เบรกทานมื้อเย็น Dinner Break
สำหรับมื้อเย็นในนิวยอร์ก ผมขอนำเสนอให้เลือก 2 รูปแบบ แบบคลาสสิก หรือการไปกินร้านอาหารในตำนานของมหานครแห่งนี้ที่เปรียบเสมือนสถาบัน เพราะมันเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์ และอีกแบบเป็นแบบร่วมสมัย คือร้านอาหารที่บริหารจัดการโดย Celebrity Chef หรือพ่อครัวระดับโลกที่สร้างชื่อด้วยการทำร้านหรูหราที่มาพร้อมกับรายการอาหารที่สร้างสรรค์จากประสบการณ์ และจิตนาการที่เหนือชั้น
I แบบ Classic Old School
ไม่ว่าสไตล์หรือ Trend ของการกินการบริการมันจะเปลี่ยนไปอย่างไร เราก็คงยังต้องวนเวียนกลับมาที่ต้นกำเนิดของมัน ใช่ครับผัดกระเพรากับส้มตำแบบดั่งเดิมมันต้องดีกว่า Fusion ถ้าพูดแบบบ้านๆ ก็คือดัดแปลงหรือกลายพันธุ์แน่นอน หลายๆ คนก็ยังอินกับร้านแบบ Old Love, Old-School หรือแบบ Hometown Places แต่ความเก่าแก่ไม่ได้หมายถึงว่ามันดีหรืออร่อยเหมือนเดิมเสมอไป ในนิวยอร์กจึงมีเหลืออยู่ 5 แห่งนี้ที่แนะนำครับ
Delmonico’s
เปิดมาตั้งแต่ปี 1837 ร้าน Delmonico’s คือร้านที่เรียกตัวเองว่าเป็นภัตตาคารแห่งแรกในมหานครแห่งนี้และก็เคยเป็นร้านอาหารประเภท Fine-Dining Restaurants ที่ดีที่สุดที่นี่หลายปี ลูกค้าประจำก็มีแบบประธานาธิบดี Theodore Roosevelt, นักเขียนชื่อ Mark Twain และจักรพรรดิ Napoleon ที่ III มี Signature Dishes ที่สร้างชื่อก็ Baked Alaska, The Eggs Benedict และ The Lobster Newberg ที่อยู่ก็แน่นอนว่าอยู่ที่เดิม Delmonico’s, 56 Beaver St, New York คลับคล้ายคลับคลาว่าตึกนี้กลายเป็นของว่าที่ประธานาธิบดีTrumpไปแล้ว
Grand Central Oyster Bar
เปิดตั้งแต่ปี 1913 The Grand Central Oyster Bar อยู่เป็นร้านคู่บารมีกับสถานีรถไฟ Grand Central Station มาตั้งแต่เปิด คล้ายๆ กับร้าน Le Train Bleu ในสถานี Gare de Lyon ใน Paris ที่ให้บริการนักเดินทางโดยรถไฟมาตั้งแต่ปี 1901 เช่นกัน เมื่อก่อนนี้ใช้ขื่อ “Buffet de la Gare de Lyon” ที่คล้ายกันอีกเรื่องคงเป็นเพราะขึ้นชื่อเรื่องอาหารทะเลเช่นกันด้วย แต่จานที่ต้องลองและดังของร้านที่นิวยอร์กคือ Oyster Stew. Grand Central Oyster Bar, 89 E 42nd St, New York
Keen’s Steakhouse
เปิดมานานมากแล้วตั้งแต่ปี 1885 ร้านสเต็กที่จัตุรัส Herald ร้านนี้เกิดมาในช่วงที่การสูบไปป์เป็นที่นิยมก็เลยเกิด “Pipe Tradition” ขึ้นที่นี่ และมีการก่อตั้งสมาคม Pipe Club และยังมีคอลเล็กชั่นสะสมไปป์แบบก้านยาวที่เรียกว่า Churchwarden Pipes มากที่สุดในโลกตั้งแต่ปี 1950s มันเรียกว่าไปป์อ่านหนังสือในเยอรมัน เพราะก้านมันยาวออกไปไม่รบกวนสายตาบังตัวหนังสือที่อ่าน และควันก็ไม่ใกล้หน้าผู้สูบมากไป มาที่มีต้องสั่ง แกะครับ จานนี้เลย Keen’s Mutton Chop ติดอันดับบรรดาอาหารจานเนื้อที่นี่มานานแล้ว Keen’s Steakhouse, 72 West 36 St, New York
