เบรกเที่ยวในโรม…เที่ยวโรมแบบผู้ที่ยังใหม่กับโรม (ตอนที่ 3)
โดย Paul Sansopone
…”เจ้าตัว Michelangelo เองก็ไม่ธรรมดามีท่าทีลังเลจนสันตะปาปาต้องจ้างเป็นเงินก้อนโต 3000 Ducats ซึ่งมีมูลค่าปัจจุบันเท่ากับ 2 ล้านยูโรแล้วสิ่งที่ปรากฏก็คืองานของอัจฉริยะ…”
เรายังคงเที่ยวอยู่ในวาติกันซึ่งตอนนี้จะเป็นตอนสุดท้าย สำหรับหลายคนการเข้ามาในวัดคริสต์ สิ่งที่ต้องการจะชมก็คืองานศิลปะ ก็คงเหมือนบ้านเราซึ่งก็คือ ‘จิตรกรรมฝาผนัง’ และแน่นอนว่าวัดหลวงอย่าง St.Peter คงต้องเป็นชิ้นงานที่ไม่ธรรมดา เพราะต้องมีการเกณฑ์สุดยอดของศิลปินแห่งยุคมาวาดกันเต็มที่ แต่ไม่ใช่ครับเพราะในวิหารนักบุญปีเตอร์นั้นไม่มีภาพวาดสีน้ำมันใดๆ แต่มันคือภาพที่ทำจากโมเสส Mosaic หรือการนำเอาเศษกระเบื้องสีต่างๆ มาเรียงกันเป็นภาพซึ่งยากเย็นกว่าการวาดปกติ มันเป็นศิลปะที่ชาวโรมันรับมาจากอารยธรรมของชาวEtruscan ที่อยู่ในคาบสมุทรอิตาลีมาแต่เดิม โดยมีถิ่นฐานอยู่ตอนกลางก็คือแถบทัสคานี ศิลปะของโรมัน เช่น การแกะสลักหินอ่อนหรือการหล่อโลหะสำริด รวมทั้งภาพ Frescos คือภาพที่วาดบนฝาผนังหรือเพดานขณะที่ปูนยังไม่แห้ง ก็มีรากฐานมาจากชาว Etruscan เช่นกัน
แต่ไม่ต้องผิดหวังครับถ้าอยากชมภาพวาดซึ่งไม่ใช่โมเสส ในวาติกันนั้นมีวิหารน้อยที่ชื่อ Sistine Chapel หรือ Cappella Sistina รองรับความอยากของนักเสพย์งานศิลปะอย่างเต็มอิ่ม เพราะที่นี่นั้นปรมาจารย์แห่งยุคเรเนอซองค์ที่ชื่อ มิเกลานจิโร ได้ฝากผลงานชิ้นโบว์แดงไว้ 2 ชิ้น
1. ภาพ Creation of Adam บนเพดานของ Sistine Chapel
สันตะปาปาจูลีอุสที่ 2 Julius II เชิญมิเกลานจิโล Michelangelo โดยคำแนะนำของBramanteหัวหน้าวิศวกรโครงการก่อสร้างวิหาร St.Peter ให้มาวาดภาพเฟรสโก (Fresco) ที่วิหารน้อย จริงๆ แล้วว่ากันว่า Bramante อยากเห็น Michelangelo ล้มเหลวเนื่องจากใครๆ ก็ว่าเขาเป็นสุดยอดแห่งแผ่นดินมีแต่คนชมทุกคนอิจฉาและที่ผ่านมาเขาก็มีแต่ผลงานแกะสลักหินอ่อน(Sculptor) เป็นส่วนใหญ่ถ้าเชิญให้มาวาดคงไปไม่เป็นแน่ๆ คนจะได้เลิกเห่อซะที เจ้าตัวMichelangelo เองก็ไม่ธรรมดามีท่าทีลังเลจนสันตะปาปาต้องจ้างเป็นเงินก้อนโต 3000 Ducats ซึ่งมีมูลค่าปัจจุบันเท่ากับ 2 ล้านยูโรแล้วสิ่งที่ปรากฏก็คืองานของอัจฉริยะ แม้ว่าสันตะปาปาอยากจะได้ภาพของสาวกทั้ง 12 ของพระเยซู แต่ Michelangelo ก็เสนอเป็นภาพ “ ภาพพระเจ้าสร้างอาดัม (Creation of Adam) ” หรือกำเนิดมนุษย์ ภาพที่กล่าวถึงเหตุการณ์ทรงสร้างมนุษย์ ในพระธรรมปฐมกาล ของพันธสัญญาเดิม Old Testament (คัมภีร์เดิม)คัมภีร์เล่มแรก
