ก้าวใหม่ของ Donna Karan และ Makeup Backstage ฝีมือคนไทย

ดอนน่า คาราน (Donna Karan) ดีไซเนอร์ฝีมือเก๋าที่สร้างแบรนด์ของตัวเองเมื่อ 31 ปีที่แล้วในชื่อของตัวเอง Donna Karan หลังฝึกปรือฝีมือเป็นผู้ช่วยดีไซเนอร์กับห้องเสื้อ Anne Klein อยู่หลายปี จนปี 1974 แอนน์ ไคลน์เสียชีวิตมีการเปลี่ยนหัวหน้าดีไซเนอร์ คารานจึงลาออกมาเปิดห้องเสื้อของตัวเองชื่อว่า Essential ในปี 1985 ต่อมาปี 1988 เธอสร้างแบรนด์ของตัวเองในชื่อ Donna Karan New York และ DKNY ไลน์เสื้อผ้าสายวัยรุ่น อีก 2 ปีก็มี DKNY Jeans และ DKNY Men ในปี 1992

 

dkny-01

dkny-02

dkny-03

 

เธอลาออกจากการเป็นซีอีโอแต่ยังคงเป็นดีไซเนอร์และประธานบริษัทอยู่หลัง Moët Hennessy Louis Vuitton (LVMH) เข้าซื้อเมื่อปี 2001 พอปี 2015 เธอก็ตัดสินใจอำลาตำแหน่งทั้งหมดเพื่อไปทุ่มเทให้กับแบรนด์ใหม่ ‘Urban Zen’ ที่จริงๆ แล้วริเริ่มทำมาตั้งแต่ปี 2008 กับดีไซเนอร์ซอนย่า นัททอล (Sonja Nuttall) โดยล่าสุดได้เดินโชว์ครั้งแรกที่ New York Fashion Week ไปเมื่อกลางเดือนกันยายนที่ผ่านมา เสื้อผ้าแบรนด์นี้นำเสนอในสไตล์เรียบง่ายแต่ทันสมัย มีกลิ่นอายตะวันออกผสานตะวันตก มีทั้งชุดกระโปรงเจอร์ซี่, กางเกงทรงจ๊อดปูร์หลวมๆ, เสื้อกิโมโนผ้าไหมพองๆ, ผ้าพันคอผืนโตและเครื่องดับทำจากหนัง ส่วนใหญ่ดีไซน์มาในโทนสีน้ำตาลช็อกโกแลต, สีแดงไวน์ และสีดำคลาสสิก

 

dkny-04

dkny-05

 

แต่มีอะไรมากกว่าการโชว์เสื้อผ้าครั้งแรกในชื่อใหม่ของดอนน่า คารานก็คือความภาคภูมิใจของคนไทยอย่างเราๆ เพราะเบื้องหลังการสร้างสรรค์สีสันบนใบหน้านางแบบตาน้ำข้าวทั้งหลาย หัวหน้าเมกอัพอาร์ติสท์ (Head Makeup Artist) ที่ควบคุมและดูแลสไตล์การแต่งหน้าทั้งหมดของนางแบบเป็นคนไทย (จะดีใจและภูมิใจน้อยกว่านี้ได้อย่างไร?) และเมกอัพอาร์ติสต์คนไทยคนนั้นชื่อว่า แบงค์ ณัฐดนัย บุณยรัตผลินหรือ Bank Natdanai โดยแบงค์ได้ประชุมและปรึกษาคอนเซ็ปต์กับดอนน่า คารานว่าต้องการสไตล์ไหน ซึ่งคอนเซ็ปต์เมกอัพคือ ‘Ethnic’ ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากผู้หญิงอินเดียที่ใช้ดินสอเขียนขอบตาสีดำเข้มหรือที่เรียกว่าคาจาล (Kajal) เขียนขอบตานางแบบ ส่วนผิวหน้าก็ให้ดูเนียนเป็นธรรมชาติ ไม่ใช้แป้ง ปัดแก้มเบาๆ ด้วยสีน้ำตาลอมชมพู เรียวปากใช้สีน้ำตาลอมชมพูเช่นกัน นอกจากทำแบ็คสเตจที่แบงค์เลือกใช้ทีมงานผู้ช่วยเป็นคนไทยทั้งหมดแล้ว ได้ยินมาว่าดอนน่ายังให้แบงค์ไปแต่งหน้าให้กับนางแบบเพื่อทำ Look Book อีกด้วยนะคะ ปลื้มใจแทนแบงค์จริงๆ หลายคนคงสงสัยว่าแบงค์ ณัฐดนัยเป็นใครถึงได้ไปร่วมทำงานที่นั่น

 

dkny-08

dkny-07

dkny-06

dkny-10

 

แบงค์เป็นหนึ่งในคนที่ไปตามล่าหาฝันที่ตั้งใจว่าอยากเป็นช่างแต่งหน้าฝีมือดี หลายปีแล้ว (ไม่ต่ำกว่า 6-7 ปี) ที่แบงค์ไปตามล่าฝันไกลถึงนิวยอร์กกว่าจะมาได้ถึงจุดนี้ นอกจากแบงค์จะทำงานที่นิวยอร์กแล้วเวลากลับมากรุงเทพก็มาร่วมทำงานกับนิตยสารที่นี่อย่าง L’Officiel Thailand, Women’s Health Thailand, Harper’s Bazaar Thailand, Lips และอีกมากมาย แถมยังเป็นครูสอนแต่งหน้าอีกด้วย

นอกจากชื่นชมยินดีกับหนึ่งความสำเร็จของคนไทยแล้วแฟชั่นโชว์ครั้งนี้ของ Urban Zen ที่มีคอนเซ็ปต์ See-Now-Shop-Now จบโชว์ช้อปได้ รวดเร็วทันใจ ซึ่งเป็นคอนเซ็ปต์ใหม่สุดฮิตของหลายๆ แบรนด์ที่นิวยอร์ก หลังจากมีคอนเซ็ปต์นี้ไปแล้วเมื่อต้นปีที่ผ่านมาค่ะ

