City Break Paris Part XXXV

By Pusit Sansopone

เบรกเที่ยวในกรุงปารีส ตอนที่ 35

‘พระราชวังแวร์ซาย’ (ต่อ)

ชีวิตในแวร์ซาย ตอน 4 (Life in the court)

เมื่อคราวที่แล้วพูดถึงตารางกิจกรรมสันทนาการยามบ่ายของพระเจ้าหลุยส์ที่14 ซึ่งมักจะมีกิจกรรมในสวนแวร์ซายหรือถ้ามีการล่าสัตว์ก็บริเวณในป่ารอบๆแวร์ซาย จึงมีการพูดถึงการสร้างสวนแห่งนี้ซึ่งแบ่งออกเป็น 4 Phases หรือ 4 ช่วง แต่พูดถึงช่วงแรกไปช่วงเดียวก็เลยไปพูดถึงเรื่องระบบสุขอนามัยของแวร์ซายเสียยืดยาวจึงต้องมาต่อเรื่องสวนและกิจกรรมของพระเจ้าหลุยส์ ช่วงหลังพระอาทิตย์ตกกันในวันนี้และถือเป็นตอนสุดท้ายของแวร์ซายด้วยครับ

City Break Paris Life in the Court Part 35 -2

กลับมาเรื่องสวนแวร์ซายในช่วงก่อสร้างเพิ่มครั้งที่สองจากปีคศ. 1664 – 1668 จะมีน้ำพุใหม่ถูกสร้างขึ้นเช่นเดียวกับการทำแปลง Bosquets ใหม่ “ด้วยขั้นตอนนี้ทำให้สวนแห่งนี้ถือว่าเป็นสัญลักษณ์ของการออกแบบภูมิประเทศแบบสมมาตร มีเอกลักษณะเป็น jardin à la française หรือ French Formal Garden อย่างแท้จริง มีน้ำพุ Grotte de Téthys (น้ำพุแห่งทะเลกรีก Thetis) และบ่อน้ำลาโตเน่ Bassin de Latone และ Bassin Apollon (น้ำพุเทพเจ้ากรีกพระเจ้าอพอลโล จะเห็นน้ำพุที่มีเทพอพอลโลและรถศึกของเขาโผล่ออกมาจากทะเล) ในวันเปิดใช้น้ำพุนั้นผู้ให้สัญญาณคำสั่งนกหวีดก็คือพระเจ้าหลุยส์ที่14 นั่นเอง

City Break Paris Life in the Court Part 35 -3

สวน Versailles ช่วงที่สามหรือPHASE III นั้นอยู่ในช่วงปี 1680 – 1685 ได้เปลี่ยนการออกแบบของ Le Nôtre มาเป็นการออกแบบของสถาปนิกคนใหม่ที่ชื่อ Jules Hardouin-Mansart! ซึ่งเขาได้ ปรับเปลี่ยนการออกแบบของ Le Nôtre โดยการขยายสนามหญ้าระหว่างน้ำพุไปจนถึงขนาดของปัจจุบันที่เราและเขาได้เพิ่มบ่อน้ำขนาดใหญ่แบบเหลี่ยมคู่ (เรียกว่าคลองแกรนด์ (Canal) และคลอง Petite (แนวนอน)) เพื่อเป็นตัวแทนของแม่น้ำใหญ่สองสายของประเทศฝรั่งเศส

City Break Paris Life in the Court Part 35 -4

ภาพบนเป็นระบบทดน้ำจากแม่น้ำเซนไปที่แวร์ซาย ซึ่งทำให้ระบบน้ำพุคูคลองในสวนแวร์ซายมีชีวิตชีวาอยู่ต่อเนื่อง แต่ไม่เห็นมีการพูดถึงระบบระบายน้ำเสีย

สวน Versailles ช่วงที่ 4 (PHASE IV) คือขั้นตอนสุดท้ายเกิดขึ้นช่วงปีค.ศ. 1704 – 1785. อย่างไรก็ตามในเดือนกันยายน วันที่ 1 ปี 1715 พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 สิ้นพระชนม์จากโรคปากเท้าเปื่อยที่แวร์ซายส์ และในปี ค.ศ. 1722 หลุยส์ที่ 15 กลับมายังแวร์ซายส์ เขาไม่ได้ใช้เงินจำนวนมากในวังเช่นเดียวกับคุณปู่ (พระเจ้าหลุยส์ที่ 14) สวนจึงมีการเปลี่ยนแปลงแค่เล็กน้อย