Peter Luger
ร้านสเต็กในตำนานร้านนี้เปิดมาตั้งแต่ปี 1887 แต่ชื่อเสียงและคุณภาพก็ยังเดินทางมาพร้อมอายุ คือมันก็ยังเป็นที่นิยมอยู่เสมอมา Peter Luger ยังติดอันดับ1ของร้านสเต็กใน NYC อย่างต่อเนื่อง แม้ใน 28 ปีให้หลังมานี้. การจองสำหรับกินมื้อเย็นยังใช้เวลาเป็นเดือนอยู่ คุณคงต้องลองจองเป็นมื้อกลางวันดูน่าจะเป็นไปได้มากกว่า Peter Luger, 178 Broadway, New York
P.J Clarke’s
เปิดมาตั้งแต่ปี 1884 ร้าน P.J Clarke’s มีชื่อเสียงโด่งดังว่าเป็นร้านที่มี Best Burgers ใน NYC ร้านนี้มีความขลังในสไตล์แบบpubในอังกฤษ P.J Clarke’s, 915 3rd Ave, New York
Fraunces Tavern
Photo Credit: Cindy Carlsson
เก่าแก่กว่าทุกร้านที่บอกมาเพราะที่นี่เปิดในปี 1762 Fraunces เป็นร้านในแบบ Tavern ที่เป็นประวัติศาสตร์เช่นในช่วงสงครามกลางเมืองหรือ American Revolution นายพล George Washington กล่าวคำอำลาทหาร Continental Army ณ ที่แห่งนี้ แถมในปี1960s ตึกแห่งนี้ยังได้รับการประกาศให้มีฐานะเป็นแลนด์มาร์คของเมืองนี้ และบางส่วนของอาคารก็กลายเป็นพิพิธภัณฑ์ไปแล้ว Fraunces Tavern, 54 Pearl St, New York
McSorley’s Old Ale House 15 E 7th St, New York
ซาลูนแห่งนี้เปิดในปี 1854 เป็นไอคอนของย่าน East Village หากท่านชอบIrish Pub แบบดั่งเดิม เบียร์สีเข้มที่ทางร้านbrewsเอง ต้องเดินบนพื้นไม้เสียงอ๊อดแอ๊ด น่าจะมาแวะถ้าผ่านมาย่านนี้ ผมไม่แน่ใจว่าใช่ร้านนี้หรือเปล่า เพราะเห็นแค่แว็บๆ ในหนังดังของ Clint Eastwood เรื่อง Sully ที่ Tom Hank ได้บทกัปตันที่ต้องนำเครื่องairbus 320ลงฉุกเฉินในแม่น้ำฮัดสัน มีอยู่ฉากนึงที่เค้าออกมาแวะดื่มเบียร์ในร้านที่คล้ายร้านนี้มาก และมีประโยคหนึ่งในหนังที่ผมชอบก็คือเมื่อตอนเครื่องได้ออกจากสนามบินลากัวเดียตรงเวลาและบรรดาลูกเรือรู้สึกโล่งใจ เพราะสนามบินนี้ขึ้นชื่อเรื่องflight delay ผมก็ยังขำเพราะเคยดีเลย์ อยู่ที่นี่ตั้งแต่ 10 โมงเช้าจนถึงบ่าย 3
’21’ Club 21 W 52nd St, New York
ร้านนี้ก็เก่าเปิดในปี 1930 แต่มันก็ยังขึ้นชื่อเรื่อง Steak Tartare และ Center Cut Filet Mignon เห็นเก่าๆ แบบนี้มีบรรดา Celebs แบบ George Clooney, Olivia Wilde, Bruce Willis, Shia LaBoeuf และอื่นๆ เวียนวนกันมาใช้บริการ
II แบบ Celebrity Chef
