City Break Rome Part III

เบรกเที่ยวในโรม…เที่ยวโรมแบบผู้ที่ยังใหม่กับโรม (ตอนที่2)
โดย Paul Sansopone
…”บัลลังก์นี้มีส่วนคล้ายกับที่อยู่ในหนังเรื่อง The Game of Throne ของ HBO ทั้งการออกแบบโดยเฉพาะส่วนที่เป็นลำแสงจากด้านหลัง และจากพื้นเพของเรื่องที่มีการช่วงชิงหักเหลี่ยมกันเพื่อจะได้นั่งบัลลังก์นี้…”

คราวที่แล้วเราได้เดินเข้ามาในวิหารเซ็นต์ปีเตอร์แล้วได้ไปชื่นชมกับ Pieta และไปคารวะรูปหล่อสำริดของนักบุญปีเตอร์ โดยการสัมผัสท่านที่เท้าขวาพร้อมอธิษฐานขอพร หากเดินต่อเข้ามาก็จะพบกับ

 

ซุ้มพิธีหรือแท่นบูชา บาลเเดกคีโน Baldacchino

City Break ROME Italy 1

หากเราเดินเข้ามาตรงที่ใจกลางของวิหารจุดที่ตัดกันของระหว่างโถงทางเข้าที่เรียกว่า Naive กับส่วนปีกที่เรียกว่า Transept ให้นึกถึงไม้กางเขน เพราะการวางผังสร้างโบสถ์คริสต์นั้นมักจะวางเลย์เอ้าท์แบบไม้กลางเขน และจุดตัดกันของไม้ทั้งสองก็คือจุดที่เป็นปะรำพิธีนั้นเอง

แต่ที่วิหารนี้เราจะพบกับซุ้มพิธีหรือแท่นบูชาของสันตะปาปาที่เรียกว่าบาลเเดกคีโน ซึ่งเป็นฝีมือของ แบร์นินี่ (Gian Lorenzo Bernini) ที่ทำจากโลหะสำริดใช้ทองแดงกว่า 50,000 กิโลกรัม ซึ่งนำบางส่วนมาจากวัดปานเตออนแล้วมาหลอมทำใหม่ นี่คือการรีไซเคิลที่ชาวโรมันรู้จักใช้กันมานานแล้ว โดยเสาทั้ง 4 ต้นมีลวดลายบิดแบบเกลียวของพายุหมุนทอร์นาโดอย่างที่ไม่ปรากฏในงานอื่นของยุคนั้นมากนัก ทำให้ถูกวิพากษ์วิจารณ์พอควร แต่เนื่องจากแบร์นินี่นำต้นแบบเสาบางต้นของวิหาร St.Peter เดิมมาใช้ และความที่ตัวเองเป็นต้นตำรับคนหนึ่งของศิลปแบบบาโรคที่มีรายละเอียดมากมายคนยุคนั้นจึงรับยังไม่ได้ เสาทั้ง 4 ต้นนั้นสูงประมาณ 100 ฟุตแต่มันดูเตี้ยไปถนัด เมื่อเทียบความสูงของยอดโดมด้านบนที่สูงถึง 452 ฟุต
จุดที่วางบาลเเดกคีโน นั้นนอกจากอยู่ใต้โดมของมิเกลานจิโรพอดีแล้วยังอยู่เหนือ St. Peter’s crypt หรือหลุมศพของนักบุญปีเตอร์พอดีอีกด้วย แต่ที่วาติกันไม่ได้เป็นที่ฝังศพแค่นักบุญคนเดียว แต่ยังมีสันตะปาปาอีก 91 พระองค์จากทั้งหมด 245 พระองค์ นับจากศตวรรษที่ 1 ถึงปัจจุบันที่ถูกฝังไว้ใต้วิหารแห่งนี้ รวมทั้งจักรพรรดิออตโต้ที่ 2 แห่งจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธ์ (Holy Roman Emperor Otto II) และพระราชินี Christina แห่งสวีเดนที่มาใช้ชีวิตบั้นปลายทำนุบำรุงศาสนาอยู่ที่โรม

 
บัลลังก์ของสันตปาปา ซึ่งเรียกว่า Cathedra Petri หรือ “Throne of St. Peter”

