City Break Paris Part IV

เบรกเที่ยวในกรุงปารีส ตอนที่ 4
By Paul Sansopone

เที่ยวปารีสแบบคุ้มค่า
เที่ยวปารีสแบบไหนดี เริ่มต้นแบบไหนถึงจะเรียกว่าได้ทำความรู้จักนครหลวงแห่งนี้ในทุกแง่ทุกมุม สมกับสิ่งที่ปารีสมีนำเสนอให้ จากประวัติศาสตร์กว่า 2000 กว่าปี จากการบรรจงก่อร่างสร้างความศิวิไลซ์ไม่ว่าจะเป็นด้านสถาปัตยกรรมหรือศิลปะของแต่ละยุคสมัย ประกอบกับวัฒนธรรมการใช้ชีวิตในแบบชาวปารีเซียนที่รักความสนุกร่าเริงแบบมีสไตล์ ตลอดจนความประณีตพิถีพิถันในการกินการดื่มที่ไม่ธรรมดา นั่นทำให้การมาเที่ยวที่นี่แบบผิวเผินถือว่าไม่คุ้มค่าเลยครับ เริ่มจากตอนนี้ผมจะพาท่านไปเที่ยวปารีสในแบบที่มีสาระ

1.เที่ยวชมสถาปัตยกรรมระดับโลกของกรุงปารีส 

เป็นธรรมดาที่โปรแกรมท่องเที่ยวไม่ว่าไปที่ไหนย่อมต้องมี “ทัวร์วัด-ทัวร์วัง” (ยกเว้นประเทศเกิดใหม่อย่างอเมริกาหรือออสเตรเลียซึ่งมักไปดูทิวทัศน์ของเมืองหรือสถาปัตยกรรมที่เป็นLandmarkของเมืองแทน) เราต้องยอมรับว่าการที่ปารีสติดอันดับเมืองที่สวยติดอันดับโลกมาก็เพราะ สิ่งปลูกสร้าง เนื่องจากทำเลที่ตั้งของปารีสก็ไม่ได้ถือว่าโดดเด่นเหมือนกับเมือง Sydneyหรือ San Francisco ที่ตั้งอยู่บนอ่าวธรรมชาติมองไปทางไหนก็สวยงาม เพียงแค่ปารีสตั้งอยู่บนฝั่งแม่น้ำเซนซึ่งหากไม่มีสถาปัตยกรรมของนครหลวงแห่งนี้มาช่วยเสริมบารมีแล้วมันก็อาจเป็นแม่น้ำธรรมดาสายหนึ่ง

ปารีสเป็นเมืองเก่าแก่ ทำให้มีสถาปัตยกรรมของแต่ละยุคสมัยเกือบทุกรูปแบบ เริ่มจากความที่เป็นเมืองคาธอลิคที่เคร่งครัดศรัทธาในคริสต์ศาสนา ประกอบกับความที่เป็นเมืองที่ยิ่งใหญ่ของยุโรปและมีระบอบการปกครองที่มีกษัตริย์เป็นประมุข จึงสามารถเกณฑ์ช่างฝีมือหรือสถาปนิกหัวหน้าโครงการที่เก่งที่สุดในแต่ละยุคมาสร้างสรรค์งานในแบบที่ไม่มีขอบเขตจำกัดได้ ทำให้วัดวังของที่นี่ไม่เป็นรองที่ไหนๆ

เราจะเที่ยวชมสิ่งก่อสร้างของกรุงปารีสโดยไล่จากยุคเริ่มแรกมาจนถึงยุคปัจจุบันไปด้วยกัน ได้เรียนรู้(เล็กๆ น้อยๆ)เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของแต่ละยุคไปด้วยในตัว

I.สถาปัตยกรรมในยุคโรมัน Gallo Roman Era (50BC -508AD)

ตั้งแต่สมัยยุคปี 225 BC มีหลักฐานบ่งชัดว่าบริเวณที่ตั้งเมืองปารีสนั้นเป็นที่อยู่ของชาว ‘Celtic’ เผ่าปาริซี่ ‘Parisii’ มานมนานแล้ว โดยจุดที่ได้มาตั้งถิ่นฐานอยู่ก็คือที่เกาะกลางแม่น้ำเซนที่ชื่อ ‘ซิเต้’ ซึ่งชื่อเผ่านี้ก็เป็นที่มาของชื่อเมืองParis นั่นเอง แต่พอมาในปี 52 BC ซึ่งเป็นยุคที่โรมันเรืองอำนาจนั้น ต้องบอกว่าไม่มีใครทานอำนาจของกองทัพโรมันได้ ที่นี่จึงกลายมาเป็นเมืองอาณานิคมของโรมัน นำโดยจอมพลชื่อ Titus Labienus และถูกตั้งชื่อว่าเมือง ลุดเตเตีย Lutetia(Lutèce)หรือ Lutetia Parisiorum (Lutece of the Parisii) และแน่นอนว่าถ้าทหารโรมันไปที่ไหนก็มักจะฝากผลงานในรูปแบบของวิศวกรรมโรมันอย่างใดอย่างหนึ่งฝากเอาไว้ อาจเป็นป้อมค่าย หรือถนน หรือ Aqueduct สะพานลำเลียงน้ำหรือบ่ออาบน้ำ Roman Bath และสนามกีฬาหรือโรงละครกลางแจ้งที่เรียกว่า Amphitheatre สำหรับในฝรั่งเศสนั้นจะพบมรดกของโรมันได้ทุกรูปแบบแต่มักจะอยู่ในหัวเมืองทางตอนใต้เป็นส่วนใหญ่แถบ Provence

City Break PARIS Roman Paris Architecture 13

ภาพบนเป็น ปารีสในศตวรรษที่ 3 ตอนเป็นเมืองอาณานิคมของโรมันที่ชื่อลุดเตเตีย Lutetia (Lutèce)

สำหรับที่ปารีสนั้นก็ถือว่ามีโรมันสถานเกือบทุกรูปแบบที่กล่าวมาแต่หลงเหลืออยู่ไม่มาก เพราะหลังจากโรมันเริ่มเสื่อมอำนาจไป พวกบาร์บาเรี่ยน (Barbarians) ก็เข้ามาทำลายหลายๆ อย่างแบบไม่เห็นคุณค่าและพอเข้าช่วงยุคกลางหรือที่ได้รับฉายาว่ายุคมืดนั้น ทุกอย่างเหมือนเป็นการเดินถอยหลัง สิ่งที่โรมันทิ้งไว้ถูกรื้อถอนทำลายเพื่อเอาอิฐหินปูนไปทำอาคารบ้านเรือนของตนเอง แทบไม่เหลืออะไรในยุคโรมันให้ดูเท่าไร แต่เนื่องจากเราเป็นนักท่องเที่ยวแบบชอบเสาะแสวงหา ดังนั้นบทความในตอนนี้ขอเอาใจนักโบราณคดี แบบ Indiana Jones หน่อยครับ จึงแนะนำให้ไปดูสถานที่เหล่านี้

1.ถนนโรมันในปารีส
ถ้าเป็นถนนก็แน่นอนว่าไม่ว่าโรมันไปที่ไหนจะมีการวางผังเมือง โดยการวางถนนสายหลักเป็นเส้นจากทิศเหนือลงทิศใต้ (north–south-oriented street ) เสมอไม่ว่าไปสร้างเมืองที่ไหน โดยถนนนี้จะเรียกว่า ‘Cardo Maximus’ ปัจจุบันเป็นถนนแซงช๊าคและแซงค์มาแตง (Rue Saint-Jacques, Rue Saint-Martin) ที่ตัดผ่านกลางเมือง แม้ว่าหลักฐานในปัจจุบัน(วัสดุก่อสร้างเดิม)ไม่มีให้เห็นมากนัก

City Break PARIS Roman Paris Architecture 14

City Break PARIS Roman Paris Architecture 10

และยังมีที่ถนน Rue de la colombe ในเกาะซิเต้ ที่มีร่องรอยของถนนในยุคโรมันชัดเจน ในส่วนที่คล้ายกับเป็นทางข้ามแต่มันคือแนวกำแพงเดิมที่ใช้หินในยุคนั้น

City Break PARIS Roman Paris Architecture 2

City Break PARIS Roman Paris Architecture 9

 

2.สนามกีฬาหรือโรงละครกลางแจ้งแบบโรมันในปารีส (Les Arènes de Lutèce – Paris Amphitheatre)

City Break PARIS Roman Paris Architecture 1

ภาพปัจจุบันเปรียบเทียบกับสมัยที่ยังสมบูรณ์แบบภาพล่าง

City Break PARIS Roman Paris Architecture 3

ไม่น่าเชื่อว่าปารีสก็มีสนามกีฬาหรือโรงละครกลางแจ้งที่เรียกว่า Amphitheatre แบบคอลอสเซี่ยมที่กรุงโรม แต่ขนาดแตกต่างกันเยอะ เนื่องจากประชากรของ Lutetia ตอนนั้นมีแค่ไม่ถึง 20,000 คน สนามกีฬาแห่งนี้จึงทำไว้ที่ความจุประมาณ 17,000 ที่นั่งเท่านั้น สร้างตั้งแต่ศตวรรษที่ 1 ใช้เป็นที่แสดงให้ความบันเทิงทุกรูปแบบและเป็นสนามประลองของเชลยศึกที่เรียกว่า Gladiatorial Combats ด้วย สนามกีฬานี้ถูกทำลายลงโดยพวกบาร์บาเรี่ยนในปี ค.ศ.280 โดยมีการนำอิฐหินไปก่อสร้างกำแพงที่เกาะซิเต้ อย่างไรก็ตามในปี 1860 สถานที่แห่งนี้ได้ถูกค้นพบอีกครั้งในช่วงการก่อสร้างอาคารและพบว่ามันเป็นโบราณสถานที่มีค่า ทำให้มีการบูรณะอีกครั้ง นำโดย Victor Hugo นักเขียนบทกวีชื่อดังชาวฝรั่งเศส และถูกเรียกว่า เลซาเรนน์ Les Arènes ที่แปลว่า Arena มาตั้งแต่ตอนนั้น และกลายเป็น จัตุรัสสาธารณะ( Public Square) มาตั้งแต่ปี 1896