โดยสรุป Gardens of Versailles ทั้งหมดมีต้นไม้ อย่างน้อย 200,000 ต้น หากนำมาวางเรียงเป็นทางยาวจะได้ถึง 81 กิโลเมตรของแถวต้นไม้ มีไม้ดอกที่ให้ดอกไม้ในช่วงอากาศอบอุ่นเฉลี่ยประมาณ 210,000 ดอกกระจายทั่ว parterres มีน้ำพุที่มีระบบพ่นน้ำกว่า 50 จุด ซึ่งไหลผ่านท่อน้ำยาวรวมกันวัดได้ 21 ไมล์ มีถนนยาวรวมกัน 12 ไมล์ สวนสาธารณะขนาดใหญ่กว่า 1900 เอเคอร์ (4807ไร่)

เวลา 18.00 น. หรือ 19.00 น พิธีกินเลี้ยงหรือฉลองยามค่ำ

พระเจ้าหลุยส์ที่14 มักนิยมการจัดงานปาร์ตี้ให้มีความบันเทิงกลางแจ้ง เช่น งาน Evening Gatherings ในขณะเดียวกันท่านก็จะไปลงนามในหนังสือสำคัญมากมายที่เตรียมโดยเลขาธิการของที่บ้านในสวนของ Mme de Maintenon มาดามแมงเตนอง พระราชสนมคนโปรด ซึ่งเธอจะได้ทำการศึกษาเอกสารสำคัญเหล่านั้นไว้ก่อน เธอถือเป็นหนึ่งใน 4 เลขาธิการแห่งรัฐ

City Break Paris Life in the Court Part 35 -5

ภาพบนเป็นภาพของ Mme de Maintenon มาดามแมงเตนอง พระราชสนมคนโปรดและเลขาธิการแห่งรัฐ โดยที่ภาพซ้ายนั้นเป็นภาพวาดสีน้ำมันจากตัวจริงแต่ภาพขวาคือดาราที่แสดงเป็นพระนางในซีรี่ส์เรื่อง”Versailles”

City Break Paris Life in the Court Part 35 -6

อย่างไรก็ตามพระเจ้าหลุย์ที่14 ก็ยังมีสนมคนโปรดมากที่สุดอีกรายหนึ่ง ที่อาจไม่ได้ให้อำนาจรัฐแต่พระองค์ทรงมีลูกด้วยกับ Francois-Athenais ในภาพซ้ายที่วาดจากตัวจริงและภาพขวาก็คือดาราที่แสดงเป็น Francois ในซีรี่ส์เรื่อง”Versailles”

แม้ว่าพระเจ้าหลุยส์ที่14 จะแต่งงานกับสมเด็จพระราชินีมาเรีย – เทเรสในปี ค.ศ. 1660 แต่พระองค์ไม่ได้มีนางเพียงคนเดียว ดังนั้นเมื่อพระเจ้าหลุยส์เสด็จพระราชดำเนินไปยังบ้านพักมาดามแมงเตนองทุกๆเย็น มาดามก็เหมือนกลายเป็นภรรยาคนที่สองของท่าน (แม้ว่าการสมรสไม่เคยประกาศอย่างเป็นทางการหรือยอมรับ) ในขณะนั้นท่านอาจศึกษาแฟ้มเอกสารสำคัญกับ 1 ใน 4 เลขาธิการของรัฐ ท่านก็ได้รับความเพลิดเพลินไปกับการได้ใกล้ชิดกับของมาดามไปด้วย

เวลา 22.00 น. พิธีอาหารมื้อเย็นSupper Fit for a King
ฝูงชนรีบเข้าห้องรับแขกของพระเจ้าหลุยส์เพื่อมาร่วมรับประทานอาหารเย็นที่ Royal Table กษัตริย์เสด็จประทับที่เสวยกับสมาชิกในพระราชวงศ์ เมื่ออาหารเสร็จสิ้นแล้วพระมหากษัตริย์เดินข้ามห้องและเข้าร้านเพื่อทักทายผู้หญิงในศาล จากนั้นเขาก็เกษียณในตู้เพื่อสนทนากับครอบครัวและเพื่อนสนิทของเขาได้อย่างอิสระ

