City Break New York City Part X (Episode.3)

Night Out In The City That Never Sleep…(ต่อ)

ประโยคเก่งที่ว่า “the night is still young” มักเป็นคำพูดของหนุ่มๆ ที่ใช้หลอกคู่เดทของตัวเองให้อยู่ต่อ อย่าเพิ่งรีบกลับ แต่นั่นมันจะใช้ก็ต่อเมื่ออยู่เมืองอื่นครับ เพราะถ้าอยู่นิวยอร์กคู่เดทคุณจะอยู่ต่อเอง…

การเริ่มจาก Cocktail Bar แล้วมาต่อ Jazz Bar มันค่อยๆ เร้าอารมณ์ขึ้นมาแบบเป็นระดับ แต่ถ้าจะให้สุดมันต้องจบด้วย Party House หรือการไป Clubbing ครับ ไม่งั้นไม่สุด

night-out-nyc

Best Clubs in NYC
สำหรับท่านที่ไม่ชอบแจ๊สแต่ชอบแดนซ์กระจายหรือเมาแต่มันได้Exercise นั้นมันก็ต้อง Night Club แบบ Party House เล่นดนตรีแบบ Techno, House Music เป็น DJ เปิดเพลงไม่มีวงดนตรีแต่ต้องขอบอกว่าสถานที่บางแห่งเราอาจจะไม่ได้เข้า หากเราแต่งตัวไม่ถึงมาตรฐานของที่เขาตั้งไว้ เว้นแต่ไปในช่วงโลว์วันweekdayก็ไม่น่ามีปัญหามาก

 

Bossa Nova Civic Club

bossa-nova-nyc

เรียกตัวเองว่าเป็น “Tropical Fantasy Dance Club” เพื่อสร้างความแตกต่างจากคู่แข่งในด้านการตกแต่งสถานที่ และเน้นระบบเสียงที่มีเสียงเบสเข้าไปเต้นแทนเสียงหัวใจได้ที่นี่แบบ Bar-Meets-Club เน้น DJ มีresume อย่าง Adam X, Ron Morelli, Heather Heart, Marcos Cabral, Reade Truth, Jamie xx, Henning Baer และMike Simonetti

 

Good Room

good-room-nyc

ที่นี่เคยเป็น Club Europa แต่ Good Room ถูกออกแบบใหม่โดย Steve Lewis และเปิดเมื่อตุลาคม 2014 ห้องหลักเน้นมุมของ DJ มีระบบเสียงแบบ Solid Sound System มีฟลอร์ให้ขยับทรวดทรงองค์เอวได้แบบไม่อึดอัด และยังมีเวทีสำหรับการแสดงประกอบเพลง ท่านที่ไม่ชอบสไตล์คลับใหญ่ยักษ์แบบ Mega Clubs ต้อง Good Room ราคาดื่มไม่แพงด้วย

 

Black Flamingo

black-flamingo-nyc

ที่นี่เปิดใหม่ในปี2015 เป็นสไตล์ Restaurant-Bar-Nightclub ที่ลูกค้าอาจจะยังงงกับConceptเพราะเสิร์ฟอาหารชั้นบนแต่มีเสียงเบสกระแทกพื้นอยู่ด้านล่าง อย่างไรก็ตามผู้ที่เป็นครีเอทีฟที่นี่ก็เป็นมือเก่าแก่ไม่มือใหม่ใจกล้ามาจากไหน ไม่น่าจะผิดหวังนะครับ

 

House of Yes

house-of-yes-nyc

เปิดสดๆ ในปี 2016 ใน Brooklyn เป็นคอนเซ็ปที่ให้คนที่ต้องการแต่งตัวแปลกๆ หรือบ้าบอแบบของตัวเองมาประชันกันที่นี่เอาเป็นว่าเอาใจพวก Exhibitionist ที่อยากจะโป๊ก็ไม่ว่ากัน แต่ต้องชอบ Party แบบ “House of Love” ที่นี่มีโชว์และกายกรรมไต่ราวตลอดจนมายากลเพราะ House of Yes ไม่ต้องการที่จะให้ Night Out ของคุณมีแค่ Drinks at The Bar

 

Output

output-nyc

ที่นี่เป็นแบบมีห้องเต้นหลายห้อง เป็น Multiroom Dance Club อยู่ใกล้โรงแรม Wythe Hotel ตอนเหนือของ Williamsburg มีระบบเสียงดีและเน้นเพลง House กับ Techno คิวยาว ควรต้องจองถ้าจองได้

 

Cielo

ที่นี่เข้ายากหน่อยเพราะจะมีที่เรียกว่า Bouncers Guarding คือผู้ที่ใส่หมวกเบสบอลยืนคุมหน้าประตู ผู้ที่จะบอกว่าท่านจะได้เข้าหรือไม่ เพราะที่นี่มีดี มีDJ ระดับโลก François K, Tedd Patterson และLouie Vega ที่ Cielo จะมีแขกชั้นดีระบบเสียงแบบ Crystal-Clear Sound System เปิดมาเป็น 10 ปีแต่แขกก็ยังตรึมอยู่

 

Marquee

marquee-nyc
สุดท้ายคงต้องพูดถึง Marquee ซึ่งเปิดอยู่ที่ Las Vegas ด้วยมันเป็นแบบ Megaclub ที่ลงทุนสูง มีความหรูฟู่ฟ่า และขนาดที่ใช้จอดเรือบินได้ ที่นี่คุณจะเจอนางแบบที่เบสในนิวยอร์ก ที่มักจะมาผ่อนคลายหลังจากถ่ายแบบมา จริงๆ แล้วมันมีเหตุผลให้มาที่นี่เยอะแยะ ถ้าคุณเข้าได้โดยเฉพาะวันศุกร์สุดยอด DJ จะมาโชว์ความเก๋ากันที่นี่ ไม่ว่าจะเป็น Guy Gerber, Damian Lazarus หรือ Jamie Jones แต่บอกไว้ก่อนว่าที่นี่เหมาะสำหรับท่านที่กระเป๋าลึกหน่อย

