City Break Rome Part XIV

เบรกเที่ยวในโรม…Night out in Rome ตอนที่ 2
โดย Paul Sansopone

จากตอนที่แล้วเราเริ่มจากตอนหัวค่ำเข้า Aperativo Bar หรือ Cocktail Bar กันก่อน ในตอนนี้ก็เลยเสนอสถานที่นั่งฟังเพลงซึ่งถ้าจะให้เหมาะกับโรมก็คงจะต้องเป็นแจ๊สคลับ อย่างไรก็ตามผมก็มีทางเลือกสำหรับผู้ที่ยังมีไฟที่เท้าอยู่ ก็เลยแนะนำ Party House สุดฮิตในโรมมาให้ด้วย

TramJazz

City Break in Rome Jazz Club Party House 4

ต้องขอเริ่มจาก Tramjazz ก่อนทีจะไปแนะนำแจ๊สคลับต่างๆ ที่น่าสนใจ ก็เพราะที่โรมมีแจ๊สบน‘รถราง’(Tram) ที่ไม่เหมือนที่ไหนแถมเป็นการเซ็ตติ้งแบบ ‘อาหารมื้อค่ำใต้แสงเทียน’ แล้วรถรางก็วิ่งไปเรื่อยๆ เป็นการทำ Night Tour ของโรมที่ได้ฉายาว่าเป็น Romantic City ไปในตัว นักดนตรีแจ๊สก็บรรเลงสดๆ อยู่บนรถรางนั่นแหละครับ น่าลองครับ The TramJazzรถรางจะออกจาก Piazza di Porta Maggiore ตอน 3 ทุ่ม

City Break in Rome Jazz Club Party House 17

 

Alexanderplatz
Via Ostia, 9 (Prati)

City Break in Rome Jazz Club Party House 3

ห่างมา 2-3 ถนน จากสถานีรถไฟใต้ดิน อ๊อตตาเวียโน่ (Ottaviano Metro) คุณก็จะได้พบกับแจ๊สคลับยุคแรกๆ ของโรมที่ชื่อว่า Alexanderplatz ที่มีบรรยากาศแบบ down to earth สไตล์ แต่มันก็ต้องแบบนี้แหละคล้ายๆ กับคลับย่าน Greenwich Village ใน New York ที่ Alexanderplatz คลับก็อยู่ใต้ดิน เปิดมาตั้งแต่ปี 1984 และที่นี่ก็ได้มีโอกาสต้อนรับนักดนตรีดังๆ อย่าง Wynton Marshalls, Brad Meldhau, Red Rodney และ Freddy Cole หากท่านจะมาให้เช็คมาก่อนว่าใครจะมาแสดงหรือเป็นนักดนตรีรับเชิญโปรแกรมคอนเสิร์ตที่จะมีทุก 4 ทุ่มของวันพฤหัสถึงเสาร์

Bebop Jazz Club
Via Giuseppe Giulietti, 14 (Piramide)

City Break in Rome Jazz Club Party House 5

ที่นี่เปิดมาตั้งแต่ปี 2000 และปัจจุบันถือว่าเป็นคลับที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งสำหรับท่านที่ต้องการให้มื้อเย็นของท่านมีเสียงเพลงแจ๊สที่บรรเลงสดโดยนักดนตรีฝีมือดี น่าจะเรียกว่าเป็นแจ๊สดินเนอร์แบบแท้ๆ อาหารเย็นเสิร์ฟ 3 ทุ่มก่อนที่ดนตรีจะเริ่มเล่นตอน 4 ทุ่มครับ

Big Mama
Vicolo di San Francesco a Ripa, 18 (Trastevere)

City Break in Rome Jazz Club Party House 13

ตั้งแต่ปี 1984 Big Mama ถือเป็นคลับที่ได้รับความนิยมสูงสุดในหมู่ผู้ที่ชื่นชอบเพลงบลูส์ (Blues Lovers) แต่ก็มีแจ๊สสลับด้วยไม่ให้คอแจ๊สต้องผิดหวัง คลับตั้งอยู่ในย่าน ทราสเตเวเร่ (Trastevere) ซึ่งเป็นย่าน Night Out ที่น่าสนใจ มีร้านอาหารและบาร์ให้แวะก่อนมาที่ Big Mama เพราะที่นี่กว่าดนตรีจะเล่นก็ 4 ทุ่ม

Casa del Jazz
Viale di Porta Ardeatina, 55 (Piramide)

City Break in Rome Jazz Club Party House 10

ชื่อก็บอกแล้วว่าเป็น ‘บ้านแจ๊ส’ ที่นี่ใช้สถานที่เป็นอิตาเลี่ยนวิลล่า 3 ชั้น และสนามด้านข้างตกแต่งเป็นแบบ Auditorium มี150 ที่นั่ง มี bar และ restaurant มันเหมาะสำหรับผู้ที่เป็นคอแจ๊สแบบซีเรียส เพราะเครื่องเสียงที่นี่เป็นระดับ World Class มันอยู่ทางใต้ของโรมใกล้ ปิรามิด Piramide

City Break in Rome Jazz Club Party House 1

Charity Cafe
Via Panisperna, 68 (Monti)

มืดๆ ทึมๆ แบบแจ๊สบาร์ในนิวยอร์คแต่อยู่ในย่าน มนติ Monti ของโรม มี Jam Session ทุกวันพุธ Blues Night วันพฤหัสวันศุกร์เสาร์ก็ Live Jazz ส่วนวันอาทิย์ที่ส่วนใหญ่ที่อื่นปิด แต่ที่นี่มี Sunday Blues ซึ่งมีอาหาร Buffet เสิร์ฟตั้งแต่ทุ่มนึงเป็นต้นไป

Cotton Club
Via Bellinzona, 2 (Trieste)

City Break in Rome Jazz Club Party House 2

ชื่อฟังแล้วคุ้นหู ที่นี่มักเล่นแบบ Big Band Jazz และการนำเสนออย่างอื่นก็ทำได้ดีทั้งอาหารและดนตรีในราคา35 euro ร้านนี้อยู่ในย่าน ทริสเต้ (Trieste) ที่เป็นละแวกที่น่าเดินเล่นก่อนมาชมแจ๊สและทานอาหารที่ Cotton Club

Elegance Café Jazz Club
Via Vittorio Veneto, 93 (Barberini)

City Break in Rome Jazz Club Party House 11

Elegance Café แค่ชื่อก็บ่งบอกถึงความเก๋ไก๋ ก็แน่นอนล่ะเพราะมันอยู่บนถนน Via Veneto ของ Rome ถ้าต้องการบรรยากาศและคนชงเหล้าฝีมือดีมีระดับ และแจ๊สมิวสิคจากฝีมือของนักดนตรีชั้นนำ ที่นี่ไม่น่าผิดหวัง

Gregory’s Jazz Club
Via Gregoriana, 54 (Piazza di Spagna)

City Break in Rome Jazz Club Party House 12

บาร์นี้อยู่ในตำแหน่งที่ใช้ได้มากๆ ก็อยู่ในย่านบันไดสเปนนี่เอง (Spanish Steps) ให้ถามหา Gregory’s Jazz Club ได้เลยครับ แม้ไม่ได้อินกับดนตรีแจ๊สมากนักแต่บรรยากาศในการนั่งคุยกันและมีเครื่องดื่มที่ใช้ฝีมือชง น่าจะทำให้คลายหายเหนื่อยได้ไม่ยาก

Il Pentagrappolo
Via Celimontana, 21B (Colosseo)

City Break in Rome Jazz Club Party House 8

City Break in Rome Jazz Club Party House 16

บาร์นี้อยู่ห่างจากคอลอสเซี่ยม (Colosseum) ไม่มาก เหมาะที่จะเดินควงแขนกันมาเพื่อชมความงามของคอลอสเซี่ยมยามค่ำที่เปิดไฟสวยงามแล้วก็เดินต่อไปที่ Il Pentagrappolo ที่เป็นบาร์เท่ๆ และจะมีดนตรีแจ๊สเล่นในวันพฤหัสถึงเสาร์ โดยจะเน้นเพลงประเภท Soul, Blues และJazz

28 Divino
Via Mirandola, 21 (Tuscolana)

City Break in Rome Jazz Club Party House 7

แจ๊สสดๆ กับไวน์นั้นเข้ากันได้ดีมากครับโดยเฉพาะที่นี่ แต่ถ้าชอบค็อกเทลที่นี่ก็มีในชั้นสอง ที่เสิร์ฟอาหารว่างและดื่ม(Food and Aperitivo) เรียกว่าเอาใจลูกค้าทุกประเภท

Party House in Rome
แนะนำบาร์แจ๊สมาหลายแห่งแล้วคงต้องเอาใจวัยสะรุ่นที่ต้องการอะไรที่ร้อนแรงหน่อยจึงขอปิดท้ายค่ำคืนในโรมด้วยคลับดังๆ ของโรมซัก 2-3 แห่งครับ

Lanificio 159
Via di Pietralata, 159/1 (Nomentana)
lanificio.com

City Break in Rome Jazz Club Party House 9

ที่นี่อาจจะอยู่ออกนอกเมืองไปหน่อยแต่เพื่อปาร์ตี้หนักๆ ก็ต้องลอง สถานที่เคยเป็นอู่ซ่อมรถเก่า มี DJ มืออาชีพอย่าง L-Ektrica และ GLAMDA ที่ทำให้บรรดา party goers ช่วงอายุ 20-30 ต้องกลับมาที่นี่บ่อยๆ ที่นี่ยังมี Live Music อาทิตย์ละ2 ครั้งอีกด้วย

Goa Club
Via Giuseppe Libetta, 13 (Ostiense)
goaclub.com

City Break in Rome Jazz Club Party House 14

ที่นี่สำหรับแฟนเพลงแนว Alternative และElectronic เพราะมันดีที่สุดของโรม ไม่ว่าบรรยากาศหรือเครื่องเสียง ไม่ค่อยมีใครผิดหวังถ้าอยากมาปาร์ตี้ก็ตรงมาได้เลย.บ้างก็บอกว่าดีที่สุดในอิตาลีเชียว

Room26
Piazza Guglielmo Marconi, 31
room26.it

City Break in Rome Jazz Club Party House 15

Room26 เปิดมา 4-5 ปีนี้เอง แต่มันเจ๋งพอที่จะมีคนตรึมตลอด เข้ามาตอนแรกนึกว่าเข้ามาพิพิธภัณฑ์มีเสาหินอ่อนมีสถาปัตกรรมแบบโรมัน แต่พอได้ยินระบบเสียงที่ออกแบบโดย Steve Dash ที่ได้ชื่อว่า Best in Europe ต้องบอกว่าที่นี่ทั้งสวยทั้งดัง(มากๆ)

 

พบกันคราวหน้าจะเป็นเรื่องราวของการช็อปปิ้งในโรมซึ่งเป็นตอนสุดท้ายของ City Break Rome ครับ

City Break Rome Part XII

เบรกเที่ยวในโรม…ดื่มอะไรในโรม ตอนที่ 2
โดย Paul Sansopone

ในอิตาลีมีสำนวนหรือสุภาษิตเกี่ยวกับไวน์อยู่หลายประโยคด้วยกัน ยกตัวอย่างเช่น “A meal without wine is like a day without sunshine.” (– Italian proverb) แต่เคล็ดลับในการดื่มไวน์ให้ได้อรรถรสนั้น มันไม่ใช่แค่หาไวน์ดีๆ มาแล้วก็ดื่มคนเดียว แต่มันคือประสบการณ์ของการดื่มครั้งนั้นต่างหากที่ประกอบไปด้วยเพื่อนร่วมโต๊ะ, สถานที่นั้น ตลอดจนวัฒนธรรมพื้นเพของที่นั่น…(The secret to enjoying best Italian wines – indeed any good wines, is not just to drink them, but to experience the people, places, and cultures that create them.)

เมื่อคราวก่อนเราพูดถึงกาแฟที่เป็นเครื่องดื่มยอดนิยมของโรมไปแล้ว โดยแนะนำให้รู้จักพื้นฐานของกาแฟอิตาเลี่ยนคร่าวๆ ก่อนจะไปลองที่ร้านระดับตำนานที่ใครๆ ที่มาโรมก็ต้องไปลอง คราวนี้มาถึงเครื่องดื่มที่มีความนิยมไม่แพ้กัน และไวน์บาร์ที่โรมหรือที่เรียกกันที่นั่นว่า Enoteca ก็มีอยู่ทุกย่านทุกมุมเมืองเช่นกัน แต่ก่อนจะพาไปร้านที่แนะนำ เราก็ควรรู้พื้นฐานของไวน์อิตาเลี่ยนกันก่อน เมื่อถึงเวลาไปลองจะได้เพิ่มอรรถรสมากขึ้น
ดื่มไวน์อิตาเลียน Vino Italiano

City Break ROME Wine 4

Photo credit: http://www.bywine.nl

คนอิตาเลี่ยนดื่มไวน์กับอาหารมาตั้งแต่วัยรุ่น แต่ไม่ทำตัวเป็นผู้รู้มากเรื่องไวน์เหมือนพวก Wine Snobby (หมายถึงพวกที่ดื่มแล้วชอบเชิดหน้า) ไวน์ที่นี่ราคาไม่แพงมาก การเลือกดื่ม Table Wineไม่ใช่เรื่องน่าอายหรือเสียหาย และถ้าไม่มีความรู้เกี่ยวกับไวน์ก็ไม่เป็นไรเลยรู้แค่กฎเกณฑ์พื้นฐานเช่นไวน์แดงเข้ากับเนื้อแดง ไวน์ขาวเข้ากับเนื้อขาวหรืออาหารทะเลก็ดื่มไวน์ได้แล้ว ไม่จำเป็นต้องเป็น Connoisseur(ผู้ชำนาญเรื่องการชิมการดื่ม) ก็ใช้วิธีขอคำแนะนำจากเพื่อนผู้รู้ที่ไปด้วยหรือถาม Waiterเยอะๆ ไม่เสียหายถ้าเป็นผม ผมมักจะเลือกไวน์ท้องถิ่นของเขตนั้น เช่น แบบคลาสสิกเลยก็ Chianti ถ้าอยู่ในTuscany, ไวน์ Valpolicella ถ้าอยู่ใน Veneto, Nero d’Avola ใน Sicily และ Pinot Grigio หรือไวน์ขาวตัวอื่นใน Friuli-Venezia Giulia ยิ่งถ้าเราจะทานร่วมกับอาหารท้องถิ่นแต่ถ้ารู้ว่าไวน์เขตนั้นไม่ดีก็ต้องดูตัวอื่นที่อยู่ในลีส