 

3. บ่ออาบน้ำสาธารณะแบบโรมัน Roman Bathhouse – Thermes de Cluny

City Break PARIS Roman Paris Architecture 8

แตร์เม เดอ คลูนี (Thermes de Cluny) เป็นสถานที่อาบน้ำสาธารณะแบบโรมันที่สร้างมาตั้งแต่ศตวรรษที่3 แต่มีความสมบูรณ์แบบอยู่มาก เนื่องจากมีการใช้ต่อเนื่องมาจนถึงช่วงยุคกลาง การออกแบบและการใช้วัสดุเป็นแบบโรมันแท้ๆ มีบ่อน้ำร้อนและน้ำเย็นที่ Frigidarium และมีกำแพงสูง 14 เมตร ของเดิมที่ในสมัยนั้นจะประดับด้วย Mosaics ปัจจุบันเราสามารถไปดูได้เพราะสถานที่นี้กลายเป็นส่วนหนึ่งของพิพิธภัณฑ์สถานชาติแห่งยุคกลางหรือ Musée National du Moyen Age ของปารีส

 

4. ซากปรักโรมันหรือ Roman Ruin ที่ Notre Dame Archaeological Crypte

City Break PARIS Roman Paris Architecture 6

ซากปรักโรมันหรือ Roman Ruin ที่ชัดๆ ในปารีสและเป็นเรื่องเป็นราวน่าศึกษาอีกแห่งจะอยู่แถวบริเวณใต้ลานหน้าวิหารโนเตรอดามที่เรียกว่า พลาซดูปาร์วิส (Place du Parvis) ซึ่งอยู่ใกล้บริเวณที่จอดรถใต้ดิน มีทั้งที่เป็นซากที่เหลือของท่าเรือริมแม่น้ำเซนและที่อาบน้ำสาธารณะแบบโรมัน

City Break PARIS Roman Paris Architecture 7

ภาพบนเป็นที่อาบน้ำแบบโรมันที่ค้นพบอีกแห่งที่นี่

แต่ที่นี่ไม่ได้มีแต่ซากปรักของโรมันเท่านั้น เนื่องจากต้นกำเนิดของเมืองนี้มีชาว Celtic เผ่าปาริซี่ ‘Parisii’ ตั้งถิ่นฐานอยู่ที่นี่ และต่อจากสมัยโรมันเข้าสู่ยุคกลางจุดนี้ก็ถือเป็นเมืองหลวงแห่งแรกของพวก Franks บรรพบุรุษของชาวฝรั่งเศสที่สามารถเอาชนะพวกโรมันได้อย่างราบคราบ และปักหลักสร้างฐานอยู่ที่นี่ ทำให้พิพิธภัณฑ์แห่งนี้เรียกว่ามีโบราณวัตถุของหลายยุคหลายสมัยอยู่จนเข้าสู่ยุคกลาง น่าสนใจมากเพราะไหนๆ เราก็ต้องมาเที่ยวโนเตรอดามอยู่แล้ว

 

5.สุสานใต้ดินของปารีส THE CATACOMBS OF PARIS

City Break PARIS Roman Paris Architecture 12

ไม่น่าเชื่อว่าสุสานใต้ดินของกรุงปารีสจะอยู่ในลิสต์อันดับต้นๆ ของนักท่องเที่ยวหลายๆ คนที่มาแล้วต้องไปดูให้ได้ จริงๆ แล้วที่สุสานมันไม่ได้มีความเก่าแก่อะไรขนาดอยู่ในสมัยโรมัน ซึ่งเป็นธีมการเที่ยวของเราในตอนนี้ แต่ว่าอิฐหินปูนที่นำมาสร้างอุโมงค์ใต้ดินนั้นต่างหากที่พบว่ามันเป็นวัสดุของยุคเมืองลุคเตเตียอยู่มากพอสมควร ประกอบกับการเก็บศพไว้ในสุสานใต้ดินที่เรียกว่า คาตาคอม แบบนี้ชาวโรมันเป็นผู้ริเริ่ม ท่านที่ไปเที่ยวโรมมาแล้วก็จะทราบ เพราะโรมในยุคนั้นมีสิ่งก่อสร้างมากมาย เริ่มต้องการพื้นที่ก่อสร้างเพิ่มเรื่อยจึงต้องมีการรื้อสุสานหลายแห่งและนำศพหรือโครงกระดูกลงไปเก็บไว้ใต้ดินและตามแนวถนนAppiaที่เก่าแก่ เลยขอเอารวมในตอนนี้ด้วย

City Break PARIS Roman Paris Architecture 5

หนังสือนวนิยายอิงประวัติศาสตร์ช่วงเกิดสงครามศาสนา ที่มีการพูดถึง ป่าช้าที่เก่าแก่ที่สุดของปารีสที่ชื่อ Cimetière des Saints-Innocents

เรื่องราวของกรุงโรมก็เหมือนที่ปารีสหรือเมืองใหญ่ทุกแห่งในโลกก็คือต้องมีการย้ายหรือล้างป่าช้า เมื่อเมืองมีการขยายตัว

ที่ปารีสนั้นป่าช้าในเมืองแห่งแรกที่ถูกย้ายคือป่าช้าที่เก่าแก่ที่สุดของปารีสที่ชื่อ Cimetière des Saints-Innocents ในสมัยก่อนยุคปฏิวัติฝรั่งเศสช่วงปี 1785 นี่เอง เนื่องจากเมืองขยายและผู้คนก็กลัวเรื่องเชื้อโรคและต้องการสุขลักษณะในการอยู่อาศัยเลย ย้ายไปอยู่ใต้ดินในย่านนั้นซึ่งใต้ดินแถวนั้น(ปารีส ฝั่งซ้าย)จะเป็นหินปูนที่มีโพรงมีช่องอยู่มากมาย จนช่วงต่อมาเริ่มนำศพลงไปมากขึ้นจึงมีการทำระบบอุโมงค์ที่มีกำแพงแข็งแรงยาวเป็นระยะทาง 2 กม.ลึกลงไปใต้ดิน 30 เมตรและว่ากันว่ามีศพที่อยู่ใน คาตาคอม ถึง 6 ล้านศพ ถึงขนาดมีชื่อฉายาว่า เป็น Empire of the dead บ้าง Largest grave in the world บ้าง ภาพข้างล่างคือผู้ที่มาเข้าคิวชมสุสานใต้ดินที่บางครั้งคิวยาวเป็น 2-3 ชั่วโมง และต้องเดินเกือบ 45 นาที (ไม่มีห้องน้ำ) กว่าจะสุดทางกลับออกมาได้แถมราคาตั๋วจองล่วงหน้าก็ไม่ถูกครับ €27 สำหรับผู้ใหญ่ เรียกว่าต้องใจรักจริงๆ

City Break PARIS Roman Paris Architecture 11

Credit: Wikipedia https://archaeology-travel.com/

เจอกันคราวหน้าเราจะไปเที่ยวชมสถาปัตยกรรมและศิลปะในช่วงยุคกลางของปารีสกันนะครับ

City Break Paris Part III

เบรกเที่ยวในกรุงปารีส ตอนที่ 3
By Paul Sansopone

…… “แม้ว่าย่านนี้จะไม่มีอะไรน่าตื่นเต้นมากนักแต่ความที่มีแม่น้ำเซนให้เดินเลียบเลาะไป ยิ่งถ้าชอบออกกำลังเป็นประจำทุกวัน ต้องวิ่งหรือขี่จักรยาน แถบนี้เหมาะมากมีสวนสาธารณะเปิดโล่งไม่อึดอัด”…

พักย่านไหนดีในปารีส
เรารู้ว่ามาปารีสทั้งทีก็ควรอยู่ในเมืองชั้นในก็คือภายในกรอบถนนวงแหวน แต่มันไม่ละเอียดพอ คราวนี้เราจะลงรายละเอียดลงไปอีกหน่อยให้รู้ว่าเขตไหนเป็นอย่างไร ต้องขอบอกว่าแต่ละ Neighborhood หรือที่นี่เรียกว่า ก๊า(ก)ร์ติเอ (Quartier )ของกรุงปารีสนั้นมีบุคลิกที่แตกต่างกันพอสมควรทีเดียว จริงๆ ของกรุงเทพฯ ก็มี Em-quartier ซึ่งเคยมีการถกเถียงกันใน social network แบบสนุกสนานว่าควรอ่านแบบไหนจึงจะถูก

ย่านไหนในปารีสที่เราควรเลือกจองที่พัก
ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม ปี 1860 ปารีสถูกแบ่งออกเป็น 20 เขตเทศบาลหรือที่เรียกว่า ‘อารรองดีสมงท์’ ( arrondissements) ซึ่งถ้าดูจากแผนที่มันจะถูกวางเรียงแบบลักษณะก้นหอย ขดเป็นวงจากในม้วนวนขวาออกนอกโดยที่ด้านในสุดจะเป็นเขต 1 และนอกสุดก็คือเขต 20 โดยก่อนหน้านั้นปารีสมีแค่ 12 เขตเท่านั้น แต่ละเขตมักจะถูกแบ่งออกไปเป็น 4 ย่านหรือแขวง เรียกว่า Quartier การ์ติเอ และที่มีชื่อก็เช่น Quartier Latin, Quartier des Champs-Élysées และ Quartier Saint-Germain-l’Auxerrois ในแต่ละเขตก็จะมีสำนักงานเขตของตัวเองที่เรียกว่าโอเตลเดอวิล ( Hôtel-de-Ville)และรวมทุกเขตก็มีสถานีตำรวจอยู่ถึง 350 แห่ง

