรมากมายแต่อาจจะมีบางวันที่เราอยากฉลองเทศกาลปลายปีกันแบบเงียบๆ ส่วนตัวนิดนึง และหากไม่อยากลงทุนเปิดแชมเปิญขวดละหลายพันแต่อยากดื่มอะไรที่คล้ายๆ กันในราคาสบายกระเป๋า วันนี้จะขอแนะนำไวน์ตัวนึงที่อาจเป็นหนึ่งในทางเลือกนั้นได้

 

how-to-drink-sparkling-wine-1

how-to-drink-sparkling-wine-with-appetizer

คาว่า Cava เป็นสปาร์คกลิ้งไวน์สัญชาติสเปนที่ถือได้ว่ามีความใกล้เคียงแชมเปญเป็นอย่างมาก เพราะคาว่าผลิตด้วยกรรมวิธีที่เรียกว่า Traditional Method ซึ่งเป็นวิธีเดียวกับที่แชมเปญทำ นั่นก็คือการทำให้เกิดพรายฟองโดยการหมักตัวของยีสต์ครั้งที่สองในขวด ซึ่งการหมักตัวของยีสต์ครั้งที่สองนี่เองที่ทำให้ไวน์ในขวดนั้นมีฟอง เพราะยีสต์จะผลิตก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกมานั่นเอง โดยไม่ได้มีการอัดก๊าซเหมือนน้ำอัดลมแต่อย่างใด การทำให้เกิดฟองในไวน์มีหลายวิธี แต่วิธี Traditional Method นั้นถือว่าเป็นวิธีดั้งเดิม มีกระบวนการผลิตที่ซับซ้อน และทำให้เกิดรสชาติอันบ่งบอกถึงเอกลักษณ์และคุณภาพ  ซึ่งสมัยก่อนผู้ผลิตประเทศอื่นมักใช้คำว่า Champagne Method บนฉลาก แต่ปัจจุบันไม่อนุญาตให้ใช้คำนี้กันแล้ว เพราะชาว Champagne ได้จดลิขสิทธิ์การใช้ชื่อนี้ไปแล้วเรียบร้อย เราจึงเห็นคำว่า Traditional Method บนฉลากของไวน์ที่ไม่ได้มาจากแคว้นแชมเปญแต่ผลิตด้วยกรรมวิธีแบบนี้ รวมทั้งคาว่าด้วย

 

how-to-drink-sparkling-wine-with-salad

how-to-drink-sparkling-wine-with-appetizer-1

คาว่าส่วนใหญ่ผลิตที่แคว้นกาตาลุญญา ใกล้ๆ บาร์เซโลน่า ทำจากองุ่นสามพันธุ์ผสมกัน ได้แก่ Macabeo Parellada และ Xarel-lo ซึ่งเป็นองุ่นพื้นเมือง โดยคาว่าที่ในวันนี้เป็นของ Louis de Vernier มีสีทองอ่อนพรายฟองละเอียดเป็นสาย มีกลิ่นหอมของเลมอน แอปเปิ้ลเขียว และหอมขนมปังบริออชจางๆ เป็นคาว่าที่มีแอซิดิตี้ค่อนข้างสูง น้ำหนักเบา และแอลกอฮอล์ปานกลางจึงเหมาะสำหรับดื่มเป็น aperitif หรือเรียกน้ำย่อยก่อนอาหาร หรือจะดื่มกับ appetizer เบาๆ เช่น อาหารทะเลสดๆ และสลัดเบาๆ และที่สำคัญคือคาว่าตัวนี้มีระดับความหวานที่เรียกว่า Brut Nature ซึ่งแปลว่าไม่มีการใส่น้ำตาลลงไปเพิ่มเลย จึงน่าจะเหมาะกับสาวๆ ที่กำลังควมคุมน้ำหนัก เรียกได้ว่าดื่มได้ ไม่ต้องกลัวอ้วน

 

