City Break Paris Part XX

By Pusit Sansopone
เบรกเที่ยวในกรุงปารีส ตอนที่ 20

เที่ยวพิพิธภัณฑ์ลูฟว์ Louvre ตอนที่ 4

City Break Paris Louvre Museum Grand Louvre 3

แล้วก็มาถึงการต่อเติมครั้งล่าสุดและอาจเป็นครั้งที่ยากที่สุดตั้งแต่มีการพัฒนาปรับปรุงมากว่า 700 ปีของ Lourve ก็คือในช่วงปี 1980 สมัยของประธานาธิบดีฝรั่งเศสที่ชื่อ François Mitterrand ซึ่งมีโครงการขยายและปรับปรุงพิพิธภัณฑ์ลูฟว์ที่เรียกว่า ‘Grand Louvre’ ตอนนั้น Louvre ซึ่งมีอายุหลายศตวรรษพยายามต่อสู้กับจำนวนผู้เข้าชมที่เพิ่มขึ้น ทางเข้ามีขนาดเล็กเกินไป แต่ละปีกมีทางเข้าที่แตกต่างกัน และเค้าโครงมีความสับสน ทำให้ผู้เข้าชมต้องใช้ความพยายามอย่างมากที่จะหาทางเข้าหรือทางออก ประธานาธิบดี Mitterrand จึงเสนอให้ขยายพิพิธภัณฑ์โดยย้ายกระทรวงการคลัง ซึ่งครอบครองปีก Richelieu ของ Louvre ตั้งแต่ 1873 ไปยังพื้นที่ใกล้เคียงย่านแบร์ซี่ Bercy และในที่สุดพิพิธภัณฑ์ลูฟว์สามารถครอบครองอาคารรูปตัว U ทั้งหมด

Miterrand ไม่ได้จัดให้มีการประกวดแบบแข่งขันโครงการ Grand Louvre แต่ได้แต่งตั้งสถาปนิกชาวจีนอเมริกันชื่อ Leoh Ming Pei เพื่อมาปรับปรุง Louvre และรวมทางเข้าด้านปีกอาคารที่แตกต่างกัน ทั้งนี้เมื่อครั้งที่ Miterrand ไปอเมริกาได้มีโอกาสชมผลงานของ I.M Pei ที่พิพิธภัณฑ์ดังของอเมริกามาแล้ว

City Break Paris Louvre Museum Grand Louvre Leoh Ming Pei

Leoh Ming Pei สถาปนิกที่ไม่ใช่ชาวฝรั่งเศสคนแรก ที่เข้ามารับงานปรับปรุง Louvre

Pei เสนอให้ขุดใจกลางลานนโปเลียน (Cour Napoléon) และสร้างห้องโถงทางเข้าใต้ดินโดยทำห้องโถงนโปเลียน Hall Napoléon ที่สามารถเข้าถึงปีกอาคารและพื้นที่ทั้งสามตึกได้ รวมทั้งยังสามารถทำพื้นที่สำหรับร้านค้าร้านอาหาร และสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ ซึ่งจะแก้ปัญหาหลักทุกอย่างของพิพิธภัณฑ์ลูฟว์ โดยเฉพาะเรื่องการเข้าชม (Accessibility Problem)

City Break Paris Louvre Museum Grand Louvre 1

สำหรับโจทย์ที่ยากที่สุดก็คือตรง Main Entrance ที่จะมีการลงสู่ระดับใต้ดิน Pei ไม่ต้องการให้มันแค่เหมือนกับการลงไปสถานีรถไฟใต้ดินเท่านั้น มันต้องมี Impact และมี Wow factor ที่ต้องฮือฮาด้วย เพื่อดึงดูดผู้เข้าชมเข้าสู่ทางเข้าพิพิธภัณฑ์ แต่ครั้นจะทำให้กลมกลืนกับอาคารซึ่งเก่าหลายศตวรรษ เพราะการสร้างของเก่าในยุคสมัยใหม่มันก็เหมือนไปซื้อของ Antiqueแต่ไม่ได้ของเก่าจริงๆ แต่เป็นของ Reproduction ที่เลียนแบบ และกับโจทย์ข้อที่ว่าให้ Modernize Louvre Museum นั้นก็ต้องตอบให้ได้ด้วย คือ Modernize แล้วต้องมี Link หรือ Connection กับ Louvreและฝรั่งเศสให้ได้

Pei จึงได้ศึกษาผลงานของ André Le Nôtre นักออกแบบภูมิทัศน์ที่ยิ่งใหญ่ของฝรั่งเศสซึ่งเป็นผู้ที่ปฏิบัติตามรูปแบบทางเรขาคณิตอย่างเคร่งครัด Le Nôtre คือผู้ที่ออกแบบสวนแวร์ซายและสวนตูเลอรีใกล้ๆ กับลูฟว์ หากดูภาพ 2 ภาพด้านล่างจะเป็นงานแบบแปลนของ เลอโนตร์ ที่เน้นรูปทรงเรขาคณิตอย่างชัดเจน รูปแรกเป็นแบบพิมพ์เขียวของสวนแวร์ซายและอีกรูปเป็นแบบพิมพ์เขียวของสวนตูเลอรี (Le Nôtre ‘symmetrical style of the French Formal Garden)

Versailles Garden Plan, Plan du Jardin desTuileries

Pei จึงเลือกที่จะสร้างรูปทรงปิรามิดซึ่งจะเป็นจุดเด่นที่โผล่ขึ้นมากลางลาน เขาเลือกใช้กระจกหุ้มโครงสร้างทั้งหมดเพื่อต้องการให้มีแสงธรรมชาติส่องเข้าห้องโถงใต้ดินด้านล่างได้ และไม่สร้างความอึดอัดเหมือนลงไปในสถานีรถไฟใต้ดิน
แต่ทันทีที่มีข่าวแพร่กระจายออกไปว่าจะมีปิรามิดแก้วเกิดขึ้นตรงลานหน้าลูฟว์ ก็เกิดกระแสต่อต้านวิจารณ์จากชาวปารีสเกินกว่าครึ่งโดยเฉพาะพวกอนุรักษ์นิยม เช่นเดียวกับที่มีกรณีทำนองนี้เกิดขึ้นเมื่อตอนสร้างหอไอเฟิล Pompidu Centerประตูลาเดฟองซ์ที่เป็นประตูชัยสมัยใหม่แห่งศตวรรษที่ 20 หรือแม้แต่อาคาร Montparnasse Tower ที่มีความสมัยใหม่ และยังประณามประธานาธิบดี François Mitterrand ว่าไปเลือก Pei ซึ่งไม่ใช่คนฝรั่งเศส มีความคิดที่ไม่สามารถเข้าถึงศิลปะแบบฝรั่งเศสได้

อย่างไรก็ตามไม่นานหลังจากการเปิดอย่างเป็นทางการของปิรามิดแก้วในเดือนมีนาคมปี 1989 เสียงค้านก็ได้ลดลงอย่างรวดเร็ว และปิรามิด Louvre กลายเป็นหนึ่งในสถานที่ทันสมัยที่ชาวปารีสรักมากที่สุดแห่งหนึ่งของกรุงปารีส

City Break Paris Louvre Museum Grand Louvre 6

ปิรามิดแก้วมีความสูงประมาณ 22 เมตร (72 ฟุต) และอยู่ห่างจากฐานเพียง 35 เมตร (116 ฟุต) ล้อมรอบด้วยปิรามิดเล็กๆ สามแห่ง มีสระน้ำล้อมรอบ และน้ำพุที่ทันสมัย ซึ่งสระน้ำจะทำหน้าที่สะท้อนเป็นเงาของรูปปิรามิดออกมาเป็นปิรามิดกลับหัวดูคล้ายกับทรงข้าวหลามตัดหรือเพชร

ในการออกแบบ Pei มีความพยายามอย่างมากที่จะทำให้ปิรามิดโปร่งใสที่สุด กรอบรูปเหลี่ยมข้าวหลามตัดแบบDiamond Shape 675 รูป และกรอบรูปสามเหลี่ยม 118 รูปถูกออกแบบมาเพื่อให้ขนาดพอเหมาะ มีเหล็กเส้น 128 เส้นและสายสลิง 16 สายที่ยึดบานหน้าต่างด้วยกัน Pei นำเทคโนโลยีจากเรือยอชท์ไฮเทคมาใช้เพื่อให้ดูล้ำสมัย มีเรื่องพูดกันตอนที่มีกระแสต่อต้านปิรามิดแก้วนี้จากพวกอนุรักษ์นิยม บอกว่ากรอบรูปเหลี่ยมข้าวหลามตัดแบบ Diamond Shape นั้นมีจำนวน 666 รูปซึ่งเป็นเลขของซาตาน ตามคริสต์ศาสนาทั้งๆ ที่จริงๆ แล้วมีมีจำนวน 675 รูป

City Break Paris Louvre Museum Grand Louvre 2

ในการปรับปรุงLouvre Phase 2 ปี 1993 มีการขยายพื้นที่ใต้ดินไปสู่การเป็นห้างสรรพสินค้าทันสมัยที่เรียกว่า Carrousel du Louvre การออกแบบก็ยึดแนวเดิมคือต้องการให้มีแสงธรรมชาติเข้าถึงมากที่สุด มันเลยออกมาเหมือนการปักหมุดด้วยปิรามิดแก้วกลับหัวซึ่งเป็นที่รู้จักกันในชื่อ Pyramide Inversée (Inverted Pyramid) ซึ่งปิรามิดแก้วนั้นได้เป็นสัญลักษณ์ของ Louvre อยู่แล้วไม่แน่ใจว่าได้แนวคิดมาจากเงาของปิรามิดแก้วที่สะท้อนลงน้ำเกิดเป็นปิรามิดกลับหัวเหมือนภาพด้านบนหรือเปล่า