City Break PARIS Population density map of Paris in 2012

1st Arrontissement of Paris – Louvre
2th Arrondissement of Paris – Bourse
3th Arrondissement of Paris – Temple
4th Arrondissement of Paris – Hôtel-de-Ville
5th Arrondissement of Paris – Phantéon
6th Arrondissement of Paris – Luxembourg
7th Arrondissement of Paris – Palais-Bourbon
8th Arrondissement of Paris – Élysée
9th Arrondissement of Paris – Opéra
10th Arrondissement of Paris – Enclos-St.Laurent
11th Arrondissement of Paris – Popincourt
12th Arrondissement of Paris – Reuilly
13th Arrondissement of Paris – Gobelins
14th Arrondissement of Paris – Observatoire
15th Arrondissement of Paris – Vaugirard
16th Arrondissement of Paris – Passy
17th Arrondissement of Paris – Batignolles-Monceau
18th Arrondissement of Paris – Butte-Montmartre
19th Arrondissement of Paris – Buttes-Chaumont
20th Arrondissement of Paris – Ménilmontant

แต่ถ้าเราดูภาพใหญ่สมัยก่อนที่จะมีการแบ่งเป็น 20 เขตแบบนี้ ปารีสนั้นถูกแบ่งง่ายๆ เป็น 2 ฝั่งแม่น้ำเซน (La Seine) คล้ายกรุงเทพฯกับฝั่งธนบุรีในสมัยก่อน โดยแบ่งเป็นฝั่งซ้ายและฝั่งขวา แต่คนช่างสงสัยมักจะถามว่าทำไมไม่เรียกว่าฝั่งเหนือหรือฝั่งใต้เพราะดูจากแผนที่มันไม่น่าจะเรียกฝั่งซ้ายและฝั่งขวา ต้องอธิบายว่าไม่งั้นมันต้องก็มีฝั่งตะวันออกและตะวันตกด้วย เพราะแม่น้ำเซนมันไหลมาจากใกล้เมืองดีจง Dijon เข้าเขตปารีสทางตะวันออกเฉียงใต้แล้วก็โค้งไปออกจากปารีสทางตะวันตกเฉียงใต้แล้วไหลต่อไปลงทะเลเหนือที่เมืองท่าชื่อ เลอ อาฟร์ Le Havre (ให้ดูรูปจากแผนที่ด้านบน) จะเห็นว่าตอนเข้าตอนออกมันก็จะมีฝั่งตะวันออกและตกด้วยทำให้งง เค้าก็เลยแบ่งเป็นฝั่งซ้ายและขวาโดยถือจากการไหลของแม่น้ำเป็นหลัก เนื่องจากแม่น้ำมันจะไหลจากต้นกำเนิดไปสู่ทะเล ถ้าเรานั่งเรือเข้ามาตามกระแสน้ำ (down stream) เข้าสู่เขตเมืองปารีส ขวามือของเราก็จะเรียก“ฝั่งขวา”ส่วนซ้ายมือก็คือ “ฝั่งซ้าย”เท่านั้นเองง่ายๆ

ในยุคแรกนั้นความเจริญเริ่มมาจากฝั่งซ้ายเพราะมีย่านละติน การ์ติเย ลาแตง Quartier Latin ซึ่งมีศูนย์การศึกษายุคเริ่มต้นเกิดขึ้นที่นั่นซึ่งก็คือมหาวิทยาลัยซอร์บอนน์ (Sorbonne University) ซึ่งตั้งขึ้นตั้งแต่ศตวรรษที่ 13 และในสมัยนั้นมีการสอนเป็นภาษาละติน

ทีนี้เราก็ลองมาพิจารณากันดูว่าน่าพักฝั่งไหนมากกว่ากันซึ่งผมก็จะขอสรุปความน่าสนใจออกมาให้เลือกเฉพาะเขตที่น่าสนใจจริงๆ เท่านั้น

 

I. ปารีสฝั่งขวาThe Right Bank “La Rive Droite”

City Break PARIS Arrondissements & Accommodation 13

ถ้าดูจากแผนที่ของเมืองปารีสแล้วมันก็คือเขตฝั่งที่อยู่เหนือแม่น้ำเซนแต่ถูกเรียกว่าฝั่งขวา มันมีความหนาแน่นของอาคารสำนักงานสถานที่ทำการค้าขายตลอดจนแหล่งท่องเที่ยวที่เพียบพร้อมไปด้วยแหล่งเอ็นเทอร์เทน และพร้อมสรรพไปด้วยแหล่งอาหารการกิน แหล่งช็อปปิ้งตลอดจนที่อยู่อาศัยราคาแพง ทำให้มันพลุกพล่านวุ่นวายอยู่บ้างแต่บรรยากาศมันคึกคักและมีชีวิตชีวาตลอดเวลา แม้ในช่วงหลังพระอาทิตย์ตกดินไปแล้ว ฝั่งนี้มีเขตเทศบาลอยู่ถึง 14 เขต (arrondissements) ขอแนะนำเขตที่น่าสนใจดังนี้

เขต 1 และเขต 2 ย่านเลอาน Les Halles, ลูฟร์ Louvre และปาเลส์ ฮัวยัล Palais Royal

City Break PARIS Arrondissements & Accommodation 10

ย่านนี้ถือว่าเป็นย่านสุดเก๋ très chic ใจกลางปารีส ไม่ว่าคุณจะเดินเล่นไปตามริมแม่น้ำเซน promenade of the Seine สุดโรแมนติกหรือเข้าชมพิพิธภัณฑ์ Louvre ที่เป็นที่สุดของโลกด้านศิลปะสะสม เดินเล่นไปบนถนน boulevardที่มีเอกลักษณ์ของที่นี่หรือชมสวน Jardin des Tuileries แม้แต่จะช็อปปิ้งแบบไม่หยุด ย่านนี้มีครบทุกอย่างจริงๆ ร้านอาหาร ร้านกาแฟ หรือไวน์บาร์ ข้อเสียมีอย่างเดียวคือtouristเยอะไปหน่อย

City Break PARIS Arrondissements & Accommodation 15

 

เขต 3และเขต 4 ย่านมารายLe Marais, เกาะแซงหลุยส์ Ile St-Louis และเกาะซิเต้ Ile de la Cité

City Break PARIS Arrondissements & Accommodation 17

ย่านมาราย เป็นย่านTrendyมีความสมัยใหม่ก้าวล้ำแบบไม่ต้องหรูหรา มี Art Galleries มี Brand Start Up และ SMEของคนยุคใหม่ โดยเฉพาะย่านถนน Rue de Bretagne โดยรวมแล้วเป็น Neighborhood ที่มีความคึกคักทั้งกลางวันกลางคืน เป็นแหล่งชาวยิวและชาวเกย์

City Break PARIS Arrondissements & Accommodation 12

ย่าน Marais พอตกกลางคืนก็คึกคักไม่น่าเบื่อ

City Break PARIS Arrondissements & Accommodation 16

ในขณะที่ย่านเกาะแซงหลุยส์และซิเต้มีความโรแมนติกน่าเดินเล่นถ่ายรูป มีโบสถ์และสถาปัตยกรรมที่ยิ่งใหญ่ให้ดูพอควรเช่น วิหารโนเตรอดาม Cathedral of Notre Dame, วิหาร St-Chapelle, หรือ Conciergerie หากข้ามสะพานที่ต่อจากเกาะซิเต้หลังโบสถ์โนเตรอดามไปยังเกาะแซงหลุยส์ก็ให้เดินไปตามถนนสายเมนของเกาะคือ St.Louis en l’Ile ก็จะเจอร้านไอติม หมายเลข1ของกรุงปารีส นั่นคือ แบรติลยง Bertillon (เราจะพูดถึงร้านนี้ตอนแนะนำเรื่องอาหารการกินในปารีสต่อไป)

City Break PARIS Arrondissements & Accommodation 5

 

เขต 8, 16 และเขต 17 ย่านชองเซลิเซ่ Champs-Élysées และฝั่งตะวันตกของปารีส Western Paris 

City Break PARIS Arrondissements & Accommodation 7

ย่านนี้คือย่านหรูหราที่เงินและอำนาจเป็นสิ่งจำเป็น เพราะเป็นย่านธุรกิจและร้านค้าที่ขายของแบบไม่ต้องง้อลูกค้าเท่าไร ไม่ว่าจะเป็นร้านกาแฟหรือร้านอาหารก็เช่นกัน มันเหมาะที่จะมาเดินเที่ยวชมมากกว่ามาหาโรงแรมเพื่อพักแถวนี้ซึ่งก็มีให้เลือกเยอะอยู่ แต่ผมว่ามันขาดเสน่ห์ของความเป็นท้องถิ่นแบบต้นตำรับ(Local Charm) เพราะดูเป็นการค้าเกินไป เช่น ตื่นเช้ามาอยากจะหาร้านกาแฟเล็กๆ กับครัวซองส์หอมๆ สักชิ้นมันมักจะเจอแต่ร้านที่ตั้งใจจะขายแต่นักท่องเที่ยว มันได้รับฉายาว่าเป็นสามเหลี่ยมทองคำ The “Golden Triangle” โดยเฉพาะในย่าน 3 ถนนนี้ คือ ถนน Montaigne, George V, และถนน Champs-Élysées เหมาะกับผู้ที่ชอบบรรยากาศหรูหรา และชอบแต่งตัวดีๆ ตลอดเวลา

 