 

แต่สำหรับท่านที่ Can’t Party That Hard คือเจอลำโพงดังเครื่องเสียงวัตต์สูงๆ แล้วเวียนหัว แต่ชอบดนตรี ผมก็ยังมีทางเลือกให้ท่านอยู่

 

Live Concert Hall
บางครั้งการได้ไปที่ไหน เราก็อยากได้ประสบการณ์ที่ยิ่งใหญ่กว่าปกติ ดังนั้นการแสดงที่ยิ่งใหญ่ในสถานที่ที่ยิ่งใหญ่ที่เรามักเคยเห็นจากการถ่ายทอดทีวี จากเทป หรือDVDบันทึกการแสดงสด มันไม่มีทางที่จะบรรยากาศที่แท้จริงของมันโดยเด็ดขาด ผมขอยกตัวอย่างสถานที่ดังต่อไปนี้ให้ท่านพิจารณาโดยอย่าลืมที่จะต้องวางแผนมาก่อน โดยตรวจสอบตาราง Event Calendar และจองตั๋วออนไลน์มาก็เพื่องป้องกันความผิดหวัง

 

World’s Biggest Acts On The World’s Most Prestigious Stages

 

Madison Square Garden

madison-square-garden-nyc

ใครที่ไม่ดังจริงก็คงไม่ได้แสดงที่นี่ หรืออีเว้นท์ที่ไม่ยิ่งใหญ่จริงแบบการชกของมูฮาหมัดอาลีกับโจเฟรเซีย ก็คงไม่ได้จัดที่นี่ก็ลองดูครับถ้าเรามาตรงกับรายการแสดงที่เราชอบก็น่าจะไปดู แต่ถ้าไม่มีการแสดงใดที่นี่เป็น Home Court ของทีมบาสเกตบอล New York Knicks ซึ่งก็น่าเข้าไปดูถ้ามีบัตรนะครับ การชมกีฬาในสนามแห่งนี้ก็ไม่ได้เข้าไปชมง่ายๆ ถือเป็น Wish List ได้เลยครับสำหรับบางคน

 

Radio City Music Hall

radio-city-music-hall-new-york-city

นี่คือ “New York City!” และMusic Hallแห่งนี้คือ History! และแน่นอนว่ามันต้องตกแต่งในแบบสมัยที่นิวยอร์กฟู่ฟ่าสุดขีดก็คือ การแต่งในแบบ Art Deco Surroundings ถ้าเราไม่ได้ต้องการแค่โชว์หรือคอนเสิร์ตดีๆ แต่ต้องการประวัติศาสตร์ของเมืองด้วยก็ต้องมาที่นี่ครับ

the-radio-city-nyc-1

โถงทางเข้า The Radio city

 

Hammerstein Ballroom (at the Manhattan Center)

คิวที่นี่ยาวจัดข้ามblockเลยทีเดียว ราคาก็แพง แสดงว่าต้องมีอะไรดี แน่ละก็ที่นี่มักจะมีวงดังแบบอมตะ เช่น Kylie Minogue, The Pet Shop Boys หรือGrace Jones สลับกันมาร้องเพลงที่แฟนส่วนใหญ่ร้องตามได้

 

Bowery Ballroom

bowery-ballroom-nyc

ท่านที่ทันสมัยฟังเพลงยุคใหม่แบบสไตล์ Indie Bands, คงต้องมาลองที่ Bowery ที่มักจะมี Artistsในและนอกประเทศอเมริกาสลับกันมาให้ความบันเทิงแบบไม่สนว่าใครจะฟังเป็นหรือไม่เป็น ก็พวกวงเหล่านี้พยายามจะสร้างเทรนด์ใหม่ถ้าคุณตามไม่ทันช่วยไม่ได้ครับ

 

The Town Hall

the-town-hall-nyc

ถ้าอยากไปฟังระบบAcousticsแบบยุคเก่า ต้องที่นี่ “People’s Auditorium” ถือว่าสุดยอด ออกแบบโดย McKim, Mead & White เคยจัดแสดงรายการระดับเซียนนับครั้งไม่ถ้วน รวมทั้ง George Benson, Grizzly Bear และ Lindsey Buckingham

 

Apollo Theatre

appollo-nyc

ถ้าคุณชอบ Black Music ที่นี่ถือเป็น The City’s Home of R&B และSoul Music ที่สุด Cozy ที่ศิลปินผิวสีดังๆ ก่อนจะเกิดได้ต้องผ่านเวทีนี้ เช่น Ella Fitzgerald and D’Angelo แม้สมัยนี้ไม่ได้เน้นว่าจะต้องเป็นศิลปินผิวสีอะไรแล้วที่ Apollo ก็ยังคงความขลังแบบไม่สิ้นสุดมาตั้งแต่ปี 1934

ตอนหน้าคงเป็นตอนสุดท้ายของ NYC ซึ่งผมจะแนะนำสถานบันเทิงสำหรับผู้ที่ไม่ชอบดนตรีแบบแสดงสด แต่ชอบดูละครเวที ละครร้อง คงต้องไปแถว Time Square ส่งท้ายคืนที่ไม่หลับไม่นอนกันของเมืองนี้ครับ

City Break: New York City Part X (Episode.2)

Night Out In The City That Never Sleep… (ต่อ)

…เนื่องจากตอนที่แล้วเราพูดถึงช่วงหัวค่ำเป็นช่วงโหมโรงด้วย Cocktail ไปแล้ว ต่อจาก Cocktail ควรเป็นอะไรที่ไม่หนักมาก ผมคิดว่าการไปฟังแจ๊สน่าจะเป็นทางเลือก เพราะบาร์แจ๊สหลายแห่งมักขายอาหารด้วย เราก็ไม่ต้องไปเสียเวลาที่ร้านอาหารก่อน…

