สัญญาณโรคเบาหวานที่รู้ได้ในผู้หญิงเท่านั้น

“เบาหวาน” เป็นโรคที่เป็นกันได้ทั้งผู้ชายและผู้หญิง ถึงแม้โรคนี้จะไม่ติดต่อ แต่ก็เป็นโรคเรื้อรังที่อันตรายไม่น้อย เพราะมันทำให้เกิดโรคร้ายอื่นๆ ตามมารวมทั้งความเสียหายของอวัยวะสำคัญต่างๆ ในอนาคตด้วยยิ่งผู้หญิงมีวัยเพิ่มขึ้นเท่าไหร่ ก็จะมีโอกาสเสี่ยงที่จะเป็นโรคนี้กันได้มากขึ้นเท่านั้น และก็ไม่รู้ว่าเป็นโชคดีหรือโชคร้ายสำหรับผู้หญิงเราที่เราจะได้รับสัญญาณของอาการเริ่มต้นโรคเบาหวานโดยที่ผู้ชายจะไม่มีสัญญาณเตือนเหล่านี้

รู้จัก “เบาหวาน”

Health Diabetes 2

ทำไมถึงเป็นโรคเบาหวาน…เพราะบริโภคของหวานมากเกินไปใช่ไหม เรามักได้ยินคำถามหรือความเชื่อนี้บ่อยๆ ดังนั้น ก่อนจะมาคุยเรื่องสัญญาณเตือน เรามารู้เรื่องจริงๆของการเกิดโรคนี้กันก่อนค่ะอย่างที่รู้กันว่า ร่างกายของเราจะได้รับพลังงานจากอาหารที่เราบริโภคเข้าไป ทำให้มีเรี่ยวแรงได้ตลอดวันทีนี้เมื่อพูดถึงอวัยวะภายในร่างกายของเรา ก็จะมีอวัยวะหนึ่งที่เรียกว่า“ตับอ่อน” เป็นอวัยวะรูปร่างแบนๆยาวๆตั้งอยู่ในบริเวณช่องท้อง ด้านหลังของกระเพาะอาหาร ตับอ่อนจะทำหน้าที่ผลิตอินซูลิน ซึ่งเป็นฮอร์โมนสำคัญที่ใช้ในการเปลี่ยนกลูโคสจากอาหารมาเป็นพลังงานให้ร่างกายทีนี้ถ้ากระบวนการผลิตอินซูลินของตับอ่อนถูกรบกวน หรือถ้าเซลล์ของร่างกายไม่สามารถตอบรับอินซูลินได้ตามที่ร่างกายต้องการในยามปกติกลูโคสจากอาหาร ก็จะไม่สามารถถูกส่งผ่านทางกระแสเลือดเข้ามาสู่เซลล์ของร่างกายได้ผลก็คือ ทำให้กลูโคสในเลือดมีระดับสูงในขณะเดียวกันเซลล์ต่างๆของร่างกายก็จะไม่ได้รับพลังงานที่เพียงพอเซลล์ก็จะสูญเสียความสามารถในการทำงาน ซึ่งทางการแพทย์จะเรียกภาวะนี้ว่าโรคเบาหวาน (diabetes) ระดับน้ำตาลในเลือดที่สูงขึ้นนี้มันก็จะเป็นอันตรายอย่างมากต่อร่างกาย เพราะมันจะไปทำความเสียหายต่อเส้นประสาทและเส้นเลือดทั้งยังนำไปสู่ความเสี่ยงการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ,ภาวะไตล้มเหลว, ปัญหาของนัยน์ตาและความเสียหายของเท้าฯลฯ

โรคเบาหวานจะจำแนกออกเป็นสองประเภทด้วยกันคือเบาหวานประเภทที่ 1 ( Type 1 diabetes) เกิดจากความผิดปกติของร่างกายตั้งแต่กำเนิดที่ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายได้มีการทำลายเซลล์ของตับอ่อนของตัวเองกับอีกประเภทคือโรคเบาหวานชนิดที่ 2( Type 2 diabetes)เกิดจากเซลล์ของร่างกายมีภาวะการดื้อต่ออินซูลิน หรือ insulin resistance ซึ่งชนิดนี้แหละค่ะที่เรามักเป็นกันมาก โดยในระยะแรกๆของการเกิดโรคนี้ก็คือตับอ่อนจะเริ่มต้นผลิตอินซูลินในปริมาณที่มากขึ้นกว่าเดิมเพื่อที่จะเอาชนะภาวะดื้ออินซูลินที่เกิดขึ้นของร่างกายและก็เพื่อที่จะตอบสนองความต้องการของร่างกายที่ต้องการอินซูลินเพิ่มขึ้นด้วยทีนี้พอเป็นแบบนี้ไปนานๆเข้าตับอ่อนก็เริ่มอ่อนแอและไม่สามารถผลิตอินซูลินในปริมาณที่เหมาะสม