 

(ภาพ: Bank Natdanai; richestcelebrities.org; livingly.com; observer.com; chaos-mag.com; wwd.com )

พาชมคอลเล็กชั่นจากนอกโลก โดย Charlotte Olympia …และ Berbie!

charlotte-olympia-05

charlotte-olympia-06

charlotte-olympia-08

แว็บเห็นความวิบวับของรองเท้า Charlotte Olympia แล้วก็ได้แต่แสบตา ระคนความตื่นเต้น แต่พอได้ยินได้ฟังเท่านั้น ความตื่นตาตื่นใจก็มาปะทุ เพราะคอลเล็กชั่นหน้าหนาวนี้ ชาลอตต์ โอลิมเปีย ออกแบบมาจากนอกโลก โดยมีมนุษย์ต่างดาวชื่อ ซีโอน่า เป็นลูกมือ!

ก็เขียนให้เว่อร์วังไปอย่างนั้นเอง เพราะที่จริง ซีโอน่า เป็นชื่อของกระเป๋าใส่สตางค์รูปเอเลี่ยนน่ารัก ซ่อนอยู่ในยานยูเอฟโอ ซึ่งก็คือกระเป๋าเป้ ที่ออกแบบเป็นรูปจานบินสุดจะมุ้งมิ้ง และเพื่อให้เข้ากับกระเป๋าเป้เอเลี่ยน หรือจะเป็นกระเป๋าคลัทซ์ที่ออกแบบงาน 3D เป็นรูปจรวด โดดเด่นท่ามกลางหมู่ดาว และถ้าจะให้ดี ต้องสวมคู่กับรองเท้าส้นสูงดาวเด่นของซีซั่น มีชื่อเรียกเก๋ไก๋ว่า Miss Universe ความพิเศษคือส้นรูปดาวเคราะห์ต่างดาวสีชมพู ที่สเปรย์สีด้วยมือทุกคู่ เรียกว่า มีครบทั้งกระเป๋าและรองเท้า ก็พร้อมบินไปนอกโลก

charlotte-olympia-01

charlotte-olympia-02

charlotte-olympia-07

คอลเล็กชั่นหน้าหนาว 2016 ชาลอตต์ ตั้งชื่อให้ว่า “The Girl Who Feel To Earth” ในเมือสาวจากต่างดาวจะมาฟีลโลก เลยทำให้หลายๆ ไอเท็ม เต็มไปด้วยความวิบวับกลิตเตอร์แบบกาเล็กซี่ แน่นอนที่สุดคือรองเท้าที่ประดับด้วยคริสตัสและผงเพชรหลากสี เมทาลิกเงิน ผงทอง และอเมทิสต์

charlotte-olympia-03

charlotte-olympia-04

ปิดท้ายกันด้วยคอลเล็กชั่นที่ ชาลอตต์ นำคาแรกเตอร์ของเธอเอง ขมวดเกลียวกลายร่างเป็นตุ๊กตาบาร์บี้ ที่ผลิตออกมาจำนวนจำกัดสุดๆ เพียง 2700 ตัวทั่วโลก และนำมาจำหน่ายที่บูติกชาลอตต์ โอลิมเปีย เพียง 18 ตัว โดยบาร์บี้ชาร์ลอตต์ หิ้วกระเป๋าโบการต๋สีแดงสด รองเท้าส้นสูงรุ่นดอลลี และรองเท้าคิตตี้ และรองเท้ารุ่นอีฟมาให้สลับสับเปลี่ยน กระเป๋าคลัชต์ใสรุ่นแพนโดรา กระเป๋ารุ่นบานาน่า เครื่องสวมศรีษะโลโก้ใยแมงมุม ต่างหูใยแมงมุม แว่นกันแดดแคตอายและกล่องรองเท้า พร้อมกับเสื้อดาวบรูซคาบถุงช้อปปิ้ง

charlotte-olympia-09

 

และเพื่อเอาใจคนรักบาร์บี้ให้ยิ่งรักขึ้นไปอีก ชาลอตต์ จึงออกแบบรองเท้าส้นสูงสีชมพูประดับขนนกมาราบูและรูปหน้าบาร์บี้ ให้ชื่อว่า Barbie Girl พร้อมกับกระเป๋าคลัชต์สีชมพู ประดับชิ้นแม่เหล็กที่เป็นเครื่องสำอางของบาร์บี้ ให้ชื่อว่า Barbie World

เข้าไปที่บูติกชาลอตต์ โอลิมเปียทีไร ต้องมีเรื่องสนุกๆ ติดไม้ติดมือกลับมาทุกครั้ง!

charlotte-olympia-10

 

 

คู่หูดีไซเนอร์หน้าใหม่แต่ฝีมือเก๋ารับช่วงต่อ Oscar de la Renta

พักนี้ กระแสดีไซเนอร์หน้าใหม่ ไฟแรงแต่ฝีมือเก๋ามาแรงจริงๆ ค่ะ ขนาดห้องเสื้อตำนานอย่างออสการ์ เดอ ลา เรนต้าก็ไม่พ้นกระแสฮอตนี้ไปด้วย ล่าสุดมีอัพเดทข่าวออกมาถึงคนคุมบังเหียนคู่ใหม่ออกมาแล้ว

หลังจากดีไซเนอร์ผู้เป็นหนึ่งในตำนานของวงการแฟชั่นอย่างออสการ์ เดอ ลา เรนต้า (Oscar de le Renta) เสียชีวิตไปและคนที่รับช่วงต่ออย่างปีเตอร์ คอปปิ้ง (Peter Copping) ครีเอทีฟ ไดเร็กเตอร์ที่ได้รับเลือกมาดูแลแทนเมื่อกว่าสองปีที่แล้ว