City Break Paris Life in the Court Part 35 -7

ในเวลา 4 ทุ่ม ฝูงชนจะเข้ามาจนเต็มห้องรับรองหรือ Antichambre ในบริเวณ Kings Suite เพื่อเป็นสักขีพยานในงานเสวยอาหารค่ำของกษัตริย์ พระราชาและพระราชินีจะเสด็จมาด้วยกัน อาหารค่ำแบบราชสำนักจะประกอบไปด้วยการเสิร์ฟจากอาหารจานเปลถึง 40 จานที่มักเสิร์ฟชุดละ 8 จานซึ่งสามารถนำจานไปใช้ซ้ำได้ 5 ครั้งในระหว่างมื้อ อาหารจะประกอบไปด้วยซุป, สลัด, เนื้อสัตว์, ผัก และของหวาน “อาหารทุกจานถูกลิ้มรสก่อนโดยคนรับใช้สนิท เพื่อตรวจสอบสารพิษ และใช้คนเสิร์ฟเป็นจำนวน 100 คน หากเป็นงานใหญ่ก็ถึง 1,000 คนที่ต้องเดินไปห้องครัวที่อยู่ไกลไปอีกอาคารหนึ่ง เจ้าหน้าที่เหล่านี้จะถูกแบ่งหน้าที่ออกไปเป็น “เจ้าหน้าที่พระโอษฐ” ทำหน้าที่ตักเสิร์ฟ, เจ้าหน้าที่ลำเลียงจานไปที่โต๊ะ และ “เจ้าหน้าที่กุณโฑ (officer of the goblet) ทำหน้าที่เทเครื่องดื่ม และยังมีเจ้าหน้าที่จัดจานอาหารวางผ้ากันเปื้อนและดูรูปแบบของโต๊ะให้ต้องมีสีของพระราชวงศ์ Bourbon: คือสีทอง สีแดง หรือสีเงิน แก้วก็ต้องทำด้วยคริสตัลเจียรแบบบาคาร่า ส่วนเครื่องใช้ส่วนพระองค์ อย่างเช่น มีด ส้อม และเครื่องเทศปรุงรสจะถูกเก็บไว้ในกล่องพิเศษ แต่ถึงอย่างนั้นพระเจ้าหลุยส์นิยมทานอาหารด้วยมือแม้การใช้ส้อมกับมีดจะเริ่มใช้เป็นธรรมเนียมกันแล้วก็ตาม และเนื่องจากห้องครัวอยู่ห่างไกลจากห้องรับประทานอาหาร นั่นอาจทำให้อาหารเย็นชืดก่อนที่จะถูกเสิร์ฟ ดังนั้นพวกเขาก็เลยคิดค้นที่ครอบอาหารแบบระฆังเงินเพื่อใช้ครอบจาน (Silver Bell Food Covers) เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกก็ที่แวร์ซายนี่แหละ เพื่อให้อาหารอุ่นจนถึงเวลาเสิร์ฟ ธรรมเนียมนี้เลยถูกใช้ต่อมาโดยเฉพาะกับร้านอาหารชั้นดี แล้วพอมีฝาครอบเงิน วัสดุอีกอย่างที่ทำตามกันมาก็คือส้อมหรือ forkนี่แหละครับ ก่อนหน้านั้นคนฝรั่งเศสใช้มีดกับมือเป็นหลัก

City Break Paris Life in the Court Part 35 -8

ภาพบนและล่างเป็นบรรยากาศบนโต๊ะอาหารหากมีการจัด Grand Dinner ขึ้นที่แวร์ซาย

City Break Paris Life in the Court Part 35 -1

 

City Break Paris Life in the Court Part 35 -9

ภาพนี้จะเป็นบรรยากาศของยามพลบค่ำที่บริเวณสวนแวร์ซายที่ใช้จัดงานเฟสติวัลต่างๆ

 

ในโอกาสต่างๆ ที่พระราชวังแห่งนี้จะมีการจัดงานใหญ่ๆ (fêtes) ซึ่งมักใช้เวลาหลายวันหลายคืน มีแขกรับเชิญหลายร้อยคน โดยจะจัดในสวนแวร์ซายพวกแขกเหรื่อจะชื่นชมสวนหย่อมหรือไปที่โรงละครหรือเต้นรำ แน่นอนว่าต้องมีการแข่งกันในเรื่องเครื่องแต่งกาย ในตอนปิดฉากงานปาร์ตี้ก็จะมีการแสดงดอกไม้ไฟที่ยิ่งใหญ่และสวยงาม

City Break Paris Life in the Court Part 35 -10

ในโอกาสพิเศษถ้าเป็นงานใหญ่พระราชาจะทรงตัดสินใจเองว่าใช้เมนูอาหารอะไร การแสดงจะเป็นแบบไหน หรือธีมของงานปาร์ตี้จะเป็นแบบไหน จะต้องแต่งกายอย่างไร เช่น ท่านจะมอบหมายให้มีการเตรียมรายการอาหารที่เป็น Menus-Plaisirs du Roi มีการตกแต่งจานที่สวยงาม ส่วนทางด้านงานแสดงพระองค์มักมีรูปแบบที่อิงตำนานเทพเจ้ากรีก เรื่องราวของอัศวินจากยุคกลางหรือบทกวีร่วมสมัย และใช้แกรนด์คาแนลเป็นแหล่งน้ำที่ใหญ่ที่สุดในบริเวณพระราชวังและถูกสร้างขึ้นตามคลองแห่งเวนิสคลอง Grand & Petite เป็นฉากและแกนหลักของงาน fêtes centered มีการจำลองย่อขนาดเรือที่มีจริงในกองทัพเรือฝรั่งเศส เพื่อจำลองสงครามทางน้ำ เพื่อความบันเทิงในคลอง มีแม้แต่เรือกอนโดลาเสมือนอยู่ในท่าเมืองเวนิสจริงๆ ในบทละครแบบโรแมนติก