Health Diabetes 3

ยิ่งเราอ้วนหรือมีน้ำหนักตัวเกินมาตรฐานมากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งมีความเสี่ยงสูงมากขึ้นต่อการเป็นโรคเบาหวานประเภท 2 เพราะการมีเนื้อเยื่อไขมันมากๆ จะไปซ้ำเติมภาวะการดื้ออินซูลินนี้ได้เพราะฉะนั้น ต้องระวังอย่าตามใจปากเกินไปในเรื่องการบริโภคนะคะ นอกจากนี้ ก็ยังพบว่า ยีนหรือกรรมพันธุ์ ก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้มีความเสี่ยงสูงต่อโรคเบาหวานทั้งสองชนิดนี้ได้เช่นกัน ถ้าใครมีประวัติครอบครัวเป็นโรคนี้ ก็ควรต้องระวังตัวไว้ป็นพิเศษด้วย

จะรู้ได้อย่างไรว่าเป็นโรคเบาหวานประเภทไหน
อย่างไรก็ตาม โรคเบาหวานประเภทที่ 1 มักเกิดในคนที่มีอายุน้อยๆหรือในเด็กในขณะที่โรคเบาหวานประเภท 2 มักจะเกิดขึ้นกับคนสูงวัยหรือเมื่อเรามีอายุเพิ่มมากขึ้น ก็มีโอกาสที่จะเป็นโรคนี้ได้ โดยอาการของโรคเบาหวานโดยทั่วไปที่เราควรสังเกตตัวเองให้ดีๆ ได้แก่ความรู้สึกกระหายน้ำเพิ่มขึ้น, ปัสสาวะบ่อยครั้งขึ้น, น้ำหนักตัวลดลงโดยไม่ได้ตั้งใจจะลดน้ำหนัก ซึ่งจะเกิดร่วมกับความรู้สึกหิวบ่อยและบริโภคมากขึ้นแต่น้ำหนักตัวกลับลดลง,คลื่นไส้อาเจียน, เหนื่อยมากผิดปกติ, มองเห็นภาพเบลอที่สำคัญคือเนื้อเยื่อต่างๆจะใช้รักษาตัวเองนานกว่าปกติเมื่อเกิดปัญหาใดๆหรือเกิดบาดแผล ซึ่งใครรู้สึกว่ากำลังมีอาการเหล่านี้อยู่ ก็ควรไปพบแพทย์อย่ารอช้า