สามารถซื้อ Louis de Vernier Cava Brut Nature ได้ที่ www.passiondelivery.com

 

*** พิเศษสุดสำหรับแฟนๆ ของ The Editors Society เมื่อช้อปปิ้งผลิตภัณฑ์ของ Passion Delivery ผ่านทางเว็บไซด์ของ The Editors Society จะได้รับส่วนลด 200 บาทจากการสั่งซื้อของครั้งแรก เมื่อช้อปขั้นต่ำ 1,000 บาท เพียงใส่โค้ด PDEDITOR ในช่องลดราคาก่อนเช็คเอ้าท์จาก www.passiondelivery.com ***

 

เครดิตภาพ : 1, 2, 3, 4, 5, 6

Organic Wine – ปลอดภัยไร้สารตกค้าง

ทุกวันนี้อาหารที่เรารับประทานส่วนใหญ่มีสารเคมีตกค้างแทบทั้งสิ้น ผักผลไม้ที่เราคิดว่ามีประโยชน์แท้จริงแล้วหากไม่ระวังเราอาจรับยาฆ่าแมลงที่ตกค้างอยู่ได้ ไม่มากก็น้อย ทั้งนี้ทราบหรือไม่ว่าไวน์ก็หนีไม่พ้น เคยมีการศึกษาที่ประเทศฝรั่งเศสในปี 2009 และ 2010 พบว่ามีโมเลกุลสารเคมีทั้งจากยาฆ่าแมลงและยาฆ่าเชื้อราตกค้างในไวน์ถึงกว่า 50 โมเลกุลด้วยกัน ถึงแม้ว่าแต่ละโมเลกุลนั้นมีปริมาณที่ไม่มากและไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย แต่หากใครที่ดื่มไวน์ทุกวันๆ ก็อาจเสี่ยงต่อการมีสารเคมีสะสมในร่างกายได้

 

how-to-drink-organic-wine-3

how-to-drink-organic-wine-4

how-to-drink-organic-wine-6

ในการปลูกองุ่นนั้น ผู้ปลูกทั่วไปมีความจำเป็นต้องใช้สารเคมีเป็นจำนวนมาก เพราะองุ่นเป็นผลไม้ที่มีความเสี่ยงต่อศัตรูพืชและเชื้อราสูงพอสมควร แต่ปัจจุบันเริ่มมีผู้ผลิตหลายๆ เจ้าหันมาผลิตไวน์แบบออร์แกนิกและแบบไบโอไดนามิกกันมากขึ้น เพราะพวกเขาเชื่อว่าการใช้วิธีตามธรรมชาติในการปลูกพืช เมื่อสภาพแวดล้อมมีความอุดมสมบูรณ์ ดินสมบูรณ์ ต้นองุ่นย่อมแข็งแรงผลิตผลองุ่นที่มีคุณภาพตามไปด้วย

 

how-to-drink-organic-wine-2

จริงๆ บ้านเรามีไวน์ออร์แกนิกขายอยู่เยอะพอสมควร แต่บางทีก็ต้องศึกษากันเอาเองว่าผู้ผลิตคนไหนผลิตไวน์แบบออร์แกนิก เพราะเขามักไม่ระบุบนฉลาก สำหรับไวน์ที่อยากแนะนำในครั้งนี้ชื่อไวน์ Terre de Garance โดย Domaine Rouge Garance นี้เป็นไวน์ Côtes du Rhône จากลุ่มแม่น้ำ Rhône โดยผลิตที่เมือง Saint Hilaire d’Ozilhan ไม่ไกลจาก Pont du Gard จุดท่องเที่ยวอันเลื่องชื่อทางตอนใต้ของฝรั่งเศส เป็นไวน์ออร์แกนิกที่แน่นอนว่ามีการใช้สารเคมีน้อยที่สุด แม้กระทั่งยีสต์ที่ใช้ในการหมักไวน์ยังเป็นยีสต์ธรรมชาติที่พบได้บนผลองุ่น

