City Break Rome Part XII

เบรกเที่ยวในโรม…ดื่มอะไรในโรม ตอนที่ 2
โดย Paul Sansopone

ในอิตาลีมีสำนวนหรือสุภาษิตเกี่ยวกับไวน์อยู่หลายประโยคด้วยกัน ยกตัวอย่างเช่น “A meal without wine is like a day without sunshine.” (– Italian proverb) แต่เคล็ดลับในการดื่มไวน์ให้ได้อรรถรสนั้น มันไม่ใช่แค่หาไวน์ดีๆ มาแล้วก็ดื่มคนเดียว แต่มันคือประสบการณ์ของการดื่มครั้งนั้นต่างหากที่ประกอบไปด้วยเพื่อนร่วมโต๊ะ, สถานที่นั้น ตลอดจนวัฒนธรรมพื้นเพของที่นั่น…(The secret to enjoying best Italian wines – indeed any good wines, is not just to drink them, but to experience the people, places, and cultures that create them.)

เมื่อคราวก่อนเราพูดถึงกาแฟที่เป็นเครื่องดื่มยอดนิยมของโรมไปแล้ว โดยแนะนำให้รู้จักพื้นฐานของกาแฟอิตาเลี่ยนคร่าวๆ ก่อนจะไปลองที่ร้านระดับตำนานที่ใครๆ ที่มาโรมก็ต้องไปลอง คราวนี้มาถึงเครื่องดื่มที่มีความนิยมไม่แพ้กัน และไวน์บาร์ที่โรมหรือที่เรียกกันที่นั่นว่า Enoteca ก็มีอยู่ทุกย่านทุกมุมเมืองเช่นกัน แต่ก่อนจะพาไปร้านที่แนะนำ เราก็ควรรู้พื้นฐานของไวน์อิตาเลี่ยนกันก่อน เมื่อถึงเวลาไปลองจะได้เพิ่มอรรถรสมากขึ้น
ดื่มไวน์อิตาเลียน Vino Italiano

City Break ROME Wine 4

Photo credit: http://www.bywine.nl

คนอิตาเลี่ยนดื่มไวน์กับอาหารมาตั้งแต่วัยรุ่น แต่ไม่ทำตัวเป็นผู้รู้มากเรื่องไวน์เหมือนพวก Wine Snobby (หมายถึงพวกที่ดื่มแล้วชอบเชิดหน้า) ไวน์ที่นี่ราคาไม่แพงมาก การเลือกดื่ม Table Wineไม่ใช่เรื่องน่าอายหรือเสียหาย และถ้าไม่มีความรู้เกี่ยวกับไวน์ก็ไม่เป็นไรเลยรู้แค่กฎเกณฑ์พื้นฐานเช่นไวน์แดงเข้ากับเนื้อแดง ไวน์ขาวเข้ากับเนื้อขาวหรืออาหารทะเลก็ดื่มไวน์ได้แล้ว ไม่จำเป็นต้องเป็น Connoisseur(ผู้ชำนาญเรื่องการชิมการดื่ม) ก็ใช้วิธีขอคำแนะนำจากเพื่อนผู้รู้ที่ไปด้วยหรือถาม Waiterเยอะๆ ไม่เสียหายถ้าเป็นผม ผมมักจะเลือกไวน์ท้องถิ่นของเขตนั้น เช่น แบบคลาสสิกเลยก็ Chianti ถ้าอยู่ในTuscany, ไวน์ Valpolicella ถ้าอยู่ใน Veneto, Nero d’Avola ใน Sicily และ Pinot Grigio หรือไวน์ขาวตัวอื่นใน Friuli-Venezia Giulia ยิ่งถ้าเราจะทานร่วมกับอาหารท้องถิ่นแต่ถ้ารู้ว่าไวน์เขตนั้นไม่ดีก็ต้องดูตัวอื่นที่อยู่ในลีส

City Break ROME Wine 2

การอ่านฉลากไวน์อิตาเลี่ยน

City Break ROME Wine 21

City Break ROME Wine 17

City Break ROME Wine 14

City Break ROME Wine 13

Italian Wine Label ทั่วๆ ไปดูไม่ยากมันคล้ายของไวน์ฝรั่งเศส ตัวหนังสือใหญ่แถวบนสุดคือผู้ผลิต(growerหรืออาจรับจากชาวไร่องุ่นในพื้นที่นั้นมาทำ) ตามตัวอย่างจะเป็น Pegrandi จากนั้นลงมาก็จะเป็นชื่อองุ่นหรือเขตปลูกองุ่น ในตัวอย่างคือ Valpolicella แล้วต่ำกว่านั้นก็จะเป็นการระบุชั้นหรือ classificationเช่น DOCG, DOC, IGT, or VdT จะมีปีผลิต vintage year อยู่ด้านบน อาจมีผู้จัดจำหน่ายหรือค่ายอยู่ด้านล่าง เช่น Vaona

การแบ่งเกรดของไวน์อิตาลี
เริ่มในปี 1963 (พ.ศ.2506) โดยมีกฎหมายฉบับที่ 930/1963 ชื่อ “ลอว์ ออฟ เมดิโอคริตี้” (Law of Mediocrity) เป็นกฎหมายควบคุมคุณภาพการผลิตไวน์กำหนดพื้นที่ทางภูมิศาสตร์เรียกว่า เดโนมินาซิโอเน่ ดิ ออริจิเน่คอนโตรลลาต้า (Denominazione di Origine Controllata) ระยะแรกกฎหมายฉบับนี้ยังไม่เป็นที่ยอมรับ เพราะมีช่องโหว่เยอะกระทั่งทศวรรษที่ 1990 อุตสาหกรรมการผลิตไวน์ในยุโรปขยายตัวจึงมีการแก้ไขกฎหมายฉบับนี้ให้สมบูรณ์มากขึ้น นายโจวานนี กอเรีย (Giovanni Goria) รมว.กระทรวงเกษตร จึงเสนอกฎหมายชื่อ “New Disciplinary Code for Denomination of Wines of Origine” ต่อคณะกรรมการไวน์ของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา (Wines Chamber of Deputies and the Senate)
กฎหมายดังกล่าวผ่านการรับรองและมีผลบังคับใช้ในวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 1992 และใช้มาจนถึงปัจจุบัน เป็นกฎหมายฉบับที่ 164/1992 เรียกสั้นๆ ว่า “กฎหมายของกอเรีย” (Goria’s law) แบ่งเกรดไวน์เป็น 2 ระดับคือ ดีโอ ไวน์ (DO wines) และ วิโน่ ดา ตาโวล่า (Vino da Tavola) พร้อมกับเพิ่มเกรดไอจีที (IGT)