ดนตรีและการแสดงในนิวยอร์ก
ความโดดเด่นของนิวยอร์กในช่วงหลังจากพระอาทิตย์ลับขอบ(ตึกระ)ฟ้าไป ก็คงเป็นเรื่องของดนตรีและการแสดง เพราะที่นี่เป็นต้นกำเนิดของดนตรีหลากหลายประเภทเซ่น Jazz, Rock , Blues, หากเป็นรุ่นเก่าหน่อย หรือถ้าเป็นรุ่นหลังก็ Hip Hop, Freestyle, Doo Wop, Bebop, Disco, Punk Rock, หรือ New Wave และที่นี่ก็เป็นแหล่งที่ศิลปินดังถือกำเนิดหรือโด่งดังขึ้นที่นี่เช่นกัน ส่วนการแสดงก็มีละครเวที ละครร้องหรือ โอเปร่า

ดังนั้นการจะดูการแสดงของบรรดาเหล่าศิลปินในสไตล์ดนตรีและการแสดงที่เราซอบจะมีให้เลือก 2 แบบ

1.สถานที่แสดงดนตรีและการแสดง Concert Hall หรือ Music Hall
การไปดูแต่ละครั้งท่านจะต้องตรวจสอบ NYC Event Calendar เพิ่อดูตารางการแสดงล่วงหน้าและอาจจะต้องจองตั๋วล่วงหน้าผ่านหน้าWeb-ที่ขายตั๋วสัก 1 เดือนเพื่อป้องกันผิดหวัง
สถานที่จัดแสดงที่นี่ก็ถูกบรรจงสร้างขึ้นมาให้มีแต่ระดับโลกทั้งนั้น มีระบบAcousticsที่ยอดเยี่ยม เช่นที่ Carnegie Hall สำหรับดนตรีClassic ประเภทวง Symphony Orchestra หรือ Radio City Music Hall ที่เปิดมาตั้งแต่ปี 1932, สร้างในสถาปัตยกรรมแบบ Art Deco ก็เป็นที่จัดแสดงคอนเสิร์ตหลากหลายประเภท
Lincoln Center for the Performing Arts คือสุดยอดของสถานที่จัดแสดงของสถาบัน 12 สถาบันต่อไปนี้ที่จะสลับกันใซ้สถานที่จัดการแสดงชั้นเลิศ ได้แก่ Metropolitan Opera, New York Philharmonic, New York City Ballet, Chamber Music Society, New York City Opera, Juilliard School, Lincoln Center Theater, และJazz at Lincoln Center ในขณะที่วง The New York Philharmonic, วงOrchestra ที่เก่าแก่ที่สุดของอเมริกามักจะแสดงที่ Avery Fisher Hall,
และเนื่องจากที่เมืองนี้ได้รับอิทธิพลด้านดนตรีจากคนผิวสีอย่างก้วางขวาง สถานที่มักใช้จัดแสดงของศิลปิน African Americanก็คือ The Apollo Theater เป็นต้น
2. ประเภท Night Club
คลับต่างๆ ในนิวยอร์กมีบทบาทต่อความโด่งดังหรือโปรโมทดนตรีประเภทต่างๆ ของแต่ละยุค เช่น ถ้าเป็นพวกDisco, Rock, Punk Rock ก็ได้แก่ Studio 54, Max’s Kansas City, Mercer Arts Center, ABC No Rio และCBGB’s หรือถ้าเป็นแจ๊สก็จะมีพวก Major Jazz Club sระดับโลก ได้แก่ Birdland, Sweet Rhythm, Village Vanguard และThe Blue Note ในสมัยปัจจุบันยุคที่เพลงElectronicเสียงsamplingจากเครื่องคอมพิวเตอร์ที่บรรดาDJ ดังนำมาทำเพลง หรือเอาเพลงคนอื่นที่มีอยู่มาทำแบบที่เรียกว่า Remixed เกิดเป็นเพลงประเภท House, Acid-Jazz , Groove Collective หรือ Nuyorican Soul ก็มักจะหาฟังกันได้ที่คลับแถวถนน 52nd

เนื่องจากตอนที่แล้วเราพูดถึงช่วงหัวค่ำเป็นช่วงโหมโรงด้วย Cocktail ไปแล้ว ต่อจาก Cocktail ควรเป็นอะไรที่ไม่หนักมาก ผมคิดว่าการไปฟังแจ๊สน่าจะเป็นทางเลือก เพราะบาร์แจ๊สหลายแห่งมักขายอาหารด้วย เราก็ไม่ต้องไปเสียเวลาที่ร้านอาหารก่อน

city-break-new-york-city-part-x-ep2-1

แต่ก่อนไปฟัง Jazz ต้องปูพื้นกันแบบย่อๆ เล็กน้อย เพื่อให้ได้อรรถรสว่า Jazz ในนิวยอร์กเริ่มโด่งดังมาตั้งแต่ซ่วงปี 1920’sเมื่อวง Fletcher Henderson’s Jazz Orchestra ที่มีนักดนตรีอย่าง Coleman Hawkins และ Louis Armstrong ที่มาจากNew Orleans เริ่มค้นพบดนตรีแจ๊สในสไตล์ New York’s Big Jazz Bands ในขณะที่ตำนานแจ๊สอย่าง Duke Ellington ก็ย้ายมาจาก Chicago มาเล่นที่ New York ยิ่งตอนที่ Big Band Jazz พัฒนาเข้าสู่แจ๊สแบบ Swing Musicซึ่งมี Jimmy Dorsey และBenny Goodman เป็นหัวหอกนั้น การพัฒนาของนักดนตรีนักร้องก็ยิ่งเข้าสู่มาตรฐานที่สูงขึ้นไปอีก ตัวอย่างศิลปินก็คือ Billie Holiday และElla Fitzgerald