 

how-to-drink-organic-wine-5

6004101_Figs_2014-0829_CL-Figs-180

how-to-drink-organic-wine-3-pasta

ไวน์ตัวนี้ทำจากองุ่นหลายพันธุ์ หลักๆ ก็มี Grenach Syrah และ Cinsault เป็นไวน์สีแดงทับทิมสด มีกลิ่นหอมของผลไม้แดงประเภท Red Currant และ Raspberry ทั้งยังมีบอดี้ปานกลางไม่หนักมาก กลมกล่อม ดื่มง่าย เหมาะที่จะทานคู่กับซี่โครงแกะย่าง หรือพาสต้า เช่น สปาเกตตี้โบลองเนส และชีสต่างๆ

 

หาซื้อ Terre de Garance ได้ที่ www.passiondelivery.com 

*** พิเศษสุดสำหรับแฟนๆ ของ The Editors Society เมื่อช้อปปิ้งผลิตภัณฑ์ของ Passion Delivery ผ่านทางเว็บไซด์ของ The Editors Society จะได้รับส่วนลด 200 บาทจากการสั่งซื้อของครั้งแรก เมื่อช้อปขั้นต่ำ 1,000 บาท เพียงใส่code PDEDITOR ในช่องลดราคาก่อนเช็คเอ้าท์จาก www.passiondelivery.com ***

 

เครดิตภาพ : 1, 2, 3, 4, 5, 6, 7, 8, 9

 

Chablis…ไวน์ดีที่ไม่ค่อยพลาด

*** พิเศษสุดสำหรับแฟนๆ ของ The Editors Society เมื่อช้อปปิ้งผลิตภัณฑ์ของ Passion Delivery ผ่านทางเว็บไซด์ของ The Editors Society จะได้รับส่วนลด 200 บาทจากการสั่งซื้อของครั้งแรก เมื่อช้อปขั้นต่ำ 1,000 บาท เพียงใส่code PDEDITOR ในช่องลดราคาก่อนเช็คเอ้าท์จาก www.passiondelivery.com ***

 

ปกติมักจะมีคนมาถามอยู่เสมอว่าจะดื่มไวน์อะไรดี ให้ช่วยแนะนำไวน์ให้หน่อย ส่วนใหญ่แล้วมีไวน์อยู่ตัวหนึ่งที่จะแนะนำบ่อยมาก(เพราะเป็นหนึ่งในไวน์โปรดของผู้เขียน) แนะนำทุกครั้งไม่มีพลาด ไวน์ตัวนั้นคือ Chablis

 

how-to-drink-chablis-wine-2

chardonnay-1

chardonnay-2

Chablis เป็นไวน์ขาวที่มาจากแคว้นเบอร์กันดี ทำจากองุ่นพันธุ์ชาร์ดอนเนย์ซึ่งเป็นองุ่นฮอตฮิตสุดคลาสสิค เป็นที่โปรดปรานของคนทุกเพศทุกวัย น่าจะเพราะชาร์ดอนเนย์นั้นตามธรรมชาติของมันจะมีรสชาติกลางๆ จึงสามารถนำมาผลิตเป็นไวน์แบบไหนก็ได้ เลยเป็นที่นิยมปลูกอย่างกว้างขวาง โดยทำได้ทั้งไวน์แบบเบาๆ ดื่มแล้วสดชื่น ไปจนถึงไวน์เข้มข้นหนักแน่นกลิ่นโอ๊ค เปรียบได้กับไอศครีมวานิลาที่รสชาติกลางๆ คลาสสิคจะทานกับอะไรก็ได้ จะราดสตรอเบอรี่ ราดช็อคโกแลต หรือราดซอสคาราเมล ไอศครีมวานิลาก็รับได้หมด