 

oscar-de-la-renta-02

oscar-de-la-renta-01

 

แต่ล่าสุด มีข่าวอัพเดทออกมาว่าปีเตอร์จะอำลาตำแหน่งพร้อมส่งมอบมงกุฎนี้ให้กับสองดีไซเนอร์หน้าใหม่แต่ฝีมือไม่ใหม่ที่จะมาเป็นโค-ครีเอทีฟ ไดเร็กเตอร์ ลอร่า คิม (Laura Kim) และเฟอร์นานโด้ การ์เซีย (Fernando Garsia) แล้วสองคนนี้เป็นใครมาจากไหนถึงได้รับความไว้วางใจให้คุมแบรนด์ใหญ่และมีตำนานยาวนานแห่งนี้ ทั้งสองคนตอนนี้เป็นดีไซเนอร์ของห้องเสื้อมอนเซ (Monse) แบรนด์เสื้อที่เพิ่งเปิดได้แค่ 9 เดือนเท่านั้นแต่ได้รับการตอบรับมากมายจากบรรดาบรรณาธิการ บายเออร์และลูกค้าอย่างนักร้องสาว เซเลน่า โกเมซ (Selena Gomez) เลดี้กาก้า (Lady Gaga) หรือดาราสาว เจสซิก้า บีล (Jessica Biel) บรี ลาร์สัน (Brie Larson) อลิสัน วิลเลี่ยมส์ (Allison Williams) ก็เป็นแฟนคลับ

 

oscar-de-la-renta-04

oscar-de-la-renta-03

 

สองคนไม่ใช่ดีไซเนอร์มือใหม่นะคะ ลอร่าเคยทำงานให้กับเดอ ลา เรนต้ามาตั้งแต่ปี 2003 แล้วในตำแหน่งดีไซน์ ไดเร็กเตอร์ ส่วนเฟอร์นานโด้เข้ามาทำงานกับเดอ ลา เรนต้าเมื่อปี 2009 เป็นผู้ช่วยดีไซเนอร์ อีกทั้งยังรับตำแหน่งที่ปรึกษาให้กับแบรนด์คาโรลิน่า เฮอร์เรร่า (Carolina Herrera) อีกด้วย โดยจากนี้ไปทั้งคู่จะมารับหน้าที่อันยิ่งใหญ่จริงๆ แล้วล่ะ อเล็กซ์ โบเลน (Alex Bolen) ซีอีโอเผยว่า “ทั้งคู่ทำงานกับห้องเสื้อนี้มานานและมีฝีมือที่มร.เดอ ลา เรนต้ายอมรับ” โดยหน้าที่รับผิดชอบดูคอลเล็กชั่น Ready-to-Wear, เอ็กเซสซอรี่, เสื้อผ้าเด็กและชุดเจ้าสาว

 

oscar-de-la-renta-06

Monse Fall 2016

 

oscar-de-la-renta-05

Monse Resort 2017

 

ถึงจะมารับตำแหน่งสำคัญแต่ก็ยังคงทำห้องเสื้อมอนเซควบคู่ไปด้วย ลอร่าและเฟอร์นานโด้บอกว่า “เราตื่นเต้นมากที่จะได้กลับไปที่ออสการ์ เดอ ลา เรนต้าอีกครั้งที่ๆ เราได้เรียนรู้แฟชั่นพร้อมๆ กับรู้เรื่องการตลาดจากอเล็ก เราจะใช้ความรู้จากสิ่งที่ได้รับมาก่อนหน้ามาทำให้ห้องเสื้อแห่งนี้มีอะไรที่น่าสนใจมากขึ้นและเป็นที่ยอมรับ”

อดใจรอชมฝีมือของทั้งสองอีกนิดกับคอลเล็กชั่นฤดูใบไม้ร่วง/ ฤดูหนาว (Fall/Winter 2017) ของออสการ์ เดอ ลา เรนต้าที่จะโชว์เดือนกุมภาพันธ์ปีหน้าว่าจะสมการรอคอยหรือไม่ ส่วนตุลาคมนี้จะเป็นฝีมือจากดีไซเนอร์ห้องเสื้อไปก่อนค่ะ

 

 

เครดิตภาพ: www.fashionisers.com; www.vanityfair.com; fashionista.com; www.thefashionlaw.com; fashionunited.es; www.pinterest.com; fashionbombdaily.com; stylecaster.com; www.livingly.com

Michael Kors Ready-to-Wear, Ready to Go คืนนี้!

 

รอชมแฟชั่นโชว์ Michael Kors สุภาพสตรี คอลเล็กชั่นฤดูใบไม้ผลิและร้อน 2017 จากกรุงนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา พร้อมกันทั่วโลก และในไทย คืนนี้ (14 กันยายน 2559) เวลา 21.00 น.