City Break ROME Wine 8

ดีโอซีจี (DOCG = Denominazione di Origine Controllata e Garantita) เป็นไวน์เกรดดีโอซี (DOC) ที่คุณภาพสูงขึ้นไปอีกขั้นหนึ่งโดยหน่วยงานของรัฐเป็นผู้กำหนดและจัดทำฉลากพันรอบคอขวด 3 สี สีชมพูอ่อนใช้สำหรับไวน์ขาวมีฟอง สีเขียวอ่อนสำหรับไวน์ขาว และสีม่วงแดงสำหรับไวน์แดง ถ้าเทียบกับไวน์ฝรั่งเศสก็น่าจะเทียบได้กับระดับ Crus ต่างๆ ขึ้นไป ล่าสุด มี 36 เขตจาก 12 แคว้นที่ได้ DOCG โดยไวน์ DOCG ที่โดดเด่นที่เรารู้จักกันดีก็มักจะมาจากเขตเหล่านี้ เช่น เขตทัสคานี ได้แก่ ไวน์ Brunello di Montalcino และ Chianti Classicoที่ใช้องุ่น Sangiovese (ซานโจเวเซ่), เขตเปียดมอนเต้ ได้แก่ ไวน์ Barolo และไวน์ Barbaresco ที่ใช้องุ่น Nebbiolo (เนบบิโอโล) และไวน์ Amarone จากเขตเวเนโต้ ที่ใช้องุ่นตัวหลักคือ Valpolicella (วัลโปลิเซลล่า)

City Break ROME Wine 12

ดีโอซี (DOC – Denominazione di Origine Controllata ) เป็นพื้นที่ที่กำหนดไว้โดยเฉพาะและใช้ชื่อตามชื่อทางภูมิศาสตร์ของพื้นที่นั้นๆ ผลิตไวน์อย่างเคร่งครัดตั้งแต่การปลูกองุ่น การใช้พันธุ์องุ่น จนถึงกระบวนการผลิตจนออกสู่ท้องตลาดเป็นไวน์คุณภาพมาตรฐานเทียบเท่ากับไวน์ AOC (Appellation d’Origin Controlee) ของฝรั่งเศส (นอกจากนั้น DOC ยังใช้รับรองคุณภาพอาหารของอิตาลีด้วย) ปัจจุบันมี 317 เขตที่ได้ DOC

ไอจีที (IGT – Indicazione Geografica Tipica ) กำหนดโดยสภาพทางภูมิศาสตร์เป็นพื้นที่ผลิตไวน์ที่กว้างขวางทำไวน์อย่างมีแบบแผนแต่ไม่เคร่งครัดเท่าดีโอซี เป็นเกรดใหม่ที่เทียบกับ Vins de Pays ของฝรั่งเศส เพิ่งประกาศใช้เมื่อปี 1994 ปัจจุบันมีกว่า 150 เขต

ระดับ 2 วิโน่ ดา ทาโวล่า (Vino da Tavola) มี 1 เกรด

วีดีที (VdT) เป็นไวน์คุณภาพต่ำสุด เทียบได้กับ Table Wine หรือ Vins de Table ของฝรั่งเศส การผลิตไม่มีการบังคับอาจจะใช้องุ่นที่เหลือหรือคุณภาพต่ำมาผสมผสานกันก็ได้นอกจากนั้นเดิมยังหมายถึงไวน์ขบถของแคว้นทัสคานีที่ไม่ยอมใช้พันธุ์องุ่นตามที่กฎหมายกำหนดหรือใช้สัดส่วนขององุ่นผิดจากที่กำหนด จึงถูกปรับเป็น Vino da Tavola ปัจจุบันหลายตัวขยับเป็นIGT

จากข้อมูลของ Conseil Général de la Dordogne ในปี 2005 ระบุว่าไวน์เกรด DOC/DOCG ประมาณ 82% อยู่ทางตอนเหนือของอิตาลี รอบๆ Piemonte (เพียดมอนต์) Tuscany (ทัสคานี)และVeneto (เวเนโต)
ในขณะที่ไวน์เกรด Vino da Tavola และ IGT มีผลผลิตรวมกันประมาณ 77% ของผลผลิตทั้งหมด

จะเห็นนะครับว่าไวน์ที่เรียกว่า Everyday wine ที่เป็นไวน์เกรด Vino da Tavola และ IGT ผลิตสูงมากถึง 77% และเป็นไวน์ที่ส่วนใหญ่จะบริโภคอยู่แค่ภายในในประเทศอิตาลีเท่านั้น ในขณะไวน์เกรด DOC และ DOCG ที่เป็นไวน์คุณภาพสูงและเป็นสินค้าส่งออกที่สำคัญมีการผลิตเพียง 23% เท่านั้น แต่ช้าก่อน ไวน์ที่ดีที่สุดของอิตาลีไม่ได้ประดับยศสูงสุดนะครับ มันไม่ได้DOCG หรือ DOCไวน์กลุ่มที่เรียกว่า “Super Tuscans,” ได้ยศแค่ IGT ทำไมเป็นอย่างนั้น ก็เพราะกลุ่มไวน์เหล่านี้ใช้องุ่นจากนอกเขต ส่วนใหญ่ใช้องุ่นพันธุ์ merlot และหรือcabernet sauvignon จากเขต Bordeaux ของฝรั่งเศส และกรรมวิธีที่แตกต่างนอกกฎควบคุมของ DOCG, DOC จนได้รับฉายาว่า ‘ไวน์กบฎ’หรือไวน์ลูกผสม(อิตาเลี่ยน-ฝรั่งเศส) แต่กลุ่มผู้ผลิต Super Tuscanก็ให้เหตุผลว่าจำเป็นต้องทำเพื่อเพิ่มขีดความสามารถของการแข่งขันของไวน์อิตาลีในระดับโลกที่ได้ชื่อว่าแข่งได้แค่ปริมาณการผลิตต่อปี แต่คุณภาพสู้ฝรั่งเศสหรือไวน์โลกใหม่ไม่ได้ ซึ่งปัจจุบันนี้ไวน์ซูเปอร์ ทัสคัน ได้พิสูจน์แล้วว่ารับความสำเร็จกลายมาเป็นไวน์ที่แพงที่สุดของอิตาลีและเป็นที่กล่าวขานมากที่สุดโดยเฉพาะไวน์ที่ได้รับฉายาว่าเป็น 5 ทหารเสือ ได้แก่ไวน์ Sassicaia (ซาสซิกายา), Tignanello (ติยาเนลโล) ,Solaia (โซลายา), Ornellaia (ออร์เนลลายา) และ Masseto (มาสเซโต้)

