City Break Paris Part V

เบรกเที่ยวในกรุงปารีส ตอนที่ 5
By Paul Sansopone

City Break Paris History 8

ปารีสยุคกลาง The Medieval Paris

City Break Paris History 7

Credit pic: http://www.indiana.edu

จากตอนที่แล้วเราได้ทราบว่าโรมันได้สร้างเมือง Lutetia ไว้ทางฝั่งซ้าย (The Left Bank) ของแม่น้ำเซน ต่อเนื่องจากเกาะกลางแม่น้ำที่ชื่อซิเต้ ที่พวกเซลติกเผ่า Parissi ตั้งถิ่นฐานอยู่ ที่เลือกฝั่งซ้ายก็เพราะเป็นที่ดอนมีโอกาสน้ำท่วมน้อยกว่าฝั่งขวา ซึ่งตอนนั้นเป็นพื้นที่ต่ำมีหนองน้ำเฉอะแฉะแบบ Swamp แต่ฝั่งขวาก็ยังมีความสำคัญ เพราะใช้เป็นที่เทียบเรือหรือท่าเรือนั่นเอง มีการเอาสินค้าขึ้นตรงนั้น (ปัจจุบันก็คือจัตุรัสแกรฟ Place de Grève บริเวณลานหน้า Town Hall หรือศาลากลางเมืองปารีส (Hôtel de Ville de Paris) ทำให้ตรงนั้นก็กลายเป็นตลาดโดยปริยาย แต่ต่อมาเมืองขยายทำให้มีการย้ายตลาดขึ้นไปทางเหนือที่ Les Champeaux และในปี 1183 ก่อนที่กษัตริย์ฟิลิป (Philippe-Auguste) จะทรงเสด็จไปทำสงครามครูเสด ท่านได้มีดำริให้สร้างตลาด ‘เลอาน’ Les Halles ถือเป็นตลาดสดกลางเมืองปารีสที่เกิดขึ้นตั้งแต่ยุคกลางและเป็นมาต่อเนื่องจนยุคปัจจุบัน จนปี 1970 ถึงมีการย้ายตลาดทางใต้ของปารีสที่ย่าน Rungis ส่วนที่เดิมถูกปรับเปลี่ยนมาเป็น Forum des Halles ศูนย์การค้าชุมทางรถไฟใต้ดินของปารีสในปี 1979

บางครั้ง(จริงๆ แล้วทุกครั้ง) ที่การท่องเที่ยวชมบ้านเมืองในต่างประเทศนั้นมันต้องอิงประวัติศาสตร์ ไม่งั้นมันไม่รู้เรื่องราวที่มา ในตอนนี้เลยต้องมีการทบทวนความจำพื้นฐานประวัติศาสตร์ของเมืองที่เราไปเที่ยวนั้นอยู่บ้าง ก่อนจะไปชมสิ่งก่อสร้างที่เกิดในยุคนั้น

City Break Paris History 5

Tapestryหรือศิลปะบนผ้าทอ ที่ชื่อ The Lady and the Unicorn (La Dame à la licorne) 1ใน6 ของทั้งเซ็ท ซึ่งถือเป็นสุดยอดงานศิลปะจากยุคกลางตอนปลาย สามารถไปชมได้ที่ พิพิธภัณฑ์ศิลปะแห่งยุคกลาง Musée national du Moyen Âge ที่เขต5 ถนนแซงต์มิเชล กรุงปารีส

เรื่องราวในยุคกลางนั้นมีอะไรเกิดขึ้นมากมาย คำว่ายุค(สมัย)กลาง Middle Ages ก็คือช่วงเวลาของประวัติศาสตร์ยุโรปตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 5 ถึงคริสต์ศตวรรษที่ 15 นับตั้งแต่การล่มสลายลงของจักรวรรดิโรมันตะวันตก (การสิ้นสุดของสมัยคลาสสิก) จนถึงจุดเริ่มต้นของสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยาและยุคแห่งการสำรวจ (ทวีปใหม่) ซึ่งเป็นยุคที่นำไปสู่สมัยใหม่ในเวลาต่อมา สมัยกลางคือช่วงเวลาตรงกลางของกระบวนการเปลี่ยนผ่านในประวัติศาสตร์ตะวันตกคือ สมัยคลาสสิก, สมัยกลาง และสมัยใหม่ และสมัยกลางยังถูกแบ่งออกเป็นสามช่วงเวลาคือ ต้นสมัยกลาง (Early Middle Ages AD.500-1000) ซึ่งบางตำราถือเป็นยุคมืดหรือยุคถดถอย, สมัยกลางยุครุ่งโรจน์ (High Middle Ages AD.1000-1300) และปลายสมัยกลาง (Late Middle Ages AD.1300-1500)