ในคัมภีร์ไบเบิ้ล คือ ปฐมกาล (Genesis) กล่าวถึงเรื่องมนุษย์คู่แรก อาดัมและเอวา(อีฟ) ซึ่งได้ทำบาปขึ้นครั้งแรกในโลก –> กำเนิดบาป (Original Sin) โดยในครั้งนั้นทั้งสองได้ถูกมารซาตานเข้ามาหลอกลวงให้ทำในสิ่งที่พระเจ้าได้ห้ามไว้ ซึ่งก็คือการทานแอปเปิลในสวนอีเดน และเมื่อได้ทำผิด(ไม่เชื่อฟังพระเจ้าไปเชื่อซาตาน) จึงเกิดเป็นความบาป (บาปครั้งแรก)
ภาพนี้ Michelangelo ต้องสร้างนั่งร้านแบบโค้งรับเพดานสูงเกือบ 20 เมตรแล้วยืนวาด ไม่ได้นอนวาดแบบศิลปินอื่น กว่าจะวาดครอบคลุมเพดานทั้งหมด 800 ตารางเมตร ใช้เวลา 4 ปี (1508-1512)
2.ภาพ Giudizio Universale (Last Judgment)หรือวันตัดสินโลก
หลังจาก “ภาพพระเจ้าสร้างอาดัม” ถึง 30 ปี หรือในปี 1540 ภาพที่ผนัง (อีก 200 ตรม.)ต่อเนื่องจากเพดาน Michelangeloก็ได้เสร็จสิ้นงานเฟรสโกอีกชิ้นที่ชื่อ Last Judgment หรือวันตัดสินโลกซึ่งมาจาก ไบเบิ้ล (Bible) ภาคพันธสัญญาใหม่ (The new Testament ) หรือเรียกว่า คัมภีร์ใหม่ (เป็นคัมภีร์ที่มีขึ้นมาหลังสมัยพระเยซู รวบรวมโดยนักบุญเปาโล (St.Paul) และSt.Peter) มี 27 เล่ม มีเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับต่อไปนี้
– พระวรสาส์น(พระกิตติคุณ) (Gospels) หรือ ประวัติและคำสอนพระเยซู
– ประวัติศาสตร์คริสตจักรสมัยเริ่มแรก หรือ ประวัติการเผยแพร่ศาสนาคริสต์ยุคเริ่มต้น
– รวบรวมจดหมายเหตุของ นักบุญเปาโล(เซนต์ปอล(พอล) (Saint Paul) และสาวกคนอื่น ๆ – วิวรณ์ (Revelation) คำกล่าวถึงคำทานายอนาคตกาลในลักษณะการพยากรณ์วันสิ้นโลกและคัมภีร์เล่มสุดท้ายของคัมภีร์ใหม่ คือ พระธรรมวิวรณ์ กล่าวถึง เรื่อง วันสิ้นโลก(วันพิพากษาโลก)
แต่เมื่อภาพนี้เสร็จออกมากลับโดนวิจารณ์พอสมควร เพราะเป็นภาพnudeหรือคนไม่นุ่งผ้าซะส่วนใหญ่ ไม่เหมาะกับการเป็นภาพในโบสถ์วิหาร ถึงขนาดลูกศิษย์ของ Michelangelo เสนอตัวจะวาดมะเดื่อ(fig)ปิดอวัยวะเพศชายให้เอง แต่ในที่สุดทางวัดก็บอกว่า ภาพนี้เป็นการเตือนให้คนสะสมความดีไม่เช่นนั้นก็จะเป็นแบบที่ภาพแสดงไว้คือคนดีก็ได้ไปสวรรค์คนเลวมีบาปก็ต้องลงไปชดใช้กรรม ไม่ใช่ภาพอนาจาร
Temptation of Christของ Botticelli