เขต 9 และเขต 10 ย่านโอเปร่าOpéra และคลองแซงมาแตง Canal St-Martin 

City Break PARIS Arrondissements & Accommodation 18

ย่านนี้น่าจะเหมาะกับท่านที่ชอบเดินช็อปปิ้งแบบเดินได้ทั้งวัน เพราะมีห้างแปรงตอง และแกลเลอลี่ลาฟาแย็ต (Printempt ,Gallerie La Fayette) 2 ดีพาร์ทเม็นท์สโตรส์หลักของนครหลวงแห่งนี้และร้านค้าย่อยๆ อีกพอสมควร แล้วก็ยังมีร้านอาหารและร้านกาแฟดีๆ แบบup scale ให้เลือกพอสมควร ในขณะที่ย่านที่อยู่ติดกัน คือย่านคลองแซงมาแตง(Canal St-Martin neighborhood) จะเป็นอีกแบบที่คนปารีเซียนท้องถิ่นชอบไปhangout คือเป็นย่านที่ติดดินหน่อยแต่ก็เท่มีสไตล์ ไม่มีฟอร์มไม่ฟอร์มัล

 

เขต 18 ย่านปิกัลPigalle และย่านมงมาตร์ Montmartre

City Break PARIS Arrondissements & Accommodation 3

ปิกัลเคยเป็นย่านโคมแดงของกรุงปารีสแต่ในปัจจุบันนี้ปรับเปลี่ยนตัวเองเป็นย่านnightlifeที่ลดความอีโรติกลงไป แต่ก็ยังมีความคึกคักอยู่เ พราะมันมี มูแลงรูจ (Moulin Rouge) กังหันลมสีแดง คลับคาบาเรต์ชื่อดัง อยู่ใกล้ๆ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของการท่องราตรีของที่นี่มานมนาน ถึงเคยมีการเปรียบว่าย่าน ปิกัลนั้นก็เหมือน นรกภูมิที่อยู่เชิงเขามงมาตร์ที่เปรียบเป็นสวรรค์ภูมิเพราะมีวิหาร Sacré Cœur (ซัคเคร เกอ(เรอะ) ที่ตั้งอยู่นะจุดสูงสุดของปารีสและมีความศักดิ์สิทธิ์ ส่วนบริเวณรอบๆ ก็ยังถือเป็นย่านศูนย์รวมของเหล่าบรรดาศิลปิน จิตรกร ที่มาปล่อยฝีมือและขายผลงานแถบนี้อยู่

City Break PARIS Arrondissements & Accommodation 8

 

เขต 11ตะวันออก และ12 ย่านรีพุบบริค République, บาสตีล์ Bastille และปารีส

City Break PARIS Arrondissements & Accommodation 14

แถบนี้ไม่หรูหราฟุ่มเฟือยมาก แต่สะท้อนถึงบรรยากาศความเป็นอยู่แท้ๆ ของชนชั้นกลางชาวปารีเซียนอาจรวมถึงผู้อพยพอยู่บ้าง เพราะที่นี่เคยเป็นย่านโรงงานเก่า ปัจจุบันมันเป็นแหล่ง Hangout ตอนหลังเลิกงานมีร้านอาหารแบบBistroหรือ Brasseries ในแบบต้นฉบับของ Paris ตลอดจนไวน์บาร์และคาเฟ่ที่มีบรรยากาศสนุกสนาน ผมก็ชอบย่านนี้ครับไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวมากและที่จอดรถก็หาง่ายหน่อย
II. ปารีสฝั่งซ้าย The Left Bank “La Rive gauche”
ในขณะที่ฝั่งขวามีความเป็นการค้ามากกว่าฝั่งซ้ายซึ่งมีสวนสาธารณะที่เปิดโล่ง กระทรวง ทบวง กรม และสถานศึกษา แต่ก็ไม่ใช่ว่าฝั่งซ้ายจะขี้เหร่และไม่สนุกคึกคัก เนื่องจากฝั่งนี้เป็นย่านนักศึกษามหาวิทยาลัยและบรรดาศิลปินartistที่มีอุดมการณ์ ย่านที่จะแนะนำก็ดังนี้ครับ

เขต 5 ย่านละติน Latin Quartier

City Break PARIS Arrondissements & Accommodation 4

ความที่เป็นแหล่งนักศึกษาเพราะมีสถาบันการศึกษาชั้นนำอยู่หนาแน่นเช่นมหาวิทยาลัย Sorbonne และอื่นๆ เช่น École Normale Supérieure, École des Mines de Paris, Panthéon-Assas University, Schola Cantorum, และ Jussieu University Campus ทำให้ย่านนี้คึกคักแบบวัยรุ่นและไม่แพงมากมาตั้งแต่สมัยก่อนซึ่งเป็นแหล่งรวมตัวของพวกฮิปปี้ บุปผาชน นักศึกษาศิลปกรรม นักศึกษารัฐศาสตร์นิติศาสตร์ที่มีอุดมการณ์สูง เรียกว่าถ้ามีการประท้วงเดินขบวนก็มักเริ่มจากย่านนี้ แต่ปัจจุบันมันมีสไตล์เป็นของตัวเองตามยุสมัย มีร้านอาหารแบบBistroคลับพับบาร์ทุกรูปแบบ แต่ถ้าชอบร้านขนมปังต้นตำรับระดับartisanในย่านนี้ ให้ไปที่เลขที่ 8 rue Monge จะเป็นร้านดั่งเดิมก่อนจะมีสาขามากมายของ Eric Kayser ที่มักได้รับโหวตให้เป็นร้านที่มีขนมปังฝรั่งเศส (Baguette) และCroissant ที่อร่อยที่สุดในปารีส (จริงหรือไม่เราจะเก็บไว้คุยกันตอนเรื่องอาหารการกินในปารีส)

City Break PARIS Eric Kayser

ส่วนร้านขายของทั่วไปก็เป็นแบบมีสไตล์ในราคาไม่ต้องคิดเยอะ แต่ย่านนี้ก็มีร้านอาหารดีราคาแพงอย่าง ตูดาร์ชง Tour d’Argent อยู่ใกล้ๆ และก็มีสวนสาธารณะลุกซอมบูรก์ ( Luxembourg Gardens ) อยู่ ได้บรรยากาศแบบชีวิตในเมืองแบบ New York, London และถ้าชอบพิพิธภัณฑ์โรมันก็น่าไปชม Museum Cluny

City Break PARIS Arrondissements & Accommodation 11

 

เขต 6 แซงแจแมง เด เพรส์ St-Germain-des-Prés

City Break PARIS Arrondissements & Accommodation 2

เขตที่น่าสนใจที่สุดในฝั่งซ้ายก็คงเป็นเขตนี้มันเป็น Glamorous Neighborhood ที่เป็นที่ชื่นชอบของนักปราชญ์, ศิลปิน,จินตกวี ทั้งชาวฝรั่งเศสและต่างชาติมาตั้งแต่สมัยโบราณแล้วอย่างเช่น Delacroix, ManetหรือBalzac, Benjamin Franklin, Hemingway หรือแม้แต่ Pablo Picasso ก็ยังเคยฝากผลงานที่เป็นรูปที่ชื่อว่า Guernica ตอนที่เขามาอยู่ในย่านนี้ในปี1937 นอกจากนั้นบรรดาศิลปินแจ๊สทั้งหลายอย่าง Miles Davis หรือ John Coltrane ก็แวะเวียนกันมาเล่นในคลับแจ๊สที่มีอยู่พอสมควรในแถบนี้ แต่แฟนฟุตบอลที่ชื่อชอบทีม PSG (Paris Saint Germain) คงทราบนะครับว่า Home Stadium ของทีมที่ชื่อ ปาค เดอ แปรง Parc De Princes นั้นไม่ได้อยู่ย่านนี้ แต่ไปอยู่ทางใต้ของ Bois de Boulogne ใกล้กับสนามเทนนิส ฮอลอง การอส Roland Garros ที่ใช้แข่ง French Open โน่นเลย

City Break PARIS Pablo Picasso GUERNICA

ปัจจุบันชาวปารีส(ท้องถิ่นแท้ๆ แบบไม่ใช่มาจากต่างจังหวัด)มักอยากจะมีอพาร์ตเมนท์อยู่ในเขตนี้ มันมีร้านอาหารร้านกาแฟที่ติดโผ เช่น ร้านกาแฟ Les Deux Magots, Café de Flore หรือBrassarie Lipp มีร้านขายของแบบไม่เชย และมี Modern Art Galleries เหมาะกับคนที่มีความเป็น‘อา-ตีส’มากหน่อย และชอบลองอะไรที่เป็นท้องถิ่นแท้ๆ ไม่มีนักท่องเที่ยวเยอะแยะ

City Break PARIS Les Deux Magots

City Break PARIS Arrondissements & Accommodation 1

สำหรับ Landmark ของที่นี่นั้นต้องอย่าลืมไปแวะเที่ยวโบสถ์ St-Germain-des-Prés

 

เขต 7 ย่านหอไอเฟล Eiffel Tower

City Break PARIS Eiffel Tower

แม้ว่าย่านนี้จะไม่มีอะไรน่าตื่นเต้นมากนักแต่ความที่มีแม่น้ำเซนให้เดินเลียบเลาะไป ยิ่งถ้าชอบออกกำลังเป็นประจำทุกวัน ต้องวิ่งหรือขี่จักรยาน แถบนี้เหมาะมากมีสวนสาธารณะเปิดโล่งไม่อึดอัด แถวๆ ใกล้หอไอเฟลที่มองเท่าไรก็ไม่เบื่อหรือจะไปเที่ยวพิพิธภัณฑ์ ดอเซ่ Musee d’Osay ที่มีศิลปะ Impressionism หรือจะล่องเรือไปตามแม่น้ำเซนทานมื้อเย็นก็ไม่เลว ผมว่าหากชอบถ่ายรูปและบรรยากาศโรแมนติก ชอบสะพาน ย่านนี้ก็เหมาะครับ