อาการโรคเบาหวานที่เกิดเฉพาะกับผู้หญิงเท่านั้น

Health Diabetes 1

คราวนี้ก็จะมาเล่าถึงอาการบางอย่างของโรคเบาหวาน ที่มันจะมีการระบุว่าจะเกิดขึ้นเฉพาะกับผู้หญิงเท่านั้น เนื่องจากสภาวะฮอร์โมนและจิตใจของผู้หญิงที่แตกต่างจากผู้ชาย ทำให้ผู้หญิงได้รับสัญญาณเตือนของโรคเบาหวานที่ผู้ชายจะไม่ได้รับได้แก่
1. มีการติดเชื้อราเกิดขึ้นบ่อยๆและซ้ำๆ: การที่เรามีระดับน้ำตาลในเลือดที่สูงขึ้นก็จะไปสนับสนุนการเติบโตของเชื้อราแคนดิดาและผลคือการคันเรื้อรังในช่องคลอด, การมีแผลในช่องปากบ่อยๆ, การมีของเหลวข้นๆหลั่งจากช่องคลอด,รวมทั้งการเกิดความเจ็บปวดเมื่อมีเพศสัมพันธ์
2. ภาวะถุงน้ำรังไข่หลายใบ (Polycystic ovary syndrome): สภาวะร่างกายดื้ออินซูลินจะไปกระตุ้นมดลูกและต่อมอะดรีนัลให้ผลิตฮอร์โมนแอนโดรเจน ซึ่งเป็นฮอร์โมนเพศชายให้สูงขึ้นกว่าปกตินำไปสู่การลดลงของการตกไข่, พัฒนาการของถุงน้ำในรังไข่, สภาวะมีบุตรยาก, การเกิดขนในบริเวณที่ไม่ต้องการเช่นริมฝีปากหรือที่ต่างๆ,การเกิดสิวเรื้อรังในหลากหลายรูปแบบ ดังนั้นใครเป็นสิวนานๆหรือมีจู่ๆก็เกิดมีขนดกขึ้นมา ก็ต้องนึกถึงเรื่องนี้ไว้บ้าง
3. ความบกพร่องของสมรรถภาพทางเพศ (Sexual dysfunction): ความเสียหายของเส้นประสาทและการลดลงของเลือดที่ไปหล่อเลี้ยงอวัยวะต่างๆของร่างกายซึ่งมีสาเหตุมาจากการเป็นโรคเบาหวานทำให้เกิดความแห้งของช่องคลอด นำไปสู่ความเจ็บปวดเมื่อมีเพศสัมพันธ์ ทำให้ความต้องการทางเพศลดลงด้วย
4. การติดเชื้อในท่อปัสสาวะ: โดยสภาพสรีระของผู้หญิงเราก็จะมีแนวโน้มการเกิดโรคติดเชื้อของท่อปัสสาวะได้ง่ายกว่าผู้ชายอยู่แล้วซึ่งผู้หญิงที่เป็นโรคเบาหวานก็จะยิ่งมีความเสี่ยงสูงขึ้นไปอีกทำให้รู้สึกเจ็บปวดเมื่อปัสสาวะ รวมทั้งอาการแสบร้อน, คันหรือสีปัสสาวะมีการเปลี่ยนแปลง

 

ทั้งหมดนี้คืออาการของโรคเบาหวานในช่วงเริ่มต้น ที่เกิดขึ้นเฉพาะผู้หญิงเท่านั้น ใครรู้สึกตัวว่ากำลังอยู่ในความเสี่ยง ก็ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจและรักษาให้ถูกต้องโดยเร็ว เพราะโรคนี้อันตราย ถ้าทิ้งไว้นานๆก็จะทำให้เกิดปัญหาถึงขั้นสูญเสียอวัยวะได้ รีบจัดการปัญหาตั้งแต่เริ่มต้นกันดีกว่า โรคร้ายจะได้หายและมีสุขภาพดีกันทุกคน

ป้องกันไข้หวัดใหญ่ในบ้านคุณ

เมื่อเร็วๆนี้ เราคงได้ยินกันว่า องค์การอนามัยโลกหรือ WHO รวมทั้งกระทรวงสาธารณสุขของประเทศไทยได้ออกมาเตือนให้เราเตรียมตัวรับมือกับการแพร่ระบาดอีกครั้งของโรคไข้หวัดใหญ่ ซึ่งคาดว่าในปี 2562 นี้จะรุนแรงขึ้น ส่งผลให้มีอัตราการเสียชีวิตของประชากรโลกในช่วงการระบาดได้มากถึง 290,000 – 650,000 คนต่อปีเลยทีเดียว สายพันธุ์ของโรคนี้ที่พบมากคือสายพันธุ์บี พบในกลุ่มเด็กมากกว่าผู้ใหญ่ถึง 9 เท่า นี่คือตัวเลขประมาณการณ์ซึ่งคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะการระบาดของเชื้อไวรัส H1N1 ที่สถิติพบว่า ทุกๆ1 คนใน 5 คนจะมีการติดเชื้อโรคนี้และในจำนวนผู้ติดเชื้อทั้งหมดจะมีผู้ที่อาการหนักอยู่ราว 3-5 ล้านคนทีเดียว สิ่งสำคัญก็คือ มีเชื้อไข้หวัดอยู่รอบตัวทั้งในที่ทำงานและคนที่เราต้องติดต่อด้วย ปัญหาคือทำอย่างไรเราถึงจะไม่นำโรคนี้หรือโรคใดๆก็ตามไปแพร่เชื้อต่อให้กับคนในบ้าน

มีกิจวัตรประจำวันหลายๆอย่างที่เราทำและมันก็เป็นพาหะนำเชื้อโรคเข้าไปในบ้านและส่งต่อให้กับสมาชิกในครอบครัวโดยไม่รู้ตัวมาดูเคล็ดลับต่อไปนี้ ซึ่งจะช่วยให้บ้านของเราปลอดจากโรคไข้หวัดใหญ่และเชื้อโรคต่างๆดีขึ้นกว่าเดิม