จริงๆ แล้วงานของ Michelangelo ที่มาเริ่มในปี 1508 นั้นมาทีหลังผลงานของสุดยอดศิลปินยุคRenaissanceชื่อดังคนอื่นที่ฝากผลงานไว้บนผนังที่เหลือของวิหารน้อยแห่งนี้ในช่วงปี 1481-82
เช่น Luca Signorelli, Ghirlandaio, Pinturicchio, แต่ที่โดดเด่นก็มี Botticelli กับผลงานดังที่ชื่อTemptation of Christ และภาพของ Perugino กับภาพ Delivery of Keys เป็นภาพที่พระเจ้ามอบกุญแจสวรรค์ให้นักบุญปีเตอร์ ซึ่งจะเหมือนกับรูปปั้นที่ Colonard ระเบียงทางเข้าวาติกันที่นักบุญปีเตอร์จะถือกุญแจดังกล่าว), รวมทั้งรูปหล่อโลหะสำริดในวิหารที่ท่านก็ถือกุญแจสวรรค์ไว้ที่มือซ้ายเช่นกัน เพราะนักบุญนั้นมีมากมาย เนื่องจากการได้เป็นนักบุญนั้นคร่าวๆ ก็คือพระที่เสียชีวิตจากความพยายามในการเผยแพร่คริสตศาสนา และในสมัยนั้นเป็นสิ่งต้องห้ามจึงมักจบชีวิตลงด้วยการโดนตรึงกางเขนหรือประหารด้วยวิธีอื่น ดังนั้นสำหรับการทำรูปปั้นหรือรูปภาพโดยศิลปิน นักบุญแต่ละองค์จึงต้องมีเอกลักษณะที่แตกต่างที่บ่งบอกว่าเป็นนักบุญองค์ไหน โดยเฉพาะนักบุญที่สำคัญ เพราะสำหรับรูปร่างหน้าตานั้นศิลปินได้มาจากจินตนาการเท่านั้น เช่นนักบุญ St.Denis ของฝรั่งเศสที่เป็น Bishop of Paris ก็โดนประหารด้วยการตัดคอ และมีเรื่องปาฏิหาริย์เล่ากันต่อมาว่าท่านก็ก้มเก็บศีรษะที่หลุดจากบ่าแล้วเดินถือไปและเทศน์สอนศาสนาไปด้วยอีกกว่า 10 กิโล ดังนั้นถ้าเราเห็นรูปปั้นนักบุญที่ไหนที่คอขาดและมีมืออุ้มส่วนศีรษะอยู่ก็รู้ทันทีว่าคือนักบุญคนไหน
ทั้งนี้ก็เพราะว่าวัดน้อย Sistine Chapel นั้นสร้างเสร็จมาตั้งแต่ปี 1483 แล้วในสมัยสันตะปาปาที่ชื่อ Pope Sixtus IV ซึ่งชื่อของท่านก็คือที่มาของชื่อวิหารนั่นเอง วัดนี้สร้างเลียนแบบวิหารโบราณที่ชื่อ Temple of Solomon วัดแห่งแรกของศาสนาที่ Holy Land (Jerusalem)ถิ่นกำเนิดพระเยซู โดยทำเป็นรูปแบบคล้ายโรงนาเหมือนกัน และมีขนาดเท่ากันทุกประการคือ ยาว 40.2m x กว้าง 13.4m x สูง 20.7m 8
แต่ความสำคัญของวิหารน้อยนี้ไม่ได้เอาไว้แค่โชว์งานศิลปแต่มีความสำคัญทางคริสตศาสนานิกายแคธอริคก็คือใช้เป็นสถานที่ประชุมแต่งตั้งผู้นำหรือสันตะปาปาคนใหม่ ตำแหน่งอันทรงอิทธิพลของอารยธรรมโลกตะวันตก ซึ่งมีวัฒนธรรมเก่าแก่ยาวนานน่าสนใจดังบทความข้างล่างนี้
ขั้นตอนการคัดเลือกและแต่งตั้งสันตะปาปา (credit:manager.co.th)
ธรรมเนียมชันสูตรพระศพที่สืบทอดกันมา