City Break Paris Louvre Museum Grand Louvre 7

Inverted Pyramid

แน่นอนว่าปิรามิดกลับหัวได้รับการออกแบบโดย บริษัท สถาปัตยกรรมอเมริกันเจ้าเก่า คือ Pei Cobb Freed & Partners ซึ่งเป็นผู้สร้างปิรามิดแก้วเดิม และที่จุดจบของปิรามิดแก้วกลับหัว ยังมีปิรามิดหินที่โผล่มาจากพื้นซึ่งมีนัยยะหลายแง่มุม แม้แต่ Dan Brown ยังเอาไปใช้เป็นบทสรุปของหนังสือชื่อดัง The Da Vinci Code

City Break Paris Louvre Museum Grand Louvre 4

ภาพบนคือปิรามิดแก้วของ Louvre ถูกสร้างขึ้นในช่วงปี 1980 เป็นทางเข้าหลักของ Louvre Museum โครงสร้างกระจกอันทันสมัยซึ่งสร้างความ Contrast แตกต่างอย่างดีกับอาคารโบราณที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ของพิพิธภัณฑ์ลูฟว์ ในขณะที่ตัวปิรามิดแก้วเองก็ได้กลายเป็น Landmark อีกแห่งของปารีสด้วยตัวของมันเอง

City Break Paris Louvre Museum Grand Louvre 5

ประตูทางเข้าใต้ดินไปยังโถงนโปเลียน Louvre Hall Napoléon

เป็นอันว่าการต่อเติมครั้งล่าสุดของ Louvre ก็จบไปอย่างอลังการ ปัจจุบันนี้พิพิธภัณฑ์ลูฟว์เป็นหนึ่งในพิพิธภัณฑ์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ที่มีกว่า 70,000 ชิ้นงานศิลปะกระจายทั่วพื้นที่ 652,300 ตารางฟุตซึ่งเป็นพื้นที่เกือบ 15 เอเคอร์ และมีผู้เข้าชมมากที่สุดโดยเฉลี่ย 8.8 ล้านคนต่อปี โดยในแต่ละวัน Louvre ได้ต้อนรับนักท่องเที่ยว 15,000 คนต่อวัน และ70% เป็นนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ มีการจ้างคนกว่า 2,000 คนทำการดูแลรักษาและบริหารพิพิธภัณฑ์และงานศิลปะ

หลังจากการเป็นสัญลักษณ์ของสถาบันกษัตริย์ของฝรั่งเศสเป็นเวลากว่า 600 ปี และยังเป็นสัญลักษณ์ของความมั่งคั่งตลอดจนอำนาจของฝรั่งเศสในยุคการล่าอาณานิคม และการขยายอาณาเขตซึ่งทำให้ได้ของมีค่ามากมายมาสะสมไว้ในพิพิธภัณฑ์แห่งชาติแห่งนี้

ถ้าต้องการดูทุกอย่างในพิพิธภัณฑ์ลูฟว์โดยใช้เวลาหยุดดู 30 วินาทีต่อชิ้นตลอดวันโดยไม่หยุดพัก จะต้องใช้เวลา 100 วัน จึงจะได้ดูครบทุกชิ้น!

แกลเลอรี่ที่มีกว่า 70,000 ชิ้นงานศิลปะนั้น เป็นภาพวาดประมาณ 7,500 ภาพ และ66% ของภาพเหล่านี้ถูกวาดขึ้นโดยศิลปินชาวฝรั่งเศส และยังมีคอลเลคชั่นอียิปต์โบราณมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก
แกลเลอรี่ยังแบ่งออกเป็น 8 แผนก:
•โบราณวัตถุตะวันออก
•โบราณวัตถุอียิปต์
•โบราณวัตถุกรีก, อิทรูเรียและโรมัน
•ศิลปะอิสลาม
•ประติมากรรม
•ศิลปะการตกแต่ง
•ภาพวาด
•ภาพพิมพ์และภาพวาด

ก่อนจบเรื่องราวความเป็นมาของ Louvre ในครั้งนี้ ต้องขอพูดถึง Louvre แห่งที่ 2 ที่ อาบูดาบี Abu Dhabi สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ก่อตั้งขึ้นภายใต้ข้อตกลงระหว่างรัฐบาลปารีสกับอาบูดาบีเมื่อปี 2007 แต่เพิ่งเปิดตัวไปเมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายนนี้เอง ซึ่งแน่นอนว่าต้องมีการนำเสนองานสถาปัตยกรรมที่ไม่น้อยหน้าของที่ Paris

Louvre Abu Dhabi 1

ไม่น่าเชื่อว่าธุรกิจแบบ Franchises นั้นมันมาใช้ในงาน G to G ก็ได้ เพราะงานนี้รัฐบาลฝรั่งเศสได้เงินถึง 399 ล้านยูโรจากรัฐบาลอาหรับเอมิเรตส์ สำหรับลิขสิทธิ์การใช้ชื่อ “Louvre” เป็นเวลา 30 ปี เห็นหรือยังครับว่าชื่อ Louvre นั้นมีความขลังขนาดไหน แต่ก็ไม่ใช่ได้มาแค่ชื่อ ยังถือเป็นที่ปรึกษาในการจัดแสดงและการนำชิ้นงานศิลปะจาก Louvre Paris มาโชว์ในลักษณะยืมมา Exhibit เป็นครั้งคราวอีกด้วย ซึ่งทางลูฟว์อาบูดาบี คาดหวังจะสร้างพื้นที่ตรงนี้ให้กลายเป็นศูนย์กลางของวัฒนธรรมแห่งหนึ่งของโลกในอนาคต

Louvre Abu Dhabi

พิพิธภัณฑ์ลูฟว์แห่งที่สอง หรือ พิพิธภัณฑ์ลูฟว์อาบูดาบี ถือเป็นพิพิธภัณฑ์สากลแห่งแรกในโลกอาหรับ มีเนื้อที่ 24,000 ตารางเมตร (260,000 ตารางฟุต) ถือเป็นพิพิธภัณฑ์ศิลปะขนาดใหญ่ที่สุดในคาบสมุทรอาหรับ ออกแบบโดยสถาปนิกชื่อดังชาวฝรั่งเศส ฌอง นูเวล (Jean Nouvel) ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากผลงานสถาปัตยกรรมอันรุ่งโรจน์ของอารยธรรมอาหรับ และจุดเด่นอยู่ที่การออกแบบโดมของพิพิธภัณฑ์ที่เป็นลักษณะรังผึ้งแปดชั้นรูปทรงเรขาคณิตแบบอาหรับ มีน้ำหนักมากถึง 7,500 ตันซึ่งเท่ากับหอไอเฟล โดมสีเงินสะท้อนวัฒนธรรมและศิลปะแบบตะวันออกกลาง ความพิเศษอยู่ที่หลังคาจะสะท้อนแสงระยิบระยับเมื่อแสงแดดสาดส่องลงมา ทั้งยังช่วยลดความร้อนภายในได้อีกด้วย

มันใช้เวลาก่อสร้างนานร่วม 10 ปี โดยโครงการนี้เริ่มต้นตั้งแต่ปี 2007 ฝ่าฟันทั้งมรสุมของราคาน้ำมันที่ลดลงและความผันผวนของเศรษฐกิจโลก ทำให้จากเดิมที่ตั้งงบประมาณไว้ที่ 340 ล้านปอนด์ หรือราว 14,000 ล้านบาท และคาดว่าจะเปิดให้บริการในปี 2012 แปรสภาพเป็นโครงการมูลค่า 1 พันล้านปอนด์ หรือราว 43,500 ล้านบาท

Louvre Abu Dhabi 3

ภายในลูฟว์อาบูดาบี บรรจุชิ้นงานทางศิลปะกว่า 600 ชิ้น เป็นงานศิลปะที่นี่ และอีก 300 ผลงานที่ยืมมาบางส่วนจากลูฟว์ และจาก 13 สถาบันชั้นนำของฝรั่งเศสจาก 23 แกลเลอรี่ เช่น Paul Gauguin, Vincent Van Gogh, Pablo Picasso มีทั้งงานศิลปะ จิตรกรรม ประติมากรรม งานประดิษฐ์ล้ำค่ารวมทั้งศิลปินชาวอเมริกันอย่าง เจมส์ แอบบ็อตต์ แม็คนีลล์ วิสต์เลอร์ รวมไปถึงผลงานของศิลปินจีนอย่าง อ้ายเหว่ยเหว่ย อีกต่างหาก

Louvre Abu Dhabi 2

ทางพิพิธภัณฑ์หวังว่าจะสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวได้จากทั่วโลก เพื่อเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวให้ไปเยือนกรุงอาบูดาบีกันมากขึ้น หลังจากเมื่อปีที่แล้วเมืองหลวงของยูเออีแห่งนี้มียอดนักท่องเที่ยวไปเยือนเพียง 4.4 ล้านคน ในพิธีเปิดตัว ประธานาธิบดีฝรั่งเศส เอ็มมานูเอล มาครง ได้กล่าวถึงโครงการนี้ว่า ‘เป็นเสมือนสะพานเชื่อมอารยธรรม’

 

โปรดติดตามตอนจบของ Louvre ในหัวข้อเรื่อง “มา Louvre แล้วต้องดูอะไร?” ในตอนหน้า

City Break Paris Part XIX

By Pusit Sansopone
เบรกเที่ยวในกรุงปารีส ตอนที่ 19

เที่ยวพิพิธภัณฑ์ลูฟว์ Louvre ตอนที่ 3
การปรับเปลี่ยนของ Louvre จากการเป็นพระราชวังมาเป็นพิพิธภัณฑ์