Protection Influenza 3

1. อย่าลืมล้างนิ้วหัวแม่มือ:การล้างมือเป็นวิธีฆ่าเชื้อโรคที่ได้ผลที่สุดแต่เราก็มักจะลืมล้างนิ้วหัวแม่มือหรือนิ้วโป้งเพราะมัวใส่ใจกับนิ้วชี้ถึงนิ้วก้อยมากกว่าซึ่งนิ้วหัวแม่มือเป็นนิ้วที่สัมผัสเชื้อโรคต่างๆมากที่สุด จากพื้นผิวของสิ่งต่างๆเช่น ปุ่มโทรศัพท์มือถือ, รีโมทคอนโทรล ฯลฯ ซึ่งมักเป็นนิ้วที่เราละเลยบ่อยๆเมื่อล้างมือ
2. อย่าวางกระเป๋าหรือถุงบนพื้น:การทำแบบนั้นเป็นการเปิดทางให้เชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายได้ง่ายขึ้นโดยเฉพาะพื้นในห้องน้ำหรือในร้านอาหารเพราะถุงและกระเป๋านั้น มักทำจากผ้าหรือหนังสัตว์ ซึ่งมีโอกาสติดเชื้อโรคจากพื้นได้ง่ายมากควรใช้สบู่อ่อนๆผสมน้ำอุ่น นำผ้านุ่มๆชุบส่วนผสมเช็ดกระเป๋าให้ทั่วเพื่อขจัดฝุ่นและเชื้อแบคทีเรียออกไป
3. เก็บแปรงสีฟันแยกจากของคนอื่น:โรคไข้หวัดใหญ่, โรคอาหารเป็นพิษ, เชื้อแบคทีเรียอีโคไลสาเหตุของโรคท้องร่วงตลอดจนเชื้อราต่างๆ จะเจริญเติบโตได้ดีบนแปรงสีฟัน การเก็บแปรงสีฟันของทุกคนไว้ในภาชนะเดียวกันจะทำให้เชื้อโรคถ่ายโอนถึงกันได้ควรนำแปรงสีฟันใส่กล่องปิดฝาบนตัวแปรงให้มิดชิด แล้วเก็บแยกออกจากแปรงสีฟันของคนอื่นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีคนในบ้านป่วยเป็นไข้หวัดหรือไข้หวัดใหญ่
4. เช็ดฆ่าเชื้อโรคบนมือจับทุกอย่างในบ้าน:เรามักทำความสะอาดลูกบิดประตู แต่ลืมดูแลอุปกรณ์มือจับอื่นๆในบ้านเช่นมือจับบานเปิดตู้ในครัว มือจับตู้เย็น ลิ้นชักและตู้เสื้อผ้ามือจับเหล่านี้เป็นที่สะสมเชื้อโรคได้มาก ทั้งทุกคนในบ้านมักสัมผัสเป็นประจำด้วยควรเช็ดทำความสะอาดมันด้วยผ้านุ่มๆชุบน้ำยาฆ่าเชื้อโรคหรือแอลกอฮอล์ทุกๆ 1-2 วันและทำทุกวันหรือเมื่อมีคนในบ้านป่วยด้วยไข้หวัด