แล้ว New York’s Jazz Scene ก็เริ่มมีประเภทหรือแขนงต่างๆ(genre)ของแจ๊ส เช่น Bebop ในช่วงกลางปี 1940 มีนักดนตรีดังอย่าง Charlie Christian, Dizzy Gillespie, Charlie Parker และThelonious Monk เป็นตัวชูโรง จนกระทั่งเข้าปี 1950’s, Standard Jazz เป็นที่นิยมในหลายเมืองของอเมริกามากขึ้น โดยเฉพาะฝั่ง West Coast เกิดเป็นประเภท Cool Jazz ขึ้นมาโดยนักดนตรีจากนิวยอร์กทื่อ Miles Davis จากนั้นก็เกิดประเภท Hard Bop โดยศิลปินจากNYCเช่นกัน คือ Sonny Rollins และArt Blakey สุดท้ายของยุค Standard Jazz ก็คือยุคปลาย 1950’s เกิดประเภท Free Jazz ที่มีศิลปินดังอย่าง John Coltrane แลพวกคือ Albert Ayler และSun Ra เป็นตัวชูโรง ก่อนที่แจ๊สจะเข้าสู่ยุคของ Modern Jazz ซึ่งมักจะเป็นดนตรีจากฝั่ง West Coast แล้ว

 

แนะนำ Jazz Bar

จริงๆ แล้วJazzมันไม่สำหรับทุกคน แต่ถ้าคุณเกิดเป็นคอแจ๊สขึ้นมาแล้วได้โอกาสมาที่นี่ ผมว่าคุณคงจะพลาดมากๆ หากไม่ได้ไปJazz Barที่เมืองนี้ เพราะบาร์หรือHallหลายๆ แห่งที่นี่มันคือตำนานแห่งแจ๊สครับ มันแทบจะเป็นสถานที่ศักดิสิทธิ์เลยสำหรับนักดนตรีรุ่นใหม่ๆ ที่ต้องทำความเคารพบรรดารุ่นพี่รุ่นพ่อระดับบรมคูรแจ๊สที่เคยบุกเบิกที่นี่มาก่อน ขอแนะนำให้ไปแถวเขต West Village ลองเช็ครายละเอียดและโปรแกรมของสถานที่เหล่านี้ดูครับ

 

Best Jazz Clubs in NYC

Birdland

birdland

หากท่านเคยฟังเพลงของคณะ The Manhattan Transfer ท่านอาจเคยฟังเพลงที่ชื่อนี้ แต่จริงๆ แล้วเพลงนี้ถูกแต่งขึ้นมาโดยวง The Weather Report ในปี 1977 อยู่ในอัลบั้ม Heavy Weather แน่นอนชื่อเพลงถูกตั้งขึ้นมาเพื่อให้เกียรติ คลับชื่อดังบนถนน 52 แห่งนี้ ที่เป็นสังเวียนการดวลโซโล่เดี่ยวหรือการ Improvise ของบรรดานักดนตรีแจ๊สระดับปรมาจารย์ ว่าแต่ทำไมคลับนี้มีชื่อนี้ล่ะ อันนี้คงต้องบอกว่าเป็นเพราะนักดนตรีที่ชื่อ Charlie Parker (คอแจ๊สStandardรู้จักกันดี) ที่เคยมาลงเล่นประจำที่นี่ เขามีฉายาว่า “The Bird” พอเขามาลงเล่นที่นี่บ่อยๆ ก็เลยเป็นที่ๆ เรียกกันว่า Birdland นั่นเอง

 

Blue Note

blue-note-new-york

The Blue Note ได้รับฉายาอันทรงเกียรติว่าเป็น “The Jazz Capital of The World” ผมคงไม่ต้องอธิบายให้เสียเวลาว่าทำไมคุณถึงควรจะไปสัมผัสบรรยากาศที่นี่ ก็ขนาดนักดนตรีดังๆ เมื่อได้ขึ้นเวทีที่คลับแห่งนี้ยัง‘ขนลุก’เพราะความตื่นเต้น แล้วอย่างเราไปดูเขาแสดงถ้าไม่‘ขนลุก’ก็คงเป็นคนไร้อารมย์อย่างแรง ผมมั่นใจว่าท่านที่มีแผ่นเสียงเพลงประเภท Standard Jazz อยู่คงจะมีบางแผ่นหรือหลายแผ่นที่อัดการแสดงสดจาก Bluenote

 

Jazz Standard

jazz-standard

ดูจากข้างนอกที่นี่ก็เหมือนเป็นร้านอาหาร Danny Meyer’s Blue Smoke Barbecue แต่ลงไปในห้องใต้ถุนข้างล่างเราจะเจอกับ The Jazz Standard ที่เล่นเพลงสุดมันสไตล์ Groovy, และSwinging ที่นี่เคยเป็นเวทีBill Frisell และ Jimmy Cobb เป็นวงที่เล่นสไตล์big band ไหนๆมาที่นี่เราก็ควรสั่งBBQจากร้านข้างบนมาทานควบคู่ไปด้วย เพราะจริงๆ แล้วผมว่ามันเข้ากันเนื่องจาก JazzและBBQ มีต้นกำเนิดมาจากที่เดียวกันคือเริ่มมาจากทางภาคใต้ของอเมริกานั่นเอง
Jazz Standard อยู่ที่ 116 East 27th Street ระหว่างPark Ave South และ Lexington Ave เขตFlatiron (212-576-2232, jazzstandard.net)

 

JAZZ AT LINCOLN CENTER

jazz-at-lincoln-center

ที่นี่ไม่ใช่คลับแต่เป็นConcert Hall เราควรต้องไปสัมผัสเพราะแม้แต่คนที่ไม่อยากฟังแจ๊สยังอยากเข้าไปดูเ พราะสถานที่โอ่อ่าหรูหราจำลองแบบจาก Greek Amphitheater ตกแต่งด้วยกระจกสูงโปร่งมองออกไปหลังเวที เห็นวิววงเวียน Columbus Circle และCentral Park ที่นี่มักจัดเทศกาลแจ๊สดังๆ อย่างเช่น John Coltrane Festival
Jazz at Lincoln Center อยู่ที่ Broadway ตัด 60th Street เขต Upper West Side (212-258-9800, jazzatlincolncenter.org)