กลับมาพูดเรื่อง Louvre จริงๆ แล้วในช่วงที่มีการย้ายเมืองหลวงไปแวร์ซายส์ในช่วง 3 รัชสมัยนั้น ได้มีความคิดจากราชสำนักจะนำเอาวัง Louvre ไปทำประโยชน์ เช่น การทำเป็นหอศิลป์ นำโดย พระเจ้าหลุยส์ที่ 15 ได้นำภาพศิลปะที่พระองศ์สะสมจากวังลุกซอมบูรก์ The Luxembourg Palace โดยมีผลงานสุดยอดจากศิลปินชั้นนำ

เช่น Andrea del Sarto, Raphael, Titian, Veronese, Rembrandt, Poussin มีการเปิดให้สาธารณะชนชมอาทิตย์ละ 2 วัน ทำให้ในรัชสมัยของ พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 มีนโยบายที่จะทำ Louvre ให้เป็นพิพิธภัณฑ์ แต่ก็ไม่สำเร็จเพราะเหตุการณ์บ้านเมืองไม่อำนวย จนกระทั่งมาถึงยุคปฏิวัติก็มีการเปิดพิพิธภัณฑ์ Louvre เป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 10 สิงหาคม ปี ค.ศ 1793 โดยมีภาพวาดชั้นนำ 537 ชิ้น และศิลปวัตถุอื่นๆ อีก 184 ชิ้น โดย 3 ใน 4 ของทั้งหมดมาจากราชสำนัก

City Break Paris Louvre Museum ตอน 3 -8

ภาพวาดในปี 1810 ของ  Louis Léopold Boilly (1761–1845 Paris) ชื่อ The Public Viewing David’s “Coronation” at the Louvre ซึ่งเป็นภาพสาธารณะชนไปชมภาพราชาภิเษกของนโปเลียน Coronation of the Emperor ที่ Louvre ซึ่งวาดโดย Jacques Louise David ศิลปินประจำพระองค์ของนโปเลียน

หลังจากการสลายตัวของการปฏิวัติ เมื่อถึงยุคของ จักรพรรดินาโปเลองโบนาปารด์ หรือ นโปเลียนที่ 1 เข้ามามีอำนาจ ท่านได้เปลี่ยนชื่อพิพิธภัณฑ์เพื่อเป็นเกียรติแก่ท่านเอง โดยใช้ชื่อว่าพิพิธภัณฑ์นโปเลียน “Museum Napoleon” ในปี ค.ศ. 1803

City Break Paris Louvre Museum ตอน 3 -4

Napoléon on the Battlefield of Eylau เป็นภาพสีน้ำมันวาดในปี 1808 โดย Antoine-Jean Gros. บรรยายเหตุการณ์หลังการสู้รบที่ ไอลอ โดยในครั้งนั้นกองทัพใหญ่ของนโปเลียนโบนาปาร์ต (Grande Armée )สามารถเอาชนะกองทัพรัสเซียได้ ภาพนี้อยู่ที่ Louvre ในยุคปัจจุบัน เป็นภาพในสไตล์ที่เรียกว่า French Romanticism

เนื่องจากศิลปวัตถุส่วนใหญ่ได้มาจากชัยชนะในสงครามต่างๆ เรียกว่าพิพิธภัณฑ์นั้นล้นไปกับงานศิลป์ที่กองทัพใหญ่ของนโปเลียนโบนาปาร์ต (Grande Armée) ไปกวาดมาจากทั้งทวีปยุโรปรวมทั้งแอฟริกาตอนเหนือโดยเฉพาะประเทศอียิปต์

City Break Paris Louvre Museum ตอน 3 -1

ภาพวาดงานแต่งงานครั้งที่ 2 ของนโปเลียนกับมารีหลุยส์ ที่ Louvre โดยศิลปินชื่อ Corbis จะเห็นว่าตอนนั้น Louvre เป็นพิพิธภัณฑ์ที่เต็มรูปแบบแล้ว

หลังจากที่ลูฟว์ได้กลายเป็นพิพิธภัณฑ์ และได้ทำการอนุรักษ์และนำเสนอผลงานศิลปะนับพันๆ ชิ้น รวมทั้งมรดกของอารยธรรมในอดีต ในช่วงต้นศตวรรษที่ 19 จักรพรรดิได้เปลี่ยนการตกแต่งภายใน และยังได้สร้างประตูชัยที่ยิ่งใหญ่ 2 แห่ง เนื่องจากท่านถือว่าท่านเป็นจักรพรรดิเฉกเช่นจักรพรรดิโรมันแห่งโรมที่มีประเพณีตัดไม้ข่มนาม ด้วยการนำกองทัพเดินลอดประตูชัยเอาฤกษ์เอาชัยก่อน ทำให้ทหารมีกำลังใจและฮึกเหิมและดูเหมือนว่าจะได้ผลดี เพราะกองทัพใหญ่ของนโปเลียนโบนาปาร์ตนั้นแทบจะไม่เคยปราชัยจากการสู้รบ 60 สงคราม นโปเลียนแพ้เพียง 8 ครั้ง ส่วนใหญ่ก็เป็นสงครามหลังจากที่ไม่สามารถบุกยึดรัสเซียได้ก็ไม่ค่อยได้ชนะอีกจนแพ้ครั้งสุดท้ายที่ Waterloo เมื่อปี 1815

City Break Paris Louvre Museum ตอน 3 -9

ภาพทหารของนโปเลียนสวนสนามลอดประตูชัย  Carrousel หน้าวัง Tuileries วาดโดย Hippolyte Bellangé ในปี 1810

ทั้งนี้ นโปเลียนได้สร้างประตูชัยเล็กที่ชื่อการ์รูเซล Arc de Triomphe du Carrousel อยู่ใกล้กับพระราชวัง Tuileries ตรงจุดที่เรียกว่า Place du Carrousel มันถูกสร้างขึ้นระหว่างปี 1806 และ1808 เพื่อรำลึกถึงชัยชนะทางทหารของนโปเลียนเมื่อปีก่อนๆ เช่น ชัยชนะที่ออสเตรียและเพื่อเป็นเกียรติกองทัพอันยิ่งใหญ่ของพระองค์

City Break Paris Louvre Museum ตอน 3 -7

Arc du Carrousel หรือประตูชัยเล็กนี้ สร้างขึ้นตรงพื้นที่ระหว่าง Louvre และ Palais de Tuileries

มันมี 3 ซุ้มประตู ซึ่งก็ได้ต้นแบบมาจากประตูชัยคอนสแตนตินและประตูชัยเซปติมุส ( Arch of Constantine, Arch of Septimius Severus) ในกรุงโรม ออกแบบโดย Charles Percier และ Pierre François Léonard Fontaine มีจุดเด่นอยู่ที่เสาโครินธ์ทั้ง 8 ต้น ทำจากหินอ่อนสีชมพู และรูปปั้นด้านบนของซุ้มประตูเป็นสัญลักษณ์แห่งชัยชนะที่เรียกว่า “Triumphal Quadriga” เป็นชุดรถม้าโรมัน Chariot ทองสัมฤทธิ์เทียมม้า 4 ตัวที่นโปเลียนนำมาจากจัตุรัสเซนต์มาร์กในเวนิส โดยตั้งใจจะทำรูปปั้นนโปเลียนเป็นผู้ทรงรถม้าแต่ในที่สุดรูปปั้นทั้งหมดก็ถูกส่งกลับไปยังเมืองเวนิสหลังจากการล่มสลายของ นโปเลียนที่ Waterloo แต่ก็ทำแทนที่ด้วยชุดรถม้าที่สร้างโดย François Joseph Bosio ในปี 1828

ในขณะที่ประตูชัยใหญ่ หรือ ประตูชัยนโปเลียน Arc de Triomphe de l’Étoile ที่อยู่ปลายสุดของถนน Champs Élysées ก็เป็นสถาปัตยกรรมสไตล์โครินธ์ และได้รับการออกแบบในปีเดียวกัน แต่มันใหญ่กว่าประตูการ์รูเซลถึงสองเท่า ทำให้ยังไม่แล้วเสร็จจนถึงปี 1836 ในรัชสมัยของพระเจ้าหลุยส์ – ฟิลิปป์

สำหรับ Arc de Triomphe de l’Étoile นั้นถูกสลักด้วยชื่อแม่ทัพนายพลของนโปเลียน และชื่อสงครามที่นโปเลียนชนะ มันออกแบบโดย Jean Chalgrin มีต้นแบบเป็นประตูชัยติตัส Arch of Titus ในกรุงโรมแต่ Arc de Triomphe ที่ปารีสสูงกว่ามาก (50 เมตรเทียบกับ 15 เมตร) แต่ก็มีความสมมาตรและมีสัดส่วนที่เท่ากัน

City Break Paris Louvre Museum ตอน 3 -11

ประตูชัยประดับประดาเป็นปูนปั้นมีมิติที่ส่วนใหญ่เป็นที่ระลึกถึงการสู้รบของจักรพรรดินโปเลียน เช่น การต่อสู้ที่ Aboukir หรือชัยชนะของนโปเลียนเหนือตุรกีและการต่อสู้ Austerliz ที่นโปเลียนชนะออสเตรีย ด้านล่างซุ้มประตูเป็นหลุมฝังศพของทหารนิรนามซึ่งเป็นอาสาสมัครหลายคนที่เสียชีวิตในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง

สาเหตุที่ประตูชัยนี้เรียกว่า Arc de Triomphe de l’Étoile ที่หมายถึงประตูชัยแห่งดาว (l’Étoile) นั้นก็เพราะประตูชัยนี้ตั้งอยู่ที่จัตุรัสดาว หรือ Place de l’Étoile (ชื่อเป็นทางการปัจจุบันคือ Place Charles de Gaulle) เป็นวงเวียนซึ่งมีถนน 12 สายวิ่งเข้าสู่วงเวียนนี้ มองจากด้านบนจะเหมือนดาวกระจายนั่นเอง

City Break Paris Louvre Museum ตอน 3 -6

เราสามารถขึ้นไปดูวิวกรุงปารีสจากดาดฟ้าของประตูชัยนโปเลียนนี้ ซึ่งเราสามารถมองเห็นวิวของ La Defense, Champs-Elysées และSacré-Coeur แต่ควรใช้อุโมงค์ลอดใต้วงเวียนไปโผล่ที่ประตูชัยอย่าข้ามถนนเด็ดขาดมันอันตรายมาก แต่อย่าคิดว่าได้ขึ้นลิฟท์ไปดาดฟ้านะครับคุณต้องปีนบันได 234 ขั้นเพื่อแลกกับวิวสวยๆ

เมื่อตอนที่ประตูชัยทั้ง 2 แห่งสร้างเสร็จนั้น เราจะเห็นว่ามันมีพระราชวัง Tuileries บังหรือกั้นประตูทั้ง 2 อยู่แบบภาพด้านล่างนี้ครับ

City Break Paris Louvre Museum ตอน 3 -2

ในขณะที่ปัจจุบันนี้กลับเปิดโล่งก็เพราะต่อมาในปี 1871 พระราชวัง Tuilerie ก็ถูกวางเพลิงในสมัยพระเจ้าหลุยส์ฟิลลิปป์ โดยพวกปฏิวัติหลังจากการที่ท่านไปแพ้สงครามกับปรัสเซียและซากอาคารก็ถูกทุบทิ้งโดยไม่มีการบูรณะใหม่

City Break Paris Louvre Museum ตอน 3 -12

ในภาพด้านบนจะเห็นส่วน (อาคารที่เป็นสีแดง)ที่เคยเป็นพระราชวัง Tuilerie ที่ถูกไฟไหม้ไปแต่ไม่มีการบูรณะ จึงทำให้ (ดูภาพด้านล่าง)ทิศตะวันตกของ Louvre เปิดโล่งไปหาสวน Tuilerie และได้ทิวทัศน์ที่สวยงามของเมืองปารีส

City Break Paris Louvre Museum ตอน 3 -3

ซึ่งในยุคของประธานาธิบดี Charles de Gaulle เคยพยายามจะหาทุนสร้างอาคารส่วนนี้ขึ้นมาใหม่เพราะมีแบบของเดิมอยู่แต่แล้วจนถึงวันนี้ก็ไม่มีการสร้างใหม่เพราะใช้ทุนสูงมาก

ดังนั้น Louvre ด้านทิศตะวันตกนี้จึงเปิดโล่งต่อเนื่องกับสวน Tuilerie มองเห็นจัตุรัสกองกอร์และ ต้นถนนชองเซลิเซ ตลอดไปจนถึงประตูชัยนโปเลียน เป็นมุมมองที่สวยงามมากที่หันหน้าไปทางตะวันตกของกรุงปารีส มันถูกเรียกว่าแกนประวัติศาสตร์ของปารีส Paris Axe historique (“historic axis”) ยาว 9 กิโลเมตรเป็นเส้นตรงวัดจากประตูชัยเล็กหรือประตูชัย Carrousel

City Break Paris Louvre Museum ตอน 3 -5

โดยถ้าเราไปยืนใต้ซุ้มประตูชัย Carrousel และมองไปจะเห็น Landmarks ของกรุงปารีสที่สำคัญเป็นเส้นตรง ตั้งแต่จัตุรัสคองคอรด์ที่มีเสาโอเบลิกซ์ยอดแหลม,ประตูชัยนโปเลียน,ไปสิ้นสุดที่ประตูลาเดฟองซ์ที่เป็นประตูชัยสมัยใหม่แห่งศตวรรษที่ 20 สร้างในยุคของประธานาธิบดีฝรั่งเศสฟรองซัวร์มิเตอรงด์ โดยรำลึกถึง 200 ปีแห่งการปฏิวัติฝรั่งเศส 14 กรกฏาคม 1989

City Break Paris Louvre Museum ตอน 3 -10

ในรูปทรงลูกบาศก์และมีความสูง 110 เมตร Arch ถูกสร้างขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองอุดมคติด้านมนุษยธรรมมากกว่าชัยชนะทางทหารใดๆ มันทันสมัยมากและค่อนข้างตรงกันข้ามกับความ “เก่า” ของปารีส ทำให้มีทั้งคนรักและเกลียดมัน ผู้ออกแบบเป็นชาวเดนมาร์กชื่อ Otto von Spreckelsen

City Break Paris Louvre Museum ตอน 3 -13

กลับมาเรื่อง Louvre ซึ่งในที่สุดก็มีการปรับปรุงต่อเติมในส่วนอาคารครั้งใหญ่อีกครั้งในยุคของจักรพรรดินโปเลียนที่ 3 ซึ่งทำให้กลุ่มอาคารครบถ้วนเป็นแบบที่เห็นในปัจจุบันนี้ได้มีการสร้าง ปีก Denon ทางด้านแม่น้ำเซน และ ปีก Richelieu Wing บนถนน Rivori (ดูจากภาพด้านบนก็คืออาคารส่วนที่มี color code เป็นสีส้ม) เพื่อให้ส่วนหนึ่งใช้เป็น พระราชวังของจักรพรรดินโปเลียนที่ 3 Napoleon III ด้วยซึ่งถือเป็น State Apartment ที่ Louvre ซึ่งภายหลังต่อมาก็เปิดให้ประชาชนทั่วไปได้ชม ห้องพักแสดงถึงพลังและความมั่งคั่งของรัฐฝรั่งเศสในเวลานั้น

กลับมาติดตามเรื่องราวของการต่อเติมครั้งสุดท้ายล่าสุด และอาจเป็นครั้งที่ยากที่สุดตั้งแต่มีการพัฒนาปรับปรุงมากว่า 700 ปี ของ Louvre ในตอนต่อไปครับ

City Break Paris Part XVIII

By Pusit Sansopone

เบรกเที่ยวในกรุงปารีส ตอนที่ 18
เที่ยวพิพิธภัณฑ์ลูฟว์ Louvre ตอนที่ 2
การปรับเปลี่ยนของ Louvre ในศตวรรษที่17-18

กลับมาเรื่องพระราชวังลูฟว์กันต่อครับ สำหรับเรื่องการต่อเติมที่เป็นเรื่องราวหลังจากสมัยพระเจ้าอองรีที่ 4 ก็มามีในสมัยเป็นพระเจ้าหลุยส์ที่ 13 ที่ทำลายกำแพงด้านเหนือของปราสาท (ในปี 1624) เพื่อหาวิธีที่จะทำให้ลูฟว์ไม่ใช่ลูกผสมคือเป็นทั้งสถาปัตยกรรมแบบยุคกลางและยุคเรเนอซองส์ปนกันอยู่ เพราะ Lescot Wing ที่สร้างขึ้นมาใหม่เป็นเรเนอซองส์ไปแล้ว ดังนั้นแนวคิดของสถาปนิกคนใหม่ Jacques Lemercier ก็คือการทำเลียนแบบปีกเลส์โกต์นี้ทางเหนือด้วย จึงมี Lemercier Wing (1636) เกิดขึ้น และสร้าง Pavilion หรือมุขระหว่างสองปีกคือ Pavillon de l’Horloge แต่ปัจจุบันใช้ชื่อว่า Pavillon de Sully

City Break Paris Louvre 3

ภาพลานจัตุรัสของ Louvre ด้านใน หรือ Cour Carrée (ไม่ใช่ลานนโปเลียนซึ่งปัจจุบันมีปิรามิดแก้วตั้งอยู่) จะเห็นปีกเลสโก้ Lescot Wing ที่อยู่ด้านซ้าย โดยมีหน้ามุขนาฬิกา Pavillon de l’Horloge และมีปีกเลแมซิเอ Lemercier Wing อยู่ด้านขวา ที่สร้างcopyให้เข้ากับปีกเลสโก้

จากนั้นก็มาถึงยุคของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14
ในปี ค.ศ. 1659 พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ภายใต้สถาปนิก Louis Le Vau และจิตรกร Charles Le Brun (ผู้ซึ่งเป็น 2 ใน 3 ประสานของโครงการพระราชวังแวร์ซายย์ ประกอบด้วย Louis Le Vau ออกแบบพระราชวัง, Charles Le Brun ออกแบบงานศิลปะ เช่น ประติมากรรมรูปปั้นรวมทั้งงานภาพวาด และ André Le Nôtre ออกแบบภูมิทัศน์ ซึ่งทั้งหมดจะมีการพูดถึงเมื่อเราไปเที่ยวพระราชวังแวร์ซายย์) มีการทุบกำแพงทางทิศเหนือและทิศตะวันออกที่เป็นส่วนของ Louvre ยุคกลางออกไป แต่แม้ว่ากำแพงถูกทลายไปแต่โครงสร้างคือฐานของกำแพงก็ยังอยู่มีซากให้เห็นในพิพิธภัณฑ์ลูฟว์ในปัจจุบันดูจากรูปด้านล่าง

