สัปดาห์ก่อน ดิฉันได้รับเมล์จากสมาชิกเพจท่านหนึ่ง เล่าปัญหาสุขภาพของระบบการย่อยอาหารที่ผิดปกติมาหลายปี รวมทั้งอาการไมเกรนที่ไม่ยอมหายขาด เธอเล่าว่ามีคนแนะนำให้ลองรักษาด้วยวิธีแพทย์ทางเลือก แต่ก็ไม่แน่ใจว่าจะดีไหม เมื่อฟังจากอาการที่เธอเล่ามา ทำให้ดิฉันนึกไปถึงสภาวะแพ้สารอย่างหนึ่งคือ กลูเตน ( Gluten) ซึ่งเป็นเรื่องที่คนไทยส่วนมากอาจเป็นแต่ไม่รู้ตัว ทั้งในชีวิตประจำวัน ก็มีความเสี่ยงจากการบริโภคอาหารกลุ่มนี้เช่นพวกเบเกอรี่ กันเป็นประจำ ทำให้คิดว่า ถึงเวลาที่เราควรหาความรู้เรื่องนี้กัน
กลูเตน (Gluten)คืออะไร
กลูเตน Gluten เป็นไกลโคโปรตีนชนิดหนึ่งที่เกิดจากการรวมตัวของโปรตีน 2 ชนิดคือ กลูเตนิน (Glutenin) และ ไกลอะดิน (Gliadin) รวมกัน มีความเหนียวและยืดหยุ่น ไม่ละลายในน้ำ มันจะทำหน้าที่เสมือนกาวเชื่อมส่วนของอาหารไว้ด้วยกัน มักจะพบกลูเตนในธัญพืชเช่นข้าวสาลี ข้าวไรน์ ข้าวบาร์เลย์ ฯลฯ และในอาหารเจที่จะใช้กลูเตนนี้แทนเนื้อสัตว์ รวมทั้งเบเกอรี่ที่ขายทั่วไป กลูเตน เป็นอาหารที่ก่อภูมิแพ้ชนิดหนึ่ง และมีคนจำนวนมากที่มีแพ้สารนี้โดยไม่รู้ตัว
คนที่แพ้กลูเตนหรือมีความอ่อนไหว เมื่อบริโภคเข้าไป ร่างกายก็จะเกิดปฏิกิริยาต่างๆซึ่งแสดงออกว่าคุณกำลังแพ้สารกลูเตนนี้อยู่ ทั้งการปวดข้อ, ปัญหาท้องอืดจากแกสในกระเพาะอาหาร, อาหารไม่ย่อย, ความเหนื่อยเรื้อรังและความรู้สึกหดหู่เศร้าหมอง รวมไปถึงไมเกรน ซึ่งหลายคนนึกไม่ถึงว่าจะมีสาเหตุมาจากการแพ้สารอาหารชนิดนี้
อาหารชนิดใดบ้างที่มีกลูเตน
อันดับหนึ่งเลยก็คือ ข้าวสาลี (Wheat) คือธัญพืชที่เราพบได้ในส่วนประกอบของอาหารประเภทพาสต้า ซีเรียลและขนมปัง สำหรับน้ำสลัดและซุปต่างๆนั้นก็มีสารกลูเตนนี้อยู่บ้างแต่ก็มักจะในปริมาณเล็กน้อยเท่านั้น และนอกจากข้าวสาลีแล้วข้าวบาร์เลย์และข้าวไรน์ ก็เป็นธัญพืชอีกสองชนิดที่ถูกระบุว่ามีกลูเตน เราจะพบข้าวไรน์ในเบียร์ ขนมปังและซีเรียล การบริโภคอาหารเหล่านี้และเครื่องดื่มที่ว่านี้ ก็จะทำให้คนที่แพ้กลูเตนเกิดอาการแพ้กำเริบขึ้นมา
โรคหรืออาการที่อันตรายที่สุดของการแพ้กลูเตน คือโรคที่เราเรียกกันว่า โรคเซลีแอค (Celiac disease) เป็นสภาวะความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกันร่างกาย ที่ส่งผลให้ลำไส้เล็กได้รับความเสียหาย เช่น เกิดการอักเสบของผนังลำไส้เล็ก ทำให้ร่างกายดูดซึมสารอาหารได้ไม่เต็มที่ จึงตามมาด้วยปัญหาสุขภาพอีกมากมายเช่น กระดูกพรุน, มีบุตรยากจากการที่สุขภาพร่างกายไม่สมบูรณ์ ตลอดจนความเสียหายของระบบประสาทส่วนต่างๆ ฯลฯ โรคเซลีแอคนี้ ถูกจัดอยู่ในกลุ่มของโรคออโต้อิมมูนหรือภูมิคุ้มกันบกพร่องชนิดหนึ่ง ที่จะไปทำให้เกิดปัญหากับลำไส้เล็ก ซึ่งเป็นอวัยวะที่ถูกโจมตีจากโรคนี้โดยตรง โดยกลูเตนที่บริโภคเข้าไปนี้ จะไปลดความสามารถของร่างกายในการดูดซึมสารอาหาร และเมื่อร่างกายไม่สามารถดูดซึมสารอาหารได้อย่างมีประสิทธิภาพ ก็จะนำไปสู่ปัญหาเรื้อรังอื่นๆของสุขภาพร่างกายในระยะยาว
จากสถิติการศึกษาขององค์การอนามัยโลกพบว่า ปัจจุบันนี้ในประชากร 100 คน จะมี 1 คนที่มีอาการแพ้กลูเตนโดยที่เป็นโรค เซลีแอค นี้ ซึ่งบ่อยครั้งที่พบว่า คนที่มีความอ่อนไหวต่อกลูเตนนี้จะไม่รู้ตัวและคิดว่าตัวเองเป็นโรคเรื้อรังอื่นๆหรือจากสาเหตุอื่นๆ เช่น โรคกระเพาะอาหาร, โรคลำไส้อักเสบ, โรคไมเกรนจากความเครียดสะสม ฯลฯ ด้วยความไม่คาดคิดว่าสิ่งนี้เกิดจากการแพ้อาหาร แต่หลังจากที่พวกเขาได้กำจัดกลูเตนออกไปจากการบริโภค ปัญหาสุขภาพที่เคยเกิดขึ้นก็สิ้นสุดลง
คุณกำลังแพ้กลูเตนอยู่หรือเปล่า:
ลองสำรวจตัวเองดู หากคุณมีอาการเหล่านี้หลังจากบริโภคอาหารที่มีสารกลูเตนเข้าไปละก็ เชื่อได้เลย
1. รู้สึกหมดแรงและเหนื่อยเรื้อรัง: จากการศึกษาแสดงว่าความเหนื่อยหรืออาการหมดแรง มีความเกี่ยวพันกับการแพ้สารกลูเตน โดยเชื่อว่านี่คือปฏิกิริยาที่เกิดจากความเกี่ยวข้องกันกับระบบการเก็บสำรองพลังงานของร่างกายและระบบการติดเชื้อ
2. ปัญหาของผิวพรรณ: หากเรามีอาการแพ้กลูเตน ก็จะเกิดอาการของโรคผิวหนังต่างๆเช่นสิว โรคผิวหนังภูมิแพ้,เริม ทั้งยังรวมถึงอาการผิดปกติอื่นๆของผิวหนังเช่นอาการคัน ผิวเป็นรอยแดงเหมือนรอยไหม้, ตุ่มพุพองและผื่นต่างๆ
3. เจ็บปวดกล้ามเนื้อและข้อต่อ: แค่คุณมีอาการอ่อนไหวต่อกลูเตน ก็จะนำไปสู่การติดเชื้อได้ง่ายๆและการเจ็บปวดข้อต่อต่างๆของร่างกาย ในขณะเดียวกัน มีรายงานได้ถูกตีพิมพ์โดยวารสารของสมาคมโรคไขข้อของสหรัฐอเมริกา ระบุความเกี่ยวข้องกันของการแพ้กลูเตนว่า สารนี้เกี่ยวข้องกับเรื่องไขข้ออักเสบและการปวดข้อต่อส่วนต่างๆของร่างกายด้วย
4. ภาวะสมองตื้อ หลงลืมง่าย (Brain fog): หนึ่งในสิ่งที่น่าตกใจของอาการแพ้กลูเตนก็คือเรื่องนี้ ซึ่งเป็นอาการสมองตื้อ คิดอะไรไม่ออก และอาจเป็นจุดเริ่มต้นของอาการสมองเสื่อมในที่สุด
5. ความผิดปกติของระบบภูมิต้านทาน: สารแอนตี้บอดี้ ที่เรารู้จักกันในชื่อของ IgA antibodies ที่พบในระบบการย่อยอาหารและน้ำลาย เป็นสารที่ช่วยป้องกันเราจากโรคหวัด โรคไข้หวัดและโรคต่างๆอีกมากมาย การแพ้กลูเตนจะไปมีผลเสียโดยตรงกับสารนี้ ทำให้คุณมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคต่างๆได้ง่ายขึ้น