ภาพด้านล่างคือ ตัวแนวหน้าของ ซูเปอร์ ทัสคัน ซึ่งทั้งหมดผลิตในเขต Chianti Classico (กิอานตี้ คลาสสิโค) ซึ่งอยู่ทางใต้ของเมือง Florence (ฟลอเรนซ์)

City Break ROME Wine 18

พอรู้จักเกรดแล้วควรมีความรู้เรื่ององุ่นไว้เล็กน้อย เพราะการคุยไวน์นั้นคุยย่านหรือเขตผลิตยังไม่พอ ต้องลงไปถึงองุ่นด้วยครับแล้วจึงค่อยไปถึงสัมผัสที่ได้จากการชิม สายพันธุ์องุ่นของอิตาลี

ปี 2005 อิตาลีมีพื้นที่ปลูกองุ่นรวม 760,000 เฮกแตร์ (ประมาณ 2,500,000ไร่) องุ่นที่ปลูกในอิตาลีอย่างเป็นทางการมีกว่า 350 พันธุ์ เมื่อรวมกับองุ่นที่ไม่เป็นทางการจะมีอยู่กว่า 457 พันธุ์ แต่องุ่นพันธุ์หลักๆ มีดังนี้

City Break ROME Wine 11

City Break ROME Wine 20

องุ่นแดงสำหรับทำไวน์ของอิตาลีที่สำคัญ ๆ มีประมาณ 10 พันธุ์ ดังนี้
Sangiovese (ซานโจเวเซ่) ราชาองุ่นแดงประจำแคว้นทัสคานี

Nebbiolo (เนบบิโอโล) องุ่นแดงประจำแคว้นเพียดมอนต์

Montepulciano (มอนเตปุลเชียโน) เป็นชื่อขององุ่นและชนิดของไวน์ ที่ทำในอบุซโซ่ (Abruzzo) จึงเรียกว่าMontepulciano d’Abruzzo (ไวน์คุณภาพดีจะมาจาก Pescara และChieti) โดย Montepulciano เป็นเมืองหนึ่งจังหวัดซิเอน่า (Siena) อยู่ทางใต้ของทัสคานีนิยมใช้ซานโจเวเซ่มาผสมด้วยประมาณ 10% เพื่อทำไวน์แดงฟรุตตี้ แทนนินส์ นุ่มเนียน สามารถดื่มขณะเป็นไวน์ใหม่ได้ แต่ถ้าบ่มโอ๊ค 2 ปีจะเป็นไวน์ Riservaนอกจากนั้นยังใช้ผสมกับองุ่น Ciliegolo เพื่อทำไวน์ Torgiano ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาองุ่นพันธุ์นี้ถูกนำไปปลูกในออสเตรเลียมากขึ้น

Barbera (บาร์เบร่า) องุ่นที่ปลูกมากเป็นอันดับ2ในอิตาลี ปลูกมากในแคว้นเพียดมอนต์และตอนใต้ของLombardy (ลอมบาร์ดี)

Corvina (คอร์วิน่า) องุ่นประจำแคว้นVeneto(เวเนโต้) ซึ่งอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของอิตาลี บางครั้งจึงเรียกว่า Corvina Veronese หรือ Cruina เป็นองุ่นหลักที่ใช้ทำไวน์ชื่อดังของเวเนโต้ 2 อย่างคือ Valpolicella (วัลโปลิเซลล่า) และAmarone (อมาโรเน)ที่ต้องผสมกับองุ่นอีก 2 พันธุ์คือ Rondinella และMolinara นอกจากนั้นยังใช้ทำไวน์หวาน Recioto della Valpolicella และไวน์แดง Bardolino ที่ผสมกับRondinella และ Molinara อาจจะมี Negrara ด้วย

แต่ถ้าเป็นไวน์ Garda Corvina (Denominazione di OrigineControllataDOC)ต้องใช้คอร์วิน่าอย่างน้อย 85%

City Break ROME Wine 22

Nero d’Avola (เนโร ดาโวล่า)หนึ่งในองุ่นแดงสำคัญของอิตาลี และเป็นองุ่นประจำเกาะซิซิลี Avola เป็นเมืองเล็กๆทางตะวันออกเฉียงใต้บนเกาะซิซิลี Nero แปลว่าดำรวมความคือองุ่นดำแห่งเมืองอโวล่า (The Black Grape of Avola) ลักษณะคล้ายชิราซจากโลกใหม่ มีพลัม เปปเปอร์ และแทนนินออกหวานๆ ชื่ออื่นๆ ขององุ่นพันธุ์นี้มักจะมีคำว่า Calabrese ประกอบเช่น Calabrese D’Avola, Calabrese De Calabria, Calabrese Dolce, Calabrese Pittatello, Calabrese Pizzuto, Calabriai Fekete, Raisin De Calabre Noir และ Struguri De Calabria เป็นต้น

Dolcetto (ดอลเชตโต้)องุ่นแดงที่ปลูกมากในเพียดมอนต์ แปลว่า “little sweet one” แต่ใช้ทำไวน์ Dry (ดราย) Fruity(ฟรุตตี้) แบล็คเคอร์เร้นท์ พรุน ชะเอม แทนนินส์และมีกรดค่อนข้างสูงเหมาะจะดื่ม 1-2 ปีหลังจากวางตลาด

Negroamaro or Negro Amaro (เนโกรอมาโร)องุ่นแดงที่ปลูกมากทางใต้ของอิตาลีโดยเฉพาะแถวPuglia (ปุเกลีย) และSalento (ซาเลนโต้) คุณภาพดีที่สุด ทำไวน์แดงสีเข้มรสชาติเรียบๆ ผสานกับกลิ่นหอม กลิ่นดิน และขม เพราะคำว่า Amaro ในภาษาอิตาลีแปลว่าขมโดยเฉพาะสุดยอดไวน์แดงของ Puglia (ปุเกลีย)ใช้ผสมกับ Malvasia Nera

Aglianico (อายานิโก้)องุ่นแดงพันธุ์โบราณจากกรีซ ถูกนำเข้ามาปลูกมาใน Campania (คัมปาเนีย) และ Basilicata(บาซิลิกาต้า) ใช้ผลิตไวน์ชื่อดัง Taurasi (เทาราซี) ในหมู่บ้านเทาราซีในคัมปาเนีย ซึ่งเป็นDenominazionedi Origine Controllata e Garantita (DOCG)ไวน์ที่ผลิตจากองุ่น Aglianico จะ full bodies แทนนินส์หนักแน่น และกรดสูง จึงจำเป็นต้องบ่มในถังไม้โอ๊ค Campania (คัมปาเนีย) นิยมผสมกับCabernet Sauvignon (กาแบร์เนต์ โซวีญยอง) และแมร์โลต์ ทำไวน์เกรด IGT