บรรดา Celebrity Chefs ได้ทำการปรับเปลี่ยนรูปแบบของอุตสาหกรรมอาหารในอเมริกาแบบตามกันไม่ทัน มันไม่ใช่มาในรูปแบบที่หรูเว่อร์หรือราคาแพงเป็นหลักหมื่นแสนอย่างที่เราหลายคนคิดกันเสมอไป บางความคิดบางรูปแบบที่ร้านเหล่านี้ออกมาก็เป็น Casual Dining และราคาก็รับได้ ผมสังเกตว่าเชฟแต่ละคนก็มักจะมีร้านที่เป็น เรือธงFlagship ที่หรูหราต้องแต่งตัวกัน มี Dress Code กัน แต่ในขณะเดียวกันเขาก็มักจะมีร้านแบบ Brand รองที่ลดหลั่นดีกรีความเข้มข้นออกมารองรับลูกค้าอีกกลุ่มเช่นกัน ดังนั้นหากเราศึกษาดีๆ เราก็เลือกร้านที่เหมาะกับเราได้เสมอแม้ว่าร้าน Celeb Chef ก็ไม่ต้องหวั่น
เชฟ George Mendes (Bouley, Wallsé) ได้เปิดร้านอาหารแห่งแรกของเขาที่บริเวณจัตุรัส Union Square ชื่อว่า Aldea ชื่อนี้มาจากภาษาโปตุกีสหมายถึงหมู่บ้าน สะท้อนถึงbackgroundของเชฟเอง และความตั้งใจในการกลับไปทำอาหารแบบคลาสสิก(แต่ใช้เทคนิคสมัยใหม่)ของโปตุกีส, สเปน และฝรั่งเศสแถบอ่าว Biscay ตัวอย่างอาหารก็เช่น Arroz de Pato เป็นปลาหมึกย่างราดซอสแบบโปตุเกส
A Voce Columbus
ร้านออกแบบได้ทันสมัยในสไตล์การออกแบบและรสชาติอาหารแบบมิลาเนส Milanese aesthetic แถมยังรับวิวของ Central Park ถือเป็น Italian Restaurant บนถนน Madison Avenue ที่มีรายการอาหารคลาสสิกของอิตาลีทางเหนือแบบ Baccalà, Branzino และTagliatelle กับซอสหมูและเนื้อ Ragù มีผู้กำกับดูแลคือ Chef Missy Robbins เธอมีชื่อเสียงรื่อง Pasta ด้วย Robbins สร้างชื่อมาจากการเป็นเชฟที่ร้านในชิคาโกชื่อร้าน Spiaggia ซึ่งเป็นร้านประจำของครอบครัว Obama เมื่อตอนที่อยู่ชิคาโกก่อนมาเป็นประธานาธิบดี
Pancetta at A Voce Columbus. Photo: Quentin Bacon
Morimoto
เป็นแบบไฮบริด หรือ East Meets West ที่กุมบังเหียนโดย Executive Chef ชาวญี่ปุ่น Masaharu Morimoto ดาราและกรรมการจากรายการทีวี Food Network’s Iron Chef และยังเคยเป็นอดีต Executive Chef ที่ภัคตาคารญี่ปุ่นชื่อดัง Nobu ที่นี่อาหารจะเป็นลูกผสมแต่มันผสานกลมกลืนแบบสร้างสรรค์และคิดไม่ถึง แล้วยังมีครัวเปิดโล่งให้เห็นการทำงานของเชฟด้วย
Halibut at Morimoto. Photo: Daniel Krieger
Courtesy, Adour Alain Ducasse at The St. Regis New York
Adour คือร้านเอกของ Alain Ducasse, Celebrity Chef ชาวฝรั่งเศสที่ดังที่สุดในฝั่งอเมริกาและอาจถึงขนาดคนหนึ่งในโลกก็ได้ เขาต้องการให้แขกที่มาทานอาหารที่นี่ได้ร่วมแชร์ความรู้สึกแบบละเอียดอ่อนที่น่าหลงใหลในอาหารแต่ละจานที่เขาประดิษฐขึ้น Adour นำเสนอเมนูตามฤดูกาล Seasonal Menu ที่สะท้อนรสชาติของท้องถิ่น แน่นอนว่ารสชาติและอารมณ์จะเป็นแบบอาหารฝรั่งเศสซึ่งมักต้องpairกับไวน์ที่เขานำเสนอด้วยว่าจานไหนต้องไวน์อะไร มันอาจจะหรูและแพงที่สุดในบรรดาทุกร้านของเชฟคนนี้ก็เป็นได้ ก็ร้านอยู่ในโรงแรมระดับ 6 ดาว The St. Regis New York