ด้วยความที่ Chablis อยู่ตอนเหนือสุดของแคว้นซึ่งมีอากาศค่อนข้างหนาว เพราะฉะนั้นไวน์ Chablis จึงมีบอดี้ที่ไม่หนักหน่วงซะเท่าไหร่ และมีกลิ่นหอมของแอปเปิ้ลเขียว ลูกแพร์ และพวกผลไม้รสเปรี้ยวต่างๆ และที่สำคัญไวน์จาก Chablis มักมีกลิ่นของแร่ธาตุ (Mineral) อันเป็นเอกลักษณ์ที่ทำให้ Chablis เป็นไวน์ที่มีเสน่ห์ไม่เหมือนใคร

white wine

Chablis เป็นไวน์ที่มีทั้งระดับทั่วไปและระดับ Premier Cru และ Grand Cru แต่วันนี้ขอแนะนำไวน์ระดับทั่วไปก่อน เพราะจะดื่มง่ายกว่า โดยขอแนะนำไวน์จากผู้ผลิตที่ชื่อ Joseph Faiveley ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ผลิตที่ใหญ่ที่สุด และดีที่สุดของเบอร์กันดีเลยก็ว่าได้ โดย Chablis ตัวนี้เป็นไวน์ที่เข้าถึงง่าย โดยเฉพาะปี 2014 ถือว่าเป็นปีที่ดีของ Chablis เพราะอากาศดี แดดเยอะ จึงทำให้องุ่นสุกกำลังดี (เนื่องจาก Chablis อยู่ค่อนข้างไปทางเหนือ บางปีองุ่นจะไม่ค่อยสุก) เมื่อองุ่นสุกคุณภาพดีก็จะส่งผลให้ไวน์มีความเข้มข้น และมีกลิ่นหอมของผลไม้สุกมากขึ้น เช่นแทนที่จะเป็นกลิ่นแอปเปิ้ลเขียว ไวน์ตัวนี้มีกลิ่นของแอปเปิ้ลสีเหลือง และAcidity จะไม่บาดแหลม

 

how-to-drink-chablis-wine-4

Chablis เป็นไวน์ที่เข้ากับอาหารหลากหลาย ด้วยความที่มี Acidity ค่อนข้างสูง อาหารจานแรกที่นึงถึงเลยคือหอยนางรมสด เวลาทานก็บีบมะนาวให้น้อยหน่อยอาศัยความเปรี้ยวของไวน์แทน หรือจะเป็นอาหารทะเลต่างๆ ว่ามาเลย Chablis เอาอยู่  ส่วนอาหารไทยก็เหมาะไม่แพ้กัน พวกยำต่างๆ หรือจะทานกับซูชิก็ได้ไม่ผิดอะไร

 

เพราะฉะนั้น…นึกอะไรไม่ออก เลือก Chablis

หาซื้อ Chablis ได้ที่ www.passiondelivery.com

 

เครดิตภาพ : 1, 2, 3, 4, 5, 6, 7, 8

Beaujolais – ไวน์ดีที่คนมองข้าม

Beaujolais ไวน์ที่หลายๆคนอาจไม่ค่อยคุ้นเคย หรือถ้ารู้จักก็มักมองข้าม อาจจะด้วยภาพลักษณ์ที่ดูเป็นไวน์ฟรุ๊ตตี้ๆ เบาๆ เลยมักไม่เป็นที่นิยมในหมู่นักดื่มไวน์ที่ออกแนวซีเรียสนิดนึง แต่จริงๆแล้ว Beaujolais มีอะไรมากกว่านั้น