City Break Paris Life in the Court Part 35 -11

ในช่วงหนึ่งของงาน fêtes du nuit พระเจ้าหลุยส์ก็อาจมีช่วงเวลาที่ท่านสามารถผ่อนคลายไปกับการสนทนากับคนรู้จักสนิท เหล่าสมาชิกของพระราชวงศ์ คณะรัฐมนตรี หรือแม้แต่สนมคนโปรดได้บ้าง

เวลา 23.30 น. พิธีถวายพระพร ส่งพระเจ้าหลุยส์เข้านอน
พิธีกรรมสาธารณะนี้เรียกว่าคูชเช่ coucher หรือเข้านอนจะตรงข้ามกับพิธี Levée: ( Rising ) หรือตื่นขึ้นมา

City Break Paris Life in the Court Part 35 -12

กษัตริย์ของฝรั่งเศสจะถูกห้อมล้อมอย่างตลอดต่อเนื่องด้วยข้าราชบริพารจำนวนมากซึ่งส่วนใหญ่เป็นชนชั้นสูง ทั้งนี้ก็เพื่อที่จะได้รับความโปรดปรานจากกษัตริย์ จึงจำเป็นที่จะต้องใช้เวลาอยู่ในที่พำนักของพระราชวงศ์และยึดมั่นในจรรยาบรรณ การปรากฏตัวในพิธีต่างๆ เหล่านี้ก็มักจะได้รับการตอบแทนด้วยเงินช่วยเหลือ ของขวัญ ที่พักในพระราชวังแวร์ซาย การเชิญไปงานเฉลิมฉลองและพิธีการอื่นๆ เป็นประจำ การได้เป็นคนยืนถือเทียนขณะที่พระองค์เปลื้องผ้าเปลี่ยนชุดเป็นชุดนอนนั้นถือได้ว่าเป็นเกียรติอย่างยิ่ง

 

จบเรื่องแวร์ซายแล้วครับ สำหรับเรื่องราวของ City Break Paris ก็จะมาถึงเรื่องราวช่วงสุดท้าย นั่นคือ มื้อเย็น และกิจกรรมยามค่ำในปารีส ซึ่งก็จะเป็นประมาณ 4 ตอนจบเช่นกัน แล้วพบกันที่นี่ครับ

City Break Paris Part XXXIV

By Pusit Sansopone

เบรกเที่ยวในกรุงปารีส ตอนที่ 34

‘พระราชวังแวร์ซาย’ (ต่อ)

ชีวิตในแวร์ซาย ตอน 3 (Life in the court)

เวลา 13.00 น. พิธีอาหารกลางวัน

City Break Paris Lifein The Court Part 34 -2

โดยหลักการแล้วอาหารมื้อกลางวันนี้จะจัดให้พระองค์เสวยแบบส่วนตัว แต่ความเป็นส่วนตัวของพระองค์มักจะไม่มีอยู่แล้วเพราะผู้ติดตามทั้งหลายก็ใช้เวลานี้กราบทูลเรื่องต่างๆได้อยู่

City Break Paris Lifein The Court Part 34 -3

หลังจากทรงงาน กษัตริย์จะเสด็จพระราชดำเนินไปเสวยพระอาหารกลางวันของพระองค์ตอน 13.00 น. ในพระตำหนักส่วนพระองค์หรือห้องบรรทมพระองค์เองโดยนั่งที่โต๊ะที่หันหน้าไปทางหน้าต่าง โดยหลักการอาหารมื้อนี้จะเป็นแบบส่วนตัว แต่พระเจ้าหลุยส์ที่14 ก็ยอมรับรองแขกผู้ชายซึ่งได้อยู่ในพิธีตื่นจากเตียง (levée)ในตอนเช้า ให้ได้เข้ามาร่วมพระราชเลี้ยงอาหารกลางวันของพระองค์ด้วยก็เลยกลายเป็นพิธีมโหฬารที่มีผู้เข้าร่วมหลากหลายด้วยกัน