รู้จักย่านที่น่าสนใจของปารีสกันพอสมควรแล้ว ก็แค่ใช้ Booking Application ที่ท่านใช้อยู่จองโรงแรมได้เลยครับแค่filterตัวsearch engineของappให้เอาที่พักในเขตที่คุณชอบเท่านั้น คราวหน้ามาดูกันว่าประสบการณ์ท่องเที่ยวในเมืองหลวงแห่งนี้นั้นไม่ควรพลาดที่ไหน

หมายเหตุ : การออกเสียงภาษาท้องถิ่นที่เขียนเป็นตัวเอียงนั้น เป็นการใช้ภาษาไทยเขียนให้ออกมาใกล้เคียงเท่านั้นเพื่อให้ได้อรรถรส อาจไม่ใช่ภาษาเขียนและการออกเสียงที่ถูกต้องอย่างเป็นทางการ

City Break Paris Part II

เบรกเที่ยวในกรุงปารีส ตอนที่ 2
By Paul Sansopone

…..“ที่ผมชอบก็คือพนักงานเขียนใบสั่ง (Traffic Warden) จะขยันมาตรวจว่าเราหยอดมิเตอร์ถูกต้องหรือไม่ พวกเธอแต่งตัวยูนิฟอร์มสีฟ้าใส่หมวกเก๋ไก๋ นึกว่าเป็นแอร์โอสเตสสายการบินแอร์ฟรานซ์ เรียกว่าไม่เสียชื่อเมืองแฟชั่น……”

การเดินทางในกรุงปารีส
ก่อนที่เราจะไปพูดถึงเรื่องการเลือกย่านหรือเขตที่เหมาะกับการใช้เป็นที่พักพิงในปารีสนั้น เราควรรู้ก่อนว่าเราจะไปไหนมาไหนแบบเที่ยวให้ทั่วอย่างไร เพราะปารีสเป็นมหานครที่กว้างใหญ่กินอาณาเขตกว่า 100 ตารางกิโลเมตร ถ้ารวมเขตปริมณฑลด้วยยิ่งแผ่อาณาเขตไปไกลมาก ถ้าอยู่ขอบนอกจะเดินทางเข้ามาเที่ยวแต่ละครั้งก็ใช้เวลาเป็นชั่วโมงเหมือนกัน เช่นมีครั้งหนึ่งผมเคยไปอยู่เขต อังโตนี่ (Antony) ห่างออกไปทางใต้ของปารีสแค่ 10 กว่ากิโล ฟังดูเหมือนไม่ไกล แต่การเดินทางใช้เวลามากเพราะกว่าจะเดินไปสถานีรถไฟ RER แบบรถชานเมืองที่มีตารางเข้าออกไม่บ่อยนักในสมัยนั้น ก็ใช้เวลานานอยู่
ดังนั้นถ้าถามว่าถ้าเราจะไปเที่ยวปารีสให้สนุกนั้น หากมีเวลาไม่มากก็ควรอยู่ในตัวเมืองครับ แล้วที่ไหนล่ะที่เรียกว่าตัวเมือง ปกติถ้าเป็นเมืองต่างๆ ในยุโรปก็ต้องบอกว่าก็ต้องบอกว่าอยู่ในเขตเมืองเก่าหรือภายในเขต City Wall แต่ถ้าเป็นปารีสก็ต้องบอกว่าจุดไหนก็ได้ที่อยู่ภายในเขตถนนวงแหวนของกรุงปารีสที่เรียกว่า “เปริเฟฮริก “(Périphérique) หรือเรียกสั้นๆ ว่า Périph ที่สร้างมาตั้งแต่ปี 1958 ตามแนวเขตกำแพงเมืองเก่าบางส่วนของกรุงปารีส ซึ่งถ้าเราขับรถวิ่งไปครบรอบวงแหวนนี้จะได้ระยะทางทั้งสิ้น 35.04 กิโลเมตร ใช้เวลา 30 นาที เพราะต้องวิ่งตามความเร็วจำกัดของถนนวงแหวนนี้ก็คือ 70 กม.ต่อชั่วโมง

City Break Paris Travel in Paris

โดยปกติถ้าเป็นถนนวงแหวนหรือถนนไฮเวย์แบบนี้ก็จะมีทางออกที่เรียกว่า “ซ็อกตี” Sortie (หมายถึง Exit) ไปยังจุดต่างๆแต่เนื่องจากถนนวงแหวนของกรุงปารีสนั้นสร้างตามตามแนวเขตกำแพงเมืองเก่าซึ่งมี ‘ประตูเมือง’ ที่เรียกว่า “ป๊อกต์”Portes (City Gates) อยู่ถึงกว่า 30 แห่ง ทำให้ทางเข้าออกของถนนวงแหวนแห่งนี้ก็จะลงไปที่จุดประตูเมืองนั่นเอง เช่น ประตูคลีนองกูร์( Porte de Clignancourt , ประตูแบร์ซี่( Porte de Bercy) เป็นต้น และประตูที่อยู่ทางทิศเหนือใต้ออกตกก็จะเชื่อมออกสู่ถนนไฮเวย์ (Autoroute) ไปสู่ภูมิภาคซึ่งจะสังเกตว่า ชื่อของไฮเวย์สายต่างๆ จะใช้ A นำเพราะมาจากคำว่า Autoroute นั่นเอง เช่น A1, A2 ในขณะที่ประเทศอังกฤษใช้คำว่า Motorway ทางด่วนในอังกฤษก็เลยเป็น M นำหน้า เช่น M1, M2 (ดูภาพประกอบข้างล่าง)

City Break Paris Travel in Paris 1

แต่การพูดถึงถนนวงแหวน ผมก็ไม่ได้หมายถึงจะแนะนำหรือส่งเสริมให้เช่ารถนะครับ ยกเว้นมีโปรแกรมที่จะเดินทางไปเที่ยวเมืองอื่นต่อด้วย เพราะการจารจรในปารีสมันน่าอึดอัดใจอยู่โดยเฉพาะช่วงเร่งด่วน และการจอดรถนั้นก็ไม่ง่ายเลยยกเว้นว่าคุณจะยอมเสียเงินไปจอดตาม Private Parking ที่เก็บค่าจอดสูงพอควร ยิ่งถ้าจอดค้างคืนด้วยก็เสียค่าจอดคืนละไม่ต่ำกว่า 20-30 ยูโรแน่ๆ ส่วนที่จอดแบบมิเตอร์ข้างถนนนั้นเสี่ยงอยู่ ถ้าจอดในย่านไม่ดีกลับมาอาจโดนทุบกระจกหรือไม่ก็เจอรอยบุบตามกันชนหน้าหลัง เพราะที่ปารีสนั้นเขาจอดกันแบบพอดีคันจริงๆ (ดูรูปข้างล่าง) แล้วเวลาเข้าออกนั้นเขาก็จะขับดันคันหน้าออกไปหรือถอยดันคันหลังออกไปหน้าตาเฉย คุณต้องไปจ่ายค่า Excess ให้บริษัทรถเช่าแน่ๆ

City Break Paris Parking in Paris

แต่ที่เป็นเสน่ห์ของการจอดรถในปารีสก็มีนะครับ ที่ผมชอบก็คือพนักงานเขียนใบสั่ง (Traffic Warden) จะขยันมาตรวจว่าเราหยอดมิเตอร์ถูกต้องหรือไม่ พวกเธอแต่งตัวยูนิฟอร์มสีฟ้าใส่หมวกเก๋ไก๋ นึกว่าเป็นแอร์โอสเตสสายการบิน แอร์ฟรานซ์ เรียกว่าไม่เสียชื่อเมืองแฟชั่น (ดูรูปข้างล่าง: เจ้าหน้าที่เขียนใบสั่งของปารีสในยุคปี 80) แต่จริงๆ แล้วก็ไม่น่าจะต้องกังขาเพราะผู้ออกแบบเครื่องแบบดังกล่าวก็คือ Marie-Louise Carven เจ้าของแบรนด์ดังชื่อการ์วง Carven ที่เป็นห้องเสื้อระดับสูงเจ้าแรกที่ทำชุดสำเร็จรูป (Credit: Wikipedia..first couturieres to launch a prêt-à-porter line) Carven ยังออกแบบชุดพนักงานต้อนรับบนเครื่องของกว่า 20 สายการบินและชุดพนักงานรถไฟ ยูโรสตาร์อีกด้วย

City Break Paris Parking in Paris 1

สรุปก็คือการเช่ารถมาเที่ยวปารีสเป็นเรื่องน่ากังวลใจอยู่ จริงๆ แล้วปารีสคือเมืองที่เหมาะแก่การเดินเที่ยวมากที่สุดในโลกครับ และถ้าต้องการจะไปไหนที่มันไกลกว่าพิกัดการเดินแล้วก็ไม่ต้องกังวล เพราะตราบใดที่เราอยู่ในพื้นที่ด้านในกรอบถนนวงแหวนแล้วการไปไหนก็ไม่ยาก เพราะปารีสมีระบบรถไฟใต้ดินที่ทันสมัยเรียกว่าไม่ว่าจะอยู่ตรงไหนของเขตภายในถนนวงแหวนนั้นคุณก็สามารถจะเดินหาสถานีรถไฟใต้ดินที่เรียกว่า Metro ของที่นี่ได้ภายในระยะทางเดินไม่เกิน 600 เมตร แต่ถ้าเป็นย่านพลุกพล่านกลางเมืองจริงๆ ก็ไม่น่าเกิน 300 เมตรเลยทีเดียว สะดวกมาก ต้องขอพูดถึงซะหน่อย

Métro de Paris

City Break Paris Metro in Paris 2

Métro คือระบบรถไฟใต้ดินของกรุงปารีสอ่านว่า ‘เมะโทร’ย่อ มาจากคำว่า Métropolitain ที่แปลว่านครหลวงหรือมหานคร แต่ในความเป็นจริงแล้วมันมาจากชื่อบริษัทแรกที่ทำการบริหารระบบรถไฟใต้ดินของมหานครแห่งนี้ที่ชื่อ La Compagnie du chemin de fer métropolitain de Paris หรือบริษัทการรถไฟแห่งนครปารีส ซึ่งก็เพราะชื่อยาวเหยียดแบบนี้คนปารีสหรือที่เรียกว่าปารีเซียน (Parisienne) นั้นก็เลยย่อให้เหลือแค่ Métro สั้นๆ