นอกจากจะได้ชมแฟชั่นโชว์สดตรงจากนิวยอร์ก คราวนี้ไมเคิล คอร์ส ยังเปิดโอกาสให้ผู้ชม ทั้งจากที่รันเวย์ และที่ชมจากทางบ้าน สามารถเดินเข้าไปซื้อที่ช็อปไมเคิล คอร์ส ที่ถนนเมดิสัน และบลีคเกอร์ กรุงนิวยอร์ก หรือซื้อผ่านเว็บไซด์ MichaelKors.com (เฉพาะที่อเมริกา) หรือสำหรับบ้านเรา ก็แค่แวะไปสั่งที่ช็อป เซ็นทรัลเอ็มบาสซี เอ็มควอเทียร์ และกำลังจะเปิดที่เซ็นทรัลเวิลด์ ทันทีหลังจบโชว์

ไมเคิล คอร์ส เรียกการช้อปปิ้งรันเวย์ข้ามฤดูแบบนี้ว่า Ready-to-Wear, Ready to Go โดยให้เหตุผลว่า ณ วันที่โชว์คอลเล็กชั่นเสื้อนี้อยู่ (ที่เมืองนอกเป็นฤดูใบไม้ร่วง) อากาศก็ยังอบอุ่นพอที่จะให้คุณสวมเสื้อผ้าใบไม้ผลิ (ปีหน้า) อากาศดี แดดดี จะมัวรออะไรอยู่ล่ะ ถ้าจะไปช้อปปิ้งเสื้อผ้าปีหน้ามาสวมปีนี้กันเลย หรือจะรอไปสวมปีหน้าก็ไม่ว่ากันเช่นกัน

แต่ทั้งนี้และทั้งนั้นก็เป็นเพราะตอบรับกระแส see now, buy now ที่หลากหลายแบรนด์เสื้อเริ่มทำในซีซั่นนี้กัน ต่างกันตรงที่ “เห็นเลย ช้อปเลย” จะเดินรันเวย์ตรงฤดูกาล อย่างตอนนี้ก็คือฤดูใบไม้ร่วง และหนาว 2016 จบโชว์ ก็ไปช้อปต่อกันที่ร้านได้ทันที ตัดปัญหาทันที่เริ่มโชว์ ภาพรันเวย์ก็แพร่ไปทั่วทั้งโลกด้วยฤทธิ์เดชของอินเตอร์เน็ต กว่าลูกค้าจะรอซื้อก็อีก 6 เดือน ระหว่างนั้นของก็อปเกรดเอก็ตามมาอย่างรวดเร็ว ไหนเลยเมื่อโลกหมุนไวขนาดนี้ ก็ช้อปเลยสิ!

พลังการช้อปปิ้งเปลี่ยนโลกแฟชั่น และตารางแฟชั่นโชว์โลกให้ปั่นป่วนได้ขนาดนี้

“The View From Her” มองโลก Hermes ผ่านดวงตาเธอ

คลิปวิดีโอแนะนำ The View From Her

 

the-view-from-her-29

อุโมงค์สีส้ม ทางเข้างาน The View Form Her

 

the-view-from-her-43

 

แอร์เมส (Hermes) นำเสนอเรื่องราวของเสื้อผ้า เครื่องหนัง และเครื่องประดับคอลเล็กชั่นฤดูใบไม้ร่วงและหนาว 2016 ผ่านมุมมองจากผู้หญิงในแบบแอร์เมส ผ่านงานแสดง และนิทรรศการ “The View From Her” ที่กรุงปักกิ่ง ประเทศจีน

ทุกคอลเล็กชั่น นอกเหนือจากแสดงแฟชั่นในตารางปารีสแฟชั่นวีคแล้ว แอร์เมส ก็ยังจะได้จัดงานแสดงคอลเล็กชั่นเสื้อผ้า เครื่องหนัง และเครื่องประดับ หมุนเวียนเปลี่ยนไปตามเมืองหลักต่างๆ ภายใต้โปรเจ็กต์ Women’s universe สะท้อนถึงโลกของผู้หญิงในแบบของแอร์เมสนั้นเป็นอย่างไร เพื่อให้แฟนคลับแอร์เมส สื่อมวลชน และคนทั่วไป ได้เข้าในถึงความเป็นแอร์เมส คราวนี้ถึงคิวของกรุงปักกิ่ง ที่ซึ่ง The Editors Society จะพาไปชมโลกของแอร์เมส ผ่านมุมมองของเธอ The View From Her ซึ่งก็คือการตีความว่าเธอคนนั้น มองแอร์เมสไว้ว่าอย่างไรบ้าง ไม่ใช่แค่เสื้อผ้า เครื่องหนัง และเครื่องประดับ หากรวมถึงบรรยากาศ การตกแต่ง และอาหารการกิน ภายใต้การควบคุมของ Bali Barret ผู้อำนวยการฝ่ายศิลป์ของโปรเจ็กต์ Women’s Universe

 

the-view-from-her-31

บริเวณโถงรับรอง หรือ Vision Room

 

เริ่มต้นการเดินทางครั้งนี้ ยังสถานที่จัดงาน Beijing Minsheng Art Museum ซึ่งก็ถือว่าอยู่ในย่านเดียวกับ 798 Art District ศูนย์กลางและย่านอยู่อาศัยของผู้นิยมงานศิลปะของกรุงปักกิ่ง ใครรักงานศิลปะ ขอให้พุ่งตัวมาที่นี่ เพราะมีงานศิลป์แทบทุกรูปแบบที่นึกออก อัดแน่นกันอยู่ในย่านนี้ อันนี้ต้องยอมเขาในเรื่องความทุ่มเท และความอยากให้คนของเขาอุดมศิลปะจริงๆ ตัวพิพิธภัณฑ์โมเดิร์นมาก เสียดายที่มาถึงมืดค่ำเพราะฝนตกแบบไม่ลืมตา ปักกิ่งน้ำท่วมก็ได้เห็นคราวนี้ สถานที่จัดถูกเนรมิตให้รู้สึกว่ากำลังเข้าไปในโลกของแอร์เมส ผ่านอุโมงค์ทางเข้าสีส้มแบบอสมมาตร เมื่อเข้าไปแล้ว จะพบห้องโถงรับรองขนาดใหญ่ เรียกว่า Vision Room มีจุดเด่นที่เสารูปดวงตา ประหนึ่งสารบัญบอกว่า โลกของเธอคนนี้จะมองอะไรบ้าง

 

the-view-from-her-32

the-view-from-her-33

ดีเทลงานออกแบบเครื่องแต่งกาย Hermes โดย Nadege Vanhee-Cybulski ภายในห้อง Secret Drawers