City Break ROME Italy 2

เก้าอี้ตัวเดิมของนักบุญปีเตอร์ก่อนที่จะมีการสร้างบัลลังก์มาแทนโดยแบร์นินี่

จะเห็นว่าที่อยู่ด้านหลังของซุ้มนั้นมีบัลลังก์ที่สวยงาม ซึ่งเป็นการสร้างแทนเก้าอี้เดิมที่เคยถูกใช้โดยเซ็นต์ปีเตอร์และสาวกคนอื่น แต่เนื่องจากผุพังไปทำให้สันตะปาปา Pope Alexander VII ต้องแต่งตั้งแบร์นินี่ผู้ที่สร้างซุ้มพิธีนั้นรับผิดชอบบัลลังก์นี้ด้วย Bernini จึงสร้างบัลลังก์นี้ด้วยBronze โลหะสำริดแบบเดียวกับที่ใช้สร้างซุ้มพิธี โดยที่ฐานมีนักบุญ Ambrose และ Augustine ซึ่งถือเป็น Doctors of the Church หรือผู้รู้ผู้คงแก่วิชาของศาสนาคริสต์ช่วยอุ้มพยุงบัลลังก์นี้ไว้

มีคนพูดกันว่าบัลลังก์นี้มีส่วนคล้ายกับที่อยู่ในหนังเรื่อง The Game of Throne ของ HBO ทั้งการออกแบบโดยเฉพาะส่วนที่เป็นลำแสงจากด้านหลัง และจากพื้นเพของเรื่องที่มีการช่วงชิงหักเหลี่ยมกันเพื่อจะได้นั่งบัลลังก์นี้ ก็ไม่ต่างกับในหลายยุคหลายสมัยของการขึ้นเป็นสันตะปาปาของที่นี่

City Break ROME Italy 3

เนื่องจากการเป็นสันตะปาปาหรือ Pope คือการได้มาซึ่งอำนาจที่ยิ่งใหญ่ เพราะก็คือการเป็นประมุขของคริสต์ศาสนานิกายโรมันแคธอริคซึ่งนั่นหมายถึงเครือข่ายของศาสนานิกายนี้จากทั่วโลกต้องขึ้นตรงกับวาติกัน และอีกบทบาทหนึ่งคือการเป็นประมุขของกรุงวาติกันหรือเปรียบเสมือนกษัตริย์ของรัฐอิสระหรือประเทศวาติกันที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์

มาถึงตรงนี้คงต้องเท้าความถึงความเป็นมาของกรุงวาติกันก่อน ซึ่งจะว่าไปนั้นมีความรุ่งเรืองต่อเนื่องติดต่อกัน หลังจากที่กรุงโรมและอาณาจักรโรมันตะวันตกถึงยุคเสื่อมเมื่อเจริญสูงสุดแล้วก็เริ่มอ่อนแอจนพวกบาบาเรี่ยนหรือพวกป่าเถื่อนเอาชนะกองทัพโรมันได้กรุงโรมก็แตกไป ยังคงอยู่แต่อาณาจักรโรมันตะวันออกที่มีเมืองหลวงที่ชื่อคอนสแตนติโนเปิล(อีสตันบูล ในปัจจุบัน) ซึ่งก็ตั้งชื่อตามจักรพรรดิคอนสแตนตินที่หันมานับถือศาสนาคริสต์ ทำให้กรุงโรมเริ่มกลับมามีการฟื้นฟูใหม่แต่ครั้งนี้เป็นอาณาจักรทางศาสนา ยิ่งเมื่อเข้าสู่ยุคกลางในช่วงปีค.ศ.750-800 โดยประมาณ ยุโรปตะวันตกส่วนใหญ่ที่เคยเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรโรมันตะวันตกก็ถูกรวบรวมเข้ามาอยู่ภายใต้อาณาจักรโรมันอันศักด์สิทธ์ (Holy Roman Empire) ซึ่งกินอาณาเขตพื้นที่ปัจจุบันของฝรั่งเศส, เบลเยี่ยม, เนเธอร์แลนด์, เยอรมัน, อิตาลี โดยการนำองกษัตริย์ชาวแฟงค์ที่ชื่อ ชารล์มานย์ Charlemagne หรือที่ได้ฉายาว่า Charles the Great (ละติน Carolus or Karolus Magnus)