ซากรานติโน (Sagrantino) องุ่นแดงแห่งแคว้นอุมเบรีย (Umbria) ตอนกลางของอิตาลี ปลูกได้ดีในหมู่บ้านMontefalco มีผู้ผลิต25 รายในพื้นที่250 เอเคอร์เป็นองุ่นที่แทนนินสูงมากพันธุ์หนึ่งของโลก สีแดงเข้มข้นผลไม้ดำพลัม อบเชย และดินใต้พิภพไวน์ Sagrantino di Montefalco DOCG ต้องทำจากองุ่นซากรานติโน 100% และบ่มถังโอ๊ค 29เดือนแต่ถ้าเป็น Montefalco Rosso อาจจะใช้ซากรานติโน 10-15% ที่เหลือเป็นซานโจเวเซ่ และพันธุ์อื่นๆ

นอกจากนั้นยังมี Malvasia Nera, Ciliegolo, Gaglioppo, Lagrein, Lambrusco, Monica, Nerello Mascalese, Pignolo, Primitivo, Refosco, Schiava, Schiopettino, Teroldego และ Uva di Troia
ส่วนองุ่นเขียวสำหรับทำไวน์ขาวที่สำคัญๆ ประกอบด้วย

City Break ROME Wine 16

เทรบไบอาโน่ (Trebbiano) องุ่นเขียวที่ปลูกมากที่สุดในอิตาลี ในพื้นที่กว่า 80 DOC แต่ที่คุณภาพดีอยู่ที่ Abruzzo

มอสกาโต้ (Moscato) ปลูกมากในเพียดมอนต์ ส่วนใหญ่ใช้ทำสปาร์คกลิ้งไวน์เบาๆ (Frizzante) และสปาร์คกลิ้งกึ่งหวานที่โด่งดังคือ Moscato d’Asti
(คนละอย่างกับ Moscato giallo และ Moscato Rosa องุ่น 2 สายพันธุ์จากเยอรมันที่ปลูกใน Trentino Alto-Adige)

Nuragus (นูรากัส)องุ่นโบราณตั้งแต่สมัยฟินิเซียน พบมากทางใต้ของ Sardegna ใช้ทำไวน์ขาวเบาๆ ดื่มง่ายๆ เป็นApertif

ปิโนต์ กรีโจ้ (Pinot Grigio) องุ่นเขียวที่ทั่วโลกรู้จักกันดี ปลูกมากใน Lombardy รอบๆ Oltrepo Pavese,Alto Adige และในFriuli-Venezia Giulia

Tocai Friulano (โตไก ฟริยูลาโน)องุ่นที่กำาเนิดในเวเนโต้ แล้วมาเติบโตใน Friuli จนกลายเป็นองุ่นประจำแคว้นFriuli-Venezia Giulia ทางตะวันออกเฉียงเหนือของอิตาลีทำไวน์แล้วมีกลิ่นกู้สเบอร์รี่ ดอกไม้ กรดปานกลาง แต่แอลกอฮอล์สูงในแคลิฟอร์เนียเรียกว่า Sauvignon Vert ในถิ่นอื่นอาจจะเรียกว่า Sauvignonasse หรือ Friulano นอกจากนั้นยังปลูกมากในชิลีและแรกๆ เข้าใจผิดว่าเป็นSauvignon Blanc (โซวีญยอง บลองซ์)

Ribolla Gialla (ริบอลล่า จิอัลล่า)องุ่นที่มีต้นกำเนิดจากกรีซเข้ามาอิตาลีโดยผ่านทางสโลเวเนีย ก่อนจะมาประจำที่แคว้น Friuli-Venezia Giulia ปลูกได้ดีใน Goriziaปัจจุบันในสโลเวเนียเรียกว่า Rebula ส่วนในกรีซเรียกว่า Robola ทำไวน์สีเหลืองเข้ม บอดี้เบา มีกลิ่นดอกไม้นำเลมอน สับปะรด กรดสูง ถ้าบ่มในถังไม้โอ๊คจะมีกลิ่นถั่ว

Arneis (อาร์ไนส์)องุ่นเขียวเก่าแก่อีกพันธุ์หนึ่งของเพียดมอนต์ ปลูกมากบริเวณ Roero Hill ใกล้ๆเมืองอัลบ้า (Alba) ทำไวน์ขาวดราย Z (Dry) ฟูลบอดี้ (full bodies)กลิ่นพีช และ แอปริคอต

มาลเวเซีย เบียงคา (Malvasia Bianca) หรือมาลเวเซีย (Malvasia) ต้นกำเนิดจากกรีซ ปัจจุบันปลูกทั่วโลก ในอิตาลีปลูกมากบริเวณ Sicily,Lipari และSardinia

Garganega (การ์กาเนก้า)ปลูกมากในเวเนโต้ โดยเฉพาะเมือง Verona (เวโรน่า) ซึ่งเป็น 1 ใน 32 DOCG และVicenza (วิเซนซ่า) ใช้ทำไวน์ขาวชื่อดังคือSoave (โซอาเว)ซึ่งอาจจะผสม Trebbiano (เทรบไบอาโน่) ประมาณ 30 %

มารู้จักภาษาอิตาเลียนที่อาจอยู่บนฉลากไวน์นิดหน่อยมันไม่ได้ยากมาก
“Vino rosso” วีโนรอสโซ่ red wine
“Vino bianco” วีโนบิอานโกwhite wine
“Vino rosato”: วิโนโรซาโต rosé wine
“Vino amabile”วีโนอมาบิเล่ a medium-sweet wine
“Vino dolce”: วิโนโดเช่ sweet wine
“Vino secco”: วีโน เซกกโก dry wine
“Vino abboccato”:วีโนอับโบกัตโตsemi-dry wine
“Vino corposo”: วีโนกอรโปโซa full-bodied wine
“Vino aromatico”วีโนอโรมาติโกaromatic wine
“Vino frizzante” วีโนฟริซซานเตsemi-sparkling wine
คำว่า“azienda” บนฉลากหมายถึงestatesคือค่ายหรือผืนดินที่ปลูกองุ่น“anno” ปีที่ผลิต “produttore” คือผู้ผลิต producer. “Gradazione alcolica“คือปริมาณแอลกอฮอล์ imbottigliato all’origine,” หมายถึงไวน์บรรจุขวดโดยผู้ผลิต“Vendemmia” คือการเก็บเกี่ยว “vitigno” หมายถึงองุ่น “vine.”