City Break Paris Metro in Paris 3

มันเริ่มก่อสร้างมากว่า100 ปีแล้วโดยแนวคิดมาตั้งแต่ปี 1845 ตอนแรกก็เพราะรถไฟบนดิน รถรางและรถยนต์สวนกันไ มาเริ่มมีอุบัติเหตุบ่อยประกอบกับรถไฟใต้ดินของเมืองคู่แข่งอย่างลอนดอน ที่มีชื่อเล่นว่า ‘The Tube’ นั้นก็เปิดใช้ประสบความสำเร็จเป็นระบบใต้ดินแห่งแรกของโลกตั้งแต่ปี 1863 ทำให้ปารีสไม่ยอมน้อยหน้ากำหนดเปิดรถไฟใต้ดินสายแรกในปี1889-1900 ซึ่งเป็นช่วงที่ปารีสได้เจ้าภาพจัดงานนิทรรศการสินค้านานาชาติที่เรียกว่า World’s Fair (Exposition Universelle) ซึ่งก็มีหอไอเฟลซึ่งตั้งใจสร้าง (โดย Gustave Eiffel) เพื่องานนี้โดยเฉพาะ เป็นไฮไลท์ และเนื่องจากยุคปี1900 นั้น เป็นยุคศิลปะแบบ Art Nouveau ซุ้มประตูลงรถฟใต้ดินของปารีสจึงถูกออกแบบในสไตล์ Art Nouveau โดยศิลปินที่ชื่อ Hector Guimard ปัจจุบันผลงานที่เป็นซุ้มประตู Metro ของเขาก็ยังมีเหลืออยู่ถึง 86 แห่งในปารีส

City Break Paris Metro in Paris 4

และรถไฟใต้ดินในปารีสนั้นก็ยังมีแนวคิดไม่ยึดติด เช่น เพื่อให้มีความนุ่มนวลในการเดินทาง ได้ออกแบบล้อให้เป็นแบบยางรถยนต์ไม่ได้ใช้ล้อเหล็กเหมือนรถไฟปกติ (เฉพาะในบางเส้นทาง) ซึ่งเป็นที่ชื่นชอบของผู้ที่ได้ลองใช้บริการ

City Break Paris Metro in Paris 1

ทุกวันนี้มีคนใช้รถไฟใต้ดินในปารีสเฉลี่ย 4.16 ล้านคนต่อวัน และปัจจุบันมี 16 สาย 303 สถานี โดยมีสถานีชุมทางใหญ่ที่เรียกว่า Correspondence อยู่ที่สถานี Châtelet – Les Halles ที่มีถึง 5 สายตัดผ่านที่นี่สำหรับการเชื่อมต่อ และยังมีระบบรถไฟชานเมืองที่เรียกว่าRER (Réseau Express Régional) ที่ไม่หยุดทุกสถานีเข้ามาเสริมระบบ Metro อีก 5 สาย A, B, C, D, E ซึ่งทำให้สะดวกยิ่งขึ้นโดยเฉพาะสำหรับผู้ที่อยู่นอกเขตถนนวงแหวน

รูปด้านล่างเป็นภาพการออกแบบปรับปรุงใหม่ของทางเข้า Forum des Halles ซึ่งเป็น Shopping Complex ที่เชื่อมต่อกับชุมทางรถไฟใต้ดินขนาดใหญ่ของกรุงปารีสคือ Châtelet – Les Halles

City Break Paris Metro in Paris Forum des Halles Chatelet – Les Halles

ดังนั้นนักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวปารีสก็มักจะมี Plan du metro หรือแผนที่รถไฟใต้ดินติดกระเป๋าไว้แทบจะเรียกว่า 8 ใน 10คนของนักท่องเที่ยวเลยก็ว่าได้ แต่ของกรุงเทพฯยังไม่ต้องเพราะตอนนี้มีอยู่แค่ 2 สายเท่านั้น จำไม่ยาก

City Break Paris Travel in Paris 2

ตัวอย่างแผนที่ระบบการบริการสาธารณะด้านการเดินทางภายในถนนวงแหวน

ก่อนจะจบตอนนี้ อยากจะขอแนะนำสถานีรถไฟใต้ดินในปารีสที่สวยที่สุดสัก 5-6 สถานี เพราะ ช่วงหลังนี้แต่ละเมืองใหญ่ก็แข่งกันทำสถานีรถไฟใต้ดินของตัวเองให้สวยขึ้น เช่นที่สต็อคโฮม ประเทศสวีเดน ไม่ต้องพูดถึงกรุงมอสโคของประเทศรัสเซีย ที่มีสถานีรถไฟใต้ดินที่ดูแกรนด์ยิ่งใหญ่ที่สุดอยู่แล้ว สำหรับในปารีส สถานีที่น่าสนใจ มีดังนี้

สถานีรถไฟใต้ดินที่น่าสนใจของกรุงปารีส

1.สถานี Louvre-Rivoli สถานีนี้เปิดใช้ตั้งแต่ปี 1900 มีการตกแต่งให้บรรยากาศเหมือนอยู่ในพิพิธภัณฑ์ Louvre ตามชื่อของสถานี แต่เมื่อปี 1989 หลังจากที่มีการสร้างปิรามิดแก้วทางเข้าใหม่และทางเข้าอีกด้านจากทางสถานี Palais Royal ก็เลยเปลี่ยนชื่อเป็นLouvre-Rivoli เพราะมีทางออกไปถนน Rivoli ด้านข้างพิพิธภัณฑ์ที่ถือเป็นถนนสาย Shopping แบบ High Street ที่ใครๆก็ชอบเนื่องจากเป็นย่านที่ขายสินค้าในราคาพอเหมาะ

City Break Paris Metro in Paris Louvre Rivoli

 

2.สถานี Concorde ที่เป็นเสน่ห์ของการตกแต่งสถานีกองกอรด์ Concorde ก็คือผนังที่ปูกระเบื้อง (Tiled Walls) จริงๆ ทุกๆ สถานีของกรุงปารีสก็ใช้กระเบื้องปูผนังที่สวยอยู่แล้วแต่ที่นี่คิดรูปแบบโดย Françoise Schein’s เป็นรูปแบบคล้าย Words Puzzle หรือ Cross words ให้หาคำซึ่งจะเกี่ยวกับการประกาศสิทธิมนุษย์ชน Declaration of the Rights of Man ซึ่งเชื่อมโยงมาจากการปฏิวัติฝรั่งเศส เนื่องจากในปี 1989 ที่มีการตกแต่งกำแพงในสถานีนี้นั้นเป็นการฉลองครบรอบ 200 ปีของ French Revolution และจัตุรัสกองกอรด์ก็คือลานประหารชีวิตของผู้ที่อยู่ตรงข้ามกับฝ่ายปฏิวัติในสมัยนั้น

City Break Paris Metro in Paris Concorde

 

3.สถานี Varenne สถานีนี้อยู่ในเขต 7 (7th arrondissement) ก็มีมุกคล้ายๆ สถานี Louvre ที่จำลองผลงานในพิพิธภัณฑ์มาตกแต่ง เพราะเนื่องจากสถานี Varenne นั้นอยู่ใกล้กับพิพิธภัณฑ์โรแดง Rodin Museum. ซึ่งRodin เองถือว่าเป็นบิดาแห่งประติมากรรมสมัยใหม่( Modern Sculpture ) เจ้าของผลงาน ‘นักคิด’หรือปงส์เซอร Le Penseur (The Thinker) ซึ่งมีการจำลองไว้ที่สถานีนี้พร้อมมีเรื่องราวบอกว่าที่จริง ประติมากรรมที่ชื่อปงส์เซอร นั้นเมื่อก่อนนี้ชื่อว่า “The Poet” เพราะตั้งใจจะให้หมายถึง Dante ยอดนักปราชญ์ของอิตาลี ดังนั้นหากถ้าเราไม่มีเวลาเข้าพิพิธภัณฑ์โรแดงก็แอบไปselfieกับ‘นักคิด’ ท่านนี้ได้ที่สถานีนี้เลย

City Break Paris Metro in Paris Varenne

 

4.สถานี Cluny-La Sorbonne สถานีนี้อยู่ในย่าน ‘กาติเย่ ลาแตง’ในเขต5 (5th arrondissement) มีผลงานโมเสก (Mosaics)บนเพดานของ Jean Bazaine ที่ชื่อ Les Oiseaux (The Birds) นอกจากนั้นยังมีชื่อของผู้มีชื่อเสียงที่เคยอยู่ในย่านนี้มาก่อน เช่น Rabelais, Molière ฯลฯ สถานี Cluny-La Sorbonne เปิดครั้งแรกในปี 1930 ตั้งชื่อตามพิพิธภัณฑ์ ครูนี่ Musée de Cluny และมหาวิทยาลัย Sorbonne University

City Break Paris Metro in Paris Cluny La Sorbonne

 

5.สถานี Bastille Bastille Day (July 14th) คือวันชาติฝรั่งเศสและถือเป็นวันสำคัญของประวัติศาสตร์ของประเทศ สถานีบาสตีล์ Bastilleนั้นตั้งอยู่ ณ บริเวณใดที่เคยเป็นคุกบาสตีล์ที่ขังนักโทษกบฎ และในวันที่14 กรกฎาคมของปี 1789 ก็เป็นวันที่ประชาชนปารีสหมดความอดทนกับระบอบการปกครองและความยากจน จึงมีการลุกฮือกันทำลายคุกนี้ ถือเป็นจุดเริ่มต้นและเป็นสัญญาลักษณ์ของการปฎิวัติฝรั่งเศส ดังนั้นที่กำแพงของสถานีนี้จึงมีเรื่องราวในลักษณะเป็นการเปลี่ยนแปลงของชีวิตคนฝรั่งเศส( Life-changing ) หลังจากเหตุการณ์ในครั้งนั้นมันเป็นผลงานของ Liliane Belembert และ Odile Jacquot มีทั้งหมด 5 ภาพเรียกว่าเหมือนได้เข้าโบสถ์ไปดูภาพ fresco ยังไงยังงั้นเลย

