City Break Rome Part V

เบรกเที่ยวในโรม…เที่ยวโรมแบบผู้ที่ยังใหม่กับโรม (ตอนที่ 4)
โดย Paul Sansopone

…”และที่ไฮเทคมากก็คือมี “ลิฟต์” สำหรับยกกรงสัตว์ หรือนักสู้ขึ้นสู่พื้นสนาม ทำให้ชาวอิตาเลี่ยนหลายคนถึงกับคุยว่าประเทศเขานี่แหละที่เป็นผู้คิดค้นลิฟต์ขึ้นมา ไม่ใช่คุณ Otis อย่างที่เราเข้าใจ…”

หลังจากไปเที่ยววาติกันแบบเต็มอิ่มกันมาแล้ว วันนี้เราก็มาเริ่มเที่ยวโรมกันแบบไม่ให้พลาดLandmarkเด็ดๆของเมืองนี้ เริ่มด้วยกิจกรรมที่2 กันเลย

2.ไปชม Gladiator นักสู้เพื่อชีวิต ณ สังเวียนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของอาณาจักรโรมัน ‘โคลอสเซี่ยม’

 

City Break Rome Italy Colosseum 5

คำบรรยายภาพ: รูปจำลองของโคลอสเซี่ยมตอนเสร็จสมบรูณ์ในปี ค.ศ.80 จะเห็นรูปปั้นทองแดงขนาดใหญ่ “โคลอสซุส” Colossus (อยู่ด้านมุมขวาของภาพ) ของจักรพรรดิเนโร ซึ่งเป็นที่มาของชื่อ ‘โคลอสเซี่ยม’

คำว่า ‘ประชานิยม’ นั้นไม่ใช่ของใหม่ ไม่ใช่กลยุทธ์ของพรรคการเมืองไทยพรรคใดพรรคหนึ่งที่คิดขึ้นมาเอง แต่มันมีมาเกือบ 3000 ปีแล้วต่างหาก ถ้าย้อนดูประวัติศาสตร์เมื่อปี ค.ศ. 70-72 นั้นจักรพรรดิเวสปาเชี่ยน (Emperor Vespasian of the Flavian Dynasty) ต้องการจะสร้างคะแนนนิยมให้ตัวเองก็เลยสั่งให้มีการสร้าง ‘โคลอสเซี่ยม’ สนามกีฬาขนาดใหญ่เป็นของขัวญแด่ชาวโรมเพื่อที่ทุกๆ อาทิตย์จะได้มีโชว์สนุกๆ เหมือนเป็นการเอ็นเทอร์เทนพลเมืองของท่านโดยเฉพาะสามัญชนเพื่อไม่ให้หดหู่กับเหตุการณ์ร้ายๆ ที่เพิ่งผ่านมา เช่น ไฟไหม้ครั้งใหญ่ของโรมหรือความยากจนในช่วงข้าวยากหมากแพง จึงเน้นให้สร้างสนามแห่งนี้ให้จุคนดูให้ได้มากที่สุด

สถานที่ก่อสร้างโคลอสเซี่ยม เป็นบริเวณที่ลุ่มระหว่าง 4 เนินเขา ประกอบด้วย ปาลาไทน์ ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้.เวเลีย ทางทิศตะวันตก, เชลิโอ ทางทิศตะวันออก และคอล ออพพิโอ หรือเอสควิไลน์ (ปัจจุบันเป็นสวนสาธารณะ) ทางทิศเหนือ ซึ่งเดิมทีพื้นที่แห่งนี้ เป็นที่ตั้งของพระราชวังของจักรพรรดิเนโร (Nero) ซึ่งพระองค์ทรงยึดมาจากที่ดินของประชาชน จนกระทั่งจักพรรดิเนโรได้สิ้นพระชนม์เมื่อปี ค.ศ. 68 ก่อเกิดการชิงพระราชบัลลังก์อยู่ระยะหนึ่ง มีการสลับครองราชย์ช่วงสั้นๆ ของ 4 จักรพรรดิ แต่ในที่สุดจักรพรรดิเวสปาเชี่ยนทรงได้รับชัยชนะ และขึ้นครองราชย์ พระองค์จึงสั่งรื้อพระราชวังเดิมของจักรพรรดิเนโรเพื่อสร้างโคลอสเซี่ยม