 

THE IRIDIUM

the-iridium
The Iridium เป็นสถานที่แสดงประจำของตำนานมือกีตาร์อย่างนาย Les Paul, แม้ว่าชาร์จค่าเข้าแพงหน่อยแต่คุณภาพของแจ๊สที่นี่ก็ยังสมราคาอยู่ แต่ควรต้องตรวจสอบตารางการเล่นดีๆ เพราะมีวงหมุนเวียนสลับกันมาแสดง ถ้ามาเจอวงที่ไม่ใช่ไตล์ที่ต้องการแล้วโดนค่า Cover $40, บวกอย่างต่ำ $15 ของอาหารและเครื่องดื่มที่ต้องสั่งคงจะเข็ดไปอีกนานในความไม่คุ้ม
The Iridium อยู่ที่ 1650 Broadway ระหว่าง 50th และ 51st Street เขตMidtown West (212) 582-2121, theiridium.com)

 

VILLAGE VANGUARD

village-vanguard

ที่นี่เก่าแก่กว่า 78 ปี แล้วอยู่ย่าน West Village ได้ชื่อว่าเป็น The Most Serious Club in Town และสำหรับนักดนตรีแจ็สเองที่นี่ถือเป็น”The Carnegie Hall of Jazz” เนื่องจากมีระบบซึมซับเสียงทำให้มี Acoustics สมบูรณ์แบบเข้ากับแสงไฟสลัวได้ Mood ดีมากๆ ที่นี่ต้อนรับนักดนตรีอย่าง Thelonious Monk, Bill Evans หรือ Miles Davis มานับครั้งไม่ถ้วน ตั๋วราคา $25 และต้องสั่งอย่างต่ำ 1 ดื่ม ที่นั่งก็ระบบ first-come first-serve แต่แม้จะมาสายที่นั่งด้านหลังก็ไม่ได้ไกลเวทีมาก เพราะคลับนี้ไม่ได้ใหญ่มากนักขนาดกำลังCozy
Village Vanguard อยู่ที่ 178 7th Ave South ระหว่าง Perry Street และ Waverly Place เขต West Village (212-255-4037, villagevanguard.com) 

 

BARBES

barbes-bar-brooklyn-nyc

หากท่านอยู่แถว Brooklyn แต่มีอารมณ์แจ๊ส คุณก็มา Park Slope ได้เลย มันไม่ได้หรูหรา แต่เราเน้นดนตรีครับ ไวน์อาจไม่เหมาะนักก็ต้องเบียร์ครับ ที่นี่ยังมีดนตรีแปลกลักษณะ Global Music ที่มีวงดนตรีรับเชิญจากทั่วโลกผลัดกันมาEntertain เช่นวง Slavic Soul Party และCumbia Band Chicha Libre and the Guinean Mandingo Ambassadors
Barbes อยู่ที่ 376 9th Street ระหว่างถนน 6th และ 7th Ave เขต Park Slope, Brooklyn (347-422-0248, barbesbrooklyn.com)

 

SMALLS

smalls-new-york

ถ้าชอบแบบดิบๆ อยู่ใต้ถุนในห้องแคบๆ มืดๆแบบหนัง Film Noir ละก็น่าไปลองดูครับ ค่า Cover Charge $20 แต่บรรยากาศสไตล์ Underground แบบนี้หายากแล้วที่จะมีให้สัมผัสแบบ Smalls Jazz Club
Smalls อยู่ที่ 183 West 10th Street ระหว่าง4th Street กับ 7th Ave South เขต the West Village (212-252-5091, smallsjazzclub.com) 

 

SMOKE JAZZ CLUB

smoke-jazz-club-new-york

ใครที่พาเพื่อนที่ไม่ใช่คอแจ๊สไปขอแนะนำที่นี่เพราะมีอาหารSupperอร่อยๆ ให้ทานไปด้วยฟังไปด้วย อย่างผมไปคงไม่สนอาหารนักเพราะเป็นคนชอบฟังแจ๊สอยู่แล้วก็จะตั้งใจฟังไป อย่างแฟนผมอาจไม่ชอบฟังก็สั่งอาหารแล้วก็ทานไป สรุปแล้วลงตัวครับ แต่ว่าที่นี่จะเป็นสถานที่สำหรับSerious Jazz Fan มันคือที่ๆ นักดนตรีอย่าง George Coleman, Bill Charlap , Wynton Marsalis เคยเล่นประจำอยู่ มีค่า Entertainment Charge ($20-$40) ดนตรีดีระบบเสียงเยี่ยม และอาหารมื้อดึกที่แนะนำคือ Buttermilk Fried Chicken ($24.95) และซี่โครงหมู Short Ribs ($33) สถานที่เล็กควรต้องจองครับ
Smoke Jazz Club อยู่ที่ 2751 Broadway ระหว่างถนน 105th และ 106th Street เขต Upper West Side (212-864-6662, smokejazz.com)

City Break: New York City Part X (Episode.1 Cocktail Bar)