City Break Paris History 4

อาวุธของพวก Franks ในตอนต้นยุคกลางถ่ายจากพิพิธภัณฑ์ของเยอรมันในเมืองเนินแบร์ก

หลังจาก ค.ศ. 357 ที่โรมเสื่อมอำนาจพวก(Salian) Franks เผ่าพันธุ์ที่เป็นผู้มีวินัยทางการดำรงชีพและวินัยทางการรบมีถิ่นกำเนิดมาจากฝั่งขวาของแม่น้ำไรน์ สามารถพิชิตและขับไล่พวกโรมันและพวกกอล Gaul ซึ่งก็คือพวกอนารยชน (Barbarian)ออกไปอย่างราบคราบและยังรวบรวมพวกกอล Gaul ที่เคยภักดีกับโรมันมาเป็นพวกเดียวกัน จากนั้นก็สร้างอาณาจักร Franks ของตัวเอง โดยการนำของกษัตริย์ Clovis ที่ 1ผู้กล้าหาญแห่งราชวงศ์เมโรวีเจี้ยน Merovingian Dynasty (ค.ศ.486–751)ที่ได้รับฉายาว่าเป็น The founder of France ผู้ให้กำเนิดแผ่นดินฝรั่งเศส บางตำราก็บอกว่าท่านคือกษัตริย์พระองค์แรกของฝรั่งเศสซึ่งก็น่าจะใช่ แม้จะยังเป็นแค่อาณาจักร Franks ท่านขึ้นครองราชย์ตั้งแต่พระชนมายุเพียง 16 แต่เก่งและชำนาญเรื่องการต่อสู้มาก เพราะฝึกฝนและติดตามพระบิดาไปสู้รบตั้งแต่ทรงพระเยาว์ซึ่งท่านก็ได้ตั้งปารีสให้เป็นเมืองหลวง โดยที่กษัตริย์ Clovis ก็ได้ประกาศให้อาณาจักรแห่งนี้เป็นคริสเตียนChristendom เพราะพระองค์ศรัทธาในพระเจ้า

City Break Paris History 9

กษัตริย์ คลาวิส เมื่อครั้งทำพิธีรับศีลล้างบาป หรือศีลจุ่ม (Baptism) เพื่อการเป็นคริสเตียน

และต่อมาในศตวรรษที่ 8 อาณาจักร Franks แห่งนี้ก็ขยายกลายเป็นจักรวรรดิการอแล็งเฌียง (Carolingian Empire)ตามชื่อราชวงศ์ การอแล็งเฌียง Carolingian Dynasty (ค.ศ.751–888) ของจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ที่ชื่อพระเจ้าชาร์เลอมาญ มหาราช Charlemagne (The Great) ซึ่งต่อมาสามารถขยายอาณาเขตกว้างใหญ่ในยุโรปตะวันตกทั้งหมดเทียบเท่ากับจักรวรรดิโรมัน(ตะวันตก)**ในอดีต(จริงๆแล้วใหญ่กว่าเพราะโรมันจะไม่ขยายดินแดนเกินไปกว่าบริเวณแม่น้ำไรน์หลังจากการพ่ายแพ้อย่างย่อยยับในปี ค.ศ. 9 ในยุทธการที่ป่าทิวโทเบิร์ก (Battle of the Teutoburg Forest) แต่ชาร์เลอมาญขยี้ผู้ต่อต้านที่เป็นชาวเจอร์มานิคทั้งหมดและขยายดินแดนของจักรวรรดิไปจนถึงแม่น้ำเอลเบ)
หมายเหตุ ** เพื่อไม่ให้สับสนกับ อาณาจักรโรมันตะวันออก หรือ “จักรวรรดิไบแซนไทน์” Byzantine ซึ่งก่อตั้งโดยจักรพรรดิ “Flavius Valerius Aurelius Constantinus” หรือที่รู้จักกันว่า “คอนสตันไทน์ที่ 1” ซึ่งท่านได้สถาปนานครคอนสแตนติโนเปิลให้เป็นเมืองหลวงใหม่ (New Rome) ของจักรวรรดิโรมันใน พ.ศ. 873 และท่านก็เป็นจักรพรรดิโรมันพระองค์แรกที่หันมานับถือศาสนาคริสต์ จากก่อนหน้านั้น จักรพรรดิโรมันทั้งหมดนับถือทวยเทพ(เทพเจ้าหลายองค์ ลัทธิเพเกินบูชาเทพเจ้าโรมัน) ขณะที่จักรวรรดิโรมันตะวันตกล่มสลายไปในคริสต์ศตวรรษที่ 5 ส่วนตะวันออกยังดำเนินต่อมาอีกพันปีก่อนจะเสียแก่เติร์กออตโตมันใน ค.ศ. 1453