City Break Rome Italy Colosseum 4

Credit pic: http://abrasaparvaz.com
เสียดายที่จักรพรรดิเวสปาเชี่ยนไม่ได้อยู่ดูความสำเร็จของการก่อสร้าง ด่วนจากไปก่อนในปี ค.ศ.79 พอปีต่อมาแม้ยังไม่เสร็จสมบรูณ์ 100% สนามนี้ก็มีพิธีเปิด โดยลูกชายของท่านที่ชื่อจักรพรรดิไตตัส Titus และให้ชื่อสนามกีฬาแห่งนี้เป็นทางการตามชื่อราชวงศ์ของท่านว่า Flavian Amphitheater** ที่รีบเปิดและมีทำการเฉลิมฉลอง 100 วัน ก็เนื่องจากในปีก่อนหน้าใน ค.ศ.79นั้น มีเหตุวิบัติ เพราะนอกจากพระบิดาสิ้นระชนม์แล้ว ก็ยังเป็นปีที่ภูเขาไฟ ’วิซูเวีย’ ทางตอนใต้ของโรมระเบิดถล่มเมืองปอมเปย์และเฮคูลินัมไปผู้คนล้มตายมากมาย เลยต้องฟื้นคืนสภาพหดหู่ด้วยเกมส์การต่อสู้ของนักสู้กลาดิเอเตอร์ (Gladiatorial Combats) ถึง 100 วันเต็ม ไม่ว่าจะในรูปแบบของนักสู้กลาดิเอเตอร์ของแต่ละค่ายสู้กันเอง หรือทหารโรมัน(รุม)กลาดิเอเตอร์(เพื่อที่จะได้ให้ประชาชนชาวโรมเห็นว่าทหารของจักรพรรดิเก่งกล้าควรแก่การสนับสนุนเงินหรือภาษีต่อไป) หรือจะเป็นกลาดิเอเตอร์สู้กับสัตว์ป่าจากแอฟริกา เช่น เสือและสิงโต เพราะอาณาเขตของอาณาจักรโรมันตอนนั้นก็แผ่ขยายไปถึงแอฟริกาตอนเหนือด้วย

 

City Break Rome Italy Colosseum Gladiator 9

ในครั้งนั้นทำให้ไตตัสเป็นจักรพรรดิที่ได้รับความนิยมสูงสุดพระองค์หนึ่งในประวัติศาสตร์โรม แต่การครองราชย์ของพระองค์นั้นสั้นกว่าของพระบิดามาก เพียงแค่หกเดือนหลังจากการแข่งขันรอบปฐมฤกษ์ พระองค์ก็สิ้นพระชนม์ด้วยอาการประชวรลึกลับ น้องชายของเขาคือโดมีเชี่ยน Domitian ก็ขึ้นครองราชย์ต่อและสร้างในส่วนที่ยังไม่สมบรูณ์ให้แล้วเสร็จ

**สำหรับที่มาของคำว่า “โคลอสเซียม ” นักประวัติศาสตร์ยังไม่สามารถหาข้อสรุปที่ยอมรับร่วมกันได้ ทฤษฏีที่คาดกันว่ามีความเป็นไปได้มากที่สุด คือ เรียกตามชื่อรูปปั้นทองแดงขนาดใหญ่ “โคลอสซุส” (Colossus) ของจักรพรรดิเนโร ที่ตั้งอยู่ใกล้บริเวณเดียวกันในสมัยนั้นนั่นเอง (ดูรูปใหญ่ด้านบนสุดที่เป็นรูปจำลองของโคลอสเซี่ยมตอนเสร็จสมบรูณ์ในปี ค.ศ.80 จะเห็นรูปปั้นทองแดงนั้นอยู่ด้านมุมขวาของภาพ)

 

City Break Rome Italy Colosseum 8
Credit pic: http://res.cloudinary.com ภาพบนจะเห็นองค์ประกอบแบบสมบรูณ์ของคอลอสเซี่ยมซึ่งมีกันสาดกันแดดให้คนดูและประดับด้วยรูปปั้นหินอ่อนของจักรพรรดิและทหารโรมันที่มีผลงาน