Protection Influenza 2

5. วางรองเท้าไว้นอกบ้าน:อย่าลืมว่ารองเท้าของเราคือสิ่งที่ใช้เดินตระเวณไปทุกหนแห่งในทุกๆวัน และถ้าหากเราใส่มันย่ำเข้ามาในพื้นบ้าน บนพรมและที่ต่างๆนั่นก็คือการทำให้เชื้อโรคจากนอกบ้านกระจายไปทั่วในบ้าน ซึ่งเราและทุกคนก็จะเจ็บป่วยจากเชื้อโรคนั้น
6. อย่าบริโภคอาหารบนโต๊ะทำงาน:บนโต๊ะทำงานมีจำนวนเชื้อโรคที่มากและสกปรกกว่าบนที่นั่งชักโครกในห้องน้ำถึง 100 เท่า นี่เป็นการศึกษาจากสถิติของหลายๆสำนักออกมายืนยันเพราะเหตุนี้ การบริโภคมื้อเที่ยงบนโต๊ะทำงานจึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ เพราะมือของคุณจะต้องสัมผัสกับพื้นผิวโต๊ะที่เต็มไปด้วยเชื้อโรค ดังนั้น ถ้าจะบริโภคอาหารให้ไปที่ห้องพักดื่มกาแฟหรือห้องครัวของออฟฟิศ แล้วก็อย่าลืมฆ่าเชื้อโรคที่มือก่อนด้วยการใช้ผ้านุ่มชุบน้ำยาหรือแอลกอฮอล์เจล เช็ดมือให้สะอาดก่อนจะหยิบแซนวิชขึ้นมาบริโภค
7. อย่าเอาโทรศัพท์เข้าห้องน้ำ:อะไรก็ตามที่หยิบติดมือเข้าไปในห้องน้ำ มันสามารถจะเปื้อนเชื้อโรคได้ทั้งนั้นจากสถิติพบว่า 16% ของโทรศัพท์มือถือได้รับเชื้อโรคจากสถานที่แห่งนี้ ดังนั้นเพื่อฆ่าเชื้อโรค ให้ทำความสะอาดมือถือด้วยผ้าชุบแอลกอฮอล์และซื้อแผ่นเช็ดทำความสะอาดใส่ในกระเป๋าหรือในรถ เพื่อเช็ดเป็นประจำ

Protection Influenza 4

8. ตุนโยเกิร์ตใส่ตู้เย็นไว้บริโภค:จากการวิจัยเชื่อว่าจุลินทรีย์โปรไบโอติกในโยเกิร์ตอาจมีศักยภาพในการช่วยต้านเชื้อไวรัสจากโรคหวัดได้ในระดับหนึ่งมีการศึกษาที่ตีพิมพ์ในวารสาร the Canadian Medical Association Journal แนะนำว่าโปรไบโอติกสามารถช่วยยับยั้งการติดเชื้อของระบบทางเดินหายใจช่วงบน ผลไม้เช่นบลูเบอร์รี่และเบอร์รี่สีเข้ม ก็ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพระบบภูมิคุ้มกันโรคได้ดี
9. เปลี่ยนผ้าปูที่นอนทุกสองสัปดาห์:ผ้าปูที่นอนเป็นเหล่งสะสมของเชื้อโรคอย่าใช้ผ้าปูที่นอนครั้งละนานๆเกิน2 สัปดาห์และจะดีกว่าถ้าเปลี่ยนมันได้ทุกๆสัปดาห์ให้ซักผ้าปูที่นอน ปลอกหมอน และผ้าเช็ดตัวในน้ำร้อน ตากแดดหรืออบให้แห้งสนิทเพื่อฆ่าเชื้อโรค

Protection Influenza 1

10. ฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่:เพื่อป้องกันไข้หวัดใหญ่ ควรฉีดวัคซีนป้องกันตั้งแต่เนิ่นๆ และถึงจะฉีดวัคซีนนี้แล้ว ก็ควรศึกษาวิธีป้องกันตัวเองจากเชื้อโรคนี้ด้วย เพราะการฉีดวัคซีนไม่ได้แปลว่าจะป้องกันได้ร้อยเปอร์เซ็นต์
11. ใส่ใจดูแลสัตว์เลี้ยง:เมื่อช่วงต้นปีนี้มีเรื่องของไวรัสจากสุนัข ที่สามารถแพร่เชื้อมาสู่มนุษย์ได้ในสหรัฐอเมริกา และในขณะที่ไวรัสไข้หวัดใหญ่ในสายพันธุ์ที่เป็นกับสุนัข ก็จะมีความแตกต่างกับไวรัสโรคนี้ที่เป็นกับมนุษย์แต่มันก็จะทำให้สุนัขของเราเป็นส่วนหนึ่งของความเสี่ยงได้เช่นกันจึงควรระวังและใส่ใจมันให้มากขึ้น

 

ทุกครั้งที่มีคนในบ้านเจ็บป่วย นอกจากจะเป็นความกังวลใจแล้ว ก็ยังเป็นสัญญาณให้เราต้องเพิ่มความใส่ใจของสุขอนามัยในบ้านให้มากขึ้นอีกด้วย มาทำพื้นที่แห่งความสุขของครอบครัวแห่งนี้ ให้เป็นที่ปลอดภัยของสุขภาพด้วยกัน แค่เราใส่ใจในรายละเอียดเพิ่มขึ้นอีกนิด ก็จะได้สิ่งดีๆกลับคืนมามากมายค่ะ