City Break Paris Louvre 2

จากนั้น มีการดูแลปรับปรุงและความสมบูรณ์ของพระราชวัง Tuileries และได้มีการก่อสร้างปีกอาคารให้ล้อมรอบตรงลานจัตุรัสหรือ Cour Carrée ให้ครบทั้ง 4 ด้านจากที่ก่อนหน้านี้มีแค่ปีกเลสโก้ Lescot และมีปีกเลแมซิเอเท่านั้น โดยการสร้างปีกทางทิศเหนือและเพิ่มความยาวของปีกใต้เป็นสองเท่ามีการสร้างมุขกษัตริย์ Pavillon du Roi และสร้างแกรนด์ Cabinet du Roi (หอศิลป์คู่ขนานกับ Petite Galerie) รวมทั้งโบสถ์ เลอบูร์น และการตกแต่ง Galerie d’Apollon

City Break Paris Louvre 10

ภาพด้านบนจะเห็น square court หรือ Cour Carrée ที่มีกลุ่มอาคารล้อมรอบทั้ง 4 ด้านครบแล้ว แต่ในภาพจะเห็นว่าส่วนหลังคาของตึกที่ถูกต่อเติมใหม่นั้นยังถูกทิ้งค้างไว้ และมาเสร็จในช่วงของจักรพรรดินโปเลียน เนื่องจากเจ้าหลุยส์ที่ 14 กำลังจะย้ายไปที่พระราชวังแวร์ซายย์ ทำให้มุ่งไปสนพระทัยพระราชวังใหม่ ซึ่งทำให้งานของลูฟว์ไม่เดินหน้าจนในที่สุดก็ถูกทอดทิ้งไปอีก 2 รัชสมัยคือพระเจ้าหลุยส์ที่ 15และ16

Cabinet du Roi ประกอบด้วยห้องพัก 7 ห้องทางด้านตะวันตกของ Galerie d’Apollon ที่ชั้นบนของ Petite Galerie ที่ได้รับการออกแบบใหม่ ภาพวาดของกษัตริย์หลายพระองค์ถูกประดับไว้ในห้องเหล่านี้ในปี ค.ศ. 1673 และกลายเป็นแกลเลอรีศิลปะย่อมๆที่เปิดให้สำหรับคนรักศิลปะสามารถเข้าถึงได้ ที่สำคัญมีหลักฐานระบุไว้ในหนังสือประวัติศาสตร์ฝรั่งเศสว่าห้องแกลเลอรี่นี้ได้เคยแสดงให้ทูตจากสยามได้เข้าชมใน ปี ค.ศ.1686

City Break Paris Louvre 5

ปีกด้านตะวันออกของ Louvre (1665-80) ซึ่งมีรูปแบบด้านหน้าอาคารที่คลาสสิก และมีอิทธิพลต่อการออกแบบอาคารต่างๆ ในหลายประเทศทางซีกโลกตะวันตกโดยเฉพาะในยุโรป ข้างหน้าอาคารคือลาน Claude Perrault’s Colonnade ตั้งชื่อตามสถาปนิกผู้รับผิดชอบอาคารด้านตะวันออกนี้

สำหรับปีกอาคารด้านตะวันออกนั้นรับผิดชอบโดย Claude Perrault หลังจากที่มีความพยายามจะให้ปรมาจารย์ศิลปะสไตล์บาร็อค ที่ชื่อ Gian Lorenzo Bernini สถาปนิกชาวอิตาเลียนชื่อดังจากโรมแสดงฝีมือออกแบบซึ่งเขาก็เดินทางมาปารีสโดยเฉพาะเพื่องานนี้ แต่ปรากฎว่ารูปแบบโดนปฏิเสธโดยพระเจ้าหลุยส์เพราะรูปแบบมันได้อิทธิพลมาจากดีไซน์ของอิตาเลียนจนเกินไปไม่ใช่ฝรั่งเศส สถาปนิก Claude Perrault ก็จัดการดำเนินการต่อไปโดยใช้สไตล์บาร็อคแบบ Classic ซึ่งก็เป็นที่ยอมรับว่ามีความคลาสสิกแบบฝรั่งเศส และมีอิทธิพลต่อการออกแบบอาคารต่างๆ ในหลายประเทศในยุโรปและอเมริกา

City Break Paris Louvre 9

ภาพบนนี้เป็นภาพลานจัตุรัสหรือ Cour Carrée ในปัจจุบันถ่ายจากจุดกึ่งกลางลานที่เป็นบ่อน้ำพุแทบไม่มีใครทราบว่าอาคารแต่ส่วนแต่ละปีกด้านหน้าด้านข้างนั้นสร้างกันคนละยุคสมัยแค่ดูกลมกลืนได้อย่างดี

นอกจากนั้นพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ยังทรงให้ปรับเปลี่ยนสวนตุยเลอรี Tuileries ให้เป็นสวนแบบฝรั่งเศสหรือที่เรียกว่า Jardin à la Française หรือ The French Formal Garden เพราะในยุคของพระองค์ซึ่งมีฉายาว่า “สุริยะราชา” หรือ The Sun King นั้น ฝรั่งเศสถือเป็นประเทศมหาอำนาจมีความยิ่งใหญ่เกรียงไกร จะต้องมีสไตล์ของฝรั่งเศสเอง

City Break Paris Louvre 11

ภาพแบบแปลนของสวนสวนตุยเลอรี Tuileries ที่เน้นรูปทรงเรขาคณิตและวางรูปแบบให้สมมาตรโดย เลอ โนตร์

เพราะก่อนหน้านั้นพระราชวังนี้มาพร้อมกับสวนในสไตล์อิตาเลียน Italian Renaissance Garden ตามคำสั่งของพระนางคัทรินเดอเมดิชี ที่ให้ใช้ นักออกแบบภูมิทัศน์ จากเมือง Florence ที่ชื่อ Bernard de Carnesse

City Break Paris Louvre 8
รูปปั้นที่สวนตุยเลอรี Tuileries ของ เลอ โนตร์ André Le Nôtre สถาปนิกภูมิทัศน์ ออกแบบสวนตุยเลอรีส์ในสไตล์ฝรั่งเศสปี ค.ศ. 1564

จริงๆ แล้วสวนสไตล์ฝรั่งเศสก็มีวิวัฒนาการและได้แรงบันดาลใจจากสวนสไตล์เรอเนซองส์ของอิตาลีในตอนต้นของศตวรรษที่ 16 นั่นเอง ต้นแบบก็คือสวนสไตล์อิตาเลียนเรอเนซองส์ที่สวน Boboli ในเมืองฟลอเรนซ์และ Villa Medici in Fiesole มีลักษณะการวางแปลง parterres ไม้ดัดไม้ดอกที่เป็นเหมือนกำแพงมีเส้นขอบมุมตัดกันชัดเจน สร้างขึ้นในรูปทรงเรขาคณิตและวางรูปแบบให้สมมาตร มีการใช้น้ำพุและน้ำตกเพื่อให้มีชีวิตชีวาในสวน มีบันไดและทางลาดไล่ระดับต่างๆ ของสวน, มีถ้ำหรือgrottos, มีเขาวงกต และรูปปั้นประติมากรรม โดยสวนจะถูกออกแบบมาเพื่อแสดงถึงกลมกลืน และความเป็นระเบียบตามอุดมคติของยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา เพื่อระลึกถึงสวนโรมันต้นแบบในกรุงโรมเก่า

City Break Paris Louvre 6

แต่ในที่สุดสวนแบบฝรั่งเศสก็หาจุดยืนที่มีความแตกต่างจากสวนอิตาลี ทั้งในด้านรูปลักษณะและในด้านจิตวิญญาณ ส่วนผู้ที่เป็นต้นตำรับและถูกยกย่องว่าเป็นผู้ให้กำเนิด Jardin à la Française นั้น ก็คือนักออกแบบ ภูมิทัศน์ที่ชื่อเลอ โนตร์ André Le Nôtre นั่นเอง สวนที่เขาสร้างขึ้นได้กลายเป็นสัญลักษณ์แห่งความยิ่งใหญ่และความมีเหตุมีผลของฝรั่งเศสทำให้กลายเป็นสวนสไตล์ยุโรป จนกระทั่งถึงในศตวรรษที่ 18 English Garden หรือสวนภูมิทัศน์แบบอังกฤษจึงมาเป็นที่นิยมแทน

City Break Paris Louvre 1

ภาพบนเป็นผลงานชิ้นแรกๆ ที่สร้างชื่อให้กับ André Le Nôtre (1613-1700) ซึ่งเป็นนักออกแบบภูมิทัศน์ที่สำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ของสวนฝรั่งเศส มันคือผลงานการออกแบบสวนในปี 1656 ที่ปราสาท โวเลอวีกงต์ Vaux-le-Vicomte ของ นิโกลา ฟูเกต์ Nicolas Fouquet ซึ่งเป็นหัวหน้าผู้ดูแลท้องพระคลัง (เทียบเท่ารัฐมนตรีกระทรวงการคลัง) ให้พระเจ้าหลุยศ์ที่ 14

อย่างไรก็ตามการทำงานการปรับเปลี่ยนในช่วงพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 นั้นค่อนข้างล่าช้า เพราะมีความจำเป็นที่จะต้องกว้านซื้อที่ดินและบ้านบริเวณนั้น ถ้าดูจากรูปภาพวาดขาวดำด้านบนจะเห็นว่าบริเวณรอบๆ Louvre นั้นค่อนข้างแออัดแม้แต่ในลานจัตุรัสก็ยังมีบ้านคนปลูกอยู่ซึ่งต้องมีการซื้อที่เวรคืน ยิ่งไปกว่านั้นช่วงปี ค.ศ. 1674 พระเจ้าหลุยส์กำลังจะย้ายไปที่พระราชวังแวร์ซายส์ ทำให้มุ่งไปสนพระทัยพระราชวังใหม่ซึ่งทำให้งานของลูฟว์ไม่เดินหน้า