โคลอสเซี่ยมมีการก่อสร้างอย่างแข็งแรงด้วยอิฐและหินทรายและคอนกรีต แถมยังมีเหล็กรั้งหรือยึดในจุดสำคัญ วัดโดยรอบได้ประมาณ 527 เมตร สูง 57 เมตร สามารถจุผู้ชมได้กว่า 50,000 คน แม้จะมีขนาดใหญ่และจุคนได้มากมายขนาดนั้น แต่ด้วยช่องทางเข้ารอบทิศทั้ง 80 ช่องทาง(ประตูโค้ง)ก็สามารถทำให้ผู้ชมเข้าสู่โถงทางเดินต่อด้วยบันไดซึ่งนำไปสู่ที่นั่งของตนได้ภายในเวลาไม่กี่นาที ดูจากภายนอกจะเห็นมี 4 ชั้น แต่เมื่อเข้าไปอัฒจันทร์จะแบ่งเป็น 3 ชั้น มีการแบ่งพื้นที่ตามชนชั้น พื้นที่ของชนชั้นสูงจะมีที่นั่งเป็นหินอ่อน มีการออกแบบอย่างชาญฉลาดโดยให้สนามกีฬามีลักษณะเป็นรูปวงรี เพื่อให้ผู้ชมรู้สึกเข้าใกล้นักกีฬา และมีการออกแบบทางระบายน้ำเพื่อไม่ให้น้ำท่วมขังในสนามขณะเกิดฝนตก แต่เมื่อต้องการให้น้ำขังก็ทำได้เพราะเคยมีการจำลองสถานการณ์ต่อสู้ทางน้ำด้วยเรือที่นี่ด้วย อีกทั้งยังถือเป็นต้นแบบของสนามกีฬาต่างๆ ในปัจจุบัน

City Break Rome Italy Colosseum 1

Credit pic: http://www.teggelaar.com/:

บริเวณพื้นสนามมีโพเดี่ยมสร้างด้วยหินอ่อนโดยรอบ ใต้พื้นสนามสร้างเป็นห้องต่างๆ ประกอบด้วย ห้องนักสู้ “กลาดิเอเตอร์” กรงขังสัตว์ที่จะนำมาต่อสู้กับกลาดิเอเตอร์ ห้องเก็บอุปกรณ์เครื่องมือการต่อสู้ของกลาดิเอเตอร์ ห้องเก็บวัสดุก่อสร้างบางส่วน และที่ไฮเทคมากก็คือมี “ลิฟต์” สำหรับยกกรงสัตว์ หรือนักสู้ขึ้นสู่พื้นสนาม เรียกว่าชาวอิตาเลี่ยนหลายคนถึงกับคุยว่าประเทศเขานี่แหละที่เป็นผู้คิดค้นลิฟต์ขึ้นมา ไม่ใช่คุณ Otis อย่างที่เราเข้าใจ
เป็นเวลากว่า 500 ปี (จากศตวรรษที่ 1จนถึงศตวรรษที่ 6) ที่มีการต่อสู้เอาเป็นเอาตายในสังเวียนนี้ เพื่อสร้างความบันเทิงให้แก่สามัญชน จนเป็นส่วนหนึ่งของสังคมโรม เหมือนสมัยนี้เราไปดูคอนเสริต์หรือดูกีฬาในช่วงวันหยุดนั่นเอง นักสู้แต่ละคนที่ก้าวเข้ามาจะต่อสู้กันจนตายไปข้างหนึ่งต่อหน้าผู้ชมที่โห่ร้องด้วยความสะใจ ว่ากันว่ามีสัตว์ป่าที่ต้องมาตายที่นี่กว่า 1 ล้านตัว ไม่แน่ใจว่ากลาดิเอเตอร์ถูกสังเวยชีวิตไปเท่าใด

City Break Rome Italy Colosseum 7

หลังจากศตวรรษที่6ที่มีการต่อสู้ที่นี่เป็นครั้งสุดท้าย โคลอสเซี่ยมก็ถูกทิ้งรกร้างและเริ่มเสื่อมโทรม มีการนำเหล็กทีใช้ประกบหินปูนสีครีม travertine และเสาออกไปไปทำโครงการก่อสร้างอื่นๆ เป็นปริมาณรวมกันถึง 300 ตัน ทำให้บริเวณด้านนอกของโครงสร้างจะเห็นเป็นรูเต็มไปหมด เพราะเมื่อก่อนมีเหล็กเหล่านี้ฝังอยู่
และยังมีเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่ทำให้โครงสร้างด้านใต้ถล่มลงเหลือเป็นซากหักพังเป็นรอยเฉียง 45 องศาแบบที่เห็นทุกวันนี้ แถมยังมีการเอาหินที่นี่ไปทำการก่อสร้างวัดหรือโบสถ์วิหารที่อื่นอีกหลายแห่ง แต่ก็มีการบูรณะต่อเนื่องในช่วงหลังล่าสุดในปี 1990 ที่มีการบูรณะครั้งใหญ่ หากท่านไปเที่ยวที่นี่อย่าลืมถ่ายรูปกับประตูชัยคอนสแตนทินที่อยู่ใกล้ๆ เพราะประตูชัยนี้ก็คือต้นแบบของประตูชัยในปารีสที่สวน Tuilerie
อย่างไรก็ตามโคลอสเซี่ยมถือ Free Standing Structure ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลก เคยได้รับตำแหน่งให้เป็น Magnificent 7 หรือ Seven Wonders of the World ของยุคกลาง และเมื่อ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2550 โคลอสเซี่ยมยังได้รับเลือกให้เป็น 1 ในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่ จากการสอบถามความเห็นลงคะแนนทั่วโลกทั้งทางอินเทอร์เน็ตและโทรศัพท์มือถือ จัดโดยมูลนิธิ New7Wonders