City Break ROME Italy Charlemagne Crowned

ซึ่งท่านก็ปกป้องและเคร่งศาสนาโรมันแคธอลิคพอควร ถึงขนาดขอให้ สันตะปาปาลิโอที่3 (Pope Leo III) ทำพิธีสถาปนาขึ้นครองตำแหน่งจักรพรรดิแห่งอาณาจักรโรมันอันศักด์สิทธ์ในวันคริสมาสต์ปีค.ศ.800 ที่กรุงโรม ณ วิหาร เซนต์ปีเตอร์ (เดิม)หลังแรก และเมื่อได้รับการendoseคือยอมรับที่จะปกป้องโดยจักรพรรดิและกษัตริย์ของยุโรปในทุกยุคสมัย ก็ทำให้อาณาจักรของสันตะปาปานั้นยิ่งใหญ่เป็นประเทศเรียกว่าปาปาสเตท Papal State กินอาณาเขตในภาคกลางของคาบสมุทรอิตาลีเกือบหมด ใครจะท้าทายอำนาจของคริสตจักรนั้นก็มักแพ้ราบคราบไป

พอเข้าสู่ยุคฟื้นฟูศิลปะวิทยาการหรือ Renaissance นั้น วิทยาการสมัยใหม่ทำให้นักวิทยาศาสตร์อย่างกาลิเลโอเริ่มออกมาพูดขัดแย้งกับความเชื่อเดิมๆ เช่น พระเจ้าสร้างโลกและโลกแบนตลอดจนเป็นศูนย์กลางของจักรวาลนั้นเริ่มไม่ใช่ และความฟุ่มเฟือยในวาติกันที่มักมีงานเลี้ยงและสะสมของมีค่า หรือแม้แต่การสร้างวิหารเซ็นตปีเตอร์ใหม่มีการใช้เงินมหาศาลทำให้เกิดวิธีการหารายได้แปลกๆ เข้ามา เช่น ต้องมีการบริจาคเงินเข้าวัดเท่านี้เท่านั้นจึงได้บุญเท่านั้นเท่านี้ ทำให้เกิดกระแสต่อต้านมากขึ้นเกิดเป็นศาสนาคริสต์นิกายใหม่ เช่น โปแตสแทนและอื่นๆ ขึ้นมาถ่วงดุลจนทำให้เกิดสงครามศาสนาในยุโรปอยู่เนืองๆ หากว่าผู้นำศาสนานิกายใหม่ไม่ยอมขึ้นตรงต่อวาติกัน

City Break ROME Italy ben and francis

แต่กฎแห่งแรงโน้มถ่วงที่ว่า “what goes up must come down” นั้นมีอยู่จริง การที่พระสันตะปาปาทรงมีอำนาจทางโลกล้นฟ้า และเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับทางการเมืองมากเกินไป ทำให้กลุ่มอำนาจรัฐในยุโรปหลายแห่งจึงเริ่มที่จะเล่นเกมต่อต้านพระองค์ เพื่อลิดรอนอำนาจลง จนทำให้เขตการปกครองอย่างปาปาสเตทหดหายไป เหลืออยู่แค่รอบๆ กรุงโรมเท่านั้น ในปี ค.ศ. 1860 เมื่อ พระเจ้าวิคเตอร์ เอมานูเอลที่ 2 ผู้ที่รวบรวมอิตาลีจากแค้วนใหญ่เล็กให้เป็นประเทศอิตาลี มีการทำประชามติว่าสมควรให้กรุงโรมเป็นส่วนหนึ่งของอิตาลี หรือเป็นปาปาสเตทของวาติกันต่อไป ผลออกมาปรากฏว่า ประชาชนเทคะแนนให้โรมเป็นส่วนหนึ่งของอิตาลี แต่องค์สันตะปาปาปิอุสที่ 4 ซึ่งเป็นประมุขศาสนาในขณะนั้นก็ไม่ออกมาคุยกับรัฐบาลเพื่อยอมรับว่าอาณาจักร Papal State ไม่มีอีกแล้ว แต่ได้ประกาศตัดขาดกับโลกภายนอก ประทับอยู่ภายในนครรัฐวาติกันเพียงอย่างเดียวรวมทั้งสันตะปาปาองค์ต่อๆ มาอีก 4 พระองค์ก็ยึดถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติไม่ยอมยุ่งเกี่ยวกับโลกภายนอกต่อเนื่องกินเวลาถึง 60 ปี (1870-1929)