 

beaujolais

how-to-drink-beaujolais-5

Beaujolais เป็นเขตผลิตไวน์ที่อยู่ทางใต้ของแคว้นเบอร์กันดีอันเลื่องชื่อ ผลิตไวน์แดงจากองุ่นพันธุ์ Gamay ซึ่งเป็นองุ่นที่เมื่อทำเป็นไวน์แล้วจะมีรสชาติและกลิ่นของผลไม้แดงจำพวก เบอร์รี่ เชอรี่และสตรอเบอรี่ และด้วยความที่ไวน์มักมีแทนนินค่อนข้างต่ำ จึงเป็นไวน์ที่ดื่มง่ายไม่ต้องเก็บนาน ไวน์ Beaujolais มีสามระดับ ไล่ไปตั้งแต่ระดับล่างสุด หรือ Beaujolais AOC ทั่วๆไป ไวน์ระดับนี้ไม่ค่อยมีอะไรน่าสนใจมาก เบาๆ ดื่มง่ายๆ ออกเปรี้ยวนำ ถัดมาดีขึ้นมาหน่อยจะเป็น Beaujolais Villages ซึ่งไวน์ระดับนี้จะมีความเข้มขึ้นมาทั้งสีและรสชาติ ส่วนระดับสูงสุดซึ่งเป็นระดับของไวน์ที่จะแนะนำในวันนี้เรียกว่าระดับ Beaujolais Crus ซึ่งมีทั้งหมด 10 Crus ( ไร่องุ่น) โดยไวน์ระดับนี้ถึงแม้ว่าจะยังคงมีความฟรุตตี้อยู่แต่ในขณะเดียวกันก็ยังมีความซับซ้อน เข้มข้น หรูหรา โดย Beaujolais Cru นี้ บางตัวสามารถเก็บได้นานถึง 10 ปี และเมื่อถึงวันนั้นบางตัวยังอาจมีลักษณะคล้ายคลึงกับไวน์เบอร์กันดีพี่ใหญ่ทางตอนเหนือเลยทีเดียว (แต่ราคาสบายกระเป๋ากว่ามาก)

 

chateau-de-la-chaize

how-to-drink-beaujolais-2

ไวน์ที่อยากแนะนำวันนี้เป็นไวน์ Beaujolais ของ Chateau de La Chaize ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ผลิตที่ใหญ่ที่สุด เก่าแก่และมีชื่อเสียงที่สุดของดินแดนนี้ โดยมาจาก Cru ที่ชื่อ Brouilly โดยเป็น Cru ที่ใหญ่ที่สุดและเป็นหนึ่งใน Cru ที่มีชื่อเสียงของ Beaujolaisไวน์สีแดงเข้มตัวนี้มีกลิ่นหอมของแยมสตรอเบอรี่ แครนเบอรี่ และเชอรี่ อันเป็นเอกลักษณ์ รสชาติมีความนุ่มละมุน กลมกล่อม ไม่เปรี้ยวเกินไป และแทนนินกำลังดีไม่น้อยจนไร้น้ำหนัก นับว่าเป็น Beaujolais ที่มีความสง่างามไม่ใช่เล่นๆ

 

how-to-drink-beaujolais-7

how-to-drink-beaujolais-3

ส่วนใหญ่แล้วคนมักนิยมทาน Beaujolais กับอาหารง่ายๆ เช่นกับพวกชีส และ Cold Cuts ต่างๆ ทั้งปาเต้ และเทอรีน แต่เนื่องจาก Chateau de La Chaize ตัวนี้ค่อนข้างออกแนวซีเรียสจึงสามารถทานได้กับไก่ หมู เป็ด หรือจะเป็นเนื้อวัวย่างเบาๆ ก็ยังได้ และที่สำคัญ Beaujolais เป็นไวน์แดงเพียงไม่กี่ตัวที่สามารถทานแบบแช่เย็นเล็กน้อยได้ จึงน่าจะเหมาะกับอากาศบ้านเราเป็นที่สุด

 

หาซื้อ Chateau de La Chaize ได้ที่ www.passiondelivery.com 

 