ก่อนจะจบเรื่องนี้คงต้องให้เกียรติพูดถึงกลุ่มคนที่มีส่วนทำให้สถานที่แห่งนี้มีความยิ่งใหญ่ด้วยการสังเวยชีวิตทั้งจำใจยอมและไม่ยอม คนกลุ่มนี้ก็คือ Gladiator นั่นเอง

City Break Rome Italy Colosseum 6

ภาพโคลอสเซี่ยมในปัจจุบันที่เห็นรูเหล็กที่เคยฝังอยู่เพื่อประกบโครงสร้างให้แข็งแรงแต่ถูกนำออกไปใช้งานที่อื่นกัน ส่วนที่ถล่มลงและโครงสร้างที่หายไปเพราะมีการเอาหินที่นี่ไปทำการก่อสร้างวัดหรือโบสถ์วิหารที่อื่น

 

City Break Rome Italy Colosseum 2

ภาพสนามประลองที่เอาพื้นออก ทำให้เห็นห้องใต้ดินที่ออกแบบมาเหมือนเขาวงกตใช้ขังนักโทษ, Gladiatorและสัตว์ป่าที่ดุร้าย

Gladiator (มาจากภาษาลาตินแปลว่ามือดาบ “swordsman” จากคำว่าgladiusดาบ”sword”) ในสมัยจักรวรรดิโรมัน พวกนี้ก็คือทาสที่มาจากเมืองขึ้นของจักรวรรดิโรมัน เนื่องจากมีการรุกขยายอาณาเขตต่อเนื่อง ทหารหรือนักรบของข้าศึกถ้าไม่ตายเสียก่อนก็จะถูกจับมาเป็นเชลยขังไว้ หรือขายเป็นทาสเพื่อจะเอามาเป็น Gladiator พวกที่ถูกซื้อไปมักจะโดนซื้อโดยค่ายฝึก Gladiator นั่นแหละ เหมือนค่ายมวยที่เอาไปฝึกแล้วเอากลับมาสู้กับค่ายอื่นๆ เพื่อเอาเงินพนันหรือรางวัล เพราะในสมัยนั้นความที่โรมนั้นเป็นเมืองของจักรพรรดิที่ต้องการเสียงสนับสนุนตัวเอง ไม่ต่างไปจากนักการเมืองก็ต้องหาวิธี Entertain ชาวเมืองโรมด้วยการจัดแสดงการต่อสู้ในรูปแบบต่างๆ เช่น Gladiator กับสัตว์ที่มาจากแอฟริกา เช่น สิงโต หรือ Gladiator สู้กับทหารโรมัน (แต่แอบขี้โกงคือจะใช้ทหารโรมันเยอะกว่าและให้อาวุธครบมือกว่า) เพื่อโชว์ว่าทหารของโรมนั้นยิ่งใหญ่ที่สุดเวลาไปรบ ชาวบ้านจะได้นึกภาพออกและสนับสนุนทหารและการออกไปรบ หรือ Gladiator ค่ายหนึ่งสู้กับอีกค่ายหนึ่ง คนที่ชนะก็อยู่ต่อไปจนถึงไฟล์ทหน้า แต่คนแพ้มักจะตายจะรอดได้ต่อเมื่อสู้ได้ชนะใจคนดู และจักรพรรดิชูนิ้วโป้งขึ้นตามเสียงของคนดูกึกก้องสนามกีฬา หากไม่ประทับใจคนดูจะโห่ไล่และให้สัญญาณจักรพรรดิให้ชูนิ้วโป้งลงดิน หมายถึงให้ผู้ชนะฆ่าทิ้งเสีย แต่ Gladiator ก็อาจมาจากชาวโรมันหรือคนอีทรุสคันEtruscanจากถิ่นต่างๆ ที่ชอบการต่อสู้เพื่อเงินรางวัล และสมัครเข้ามาแข่งโดยไม่มีค่ายก็ได้ สนาม Arena สำหรับการต่อสู้มีอยู่หลายแห่ง เช่นที่เมือง Capua ทางใต้ใกล้Pompeii แต่ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคงหนีไม่พ้น Colosseum หรือ Coliseum ของกรุงโรมที่สร้างตั้งแต่สมัยจักรพรรดิ Vespasian ต่อสมัยลูกของท่านคือ Titus ในช่วงปี 70-80 AD ที่นี่สามารถจุคนได้ 50,000 ถึง 70,000 คนดู และโดยเฉลี่ยผู้ชมอยู่ที่ 65,000 ผู้ชม