City Break ROME Wine 2

การอ่านฉลากไวน์อิตาเลี่ยน

City Break ROME Wine 21

City Break ROME Wine 17

City Break ROME Wine 14

City Break ROME Wine 13

Italian Wine Label ทั่วๆ ไปดูไม่ยากมันคล้ายของไวน์ฝรั่งเศส ตัวหนังสือใหญ่แถวบนสุดคือผู้ผลิต(growerหรืออาจรับจากชาวไร่องุ่นในพื้นที่นั้นมาทำ) ตามตัวอย่างจะเป็น Pegrandi จากนั้นลงมาก็จะเป็นชื่อองุ่นหรือเขตปลูกองุ่น ในตัวอย่างคือ Valpolicella แล้วต่ำกว่านั้นก็จะเป็นการระบุชั้นหรือ classificationเช่น DOCG, DOC, IGT, or VdT จะมีปีผลิต vintage year อยู่ด้านบน อาจมีผู้จัดจำหน่ายหรือค่ายอยู่ด้านล่าง เช่น Vaona

การแบ่งเกรดของไวน์อิตาลี
เริ่มในปี 1963 (พ.ศ.2506) โดยมีกฎหมายฉบับที่ 930/1963 ชื่อ “ลอว์ ออฟ เมดิโอคริตี้” (Law of Mediocrity) เป็นกฎหมายควบคุมคุณภาพการผลิตไวน์กำหนดพื้นที่ทางภูมิศาสตร์เรียกว่า เดโนมินาซิโอเน่ ดิ ออริจิเน่คอนโตรลลาต้า (Denominazione di Origine Controllata) ระยะแรกกฎหมายฉบับนี้ยังไม่เป็นที่ยอมรับ เพราะมีช่องโหว่เยอะกระทั่งทศวรรษที่ 1990 อุตสาหกรรมการผลิตไวน์ในยุโรปขยายตัวจึงมีการแก้ไขกฎหมายฉบับนี้ให้สมบูรณ์มากขึ้น นายโจวานนี กอเรีย (Giovanni Goria) รมว.กระทรวงเกษตร จึงเสนอกฎหมายชื่อ “New Disciplinary Code for Denomination of Wines of Origine” ต่อคณะกรรมการไวน์ของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา (Wines Chamber of Deputies and the Senate)
กฎหมายดังกล่าวผ่านการรับรองและมีผลบังคับใช้ในวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 1992 และใช้มาจนถึงปัจจุบัน เป็นกฎหมายฉบับที่ 164/1992 เรียกสั้นๆ ว่า “กฎหมายของกอเรีย” (Goria’s law) แบ่งเกรดไวน์เป็น 2 ระดับคือ ดีโอ ไวน์ (DO wines) และ วิโน่ ดา ตาโวล่า (Vino da Tavola) พร้อมกับเพิ่มเกรดไอจีที (IGT)

City Break ROME Wine 8

ดีโอซีจี (DOCG = Denominazione di Origine Controllata e Garantita) เป็นไวน์เกรดดีโอซี (DOC) ที่คุณภาพสูงขึ้นไปอีกขั้นหนึ่งโดยหน่วยงานของรัฐเป็นผู้กำหนดและจัดทำฉลากพันรอบคอขวด 3 สี สีชมพูอ่อนใช้สำหรับไวน์ขาวมีฟอง สีเขียวอ่อนสำหรับไวน์ขาว และสีม่วงแดงสำหรับไวน์แดง ถ้าเทียบกับไวน์ฝรั่งเศสก็น่าจะเทียบได้กับระดับ Crus ต่างๆ ขึ้นไป ล่าสุด มี 36 เขตจาก 12 แคว้นที่ได้ DOCG โดยไวน์ DOCG ที่โดดเด่นที่เรารู้จักกันดีก็มักจะมาจากเขตเหล่านี้ เช่น เขตทัสคานี ได้แก่ ไวน์ Brunello di Montalcino และ Chianti Classicoที่ใช้องุ่น Sangiovese (ซานโจเวเซ่), เขตเปียดมอนเต้ ได้แก่ ไวน์ Barolo และไวน์ Barbaresco ที่ใช้องุ่น Nebbiolo (เนบบิโอโล) และไวน์ Amarone จากเขตเวเนโต้ ที่ใช้องุ่นตัวหลักคือ Valpolicella (วัลโปลิเซลล่า)

City Break ROME Wine 12

ดีโอซี (DOC – Denominazione di Origine Controllata ) เป็นพื้นที่ที่กำหนดไว้โดยเฉพาะและใช้ชื่อตามชื่อทางภูมิศาสตร์ของพื้นที่นั้นๆ ผลิตไวน์อย่างเคร่งครัดตั้งแต่การปลูกองุ่น การใช้พันธุ์องุ่น จนถึงกระบวนการผลิตจนออกสู่ท้องตลาดเป็นไวน์คุณภาพมาตรฐานเทียบเท่ากับไวน์ AOC (Appellation d’Origin Controlee) ของฝรั่งเศส (นอกจากนั้น DOC ยังใช้รับรองคุณภาพอาหารของอิตาลีด้วย) ปัจจุบันมี 317 เขตที่ได้ DOC

ไอจีที (IGT – Indicazione Geografica Tipica ) กำหนดโดยสภาพทางภูมิศาสตร์เป็นพื้นที่ผลิตไวน์ที่กว้างขวางทำไวน์อย่างมีแบบแผนแต่ไม่เคร่งครัดเท่าดีโอซี เป็นเกรดใหม่ที่เทียบกับ Vins de Pays ของฝรั่งเศส เพิ่งประกาศใช้เมื่อปี 1994 ปัจจุบันมีกว่า 150 เขต

ระดับ 2 วิโน่ ดา ทาโวล่า (Vino da Tavola) มี 1 เกรด

วีดีที (VdT) เป็นไวน์คุณภาพต่ำสุด เทียบได้กับ Table Wine หรือ Vins de Table ของฝรั่งเศส การผลิตไม่มีการบังคับอาจจะใช้องุ่นที่เหลือหรือคุณภาพต่ำมาผสมผสานกันก็ได้นอกจากนั้นเดิมยังหมายถึงไวน์ขบถของแคว้นทัสคานีที่ไม่ยอมใช้พันธุ์องุ่นตามที่กฎหมายกำหนดหรือใช้สัดส่วนขององุ่นผิดจากที่กำหนด จึงถูกปรับเป็น Vino da Tavola ปัจจุบันหลายตัวขยับเป็นIGT

จากข้อมูลของ Conseil Général de la Dordogne ในปี 2005 ระบุว่าไวน์เกรด DOC/DOCG ประมาณ 82% อยู่ทางตอนเหนือของอิตาลี รอบๆ Piemonte (เพียดมอนต์) Tuscany (ทัสคานี)และVeneto (เวเนโต)
ในขณะที่ไวน์เกรด Vino da Tavola และ IGT มีผลผลิตรวมกันประมาณ 77% ของผลผลิตทั้งหมด

จะเห็นนะครับว่าไวน์ที่เรียกว่า Everyday wine ที่เป็นไวน์เกรด Vino da Tavola และ IGT ผลิตสูงมากถึง 77% และเป็นไวน์ที่ส่วนใหญ่จะบริโภคอยู่แค่ภายในในประเทศอิตาลีเท่านั้น ในขณะไวน์เกรด DOC และ DOCG ที่เป็นไวน์คุณภาพสูงและเป็นสินค้าส่งออกที่สำคัญมีการผลิตเพียง 23% เท่านั้น แต่ช้าก่อน ไวน์ที่ดีที่สุดของอิตาลีไม่ได้ประดับยศสูงสุดนะครับ มันไม่ได้DOCG หรือ DOCไวน์กลุ่มที่เรียกว่า “Super Tuscans,” ได้ยศแค่ IGT ทำไมเป็นอย่างนั้น ก็เพราะกลุ่มไวน์เหล่านี้ใช้องุ่นจากนอกเขต ส่วนใหญ่ใช้องุ่นพันธุ์ merlot และหรือcabernet sauvignon จากเขต Bordeaux ของฝรั่งเศส และกรรมวิธีที่แตกต่างนอกกฎควบคุมของ DOCG, DOC จนได้รับฉายาว่า ‘ไวน์กบฎ’หรือไวน์ลูกผสม(อิตาเลี่ยน-ฝรั่งเศส) แต่กลุ่มผู้ผลิต Super Tuscanก็ให้เหตุผลว่าจำเป็นต้องทำเพื่อเพิ่มขีดความสามารถของการแข่งขันของไวน์อิตาลีในระดับโลกที่ได้ชื่อว่าแข่งได้แค่ปริมาณการผลิตต่อปี แต่คุณภาพสู้ฝรั่งเศสหรือไวน์โลกใหม่ไม่ได้ ซึ่งปัจจุบันนี้ไวน์ซูเปอร์ ทัสคัน ได้พิสูจน์แล้วว่ารับความสำเร็จกลายมาเป็นไวน์ที่แพงที่สุดของอิตาลีและเป็นที่กล่าวขานมากที่สุดโดยเฉพาะไวน์ที่ได้รับฉายาว่าเป็น 5 ทหารเสือ ได้แก่ไวน์ Sassicaia (ซาสซิกายา), Tignanello (ติยาเนลโล) ,Solaia (โซลายา), Ornellaia (ออร์เนลลายา) และ Masseto (มาสเซโต้)

ภาพด้านล่างคือ ตัวแนวหน้าของ ซูเปอร์ ทัสคัน ซึ่งทั้งหมดผลิตในเขต Chianti Classico (กิอานตี้ คลาสสิโค) ซึ่งอยู่ทางใต้ของเมือง Florence (ฟลอเรนซ์)

City Break ROME Wine 18

พอรู้จักเกรดแล้วควรมีความรู้เรื่ององุ่นไว้เล็กน้อย เพราะการคุยไวน์นั้นคุยย่านหรือเขตผลิตยังไม่พอ ต้องลงไปถึงองุ่นด้วยครับแล้วจึงค่อยไปถึงสัมผัสที่ได้จากการชิม สายพันธุ์องุ่นของอิตาลี

ปี 2005 อิตาลีมีพื้นที่ปลูกองุ่นรวม 760,000 เฮกแตร์ (ประมาณ 2,500,000ไร่) องุ่นที่ปลูกในอิตาลีอย่างเป็นทางการมีกว่า 350 พันธุ์ เมื่อรวมกับองุ่นที่ไม่เป็นทางการจะมีอยู่กว่า 457 พันธุ์ แต่องุ่นพันธุ์หลักๆ มีดังนี้

City Break ROME Wine 11

City Break ROME Wine 20

องุ่นแดงสำหรับทำไวน์ของอิตาลีที่สำคัญ ๆ มีประมาณ 10 พันธุ์ ดังนี้
Sangiovese (ซานโจเวเซ่) ราชาองุ่นแดงประจำแคว้นทัสคานี

Nebbiolo (เนบบิโอโล) องุ่นแดงประจำแคว้นเพียดมอนต์

Montepulciano (มอนเตปุลเชียโน) เป็นชื่อขององุ่นและชนิดของไวน์ ที่ทำในอบุซโซ่ (Abruzzo) จึงเรียกว่าMontepulciano d’Abruzzo (ไวน์คุณภาพดีจะมาจาก Pescara และChieti) โดย Montepulciano เป็นเมืองหนึ่งจังหวัดซิเอน่า (Siena) อยู่ทางใต้ของทัสคานีนิยมใช้ซานโจเวเซ่มาผสมด้วยประมาณ 10% เพื่อทำไวน์แดงฟรุตตี้ แทนนินส์ นุ่มเนียน สามารถดื่มขณะเป็นไวน์ใหม่ได้ แต่ถ้าบ่มโอ๊ค 2 ปีจะเป็นไวน์ Riservaนอกจากนั้นยังใช้ผสมกับองุ่น Ciliegolo เพื่อทำไวน์ Torgiano ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาองุ่นพันธุ์นี้ถูกนำไปปลูกในออสเตรเลียมากขึ้น

Barbera (บาร์เบร่า) องุ่นที่ปลูกมากเป็นอันดับ2ในอิตาลี ปลูกมากในแคว้นเพียดมอนต์และตอนใต้ของLombardy (ลอมบาร์ดี)

Corvina (คอร์วิน่า) องุ่นประจำแคว้นVeneto(เวเนโต้) ซึ่งอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของอิตาลี บางครั้งจึงเรียกว่า Corvina Veronese หรือ Cruina เป็นองุ่นหลักที่ใช้ทำไวน์ชื่อดังของเวเนโต้ 2 อย่างคือ Valpolicella (วัลโปลิเซลล่า) และAmarone (อมาโรเน)ที่ต้องผสมกับองุ่นอีก 2 พันธุ์คือ Rondinella และMolinara นอกจากนั้นยังใช้ทำไวน์หวาน Recioto della Valpolicella และไวน์แดง Bardolino ที่ผสมกับRondinella และ Molinara อาจจะมี Negrara ด้วย

แต่ถ้าเป็นไวน์ Garda Corvina (Denominazione di OrigineControllataDOC)ต้องใช้คอร์วิน่าอย่างน้อย 85%