บุคคลที่มีเกียรติมากที่สุดจะมีสิทธิ์ที่จะมอบผ้าเช็ดมือให้กษัตริย์ เพื่อให้ท่านทรงเช็ดมือให้สะอาดก่อนรับประทานอาหาร จะมีสุภาพบุรุษ 6 คนทำหน้าที่เสิร์ฟพระกระยาหาร และพิธีการอันยืดเยื้อไร้ประโยชน์นี้ก็เป็นที่มาของการทำให้พระองค์ได้เสวยอาหารที่เย็นชืดนั่นเอง

ช่วงบ่ายเวลา 14.00 น พิธีสันทนาการ

City Break Paris Lifein The Court Part 34 -4

โดยปกติพระองค์จะประกาศโปรแกรมสำหรับช่วงบ่ายที่ตั้งใจจะทำในช่วงเช้าของวันนั้น (ในพิธีตื่นจากเตียง) ในทุกๆฤดูกาลพระเจ้าหลุยส์ชอบที่จะอยู่กลางแจ้งในที่โล่ง บ่ายวันรุ่งขึ้นท่านอาจจะไปล่าสัตว์ในป่ารอบๆแวร์ซายหรือเดินเล่นหรือขี่ม้าเล่นในสวนก็แล้วแต่ ในช่วงเวลาดังกล่าวพระองค์จะทรงผ่อนคลายและมีอารมณ์ที่ดี ดังนั้นพวกข้าราชบริพารก็ชอบที่จะมาห้อมล้อมพระองค์เผื่อได้รับความสนใจและได้รับความโปรดปรานจากท่าน สวนของแวร์ซายยังมีสวนสัตว์ (ménagerie) ที่เต็มไปด้วยสัตว์ เช่น ม้าลายและยีราฟ ที่ได้รับมอบมาจากประเทศในแอฟริกาและเอเชีย

City Break Paris Lifein The Court Part 34 -1

พระราชาทรงมีกิจกรรมล่าสัตว์ถือเป็นงานอดิเรกที่ชื่นชอบของราชวงศ์บูร์บอง จะเกิดขึ้นบริเวณป่าทึบรอบแวร์ซาย โดยหัวหน้าหน่วยกองกำลังล่าสัตว์จะจัดให้เกมส์การล่า มีความบันเทิงไม่น่าเบื่อ ในระหว่างการล่าสัตว์กษัตริย์หลุยส์ที่ 14 อนุญาตให้ผู้คุ้มกันท่านพกอาวุธและมีสิทธิ์ยิงได้ เพื่อป้องกันไม่ให้ท่านบาดเจ็บหรือเสียชีวิตจากอุบัติเหตุการล่าสัตว์ พระเจ้าหลุยส์ทรงโปรดปรานสุนัขล่าสัตว์ของท่านมาก ท่านมีสุนัขล่าสัตว์กว่า 100 ตัว และจำชื่อพวกมันได้ทั้งหมด เพราะล่าสัตว์บ่อยมากบนหลังม้า โดยความช่วยเหลือจากสุนัขของท่าน พระเจ้าหลุยส์จะไล่ล่าเป็นเวลาหลายชั่วโมงในช่วงบ่ายที่แวร์ซาย

City Break Paris Lifein The Court Part 34 -5

บางครั้งท่านก็ไล่ล่าไปกับสุนัขตัวเดียวเท่านั้นหากตัวอื่นตามไม่ทัน และในการล่าสัตว์ขุนนางหญิงจะติดตามการล่าสัตว์ในรถม้า เมื่อสิ้นวันพระเจ้าหลุยส์ที่14 จะเสนอรางวัลที่ดีที่สุด (เช่น กวาง) กับผู้หญิงที่ท่านโปรด

หากท่านตัดสินใจที่จะเดินเล่นก็จะเดินเท้าในสวนหรือนั่งรถม้ากับสุภาพสตรีคนโปรดในสำนัก ต้องยอมรับว่าบริเวณสวนของแวร์ซายนั้นมีภูมิทัศน์ในรูปแบบของการออกแบบสวนอย่างเป็นทางการของฝรั่งเศส มีเอกลักษณ์ที่เป็นพิธีการและมีความเฉียบขาดเพื่อสะท้อนถึงอำนาจของกษัตริย์