จนในที่สุดโครงการ Louvre ก็ถูกทอดทิ้งไปอีก 2 รัชสมัยคือพระเจ้าหลุยส์ที่ 15 และ16 ซึ่งก็ทรงประทับที่แวร์ซายส์จนมีเหตุการณ์ปฏิวัติฝรั่งเศส และในวันที่ 6 ตุลาคมปี ค.ศ. 1789 พระเจ้าหลุยส์ที่16 และพระบรมวงศานุวงศ์ถูกเชิญให้กลับมาอยู่ปารีสใกล้กับประชาชนที่พระราชวังตุยเลอรี Tuileries เนื่องจากประชาชนชาวปารีสเดือดร้อนเศรษฐกิจย่ำแย่ แต่เหตุการณ์ก็ยังไม่ได้ดีขึ้น เพราะกองทัพของพระองค์ก็พยายามจัดการให้พระองค์และคณะหลบหนี จากปารีสไปที่ Montmédy ทำให้เกิดเหตุการณ์วันที่ 10 สิงหาคม ปี 1792 ที่เรียกว่า Journée du 10 août หรือ “The Second Revolution” มีการบุกโจมตีพระราชวังตุยเลอรีโดยพวกปฏิวัติ ซึ่งในตอนนั้นทหารที่ปกป้องคุ้มครองพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ก็คือ Swiss Guard (หรือกลุ่มทหารรับจ้างสวิส Mercenary Soldiers ที่ทำหน้าที่รับจ้างคุ้มครองพระราชวังหลายแห่งในยุโรปตั้งแต่ช่วงศตวรรษที่ 15 มีชื่อเสียงเรื่องความซื่อสัตย์และภักดีต่อผู้ว่าจ้างสูงสุด จนถึงปี 1874 กฎหมายรัฐธรรมนูญสวิสให้ยกเลิกไป ถือว่าทหารสวิสต้องปกป้องสวิสเท่านั้นไม่ใช่ต่างชาติ ยกเว้นกรณีที่ คุ้มครองพระสันตะปาปาที่กรุงวาติกัน)

City Break Paris Louvre 7

ภาพนี้ก็คือเหตุการณ์วันที่ 10 สิงหาคม ปี 1792 ที่ชื่อ Capture of the Tuileries Palace วาดโดย Jean Duplessis-Bertaux (1747–1819) จะเห็น Swiss Guard อยู่ในชุดสีแดงปัจจุบันดูได้ที่พิพิธภัณฑ์ที่พระราชวังแวร์ซายส์ National Museum of the Chateau de Versailles

ดังนั้นเหตุการณ์ที่มีการบุกโจมตีพระราชวังตุยเลอรีก็เป็นไปตามคาดก็คือ Swiss Guard ไม่ยอมวางอาวุธไม่ยอมให้กลุ่มทหารปฏิวัติ หรือ National Guard ผ่าน จึงเกิดการต่อสู้แบบยอมตายแม้ว่าฝ่ายปฏิวัติจะมีกำลังมากว่าหลายเท่า ทำให้ Swiss Guard เสียชีวิต เพราะความกล้าหาญและซื่อสัตย์ภักดีมากว่า 600 นาย แม้ว่าหลังการต่อสู้ไม่นานพระเจ้าหลุยส์ทรงมีคำสั่งให้ Swiss Guard ยอมแพ้ก็ตาม จึงเป็นที่มาของอนุสาวรีย์ ‘สิงโตเศร้า’ The Lion Monument ที่หน้าผาเมืองลูเซินน์ Lucerne ที่เรารู้จักกันดี โดยมีข้อความจารึกสดุดี ถึงความภักดีและกล้าหาญของคนสวิสจากเหตุการณ์ครั้งนั้น in memory of the Swiss Guards : HELVETIORUM FIDEI AC VIRTUTI (To the loyalty and bravery of the Swiss) โดยเปรียบเสมือนสิงโตผู้เก่งกล้าแต่ก็ยังแพ้ได้แบบมีศักดิ์ศรี ไม่มีหนีแม้รู้ว่าต้องพ่าย

มาถึงตรงนี้ชอบมีคำถามแบบแฟนพันธุ์แท้ถามว่า “แล้วทำไมต้องไปสร้างอนุสรณ์สถานนี้ที่เมืองลูเซินน์Lucerne ทำไมไม่ซูริคหรือเจนีวาล่ะ?” คำตอบก็คือ The Lion Monument เกิดจากแรงผลักดันของร้อยตรีคาลล์ (second lieutenant Carl Pfyffer von Altishofen) นายทหารรับจ้างสวิสชาวลูเซินน์ที่อยู่ในช่วงลาพักร้อนกลับบ้านที่ลูเซินน์พอดี ในขณะที่เพื่อนๆ ต้องต่อสู้กับเหตุการณ์วันที่ 10 สิงหาที่ปารีส ทำให้เกิดสำนึกและรู้สึกผิดอยู่เฉยไม่ได้ต้องสร้างอนุสรณ์ที่รำลึกถึงเพื่อนทหารผู้กล้า จึงได้วิ่งเต้นกับเทศบาลเมืองลูเซินน์และนักการเมืองท้องถิ่นจนได้รับการอนุมัติให้สร้าง The Lion Monument ซึ่งออกแบบโดย Bertel Thorvaldsen ชาวเดนมาร์ก และมีการแกะสลักในปี 1820–21 โดย Lukas Ahorn ชาวเยอรมัน

City Break Paris Louvre 4

ติดตามการเปลี่ยนแปลงของ Louvre ในตอนต่อไปครับ

City Break Paris Part XVII

By Pusit Sansopone

เบรกเที่ยวในกรุงปารีส ตอนที่ 17

เที่ยวพิพิธภัณฑ์ลูฟว์ Louvre ตอนที่ 1

City Break Paris Louvre Museum 10

มีสถาปนิกชื่อดังคนหนึ่งเคยพูดว่า “ประวัติศาสตร์ของกรุงปารีสนั้นมันก็ฝังอยู่ในอิฐหินปูนทรายของอาคารเก่าๆในปารีสนี่แหละ” ดังนั้นถ้าเราศึกษาที่มาของอาคารต่างๆนี้ดีๆก็เหมือนเราได้เรียนรู้ประวัติศาสตร์ของเมืองนี้ไปในตัว ผมก็เลยใช้วิธีอธิบายเรื่องราวของเมืองหลวงของของฝรั่งเศสแห่งนี้ผ่านอาคารสิ่งก่อสร้างเก่าแก่ต่างๆ

ในบรรดาสิ่งก่อสร้างทั้งหลายในกรุงปารีสที่มีอยู่นั้น ไม่น่าจะมีอาคารหรือโครงการไหนที่มีความยิ่งใหญ่เก่าแก่และใช้เวลาต่อเติมปรับปรุงยาวนานข้ามยุคสมัยเหมือนกับพระราชวังแห่งนี้ ซึ่งปัจจุบันได้กลายมาเป็นพิพิธภัณฑ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก

ใช่แล้วครับแม้ว่าคุณไม่ได้เป็นแฟนพันธุ์แท้ของฝรั่งเศส คุณก็น่าจะรู้จักพิพิธภัณฑ์ลูฟว์ แต่คุณอาจจะไม่ทราบว่ามันเป็นโครงการที่เริ่มในยุคกลางจากการเป็นป้อมปราการแห่งศตวรรษที่ 12 ที่สร้างขึ้นโดยกษัตริย์ฟิลิปออกุสตุส แล้วเป็นเวลาอีกเกือบเจ็ดร้อยปีที่อาคารแห่งนี้ใช้เป็นพระราชวังที่ประทับหลักของกษัตริย์และจักรพรรดิแห่งฝรั่งเศส City Break ตอนนี้ของเราก็เลยจะพูดถึงประวัติความเป็นมาของที่นี่ก่อนที่ตอนต่อๆ ไปจะพูดถึงสิ่งที่เราต้องไปชื่นชมเมื่อเรามาถึงลูฟว์

ประวัติความเป็นมาของ Louvre

ในปี ค.ศ. 1190 ก่อนที่กษัตริย์ฟิลิปออกุสตุสจะออกไปทำสงครามครูเสดครั้งที่ 3 ซึ่งต้องใช้เวลานาน ท่านรู้สึกเป็นห่วงเมืองปารีสว่าอาจถูกรุกรานระหว่างที่ท่านไม่อยู่ จึงมีดำริให้สร้างกำแพงและป้อมปราการป้องกันล้อมรอบกรุงปารีส เพื่อปกป้องเมืองจากผู้บุกรุกซึ่งกว่าจะเสร็จสมบูรณ์ก็ในปีพศ. 1202 แม้ในปัจจุบันนี้ป้อมปราการทรงกระบอกที่เป็นส่วนหนึ่งของกำแพงยังมีหลักฐานให้เห็นอยู่ หากท่านไปชมพิพิธภัณฑ์ลูฟว์ในส่วนที่จัดแสดงงานศิลปะยุคกลางใต้ทางเข้าปิรามิดแก้วที่เรียกว่า Sully Wing และนั่นคือปราสาทลูฟว์ในยุคแรกซึ่งจะมีลักษณะแบบปราสาทยุคกลางตามแบบจำลองที่เห็นตามภาพด้านล่าง

City Break Paris Louvre Museum 8

พื้นที่ของ Louvre ยุคแรกนั้นเกือบจะเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัสในมีขนาด 78ม. x 72ม.โดยล้อมรอบด้วยกำแพงหนาถึง 2.6 เมตร โครงสร้างทั้งหมดถูกล้อมรอบด้วยคูน้ำที่ติดอยู่ด้านนอกของกำแพงมีสองหอคอยป้องกันสอดส่องผู้บุกรุก ที่มุมหนึ่งและช่วงกลางของกำแพงทางทิศตะวันตกและทิศตะวันตกเฉียงเหนือจะมีป้อมปราการทรงกระบอก ส่วนทางทิศใต้และทิศตะวันออกกำแพงจะมีทางเข้าเป็นประตูแคบๆ