ที่สุดของ Enoteca(ไวน์บาร์)ในโรม
สำหรับช่วงเวลาที่เหมาะสมในการเที่ยวไวน์บาร์นั้นก็คงเป็นตั้งแต่บ่ายแก่ๆ หรือช่วงเย็นๆ เป็นต้นไป เพราะไวน์บาร์มักจะมีอาหารแบบอาหารว่างรองท้อง อาหารก่อนมื้ออาหารจริง antipasto ที่ประกอบด้วย cheese และ cold cut แต่บางแห่งก็มีอาหารเป็นเรื่องเป็นราวมากกว่านั้นจนแทบไม่ต้องไปทานมื้อเย็นต่อก็ได้ วัฒนธรรมก็คล้ายกับไปเข้าบาร์Tapasในสเปน แต่จะเน้นไวน์มากกว่าอาหาร
บางคนต้องการไปไวน์บาร์เพื่อศึกษาทำความรู้จักไวน์หลายๆ ตัวที่เขาผู้นั้นไม่เคยลอง เพราะจะซื้อทุกแบบทุกขวดก็คงไม่ใช่ เพราะมันเหมือนลองผิดลองถูกแล้วอาจชอบจริงแค่แบบเดียว ไวน์บาร์หลายแห่งในโรมจึงมักมีไวน์ดังจากทุกเขตของอิตาลีเปิดขายเป็นแก้วในแบบ mescita (by-the-glass) ที่สำคัญเราจะได้พูดคุยหรือเรียนรู้เรื่องไวน์จากผู้ชำนาญเฉพาะทางหรือsommelier เพราะไวน์บาร์ดีๆ นั้นเขาไม่ได้จ้างแค่บาร์เทนเดอร์มารินไวน์เสิร์ฟไวน์เฉยๆ แต่มักจะจ้างคนที่มีความรู้แบบเจนจัดมาช่วยเพิ่มพูนความรู้และประสบการณ์การดื่มไวน์ของเราเป็นอย่างดี
ขอแนะนำที่สุดของ Enoteca (ไวน์บาร์)ในโรม
1. Ai Tre Scalini ร้านนี้เปิดมาตั้งแต่ปี 1895 หน้าตาด้านนอกมีส่วนคล้ายร้านกาแฟ caffe della paceที่แนะนำไปตอนที่แล้วตรงสีของร้านและการปล่อยไม้เลื้อยมาเกะกะหน้าร้าน ที่นี่ตอบโจทย์ คนที่ต้องการลองไวน์ท้องถิ่นและไวน์ดีจากเขตต่างๆ ของอิตาลี หรือเรื่องงบประมาณทุกระดับ อาหารก็ดีให้ลองสั่งไส้กรอกเซียน่าดูครับ
Ai Tre Scalini via Panisperna 251, Rome, Italy, +390648907495

City Break ROME Wine 6

City Break ROME Wine 7

 

2. Cul de Sac ร้านนี้เปิดมาตั้งแต่ปี 1900 มีไวน์ให้เลือกกว่า1500ตัว เริ่มเป็นที่นิยมมากขึ้นเพราะมีคนเขียนเชียร์เยอะว่าเป็นที่ๆต้องมาลองในโรมหากชอบไวน์อิตาเลียน ก็เลยเริ่มมีนักท่องเที่ยวมากกว่าคนท้องถิ่น
Cul de Sac Piazza Pasquino 73, Rome, Italy, +390668801094

City Break ROME Wine 10

 

3. Trimani ร้านนี้เปิดมาตั้งแต่ปี 1821 เอาเป็นว่า100กว่าปีที่ผ่านมา เวลาที่ชาวกรุงโรมอยากดื่มไวน์หรือซื้อไวน์ดีๆกลับมาดื่มที่บ้านชื่อร้านนี้จะลอยมาในหัว เหมือนเวลาเรานึกไม่ออกว่าวันนี้จะทานมื้อกลางวันเป็นอะไรดีแล้วภาพ ‘กระเพราไก่ไข่ดาว’ก็ลอยมา ที่นี่ราคามาตรฐานครับ
Trimani via Goito 20, Rome, Italy, +39064469661

City Break ROME Wine 9

City Break ROME Wine 19

 

4. Antica Enoteca ร้านนี้เปิดมาตั้งปี 1720 ถือว่าเป็นร้านไวน์ที่เก่าแก่ที่สุดของโรม แต่คุณภาพไม่ได้เก่าตามเพราะเพียบพร้อมด้วยอาหารและกับแกล้ม การได้มาดื่มไวน์ที่เคาร์เตอร์บาร์สุดคลาสิกของที่นี่ก็เหมือนได้ดื่มกับบุคคลดังในอดีตทั้งหลายที่เคยได้ยืนที่เคาร์เตอร์นี้มาเช่นกัน
Antica Enoteca via della Croce 76B, Rome, Italy, +39066790896

 

5. Enoteca Regional Palatium ถ้าเราต้องการไวน์บาร์ที่เน้นไวน์ท้องถิ่นของโรมซึ่งก็คือไวน์ของเขตLazioนั้นที่นี่อาจเรียกได้ว่าเป็นสถาบันไวน์และอาหารโรมันได้เลยล่ะที่นี่ที่นักการเมืองและผู้ที่ทำงานofficeไส่สูทเท่ห์ของเซนญ่ามาใช้บริการ ร้านนี้เสิร์ฟ อาหารโรมันที่ดีเยี่ยมและไวน์ท้องถิ่น เหมาะมากสำหรับอาหารกลางวันเร่งด่วนหรือในชั่วโมงค็อกเทลก่อนมื้ออาหารเย็น สถานที่ก็อยู่ไม่ไกลจากจัตุรัสบันไดสเปนเหมาะมากสำหรับคุณผู้ชายที่ใช้เป็กิจกรรมฆ่าเวลารอภรรยาเดินช็อปปิ้งในย่านนั้น
Enoteca Regional Palatium via Frattina 94, Rome, Italy, +390669202132

City Break ROME Wine 15

 