เมื่อองค์สมเด็จพระสันตะปาปาสิ้นพระชนม์ ผู้ดำรงตำแหน่งคาแมร์เล็งโก หรือแชมเบอร์เลน ซึ่งทำหน้าที่เสมือนกรมวังราชสำนักขององค์โป๊ปจะต้องตรวจสอบและให้ความรับรองการสิ้นพระชนม์ของพระองค์ โดยคาเมอร์เล็งโกคนปัจจุบัน คือ พระคาร์ดินัลเอดูอาร์โด มาร์ติเนซ โซมาล ซึ่งจะต้องทำการรับรองการสิ้นพระชนม์ด้วยการชันสูตรพระศพของพระสันตะปาปา ต่อหน้านายจารีตพิธีกรรมของพระสันตะปาปา พร้อมกับคณะสงฆ์ผู้ใหญ่ที่ประจำวังพระสันตะปาปา
ตามธรรมเนียมดั้งเดิม พระคาร์ดินัลคาแมร์เล็งโก จะใช้ค้อนเล็กเคาะที่พระนลาฏ (หน้าผาก) พระสันตะปาปา และเรียกชื่อกำเนิดของพระองค์ 3 ครั้ง ถ้าหากไม่มีเสียงตอบก็แสดงว่าพระองค์สิ้นพระชนม์ ต่อจากนั้นจึงให้แพทย์ชันสูตรแบบสากลต่อไป
จากนั้นนายจารีตพิธีกรรมของพระสันตะปาปา คือ อาร์กบิชอปปิเอโร มารินี พระราชาคณะและเลขาธิการแห่งอะพอสตอลิก คาเมรา (Apostolic Camera) ซึ่งเป็นข้าราชการชั้นสูงของสำนักวังบริหารวาติกันจะออกมรณบัตร และคาแมร์เล็งโกก็จะบอกแก่พระราชาคณะผู้ปกครองกรุงโรม คือ พระคาร์ดินัลคามิลโล รูอินี ถึงการสิ้นพระชนม์ขององค์โป๊ป
พระคาร์ดินัลคาร์แมร์เล็งโกเองประกาศต่อชาวโรม และประชาชนทั่วไปว่า “พระสันตะปาปา ทรงสิ้นพระชนม์แล้ว” ถือว่าเป็นการประกาศอย่างเป็นทางการ และพิธีการอื่นๆ ถึงจะตามมา
นอกจากนี้ พระคาร์ดินัลคาร์แมร์เล็งโกจะเป็นผู้ปิดประตูห้องทรงงาน ห้องบรรทม และกำหนดบริเวณสำหรับบุคลากรที่อยู่ภายใน ส่วนพระศพให้คงอยู่ที่ห้องส่วนพระองค์ต่อไป จนถึงวันฝังพระศพพระสันตะปาปา ซึ่งบริเวณส่วนพระองค์นี้จะปิดตลอด
แจ้งข่าวพระคาร์ดินัลจัดพิธีปลงพระศพ
และในเวลาเดียวกัน พระคาร์ดินัลที่เป็นหัวหน้าคณะพระคาร์ดินัล ซึ่งก็คือพระคาร์ดินัลโยเซฟ ราตซินเกอร์ หลังจากทราบข่าวการสิ้นพระชนม์ของพระสันตะปาปาจาก “คาแมร์เล็งโก” แล้ว ท่านจะต้องรีบแจ้งข่าวแก่พระคาร์ดินัลทั่วโลก และเรียกประชุมพระคาร์ดินัลเพื่อเลือกตั้งพระสันตะปาปา และแจ้งข่าวแก่บรรดาคณะทูตประเทศที่มีความสัมพันธ์กับพระสันตะปาปา และประมุขประเทศต่างๆ
ทั้งนี้ พิธีศพกำหนดให้ทำไม่เกิน 9 วัน หรือถ้ามีเหตุผลจำเป็นอาจจัดภายใน 4-6 วันก็ได้ โดยบรรดาพระคาร์ดินัลทุกองค์ต้องสวมชุดสีดำ ซึ่งปกติจะเป็นสีแดง และพระคาร์ดินัลที่เป็นหัวหน้าของคณะพระคาร์ดินัลมีแถบผ้าคาดสีแดง และหมวกยศสีแดง
จากนั้น กลุ่มพระคาร์ดินัลทั่วไปจะต้องนัดประชุมกันเพื่อเตรียมการณ์พิธีพระศพ และจะได้รับมอบหนังสือธรรมนูญ “ยูนีแวร์ซี ดอมีนีชี เกรยิส” ซึ่งโป๊ปองค์ล่าสุดจัดทำขึ้นมาเพื่อทำความเข้าใจร่วมกันในการเลือกตั้ง และหลังจากองค์โป๊ปสิ้นพระชนม์ได้ประมาณ 15-20 วันก็จะมีการคัดเลือกประมุขแห่งศาสนจักรพระองค์ใหม่จากพระคาร์ดินัล