 

the-view-from-her-05

"Ensemble for Nine Dresses", created by Lucinda Childs #TheViewFromHer

A video posted by THE EDITORS SOCIETY (@theeditorssociety) on

การแสดง Ensemble for Nine Dresses ออกแบบโดย Lucinda Childs และคลิปวิดีโอการแสดงจากอินสตาแกรม The Editors Society

 

ไม่มีเวลาลำไย เพราะผลพวงรถติดหนัก จึงเลี้ยวซ้ายเข้าห้องแสดงแรก Secret Drawers จัดแสดงเดรส 9 ชิ้นจากคอลเล็กชั่นฤดูใบไม้ร่วงและหนาว 2016 ออกแบบโดย Nadege Vanhee-Cybulski ดีไซน์เนื้อเสื้อผ้าสตรีแอร์เมส ที่แต่ละชิ้นนั้นมีการทอลายในตัวเดรสอย่างมีชั้นเชิง และแสดงเทคนิค bias-cut อันเกิดจากทักษะการออกแบบอย่างเชี่ยวชาญอย่างใกล้ชิดแบบลูบได้ คลำได้ด้วย (แต่หยิบขึ้นมาลองไม่ได้) จากนั้นเข้าไปชมการแสดงในห้องติดกัน Ensemble for Nine Dresses ที่นำเดรสทั้ง 9 ชิ้นนั้น มาแสดงให้เห็นความพลิ้วไหวยามเคลื่อนไหว บนร่างของนักบัลเลย์ร่วมสมัย ผสมผสานกับไปภาพวิดีโอในเทคนิคสามมิติอย่างน่าตื่นตา ภายใต้การสร้างสรรค์ของ Lucinda Childs โคโรกราฟเฟอร์ชื่อดังชาวอเมริกา

 

the-view-from-her-40

กระเป๋าทรงโค้งอานม้าหนังจระเข้ประดับหินมีค่า ภายในห้อง Mineralogy Unmined

 

the-view-from-her-03

the-view-from-her-07

สื่อผสมวิดีโอ และผ้าพันคอผ้าไหม ภายในห้อง Hypnotic Square

 

จบการแสดงราว 20 นาที ก็มาต่อกันที่ห้อง Mineralogy Unmined อันเป็นห้องแสดงกระเป๋า นาฬิกา และจิลเวลรี่สุดหรูของแบรนด์ ที่แยกกันไปตามธาตุดินน้ำลมไฟ ห้องนี้จัดแต่งราวกับดูงานศิลปะชิ้นสำคัญในมิวเซียมสุดหรู ซึ่งต้องขอเล่าเพิ่มว่า ทุกปีแอร์เมส จะกำหนดแนวทางการสร้างสรรค์และการสื่อสารที่แตกต่างกันไป ทำให้ทุกปี เวลาเราเห็นตั้งแต่การออกแบบเสื้อผ้า เครื่องประดับ ตลอดจนวินโดว์ดิสเพลย์ หรือแคมเปญโฆษณา จะต้องมีกลิ่นของแนวทางหลักนั้น เช่นกันปีนี้แอร์เมสกำหนดให้เป็น Nature at Full Gallop ทำให้ทุกอย่างที่เห็นในงานนี้ เต็มไปด้วยกลิ่นอายธรรมชาติ และเรื่องราวการขี่ม้า ที่จะได้เห็นต่อไป

ไม่ไกลกันคือห้อง Hypnotic Square จัดแสดงวิดีโอกราฟิก คู่กันกับคอลเล็กชั่นผ้าพันคอผ้าไหม 10 ผืน ผ้าพันที่นำมาจัดแสดงขนาด 90 x 90 ซม อันเป็นขนาดมาตรฐานของผ้าพันคอแอร์เมส ที่ได้รับความนิยมมากที่สุด โดยคัดสรรลายเด่นๆ จากฤดูกาลล่าสุดมาจัดแสดง

 

the-view-from-her-01

the-view-from-her-15

the-view-from-her-16

the-view-from-her-06

การแสดงดนตรีโดย Sophie Auster (รูปบน) และบรรยายกาศภายในห้อง Studs in Space

 

เดินย้อนกลับออกมา เพื่อไปยังห้องจัดแสดงฝั่งขวามือ ทางเข้าเล็กๆ สีเขียวๆ แต่สุดทางกลับเจอพื้นที่ขนาดใหญ่สุด Studs in Space ที่ตกแต่งพื้นผนังทั้งหมดด้วยหมุดโลหะ แบบเดียวกับคอลเล็กชั่นเสื้อผ้า กระเป๋า และเครื่องประดับหนัง ที่ตกแต่งด้วยหมุดโลหะเช่นกัน พื้นที่ตรงกลางเป็นเวทียกพื้นเตี้ยเพื่อรอการแสดงดนตรีของ Sophie Auster นักร้องชาวอเมริกัน

 

the-view-from-her-35

ปีนป่ายกับการแสดง ณ Vertical

 

the-view-from-her-13

the-view-from-her-18

การแสดงภายในห้อง Twillaine Techniques แสดงการสร้างสรรค์ลายผ้าไหม

 

ติดกันกับห้องหมุดเงิน เป็นพื้นที่จำลองแบบหน้าผา Vertical จัดแสดงรองเท้ากีฬาหนังในแบบคลาสสิกของแอร์เมส พร้อมการแสดงผาดโผนโชว์การไต่ผนังและรองเท้ากีฬา อันว่าสนีกเกอร์แอร์เมส เลื่องลือกันไปทั่วว่านุ่มเท้าเป็นที่สุด ถัดมาเป็นห้องเล็กๆ มีการแสดงและจัดแสดงงานสร้างสรรค์ลวดลายบนผ้าไหมที่เรียกว่า Twillaine Techniques อันเป็นเทคนิคเฉพาะของแอร์เมส ที่ใช้กับงานผ้าไหมทั้งกับผ้าพันคอ หรือที่นำมาออกแบบเครื่องแต่งกาย ออกแบบการแสดงโดย Lucinda Childs สำหรับลวดลายที่ใช้บนการแสดงนี้มีชื่อเรียกว่า Palmes Royales เป็นรูปใบปาล์ม และดวงดาวน่าสอยนัก!