แล้วเจอกันตอนหน้าเป็นเรื่อง Night out in Rome ครับ

City Break Rome Part VII

เบรกเที่ยวในโรม…เที่ยวโรมแบบผู้ที่มาโรม หลายครั้งแล้ว
โดย Paul Sansopone

…“มันเป็นตัวอย่างของการสร้างเมืองบนจุดยุทธศาสตร์แบบเมืองในยุคกลางทั่วไปที่ต้องทำให้โดนข้าศึกมารุกรานได้ยากที่สุด หากมาในช่วงหน้าหนาวหน่อยมันจะเป็นเหมือนเมืองที่อยู่บนสวรรค์ เมืองที่ลอยอยู่บนก้อนเมฆ เพราะมีทะเลหมอกจากรอบด้านนั่นเอง…”

นักท่องเที่ยวแบบที่เคยมาโรมหลายครั้งแล้วก็คงไม่อยากไปเที่ยวชมอะไรแบบพื้นฐาน ไม่ว่าจะเป็นวิหารพานเทนอล, คอลอสเซี่ยมหรือวิหารเซ็นต์ปีเตอร์ เพราะรู้จักดีแล้ว คราวนี้ก็เลยจะแนะนำอะไรที่ใหม่สำหรับผู้ที่มาโรมบ่อยแล้ว ก็อยากให้ลองออกไปนอกโรมแบบ Day Trip ไปเช้าเย็นกลับบ้างก็ไม่เลวครับ ก็เพราะโรมอยู่ในเขตลาซิโอซึ่งมีอะไรน่าสนใจกว่าโรมอย่างเดียว ผมจึงขอแนะนำเขตลาซิโอในตอนนี้

เขตLazio (ลาซิโอ) เป็นเขตปกครอง 1 ใน 20 เขตของอิตาลี ตั้งอยู่ตอนกลางของประเทศ มีเมืองหลวงชื่อ Rome (กรุงโรม)ซึ่งเป็นเมืองหลวงของประเทศอิตาลีด้วย นอกจากนั้นกรุงโรมยังเป็นที่ตั้งของนครรัฐวาติกันซึ่งเป็นดินแดนที่ประทับของพระสันตะปาปาแห่งศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกอีกด้วย

Latium (ลาเทียมในภาษาอังกฤษ) เป็นเขตที่มีประชากรและเศรษฐกิจเป็นอันดับที่ 2 ของอิตาลี (ซึ่งใกล้เคียงกับเขตCampania) มีพื้นที่ 17,236 ตารางกิโลเมตร ทางทิศเหนือมีพื้นที่ติดต่อกันเขต Tuscany, Umbria และMarche ทิศตะวันออกติดกับ Abruzzo และMolise ทิศใต้เป็น Campania และด้านทิศตะวันตกเป็นTyrrhenian Sea พื้นที่ส่วนใหญ่ของ Lazio (ลาซิโอ) จะเป็นที่ราบและเนินเขาเตี้ยๆ จะมีภูเขาขนาดเล็กอยู่บ้างทางด้านทิศตะวันออกและทิศใต้ของพื้นที่

ลาซิโอ เป็นภูมิภาคที่มี Rome และกรุงวาติกันศูนย์กลางของคริสต์จักรมาตั้งแต่ 2,000 กว่าปีก่อน อีกทั้งยังเป็นที่ที่ท่านจะได้ศึกษาประวัติศาสตร์ของผู้ที่เคยอยู่ในคาบสมุทรรูปรองเท้าบู๊ทแห่งนี้ นอกจากพวกโรมันก็คือพวกอีทรุสคันอีกด้วย

ลาซิโอทอดตัวอยู่ตามแนวชายฝั่ง Tirrenian อยู่ในบริเวณศูนย์กลางของอิตาลีซึ่งเป็นใจกลางของจักรวรรดิโรมันที่เป็นต้นกำเนิดของอารยธรรมตะวันตกอย่างแท้จริง ที่นี่จะหล่อหลอมให้ท่านกลายเป็นผู้สนใจศึกษาประวัติศาสตร์และศิลปวัฒนธรรมของอิตาลีไปโดยที่ท่านไม่รู้ตัว ทั้งๆ ที่เราอาจไม่ใช่คนที่ชอบอะไรแบบนั้นมาก่อน มันไม่มีข้อแก้ตัวใดๆ ทั้งสิ้น ถ้าท่านออกจากกรุงโรมมาโดยที่ไม่มีอะไรที่เกี่ยวกับโรมันถูกเก็บไว้ในสมองส่วนใดส่วนหนึ่งของท่านเลย

ถ้าเคยมาเที่ยวที่นี่บ่อยแล้วแบบผมหรือผู้ที่เคยมาโรมมากกว่า 2-3 ครั้งแล้ว ก็ต้องนี่เลยหากไม่ชอบอะไรเก่าๆ ซากปรักหักพังท่านก็สามารถออกไปเที่ยวดูน้ำพุที่ Tivoli ที่อยู่ห่างจากด้านทิศตะวันออกของ Rome ประมาณ 34 กิโลเมตร บ้านพักตากอากาศ Villa d’Este ของ Hadrian และสวนอิตาเลี่ยนที่เดินเล่นแล้วเพลิดเพลินใจและต้องทึ่งกับระบบส่งน้ำของโรมัน

City Break ROME Italty Lazio 2

ถ้าไปทางด้านทิศตะวันตกของ Rome สำหรับท่านที่ชอบเมืองโรมันโบราณที่น่าศึกษาไม่น้อยไปกว่าเมืองปอมเปย์ทางใต้ที่โดนภูเขาไฟถล่มใส่ ต้องไม่พลาดการไปเยือนเมือง Ostia Antica เมืองท่าโบราณสมัยโรมันห่างจากโรมไป 30 กิโลทางตะวันออกเฉียงเหนือมันคือเมืองปากแม่น้ำไตเบอร์ Ostia มาจากคำว่า os แปลว่าปากในภาษาลาติน ซึ่งก็คือปากแม่น้ำนั่นเอง และแม่น้ำ Tiber นี้ก็ไหลเข้าสู่ใจกลางโรม

City Break ROME Italty Lazio 1

มันเป็นเมืองเก่าโรมันที่มีความสมบูรณ์มากๆ คือมีการเก็บและดูแลรักษาอย่างดี วิธีไปก็ไม่ยากให้ไปขึ้นรถไฟที่สถานีรถไฟใต้ดินที่ชื่อ Piramide Metro ซึ่งจะติดกับสถานนี Ostiense แล้วก็ให้ขึ้นจากที่นี่ไปลง Ostia Antica
หรือถ้าชอบทะเลก็สามารถมุ่งไปเมืองตากอากาศที่ชื่อ Formia ทางตอนใต้ของลาซิโอ