City Break Paris Metro in Paris Bastille

 

6.สถานี Arts et Metiers สถานีArts et Metiers เปิดครั้งแรกในปี 1904 แต่ถูกออกแบบใหม่ในปี 1994 เพื่อฉลองครบรอบ 200 ปีของการรักษาไว้ซึ่งศิลปหัตถกรรมของชาติ โดยการออกแบบใหม่นี้ตกแต่งให้สถานีเป็นเหมือนเรือดำน้ำที่ชื่อ นอติลุส (Nautilus)ในนวนิยายของ Jules Verne เรื่อง “ใต้ทะเล 20000 โยชน์” (20000 leagues under the sea) สถานีนี้ผมชอบมากที่สุด ถ้าคุณอยากไปดูให้นั่งสาย 3 หรือ11 จะผ่านสถานีนี้ครับ

City Break Paris Metro in Paris Arts et Metiers

เจอกันคราวหน้าเราจะมาคุยกันถึงเขตหรือย่านที่น่าพิจารณาว่าเราควรจะเลือกจองที่พักเราในเขตไหนดี

City Break Paris Part I

เบรกเที่ยวในกรุงปารีส ตอนที่ 1

By Paul Sansopone
“…..งานศิลปะแบบ Impressionist หรือผลงานยุคเริ่มต้นของ Van Gogh หรืองานภาพยนตร์ของ Roman Polanski, Woody Allen หรือผลงานภาพถ่ายของ David Hamilton, นวนิยายของ Ernest Hemingway คงไม่เกิดขึ้นมาง่ายๆ ถ้าไม่มีแรงบันดาลใจที่เกิดขึ้นที่นี่หรือการนำเอาปารีสมาเป็นองค์ประกอบหนึ่งของผลงาน…..”

บทนำ Intro

City Break PARIS 7

Paris ปารี คือชื่อเมืองนี้ในภาษาฝรั่งเศส แต่ไม่ว่าจะเรียกว่า ‘ปารี’หรือ ‘ปารีส’ คือมันก็เมืองหลวงของประเทศฝรั่งเศสที่ทำให้ใครต่อใครหลงใหลไม่ว่าคุณจะเป็นศิลปินในแขนงไหน มีสไตล์แบบไหนหรือถูกจัดอยู่ในหมวดไหน Genres ไหน อยู่ใน Set หรือ Sub-set ไหน ถ้าคุณบอกไม่ชอบนั่นหมายถึงคุณปฏิเสธ คำที่อยู่ใน Key words เหล่านี้: Art, Beauty, Romance, Indulgence, Classic, Tastes, Ideal, Philosophy, History, Erotic, Desire, Design, Thought … Perfection, Practical……ก็คือไม่ว่าคุณจะโยนคำไหนเข้าไป คุณมักจะเจอมันได้ที่นี่ และถ้าเรายิ่งลงลึกไปอีกคือพยายามที่จะเข้าถึงมันอย่างจริงจัง เราก็ยิ่งต้องทึ่งกับเมืองนี้เข้าไปอีก มันเป็นเรื่อง‘วิธีคิด’ Process of Thinking แบบคน ฝรั่งเศส วิถีชีวิตและแนวคิดในการนำเสนอถือเป็น Chapter หนึ่งของอารยะธรรมตะวันตก ไม่แตกต่างจากที่ชาวกรีซหรือโรมันทำมาในอดีตกับเอเธนส์และโรม เพียงแต่มันเป็นคนละยุคสมัยเท่านั้นเอง โดดเด่นด้วยการวางผังเมืองของ Haussman มีการนำสถาปัตยกรรม และศิลปะมาใช้ในการออกแบบชนิดลงรายละเอียดกับอาคารสถานที่ทุกประเภทแม้แต่ที่อยู่อาศัย, เสาไฟฟ้า, สะพาน แม้แต่ป้ายชื่อถนนหรือป้ายทางลง Metro ซึ่งปกติในสมัยก่อนหน้านั้นรายละเอียดแบบนี้จะเน้นใช้กับโบสถ์หรือศาลากลางเมืองเท่านั้น มีการวาง Monumentหรืออนุสรณ์สถาน อนุสาวรีย์ที่เป็นผลงานศิลประดับโลกไว้ในทุกมุมถนน ที่แผ่กระจายไปไม่กระจุกตัว การเอาบรรยากาศของแม่น้ำเซนน์เข้ามาเกี่ยวข้องมีการออกแบบสะพาน และPromenade ทางเดินริมน้ำ การทำถนนขนาดใหญ่รองรับอนาคตแล้วยังมีการวางระบบรถไฟใต้ดินแบบเส้นก๋วยเตี๋ยว (Noodle System) ที่ไม่ว่าคุณจะอยู่ไหนในใจกลางกรุงปารีสคุณจะเดินไม่เกิน 300 เมตร เพื่อไปยังป้ายตัว M หรือ Metro (รถไฟใต้ดิน)

City Break PARIS 11

แน่นอนว่าระบบสายไฟสายระโยงระยางทั้งหลายก็ลงใต้ดินหมด เพื่อให้ถนนขนาดใหญ่ที่เรียกว่า ‘เอฟเวอนู’ (Avenue) นั้นมีที่ว่างสำหรับต้นไม้ขนาดใหญ่แบบต้น Honey Locust, Horse Chestnut, Japanese Cherry, Linden Tree, สร้างความสวยงามแบบเปลี่ยนไปในแต่ละฤดู ไม่ต้องมีสายไฟมาทำลายบรรยากาศ และเวลาเขาคิดก็คิดให้จบเลยโดยคิดเผื่อว่าหากใบไม้ร่วงล่ะต้นไม้เป็นพันต้นจะทำความสะอาดไหวหรือใช้คนกวาดถนนกันกี่คนล่ะ เราจะเห็นว่าพอใบไม้ร่วงระบบทำความสะอาดของถนนในปารีสที่เราเห็นจะปล่อยน้ำให้ไหลจาก 2 ข้างทางให้พาเศษขยะใบไม้แห้งลงท่อระบายน้ำไปโดยใช้แรงโน้มถ่วงหรือ Gravity

City Break PARIS 8

งานศิลปะแบบ Impressionist หรือผลงานยุคเริ่มต้นของ Van Gogh หรืองานภาพยนตร์ของ Roman Polanski, Woody Allen หรือผลงานภาพถ่ายของ David Hamilton คงไม่เกิดขึ้นมาง่ายๆ ถ้าไม่มีแรงบันดาลใจที่เกิดขึ้นที่นี่หรือการนำเอาปารีสมาเป็นองค์ประกอบหนึ่งของผลงาน

City Break PARIS 13

และข้อดีของเมืองหลวงแห่งนี้ก็คือไม่ว่าคุณจะมากี่ครั้งในรอบ 10 ปี 20 ปี มันจะไม่เปลี่ยนไปมาก มันไม่เหมือนกรุงเทพฯ ที่เราปรับเปลี่ยนตลอด เช่นตรงนี้เคยเป็นสถานทูตอังกฤษแต่ตอนนี้กลายเป็นห้างเซ็นทรัลแอมบาสซี่ไปแล้ว หรือหัวมุมถนนนี้นั้นถุกทุบทิ้งกลายเป็นคอนโดฯไปหมดแล้ว ตึกแถวสองข้างทางถนนเล็กๆ แบบโรแมนติกน่ารักก็โดนเวนคืน เพราะต้องขยายถนน หรือทำรถไฟฟ้า, รถไฟใต้ดิน หรือต้องวางท่อระบายน้ำขนาดใหญ่เพราะป้องกันน้ำท่วมและบางส่วนก็เริ่มขุดเอาสายไฟลงใต้ดิน ภาพของกรุงเทพเราเปลี่ยนไปตลอด แต่ที่ปารีสมันแถบจะไม่เปลี่ยน โดยเฉพาะอาคารสิ่งก่อสร้างถนนหนทางจะคงความคลาสิกแบบนั้นไปตลอด เพราะสิ่งเหล่านี้ถูกวางแผนมาอย่างดีและไม่ระเบียบเข้มจากสำนักผังเมือง ไม่ให้ปรับเปลี่ยนง่ายๆ แต่เมืองมันกลับดูสมัยใหม่ล้ำหน้าเพราะความคลาสสิกนั้นจะถูกตัดกับความทันสมัยของการแต่ง Display หน้าร้านและโดยเฉพาะป้ายโฆษณาต่างๆ ซึ่งสวยทันสมัยเพราะมักเป็นโฆษณาของสินค้าแบรนด์เนมจึงเป็นโฆษณาที่ที่ใช้ต้นทุนสูงมีการออกแบบใช้นางแบบระดับท็อป หรือการแต่งกายของผู้คนตามถนน หรือบริการสาธารณะแบบรถเมล์ของปารีสที่ดูทันสมัยขึ้น และบรรดารถยนต์รุ่นใหม่ๆ ที่อยู่บนท้องถนนของเมืองนี้

สุดท้ายก็คือฤดูที่เรามา นั่นคือสิ่งที่เราจะเห็นว่ามันเปลี่ยนไปแต่นอกนั้นแล้วคือปารีสเมืองเดิมที่ไม่ต้องการเปลี่ยนแปลงใดๆ ไม่ต้องมีคอนโดหรือศูนย์การค้าใหม่ๆ มา ชาวปารีสไม่ต้องการหากจะมีก็คงต้องอยู่ในย่านที่ถูกกำหนดไว้ให้เท่านั้นเช่นย่าน La Défense ซึ่งอนุญาตให้สถาปัตยกรรมสมัยใหม่เกิดขึ้นได้ อย่าง Background ของภาพข้างล่างนี้