City Break ROME Wine 22

Nero d’Avola (เนโร ดาโวล่า)หนึ่งในองุ่นแดงสำคัญของอิตาลี และเป็นองุ่นประจำเกาะซิซิลี Avola เป็นเมืองเล็กๆทางตะวันออกเฉียงใต้บนเกาะซิซิลี Nero แปลว่าดำรวมความคือองุ่นดำแห่งเมืองอโวล่า (The Black Grape of Avola) ลักษณะคล้ายชิราซจากโลกใหม่ มีพลัม เปปเปอร์ และแทนนินออกหวานๆ ชื่ออื่นๆ ขององุ่นพันธุ์นี้มักจะมีคำว่า Calabrese ประกอบเช่น Calabrese D’Avola, Calabrese De Calabria, Calabrese Dolce, Calabrese Pittatello, Calabrese Pizzuto, Calabriai Fekete, Raisin De Calabre Noir และ Struguri De Calabria เป็นต้น

Dolcetto (ดอลเชตโต้)องุ่นแดงที่ปลูกมากในเพียดมอนต์ แปลว่า “little sweet one” แต่ใช้ทำไวน์ Dry (ดราย) Fruity(ฟรุตตี้) แบล็คเคอร์เร้นท์ พรุน ชะเอม แทนนินส์และมีกรดค่อนข้างสูงเหมาะจะดื่ม 1-2 ปีหลังจากวางตลาด

Negroamaro or Negro Amaro (เนโกรอมาโร)องุ่นแดงที่ปลูกมากทางใต้ของอิตาลีโดยเฉพาะแถวPuglia (ปุเกลีย) และSalento (ซาเลนโต้) คุณภาพดีที่สุด ทำไวน์แดงสีเข้มรสชาติเรียบๆ ผสานกับกลิ่นหอม กลิ่นดิน และขม เพราะคำว่า Amaro ในภาษาอิตาลีแปลว่าขมโดยเฉพาะสุดยอดไวน์แดงของ Puglia (ปุเกลีย)ใช้ผสมกับ Malvasia Nera

Aglianico (อายานิโก้)องุ่นแดงพันธุ์โบราณจากกรีซ ถูกนำเข้ามาปลูกมาใน Campania (คัมปาเนีย) และ Basilicata(บาซิลิกาต้า) ใช้ผลิตไวน์ชื่อดัง Taurasi (เทาราซี) ในหมู่บ้านเทาราซีในคัมปาเนีย ซึ่งเป็นDenominazionedi Origine Controllata e Garantita (DOCG)ไวน์ที่ผลิตจากองุ่น Aglianico จะ full bodies แทนนินส์หนักแน่น และกรดสูง จึงจำเป็นต้องบ่มในถังไม้โอ๊ค Campania (คัมปาเนีย) นิยมผสมกับCabernet Sauvignon (กาแบร์เนต์ โซวีญยอง) และแมร์โลต์ ทำไวน์เกรด IGT

ซากรานติโน (Sagrantino) องุ่นแดงแห่งแคว้นอุมเบรีย (Umbria) ตอนกลางของอิตาลี ปลูกได้ดีในหมู่บ้านMontefalco มีผู้ผลิต25 รายในพื้นที่250 เอเคอร์เป็นองุ่นที่แทนนินสูงมากพันธุ์หนึ่งของโลก สีแดงเข้มข้นผลไม้ดำพลัม อบเชย และดินใต้พิภพไวน์ Sagrantino di Montefalco DOCG ต้องทำจากองุ่นซากรานติโน 100% และบ่มถังโอ๊ค 29เดือนแต่ถ้าเป็น Montefalco Rosso อาจจะใช้ซากรานติโน 10-15% ที่เหลือเป็นซานโจเวเซ่ และพันธุ์อื่นๆ

นอกจากนั้นยังมี Malvasia Nera, Ciliegolo, Gaglioppo, Lagrein, Lambrusco, Monica, Nerello Mascalese, Pignolo, Primitivo, Refosco, Schiava, Schiopettino, Teroldego และ Uva di Troia
ส่วนองุ่นเขียวสำหรับทำไวน์ขาวที่สำคัญๆ ประกอบด้วย

City Break ROME Wine 16

เทรบไบอาโน่ (Trebbiano) องุ่นเขียวที่ปลูกมากที่สุดในอิตาลี ในพื้นที่กว่า 80 DOC แต่ที่คุณภาพดีอยู่ที่ Abruzzo

มอสกาโต้ (Moscato) ปลูกมากในเพียดมอนต์ ส่วนใหญ่ใช้ทำสปาร์คกลิ้งไวน์เบาๆ (Frizzante) และสปาร์คกลิ้งกึ่งหวานที่โด่งดังคือ Moscato d’Asti
(คนละอย่างกับ Moscato giallo และ Moscato Rosa องุ่น 2 สายพันธุ์จากเยอรมันที่ปลูกใน Trentino Alto-Adige)

Nuragus (นูรากัส)องุ่นโบราณตั้งแต่สมัยฟินิเซียน พบมากทางใต้ของ Sardegna ใช้ทำไวน์ขาวเบาๆ ดื่มง่ายๆ เป็นApertif

ปิโนต์ กรีโจ้ (Pinot Grigio) องุ่นเขียวที่ทั่วโลกรู้จักกันดี ปลูกมากใน Lombardy รอบๆ Oltrepo Pavese,Alto Adige และในFriuli-Venezia Giulia

Tocai Friulano (โตไก ฟริยูลาโน)องุ่นที่กำาเนิดในเวเนโต้ แล้วมาเติบโตใน Friuli จนกลายเป็นองุ่นประจำแคว้นFriuli-Venezia Giulia ทางตะวันออกเฉียงเหนือของอิตาลีทำไวน์แล้วมีกลิ่นกู้สเบอร์รี่ ดอกไม้ กรดปานกลาง แต่แอลกอฮอล์สูงในแคลิฟอร์เนียเรียกว่า Sauvignon Vert ในถิ่นอื่นอาจจะเรียกว่า Sauvignonasse หรือ Friulano นอกจากนั้นยังปลูกมากในชิลีและแรกๆ เข้าใจผิดว่าเป็นSauvignon Blanc (โซวีญยอง บลองซ์)

Ribolla Gialla (ริบอลล่า จิอัลล่า)องุ่นที่มีต้นกำเนิดจากกรีซเข้ามาอิตาลีโดยผ่านทางสโลเวเนีย ก่อนจะมาประจำที่แคว้น Friuli-Venezia Giulia ปลูกได้ดีใน Goriziaปัจจุบันในสโลเวเนียเรียกว่า Rebula ส่วนในกรีซเรียกว่า Robola ทำไวน์สีเหลืองเข้ม บอดี้เบา มีกลิ่นดอกไม้นำเลมอน สับปะรด กรดสูง ถ้าบ่มในถังไม้โอ๊คจะมีกลิ่นถั่ว

Arneis (อาร์ไนส์)องุ่นเขียวเก่าแก่อีกพันธุ์หนึ่งของเพียดมอนต์ ปลูกมากบริเวณ Roero Hill ใกล้ๆเมืองอัลบ้า (Alba) ทำไวน์ขาวดราย Z (Dry) ฟูลบอดี้ (full bodies)กลิ่นพีช และ แอปริคอต

มาลเวเซีย เบียงคา (Malvasia Bianca) หรือมาลเวเซีย (Malvasia) ต้นกำเนิดจากกรีซ ปัจจุบันปลูกทั่วโลก ในอิตาลีปลูกมากบริเวณ Sicily,Lipari และSardinia

Garganega (การ์กาเนก้า)ปลูกมากในเวเนโต้ โดยเฉพาะเมือง Verona (เวโรน่า) ซึ่งเป็น 1 ใน 32 DOCG และVicenza (วิเซนซ่า) ใช้ทำไวน์ขาวชื่อดังคือSoave (โซอาเว)ซึ่งอาจจะผสม Trebbiano (เทรบไบอาโน่) ประมาณ 30 %

มารู้จักภาษาอิตาเลียนที่อาจอยู่บนฉลากไวน์นิดหน่อยมันไม่ได้ยากมาก
“Vino rosso” วีโนรอสโซ่ red wine
“Vino bianco” วีโนบิอานโกwhite wine
“Vino rosato”: วิโนโรซาโต rosé wine
“Vino amabile”วีโนอมาบิเล่ a medium-sweet wine
“Vino dolce”: วิโนโดเช่ sweet wine
“Vino secco”: วีโน เซกกโก dry wine
“Vino abboccato”:วีโนอับโบกัตโตsemi-dry wine
“Vino corposo”: วีโนกอรโปโซa full-bodied wine
“Vino aromatico”วีโนอโรมาติโกaromatic wine
“Vino frizzante” วีโนฟริซซานเตsemi-sparkling wine
คำว่า“azienda” บนฉลากหมายถึงestatesคือค่ายหรือผืนดินที่ปลูกองุ่น“anno” ปีที่ผลิต “produttore” คือผู้ผลิต producer. “Gradazione alcolica“คือปริมาณแอลกอฮอล์ imbottigliato all’origine,” หมายถึงไวน์บรรจุขวดโดยผู้ผลิต“Vendemmia” คือการเก็บเกี่ยว “vitigno” หมายถึงองุ่น “vine.”

ที่สุดของ Enoteca(ไวน์บาร์)ในโรม
สำหรับช่วงเวลาที่เหมาะสมในการเที่ยวไวน์บาร์นั้นก็คงเป็นตั้งแต่บ่ายแก่ๆ หรือช่วงเย็นๆ เป็นต้นไป เพราะไวน์บาร์มักจะมีอาหารแบบอาหารว่างรองท้อง อาหารก่อนมื้ออาหารจริง antipasto ที่ประกอบด้วย cheese และ cold cut แต่บางแห่งก็มีอาหารเป็นเรื่องเป็นราวมากกว่านั้นจนแทบไม่ต้องไปทานมื้อเย็นต่อก็ได้ วัฒนธรรมก็คล้ายกับไปเข้าบาร์Tapasในสเปน แต่จะเน้นไวน์มากกว่าอาหาร
บางคนต้องการไปไวน์บาร์เพื่อศึกษาทำความรู้จักไวน์หลายๆ ตัวที่เขาผู้นั้นไม่เคยลอง เพราะจะซื้อทุกแบบทุกขวดก็คงไม่ใช่ เพราะมันเหมือนลองผิดลองถูกแล้วอาจชอบจริงแค่แบบเดียว ไวน์บาร์หลายแห่งในโรมจึงมักมีไวน์ดังจากทุกเขตของอิตาลีเปิดขายเป็นแก้วในแบบ mescita (by-the-glass) ที่สำคัญเราจะได้พูดคุยหรือเรียนรู้เรื่องไวน์จากผู้ชำนาญเฉพาะทางหรือsommelier เพราะไวน์บาร์ดีๆ นั้นเขาไม่ได้จ้างแค่บาร์เทนเดอร์มารินไวน์เสิร์ฟไวน์เฉยๆ แต่มักจะจ้างคนที่มีความรู้แบบเจนจัดมาช่วยเพิ่มพูนความรู้และประสบการณ์การดื่มไวน์ของเราเป็นอย่างดี
ขอแนะนำที่สุดของ Enoteca (ไวน์บาร์)ในโรม
1. Ai Tre Scalini ร้านนี้เปิดมาตั้งแต่ปี 1895 หน้าตาด้านนอกมีส่วนคล้ายร้านกาแฟ caffe della paceที่แนะนำไปตอนที่แล้วตรงสีของร้านและการปล่อยไม้เลื้อยมาเกะกะหน้าร้าน ที่นี่ตอบโจทย์ คนที่ต้องการลองไวน์ท้องถิ่นและไวน์ดีจากเขตต่างๆ ของอิตาลี หรือเรื่องงบประมาณทุกระดับ อาหารก็ดีให้ลองสั่งไส้กรอกเซียน่าดูครับ
Ai Tre Scalini via Panisperna 251, Rome, Italy, +390648907495

City Break ROME Wine 6

City Break ROME Wine 7

 

2. Cul de Sac ร้านนี้เปิดมาตั้งแต่ปี 1900 มีไวน์ให้เลือกกว่า1500ตัว เริ่มเป็นที่นิยมมากขึ้นเพราะมีคนเขียนเชียร์เยอะว่าเป็นที่ๆต้องมาลองในโรมหากชอบไวน์อิตาเลียน ก็เลยเริ่มมีนักท่องเที่ยวมากกว่าคนท้องถิ่น
Cul de Sac Piazza Pasquino 73, Rome, Italy, +390668801094

City Break ROME Wine 10

 

3. Trimani ร้านนี้เปิดมาตั้งแต่ปี 1821 เอาเป็นว่า100กว่าปีที่ผ่านมา เวลาที่ชาวกรุงโรมอยากดื่มไวน์หรือซื้อไวน์ดีๆกลับมาดื่มที่บ้านชื่อร้านนี้จะลอยมาในหัว เหมือนเวลาเรานึกไม่ออกว่าวันนี้จะทานมื้อกลางวันเป็นอะไรดีแล้วภาพ ‘กระเพราไก่ไข่ดาว’ก็ลอยมา ที่นี่ราคามาตรฐานครับ
Trimani via Goito 20, Rome, Italy, +39064469661

City Break ROME Wine 9

City Break ROME Wine 19

 

4. Antica Enoteca ร้านนี้เปิดมาตั้งปี 1720 ถือว่าเป็นร้านไวน์ที่เก่าแก่ที่สุดของโรม แต่คุณภาพไม่ได้เก่าตามเพราะเพียบพร้อมด้วยอาหารและกับแกล้ม การได้มาดื่มไวน์ที่เคาร์เตอร์บาร์สุดคลาสิกของที่นี่ก็เหมือนได้ดื่มกับบุคคลดังในอดีตทั้งหลายที่เคยได้ยืนที่เคาร์เตอร์นี้มาเช่นกัน
Antica Enoteca via della Croce 76B, Rome, Italy, +39066790896

 