Night Out In The City That Never Sleep…

ถ้าท่านติดตามเรื่องราวของ City Break New York มาตลอดนั้น เราก็คงพอจะได้ไอเดียในการbreakใช้ชีวิต2-3วันที่นี่พอสมควรแล้ว แต่อาจจะรู้สึกว่าก่อนจะจากเมืองนี้ไป มันเหมือนกับขาดอะไรไปอย่างนึง ใช่แล้วครับเราคงจะจากเมืองนี้ไปไม่ได้ถ้าไม่ได้เที่ยวกลางคืนในมหานครแห่งนี้สักหน่อย เพราะมันเป็นที่สุดของเรื่องแสง, สี, เสียง แบบต้นตำรับ ที่เอาใจทุกรสนิยม ทุกสไตล์
การเที่ยวกลางคืนของที่นี่มันก็คงเริ่มต้นมาตั้งแต่โทมัส เอดิสันคิดค้นไฟฟ้า, ไมโครโฟน, เครื่องเสียงขึ้นมาได้ไม่นาน พวกละครเวทีแบบmusicalแถวBroadway ก็เริ่มต้นมาตั้งแต่ต้นๆ ปี 1900 แต่ถ้าจะมันเข้ายุคของผมหน่อยที่มาเมืองนี้แรกๆ ก็คงย้อนกลับไปตั้งแต่ช่วงปี 70 ตอนนั้นใครบ้างที่จะไม่รู้จัก Studio 54 ดิสโก้เทคดังที่เกิดมาพร้อมๆ กับดารา John Travolta จากหนัง Saturday Night Fever แต่ไนท์ไลฟ์ของนิวยอร์กมันไม่ได้ตายไปพร้อมกับยุคของดิสโก้ มันปรับตัวเข้ากับสมัยหรือนำสมัยมาตลอด ลองมาดูทางเลือกที่ผมเสนอดีกว่าครับ ชอบแบบไหนลองไปดูครับ (จะมีประมาณ 3 Episode หรือ 3 ตอนย่อย)

 

image

เริ่มจากช่วงหัวค่ำกันก่อน(โหมโรง)

ไปดื่ม ‘Manhatton’ ที่ Cocktail Bar ระดับโลกกัน
มหานครแห่งนี้มีบาร์หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นเบียร์บาร์, ไวน์บาร์ หรือวิสกี้บาร์ชั้นดี แต่ที่ถือว่าล้ำหน้าเมืองอื่นๆ คงต้องยกให้ Cocktail Bar เนื่องจากนิวยอร์กเป็นที่รวมตัวของบาร์เทนเดอร์หรือบาร์เทนดี้ระดับแนวหน้าซึ่งปัจจุบันเขาเรียกตัวเองเท่ๆ ว่า Mixologist กันแล้ว ความหมายก็คือ ‘นักผสม’ อาจเป็นเพราะเป็นที่ๆ อาชีพดังกล่าวมีรายได้ดีมากๆ ในเมืองนี้ แล้วในเมื่อคุณมาถึงบาร์เหล่านี้คุณจะสั่งแต่ไวน์หรือเบียร์คงไม่ใช่ เพราะมันไม่ได้ใช้ฝีมือชงจากบรรดาบาร์เทนเดอร์มืออาชีพเลยแค่รินเฉยๆ เอง ผมแนะนำให้ลองสั่งเหล้าค็อกเทลสักแก้วครับ เพราะมันใช้ฝีมือชงและผสมอย่างชำนาญอาจแถมลีลาน่าดูมาให้ด้วย และถ้ามาที่เมืองนี้แล้วต้องการค็อกเทลที่คิดค้นมาจากที่นี่ก็ต้อง ‘Manhattan’ เท่านั้นครับ มันมีประวัติว่ามันถูกทำมาตั้งแต่ปี 1870 ที่ Manhattan Club ที่เมืองนี้ โดย Dr. Iain Marshall เนื่องในงานเลี้ยงที่มีเจ้าภาพเป็น Jennie Jerome (Lady Randolph Churchill, แม่ของWinston Churchill) เพื่อเป็นเกียรติแก่ผู้สมัครคัดเลือกตำแหน่งประธาณาธิบดีของสมัยนั้นที่ชื่อ Samuel J. Tilden. แต่บางแหล่งก็บอกว่าทำคิดขึ้นมาที่บาร์แถว Broadway ใกล้ถนน Houston โดยบาร์เทนเดอร์ชื่อ Black ในปี 1860 ต่างหาก แต่ช่างมันเถอะครับ ถ้าเราต้องดื่มCocktail Manhattan ดีๆ บนเกาะ Manhattan ก็ให้ลองไปที่บาร์เหล่านี้ (ดูที่listข้างล่าง)

 

สุดยอด Manhattans ใน NYC

ไปดื่ม Manhattan ที่ Booker and Dax

จริงๆ แล้วที Booker and Dax ดังเรื่องการผสมเหล้าจิน (Gin) แต่ความทันสมัยคิดนอกกรอบของที่นี่ก็ไม่ได้ทำให้ Manhattan ของร้านซึ่งเป็นค็อกเทลประเภทจารีตนิยม Old School มันดูด้อยไปตามสมัยที่นิยมของแปลกใหม่ ที่นี่จะเสิร์ฟด้วยแก้วแบบChillไอเย็นลอยฟุ้ง แล้วจึงรินตัวค็อกเทลลงตรงหน้าคุณ รสมันจะคม (Crisply Refreshing) แห้งผากแต่สดชื่นไม่เหมือนเหล้าที่ไม่โดนเจือจางโดยน้ำหรือน้ำแข็ง East Village

 

ไปดื่ม Manhattan ที่ Bemelmans Bar

bemelmans-bar

บางครั้งการดื่มอะไรที่พิเศษ สถานที่มันก็เกี่ยว สมัยที่นิวยอร์กเข้าสู่ยุคฟู่ฟ่านั้น เป็นยุคศิลปะและสถาปัตยกรรมแบบ Art Deco ถ้านึกไม่ออกก็ลองนึกถึงตึก Empire State หรือตึก Chrysler หรือในช่วงที่มีการแต่งตัวแบบในหนังเรื่อง The Great Gatsby นั่นแหละครับ อยากให้มาที่นี่โรงแรม Carlyle Hotel ที่มี Upscale Piano Bar ที่มีจิตรกรรมฝาผนังชื่อดังของ Ludwig Bemelmans ที่มาของชื่อบาร์ แต่บางครั้งรู้จักกันในนามของ Carlyle’s Jazz Club, มันตกแต่ด้วยศิลปะแบบ Art Deco เรียบหรู ประดับประดาด้วย 24-Karat Gold-Leaf ตามมุมเสาและเพดาน แต่อย่ามัวตื่นตาตื่นใจกับงานศิลปtจนลืมสั่ง Manhattan รสคมเข้มมาจิบให้มันรู้สึกร้อนๆ ที่หน้าหน่อย และที่นี่ก็ยังมี Live Jazz ฝีมือของ Chris Gillespie สุดยอด Jazz Piano ได้บรรยากาศเหลือหลาย