City Break PARIS 10

ความทรงจำเกี่ยวกับปารีส

City Break PARIS 6

ในตอนแรกนี้ผมจะขอพูดถึง First Impression ของผมเมื่อครั้งมาปารีสครั้งแรกก่อน ซึ่งอาจไม่เหมือนใคร หลายคนอาจบอกว่าประทับใจปารีสก็ตอนเมื่อได้เห็นหอไอเฟลหรือประตูชัยฯ แต่ผมกลับเริ่มประทับใจตั้งแต่ด่านแรกเลย มันคือสนามบินปารีสครับ…ผมมาปารีสครั้งแรกในสมัยปี 1980 โดยการบินไทย ซึ่งสมัยนั้นยังไม่นิยมบินตรงหรืออาจเป็นเพราะประสิทธิภาพของเครื่องที่ใช้บิน Long haul ในยุคนั้นยังบินรวดเดียวได้ไม่เกิน 10 ชั่วโมง มันเป็นเพราะเครื่องยนต์รุ่นเก่ายังไม่ประหยัดน้ำมันนักกับการออกแบบปีก ยังไม่ถึงยุคของ Winglets ที่เป็นปีกเล็กๆ ที่งอขึ้นตรงปลายปีกของเครื่องยุคใหม่ ที่จะช่วยเรื่องแอโรไดนามิก ทำให้ใช้น้ำมันน้อยลง ในขณะที่ Airframe ก็ยังไม่ใช้วัสดุเบาแบบ Composite ทำให้เครื่องยังหนักอยู่ ทำนองนั้น
จำได้ว่าแวะจอดที่เอเธนส์ก่อนแล้วจึงบินต่อมาลงสนามบิน Charles de Gaulle(CDG) ซึ่งก็ได้มาพบกับอาคารปูนเปลือยทรงกลม 11 ชั้นที่เป็น Terminal 1 ของสนามบินนี้ซึ่งหลายคนบอกว่าเหมือนยานอวกาศ Space Ship หรือจานบิน UFO บ้างก็ว่าคล้ายเป็นสถานีอวกาศ Space Station ต้องยกเครดิตให้ผู้ออกแบบที่ชื่อ Paul Andreu ที่นำเสนอ Concept แบบ Avant-garde Design ก็คือล้ำยุค แหวกกฎ จากการออกแบบอาคารสนามบินในยุคนั้น บางท่านท่านอาจโต้แย้งว่าไม่เห็นจะล้ำสมัยตรงไหน แต่อย่าลืมว่าการออกแบบของเขาเริ่มตั้งแต่ช่วงปลายยุค’60 หรือตอนที่เขาอายุ 29 ปีมีความคิดแบบคนวัยหนุ่มเต็มที่มาถึงตอนนี้ 50 ปีให้หลังอาจจะดูธรรมดาไปหรือเก่าไปแล้ว ก็ต้องยอมรับว่าในยุคนั้นล้ำสมัยเอามากๆ มีภาพยนตร์หลายเรื่องที่ใช้ฉากถ่ายทำที่นี่ เช่นเรื่อง Airport ’79 ที่ Alain Delon พระเอกรูปหล่อชาวฝรั่งเศสเล่นเป็นกัปตันเครื่อง Concord แล้วมี Sylvia Kristel นางเอกฝรั่งเศสจากภาพยนตร์ดังแห่งยุคนั้นเรื่อง Emmanuelle มารับบทเป็น Stewardess บนเครื่อง หรือหนังที่ผมชอบมากเกี่ยวกับปารีสอีกเรื่องก็คือ Frantic สร้างโดย Roman Polanski แสดงโดย Harrison Ford

City Break PARIS 4

อาคารแห่งนี้เป็นอาคารทรงกลม 11 ชั้นที่ดูเหมือนรวมทุกฟังชั่นไว้ทุกอย่างในอาคารเดียวกันแต่ไม่ใช่ มันประกอบด้วยอาคารย่อยที่เรียกว่า Satellite ที่มี 7 อาคารอยู่รอบๆ อาคารหลักทำหน้าที่เป็นอาคารที่ใช้ให้เครื่องจอดเทียบท่าและใช้Holding และBoarding ผู้โดยสารซึ่งเชื่อมกับอาคารหลักทรงกลมด้วยทางเลื่อนมุดไปใต้ดิน (Underground Walkways)มันให้ความรู้สึกล้ำยุคมาก โดยเฉพาะหากเรามาลงที่ CDG1 ในสมัยก่อนโน้น พอออกมาจากทางเลื่อนใต้ดินก็จะเจอกับทางเลื่อนหลอดแก้วแบบบนยานอวกาศที่เรียกว่า Sky Tube สวนกันไปมา เพราะ Sky Tube เหล่านี้จะอยู่ตรงใจกลางของอาคารที่เปิดโล่งเป็นรูเหมือนโดนัท เพื่อให้แสงเข้าเป็นแบบ Skylight แต่แบบไม่มีหลังคากระจกนะครับ นั่นหมายถึงเมื่อหิมะตก หรือฝนตกเราก็จะได้สัมผัสบรรยากาศโรแมนติกแบบนั้น เหมือนนั่งรถยนต์มี Moon Roof หรือ Panoramic Roof ยังงั้นเลย ผู้โดยสารที่จะเดินทางไปจากประเทศอื่นจากปารีสหรือผู้โดยสารที่มาจากนานาประเทศที่มาเที่ยวปารีสก็จะได้บรรยากาศนี้เหมือนกันครับ ต้องยอมรับใน Concept และIdeaที่ไม่เหมือนใคร

City Break PARIS 5

City Break PARIS 2

ในขณะที่ Terminal 2 นั้นก็ออกแบบโดยคนเดียวกันนี้แหละครับ แต่มี Concept ที่แตกต่างอีกเช่นกันไม่เหมือนสนามบินไหนในโลก เพราะวัตถุประสงค์คือต้องการให้ระยะทางเดินลงจากเครื่องคือออกจากงวงหรือ air bridge มาก็ผ่าน ตรวจคนเข้าเมืองรับกระเป๋าแล้วเรียก Taxi เข้าเมืองได้เลย เหมาะสำหรับ Flight Domestic ของ EU ด้วยกันที่ไม่ต้องใช้ Visa เข้าเมืองแต่สำหรับที่ต้องใช้ก็เข้าคิวเหมือนปกติ ปัจจุบัน Terminal 2 นั้นเปลี่ยนไปมากแล้วมี Sub Terminal 7 อาคาร เป็น 2A-2G แถมยังมี Terminal 3 ขึ้นมาอีกสำหรับ Low Cost Airline วุ่นวายกว่าเดิมมากแล้วก็ไม่ค่อยได้รับคำชมจาก Users Review เอาเลย เพราะความที่รูปแบบไม่เหมือนสนามบินไหนๆ ไม่ User Friendly ผู้โดยสารที่ต่อเครื่องตกเครื่องบ่อย มันเลยทำให้มีการวิจารณ์การออกแบบของฝรั่งเศสว่าเป็นลักษณะที่ไม่ใช่ Form Follow Function แต่กลายเป็นว่า Form หรือรูปทรงต้องสวยเท่ห์ไว้ก่อน Function ค่อยว่ากันทีหลัง

City Break PARIS 3

พูดถึงเรื่องออกแบบก็อดจะพูดถึงรถยนต์ฝรั่งเศสไม่ได้ ต้องขอบอกว่าว่าฝรั่งเศสเป็นชาติที่มีความก้าวหน้าเรื่องวิศวกรรมในอันดับต้นๆ ของโลก ไม่ว่าเครื่องบินหรือรถยนต์ก็ถือเป็นชาติแรกๆ ที่พัฒนาเครื่องยนต์เครื่องจักรเหล่านี้ขึ้นมาแต่ความที่มีแนวคิดเรื่องการออกแบบรูปทรงไม่เหมือนชาติไหนๆ ทำให้รถฝรั่งเศสนั้นขายไม่ดีในตลาดโลก ไม่ว่าจะเป็นรถ ซีโตเอ่น,เรโนลด์หรือเปอโญต์ ทั้งที่มีอยู่ยุคหนึ่ง ช่วงปี 70-80 รถฝรั่งเศสก็โดดเด่นมาก โดยเฉพาะ Citroën รุ่น DS ต่อด้วยรุ่น CX ที่มีแนวคิดระบบกันสะเทือนที่ไม่เหมือนใคร ใช้ระบบไฮโดรลิกที่นอกจากนุ่มนวลแล้วยังใช้ยกตัวถังให้สูงหนีน้ำท่วมในกรุงเทพฯได้อีกต่างหาก ส่วนเปอโญต์รุ่น 504,505,405 ก็ได้ชื่อว่ามีความอึดแข็งแรงทนทาน

แต่ข้อดีของความก้าวหน้าล้ำยุคของการออกแบบของฝรั่งเศสที่ไม่เหมือนใคร และไม่มีใครเหมือนก็ส่งผลทำให้เป็นผู้นำในด้านการแฟชั่นเครื่องแต่งกาย และอีกหลายด้านที่เกี่ยวกับงานสถาปัตยกรรม งานศิลปะ ซึ่งน่าชื่นชมและศึกษายิ่งนัก

ผมจะพาท่านไปสัมผัสกับปารีสในแบบที่เราควรจะรู้จัก ไม่ว่าเรื่องดื่ม, กิน, เที่ยว, ซื้อ, รู้จัก, ลอง ฯลฯ ในสไตล์ของ City Break Series ต่อจาก New York และRome ครับ