5. Enoteca Regional Palatium ถ้าเราต้องการไวน์บาร์ที่เน้นไวน์ท้องถิ่นของโรมซึ่งก็คือไวน์ของเขตLazioนั้นที่นี่อาจเรียกได้ว่าเป็นสถาบันไวน์และอาหารโรมันได้เลยล่ะที่นี่ที่นักการเมืองและผู้ที่ทำงานofficeไส่สูทเท่ห์ของเซนญ่ามาใช้บริการ ร้านนี้เสิร์ฟ อาหารโรมันที่ดีเยี่ยมและไวน์ท้องถิ่น เหมาะมากสำหรับอาหารกลางวันเร่งด่วนหรือในชั่วโมงค็อกเทลก่อนมื้ออาหารเย็น สถานที่ก็อยู่ไม่ไกลจากจัตุรัสบันไดสเปนเหมาะมากสำหรับคุณผู้ชายที่ใช้เป็กิจกรรมฆ่าเวลารอภรรยาเดินช็อปปิ้งในย่านนั้น
Enoteca Regional Palatium via Frattina 94, Rome, Italy, +390669202132

City Break ROME Wine 15

 

แล้วเจอกันตอนหน้าเป็นเรื่อง Night out in Rome ครับ

City Break Rome Part VII

เบรกเที่ยวในโรม…เที่ยวโรมแบบผู้ที่มาโรม หลายครั้งแล้ว
โดย Paul Sansopone

…“มันเป็นตัวอย่างของการสร้างเมืองบนจุดยุทธศาสตร์แบบเมืองในยุคกลางทั่วไปที่ต้องทำให้โดนข้าศึกมารุกรานได้ยากที่สุด หากมาในช่วงหน้าหนาวหน่อยมันจะเป็นเหมือนเมืองที่อยู่บนสวรรค์ เมืองที่ลอยอยู่บนก้อนเมฆ เพราะมีทะเลหมอกจากรอบด้านนั่นเอง…”

นักท่องเที่ยวแบบที่เคยมาโรมหลายครั้งแล้วก็คงไม่อยากไปเที่ยวชมอะไรแบบพื้นฐาน ไม่ว่าจะเป็นวิหารพานเทนอล, คอลอสเซี่ยมหรือวิหารเซ็นต์ปีเตอร์ เพราะรู้จักดีแล้ว คราวนี้ก็เลยจะแนะนำอะไรที่ใหม่สำหรับผู้ที่มาโรมบ่อยแล้ว ก็อยากให้ลองออกไปนอกโรมแบบ Day Trip ไปเช้าเย็นกลับบ้างก็ไม่เลวครับ ก็เพราะโรมอยู่ในเขตลาซิโอซึ่งมีอะไรน่าสนใจกว่าโรมอย่างเดียว ผมจึงขอแนะนำเขตลาซิโอในตอนนี้

เขตLazio (ลาซิโอ) เป็นเขตปกครอง 1 ใน 20 เขตของอิตาลี ตั้งอยู่ตอนกลางของประเทศ มีเมืองหลวงชื่อ Rome (กรุงโรม)ซึ่งเป็นเมืองหลวงของประเทศอิตาลีด้วย นอกจากนั้นกรุงโรมยังเป็นที่ตั้งของนครรัฐวาติกันซึ่งเป็นดินแดนที่ประทับของพระสันตะปาปาแห่งศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกอีกด้วย

Latium (ลาเทียมในภาษาอังกฤษ) เป็นเขตที่มีประชากรและเศรษฐกิจเป็นอันดับที่ 2 ของอิตาลี (ซึ่งใกล้เคียงกับเขตCampania) มีพื้นที่ 17,236 ตารางกิโลเมตร ทางทิศเหนือมีพื้นที่ติดต่อกันเขต Tuscany, Umbria และMarche ทิศตะวันออกติดกับ Abruzzo และMolise ทิศใต้เป็น Campania และด้านทิศตะวันตกเป็นTyrrhenian Sea พื้นที่ส่วนใหญ่ของ Lazio (ลาซิโอ) จะเป็นที่ราบและเนินเขาเตี้ยๆ จะมีภูเขาขนาดเล็กอยู่บ้างทางด้านทิศตะวันออกและทิศใต้ของพื้นที่

ลาซิโอ เป็นภูมิภาคที่มี Rome และกรุงวาติกันศูนย์กลางของคริสต์จักรมาตั้งแต่ 2,000 กว่าปีก่อน อีกทั้งยังเป็นที่ที่ท่านจะได้ศึกษาประวัติศาสตร์ของผู้ที่เคยอยู่ในคาบสมุทรรูปรองเท้าบู๊ทแห่งนี้ นอกจากพวกโรมันก็คือพวกอีทรุสคันอีกด้วย

ลาซิโอทอดตัวอยู่ตามแนวชายฝั่ง Tirrenian อยู่ในบริเวณศูนย์กลางของอิตาลีซึ่งเป็นใจกลางของจักรวรรดิโรมันที่เป็นต้นกำเนิดของอารยธรรมตะวันตกอย่างแท้จริง ที่นี่จะหล่อหลอมให้ท่านกลายเป็นผู้สนใจศึกษาประวัติศาสตร์และศิลปวัฒนธรรมของอิตาลีไปโดยที่ท่านไม่รู้ตัว ทั้งๆ ที่เราอาจไม่ใช่คนที่ชอบอะไรแบบนั้นมาก่อน มันไม่มีข้อแก้ตัวใดๆ ทั้งสิ้น ถ้าท่านออกจากกรุงโรมมาโดยที่ไม่มีอะไรที่เกี่ยวกับโรมันถูกเก็บไว้ในสมองส่วนใดส่วนหนึ่งของท่านเลย

ถ้าเคยมาเที่ยวที่นี่บ่อยแล้วแบบผมหรือผู้ที่เคยมาโรมมากกว่า 2-3 ครั้งแล้ว ก็ต้องนี่เลยหากไม่ชอบอะไรเก่าๆ ซากปรักหักพังท่านก็สามารถออกไปเที่ยวดูน้ำพุที่ Tivoli ที่อยู่ห่างจากด้านทิศตะวันออกของ Rome ประมาณ 34 กิโลเมตร บ้านพักตากอากาศ Villa d’Este ของ Hadrian และสวนอิตาเลี่ยนที่เดินเล่นแล้วเพลิดเพลินใจและต้องทึ่งกับระบบส่งน้ำของโรมัน

City Break ROME Italty Lazio 2

ถ้าไปทางด้านทิศตะวันตกของ Rome สำหรับท่านที่ชอบเมืองโรมันโบราณที่น่าศึกษาไม่น้อยไปกว่าเมืองปอมเปย์ทางใต้ที่โดนภูเขาไฟถล่มใส่ ต้องไม่พลาดการไปเยือนเมือง Ostia Antica เมืองท่าโบราณสมัยโรมันห่างจากโรมไป 30 กิโลทางตะวันออกเฉียงเหนือมันคือเมืองปากแม่น้ำไตเบอร์ Ostia มาจากคำว่า os แปลว่าปากในภาษาลาติน ซึ่งก็คือปากแม่น้ำนั่นเอง และแม่น้ำ Tiber นี้ก็ไหลเข้าสู่ใจกลางโรม

City Break ROME Italty Lazio 1

มันเป็นเมืองเก่าโรมันที่มีความสมบูรณ์มากๆ คือมีการเก็บและดูแลรักษาอย่างดี วิธีไปก็ไม่ยากให้ไปขึ้นรถไฟที่สถานีรถไฟใต้ดินที่ชื่อ Piramide Metro ซึ่งจะติดกับสถานนี Ostiense แล้วก็ให้ขึ้นจากที่นี่ไปลง Ostia Antica
หรือถ้าชอบทะเลก็สามารถมุ่งไปเมืองตากอากาศที่ชื่อ Formia ทางตอนใต้ของลาซิโอ

City Break ROME Italty Lazio

แถวๆ นี้คุณจะได้ไปเดินเล่นบนถนนสายแรกๆ ที่สร้างโดยชาวโรมันซึ่งถือเป็นเส้นทางยุทธศาสตร์ที่เรียกว่า Appian Way (via Appia) ที่เชื่อมระหว่าง Rome กับ Capua แล้วต่อไปถึง Brindisi เมืองทางใต้ในเขตปูกลีญา ซึ่งจะทำให้เราทึ่งกับวิชั่นของชาวโรมันหรือผู้นำที่เรียกว่าซีซ่าร์ของพวกเขา การทำถนนการทำท่อส่งน้ำนั้นเป็นพื้นฐานของความเจริญที่วิศวกรโรมันมอบเป็นมรดกไว้ให้โลกใบนี้ นอกจากระบอบประชาธิปไตยซึ่งถ้าท่านสนับสนุนระบอบนี้ ก็ถ้าไปก็อย่าลืมแวะชมสุสานของ Cicero นักปราชญ์ ผู้นำทางความคิดและเป็นนักการเมืองชื่อดังที่โดนลอบสังหารในวันที่ 7 ธันวาคม ปีที่ 43 B.C.โดยศัตรูทางการเมืองที่ต้องการเป็นเผด็จการ ที่ผมชอบมากๆ ก็คือประเทศที่เจริญนั้นมักมีการบันทึกทุกอย่างไว้ชัดเจนว่าอะไรเกิดขึ้นเมื่อใด เพราะอะไร แม้แต่วันที่และเวลาเมื่อ 43ปีก่อนพระเยซูจะจากโลกนี้ไปมันมีการลงรายละเอียดขนาดนี้ได้น่าทึ่งครับ (สุสานอยู่ในย่านเดียวกันนี้) อีกบันทึกที่น่าสนใจก็คือผู้ปลดแอกพวกทาสชื่อดังที่ชื่อ Spartacus ก็ถูกจับตรึงกางเขน(crucified) บนถนนสายนี้ในปี 71 B.C.
ancient-rome- 1

ancient-rome 2

ancient-rome-skip-the-line-visit-to-rome-s-city-centre-and-tour-of-the-catacombs-and-the-appian-way

The Appian Way

นี่คือซูเปอร์ไฮเวย์แห่งแรกของยุโรปและถนนสายที่เก่าที่สุดในยุโรปที่ยังคงอยู่ในสภาพเดิมมากๆ ใช้เป็นทั้งเส้นทางการค้าและเส้นทางการรบ สร้างด้วยหินแผ่นเรียบที่ผ่านฤดูหนาวร้อนมากว่า 2,300 ครั้ง มันถูกการใช้งานโดยพ่อค้า, ประชาชน, ทหารโรมัน, จักรพรรดิจูเลียสซีซ่าร์ หรือแม้แต่นักบุญปิเอโดร (Saint Peter) เพราะมันสร้างมาตั้งแต่ปี 312B.C (ก่อนคริสตกาล)
การที่เราได้ไปเดินตามรอยเท้าของผู้สร้างอารยธรรมตะวันตก มันน่าจะเป็นประสบการณ์ที่ไม่เลวเลย ถนนเริ่มต้นจากโรมที่ Porta San Sebastiano ห่างจากโคลอสเซี่ยมไปแค่ 2 ไมล์ การไปเที่ยวมักจะไปในส่วน 10 ไมล์แรกเท่านั้นที่มีสภาพที่มีการดูแลและกำหนดให้เป็นเหมือนสวนสาธารณะชื่อ Parco dell’Appia Antica

ไปเที่ยว Civita di Bagnoregio เมืองสวรรค์

Civita di Bagnoregio 2

หรือท่านอาจต้องการไปเที่ยวที่เพื่อนๆ ของท่านไม่เคยไปต่อให้มาอิตาลีหลายครั้งแล้วก็ตาม นี่เลยครับขึ้นไปทางเหนือของกรุงโรมประมาณ 120 กิโลที่เมือง Bagnoregio และห่างไปอีกกิโลนึงท่านจะพบกับเมืองโบราณที่สร้างโดยชาว Etruscans กว่า 2,500 ปีมาแล้ว เมืองนี้ชื่อว่า Civita เมืองบ้านเกิดของนักบุญ Saint Bonaventure ตัวเมืองเหมือนส่วนหนึ่งของภูเขาและหน้าผา ที่บ่อยครั้งมันพังไปเพราะหินผุกร่อนหน้าผาถล่มไป มันเป็นตัวอย่างของการสร้างเมืองบนจุดยุทธศาสตร์แบบเมืองในยุคกลางทั่วไปที่ต้องทำให้โดนข้าศึกมารุกรานได้ยากที่สุด หากมาในช่วงหน้าหนาวหน่อยมันจะเป็นเหมือนเมืองที่อยู่บนสวรรค์ เมืองที่ลอยอยู่บนก้อนเมฆ เพราะมีทะเลหมอกจากรอบด้านนั่นเอง

Civita di Bagnoregio

Civita di Bagnoregio 1

หรือไปเที่ยวทางตอนใต้ของ Rome เป็นดินแดนแห่งภูเขาไฟที่เรียกว่า Albabi Colli Hills มีทะเลสาบที่เกิดจากปล่องภูเขาไฟ2 แห่งคือ Nemi กับ Albano ที่นี่อยู่ห่างจากโรมไม่ไกลมีทิวทัศน์ที่สวยงามและใช้เป็นที่พักผ่อนตากอากาศมาตั้งแต่สมัยโรมันพอมาถึงในยุคเรอเนสซองค์ที่เศรษฐกิจดีขึ้นมาบรรดาเศรษฐีมักมาสร้างVillaบ้านพักตากอากาศแบบที่หรูหราสไตล์ Barroc เพื่อการหลีกหนีจากความร้อนและความวุ่นวายของ Rome ซึ่งรวมถึงวังฤดูร้อนของพระสันตะปาปาด้วยที่ Castel Gandolfo

Castel Gandolfo Italy

พระราชวังฤดูร้อนของสันตะปาปาที่ Castel Gandolfo

และในบริเวณใกล้เคียงคือเมืองบนเนินเขา Frascati สถานที่ซึ่งท่านสามารถนั่งลงบนโต๊ะอาหารไม้แบบเก่าๆ นั่งสั่งบรูสเก็ตต้ากับไวน์ขาว Frascati ซึ่งถือเป็น Signature Wine ของท้องถิ่นมาลองแล้วมองวิวสวยๆ และชื่นชมกับคนรักของท่านที่ไปด้วยกัน (แม้ว่าเค้าอาจอารมณ์ไม่ดีเพราะอยากอยู่แถวบันไดสเปนเพื่อช็อปปิ้งมากกว่า)