การเลือกพระประมุของค์ใหม่
หลังจากพิธีพระศพของสมเด็จพระสันตะปาปาเสร็จสิ้นไป คณะพระคาร์ดินัลก็จะประชุมลับในห้องปิดผนึก ณ วัดน้อยของพระสันตะปาปา (โบสถ์ซิสตีน) เพื่อเลือกตั้งผู้ที่เหมาะสมจะดำรงตำแหน่งองค์พระประมุขแห่งคริสตจักรองค์ใหม่
ผู้มีสิทธิเลือกพระสันตะปาปา คือ บรรดา “พระคาร์ดินัล” ที่อายุไม่เกิน 80 ปี ณ วันที่พระสันตะปาปาสิ้นพระชนม์ ทั้งนี้ พระคาร์ดินัล คือผู้มีฐานันดรอันดับที่ 2 รองจากพระสันตะปาปา
ทั้งนี้ จำนวนพระคาร์ดินัลทั่วโลกตามข้อมูลของสำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า มีทั้งสิ้น 117 องค์ โดยในส่วนของประเทศไทยนั้นพระคาร์ดินัล ไมเกิ้ล มีชัย กิจบุญชู เป็นองค์แรกและองค์เดียวในขณะนี้ที่ได้รับแต่งตั้งเป็นพระคาร์ดินัลเมื่อปี 1983 และในเอเชียประเทศที่มีพระคาร์ดินัล ได้แก่ ฟิลิปปินส์ อินเดีย อินโดนีเซีย เกาหลี ญี่ปุ่น ฮ่องกง ไต้หวัน เวียดนาม และไทย
ส่วนผู้ที่มีสิทธิได้รับเลือกนั้น ตามสังฆธรรมนูญการเลือกตั้งของพระศาสนจักร กำหนดว่า ทุกคนที่ได้รับศีลล้างบาปมีสิทธิที่จะได้รับเลือกเป็นพระสันตะปาปา นั่นหมายถึงผู้ที่เป็นพระคาร์ดินัล พระสังฆราช พระสงฆ์ และฆราวาสด้วย แต่ในทางปฏิบัติจะเลือกจากบรรดาพระคาร์ดินัลเท่านั้น ในกรณีที่บุคคลที่ได้รับเลือกเป็นพระสันตะปาปาเป็นเพียงพระสงฆ์ธรรมดาก็ต้องได้รับการอภิเษกเป็นพระสังฆราชก่อน
เลือกตั้งลับ ห้ามติดต่อโลกภายนอก
การประชุมลับของพระคาร์ดินัลเพื่อเลือกโป๊ปพระองค์ใหม่นี้จะเกิดขึ้น ณ วัดน้อยซิสติน ซึ่งเป็นห้องโถงที่มีชื่อเสียงแห่งนครรัฐวาติกัน ซึ่งกำแพงและผนังของห้องโถงแห่งนี้ตกแต่งด้วยจิตรกรรมเฟสโกผลงานของไมเคิล แองเจโล โดยพระคาร์ดินัลจะมาประชุมร่วมกันในช่วงวันที่ 15-20 วันหลังจากการสิ้นพระชนม์ขององค์พระประมุข
การประชุมลับเพื่อเลือกตั้งองค์โป๊ปที่ยาวนานที่สุด คือ ต้องใช้เวลากว่า 3 ปี (ตั้งแต่ปี 1268–1271) แต่โดยปกติแล้วจะใช้เวลาเลือกกันแค่เพียง 1 วันก็จะได้องค์พระประมุขแห่งนครรัฐวาติกันองค์ใหม่ อย่างเช่นองค์สมเด็จพระสันตะปาปาจอห์น ปอล ที่ 2 ก็ใช้เวลาเลือกกันอยู่ไม่ถึง 3 วัน
ทันทีที่การประชุมลับเริ่มขึ้น สมเด็จพระคาร์ดินัลทั้งหมดจะไม่ปรากฎตัวนอกเขตวาติกันจนกว่าสมเด็จพระสันตะปาปาพระองค์ใหม่จะได้รับเลือก โดยพระคาร์ดินัลทั้งหมดจะพักอยู่ ณ บ้านพักนักบุญมาร์ธา ภายในเขตนครรัฐวาติกัน