ที่ป้อมทรงกระบอก (Golden Donjon Tower) ซึ่งสูงสามสิบเมตรและมีเส้นผ่าศูนย์กลาง 15 เมตรมีผนังหนามาก ล้อมรอบด้วยคูน้ำลึก ห้องพักในป้อมปราการเป็นห้องเก็บอาวุธยุทโธปกรณ์ ซึ่งตอนนั้นยังไม่ได้เป็นที่ประทับของกษัตริย์ เพราะกษัตริย์ยังประทับอยู่ที่ Palais de la Cité หรือพระราชวังแห่งเมือง แต่ลูฟว์ก็ได้รับการบูรณะบ่อยครั้งในยุคกลาง ภายใต้หลุยส์ที่ 9 ในช่วงกลางศตวรรษที่ 13 ซึ่งลูฟว์กลายเป็นท้องพระคลัง และภายใต้ราชวงศ์วาลัวส์ บางส่วนก็ใช้เป็นคุกและห้องพิจารณาคดี

จนกระทั่งมาถึงยุคของ พระเจ้าชาลส์ที่ 5 แห่งราชวงศ์วาลัวส์ ที่ได้รับฉายาว่า “ชาลส์ผู้ชาญฉลาด” (Charles V, or Charles the Wise) ช่วงนั้นเกิดของสงครามร้อยปีกับอังกฤษนำโดยกษัตริย์เฮนรี่ที่ 5 ท่านจึงต้องการย้ายไปประทับในพระราชวังที่ปลอดภัยจึงย้ายออกจาก ‘พระราชวังแห่งเมือง’ Palais de la Cité มาอยู่ที่ปราสาทลูฟว์ทำให้ลูฟว์มีการเปลี่ยนแปลงจากป้อมปราการไปเป็นพระราชวัง (Palais du Louvre) ในปี 1863 มีการต่อเติมกำแพงให้สูงขึ้นเพื่อความปลอดภัย รวมทั้งเพิ่มรายละเอียดของป้อมปราการและยอดแหลมด้านบน ทำให้ Louvre กลายเป็นที่รู้จักในฐานะพระราชวังที่งดงาม

City Break Paris Louvre Museum 5

ภาพวาด Charles V’s Louvre ที่ชื่อยุคแห่งความอุดมสมบูรณ์ของดยุคแห่งแบร์รี (‘les très riches heures’ du duc de berry) ซึ่งจะเห็นปราสาท Louvre ที่กลายมาเป็นพระราชวังครั้งแรกในยุคของ พระเจ้าชาลส์ที่ 5

City Break Paris Louvre Museum 7

ภาพ Louvre ในช่วงที่เป็น Royal Residence ที่ยังเป็นสถาปัตยกรรมแบบยุคกลาง

จากนั้นก็ไม่มีการปรับเปลี่ยนอะไรจนถึงศตวรรษที่ 16 ซึ่งเป็นยุคที่เรียกว่า “ยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา” ซึ่งเราก็จะถือโอกาสจบเรื่องราวของยุคกลางของปารีสไว้ตรงนี้ เรื่องราวของลูฟว์ก็จะไปต่อในยุค ยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาเลยครับ

ยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา The Renaissance (1515-1643)
ในขณะที่อิตาลีได้เข้าสู่ยุคเรอเนซองซ์หรือที่เรียกว่ายุคฟื้นฟูศิลปวัฒนาการไปตั้งแต่ช่วงปี 1400 แล้ว ฝรั่งเศสกว่าจะเริ่มก็ต้องรอถึงปี 1515 ในสมัยของ กษัตริย์ฟรองซัวที่ 1 (François 1er หรือถ้าเป็นภาษาอังกฤษก็คือ Francisที่ 1) ซึ่งถือว่าเป็นผู้นำเรเนซองซ์มาฝรั่งเศส เพราะพระองค์ทรงโปรดด้านศิลปะและการอ่านเป็นอย่างยิ่ง ทำให้ได้ศึกษาศิลปะของอิตาลีอย่างลึกซึ้งและถึงขนาดเชิญอัจฉริยะแห่งยุคเรอเนซองซ์มาเองเลย นั่นคือ ลีโอนาโด ดาวินซี่ Leonardo da Vinci โดยเริ่มจากการให้มาสร้างปราสาทล่าสัตว์แถวลุ่มแม่น้ำลัวร์ให้พระองค์ที่ชื่อว่า ‘ชองบอรด์’ (Château de Chambord)

City Break Paris Louvre Museum 6

ภาพบนคือปราสาทชองบอรด์ (Château de Chambord )ของกษัตริย์ฟรองซัวหรือฟรานซิสที่ 1

และให้เป็นที่ปรึกษาในการพัฒนาปรับปรุงสถาปัตยกรรมในกรุงปารีส มีการจ้างช่างฝีมือจากอิตาลีเข้าปรับปรุงเปลี่ยนโฉม พระราชวังลูฟว์ Louvre ที่พระองค์ประทับอยู่ตอนนั้นให้สวยงามยิ่งใหญ่ ไม่ให้เชยเหมือนปราสาทยุคกลางที่เป็นอยู่

François 1er ฟรานซิสที่ 1 (1515-1547)

City Break Paris Louvre Museum 13

ท่านถือเป็นผู้อุปถัมภ์ศิลปะแห่งยุคนี้และนำมาซึ่งยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาของฝรั่งเศส มีการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมที่สำคัญอื่นๆ และการครองราชย์ของพระองค์มีการเพิ่มความสมบูรณ์แบบของระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มีการแพร่กระจายของระบอบมนุษย์นิยมและนิกายโปรเตสแตนต์ ตลอดจนให้ความสำคัญกับการสำรวจโลกใหม่ สำหรับอีกบทบาทของพระองค์ก็คือการพัฒนามาตรฐานภาษาฝรั่งเศส ทำให้ท่านเป็นที่รู้จักในฐานะพระบิดาแห่งภาษาและจดหมาย

แนวคิดของเรอเนซองซ์ในด้านสถาปัตยกรรม (Renaissance Style) จะเน้นเรื่องความสมส่วนสมบูรณ์แบบเรียบร้อยแบบร่างกายมนุษย์ คือมีฐานรากที่แข็งแรงแบบขาของคน มีส่วนร่างกาย (Body) ที่ได้สัดส่วน มีส่วนหัวที่เป็นหลังคาโดยมีหน้าต่างที่จั่วหลังคาที่เปรียบเหมือนหมวก โดยมีกลิ่นอายและแรงบันดาลใจจากสถาปัตยกรรมแบบคลาสิกยุคกรีกและโรมันมาประยุกต์ใหม่ให้มีความกลมกลืนสมดุลกับยุคสมัยในขณะนั้น

ในปี ค.ศ. 1528 หลังจากที่กษัตริย์ ฟรานซิสได้กลับจากการถูกจองจำสองปีในอิตาลีและสเปน เนื่องจากความพ่ายแพ้ที่ Pavia (ค.ศ. 1524) ท่านได้กลับมาปรับปรุงพระราชวังลูฟว์ให้กลายเป็นพระราชวังสไตล์เรอเนซองส์ให้เหมือนกับวังในอิตาลีและสเปนตอนที่ท่านได้ประจักษ์ตอนช่วงที่ถูกจับกุม เริ่มจากการทำลายหอคอยใหญ่ทั้ง 4 ที่เรียกว่า “Grosse Tour” โดยในปี 1546 ท่านให้สุดยอดสถาปนิก ปีแยร์ เลสโก้ (Lescots) ผู้ชำนาญสถาปัตยกรรมสไตล์เรเนสซองแบบฝรั่งเศส จากการที่เขาเคยไปศึกษางานศิลปะในอิตาลีและได้คุ้นเคยกับในโครงการปราสาทหรือชาโตต่างๆของหุบเขาแม่น้ำลัวร์ (Loire Valley) มาก่อน ทำให้ได้รับตำแหน่งเป็นสถาปนิกโครงการของการปรับปรุงพระราชวังลูฟว์ แม้ว่าต่อมาฟรานซิสที่ 1ได้สิ้นพระชนม์ลง แต่งานของเขาก็ยังคงดำเนินต่อไปภายใต้กษัตริย์อองรี ที่ 2*Henry II (1547-1559) กำแพงด้านตะวันตกถูกทำลายและสร้างเป็นพระราชวังเรอเนซองส์ที่มีความยาวเท่ากัน ตั้งแต่เดือนธันวาคมปี ค.ศ. 1546 ถึงเดือนมีนาคมปี ค.ศ. 1549 ปัจจุบันเรียกว่า เลส์โก้วิง ( Lescot Wing) ซึ่งวิงนี้ถือว่าเป็นส่วนที่เก่าแกที่สุดของ Louvre เหนือพื้นดิน(เพราะถ้าเป็นใต้ดินจะเห็นส่วนที่เป็นฐานของหอคอยที่หลงเหลืออยู่)

City Break Paris Louvre Museum 11

ภาพปีกอาคาร เลส์โก้วิง (Lescot Wing) ซึ่งถือว่าเป็นส่วนของอาคารที่เก่าแกที่สุดของ Louvre เหนือพื้นดินและถือเป็นอาคารแบบเรเนอซองซ์หลังแรกๆ ของปารีส Credit:Pic from Wikipedia