Frascati Italy

ไวน์ของลาซิโอ
เขต Lazio (ลาซิโอกับ แคว้น Campania กัมปาเนีย) ทั้ง 2 แคว้นมีไวน์ที่มีชื่อเสียงแต่ว่ามีเพียงไม่กี่ตัวเพราะมีพื้นที่ปลูกองุ่นจำกัด เนื่องจากเป็นเขตอุตสาหกรรมของประเทศอิตาลีจึงเป็นเขตที่บริโภคไวน์มากกว่าที่จะเป็นผู้ผลิตไวน์ครับ

ประวัติการเพาะปลูกองุ่นเพื่อใช้ผลิตไวน์บริเวณรอบกรุงโรมมีมานานหลายพันปีแล้ว ไวน์ที่ผลิตย่านนี้ส่วนใหญ่จะเป็นไวน์ขาวไวน์ที่เป็นที่นิยมคือ Falernian และ Caecuban

ไวน์ Falernian เป็นไวน์ที่ผลิตจากองุ่นสายพันธุ์ Aglianico จากบริเวณเชิงเขา Falernus ทางทิศใต้ของแคว้นใกล้กับพรมแดนแคว้น Campania และเป็นที่รู้จักกันว่าเป็นแหล่งเพาะปลูกองุ่นเพื่อใช้ทำไวน์มาตั้งแต่ยุคโรมันโบราณ

ไวน์ Caecuban เป็นไวน์ที่รู้จักกันมาตั้งแต่ 70 ปีก่อนคริสตกาล ผลิตจากหมู่บ้านเล็กๆ ชื่อ Ager Caecubusในเมือง Amyclae

เมืองเล็กๆบริเวณชายฝั่งของแคว้นLatium (ลาเทียม) ปัจจุบันรู้จักกันในชื่อ Pontine Marshes

เป็นไวน์ขาวที่โด่งดังมาตั้งแต่ยุคกลางของยุโรปคือ Est! Est!! Est!!! (เอสต์ เอสต์ เอสต์)

เขตLatium (ลาเทียม) มีพื้นที่ปลูกองุ่นรวม 47.884 เฮกแตร์ (118,321 เอเคอร์) 84% เป็นไวน์ขาว และ16% เป็นไวน์แดง ในจำนวนนี้ 6.5% เป็นไวน์ชั้น DOC ประกอบด้วย ไวน์ชั้น DOC 25 ตัว เช่น Castelli Romani, Albani, Montecompatri-Colonna, Est! Est! Est! di Montefiascone และVelletri

องุ่นขาวสายพันธุ์หลักคือ Malvasia (มัลวาเซีย) และ Trebbiano (ทรีบเบียนโน) ส่วนองุ่นแดงมีสายพันธุ์ Cabenet Sauvignon (คาแบร์เนต์โซวีญยอง) Cabernet Franc (คาแบร์เนต์ ฟรอง) Merlot (แมร์โลต์) Cesanese, Syrah (ซีราห์) Petit Verdot (พิติ เวอร์ด็อท) Sangiovese (ซานโจเวเซ่) และ Montepulciano (มอนเตพูลเซียโน)

City Break ROME Italty Lazio Wine

อีกเมืองที่น่าสนใจในละแวกนี้ก็คือเมือง Nemi มันเป็น Hill Town แบบในทัคานี(ถ้าท่านไม่มีเวลาไปที่นั่น) ชื่อเดียวกับทะเลสาบ เนมี่ Nemi ซึ่งเป็นทะเลสาบที่เกิดจากปล่องภูเขาไฟที่นี่มีคุณค่าด้านโบราณวัตถุ เพราะมีการขุดค้นพบของโบราณยุคโรมันหลายๆ อย่าง เช่น เรือสำราญหรูของ Emperor Caligula จักรพรรดิที่ได้ชื่อว่าเป็นเพลย์บอยชอบจัดงานเลี้ยงโดยมีสาวงามเสิร์ฟในชุดวันเกิด เรือถูกขุดพบในปี 1929 มันทำด้วยไม้กระจกและโมเสคที่ประดับประดาอย่างดี แต่ในสมัยที่เก็บไว้ที่พิพิธภัณฑ์Museo delle Navi Romani มันถูกไฟไหม้ทำลายไปในปี 1944 ปัจจุบันเลยมีแค่เป็นตัวที่จำลองมาและยังมีที่บูชาเทพแห่งการล่าคือ Diana, the goddess of hunt เมืองนี้ในสมัยก่อนมาได้โดยถนนโรมันที่ชื่อ Via Sacraที่ตัดตรงออกมาจากใจกลางโรมที่บริเวณ Roman forum

Wild Berry Festival Italy

Berry Tarte Wild Berry Festival Italy

และหากมาที่นี่ในช่วงหน้าร้อนห้ามพลาดเทศกาลสตรอว์เบอรี่ป่า Wild Berry ซึ่งมีชื่อเสียงท่านสามารถสั่ง Berry Tarte ทานได้จากร้านขนมเกือบทุกแห่งในเมืองนี้

Montefiascone, Lazio มอนเตเฟียสคอนเน่

City Break ROME Italty Montefiascone-agodibolsena 1

วิว Lake Bolsena จากเมือง Montefiascone

เมืองทะเลสาบอีกเมืองที่คุ้มค่าการไปเยือนก็คือมอนเตเฟียสโคเน่ Montefiascone เมือง hill town สูงจากระดับน้ำทะเลถึง 2,000 ฟุต หันหน้าเข้าสู่ทะเลสาบโบลเซนา Bolsena โอบล้อมด้วยภูเขา และยังมีไวน์ขาวดังของเมืองชื่อ Est!Est!Est!

Est-Est-Est-Montefiascone-Wine 1

Est-Est-Est-Montefiascone-Wine-Map

เมืองนี้เกิดในสมัยโรมันอยู่บนถนนสายที่ชื่อ Via Cassia มันโบราณเป็นถนนจากโรมไปฝรั่งเศสซึ่งผ่าน Montefiascone เป็นเมืองที่ Pope Leo X ทรงโปรดสำหรับการมาพักผ่อน

Cathedral of St. Margherita Italy

มาที่นี่ต้องมาชมโบสถ์ Cathedral of St. Margheritaที่มีโดมขนาดใหญ่เป็นอันดับ 3 ของอิตาลี เป็นรองแค่ St. Peter’s และDuomo ของเมือง Florence เท่านั้น

City Break Rome Part VI

เบรกเที่ยวในโรม…เที่ยวโรมแบบผู้ที่ยังใหม่กับโรม (ต่อ)
โดย Paul Sansopone

 
3.ไปเช่าvespaขี่เข้าฉากหนังโรแมนติกดังของโรม ย่าน Centro Storico (เชนโตร สตอริโก)

City Break ROME Italy Vespa Tour 2

ถึงแม้ว่าฉายาแบบเป็นทางการของโรมคือ Eternal City แต่อีกฉายานึง (แบบไม่เป็นทางการ) ก็คือ Romantic City เพราะคำว่า Romantic มันตั้งต้น 4 ตัวอักษรแรกว่า Roma ซึ่งก็คือกรุงโรมนั่นเอง แต่ถ้าจะเอาให้ถูกต้องคำนี้มาจากภาษาละตินว่า romant, หมายถึง ‘in the Roman manner’ ซึ่ง Roman ก็คือชาวกรุงโรมครับ จะเกี่ยวหรือไม่เกี่ยวก็ไม่รู้แต่ในบรรดาหนังรักโรแมนติกทั้งหลายทั้งเก่าใหม่ก็มักใช้Locationถ่ายทำที่นี่ เป็นการยืนยันว่ามันคือเมืองแห่งความรัก หนังโรแมนติกที่ถ่ายทำในโรมที่ผมชอบก็มี ‘Only you’ นำโดย Robert Downey Jr., ‘EAT, PRAY, LOVE’ นำโดย Julia Roberts และTo Rome with Love ของ Woody Allen, The man from U.N.C.L.E และอื่นๆ แต่มันคงไม่มีเรื่องไหนจะสุด Classic เท่ากับข้างล่างนี่เลย

Roman Holiday

Roman Holiday หนังปี 1953 เป็นAmerican romantic comedy เป็นเรื่องการเดินทางของเจ้าหญิงแอนน์ (Audrey Hepburn) ที่เสด็จมาโรมเรื่องงานหลวง แต่แอบหนีออกมาเที่ยวโรมตอนกลางคืน เหน็ดเหนื่อยจนหลับไปที่ม้านั่งในสวนสาธารณะ แล้วพระเอกนักข่าว Joe Bradley (Gregory Peck) ก็พาสาวหลงทางคนนี้กลับอพาร์ทเมนต์ตัวเอง และมารู้ตอนเช้าว่าเธอคือเจ้าหญิงแอนน์ และเรื่องราวก็ดำเนินไปอย่างสนุก เรื่องนี้เป็นหนังอเมริกันเรื่องแรกที่ Audrey Hepburn แสดงและสามารถคว้ารางวัลนักแสดงหญิงยอดเยี่ยมไปได้Academy Award for Best Actress รวมทั้งเครื่องแต่งกายยอดเยี่ยม Costume Design ที่น่าสนใจคือหนังเรื่องนี้ตั้งใจจะสร้างเป็นหนังสีแต่ค่าถ่ายทำในโรมแพงเกินงบจึงตัดสินใจออกมาเป็นหนังขาวดำ
และเนื่องจากโปสเตอร์แผ่นปิดของหนังเรื่องนี้จะมีเอกลักษณ์คือเป็นรูปพระเอกขี่เวสป้าพานางเอกเที่ยวไปในโรมก็คงต้องพูดถึงเจ้าพาหนะคู่ใจหนุ่มสาวอิตาเลี่ยนสมัยหลังสงครามที่ชื่อเวสป้านี่ซะหน่อย

เวสป้า

City Break ROME Italy Vespa Tour 1

คุณรู้หรือไม่?

Vespas คือรถscooterที่เปรียบเหมือนคนอิตาเลี่ยน คือมักจะส่งเสียงดังแบบไม่เกรงใจ รักสนุกไม่ค่อยเป็นงานเป็นการนัก บางครั้งก็ไว้ใจไม่ค่อยได้แถมยังเจ้าอารมณ์ แต่มีสไตล์ได้แบบง่ายๆ นี่คือความผสมผสานคุณสมบัติของรถscooter ที่ผลิตที่เมืองปอนเตเดราของอิตาลี มันมีเครื่องที่เสียงดังหนวกหู บางครั้งก็ไว้ใจไม่ค่อยได้ อยากจะดับก็ดับแต่ใช้งานง่าย มีสไตล์เท่ และสีสันสดใส ไม่น่าเชื่อว่าในปัจจุบันผู้คนต่างใฝ่หารถเวสป้าเก่าๆรุ่นคลาสสิกเช่นรุ่นปี 1952 Vespa U model หรือรุ่นปี 1946 Vespa 98 มาเป็นของสะสมปัจจุบันราคามากกว่า $40,000แล้ว

ไม่ว่าในหนังอิตาเลี่ยนขาวดำเก่าๆ เช่น La Dolce Vita หรือหนัง Hollywood เรื่อง Roman Holiday ที่พระเอกเกอเกรี่เปค ใส่สูทเซ็นญ่าแบบสุดเท่ขี่เวสป้าฉวัดเฉวียนพาออเดรย์ เฮปเบิร์นเที่ยวไปในกรุงโรม หรือจากหนังวัยรุ่นของอิตาลีที่มักจะมีฉากหนุ่มใส่ยีนส์ผมมันเยิ้มใส่เสื้อผ้าสำลี เคี้ยวหมากฝรั่งกำลังจอดเวสป้าสีเขียวturquoise เพื่อแวะดื่มเอสเพรสโซ่โดยที่ไม่ยอมถอดแว่นเรย์แบนออก คุณคงพอจะเดาได้ว่าเวสป้านั้นมันดังและคลาสิกขนาดไหน

City Break ROME Italy ROMAN-HOLIDAY

จนถึงวันนี้บริษัท Piaggioได้ผลิตเวสป้าสกูตเตอร์ออกมาแล้วกว่า 16 ล้านคันโดยมีโรงงานอยู่ในสิบสามประเทศและทำตลาดขายทั่วโลก ครั้งแรกที่ Enrico Piaggio ได้เห็นต้นแบบที่ออกแบบ โดย Corradino D’Ascanio วิศวกรอากาศยานที่เก่งคนหนึ่งเขาบอกว่า “มันดูเหมือนตัวต่อ!” เพราะก้นจะป่องเอวคอด และมันชอบบินโฉบไปโฉบมา ก็เลยเป็นที่มาของชื่อคำว่าเวสป้าในภาษาอิตาเลี่ยนมันก็แปลตรงๆว่าตัวต่อนั่นแหละ หลังจากนั้นภายในไม่กี่เดือนการร่วมทุนใหม่ของ Piaggio ก็เกิดขึ้นและเวสป้าก็เข้าสู่สายพานการผลิตในปี 1946 ภาษาอิตาลีถึงกับมีคำกริยาใหม่ vespare แปลว่าไปที่แห่งหนึ่งด้วยเวสป้า

เวสป้าของ D’Ascanio มีเสน่ห์ มันราคาถูก และดูน่าเชื่อถือ ผู้หญิงก็สามารถขี่มันได้แม้จะใส่กระโปรงแถมมีที่วางเท้าแบบfloorboard และแผงบังลมด้านหน้ากันลมตีอีกด้วย เครื่องยนต์ก็ซ่อนเอาไว้ในตัวถังแบบunibody เหล็กขึ้นรูปซึ่งรวม cowling ที่สมบูรณ์แบบซึ่งทำให้เสื้อผ้าไม่ไปเปื้อนคราบน้ำมันที่ติดอยู่แถวเครื่อง แถมมีที่เก็บของที่ซุกอยู่ใต้เบาะที่นั่ง และมีล้อขนาดเล็กไม่ต้องกลัวขากางเกงหรือแหย่เข้าไปในซี่ลวดล้อที่อาจเกิดอุบัติเหตุสยอง เขาออกแบบได้ฉลาดและคิดเสมอว่าคนที่จะขี่นั้นต้องแต่งตัวใส่เสื้อผ้าเก๋ๆอิตาเลี่ยนสไตล์