แต่ก็ถึงตอนนี้ก็ต้องกล่าวถึงสวนและปัญหาซึ่งเป็นภาพในด้านลบของแวร์ซายสักเล็กน้อย สวนแวร์ซายถูกสร้างขึ้นในปี ค.ศ.1630 เมื่อพระเจ้าหลุยส์ที่14 ได้ว่าจ้างสถาปนิกภูมิทัศน์ยอดเยี่ยมแห่งยุค นายอังเดรเลอโนต์เพื่อออกแบบสวนพระราชวังภาคพื้นดิน ซึ่งในท้ายที่สุดมีถึง 4 ขั้นตอนของการก่อสร้างสวนกว่าจะจบลงก็ไปถึงยุคที่หลุยส์ที่16 ครองราชย์ สวนแห่งแวร์ซายส์ระยะที่ 1 ก็คือตอนระยะแรกของการก่อสร้างสวนเริ่มขึ้น

City Break Paris Lifein The Court Part 34 -6

บริเวณ Orangerie ลานปลูกต้นส้มmandarin ที่มีสายพันธุ์จากเมืองจีน

ลำดับแรกของงานคือการปรับเปลี่ยนและจัดเรียงชุดไม้พุ่มที่มีอยู่ทั้งหมด (กลุ่มของต้นไม้ชนิดเดียวกัน) ในบริเวณ เมื่อเฟสแรกเสร็จสิ้นเมื่อปีคศ.1664 ก็ต้องถือว่าเป็นสวนที่น่าประทับใจที่สุด โดยเฉพาะเมื่อ (สวน) Orangerie เสร็จสมบูรณ์ Orangerie เป็นสวนส้มที่มีมากกว่า 1,000 ต้น ส่วนใหญ่เป็นพันธุ์ส้มจากเมืองจีนมีกลิ่นหอม ตอนหลังนำมาปลูกบริเวณรอบๆพระราชวังเพื่อดับกลิ่น เพราะก็เป็นที่รู้กันว่าแวร์ซายไม่มีห้องน้ำและห้องสุขาเวลาจะปลดทุกข์ไม่ว่าหนักหรือเบาก็จะมองหากระโถนที่อาจมีแอบหลบมุมอยู่ตามห้อง แต่กระโถนมักจะเต็ม ทำให้ผู้มาทีหลังก็จะอาศัยตามเหลือบมุมของอาคารในพระราชวังนั่นแหละ ส่วนคนใช้ที่ทำหน้าที่เทกระโถนก็มักง่าย จะใช้วิธีเปิดหน้าต่างและเทลงไปเลย เพราะเต็มตลอดเทกันไม่ทัน ลองคิดดูว่าอยู่กันหลายพันคนแต่ไม่มีห้องสุขาหรือห้องน้ำ ความคิดในการนำสวนส้มมาปลูกนั้นตอนแรกก็จะให้พวกผู้ติดตามแขกเหรื่อทั้งหลายมาปลดทุกข์กันในสวนส้มนอกวัง แต่เวลาอากาศหนาวมากๆหรือกลางวันแสกๆก็มักไม่มีใครลงมาประเจิดประเจ้อจึงใช้เหลือบมุมลึกลับต่างๆของพระราชวังนั่นเอง

City Break Paris Lifein The Court Part 34 -7

ว่ากันว่ากลิ่นที่แวร์ซายนั้นไม่ต่างกับการที่เราไปเข้าห้องส้วมสาธารณะตามชนบทของเมืองจีนเมื่อสัก 10 ปีที่แล้วที่ไม่มีระบบสุขอนามัยหรือ hygiene ใดๆ

ที่มันควรต่างกันก็ตรงแวร์ซายนั้นเป็นพระราชวังที่ยิ่งใหญ่แต่กลับไม่ให้ความสำคัญด้านนี้ ทั้งที่ระบบระบายน้ำ Sewer หรือระบายของเสียนั้น โรมันทำมานานแล้วก่อนจะมีคริสต์ศาสนาด้วยซ้ำ(ก่อนสมัยแวร์ซายสร้างเสร็จตั้งกว่า1000 ปี) แม้อาจจะไม่ใช่ผู้ริเริ่มแต่โรมันคือผู้พัฒนาให้เป็นรูปเป็นร่าง โดยโรมันนั้นสร้างห้องสุขารวม Communal Toilets แบบสาธารณะ(มักอยู่ไม่ไกลจากที่อาบน้ำสาธารณะแบบ Roman Bath) มีให้เห็นหลายๆแห่งที่เคยเป็นเมืองขึ้นของโรม เช่น รูปข้างล่างนี้พบที่เมืองโบราณในตุรกีที่ชื่อ Ephesus