เครดิตภาพ : 1, 2, 3, 4, 5, 6, 7, 8

อิสราเอล-อารยธรรมเก่าแก่แห่งโลกไวน์

อิสราเอล คงเป็นประเทศที่น้อยคนนักจะรู้ว่าผลิตไวน์ หรือถ้าให้นึกถึงประเทศที่ผลิตไวน์ คงไม่มีใครคิดถึงอิสราเอล แต่หารู้ไม่ว่าบริเวณที่เป็นประเทศอิราเอลในปัจจุบันนี้เคยเป็นแหล่งอารยธรรมเก่าแก่ของโลก และตรงนี้นี่เองที่นักโบราณคดีค้นพบว่าเมื่อหลายพันปีมาแล้วเป็นที่ปลูกองุ่นทำไวน์ที่แรกของโลก

 

how-to-drink-red-wine-barkan-wine-3

 

อิสราเอลมีภูมิอากาศแบบเมดิเตอเรเนียน นั่นก็คือฤดูร้อนมีอากาศร้อน ส่วนฤดูหนาวมีฝนตก เห็นประเทศมีขนาดไม่ใหญ่มากแต่ก็มีแหล่งปลูกองุ่นหลายโซน คงทราบกันดีว่าอิสราเอลมีระบบการปลูกพืชที่ทันสมัย ทำให้หลายๆ ประเทศต้องขอไปดูงาน โดยเฉพาะเรื่องระบบน้ำหยดที่ช่วยให้พืชต่างๆ เจริญเติบโตได้ดีในประเทศที่ค่อนข้างแห้งแล้ง  ประกอบกับอิสราเอลมีเทคโนโลยีการผลิตไวน์ที่ทันสมัย ทำให้ไวน์ของประเทศนี้เป็นที่น่าสนใจในหมู่นักดื่มไวน์ที่ชอบอะไรแปลกใหม่น่าค้นหา

 

how-to-drink-red-wine-barkan-wine-2

 

 

how-to-drink-red-wine-barkan-wine-5

how-to-drink-red-wine-barkan-wine-1

 

ไวน์อิสราเอลนั้นส่วนใหญ่ทำจากองุ่นพันธุ์ที่เราๆ คุ้นเคยกันดี เช่น cabernet sauvignon merlot และ chardonnay อย่างเช่นไวน์ที่อยากแนะนำในครั้งนี้เป็นไวน์ยี่ห้อ Barkan ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ผลิตที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ โดย  Barkan Vineyards ถือกำเนิดเมื่อปลายศตวรรษที่ 19 ซึ่งถือว่าเก่าแก่เลยทีเดียว ไวน์ตัวนี้เป็นไวน์รุ่นคลาสสิค ทำจากองุ่นพันธุ์ cabernet sauvignon ซึ่งเป็นองุ่นแห่งบอร์โดซ์ที่คนส่วนใหญ่คุ้นเคย แต่เนื่องจากอากาศที่ค่อนข้างร้อนเลยทำให้องุ่นของที่นี่มีความสุกเต็มที่ จึงทำให้สามารถผลิตไวน์ที่เข้มข้น แอลกอฮอล์สูง มีกลิ่นหอมอันสลับซับซ้อนของเชอรี่ดำ  แบล็คเคอแรนท์ ผลแครนเบอร์รี่แห้ง และกลิ่นสมุนไพรต่างๆ ทั้งใบไทม์ และชะเอม มีแทนนินสูงแต่นุ่มไม่บาดปาก เหมาะสำหรับทานกับสเต็กชิ้นโตๆ ซี่โครงแกะย่าง หรือจะเป็นฟัวกราส์ทอดราดซอสเบอร์รี่เปรี้ยวๆ หวานๆ ก็น่าจะเหมาะ

 

 

how-to-drink-red-wine-barkan-wine-4

 

หากรักการดื่มไวน์ อยากให้ลองชิมไวน์จากที่แปลกๆ แล้วจะรู้ว่าไวน์ดีๆไม่ได้มีแต่ที่ฝรั่งเศสเสมอไป

 

สามาถหาซื้อไวน์ Barkan ได้ที่ :

www.passiondelivery.com

 