6. ไมเกรนเรื้อรังและอาการปวดศีรษะ: ไมเกรนได้รับการจัดว่าเป็นอาการปวดศีรษะที่ทรมานที่สุดในอาการปวดศีรษะทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับมนุษย์ มีรายงานศึกษาหนึ่งแสดงว่า ผู้ที่มีอาการแพ้กลูเตนจะมีแนวโน้มของการเป็นไมเกรนได้ง่ายและรุนแรงกว่าผู้ที่ไม่แพ้สารอาหารดังกล่าว
7. ปัญหาของฟันและสุขภาพช่องปาก: อาการอื่นๆของการแพ้กลูเตนได้แก่ โรคปากนกกระจอก (canker sore) อาการร้อนใน และแผลเปื่อยในช่องปาก เนื่องจากคนที่แพ้กลูเตนมักจะมีระดับแคลเซียมในร่างกายต่ำ ซึ่งแคลเซียมเป็นสิ่งจำเป็นต่อสุขภาพฟันของเราทุกคน
8. น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นผิดปกติ: เหตุผลของน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นนี้ก็คือ ความบกพร่องของระบบการดูดซึมอาหาร และการซึมผ่านของลำไส้ที่เป็นไปได้ได้ไม่ดีเท่าที่ควร ซึ่งหากใครที่มีน้ำหนักตัวเพิ่มเพราะเหตุนี้ และได้หยุดบริโภคกลูเตน ก็จะสามารถกลับมาสู่น้ำหนักตัวปกติเดิมของตัวเองได้อีกครั้ง
อย่างไรก็ตาม อาการแพ้กลูเตนนี้เป็นเรื่องธรรมดาของคนในเมืองใหญ่ที่จะเกิดอาการนี้ขึ้นได้ไม่แปลกประหลาด จากการบริโภคอาหารพวกเบเกอรี่ที่มีส่วนประกอบของข้าวสาลี และผู้บริโภคแบบมังสวิรัติที่ใช้กลูเตนเป็นส่วนประกอบแทนเนื้อสัตว์
จะแก้ไขอย่างไรถ้ารู้ว่าแพ้กลูเตน
คำตอบก็คือ อาการนี้ไม่มีทางหายขาด แต่เมื่อรู้สึกว่าแพ้กลูเตน ก็ควรเลี่ยงการบริโภคอาหารที่มีสารนี้เสีย โดยเปลี่ยนเป็นอาหารแป้งที่ปราศจากกลูเตน อันได้แก่ ข้าวโพด, มันฝรั่ง, ข้าว, แป้งข้าวเจ้า, แป้งมันสำปะหลัง, แป้งข้าวเหนียว, ถั่วเหลือง, บัควีท, เมล็ดแฟล็กซ์ , ควินัว, แป้งข้าวโพดคอร์นมีล ฯลฯ เป็นต้น ซึ่งอาหารเหล่านี้ เป็นอาหารประเภทแป้งที่ระบุว่า ปราศจากสารกลูเตน ( gluten – free)
สิ่งสำคัญที่คุณต้องรู้ก็คือ ถึงแม้อาการแพ้กลูเตน จะไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่การเลี่ยงจากอาหารแป้งกลุ่มที่มีกลูเตน ก็จะทำให้ปัญหาสุขภาพที่มีอยู่นั้นสงบลงได้ หากคุณพบว่าแพ้สารอาหารชนิดนี้ การเลี่ยงจากมันถือว่าเป็นวิธีแก้ไขที่ดีที่สุด
หวังว่าเรื่องนี้ คงเป็นข้อพิจารณาที่ดีให้กับทุกท่านที่มีปัญหาสุขภาพอยู่นะคะ ลองสำรวจดูว่าคุณเป็นคนหนึ่งที่มีอาการทั้งแปดอย่างนี้หรือเปล่า ปัญหาสุขภาพหลายเรื่องเป็นเหมือนเส้นผมบังภูเขา หลายครั้งที่เราคิดว่ามันเป็นเรื่องใหญ่โต แต่จริงๆมันอาจมาจากสาเหตุเล็กนิดเดียวที่คุณสามารถแก้ไขด้วยตัวเองได้ไม่ยาก การหมั่นสังเกต จะเป็นกระจกสุขภาพให้ตัวคุณเองได้ดีที่สุดค่ะ