 

ไปดื่ม Manhattan Cocktail ที่ Employees Only
ย่าน East Village

employees-only

Employees Only คือบาร์ชื่อเท่อยู่ย่าน West Village ที่นี่ถือเป็น Craft Cocktail Institution ที่เน้นบาร์เทนเดอร์มือฉมังขึ้นชื่อเรื่องอาหารมื้อดึก และเหล้าแก้วสุดท้ายก่อนจาก (One for the road) เหล้า Manhattan ของที่นี่ใช้วิสกี้ Rittenhouse Rye ผสม Sweet Vermouth และ Grand Marnier เหยาะด้วย Traditional Angostura Bitters แล้วคนให้เข้ากันแบบมืออาชีพเรียกว่าคุ้มค่าราคา $16 ที่สุดแล้วครับ

 

Other cocktail variety

ทีนี้ต้องขอบอกไว้ก่อนว่า Mahattan อาจไม่ใช่ Cocktail สไตล์ที่ผู้หญิงชอบนะครับ เพราะมันผสมแบบครึ่งๆ จากอเมริกันวิสกี้โดยเฉพาะที่ทำจากข้าวRye (แคนาเดียนวิสกี้ก็ได้) กับเวอร์มุตอิตาเลียน ตามด้วยเหล้าขมอิตาเลี่ยน(Bitter)นิดหน่อย ซึ่งอาจแรงไป(Punchy) สำหรับผู้ไม่ถนัดเราก็สามารถสั่งจาก Cocktail List ในเมนูได้ แต่ถ้าไม่มีไอเดียใดๆ เลยก็สั่งตัวใดตัวหนึ่งจาก Top 10 Most Popular Cocktail ที่ผมแนะนำข้างล่างนี้แล้วกันครับ
เร็วๆนี้มีการทำสำรวจจากบาร์ค็อกเทลดังๆทั่วโลกเพื่อหาอันดับ1-10 ของค็อกเทลที่เป็นที่นิยมสั่งมากที่สุดในโลก ก็ออกมาตามlistข้างล่างนี้ครับ ผู้ที่ไม่สันทัดก็จำชื่อไปลองสั่งได้เลย

1.Old Fashioned

2.Mojito

3.Negroni

4.Manhattan

5.Dry Martini

6.Martini

7.Margarita

8.Whisky Sour

9.Cosmopolitan

10.Dark & Stormy

ที่มา: http://drinksint.com/
ตัวอย่าง ค็อกเทล ชื่อดังอันดับ 3 คือ Negroni ที่เหล้าBase เป็น Gin ขึ้นชื่อมากที่บาร์ Gin Palace (ตอนนี้ปิดปรับปรุงอาคารทรุด)
“White Negroni” ที่ Gin Palace ถือว่าเป็นค็อกเทลที่แรงที่สุดสูตรหนึ่งในNew York

cocktail

Credit: Elilitetraveller.com

 

มาดู Bar Cocktail ที่คุณไม่จำเป็นต้องสั่งเฉพาะ Manhattan กันต่ออีกหน่อย

ATTABOY

ย่าน LOWER EAST SIDE

attaboy

เจ้าของที่นี่เป็น Bartenders เก่าแก่คือ Sam Ross และMichael McIlroy มาหุ้นกันเปิดAttaboy โดยตั้งใจวัตถุดิบชั้นดีเช่น เหล้า liquor คุณภาพ, น้ำผลไม้สด, น้ำแข็งจากน้ำบริสุทธิ์ ในขณะที่เน้นบรรยากาศแบบกันเอง less-formal atmosphere แถมยังไม่ทำให้ผู้ไม่สันทัดในเหล้าค็อกเทลต้องอึดอัด โดยไม่ต้องสนใจเมนู หากท่านสนใจจะดื่มเหล้าหลักเป็นอะไร เช่น วิสกี้, รัม หรือจิน ก็สั่งว่าอยากดื่มเหล้าหลักเป็นจิน บาร์เทนเดอร์จะสร้างสรรค์มาให้คุณเองให้ลองรายการพิเศษของที่นี่ เช่น Penicillin, ซึ่งผสมจาก Whiskey, Honey-ginger Syrup, มะนาว และ Islay Scotch

 

CLOVER CLUB
ย่าน COBBLE HILL

clover-club

ถ้าชอบสถานที่แบบเรียบหรูดูอินเตอร์ติดอันดับบาร์ค็อกเทลระดับโลก มีบริกรที่มีความเป็นมืออาชีพ และแน่นอนว่าเครื่องดื่มค็อกเทลที่สร้างสรรค์โดยบาร์เทนเดอร์ค่าตัวสูงคงต้องมาลองที่ Clover Club

 

ANGEL’S SHARE (ANNEX)
ย่านEAST VILLAGE

angels-share-annex

ว่ากันว่าเครื่องดื่ม Cocktails ที่นี่ ถือเป็นตัวเช็คมาตรฐานของเมืองเลยก็ว่าได้ มันอยู่ในย่านนี้มา20 ปี เป็นแบบ Old School Cocktail บาร์อยู่ใต้ดิน ผสมเหล้าแบบ Traditional แต่ตอนหลังมาเปิด The Annex ที่มีเหล้าแบบสร้างสรรค์แปลกใหม่ใจกว้าง ไม่ยึดติดอยู่กับความคิดเดิมอีกต่อไป