ยิ่งกว่านี้เวสป้า ซึ่งมีเสียงเครื่องครางฮึ่งๆ เหมือนตัวต่อเช่นกัน เป็นอะไรที่สนุก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอิตาลียุคหลังสงครามที่ต้องพยายามฟื้นตัวจากซากระเบิดของฝ่ายพันธมิตร ต้องการอะไรที่ประหยัดราคาไม่แพง แต่ในขณะเดียวกันก็อยากให้คนเลิกหดหู่หันมาหาความบันเทิงแต่ใช้จ่ายน้อย เวสป้าเป็นรถที่ใช้เครื่องความจุไม่ถึง100 cc ประหยัดและสนุกแน่ๆ ตอบโจทย์เลย
ผู้หญิงแน่นอนรักเวสป้า เพราะในสมัยนั้นจะใส่กระโปงไปคร่อมขี่มอเตอร์ไซด์ได้ไง ไม่ว่าจะผ่านมากี่ปี ไม่ว่าบริษัทของญี่ปุ่นหรือเยอรมันการผลิตรถแบบscooterออกมาเพื่อแข่งกับ Vespa แต่มันก็ยังไม่สามารถสู้ความคลาสสิกดั้งเดิมของรถScooterจากอิตาลีได้

 

Vespa-946d

Vespa 946

ในปีนี้ Piaggio เปิดตัวรุ่น 946 สกูตเตอร์ที่ทำออกมาได้อย่างสวยงาม นำเอาต้นแบบเดิมของ D’Ascanio กลับมาแต่ปรับให้มันอยู่ในสมัยคล้าย Fiat 500 ยุคใหม่นั่นแหละ ตัวนี้มีกำลังม้ามากกว่าตัวปี 46 ถึง 4 เท่า มีเบรก ABS และดูทนทานมากขึ้น การโฆษณาก็ใช้หญิงสาวๆ มีเสน่ห์เก๋ไก๋ขี่ scootering ทั่วกรุงโรมมุกเดิมนั่นแหละแต่มีความแตกต่างระหว่างพวกเขา และเจ้าหญิง Audrey Hepburn ของหกสิบปีที่ผ่านมา ก็คือพวกเขาดูเอาการเอางานคือกำลังขี่ไปทำงาน ไม่ได้อยู่ในช่วงเที่ยวโรมันวันหยุดแน่นอน แต่ที่แน่ๆ การออกแบบเวสป้านั้นประสบความสำเร็จ เพราะมันสะท้อนความมีเสน่ห์ของประเทศอิตาลีและรูปแบบการใช้ชีวิตของชาวอิตาเลี่ยน

แล้วในหนังเขาขี่ไปเที่ยวไหนกัน มันก็ต้องย่านใจกลางกรุงโรมที่เรียกว่า Centro Storico(เชนโตร สตอริโก) ไงครับ มันมีสถานที่ท่องเที่ยวที่เป็น a must สำหรับผู้ที่ไม่เคยมากรุงโรมที่อย่างน้อยควรไปแวะสัมผัสให้ได้ ที่จุดอื่นๆ ใช้นั่งรถผ่านชมเฉยๆ ได้ ที่ผมจั่วหัวให้เช่าvespaขี่เที่ยวในย่านนี้ เพราะมันเข้าบรรยากาศและเหมาะกับเมืองอย่างโรมมาก ท่านสามารถกูเกิ้ลประโยคนี้ “vespa rental in Rome for tourist”จะมีlistของบรรดาร้านให้เช่าหรือที่จัดเป็นแบบทัวร์(vespa tour)แบบขี่ตามไกด์ผู้นำทางไปก็สนุกดีแต่ถ้าไม่อยากขี่หรือขี่ไม่เป็น สถานที่ท่องเที่ยวสุดโรแมติกทั้ง 4 ที่ผมกำลังแนะนำนี้ ใช้เดินเอาได้เลยครับมันเดินถึงกันง่ายๆ ห่างกันจุดละ 15-20 นาทีสบายๆ

 

จุดที่ 1 The Trevi:

City Break ROME Italy vespa-infront-of-fountain-rome 1

Pic.credit italy4real.com

น้ำพุแห่งนี้เชื่อว่าถูกสร้างในสมัยโรมัน ในจุดที่ท่อส่งลำเลียงน้ำที่ชื่อ Aqua Virgo Aqueduct ในปี 19 B.C.มาสิ้นสุดที่โรม ที่ชื่อ Aqua Virgo หรือ Virgin Waters ก็เพราะเป็นเกียรติให้กับหญิงสาวบริสุทธิ์คนที่เป็นผู้นำทางทหารโรมันไปพบจุดที่เป็น ‘ตาน้ำ’ หรือต้นกำเนิดน้ำแร่บริสุทธิ์ห่างกรุงโรมออกไป 22 ไมล์ ทำให้จักรพรรดิสั่งให้ทำท่อลำเลียงน้ำจากตรงนั้นเข้ามายังใจกลางโรม เพื่อใช้สำหรับการอาบน้ำแร่แบบ tradition roman bath และดื่ม ทีนี้จุดที่มาสิ้นสุดในโรมนั้นมันมีถนน 3 สายมาตัดกัน ในสมัยนั้นก็เลยเป็นที่มาของชื่อเตร tre แปลว่า 3 vie แปลว่าถนนในภาษาลาติน (ในภาษาอิตาเลียนคือ Via) แต่งานที่ท่านเห็นในปัจจุบันเป็นงานที่สันตะปาปา Pope Clemens XII สั่งให้สร้างนำพุที่สวยงามทับลงในจุดนี้ในปี 1730 และผู้ชนะการประกวดแบบคือ Nicola Salvi ชาวกรุงโรม ทั้งที่จริงแล้วผู้ชนะที่แท้จริงคือ Alessandro Galileo สถาปนิกที่มีสกุลเดียวกับนักดาราศาสตร์ชื่อดังคือ Galileo แต่แพ้ไปเพราะเขาเป็นชาวเมืองฟลอเรนซ์ไม่ใช่โรมและราคา project ก็สูงกว่าของ Salvi ที่เจาะจงใช้หิน travertine stone จากแม่น้ำ Tiber แบบเดียวกับที่ใช้สร้างสนามประลอง Colosseum มันเป็นน้ำพุที่ใหญ่ที่สุดในโรมสูง 85 feet กว้าง 65 feet

แต่ที่น่าสนใจคือมันมีตำนานความเชื่อเรื่องการโยนเหรียญไว้ที่นี่ แต่ต้องโยนให้ถูกวิธีคือต้องหันหลังให้บ่อและโยนข้ามไหล่ซ้ายด้วยมือขวาแล้วอธิษฐานจะได้กลับมาที่นี่อีก จริงๆ แล้วมันเป็นประเพณีของทหารโรมันโบราณ ที่ก่อนออกรบนั้นถือเคล็ดว่าต้องโยนเหรียญทิ้งไว้ในบ่อน้ำแถวบ้าน เพื่อจะได้กลับมาบ้านอีก คือให้รอดตายจากการรบนั่นเอง เรื่องจะจริงหรือไม่ก็ไม่รู้ รู้แต่ว่าในแต่ละวันมีนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกมาโยนเหรียญไว้ที่นี่มีมูลค่าวันละเฉลี่ยถึง €3,000 ซึ่งเค้าก็นำไปเข้าโครงการการกุศล Caritas เพื่อช่วยเหลือเรื่องอาหารคนจน นั่นหมายความว่าทุกคนที่ไปโยนเหรียญไว้ที่นี่ได้ทำบุญไปในตัว

 

จุดที่ 2 Spanish Step

D3S_3994.dng

ฉากพระเอกขี่เวสป้าที่บันไดสเปนจากภาพยนต์เรื่อง The man from U.N.C.L.E
มีบันไดสวยๆ ขึ้นชื่ออยู่หลายแห่งทั่วโลก เช่น Potemkin Stairs ใน Odessa ประเทศ Ukraine หรือ Escadaria Selaron ที่ Rio de Janiero ประเทศ Brazil แต่จะมีที่ไหนจะสู้ความโรแมนติกของ ‘บันไดสเปน’ ได้ แม้ว่าผลงานทางสถาปัตยกรรมที่เป็นบันได138 ขั้นนี้ โดย Francesco de Sanctis และ Alessandro Specchi นี้จะดูเป็นของใหม่เมื่อเทียบกับสิ่งก่อสร้างส่วนใหญ่ในโรม แต่มันก็สร้างมาตั้งแต่ปี 1717 ก่อนจะมีประเทศสหรัฐอเมริกา(1776) จริงๆ แล้วมันถูกออกแบบให้เป็นทางลัดเดินขึ้นไปที่โบสถ์ Trinita dei Monti ที่อยู่บนเนินเขาด้านบน ในแง่การออกแบบถ้ามองจากบนอากาศลงมามันจะถูกออกแบบเป็นทรงแบบแจกันหรือบางคนบอกว่าเหมือนสร้อยคอแบบอียิปต์

City Break ROME Italy Spanish Step

นอกจากด้านบนของบันไดจะเป็นโบสถ์ จัตุรัสด้านล่างที่ชื่อ Piazza di Spagna ก่อนขึ้นบันไดยังมีน้ำพุที่เป็นผลงานเอกของ Pietro Bernini คุณพ่อของลูกอัจฉริยะแห่งศิลปะบาโรค Gian Lorenzo Bernini ที่มีผลงานอยู่ทั่วโรมถือเป็นอภิชาตบุตรโดยแท้ สำหรับน้ำพุที่คุณพ่อสร้างนั้นมีชื่อว่า Barcaccia Fountain มีรูปร่างเป็นเหมือนเรือเกยตื้น ทั้งนี้เพราะในปีคศ.1598 นั้น มีเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ แม่น้ำไตเบอร์ที่ไหลผ่ากลางกรุงโรมมีน้ำเอ่อล้นพาเรือลำหนึ่งขึ้นมาถึงจัตุรัสสเปน แต่พอน้ำลงไปเรือไม่ลงไปด้วยเกยตื้นอยู่กลางจัตุรัสนั่นเอง ทำให้พ่อของแบรนีนี่ใช้จินตนาการจากตรงนั้นทำรูปร่างน้ำพุแห่งนี้ให้เหมือนมีเรือจอดอยู่ ปัจจุบันสถานที่แห่งนี้คือจุดนัดพบที่ยอดเยี่ยมเราสามารถนั่งพักเหนื่อยตามขั้นบันได People Watching นักท่องเที่ยวจากทั่วโลกที่ต่างมาชื่นชมจัตุรัสแห่งนี้ ซึ่งเรียกว่าจัตุรัสสเปนก็เพราะว่ามันเคยมีสถานทูตสเปนตั่งอยู่ที่นี่ แต่โดยรวมมันก็ให้บรรยากาศแบบสเปนพอสมควรทีเดียว โดยเฉพาะในช่วงดวงอาทิตย์กำลังลับขอบฟ้า

 

จุดที่ 3 The Pantheon

ที่มาของชื่อ ‘อมตะนคร’ฉายาของกรุงโรม ก็มาจากความเชื่อของชาวโรมันที่ว่า…ไม่ว่าโลกเราจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรหรือจักรวรรดิโรมันจะล่มสลายไปกี่ครั้ง กรุงโรมก็จะยังคงอยู่ต่อไป…ตอนนี้เวลาก็ผ่านมาเกือบ 3000 ปีแล้ว โรมก็ไม่ได้บุบสลายไปสักเท่าไร และสิ่งก่อสร้างที่พิสูจน์ความอยู่ยงคงกระพันในโรมที่ผมอยากให้ไปชมคือที่นี่ครับ วิหารปันเตออน

City Break ROME Italy Pantheon-Rome-jpg

ชื่อ “Pantheon” มาจากภาษากรีกแปลว่าเทพเจ้าทุกองค์ “all the gods” ซึ่งแสดงให้เห็นว่าที่นี่เป็นวัดของpagan (พวกนับถือทวยเทพหรือลัทธิที่แตกต่างจากศาสนา) และที่ต้องบอกว่าเป็นของเทพเจ้าทุกองค์ เพราะตามปกติแต่ละวัดจะเป็นการสร้างเพื่อบูชาเทพเจ้าองค์ใดองค์หนึ่ง เช่น วัดอพอลโล เป็นต้น อย่างไรก็ตามที่นี่ถูกเปลี่ยนมาเป็นวัดของศาสนาคริสต์ในช่วงศตวรรษที่ 7 หลังจากโรมได้กำหนดให้ศาสนาคริสต์เป็นศาสนาประจำชาติ โดย จักรพรรดิ Constantine จนทุกวันนี้ก็ยังเปิดเป็นโบสถ์คริสต์ให้ประชาชนเข้าฟังสวดวันอาทิตย์ตามปกติ

ที่นี่เป็นโบสถ์อนุสรณ์ของนักบุญและถือเป็นสิ่งก่อสร้างโรมันที่คงกระพัน(พันปี)ที่สุดอยู่มานานกว่า 1,400 ปี แต่ที่เราเห็นนั้นเป็นversionที่ 3แล้ว วัดแรกสร้างเมื่อปี 27 B.C.แต่ไฟไหม้วอดไป วัดversionที่ 2 สร้างเมื่อปีที่1B.C.แล้วก็พังไปเช่นกัน ในปี 125AD จึงสร้างในversionปัจจุบันที่เราเห็นมีภาษาละตินเขียนอยู่ที่ด้านหน้าอ่านว่า“M•AGRIPPA•L•F•COS•TERTIVM•FECIT,” แปลเป็นอังกฤษได้ว่า “Marcus Agrippa, son of Lucius, consul for the third time, built this.” หมายถึงการให้เกียรติ Agrippa ผู้สร้างในversionที่1 แม้จะไม่ได้สร้างในversionปัจจุบัน