ในการเลือกตั้งองค์พระสันตะปาปาพระองค์ใหม่นั้น ผู้ได้รับเลือกจะต้องได้รับคะแนนเสียงอย่างน้อยให้เกิน 2 ใน 3 มา 1 คะแนน โดยพระคาร์ดินัลที่เข้าร่วมประชุมจะเขียนชื่อผู้ที่เห็นว่าเหมาะสมแก่ตำแหน่งประมุขแห่งคริสตจักรลงไปในบัตรเลือกตั้ง แล้วใส่เข้าไปในอ่างทองคำ
ควันขาวจากปล่องไฟสัญญาณแห่งโป๊ปพระองค์ใหม่
ถ้ายังไม่มีผู้ถูกเสนอชื่อได้ครบตามจำนวนที่กำหนดไว้ บัตรเลือกตั้งทั้งหมดจะถูกเผาในเตา พร้อมด้วยสารเคมีพิเศษที่ทำให้เกิดควันสีดำผ่านปล่องควันของวัดน้อยซิสติน แต่ถ้ามีผู้ได้คะแนนถึงข้อกำหนดดังกล่าวบัตรเลือกตั้งของพระคาร์ดินัลก็จะถูกเผาเช่นกัน แต่จะใช้สารเคมีที่ก่อให้เกิดควันสีขาวผ่านปล่องสู่สายตาสาธารณชนที่เฝ้ามอง ณ บริเวณจัตุรัสเซนต์ปีเตอร์ ซึ่งเมื่อมีควันสีขาวออกมาเมื่อใด นั่นหมายความว่า การเลือกตั้งพระสันตะปาปาองค์ใหม่สำเร็จแล้ว
เมื่อที่ประชุมลับได้เลือกโป๊ปพระองค์ใหม่ขึ้นมาแล้ว ว่าที่โป๊ปก็จะถูกถามว่าพร้อมจะรับตำแหน่งประมุขแห่งคริสตศาสนาหรือไม่ และต้องการจะใช้พระนามอะไรในการดำรงตำแหน่ง
จากนั้น พระดีคันรีคาร์ดินัลอาวุโสก็จะเดินออกสู่ใจกลางมุขแห่งโบสถ์เซนต์ปีเตอร์ และประกาศต่อสาธารณชนบริเวณจัตุรัสเป็นภาษาละติน ว่า “Annuntio vobis gaudium magnum. Habemus Papam” (ข้าขอประกาศต่อทุกคนถึงความน่ายินดีอันยิ่งใหญ่ว่า พวกเรามีพระสันตะปาปาแล้ว)
จากนั้น สมเด็จพระสันตะปาปาพระองค์ใหม่ก็ปรากฏตัวสู่สาธารณะเป็นครั้งแรก ณ จัตุรัสเซนต์ปีเตอร์ และอีกไม่กี่วันถัดมาจึงมีการประกอบพิธีเฉลิมฉลององค์พระสันตะปาปาพระองค์ใหม่
ก่อนจะออกจากวาติกัน จริงๆ แล้วที่น่าสนใจอีกแห่งก็คือเข้าชม Vatican Museum ที่เก็บงานศิลปะและสมบัติมูลค่ามากมาย อย่าลืมว่าในอดีตนั้นวาติกันมีเงินเยอะและสันตะปาปาในอดีตก็มีรสนิยมในงานศิลปมากๆ จึงควรเข้าชมถ้ามีเวลา ซึ่งถ้าจะเก็บทั้ง3 สถานที่ควรเริ่มจากพิพิธภัณฑ์วาติกันตรงประตูด้านข้าง (ดูแผนที่ข้างล่าง) แล้วจึงมาSistine Chapel แล้วมาต่อวิหาร St.Peter ปิดท้าย
อย่าลืมขึ้นไปชมวิวของกรุงโรมบนยอดโดมของวิหารนี้โดยการขึ้นลิฟท์ตรงทางเข้าใกล้รูปปั้น Pieta แต่ต้องเดินขึ้นบันไดต่ออีก 320 ขั้น จึงถึงยอดโดมเสียเงินประมาณ 7eur ครับ
ครับการเที่ยววาติกันก็จบลงแล้วเราจะไปเที่ยวในโรมต่อกันในตอนหน้า