42-64089355

แต่โรมันไม่ได้มีการพัฒนาห้องสุขาในบ้าน ซึ่งส่วนใหญ่ก็ยังเป็นการใช้กระโถน Potty อยู่แล้วนำไปเททิ้งตอนเช้าที่ระบบระบายน้ำเสียของเมือง(ถ้าเป็นเมืองใหญ่แบบโรม) ต่อมายุคกลางก็เริ่มพัฒนาเป็นที่นั่งเท่ๆแต่ก็ซ่อนกระโถนไว้ด้านในอยู่ดี ไม่ได้ต่อกับระบบระบายน้ำที่ต้องมีการเดินท่อมากมายแบบสมัยนี้ ถ้าเป็นในวังที่นั่งก็จะออกแบบดีหน่อย เช่น ข้างล่างนี้เป็นอุปกรณ์ถ่ายทุกข์ที่อยู่ในแวร์ซายในยุคของพระนางมารีอังตัวเนตสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่16

City Break Paris Lifein The Court Part 34 -9

แม้จะมีการประดิษฐโถส้วมชักโครกที่ต่อท่อระบายน้ำทิ้งในปี 1596 โดยนาย John Harington จากแคว้น Yorkshire ของอังกฤษที่จดสิทธิบัตรเอาไว้ ฝรั่งเศสที่ไม่ถูกกับอังกฤษอยู่แล้วก็ไม่ยอมรับ เพราะมีความเชื่อโบราณว่าถ้ามีการต่อท่อระบายของเสียลงไปในท่อน้ำทิ้ง Sewer นั้น จะมีสัตว์ที่อาศัยอยู่ในท่อน้ำทิ้ง เช่น หนู งู โผล่ออกจากส้วมแบบนี้เข้ามาในบ้านได้ ความเชื่อเรื่องนี้ทำให้การพัฒนาเรื่องสุขานี้ช้ามาก เพราะกว่าจะสมบูรณ์แบบก็มาในปี 1852 โดยนาย George Jennings ซึ่งจดสิทธิบัตรไว้มีต้นแบบที่ใกล้เคียงของปัจจุบันนี้ พวกเราสมัยนี้โชคดีมากที่เกิดมาในยุคที่ระบบสุขอนามัยค่อนข้างสมบูรณ์แบบแล้ว

City Break Paris Lifein The Court Part 34 -10

จริงๆแล้วผู้ที่เข้ามาอยู่ที่แวร์ซายจะได้รับคู่มือเรื่องสุขอนามัยให้ปฎิบัติตาม แต่ไม่มีใครสนใจเพราะมักง่ายและยึดเอาความสะดวกเข้าว่า

อย่างไรก็ตามแวร์ซายไม่ได้มีปัญหาแค่กลิ่นของเสียจากการขับถ่ายของผู้คนที่นั่นเท่านั้น แม้กลิ่นของเสียก็หนักแล้วยังมาเจอกลิ่นตัวอีกน่ะสิครับ เพราะข้าราชบริพารหรือ Courtiers ที่อยู่ใน Court ไม่อาบน้ำ ในสมัยนั้นมีความเชื่อว่าการอาบน้ำอุ่นทำให้รูขุมขนเปิดกว้างและมีเชื้อโรคเข้ามาในร่างกายได้ง่าย ยิ่งไม่นานก่อนหน้านั้นในยุโรปเจอปัญหาไข้กาฬโรค (Plague) เป็นโรคติดเชื้อถึงตายที่เกิดจากเอ็นเทอโรแบคทีเรีย Yersinia pestis ซึ่งตั้งตามชื่อนักวิทยาแบคทีเรียชาวฝรั่งเศส-สวิส อเล็กซานเดอร์ เยอร์ซิน กาฬโรคเป็นโรคที่อยู่ในสัตว์ฟันแทะ และหมัดเป็นตัวแพร่สู่มนุษย์ โรคดังกล่าวรู้จักกันตลอดมาในประวัติศาสตร์ยุโรป เนื่องจากขอบเขตการเสียชีวิตและการทำลายล้างที่โรคอื่นเทียบไม่ได้

ดังนั้นภาพสวยหรูของแวร์ซายในยุคของพระเจ้าหลุยส์ที่14 นั้นเป็นแบบ” สวยแต่รูปจูบไม่หอม” จริงๆ ดูรูปข้างล่างนี้ประกอบ

City Break Paris Lifein The Court Part 34 -11

หรือรูปข้างล่างนี้โชว์ให้เห็นความแตกต่างของรูปตอนแอ๊ปกับรูปชีวิตจริง

City Break Paris Lifein The Court Part 34 -12

ภาพด้านบนและล่างคือเหตุการณ์เดียวกันคือสิ่งที่ควรจะเป็นสำหรับการใช้ชีวิตในแวร์ซายของบรรดาขุนนางทั้งหลาย ก็เหมือนตอนวางท่าให้ถ่ายรูป(สมันนั้นไม่มีกล้องต้องจ้างศิลปินวาดเอา) แต่สำหรับความเป็นจริงแล้วผู้เคยเข้าไปในแวร์ซายแล้วเล่าต่อๆกันมาบอกว่าในแวร์ซายนั้นเหม็นมากๆ(บรรยากาศจะเป็นแบบรูปล่างต่างหาก)ในช่วงยุคของหลุยส์ที่14 มาดีขึ้นก็ยุคของหลุยส์ที่15 ไปแล้ว ที่มีการลงทุนระบบน้ำเพื่อช่วยระบายของเสีย