City Break ROME Italty Lazio

แถวๆ นี้คุณจะได้ไปเดินเล่นบนถนนสายแรกๆ ที่สร้างโดยชาวโรมันซึ่งถือเป็นเส้นทางยุทธศาสตร์ที่เรียกว่า Appian Way (via Appia) ที่เชื่อมระหว่าง Rome กับ Capua แล้วต่อไปถึง Brindisi เมืองทางใต้ในเขตปูกลีญา ซึ่งจะทำให้เราทึ่งกับวิชั่นของชาวโรมันหรือผู้นำที่เรียกว่าซีซ่าร์ของพวกเขา การทำถนนการทำท่อส่งน้ำนั้นเป็นพื้นฐานของความเจริญที่วิศวกรโรมันมอบเป็นมรดกไว้ให้โลกใบนี้ นอกจากระบอบประชาธิปไตยซึ่งถ้าท่านสนับสนุนระบอบนี้ ก็ถ้าไปก็อย่าลืมแวะชมสุสานของ Cicero นักปราชญ์ ผู้นำทางความคิดและเป็นนักการเมืองชื่อดังที่โดนลอบสังหารในวันที่ 7 ธันวาคม ปีที่ 43 B.C.โดยศัตรูทางการเมืองที่ต้องการเป็นเผด็จการ ที่ผมชอบมากๆ ก็คือประเทศที่เจริญนั้นมักมีการบันทึกทุกอย่างไว้ชัดเจนว่าอะไรเกิดขึ้นเมื่อใด เพราะอะไร แม้แต่วันที่และเวลาเมื่อ 43ปีก่อนพระเยซูจะจากโลกนี้ไปมันมีการลงรายละเอียดขนาดนี้ได้น่าทึ่งครับ (สุสานอยู่ในย่านเดียวกันนี้) อีกบันทึกที่น่าสนใจก็คือผู้ปลดแอกพวกทาสชื่อดังที่ชื่อ Spartacus ก็ถูกจับตรึงกางเขน(crucified) บนถนนสายนี้ในปี 71 B.C.
ancient-rome- 1

ancient-rome 2

ancient-rome-skip-the-line-visit-to-rome-s-city-centre-and-tour-of-the-catacombs-and-the-appian-way

The Appian Way

นี่คือซูเปอร์ไฮเวย์แห่งแรกของยุโรปและถนนสายที่เก่าที่สุดในยุโรปที่ยังคงอยู่ในสภาพเดิมมากๆ ใช้เป็นทั้งเส้นทางการค้าและเส้นทางการรบ สร้างด้วยหินแผ่นเรียบที่ผ่านฤดูหนาวร้อนมากว่า 2,300 ครั้ง มันถูกการใช้งานโดยพ่อค้า, ประชาชน, ทหารโรมัน, จักรพรรดิจูเลียสซีซ่าร์ หรือแม้แต่นักบุญปิเอโดร (Saint Peter) เพราะมันสร้างมาตั้งแต่ปี 312B.C (ก่อนคริสตกาล)
การที่เราได้ไปเดินตามรอยเท้าของผู้สร้างอารยธรรมตะวันตก มันน่าจะเป็นประสบการณ์ที่ไม่เลวเลย ถนนเริ่มต้นจากโรมที่ Porta San Sebastiano ห่างจากโคลอสเซี่ยมไปแค่ 2 ไมล์ การไปเที่ยวมักจะไปในส่วน 10 ไมล์แรกเท่านั้นที่มีสภาพที่มีการดูแลและกำหนดให้เป็นเหมือนสวนสาธารณะชื่อ Parco dell’Appia Antica

ไปเที่ยว Civita di Bagnoregio เมืองสวรรค์

Civita di Bagnoregio 2

หรือท่านอาจต้องการไปเที่ยวที่เพื่อนๆ ของท่านไม่เคยไปต่อให้มาอิตาลีหลายครั้งแล้วก็ตาม นี่เลยครับขึ้นไปทางเหนือของกรุงโรมประมาณ 120 กิโลที่เมือง Bagnoregio และห่างไปอีกกิโลนึงท่านจะพบกับเมืองโบราณที่สร้างโดยชาว Etruscans กว่า 2,500 ปีมาแล้ว เมืองนี้ชื่อว่า Civita เมืองบ้านเกิดของนักบุญ Saint Bonaventure ตัวเมืองเหมือนส่วนหนึ่งของภูเขาและหน้าผา ที่บ่อยครั้งมันพังไปเพราะหินผุกร่อนหน้าผาถล่มไป มันเป็นตัวอย่างของการสร้างเมืองบนจุดยุทธศาสตร์แบบเมืองในยุคกลางทั่วไปที่ต้องทำให้โดนข้าศึกมารุกรานได้ยากที่สุด หากมาในช่วงหน้าหนาวหน่อยมันจะเป็นเหมือนเมืองที่อยู่บนสวรรค์ เมืองที่ลอยอยู่บนก้อนเมฆ เพราะมีทะเลหมอกจากรอบด้านนั่นเอง

Civita di Bagnoregio

Civita di Bagnoregio 1

หรือไปเที่ยวทางตอนใต้ของ Rome เป็นดินแดนแห่งภูเขาไฟที่เรียกว่า Albabi Colli Hills มีทะเลสาบที่เกิดจากปล่องภูเขาไฟ2 แห่งคือ Nemi กับ Albano ที่นี่อยู่ห่างจากโรมไม่ไกลมีทิวทัศน์ที่สวยงามและใช้เป็นที่พักผ่อนตากอากาศมาตั้งแต่สมัยโรมันพอมาถึงในยุคเรอเนสซองค์ที่เศรษฐกิจดีขึ้นมาบรรดาเศรษฐีมักมาสร้างVillaบ้านพักตากอากาศแบบที่หรูหราสไตล์ Barroc เพื่อการหลีกหนีจากความร้อนและความวุ่นวายของ Rome ซึ่งรวมถึงวังฤดูร้อนของพระสันตะปาปาด้วยที่ Castel Gandolfo

Castel Gandolfo Italy

พระราชวังฤดูร้อนของสันตะปาปาที่ Castel Gandolfo

และในบริเวณใกล้เคียงคือเมืองบนเนินเขา Frascati สถานที่ซึ่งท่านสามารถนั่งลงบนโต๊ะอาหารไม้แบบเก่าๆ นั่งสั่งบรูสเก็ตต้ากับไวน์ขาว Frascati ซึ่งถือเป็น Signature Wine ของท้องถิ่นมาลองแล้วมองวิวสวยๆ และชื่นชมกับคนรักของท่านที่ไปด้วยกัน (แม้ว่าเค้าอาจอารมณ์ไม่ดีเพราะอยากอยู่แถวบันไดสเปนเพื่อช็อปปิ้งมากกว่า)