City Break ROME Italy Concentracion fascista en Genova

จนถึงสมัยของนายกคนดังที่ชื่อ เบนิโต้ มุสโสลินี (Benito Amilcare Andrea Mussolini) ในปี ค.ศ. 1929 ได้มีการทำสนธิสัญญา ลาเตรัน (Lateran Treaty ได้ชื่อนี้มาเพราะมีการเซ็นกันที่พระราชวังลาเตรัน) ให้การรับรองและคํ้าประกันอธิปไตยของนครรัฐวาติกัน พร้อมทั้งอำนวยความสะดวกสบายอีกหลายๆ อย่าง เพื่อให้นครแห่งนี้สามารถดำรงอยู่ได้ในฐานะรัฐอิสระ เหมาะสมที่จะให้สันตะปาปาปฏิบัติภารกิจ ในฐานะองค์ประมุขของชาวคาทอลิกทั่วโลกได้ แถมรัฐบาลอิตาลียังให้เงินที่คิดเป็นมูลค่าปัจจุบันได้นับ 1,000 ล้านดอลล่าร์อเมริกัน

City Break ROME Italy Vatican City Map

ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา Vatican จึงกลายเป็นประเทศที่สมบูรณ์แบบ ถือเป็นรัฐอิสระที่เล็กที่สุดในโลก มีสถานีวิทยุ, ที่ทำการไปรษณีย์, สถานีรถไฟ,ธนาคารของวาติกันเอง และร้านค้าปลอดภาษีทุกชนิด มีสำนักพิมพ์ของตนเอง เช่น มีหนังสือพิมพ์ชื่อ โลสเสอร์วาโตเร โรมาโน , มีป้ายทะเบียนรถ, หรือโดเมนเนม .VA

ถ้าพูดถึงเนื้อที่รวมจะมีประมาณ 250 ไร่ ในนครแห่งนี้ด้วยวังวาติกันมีเนื้อที่ 150 ไร่ ซึ่งรวมวิหารเซนต์ปีเตอร์ พิพิธภัณฑ์วาติกัน หอสมุดวาติกัน และที่ประทับขององค์พระสันตะปาปาตลอดจนอุทยานวาติกันอันงดงาม พื้นที่นอกเขตดังกล่าวที่ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของวาติกันด้วยก็คือ วังกัสเตลกันดอลโฟ (Castelgendolfo) อันเป็นที่ประทับ ที่อยู่นอกชานกรุงโรมไปทางทิศใต้, มหาวิทยาลัยเกรโกเรียน (Gregorian University) และโบสถ์ 13 แห่งในกรุงโรม

City Break ROME Italy Swiss Guard

วาติกันมีพลเมืองประมาณ 900 คน ไม่มีกองกำลังทหารของตัวเอง มีแต่ Swiss Guards ผู้ดูแลความสงบเรียบร้อย ซึ่งต้องว่าจ้างทหารสวิสที่มีคุณสมบัติคือเป็นคาธอลิก ยังไม่แต่งงาน ได้รับการฝึกทหารแบบสวิส อายุระหว่าง 19-30 และสูงอย่างน้อย 174 ซม. จริงๆ แล้วทหารสวิสมีมาตั้งแต่ ค.ศ. 1506 แล้วถูกว่าจ้างมาเป็นองครักษ์ของสันตะปาปา Pope Julius II ที่น่าสนใจคือการแต่งกายของทหารสวิส ซึ่งชุดปัจจุบันนั้นมีสีส้ม,เหลือง,แดง,ฟ้า ออกแบบโดย Jules Repond ในปี 1914 โดยได้รับอิทิพลจากชุดทหารสวิสเดิมในสมัย Renaissance ที่ออกแบบโดย “มีเกลันเจโล” และดัดแปลงโดย “ราฟาเอล” เลยเชียว