Courtesy, Jean Georges
เป็นร้านที่ไม่ควรมองข้ามอยู่ในเขต Upper West Side นำเสนออาหารแบบlightไม่หนักมาก และยังมีราคาไม่หนักด้วยเช่นกัน เมื่อเทียบกับร้านของ Super-Celeb อย่าง Chef Jean-Georges ชาวฝรั่งเศสจาก Alsace แต่มาดังที่NYC มีร้านอยู่ 10 ร้านใน NYC จาก 20 กว่าร้านทั่วโลก เชฟคนนี้ผมเคยรู้จักกับเขาตอนที่เคยทำงานพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่เห็นเป็นตึกโดมทองชื่อ State Tower ย่านสีลมก่อนจะมาร้านอาหาร Sirocco, Mezzaluna และThe Dome นั้น เจ้านายเก่าผมเคยทาบทาม Chef Jean-Georges ให้มาทำร้านที่นี่ครับ เขามีหลายร้านที่แนะนำ มี 2 แบบให้เลือก ถ้าหรูหน่อยก็ร้านสร้างชื่อที่ใช้ชื่อเต็มของเขาเลย Jean Georges’s Fine Cuisine อยู่ Park AVE.West (ที่นั่น Three-Course Tasting Menu เริ่มต้นที่ราคา $98) ในขณะที่ร้าน Nougatine เป็นแบบ Five Courses ในราคา $68) บรรยากาศในร้านโล่งโปร่งสบาย เพราะใช้กระจกตั้งแต่พื้นจรดเพดาน ที่นี่ยังเหมาะสำหรับการมาลอง Lunch หรือ Brunch
ร้านบรรยากาศโปร่งโล่ง เพราะเพดานที่สูงกว่าปกติ ร้านนี้เป็นการผนึกกำลังสร้างสรรค์และร่วมปล่อยวิทยายุทธในการทำอาหารอิตาเลี่ยนของเชฟที่รู้จักดีคือ Mario Batali, Joseph Bastianich และLidia Bastianich ที่นี่รับประกันผู้ที่หลงใหลใน Italian Cuisine ที่มีกลิ่นรสแบบเมื่อได้เข้าปากแล้วต้องหลับตาเพื่อจดจำอารมณ์หรือช่วงเวลาที่ต้องกลืนมันไป อย่าลืมว่าที่นี่มี Inventive Pastas ซึ่งหมายถึงซอสในรูปแบบใหม่ๆ ที่ไม่ซ้ำ ตามด้วยปลาและของหวานที่เหลือเชื่อ
Chocolate mousse. Courtesy, Brasserie Les Halles
ใครที่ชื่นชอบ Celebrity Chef ท้องถิ่นของนิวยอร์กที่เป็นนักเขียนและทำรายการTVเกี่ยวกับอาหารและการเดินทางที่ชื่อ Anthony Bourdain คงต้องมาที่ร้านของเขาที่นี่ Brasserie Les Halles มันเป็นแบบ Informal French Cuisine เหมือนกับ Brasserie ในปารีส แต่ที่นี่เปิดตั้งแต่เช้า 7:30am จนถึงเที่ยงคืน ขาย Breakfast, Brunch, Lunch และอาหารค่ำในแบบสบายๆ มีจานที่สร้างชื่อก็คือ Hamburger ที่มากับ Foie Gras Terrine และซอสเห็ด Truffle ที่นี่จานอาหารทะเลแบบในปารีสแล้วก็จานด่วนเวลาที่เข้ามาทานระหว่างมื้อ เช่น Quiche, Hanger Steak Salad หรือ Croque Monsieur พร้อมกับมีกาแฟพิเศษที่ใช้ Barista เป็นผู้เตรียมให้
โปรดติดตามตอนจบของ City Break NYC ได้ในตอนต่อไปที่ชื่อ Night Life In The Big Apple เป็นการท่องราตรีสั่งลามหานครที่ไม่เคยหลับใหล