เครดิตภาพ : 1, 2, 3, 4, 5, 6, 7

Bussaba – ไวน์หวานปานดอกไม้

ไวน์หวาน ไวน์ที่หลายๆ คนอาจไม่ชิน เพราะส่วนใหญ่มักดื่มแต่ไวน์แบบดราย หรือไม่ก็เพราะไม่แน่ใจว่าจะดื่มตอนไหนดี วันนี้ขอแนะนำไวน์หวานของคนไทยที่คุณภาพไม่แพ้ไวน์หวานของฝรั่ง และมีกลิ่นหอมยวนใจน่าดื่ม

 

how-to-drink-wine-2

 

หากพูดถึงไวน์หวานหลายคนคงนึกถึงไวน์ Sauternes อันเลื่องชื่อของฝรั่งเศส เช่น Chateau d’Yquem ที่ราคาแพงเกินเอื้อม หรือบางคนอาจคิดถึง ice wine ของเยอรมัน และแคนาดา จริงๆ แล้วไวน์หวานสามารถผลิตได้หลายวิธี แต่ส่วนใหญ่ผู้ผลิตจะเลือกเก็บองุ่นเมื่อสุกงอมจนระดับน้ำตาลในองุ่นนั้นสูงมาก เมื่อนำมาผลิตไวน์ ยีสต์ที่เป็นตัวเปลี่ยนน้ำตาลให้เป็นแอลกอฮอล์ไม่สามารถกินน้ำตาลได้จนหมด จึงทำให้ไวน์ที่ได้นั้นมีน้ำตาลหลงเหลืออยู่เป็นปริมาณมาก รสชาติของไวน์จึงหวานตามธรรมชาติ ไม่ได้มีการเติมน้ำตาลลงไปเพิ่มแต่อย่างใด

 

white wine

how-to-drink-wine-4

 

ไวน์หวานเป็นไวน์ที่สามารถทานได้กับอาหารหลากหลายชนิด  คนฝรั่งเศสนิยมทาน Sauternes กับฟัวกราส์ แต่ส่วนใหญ่มักจะทานกับของหวาน แต่ฉันชอบทานไวน์หวานแทนของหวานไปเลยจะได้ไม่ต้องเพิ่มแคลอรี่มากนัก

สำหรับไวน์หวานที่อยากแนะนำวันนี้เป็นไวน์ของคนไทยชื่อ Bussaba (บุษบา) ของ ไร่องุ่น Granmonte ซึ่งเป็นไวน์ที่กวาดรางวัลมาแล้วมากมายในต่างประเทศ  ไวน์นี้ทำจากองุ่นพันธุ์ Chenin Blanc ผสมกับ Semillon และ Muscat เล็กน้อย เป็นไวน์สีทองอ่อน กลิ่นหอมหวานของผลไม้สุกฉ่ำ ทั้งมะม่วง สับปะรด เสาวรส แอปเปิ้ล และกลิ่นหอมของดอกไม้สีขาว มีรสหวานแต่ไม่เลี่ยน เพราะมีความเปรี้ยวตัดกำลังดี ไวน์นี้มีแอลกอฮอล์ค่อนข้างต่ำ จึงสามารถทานแช่เย็นดื่มเปล่าๆ ก็ได้ ไม่เข้มจนเกินไป อาจจะทานกับขนมหวานไทยๆ ไม่ว่าจะเป็นข้าวเหนียวมะม่วง ผลไม้ลอยแก้ว หรือจะทานกับขนมฝรั่ง เช่น ทาร์ตผลไม้ก็น่าจะอร่อยไม้แพ้กัน

 

how-to-drink-wine-3

 

สามาถหาซื้อไวน์บุษบาได้ที่ :

www.granmonte.com

www.passiondelivery.com

 