ท่านทราบหรือไม่ว่า
– Gladiatorนั้นมักจะต้องสวมหมวกโลหะหรือหน้ากากในการต่อสู้ แม้จะแพ้แล้วก็จะไม่ถูกบังคับให้ถอดหน้ากากออก เพราะหลายๆ ครั้งที่ Gladiator จะมาจากค่ายเดียวกันฝึกซ้อมมาด้วยกันเป็นเพื่อนกัน การที่ได้เห็นหน้าเพื่อนแล้วต้องลงมือโดยเฉพาะในดาบสุดท้ายที่จะปลิดชีวิตหลังจากจักรพรรดิชูนิ้วโป้งนั้นมันยากเกินไป
– Gladiator มักจะถูกเลี้ยงให้อ้วนเต็มไปด้วยไขมันเหมือนซูโม่ เพราะจะทนคมดาบได้นานกว่าคนผอม และในการต่อสู้ในสมัยนั้นไม่มีการจัดรุ่นตามน้ำหนัก เช่น light weight ก็ต้องสู้กับ light weight ดังนั้นการทำน้ำหนักให้เยอะไว้ก็จะได้เปรียบในการต่อสู้

ภาพ Polliceหรือ Thumbs Down by Jean-Léon Gérôme, 1872

ภาพยนตร์เกี่ยวกับ Gladiator ที่ควรหามาดู
พอดีวันนี้ที่ผมเขียนเรื่องนี้อยู่มีงานประกาศรางวัล Academy Award ของปี 2017 อยู่เลย ต้องขอพูดถึงหนัง Gladiator ซักนิด เพราะเป็นหนังที่ได้รางวัล Oscar ในปี 2001ไปหลายรางวัลดังนี้
Academy Award for Best Picture2001
Academy Award for Best Actor2001 • Russell Crowe
Academy Award for Best Costume Design2001
Academy Award for Best Visual Effects 2001

มันเป็นเรื่องในสมัยจักรพรรดิ Commodus (นำแสดงโดย Joaquin Phoenix) ขึ้นสู่อำนาจโดยการแย่งชิงตำแหน่งจากบิดา โดยการลอบปลงพระชนม์ Emperor Marcus Aurelius ที่เป็นจักรพรรดินักปราชญ์นักคิดผู้มีวิสัยทัศน์กว้างไกล และจัดการใส่ร้ายนายพลมือขวาของท่านที่ชื่อ Maximus (นำแสดงโดย Russell Crowe แต่ในประวัติศาสตร์ไม่พบนายพลคนนี้) ว่าเป็นคนทำเพราะมักใหญ่ใฝ่สูง ทำให้นายพลนักรบผู้ซื่อสัตย์คนนี้ต้องหนีระหกระเหินไปกลายเป็น Gladiator เพื่อกลับมาแก้แค้น เข้าฉายเมืองไทยเมื่อเดือนพฤษภาคม วันที่ 26 ปี 2000 และก่อนหน้านั้นก็มีหนังเกี่ยวกับ Gladiator ดังมากๆ ที่ชื่อ Spartacus ในช่วงปี 60 นำแสดงโดยพระเอกคางบุ๋ม Kirk Douglas ซึ่งมีการกลับมาทำใหม่เป็นหนัง TV Series ชื่อ Spartacus-Blood and Sand ดังมากเช่นกัน เพราะเป็นการสะท้อนถึงชีวิตจริงในสมัยโรมันได้อย่างถึงพริกถึงขิง

 

เจอกันคราวหน้าไปเที่ยวที่สุดของวิหารโรมันในโรมกันครับ