 

the-view-from-her-08

the-view-from-her-20

the-view-from-her-25

เครื่องหนังและเครื่องประดับที่ได้กลิ่นอายจากม้า สัญลักษณ์แบรนด์แอร์เมส

 

ถัดมาคือ Thoroughbred เขานำคอกม้ามาจัดแสดงครบทั้งโรงม้า และกลิ่นคอกม้า! ทำเอาเวียนหัว! ในแต่ละคอกม้า ตกแต่งด้วยเครื่องหนังคอลเล็กชั่นล่าสุด ให้พินิจกันแบบเพลินๆ พื้นที่ทั้งหมดของห้องนี้ อุทิศให้ความเป็นแอร์เมส ที่มาพร้อมกับตำนานของม้า สะท้อนผ่านเสื้อผ้า เครื่องหนัง นาฬิกา รองเท้า ผ้าพันคอ ไปจนถึงน้ำหอม Gallop ที่จะเปิดตัวปีหน้า แต่ที่เด่นสุดเห็นจะไม่พ้นเครื่องประดับ จากการสร้างสรรค์ของ Pierre Hardy

 

the-view-from-her-11

the-view-from-her-44

the-view-from-her-28

สีสัน และกิจกรรมแข่งม้า ภายในบริเวณ At The Races

 

At the Races ชื่อห้องก็บอกอยู่แล้วว่าเป็นเรื่องของความเร็ว ตกแต่งให้เหมือนงานวัดแบบฝรั่งที่เต็มไปด้วยสีสัน ไฮไลต์คงหนีไม่พ้นเครื่องประดับลงยาหลากสีสัน ลวดลายผ้าพันคอจี๊ดจ๊าด รวมทั้งกระเป๋าหลากหลายสี และเกมแข่งม้าให้ร่วมประลองฝีมือความไวและความแม่น

 

the-view-from-her-38

the-view-from-her-09

the-view-from-her-37

เต็มไปด้วยลายตารางสีส้มส้ม ภายในบริเวณ Tattersall Vroom Room

 

ห้องสุดท้าย Tattersall Vroom Room เป็นห้องเล็กๆ ต้องสังเกตจึงจะเห็นทางเข้า ห้องนี้ออกแบบพื้น ผนัง และเครื่องแต่งห้องทั้งหลาย อาทิ รถยนต์ และมอเตอร์ไซค์ เป็นลายตารางสีส้มทั้งหมด ให้อารมณ์ย้อนกลับไปยังยุค’50s เพื่อนำเสนอเทรนด์ลายตาราง และลายทางในแบบฉบับของแอร์เมส

 

the-view-from-her-19

the-view-from-her-36

ขนม และเครื่องดื่มส่วนหนึ่งภายในงาน ที่ออกแบบมาสำหรับผู้หญิงแอร์เมส (ผู้ชายก็ทานดื่มได้เช่นกัน)

 

เดินดูจนทั่วก็พบว่า ไม่เพียงแต่เครื่องแต่งกายสตรี หรือบรรยากาศการตกแต่ง จะเป็นมุมมองของสาวแอร์เมส แต่ยังรวมถึงอาหาร และเครื่องดิ่มที่เตรียมไว้ภายในงานก็ต้องคิดแล้วว่า เธอคนนี้จะทานอาหารแบบไหน ดื่มเครื่องดื่มแบบใด เรียกว่าเป็นงานที่พาสาวๆ (และหนุ่มๆ) ไปรู้จักกับอีกหนึ่งตัวตนของสาวแอร์เมสแบบถึงส่วนลึกสุดของหัวใจ

อ่านมาจนถึงตอนนี้ คงรู้สึกอีดอัดว่าทำไมไม่ค่อยจะเห็นอะไรจากแอร์เมสเลย ยัง! ยังไม่จบเพียงเท่านี้ เพราะตอนหน้า จะนำเสื้อผ้า เครื่องหนัง เครื่องประดับ จากงาน The View From Her มาให้ชมกันแบบเต็มๆ ตา ว่ามีชิ้นไหนเด็ดดวง และเข้าตาเราบ้าง ติดตามชม

 

 

(ภาพ: Arno Frugier และ Veraphol W)

ยลโฉม Givenchy Essentials สำหรับญี่ปุ่นโดยเฉพาะ (และจำกัด!)

Givenchy-Essentials-12

Givenchy-Essentials-13

Givenchy-Essentials-16

Givenchy-Essentials-14

 

แวะเวียนไปโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ระหว่าง 7 – 13 กันยายน ขอให้ทราบด้วยว่า ท่านคือผู้โชคดีที่จะได้เลือกและช็อปไลน์ใหม่ Givenchy Essentials ที่ Riccardo Tisci ได้แรงบันดาลใจจากวัฒนธรรมร่วมสมัยของญี่ปุ่น ผสานกับสตรีทกูตูร์ในแบบของจิวองชี่เวอร์ชั่นทิสชิ จำหน่ายจำนวนจำกัดแบบป็อปอัพสโตร์ เฉพาะที่ อิเซตัน ชินจูกุ และอิเซตัน เมน ตึกข้างๆ