เครดิตรูป : 1, 2, 3, 4,

รีสลิ่ง – ราชินีแห่งองุ่นขาว

หากเปรียบองุ่นกับคน องุ่นพันธุ์รีสลิ่ง (Riesling) คงเป็นผู้หญิง และน่าจะเปรียบได้ว่าเป็นราชินีแห่งองุ่นขาว เพราะรีสลิ่งเป็นองุ่นที่มีความหรูหราสุขุมเยือกเย็นเข้าถึงยากในบางครั้ง แต่ในบางขณะก็สามารถเป็นได้ทั้งสาวหวานซ่อนเปรี้ยวง่ายๆเป็นกันเอง รีสลิ่งเป็นองุ่นที่ชอบอากาศหนาว เช่นที่ประเทศเยอรมนี ในแคว้นอัลซาสของฝรั่งเศส ประเทศออสเตรีย และในบางส่วนของประเทศออสเตรเลีย และแคนาดา เป็นต้น ด้วยความที่นิยมปลูกองุ่นในที่หนาวจึงมักนิยมนำองุ่นพันธุ์รีสลิ่งมาทำเป็นไอซ์ไวน์ ไวน์หวานอันเลื่องชื่อและราคาแพง

 

 

ปกติแล้วเวลาพูดถึงไวน์น้อยคนนักจะนึกถึงองุ่นพันธุ์รีสลิ่งเป็นอันดับแรกๆ แต่ที่อยากแนะนำในให้รู้จักก็เพราะรีสลิ่งนี้เป็นไวน์ที่เข้ากันได้ดีมากกับอาหารเอเชียโดยเฉพาะอาหารไทย เพราะอาหารไทยของเรามีจุดเด่นที่ความกลมกล่อมครบรสชาติเปรี้ยว หวาน เค็ม เผ็ด และอุดมไปด้วยกลิ่นหอมของสมุนไพร เครื่องเทศนานาชนิด จึงนิยมนำมาจับคู่กับรีสลิ่งที่มีกลิ่นหอมอบอวลของดอกไม้ และผลไม้ต่างๆทั้ง ลูกพีช แอปเปิ้ลเขียว มะนาว และน้ำผึ้ง ไวน์รีสลิ่งบางตัวจะมีรสออกหวานนิดๆซึ่งช่วยดับความเผ็ดของอาหารไทยได้ดี อีกทั้งยังมีรสเปรี่ยวที่ทำให้เราสามารถทานคู่กับอาหารได้เรื่อยๆ ไม่เลี่ยน

ไวน์รีสลิ่งที่อยากแนะนำในครั้งนี้เป็นรีสลิ่งดื่มง่ายจากแคว้นอัลซาสของประเทศฝรั่งเศส โดยผู้ผลิตที่ชื่อ Huber & Bléger ไวน์สีทองอ่อนตัวนี้มีกลิ่นหอมของแอปเปิ้ล มะนาว ผลไม้เขตร้อน เช่น สับปะรดและมีกลิ่นน้ำผึ้งจางๆ มีรสเปรี้ยวที่ให้ความสดชื่น เป็นแบบฉบับของ”Food-friendly Wine” เมื่อชิมไวน์ตัวนี้อาหารไทยที่นึกถึงแวบแรกก็คือพวกยำต่างๆโดยเฉพาะยำส้มโอ พล่ากุ้ง ไปจนถึงพวกต้มยำ หรือแกงเผ็ด เรียกได้ว่าทานได้กับอาหารทั้งสำรับเลยทีเดียว

คราวหน้าเมื่อทานอาหารไทย แทนที่จะเรียกหาชาเย็นหรือน้ำผลไม้ ลองทานไวน์รีสลิ่งดู แล้วจะรู้ว่าเครื่องดื่มของฝรั่งสามารถจับคู่กันกับอาหารไทยได้ดีจริงๆ

หาซื้อไวน์ Huber & Bléger Riesling ได้ที่ www.passiondelivery.com

 

 

เรื่อง: Sariya K

 

เครดิตภาพ : 1, 2