City Break Paris Lifein The Court Part 34 -13

กลายเป็นว่ายิ่งไม่อาบน้ำก็เกิดการนำน้ำหอมมาใช้กันดับกลิ่นเหม็น แล้วยังมีการนำแป้งและเครื่องสำอางมาใช้จะเห็นว่าจะมีการแต่งหน้าขาววอก ทาปากกับแก้มมีแดงสด แม้แต่ผู้ชายก็แต่งหน้า เพื่อกลบเกลื่อนโรคผิวหนังกลากเกลื้อนที่เกิดจากความสกปรกไม่อาบน้ำนั่นเอง

City Break Paris Lifein The Court Part 34 -14

พระเจ้าหลุยส์ที่14 เองท่านก็ไม่ใช่ผู้นิยมน้ำชำระล้างเช่นกัน มีเกร็ดประวัติศาสตร์ว่าตลอดรัชกาลพระวรกายของพระองค์ก็มีโอกาสสัมผัสน้ำไม่เกิน 3 หน แต่ท่านก็ทรงเป็นผู้นำแฟชั่นโดยเฉพาะรองเท้าส้นสูงเพราะท่านมีพระวรกายที่ไม่สูง อีกทั้งพระเกศาร่วงหมดเมื่อพระชันษาแค่ 25 จึงมีแฟชั่นวิกผมเข้ามาอีกด้วย โดยวิกผมก็เป็นทรงสูงเพื่อเสริมบุคลิกที่พยายามใช้รองเท้าส้นสูงช่วยแล้วต่อหนึ่ง

City Break Paris Lifein The Court Part 34 -15

ภาพบนเป็นรูปพ่อค้าขายน้ำหอมและเครื่องสำอางค์ในแวร์ซาย

โดยสรุปแวร์ซายส์นั้นไม่มีสุขอนามัยเอาซะเลยจนกระทั่งถึงยุคของมารีอังตัวเนตที่เป็นราชนีชาวออสเตรียจึงมีอ่างอาบน้ำในส่วนของ Queen Apartment เนื่องจากพระนางเป็นชาวออสเตรียซึ่งอาจชอบอาบน้ำมากกว่าไม่ใช้แนวคิดของฝรั่งเศส แต่ก็พบว่าพระนางทรงเครื่องสำอางและน้ำหอมแบบชาวฝรั่งเศสเช่นกัน

ดูจากภาพข้างล่างจะเป็นภาชนะใส่เครื่องสำอางและน้ำหอมของพระนาง

Versailles' dirty secrets - Toute L'Histoire [720p].mp4_001621240

ที่ใส่เครื่องประทินโฉม หรือเครื่องสำอาง ในสมัยของมาเรียอังตัวเนต ส่วนภาพล่างเป็นที่ไส่น้ำหอม

City Break Paris Lifein The Court Part 34 -16

แต่จุดที่ไม่ดีในเรื่องสุขอนามัยนี้ก็ถือเป็นการจุดประกายเริ่มต้นทำให้อุตสาหกรรมน้ำหอมและเครื่องสำอางของฝรั่งเศสกลายเป็นอุตสาหกรรมหลักในทุกวันนี้ของประเทศ และถือได้ว่าเป็นของดีที่สุดในโลก ไม่น่าเชื่อว่าเคยมีบริษัทสบู่แห่งหนึ่งทำวิจัยออกมามีข้อสรุปว่าคนฝรั่งเศสคือผู้ใช้สบู่ต่อคนต่อก้อนเฉลี่ยนานที่สุดคือสบู่หมดช้าที่สุด จึงเป็นที่เชื่อว่าสิ่งที่ปฏิบัติต่อเนื่องมาและการใช้น้ำหอมดับกลิ่นอาจทำให้ชาวฝรั่งเศสน่าจะมีการอาบน้ำน้อยครั้งกว่าชาติอื่น(วิจัยนี้ทำมานานแล้วปัจจุบันอาจมีผลที่เปลี่ยนไป)

 

ตอนหน้าจะเป็นตอนสุดท้ายของแวร์ซายครับ โปรดติดตามได้ที่นี่ต่อไป