 

LEYENDA
ย่าน COBBLE HIL
leyenda
Courtesy of Leyenda.com

เราต้องยอมรับว่าค็อกเทลหลายๆ ตัวมาจากแถบอเมริกากลาง(แคริบเบียน) หรืออเมริกาใต้ เพราะเป็นแหล่งผลิตเหล้ารัมดังนั้นหากต้องการบาร์เทนเดอร์มือดีที่เป็นละตินสไตล์ ต้องมาที่นี่ Leyenda นอกเหนือจากนั้นอาหารที่นี่ก็ถือว่าเข้าขั้นพูดถึง เหล้ารัมนั้นถ้าดื่มแล้วติดใจอยากจะซื้อติดบ้านไว้ก็แนะนำเป็น The Best of Rum เลยละกันคงต้องเจาะจงยี่ห้อนี้เลยครับ Ron Zacapa เป็น Premium Rum ผลิตจากกัวเตมาลา

ron-zacapa

 

MACE
ย่าน EAST VILLAGE

mace_interior_bleicher

แนะนำ Cocktail Club’s Nico de Soto ที่นี่มักนำเอาสิ่งที่เหมือนจะเข้ากันไม่ได้มาผสมกันแต่ออกมาเป็นอะไรที่พิเศษและให้ลอง Yerba Mate, Aperol ผสม Beet Juice, Coconut Cordial และMace Mist แต่ถ้ายังไม่แปลกพอก็ลอง Saffron Cocktail ดูครับ

 

ประเภท Rooftop Bar
หากท่านมาที่นิวยอร์กในฤดูที่ไม่หนาวมาก การขึ้นไปดื่มบนยอดตึกที่เป็น Rooftop Bar หรือRestaurant ก็เป็นทางเลือกที่ไม่เลวนัก เพราะจะได้วิวและบรรยากาศตึกระฟ้าในนิวยอร์ก ต้องขอบอกว่าระยะหลังนี้ Rooftop Restaurant หรือบาร์เกิดขึ้นในทุกๆ เมืองทั่วโลก รวมทั้งที่กรุงเทพฯ เหมือนเป็นเทรนด์ที่ทำตามๆ กันมาแต่คงต้องยอมรับว่าที่ไหนๆ ก็ไม่เหมือนที่นี่ซึ่งเป็นต้นตำรับ และหากว่าท่านคิดว่าอยากจะไปชนแก้วกันบนตึกสูงละก็ลองไปที่เหล้านี้ดูครับ

 

Gallow Green
ย่าน Midtown

gallow-green

ชื่อ Gallow Green มาจากทุ่งในสก็อตแลนด์ที่เคยเอาไว้แขวนคอพวกนอกรีต แล้วโดนกล่าวหาว่าเป็นพวกแม่มด เลยเป็นที่มาของเครื่องแบบคนเสิร์ฟที่นี่ที่เป็นผ้าคลุมสีขาวสไตล์ผีฝรั่ง มีที่นั่งด้านนอกที่เป็นสวน และด้านในที่แต่งแบบตู้สเบียงรถไฟที่เก่าๆ หลอนๆ หน่อย ตามcoceptของบาร์นี้ มาที่นี่ให้สั่งVanessa’s Cup ทำจากเหล้ารัม, Pimm’s, sirop de canne—ที่ทำจาก syrup ผสมcinammon และvanilla— strawberries, ginger และnettle tincture ราคาแก้วละ $14

 

Top of the Strand
ย่าน Chelsea

top-of-the-strand-summer

Courtesy of top of the Strand.com

ถ้าอยากได้วิวของที่สุดของแลนด์มาร์กของเมืองนี้ ต้องมาที่ชั้น 21 ของโรงแรมStrand คุณจะได้วิวแบบสุดๆ ของตึก Empire State ที่มีตึกอื่นเป็นbackground การมาดื่มที่นี่เหมือนจะคุ้มมากๆ ไม่ต้องกลัวว่าฝนจะตกมาทำลายบรรยากาศเพราะที่นี่มีหลังคากระจกที่พร้อมจะเลื่อนเปิดปิดให้เหมาะกับฤดูอีกต่างหากราคา Specialty Cocktails ก็เริ่มจาก $15 ถ้า beer ก็แค่ $9

 

Berry Park
ย่าน Midtown West

3-z-hotel-rooftop

หากต้องการวิว Manhattan Skyline ข้ามฝั่งจากแม่น้ำ East River ที่นี่น่าจะเหมาะเพราะมีDeckขนาด 3,000 ตารางฟุต และหลังคากระจกเปิดปิดได้เผื่ออากาศไม่เป็นใจ มาที่นี่อาจต้องลองเบียร์ด้วย ให้ลองสั่ง Schöfferhofer หรือHefeweizen ($7) และไหนๆ ก็เยอรมันดริ๊งแล้วก็ต้องสั่งไส้กรอก Bratwurst with Sauerkraut ($6)

 

Pod 39 Rooftop
ย่าน Greenpoint ใน Brooklyn

pod-39-rooftop

Credit:Dave Wilson Photography

แนะนำแต่สถานที่แบบupscaleมาหลายแห่ง ขอแนะนำแบบพื้นๆ บ้าง ถ้าชอบเหล้าMexicanแบบ Margarita, , Tequila และบรรยากาศดิบๆ ก็ต้องมาที่ Rooftop Bar, ที่อยู่ชั้น17 แห่งนี้มีวิว East River และถ้าต้องการกับแกล้มที่นี่ก็มี Tacoที่ขึ้นชื่อ

ใน Episod2 เราจะมาพูดถึงที่เที่ยวกลางคืนแบบอื่นๆ หลังจากที่เราโหมโรงกันด้วยค็อกเทลจนหน้าเริ่มร้อนกันแล้ว ตอนหน้าจะมีการแนะนำ Jazz Bar และ Live Music Hall ของที่นี่ด้วย