ส่วนโดมก็ถือว่าโดมแบบคอนกรีตไม่เสริมโครงที่ใหญ่ที่สุดในโลก ความสำคัญอีกอย่างก็คือเป็นที่ฝังศพจิตรกรที่สร้างคุณประโยชน์สร้างสรรค์งานศิลปะให้กับโรมอย่างมาก นั่นคือ Renaissance Painter ที่ชื่อ Raphael นั่นเอง และข้างๆ เขาก็คือศพของคู่หมั้นในชีวิตจริงของเขาที่ชื่อ Maria Bibbiena เธอเป็นหลานของบาทหลวงราชาคณะที่มีอำนาจแต่เป็นเรื่องเศร้าเพราะหมั้นกันไว้ในปี1514 แต่ Raphael ขอเลื่อนการแต่งงานไป 6 ปี และตัวเองก็ไปพบรักกับสาวลูกเจ้าของร้านขนมปัง ครั้นพอจะกลับมาแต่งงานคู่หมั้นคือMariaก็ตายไปซะก่อน และ Raphael ก็ตายตามไปเมื่ออายุเพียงแค่ 37 ปี

 

จุดที่4 Piazza Navona
จัตุรัสแห่งนี้ทำหน้าที่เหมือนเป็นสถานที่โชว์สถาปัตยกรรมแบบบาโรค( Baroque Architecture) ซึ่งชาวโรมต้องขอขอบคุณสันตะปาปาอินโนเชนที่10 ในช่วงกลางศตวรรษที่ 17 ได้ริเริ่มโครงการนี้ขึ้นมาโดยว่าจ้างBernini ปรมาจารย์ของศิลปะแบบบาโรค รวมทั้ง Borromini และ Rainaldi เพื่อจัดการจัตุรัสแห่งนี้ให้กลายเป็น Showcase of Rome ซึ่งมีน้อยคนนักจะที่ไม่ตกหลุมรักสถานที่แห่งนี้

City Break ROME Italy Vespa Tour

Rainaldi สร้าง Palazzo Pamphilj หรือบ้านให้กับPope ที่นี่ในสมัยที่โรมยังเป็น Papal state แต่ปัจจุบันมันเป็นสถานทูตบราซิลไปแล้ว แต่อาคารที่โดดเด่นที่สุดบนจัตุรัสนี้กลับเป็นวิหารนักบุญแอ็กเนส (Church of Sant’Agnese in Agone) ซึ่งเสียชีวิต ณ ที่นี่ ถือเป็นวิหารมีชื่อของโรม โดดเด่นเรื่องโดม และมีภาพฝาผนัง Ciro Ferri และ Sebastiano Corbellini) ว่ากันว่าหีบเก็บเครื่องประดับตรงแท่นบูชานั้นมีกระโหลกของนักบุญเอกเนสถูกเก็บไว้ในนั้น

City Break ROME Italy Piazza Navona

ศูนย์กลางของจัตุรัสก็คือเสาโอเบลิสก์ของโดมิเชี่ยน (Obelisk of Domitian ) รอบๆ เสาจะเป็นน้ำพุแห่งสี่มหานที (Fountain of the Four Rivers) ซึ่งแต่ละมุมจะมีรูปปั้นซึ่งเป็นตัวแทนแม่น้ำใหญ่จาก 4 ทวีป ได้แก่ คงคา ดานูป ไนล์ และ พลาต้า (Rio de la Plata ในทวีปอเมริกาใต้

แต่อีก 2 มุมก็ยังมีน้ำพุ Fontana del Moro โดยฝีมือของ Giacomo Della Porta ที่โดดเด่นด้วยการใช้วัสดุหินอ่อนสีดอกกุหลาบ และก็ยังมีน้ำพุของเทพแห่งทะเลเนปจูน Fontana del Nettuno ที่คุณพ่อของ Bernini มาช่วยทำอยู่อีกมุมหนึ่ง
ไม่น่าเชื่อว่าจัตุรัสแห่งนี้เคยเป็นสนามแข่งรถม้าแบบChariot Race ในหนังเรื่อง Ben-Hur (แต่จะมี Circus Maximusที่เป็นสนามที่ใหญ่กว่า) กีฬาสุดฮิตในยุคนั้น ถ้ามองจากด้านบนจะเห็นรูปร่างของสนามกีฬาโรมันโบราณชัดเจน สร้างในคริสต์ศตวรรษที่ 1 มีชื่อว่า Stadium of Domitian จักรพรรดิผู้สั่งสร้าง ซึ่งชาวโรมันจะเดินทางมาที่นี่เพื่อชม agones ที่หมายถึงกีฬา โดยในสมัยนั้นสถานที่แห่งนี้รู้จักในชื่อว่า ‘Circus Agonalis’ (สนามกีฬา) เชื่อกันว่าชื่อของจัตุรัสนี้มาจากการเรียกชื่อสถานที่เพี้ยนจาก ‘in agone’ เป็น ‘navone’ จนกระทั่งกลายมาเป็น ‘navona’ ในที่สุด

City Break ROME Italy Tre Scalini

แต่ที่นี่มันไม่ใช่จัตุรัสที่สวยงามแต่เพียงอย่างเดียว มันยังมีชีวิตชีวาที่สุดในกรุงโรมอีกต่างหาก ตอนกลางวันก็จะเต็มไปด้วยศิลปินจิตรกรที่นำผลงานมาขาย และร้านอาหารหรือคาเฟ่รอบๆจัตุรัสก็จะเต็มไปด้วยผู้คน ถ้าคุณอยากจะลิ้มรสชาติของจัตุรัสนี้อยากให้แวะทาน espresso และ tartufo ขนมทรงกลมแบบเห็ดทรุฟเฟิลทานคู่กับwhip creamที่ร้านต้นตำรับที่ชื่อ Tre Scalini เตร สกาลินี่ แปลว่า บันได 3 ขั้น (The Three steps) มันเปิดมาตั้งแต่ปี 1946 ใครๆ ก็มาทาน tartufo ที่นี่ ไม่ว่าจะเป็นระดับsecretary of states ของอเมริกาหรือดาราดังๆ ของฮอลลีวูด “Tartufo Tre Scalini”.มันคือของหวานชื่อดังของโรมที่ทำขึ้นมาโดยตะกูล Ciampini เจ้าของร้านที่นำเอาช็อกโกแลตสวิสถึง 13 รสมาปรุงและยังเป็นสูตรลับมาจนถึงทุกวันนี้ ยังไม่มีใครเลียนแบบได้เหมือน ต้องไปลองนะครับ

City Break ROME Italy Tartufo Tre Scalini

City Break Rome Part V

เบรกเที่ยวในโรม…เที่ยวโรมแบบผู้ที่ยังใหม่กับโรม (ตอนที่ 4)
โดย Paul Sansopone

…”และที่ไฮเทคมากก็คือมี “ลิฟต์” สำหรับยกกรงสัตว์ หรือนักสู้ขึ้นสู่พื้นสนาม ทำให้ชาวอิตาเลี่ยนหลายคนถึงกับคุยว่าประเทศเขานี่แหละที่เป็นผู้คิดค้นลิฟต์ขึ้นมา ไม่ใช่คุณ Otis อย่างที่เราเข้าใจ…”

หลังจากไปเที่ยววาติกันแบบเต็มอิ่มกันมาแล้ว วันนี้เราก็มาเริ่มเที่ยวโรมกันแบบไม่ให้พลาดLandmarkเด็ดๆของเมืองนี้ เริ่มด้วยกิจกรรมที่2 กันเลย

2.ไปชม Gladiator นักสู้เพื่อชีวิต ณ สังเวียนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของอาณาจักรโรมัน ‘โคลอสเซี่ยม’

 

City Break Rome Italy Colosseum 5

คำบรรยายภาพ: รูปจำลองของโคลอสเซี่ยมตอนเสร็จสมบรูณ์ในปี ค.ศ.80 จะเห็นรูปปั้นทองแดงขนาดใหญ่ “โคลอสซุส” Colossus (อยู่ด้านมุมขวาของภาพ) ของจักรพรรดิเนโร ซึ่งเป็นที่มาของชื่อ ‘โคลอสเซี่ยม’

คำว่า ‘ประชานิยม’ นั้นไม่ใช่ของใหม่ ไม่ใช่กลยุทธ์ของพรรคการเมืองไทยพรรคใดพรรคหนึ่งที่คิดขึ้นมาเอง แต่มันมีมาเกือบ 3000 ปีแล้วต่างหาก ถ้าย้อนดูประวัติศาสตร์เมื่อปี ค.ศ. 70-72 นั้นจักรพรรดิเวสปาเชี่ยน (Emperor Vespasian of the Flavian Dynasty) ต้องการจะสร้างคะแนนนิยมให้ตัวเองก็เลยสั่งให้มีการสร้าง ‘โคลอสเซี่ยม’ สนามกีฬาขนาดใหญ่เป็นของขัวญแด่ชาวโรมเพื่อที่ทุกๆ อาทิตย์จะได้มีโชว์สนุกๆ เหมือนเป็นการเอ็นเทอร์เทนพลเมืองของท่านโดยเฉพาะสามัญชนเพื่อไม่ให้หดหู่กับเหตุการณ์ร้ายๆ ที่เพิ่งผ่านมา เช่น ไฟไหม้ครั้งใหญ่ของโรมหรือความยากจนในช่วงข้าวยากหมากแพง จึงเน้นให้สร้างสนามแห่งนี้ให้จุคนดูให้ได้มากที่สุด

สถานที่ก่อสร้างโคลอสเซี่ยม เป็นบริเวณที่ลุ่มระหว่าง 4 เนินเขา ประกอบด้วย ปาลาไทน์ ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้.เวเลีย ทางทิศตะวันตก, เชลิโอ ทางทิศตะวันออก และคอล ออพพิโอ หรือเอสควิไลน์ (ปัจจุบันเป็นสวนสาธารณะ) ทางทิศเหนือ ซึ่งเดิมทีพื้นที่แห่งนี้ เป็นที่ตั้งของพระราชวังของจักรพรรดิเนโร (Nero) ซึ่งพระองค์ทรงยึดมาจากที่ดินของประชาชน จนกระทั่งจักพรรดิเนโรได้สิ้นพระชนม์เมื่อปี ค.ศ. 68 ก่อเกิดการชิงพระราชบัลลังก์อยู่ระยะหนึ่ง มีการสลับครองราชย์ช่วงสั้นๆ ของ 4 จักรพรรดิ แต่ในที่สุดจักรพรรดิเวสปาเชี่ยนทรงได้รับชัยชนะ และขึ้นครองราชย์ พระองค์จึงสั่งรื้อพระราชวังเดิมของจักรพรรดิเนโรเพื่อสร้างโคลอสเซี่ยม

City Break Rome Italy Colosseum 4

Credit pic: http://abrasaparvaz.com
เสียดายที่จักรพรรดิเวสปาเชี่ยนไม่ได้อยู่ดูความสำเร็จของการก่อสร้าง ด่วนจากไปก่อนในปี ค.ศ.79 พอปีต่อมาแม้ยังไม่เสร็จสมบรูณ์ 100% สนามนี้ก็มีพิธีเปิด โดยลูกชายของท่านที่ชื่อจักรพรรดิไตตัส Titus และให้ชื่อสนามกีฬาแห่งนี้เป็นทางการตามชื่อราชวงศ์ของท่านว่า Flavian Amphitheater** ที่รีบเปิดและมีทำการเฉลิมฉลอง 100 วัน ก็เนื่องจากในปีก่อนหน้าใน ค.ศ.79นั้น มีเหตุวิบัติ เพราะนอกจากพระบิดาสิ้นระชนม์แล้ว ก็ยังเป็นปีที่ภูเขาไฟ ’วิซูเวีย’ ทางตอนใต้ของโรมระเบิดถล่มเมืองปอมเปย์และเฮคูลินัมไปผู้คนล้มตายมากมาย เลยต้องฟื้นคืนสภาพหดหู่ด้วยเกมส์การต่อสู้ของนักสู้กลาดิเอเตอร์ (Gladiatorial Combats) ถึง 100 วันเต็ม ไม่ว่าจะในรูปแบบของนักสู้กลาดิเอเตอร์ของแต่ละค่ายสู้กันเอง หรือทหารโรมัน(รุม)กลาดิเอเตอร์(เพื่อที่จะได้ให้ประชาชนชาวโรมเห็นว่าทหารของจักรพรรดิเก่งกล้าควรแก่การสนับสนุนเงินหรือภาษีต่อไป) หรือจะเป็นกลาดิเอเตอร์สู้กับสัตว์ป่าจากแอฟริกา เช่น เสือและสิงโต เพราะอาณาเขตของอาณาจักรโรมันตอนนั้นก็แผ่ขยายไปถึงแอฟริกาตอนเหนือด้วย

 

City Break Rome Italy Colosseum Gladiator 9

ในครั้งนั้นทำให้ไตตัสเป็นจักรพรรดิที่ได้รับความนิยมสูงสุดพระองค์หนึ่งในประวัติศาสตร์โรม แต่การครองราชย์ของพระองค์นั้นสั้นกว่าของพระบิดามาก เพียงแค่หกเดือนหลังจากการแข่งขันรอบปฐมฤกษ์ พระองค์ก็สิ้นพระชนม์ด้วยอาการประชวรลึกลับ น้องชายของเขาคือโดมีเชี่ยน Domitian ก็ขึ้นครองราชย์ต่อและสร้างในส่วนที่ยังไม่สมบรูณ์ให้แล้วเสร็จ

**สำหรับที่มาของคำว่า “โคลอสเซียม ” นักประวัติศาสตร์ยังไม่สามารถหาข้อสรุปที่ยอมรับร่วมกันได้ ทฤษฏีที่คาดกันว่ามีความเป็นไปได้มากที่สุด คือ เรียกตามชื่อรูปปั้นทองแดงขนาดใหญ่ “โคลอสซุส” (Colossus) ของจักรพรรดิเนโร ที่ตั้งอยู่ใกล้บริเวณเดียวกันในสมัยนั้นนั่นเอง (ดูรูปใหญ่ด้านบนสุดที่เป็นรูปจำลองของโคลอสเซี่ยมตอนเสร็จสมบรูณ์ในปี ค.ศ.80 จะเห็นรูปปั้นทองแดงนั้นอยู่ด้านมุมขวาของภาพ)