ไลน์ Givenchy Essentials เป็นแคปซูลคอลเล็กชั่นที่ไร้กาลเวลา หมายถึงสามารถหยิบชิ้นเอสเซนเชียลมาสวมใส่ได้ตลอดเวลา ที่มีตั้งแต่เสื้อผ้าแบบทางการ ไปจนถึงเสื้อผ้าแบบลำลอง และแบบสปร์ต โดยมีสีสันหลักคือดำ แดง และเพิ่มเติมคือชมพู ซึ่งจะเป็นครั้งแรก ที่จิวองชี่จะเนรมิตกระเป๋า Horizon เวอร์ชั่นสีชมพู

ในส่วนของผู้ชาย ไฮไลท์คงเป็นกระเป๋าเป้สีดำ และกระเป๋าเป้ลายดอกยิปโซ ดอกไม้สัญลักษณ์แบรนด์ และกระเป๋า pouch หนังดำที่พิมพ์ประโยค I Feel Love Japan สีแดง และสัญลักษณ์รูปดาว (สีแดง) อันเป็นซิกเนเจอร์ของทิสซี่

ขณะเดียวกันก็สร้างสรรค์คลิปวิดีโอ และภาพนิ่งสำหรับโปรโมต จิวองชี เอสเซนเชียล ที่เป็นการผสมผสานระหว่างวัฒนธรรมการแต่งกายของชาวญี่ปุ่น เข้ากับเสื้อผ้าและเครื่องหนังของจิวองชี ผ่านตัวแทนจิวองชีทั้งคนรุ่นเก่า และใหม่ ที่ต่างก็มีสไตล์ร่วมกัน

 

 

ไลน์สุภาพสตรี

00-Givenchy-Essentials-01

00-Givenchy-Essentials-02

00-Givenchy-Essentials-08

00-Givenchy-Essentials-09

00-Givenchy-Essentials-10

 

ไลน์สุภาพบุรุษ

00-Givenchy-Essentials-03

00-Givenchy-Essentials-04

00-Givenchy-Essentials-05

00-Givenchy-Essentials-06

จบจากวันที่ 13 กันยายน ก็ยังไม่มีข่าวว่าจะทำอย่างไรกับ Givenchy Essentials กันต่อ อย่างไรก็ไปชมคอลเล็กชั่นทั้งหมดได้ที่ Givenchy Japan

 

 

(เครดิตภาพ: Givenchy Japan)

Balenciaga ในมือดีไซเนอร์สุดแนว

หลังอเล็กซานเดอร์ แวง (Alexander Wang) ประกาศออกมาว่าขอโบกมือลาห้องเสื้อหรูที่มีตำนานยาวนาน ‘บาลองเซียก้า (Balenciaga)’ เหล่าบรรดาแฟชั่นนิสต้าและคนตามติดแฟชั่นก็จับจ้องว่าใครจะมารับช่วงต่อ

เมื่อแวงแจ้งเจตจำนงออกมาสู่สาธารณะว่าจะขอไปโฟกัสกับธุรกิจและแบรนด์ของตัวเองอย่างเดียว เป็นเหตุผลที่ต้องเซย์กู๊ดบายบาลองเซียก้าไปตอนต้นเดือนตุลาคมปีที่แล้ว หลังการประกาศได้หนึ่งสัปดาห์ก็มีชื่อของดีมน่า วาซาเลีย (Demna Gvasalia) ก็กลายเป็นชื่อที่จดจำในตำแหน่งครีเอทีฟ ไดเร็กเตอร์ของห้องเสื้อนี้

 

Balenciaga-01

 

แล้วชายหนุ่มอายุ 35 ปีผู้นี้คือใคร? ดีมน่า วาซาเลียเป็นดีไซเนอร์ห้องเสื้อของตัวเองร่วมกับน้องชายและเพื่อนๆ ในชื่อ Vetements เมื่อปีค.ศ.2014 วาซาเลียเรียนจบจาก Royal Academy of Fine Arts ที่เมือง Antwarp ประเทศเบลเยี่ยม แต่ตัวเขาเกิดที่เมือง Tbillisi ประเทศ Georgia เคยทำงานกับ Maison Martin Margiela และ Louis Vuitton ประวัติการทำงานอาจจะไม่มากมายนักแต่ฝีมือของเขาเข้าตา François-Henri Pinault ซีอีโอและประธานกรรมการของบริษัท Kering บริษัทแม่ของบรรดาแบรนด์หรูหลายแบรนด์อย่าง Louis Vuitton, Gucci, Bottega Veneta, Saint Laurent, Alexander McQueen, Balenciaga รวมถึงสปอร์ตแบรนด์อย่าง Puma แล้ววาซาเลียก็ได้รับการทาบทามมาคุมทีมโดยต้องรีบเตรียมโชว์ฝีมือในคอลเล็กชั่น Fall/ Winter 2016 ที่ Paris Fashion Week ในช่วงต้นปีที่ผ่านมา

 

Balenciaga-02

 