Frascati Italy

ไวน์ของลาซิโอ
เขต Lazio (ลาซิโอกับ แคว้น Campania กัมปาเนีย) ทั้ง 2 แคว้นมีไวน์ที่มีชื่อเสียงแต่ว่ามีเพียงไม่กี่ตัวเพราะมีพื้นที่ปลูกองุ่นจำกัด เนื่องจากเป็นเขตอุตสาหกรรมของประเทศอิตาลีจึงเป็นเขตที่บริโภคไวน์มากกว่าที่จะเป็นผู้ผลิตไวน์ครับ

ประวัติการเพาะปลูกองุ่นเพื่อใช้ผลิตไวน์บริเวณรอบกรุงโรมมีมานานหลายพันปีแล้ว ไวน์ที่ผลิตย่านนี้ส่วนใหญ่จะเป็นไวน์ขาวไวน์ที่เป็นที่นิยมคือ Falernian และ Caecuban

ไวน์ Falernian เป็นไวน์ที่ผลิตจากองุ่นสายพันธุ์ Aglianico จากบริเวณเชิงเขา Falernus ทางทิศใต้ของแคว้นใกล้กับพรมแดนแคว้น Campania และเป็นที่รู้จักกันว่าเป็นแหล่งเพาะปลูกองุ่นเพื่อใช้ทำไวน์มาตั้งแต่ยุคโรมันโบราณ

ไวน์ Caecuban เป็นไวน์ที่รู้จักกันมาตั้งแต่ 70 ปีก่อนคริสตกาล ผลิตจากหมู่บ้านเล็กๆ ชื่อ Ager Caecubusในเมือง Amyclae

เมืองเล็กๆบริเวณชายฝั่งของแคว้นLatium (ลาเทียม) ปัจจุบันรู้จักกันในชื่อ Pontine Marshes

เป็นไวน์ขาวที่โด่งดังมาตั้งแต่ยุคกลางของยุโรปคือ Est! Est!! Est!!! (เอสต์ เอสต์ เอสต์)

เขตLatium (ลาเทียม) มีพื้นที่ปลูกองุ่นรวม 47.884 เฮกแตร์ (118,321 เอเคอร์) 84% เป็นไวน์ขาว และ16% เป็นไวน์แดง ในจำนวนนี้ 6.5% เป็นไวน์ชั้น DOC ประกอบด้วย ไวน์ชั้น DOC 25 ตัว เช่น Castelli Romani, Albani, Montecompatri-Colonna, Est! Est! Est! di Montefiascone และVelletri

องุ่นขาวสายพันธุ์หลักคือ Malvasia (มัลวาเซีย) และ Trebbiano (ทรีบเบียนโน) ส่วนองุ่นแดงมีสายพันธุ์ Cabenet Sauvignon (คาแบร์เนต์โซวีญยอง) Cabernet Franc (คาแบร์เนต์ ฟรอง) Merlot (แมร์โลต์) Cesanese, Syrah (ซีราห์) Petit Verdot (พิติ เวอร์ด็อท) Sangiovese (ซานโจเวเซ่) และ Montepulciano (มอนเตพูลเซียโน)

City Break ROME Italty Lazio Wine

อีกเมืองที่น่าสนใจในละแวกนี้ก็คือเมือง Nemi มันเป็น Hill Town แบบในทัคานี(ถ้าท่านไม่มีเวลาไปที่นั่น) ชื่อเดียวกับทะเลสาบ เนมี่ Nemi ซึ่งเป็นทะเลสาบที่เกิดจากปล่องภูเขาไฟที่นี่มีคุณค่าด้านโบราณวัตถุ เพราะมีการขุดค้นพบของโบราณยุคโรมันหลายๆ อย่าง เช่น เรือสำราญหรูของ Emperor Caligula จักรพรรดิที่ได้ชื่อว่าเป็นเพลย์บอยชอบจัดงานเลี้ยงโดยมีสาวงามเสิร์ฟในชุดวันเกิด เรือถูกขุดพบในปี 1929 มันทำด้วยไม้กระจกและโมเสคที่ประดับประดาอย่างดี แต่ในสมัยที่เก็บไว้ที่พิพิธภัณฑ์Museo delle Navi Romani มันถูกไฟไหม้ทำลายไปในปี 1944 ปัจจุบันเลยมีแค่เป็นตัวที่จำลองมาและยังมีที่บูชาเทพแห่งการล่าคือ Diana, the goddess of hunt เมืองนี้ในสมัยก่อนมาได้โดยถนนโรมันที่ชื่อ Via Sacraที่ตัดตรงออกมาจากใจกลางโรมที่บริเวณ Roman forum

Wild Berry Festival Italy

Berry Tarte Wild Berry Festival Italy

และหากมาที่นี่ในช่วงหน้าร้อนห้ามพลาดเทศกาลสตรอว์เบอรี่ป่า Wild Berry ซึ่งมีชื่อเสียงท่านสามารถสั่ง Berry Tarte ทานได้จากร้านขนมเกือบทุกแห่งในเมืองนี้

Montefiascone, Lazio มอนเตเฟียสคอนเน่

City Break ROME Italty Montefiascone-agodibolsena 1

วิว Lake Bolsena จากเมือง Montefiascone

เมืองทะเลสาบอีกเมืองที่คุ้มค่าการไปเยือนก็คือมอนเตเฟียสโคเน่ Montefiascone เมือง hill town สูงจากระดับน้ำทะเลถึง 2,000 ฟุต หันหน้าเข้าสู่ทะเลสาบโบลเซนา Bolsena โอบล้อมด้วยภูเขา และยังมีไวน์ขาวดังของเมืองชื่อ Est!Est!Est!

Est-Est-Est-Montefiascone-Wine 1

Est-Est-Est-Montefiascone-Wine-Map

เมืองนี้เกิดในสมัยโรมันอยู่บนถนนสายที่ชื่อ Via Cassia มันโบราณเป็นถนนจากโรมไปฝรั่งเศสซึ่งผ่าน Montefiascone เป็นเมืองที่ Pope Leo X ทรงโปรดสำหรับการมาพักผ่อน

Cathedral of St. Margherita Italy

มาที่นี่ต้องมาชมโบสถ์ Cathedral of St. Margheritaที่มีโดมขนาดใหญ่เป็นอันดับ 3 ของอิตาลี เป็นรองแค่ St. Peter’s และDuomo ของเมือง Florence เท่านั้น