 

City Break Rome Italy Colosseum 8
Credit pic: http://res.cloudinary.com ภาพบนจะเห็นองค์ประกอบแบบสมบรูณ์ของคอลอสเซี่ยมซึ่งมีกันสาดกันแดดให้คนดูและประดับด้วยรูปปั้นหินอ่อนของจักรพรรดิและทหารโรมันที่มีผลงาน

โคลอสเซี่ยมมีการก่อสร้างอย่างแข็งแรงด้วยอิฐและหินทรายและคอนกรีต แถมยังมีเหล็กรั้งหรือยึดในจุดสำคัญ วัดโดยรอบได้ประมาณ 527 เมตร สูง 57 เมตร สามารถจุผู้ชมได้กว่า 50,000 คน แม้จะมีขนาดใหญ่และจุคนได้มากมายขนาดนั้น แต่ด้วยช่องทางเข้ารอบทิศทั้ง 80 ช่องทาง(ประตูโค้ง)ก็สามารถทำให้ผู้ชมเข้าสู่โถงทางเดินต่อด้วยบันไดซึ่งนำไปสู่ที่นั่งของตนได้ภายในเวลาไม่กี่นาที ดูจากภายนอกจะเห็นมี 4 ชั้น แต่เมื่อเข้าไปอัฒจันทร์จะแบ่งเป็น 3 ชั้น มีการแบ่งพื้นที่ตามชนชั้น พื้นที่ของชนชั้นสูงจะมีที่นั่งเป็นหินอ่อน มีการออกแบบอย่างชาญฉลาดโดยให้สนามกีฬามีลักษณะเป็นรูปวงรี เพื่อให้ผู้ชมรู้สึกเข้าใกล้นักกีฬา และมีการออกแบบทางระบายน้ำเพื่อไม่ให้น้ำท่วมขังในสนามขณะเกิดฝนตก แต่เมื่อต้องการให้น้ำขังก็ทำได้เพราะเคยมีการจำลองสถานการณ์ต่อสู้ทางน้ำด้วยเรือที่นี่ด้วย อีกทั้งยังถือเป็นต้นแบบของสนามกีฬาต่างๆ ในปัจจุบัน

City Break Rome Italy Colosseum 1

Credit pic: http://www.teggelaar.com/:

บริเวณพื้นสนามมีโพเดี่ยมสร้างด้วยหินอ่อนโดยรอบ ใต้พื้นสนามสร้างเป็นห้องต่างๆ ประกอบด้วย ห้องนักสู้ “กลาดิเอเตอร์” กรงขังสัตว์ที่จะนำมาต่อสู้กับกลาดิเอเตอร์ ห้องเก็บอุปกรณ์เครื่องมือการต่อสู้ของกลาดิเอเตอร์ ห้องเก็บวัสดุก่อสร้างบางส่วน และที่ไฮเทคมากก็คือมี “ลิฟต์” สำหรับยกกรงสัตว์ หรือนักสู้ขึ้นสู่พื้นสนาม เรียกว่าชาวอิตาเลี่ยนหลายคนถึงกับคุยว่าประเทศเขานี่แหละที่เป็นผู้คิดค้นลิฟต์ขึ้นมา ไม่ใช่คุณ Otis อย่างที่เราเข้าใจ
เป็นเวลากว่า 500 ปี (จากศตวรรษที่ 1จนถึงศตวรรษที่ 6) ที่มีการต่อสู้เอาเป็นเอาตายในสังเวียนนี้ เพื่อสร้างความบันเทิงให้แก่สามัญชน จนเป็นส่วนหนึ่งของสังคมโรม เหมือนสมัยนี้เราไปดูคอนเสริต์หรือดูกีฬาในช่วงวันหยุดนั่นเอง นักสู้แต่ละคนที่ก้าวเข้ามาจะต่อสู้กันจนตายไปข้างหนึ่งต่อหน้าผู้ชมที่โห่ร้องด้วยความสะใจ ว่ากันว่ามีสัตว์ป่าที่ต้องมาตายที่นี่กว่า 1 ล้านตัว ไม่แน่ใจว่ากลาดิเอเตอร์ถูกสังเวยชีวิตไปเท่าใด

City Break Rome Italy Colosseum 7

หลังจากศตวรรษที่6ที่มีการต่อสู้ที่นี่เป็นครั้งสุดท้าย โคลอสเซี่ยมก็ถูกทิ้งรกร้างและเริ่มเสื่อมโทรม มีการนำเหล็กทีใช้ประกบหินปูนสีครีม travertine และเสาออกไปไปทำโครงการก่อสร้างอื่นๆ เป็นปริมาณรวมกันถึง 300 ตัน ทำให้บริเวณด้านนอกของโครงสร้างจะเห็นเป็นรูเต็มไปหมด เพราะเมื่อก่อนมีเหล็กเหล่านี้ฝังอยู่
และยังมีเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่ทำให้โครงสร้างด้านใต้ถล่มลงเหลือเป็นซากหักพังเป็นรอยเฉียง 45 องศาแบบที่เห็นทุกวันนี้ แถมยังมีการเอาหินที่นี่ไปทำการก่อสร้างวัดหรือโบสถ์วิหารที่อื่นอีกหลายแห่ง แต่ก็มีการบูรณะต่อเนื่องในช่วงหลังล่าสุดในปี 1990 ที่มีการบูรณะครั้งใหญ่ หากท่านไปเที่ยวที่นี่อย่าลืมถ่ายรูปกับประตูชัยคอนสแตนทินที่อยู่ใกล้ๆ เพราะประตูชัยนี้ก็คือต้นแบบของประตูชัยในปารีสที่สวน Tuilerie
อย่างไรก็ตามโคลอสเซี่ยมถือ Free Standing Structure ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลก เคยได้รับตำแหน่งให้เป็น Magnificent 7 หรือ Seven Wonders of the World ของยุคกลาง และเมื่อ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2550 โคลอสเซี่ยมยังได้รับเลือกให้เป็น 1 ในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่ จากการสอบถามความเห็นลงคะแนนทั่วโลกทั้งทางอินเทอร์เน็ตและโทรศัพท์มือถือ จัดโดยมูลนิธิ New7Wonders

ก่อนจะจบเรื่องนี้คงต้องให้เกียรติพูดถึงกลุ่มคนที่มีส่วนทำให้สถานที่แห่งนี้มีความยิ่งใหญ่ด้วยการสังเวยชีวิตทั้งจำใจยอมและไม่ยอม คนกลุ่มนี้ก็คือ Gladiator นั่นเอง

City Break Rome Italy Colosseum 6

ภาพโคลอสเซี่ยมในปัจจุบันที่เห็นรูเหล็กที่เคยฝังอยู่เพื่อประกบโครงสร้างให้แข็งแรงแต่ถูกนำออกไปใช้งานที่อื่นกัน ส่วนที่ถล่มลงและโครงสร้างที่หายไปเพราะมีการเอาหินที่นี่ไปทำการก่อสร้างวัดหรือโบสถ์วิหารที่อื่น

 

City Break Rome Italy Colosseum 2

ภาพสนามประลองที่เอาพื้นออก ทำให้เห็นห้องใต้ดินที่ออกแบบมาเหมือนเขาวงกตใช้ขังนักโทษ, Gladiatorและสัตว์ป่าที่ดุร้าย

Gladiator (มาจากภาษาลาตินแปลว่ามือดาบ “swordsman” จากคำว่าgladiusดาบ”sword”) ในสมัยจักรวรรดิโรมัน พวกนี้ก็คือทาสที่มาจากเมืองขึ้นของจักรวรรดิโรมัน เนื่องจากมีการรุกขยายอาณาเขตต่อเนื่อง ทหารหรือนักรบของข้าศึกถ้าไม่ตายเสียก่อนก็จะถูกจับมาเป็นเชลยขังไว้ หรือขายเป็นทาสเพื่อจะเอามาเป็น Gladiator พวกที่ถูกซื้อไปมักจะโดนซื้อโดยค่ายฝึก Gladiator นั่นแหละ เหมือนค่ายมวยที่เอาไปฝึกแล้วเอากลับมาสู้กับค่ายอื่นๆ เพื่อเอาเงินพนันหรือรางวัล เพราะในสมัยนั้นความที่โรมนั้นเป็นเมืองของจักรพรรดิที่ต้องการเสียงสนับสนุนตัวเอง ไม่ต่างไปจากนักการเมืองก็ต้องหาวิธี Entertain ชาวเมืองโรมด้วยการจัดแสดงการต่อสู้ในรูปแบบต่างๆ เช่น Gladiator กับสัตว์ที่มาจากแอฟริกา เช่น สิงโต หรือ Gladiator สู้กับทหารโรมัน (แต่แอบขี้โกงคือจะใช้ทหารโรมันเยอะกว่าและให้อาวุธครบมือกว่า) เพื่อโชว์ว่าทหารของโรมนั้นยิ่งใหญ่ที่สุดเวลาไปรบ ชาวบ้านจะได้นึกภาพออกและสนับสนุนทหารและการออกไปรบ หรือ Gladiator ค่ายหนึ่งสู้กับอีกค่ายหนึ่ง คนที่ชนะก็อยู่ต่อไปจนถึงไฟล์ทหน้า แต่คนแพ้มักจะตายจะรอดได้ต่อเมื่อสู้ได้ชนะใจคนดู และจักรพรรดิชูนิ้วโป้งขึ้นตามเสียงของคนดูกึกก้องสนามกีฬา หากไม่ประทับใจคนดูจะโห่ไล่และให้สัญญาณจักรพรรดิให้ชูนิ้วโป้งลงดิน หมายถึงให้ผู้ชนะฆ่าทิ้งเสีย แต่ Gladiator ก็อาจมาจากชาวโรมันหรือคนอีทรุสคันEtruscanจากถิ่นต่างๆ ที่ชอบการต่อสู้เพื่อเงินรางวัล และสมัครเข้ามาแข่งโดยไม่มีค่ายก็ได้ สนาม Arena สำหรับการต่อสู้มีอยู่หลายแห่ง เช่นที่เมือง Capua ทางใต้ใกล้Pompeii แต่ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคงหนีไม่พ้น Colosseum หรือ Coliseum ของกรุงโรมที่สร้างตั้งแต่สมัยจักรพรรดิ Vespasian ต่อสมัยลูกของท่านคือ Titus ในช่วงปี 70-80 AD ที่นี่สามารถจุคนได้ 50,000 ถึง 70,000 คนดู และโดยเฉลี่ยผู้ชมอยู่ที่ 65,000 ผู้ชม

ท่านทราบหรือไม่ว่า
– Gladiatorนั้นมักจะต้องสวมหมวกโลหะหรือหน้ากากในการต่อสู้ แม้จะแพ้แล้วก็จะไม่ถูกบังคับให้ถอดหน้ากากออก เพราะหลายๆ ครั้งที่ Gladiator จะมาจากค่ายเดียวกันฝึกซ้อมมาด้วยกันเป็นเพื่อนกัน การที่ได้เห็นหน้าเพื่อนแล้วต้องลงมือโดยเฉพาะในดาบสุดท้ายที่จะปลิดชีวิตหลังจากจักรพรรดิชูนิ้วโป้งนั้นมันยากเกินไป
– Gladiator มักจะถูกเลี้ยงให้อ้วนเต็มไปด้วยไขมันเหมือนซูโม่ เพราะจะทนคมดาบได้นานกว่าคนผอม และในการต่อสู้ในสมัยนั้นไม่มีการจัดรุ่นตามน้ำหนัก เช่น light weight ก็ต้องสู้กับ light weight ดังนั้นการทำน้ำหนักให้เยอะไว้ก็จะได้เปรียบในการต่อสู้

ภาพ Polliceหรือ Thumbs Down by Jean-Léon Gérôme, 1872

ภาพยนตร์เกี่ยวกับ Gladiator ที่ควรหามาดู
พอดีวันนี้ที่ผมเขียนเรื่องนี้อยู่มีงานประกาศรางวัล Academy Award ของปี 2017 อยู่เลย ต้องขอพูดถึงหนัง Gladiator ซักนิด เพราะเป็นหนังที่ได้รางวัล Oscar ในปี 2001ไปหลายรางวัลดังนี้
Academy Award for Best Picture2001
Academy Award for Best Actor2001 • Russell Crowe
Academy Award for Best Costume Design2001
Academy Award for Best Visual Effects 2001

มันเป็นเรื่องในสมัยจักรพรรดิ Commodus (นำแสดงโดย Joaquin Phoenix) ขึ้นสู่อำนาจโดยการแย่งชิงตำแหน่งจากบิดา โดยการลอบปลงพระชนม์ Emperor Marcus Aurelius ที่เป็นจักรพรรดินักปราชญ์นักคิดผู้มีวิสัยทัศน์กว้างไกล และจัดการใส่ร้ายนายพลมือขวาของท่านที่ชื่อ Maximus (นำแสดงโดย Russell Crowe แต่ในประวัติศาสตร์ไม่พบนายพลคนนี้) ว่าเป็นคนทำเพราะมักใหญ่ใฝ่สูง ทำให้นายพลนักรบผู้ซื่อสัตย์คนนี้ต้องหนีระหกระเหินไปกลายเป็น Gladiator เพื่อกลับมาแก้แค้น เข้าฉายเมืองไทยเมื่อเดือนพฤษภาคม วันที่ 26 ปี 2000 และก่อนหน้านั้นก็มีหนังเกี่ยวกับ Gladiator ดังมากๆ ที่ชื่อ Spartacus ในช่วงปี 60 นำแสดงโดยพระเอกคางบุ๋ม Kirk Douglas ซึ่งมีการกลับมาทำใหม่เป็นหนัง TV Series ชื่อ Spartacus-Blood and Sand ดังมากเช่นกัน เพราะเป็นการสะท้อนถึงชีวิตจริงในสมัยโรมันได้อย่างถึงพริกถึงขิง

 

เจอกันคราวหน้าไปเที่ยวที่สุดของวิหารโรมันในโรมกันครับ