ปีกอาคารเลส์โก้วิง ( Lescot Wing) มีห้องโถงที่เรียกว่า “salle des caryatides” (caryatids คือเสารับน้ำหนักเป็นรูปเทพยาดา อิงงานกรีกและโรมัน) ซึ่งเป็นห้องสำหรับปาร์ตี้หรือห้องบอลรูม มีเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์เกิดขึ้นที่ห้องนี้มากมาย เช่น การแต่งงานของกษัตริย์อองรีที่ 4, เหตุการณ์สังหารหมู่ St. Bartolomew เนื่องจากสงครามศาสนาคาธอลิคและโปแตสแตนท์, งานศพของ อองรีที่ 4 ตลอดจนการแสดงครั้งแรกของ Molière (นักเขียนบทละครและนักแสดงแบบ comedy ชื่อดังของฝรั่งเศส) ต่อหน้ากษัตริย์หลุยส์ที่ 14 ในวันที่ 16 ตุลาคม 1658

หมายเหตุ* เนื่องจากกษัตริย์ฝรั่งเศสและอังกฤษในช่วงมีสงคราม100 ปีและต่อเนื่องมามีพระนามเหมือนกันบ่อยครั้ง ผมจะพยายามใช้ชื่อเป็นฝรั่งเศสเช่น ‘อองรี’ (Henry)ถ้าเป็นกษัตริย์ฝรั่งเศส และใช้ชื่อเรียกเป็นภาษาอังกฤษถ้าเป็นกษัตริย์อังกฤษ เช่น ‘เฮนรี่’( Henry)

City Break Paris Louvre Museum 2

ผลงานชิ้นสำคัญที่สุดของ Lescot ก็คือ Cour Carrée (Square Court, 1546-1551) ลานจัตุรัสของ Louvreด้านใน และ Hôtel Carnavalet (1545-1550 ) รวมทั้ง Lescot’s Fontaine des nymphes(1549), หรืออีกชื่อคือ Fontaine des innocents น้ำพุผู้ไร้เดียงสา (1547-1549) ดูภาพด้านบน ซึ่งถือเป็นน้ำพุที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งในกรุงปารีส Credit:Pic from Wikipedia

จากนั้นอองรีที่สองก็ทำลายและสร้างกำแพงด้านใต้ขึ้นใหม่ (1553-1556) โดยมีมุมที่สร้าง king’s pavilion มุขของกษัตริย์ ทำให้ตอนนั้นอาคารมีความหลากหลายไม่เหมือนกันเนื่องจากทั้งสองด้านเป็นพระราชวังสไตล์เรอเนซองส์และอีกสองแห่งยังคงเป็นปราสาทยุคกลางที่มีกำแพงป้อมและหอคอย

ต่อมากษัตริย์อองรีที่ 2 สิ้นพระชนม์ไป พระมเหสีพระองค์ซึ่งก็คือ พระราชินีแคทเธอรีนเดอเมดิชิ (Catherine de Medici) พระนางเป็นชาวอิตาเลี่ยนจากเมืองฟลอเร็นซ์ ต้นกำเนิดสถาปัตยกรรมแบบเรอเนซองส์ของจริงซึ่งมักมาพร้อมกับสวนอิตาเลี่ยนแบบเรอเนซองส์ซึ่งยิ่งใหญ่อลังการ พระนางก็เลยอยากได้พระราชวังเรอเนซองส์แท้ๆ พร้อมสวนแบบอิตาเลี่ยนบ้าง พระนางทรงให้สร้าง พระราชวัง Tuileries ที่มีต้นแบบมาจากพระราชวัง Pitti และสวน Boboli ที่พระนางคุ้นเคยตอนอยู่ที่เมืองฟลอเร็นซ์ (แม้ว่าตอนนั้นพระนางอยู่ที่พระราชวังเก่าหรือ Palazzo Vecchio) และเพื่อให้ได้วิวสวยๆ ของแม่น้ำเซนจึงต้องมี Grande Galerie “แกลเลอรี่ตามแนวแม่น้ำ” มันเหมือนเป็นการต่อขยายจากอาคาร Louvre ส่วนเลส์โก้วิง (Lescot Wing) ที่สร้างไว้แล้ว ( แต่มาเสร็จสมบูรณ์ในยุคสมัยของพระเจ้าอองรีที่ 4)

City Break Paris Louvre Museum 12

ภาพด้านบนคือ Palazzo Pitti พระราชวังเรอเนซองซ์ยุคแรกถือเป็นต้นแบบของพระราชวังต่างๆ ในยุโรป ซึ่งมีสวน Boboli ถือเป็นสวนอิตาเลี่ยนแบบเรเนซองซ์ (Italian Renaissance garden) มีต้นแบบมาจากสวนโรมัน พระราชวังนี้สร้างโดย Luca Pitti ซึ่งเป็นคหบดีคู่แข่งกับตระกูล Medici ที่ยิ่งใหญ่ของเมืองฟลอเร็นซ์ซึ่งพำนักอยู่ที่ Palazzo Vecchio แต่เนื่องจากการเมืองทำให้พระราชวังนี้ตกเป็นของตระกูลMedici ในที่สุด มีบทบาทไม่ต่างกับ Louvre เพราะเคยเป็นวังแล้วปัจจุบันกลายเป็นพิพิธภัณฑ์ที่ยิ่งใหญ่ของอิตาลีโดดเด่นเรื่องงานศิลปะของยุคเรอเนซองส์

แน่นอนว่าพระราชวังนี้มาพร้อมกับสวนตุยเลอรี Tuileries ที่ยิ่งใหญ่ พระนางสั่งให้ใช้ landscape architect จากเมืองFlorence ที่ชื่อ Bernard de Carnesse, ให้สร้างสวนในสไตล์ Italian Renaissance garden, มีน้ำพุ มีรูปปั้น และถ้ำ ไม้ดัด รวมทั้งทางกลแบบ labyrinth แต่ต่อมาในสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ท่านก็ทรงให้ เปลี่ยนเป็นสวนแบบฝรั่งเศสโดยให้ landscape architect ที่ชื่อ André Le Nôtre, ผู้ที่เป็นหลานของคนจัดการเรื่องสวนในสมัยพระนางแคธอรีนนั่นแหละที่ชื่อ Pierre Le Nôtre ทั้งนี้หลานของตาปิแอร์ได้ไปสร้างชื่อมาแล้วจากการไปออกแบบสวนให้พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ที่พระราชวังแวร์ซายย์

ดูจากรูปด้านล่างจะทำให้เราเข้าใจพัฒนาการของพระราชวังลูฟร์ในยุคสมัยต่างๆตามที่เล่ามาจนจบยุคของพระเจ้าอองรีที่ 4

City Break Paris Louvre Museum 4

Credit:Pic from Wikipedia

แต่จริงๆแล้วไม่แน่ใจว่าสาเหตุของการก่อสร้างพระราชวัง Tuileries นั้น เพราะพระนางต้องการลืมช่วงเวลาหรือวังเก่า Chateau of Tournelles ซึ่งเคยประทับอยู่กับพระสวามีหรือไม่เนื่องจากพระเจ้าเฮนรี่ที่ 2 ในช่วงหลังไม่สนพระทัยใครเลยนอกจากพระสนมเอกที่ชื่อ ดีอาน จากเมืองปัวติเอ Diane de Poitiers ที่มีเสน่ห์และมีความฉลาดแหลมคม เป็นผู้ร่างจดหมายและบทสุนทรพจน์ให้พระองค์ ถึงขนาดที่ตัดบทบาทพระราชินีแคทเธอรีนออกไปจากงานราษฎรงานหลวง นอกจากนั้นยังได้ยกปราสาทกลางแม่น้ำเชอร์(Cher) ที่ชื่อเชนองโซ Château de Chenonceau ที่งดงามและเป็นทรัพย์สินของกษัตริย์ให้ไปทั้งที่รู้ว่าพระราชินีแคทเธอรีนอยากได้มาเป็นทรัพย์ส่วนพระองค์มานานแล้ว ในขณะที่ดีอานก็มีปราสาทอเนต์ Château d’Anet ที่อยู่ใกล้เมือง Dreux ซึ่งทรงประทานให้ก่อนหน้านี้

City Break Paris Louvre Museum 3

รูปนี้ชื่อว่า A Lady in Her Bath วาดโดย François Clouet ว่ากันว่านางแบบในรูปก็คือ Diane de Poitiers

แต่ครั้นเมื่อพระเจ้าอองรีที่ 2สวรรคต เธอก็เริ่มตกต่ำ เพราะพระนางแคทเธอรีนขึ้นเป็นผู้สำเร็จราชการของฝรั่งเศสเนื่องจากองค์รัชทายาทสืบราชวงศ์ซึ่งเป็นโอรสของพระนางเองยังทรงพระเยาว์จึงเกิดดราม่าบังคับยึดปราสาทเชนองโซคืนมาเป็นของพระองค์ แต่ก็ยังใจดียกปราสาทโชมองท์ Château de Chaumont ให้เป็นการแลกเปลี่ยน ต่อมาในปี 1566 ดีอานก็เสียชีวิตว่ากันว่ามีสาเหตุมาจากการที่เธอบริโภคทองคำเปลว เพราะมีความเชื่อว่าจะทำให้คงความสาวสวยไม่แก่ มาตั้งแต่เป็นสนมเอกของพระเจ้าอองรีที่ 2

City Break Paris Louvre Museum 1

ภาพบนคือ ปราสาทกลางแม่น้ำเชอร์ (Cher) ที่ชื่อเชนองโซ Château de Chenonceau

เราคงต้องจบตอนนี้ไว้ในยุคของพระนางแคธรินเดอเมดิชิก่อนครับ แม้ว่าเรื่องราวของพระราชวัง Tuileries ส่วนต่อขยายของ Louvre ยังไม่จบดี จะมีต่อในตอนหน้าครับ