และในช่วงปี ค.ศ 800 ความยิ่งใหญ่กว้างไกลของอาณาเขตเทียบเท่ากับจักรวรรดิโรมัน ทำให้ชื่อจักรวรรดิการอแล็งเฌียงถูกเปลี่ยนมาเป็นจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ (Holy Roman Empire) และที่มีชื่อ “อันศักดิ์สิทธิ” ต่อท้าย ก็เพราะสมัยโรมัน(ตะวันตก)**ก่อนหน้านั้นจักรพรรดิโรมันนับถือทวยเทพ แต่สมัย พระเจ้าชาร์เลอมาญ ทรงเคร่งศาสนาคริสต์ และประกอบกับก่อนหน้านั้นเป็นช่วงยุคมืดที่ศาสนาเป็นที่พึ่ง ก็ทำให้ประชาชนทุกเขตดินแดนหันมาภักดีต่อพระองค์มากขึ้น ในขณะที่สันตะปาปาที่โรมก็มองเป็นกลยุทธแห่งชัยชนะเช่นกัน (win-win) ที่จะทำให้คริสต์ศาสนาแผ่ไปทั่วยุโรปแบบไม่ต้องออกแรง เพราะการที่ชาร์เลอมาญไปชนะดินแดนไหนท่านก็จะฟื้นฟูศาสนาที่นั่นหรือแม้แต่ให้มีการ convert ปรับเปลี่ยนมาเป็นคริสเตียนไปเลย จึงมีการจัดพิธีราชาภิเษกขึ้นครองจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ ขึ้นที่กรุงโรม โดย สันตะปาปาลีโอที่ 3เป็นผู้ทำพิธีสวมมงกุฎ ในวันคริสมาสต์ ปี ค.ศ 800 ที่ กรุงโรม ณ วิหาร St. Peter’s (อาคารหลังเก่าก่อนมีการสร้างหลังปัจจุบันครอบ)

เนื่องจากจักรวรรดินี้กินพื้นที่กว้างใหญ่เป็นพื้นที่ของเยอรมัน, ฝรั่งเศส, เบลเยี่ยม, เนเธอร์แลนด์สวิสเซอร์แลนด์, อิตาลีทางเหนือ ทำให้เป็นที่มาของฉายาที่ท่านได้รับว่า The Father of Western Europe และพระองค์ได้ทรงย้ายเมืองหลวงไปอยู่ที่เมืองอาเคิน Aachen (อยู่ในเยอรมันในปัจจุบัน) เพราะอยู่ใจกลางมากขึ้น เมื่อเทียบกับปารีสแต่จริงๆ แล้วอาจเป็นเพราะ Aachen นั้นใกล้บ้านเกิดของท่าน

พระเจ้าชาร์เลอมาญ ในพิธีราชาภิเษกขึ้นครองจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ โดย สันตะปาปาลีโอที่3 Pope Leo III เป็นผู้ทำพิธีสวมมงกุฎ ในวันคริสมาสต์ ปี ค.ศ 800 ที่ กรุงโรม ณ วิหาร St. Peter’s (อาคารเก่าก่อนมีการสร้างหลังปัจจุบันครอบ)

และเมื่อครั้นท่านสิ้นพระชนม์ทายาทพระองค์เดียวที่ชื่อพระเจ้าหลุยส์ผู้ศัรทธา(เคร่งในศาสนา) Louis the Pious ขึ้นครองราชย์ต่อแต่นั้น เนื่องจากท่านมีทายาทถึง 3 พระองค์จึงมีการแบ่งดินแดนออกเป็น 3 ส่วนให้เท่าเทียมกันตามกฎมณเฑียรบาลของชาว Franks อาณาจักรจึงถูกแบ่งเป็น 3 อาณาจักรตามสนธิสัญญา Verdun ค.ศ 843 คือ
1. ฟรังเกียตะวันตกWest Francia ซึ่งก็กลายมาเป็น the Kingdom of France ในเวลาต่อมา (ดินแดนของฝรั่งเศสในปัจจุบัน)
2. ฟรังเกียตะวันออก East Francia แต่มักใช้ชื่อเดิมคือจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ The Holy Roman Empire (ดินแดนของประเทศเยอรมันในปัจจุบัน)
3. อาณาจักรกลาง Central kingdom (กลุ่มประเทศแผ่นดินต่ำ The Low Countries ดินแดนของ เนเธอร์แลนด์, เบลเยี่ยม และลักซัมบรูกร์ รวมทั้งดินแดนต่อเนื่องคือสวิสเซอร์แลนด์ และดินแดนทางเหนือของอิตาลีที่เป็นนครรัฐ)

City Break Paris History 1

กลับมาเรื่องฝรั่งเศส เรื่องราวที่เล่ามาทำให้เราสามารถพูดได้ว่าบรรพบุรุษของฝรั่งเศสและเยอรมัน ก็คือพวกFranks นี่เอง และมันก็คือที่มาของคำว่า ‘France’ เพราะคำว่า France ในภาษาเยอรมันและดัชท์คือ Frankreich และ Frankrijk ,มันมีความหมายว่า “Realm of the Franks” หรือ อาณาจักรของ Franks นั่นเอง ซึ่งก็มีความเจริญต่อเนื่องมาโดยเฉพาะในยุคสมัยของกษัตริย์ อูก กาเป มหาราช Hugh Capet หรือ Hugh the Great ต้นสายของราชวงศ์กาเปเชียง Capetian Dynasty (987–1589) ได้วางรากฐานระบบการปกครองแบบกษัตริย์แบบมั่นคงต่อเนื่องมาจนถึงราชวงศ์วาลัวร์และบูร์บอง (Valois (until 1589) and Bourbon (until 1848)ซึ่งเป็นสายและแขนงต่อเนื่องมาจากราชวงศ์กาเปเชียงนั่นเอง

City Break Paris History 3

ภาพไวกิ้งบุกยึดปารีสที่เรียกว่า The Siege of Paris

อย่างไรก็ตามอาณาจักร West Francia แห่งนี้ไม่ได้ครอบคลุมพื้นที่หลายส่วนที่เราเห็นเป็นประเทศฝรั่งเศสในปัจจุบัน เพราะก็ยังมีส่วนที่เป็น Normandy ซึ่งเป็นของพวก Normans ซึ่งมาจากคำว่า Norseman พวกที่มาจากทางเหนือซึ่งก็คือพวกไวกิ้ง Viking ที่รู้ว่าปารีสช่วงนั้นมีความเจริญรุ่งเรืองจึงเข้ามาปล้นสะดมและบุกยึดเมืองในปี 845 ที่เรียกว่า The Siege of Paris ถ้าเราดูหนังซีรี่ย์ดังของ National Geo ก็จะรู้ประวัติศาสตร์ในช่วงนี้ดีที่น้องชายของ “เรกน่าร์ (Ragnar Lodbrok) ที่ชื่อ รอลโล่ (Rollo) เมื่อครั้งที่บุกเข้ามาตามแม่น้ำเซนได้ทำสัญญากับกษัตริย์ King Charles III โดยสัญญาจะป้องกันการรุกรานของพวกไวกิ้งเพื่อแลกกับดินแดนทางเหนือของช่วงปลายของลำน้ำเซน ซึ่งก็คือพื้นที่บริเวณ นอร์มองดี นั่นเอง และได้สถาปนาตัวเองขึ้นเป็น ดยุกแห่งนอร์มองดี คนแรก Duchy of Normandy แล้วยังมีดินแดน ‘อ็องฌู’(Angevin Empire) ทางภาคตะวันตก ที่ปกครองโดยราชวงศ์ปลองตาเจเนท์ Plantagenet จากอังกฤษ ที่ระหองระแหงอยู่ต่อเนื่องจนเกิดสงคราม 100 ปี ระหว่างอังกฤษกับฝรั่งเศสในเวลาต่อมา ในช่วงนั้นจึงยังไม่มีผู้ที่ปกครอง(ruled)อย่างเด็ดขาดในดินแดนที่ยังมีอาณาจักรเล็กใหญ่อยู่ในดินแดน West Francia จนกระทั่งถึงยุคของกษัตริย์ฟิลิปที่ 2 Philip August (Philip II, 1180–1223 ตรงกับยุคก่อนสมัยของพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ (1238–1257)กษัตริย์พระองค์แรกแห่งอาณาจักรสุโขทัยเล็กน้อย) ที่ท่านรวบปกครองทั้งหมดได้และสถาปณาตนเป็น Roi de France หรือ king of France เป็นครั้งแรก เป็นพระองค์แรกที่ไม่ใช้คำว่า King of the Franks(Roi des Francs) อีกต่อไป และปารีสก็ได้รับบทบาทในการเป็นเมืองหลวงของฝรั่งเศสแบบสมศักดิ์ศรีโดยในยุคของพระองค์มีการพัฒนาก่อสร้างมากมายรวมทั้งกำแพงกรุงปารีส Wall of Paris ที่สร้างเพื่อป้องกันปารีสถูกรุกรานในช่วงที่ท่านเสด็จไปทำสงครามครูเสดโดยเฉพาะจากอังกฤษ( ราชวงศ์ปลองตาเจเน Plantagenet)

City Break Paris History 2

กำแพงเมืองปารีส ที่สร้างสมัยพระเจ้าพิลิปที่ 2

และที่นี้เราก็มาทำความรู้จักสถาปัตยกรรมสำคัญๆ ของช่วงยุคกลางของกรุงปารีสกัน แต่คงต้องติดตามอ่านในตอนต่อไปนะครับ ใน City Break Paris ตอน 6

Credit: Wikipedia, http://www.metmuseum.org