วาซาเลียเปิดใจออกมาว่าหลังจากที่ชื่อของเขาถูกประกาศออกมาว่าจะเป็นคนดูแลห้องเสื้อนี้ต่อ ก็มีเสียงกระซิบกระซาบกันว่าจะเป็นยังไงต่อไป เพราะจริงๆ แล้วเขาไม่เคยอยู่ในลิสต์มาก่อนหรือไม่มีใครคาดหวังมาก่อนด้วยซ้ำว่าเขาคือผู้จะมาคุมบังเหียนแทนแวง แถมภาพลักษณ์ของเขาก็แสนจะขัดแย้งกับงานที่เขาเพิ่งได้รับเสียจริง ลุคของเขาที่สวมเสื้อฮู้ดกับรองเท้าด็อกเตอร์มาร์ตินส์ (Dr.Martens) สุดแนว แล้วหนุ่มที่เกิดจากจอร์เจีย (ประเทศที่แยกตัวออกมาจากรัสเซีย) จะเข้าใจและลึกซึ้งต่องานแสนประณีตของช่างเสื้อชาวสเปนได้มากน้อยแค่ไหน? แต่หลังจากจบแฟชั่นโชว์ Fall/ Winter 2016 แล้ว ทุกคนคงเปลี่ยนมุมมองไปละล่ะ วาซาเลียยังคงรักษาความเป็นบาลองเซียก้าพร้อมหยิบจับลักษณะเด่นมาปรับให้ดูทันสมัยและจับตาได้มากขึ้น เขาบอกว่า “ผมพยายามมองในมุมมองเดียวกับมร.บาลองเซียก้า มองผู้หญิงในแบบมร.บาลองเซียก้า ผมมีความนับถือและชื่นชมเขามากๆ ผมมองเห็นได้ในเสื้อผ้าแต่ละชุด สิ่งที่เขาสร้างสรรค์ขึ้นเพื่อรูปร่างของผู้หญิงหรือนางแบบที่ไม่ได้เพอร์เฟ็กต์ไปซะหมด ผมต้องการทำงานในความเป็นจริง ใช้ได้จริง ใส่ได้จริง เป็นการแปลความหมายออกมาไม่ใช่การทำซ้ำหรือก๊อปปี้งานเก่า เราก็ไม่จำเป็นต้องทำอะไรที่แปลกมากไปแต่เป็นการสร้างสรรค์สิ่งใหม่มุมมองใหม่แทนครับ” โดยที่จะเห็นความตั้งใจนี้จากโน้ตที่เขาวางไว้บนเก้าอี้ทุกตัวในโชว์แรกของเขา

 

Balenciaga-03

Balenciaga-04

Balenciaga-05

 

งานดีไซน์ที่ใครๆ ต่างจดจำได้ของห้องเสื้อนี้ที่วาซาเลียนำมาใช้ก็คือเสื้อแบบโคคูน (Cocoon) ที่กลายมาเป็นแจ๊กเก็ตกันหนาวแบบมีฮู้ดหรือแจ๊กเก็ตที่เปิดไหล่กว้าง วงแขนเสื้อแพตเทิร์นแบบทรงกลม และเสื้อสูท กระโปรงกับชุดกระโปรงที่มีการหนุนช่วงสะโพกให้เป็นทรงนาฬิกาทราย แต่วาซาเลียก็มีการผสมผสานสไตล์ของตัวเองที่เห็นคล้ายๆ กับ Vetements อย่างบู๊ตยาวถึงหน้าขา คอลเล็กชั่นนี้ยังไม่เห็นเหล่ากระเป๋า ข้าวของต่างๆ มากนักจะมีแค่เครื่องประดับโลหะชิ้นโตๆ กระเป๋าถือใบใหญ่และบู๊ตยาวส้นหนาเท่านั้นให้เข้ากับลุคเสื้อผ้า แต่ขนาดไม่ดีไซน์อะไรมาก เขาก็ทำเอาวงการแฟชั่นฮือฮาได้แก่กระเป๋าใบโตโอเวอร์ไซซ์หนังสลับสี (ที่ฮือฮาสุดๆ ก็บ้านเราที่ว่ามันคล้ายกระเป๋าแม่ค้าแถวสำเพ็งนั่นแหละ) คาดว่าเอ็กเซสซอรี่คงจะพรึ่บพรั่บในคอลเล็กชั่นหน้าค่ะ อีกไอเดียใหม่ๆ ที่เขาใช้ในแฟชั่นโชว์ครั้งนี้คือการแคสติ้งนางแบบ ที่นอกจากเลือกมืออาชีพแล้วเขายังเลือกนางแบบผ่านอินสตราแกรมแล้วก็สาวๆ นักดนตรีหรือศิลปินสตรีทอาร์ต แนวมั้ยล่ะ?

 

Balenciaga-06

Balenciaga-07

Balenciaga-08

 

มาคอยดูฝีมือของเขาในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าว่าวาซาเลียจะมีดีอะไรมาอวดและจะทำให้สาวกแฟชั่นและแฟนคลับที่รอคอยประทับใจหรือผิดหวัง นับถอยหลังกันค่ะ

 

 

(เครดิตภาพ: nymag.com; www.pinterest.com; www.fashiongonerouge.com; nowfashion.com; www.purseblog.com ; stylecaster.com; footwearnews.com; m.nowfashion.com; www.complex.com; vintage-glam-2.livejournal.com; www.danskmagazine.com; blacksnobiety.tumblr.com)

Fall / Winter 2016-2017 Trend Report ถามว่าอะไรจะมา? มีคำตอบที่นี่!

เปลี่ยนฤดูแฟชั่นแต่ละที ก็มักจะมีคำถามเกิดขึ้นว่า “แล้วอะไรจะมา?”

The Editors Society จึงรวมรวมคำถาม พร้อมคำตอบให้แจ่มแจ้งจากรันเวย์ปารีส มิลาน นิวยอร์ก และลอนดอน ว่าอะไรจะมา อะไรจะอินเทรนด์ เพื่อจะได้ให้เหล่าแฟชั่นนิสต้าทั้งหลายเตรียมมอง และเลือกว่าอยากจะอินเทรนด์แบบไหน

 

ถามว่า สีไหนจะมา

คำตอบ: สีแซ่บของใบไม้ร่วงและหนาวนี้ มีหลายเฉดหลากสี ตั้งแต่สีคลาสสิกไปจนถึงสีอ่อนหวานที่น่าจะเป็นซัมเมอร์ ก็มาอยู่ฤดูนี้ เรียกว่าเต็มไปด้วยสีสันพัลวัน แต่ขอหยิบสีเด่นๆ ที่เห็นกันมากหน้าบนรันเวย์มาให้ชมกัน เริ่มที่

 

01-RED

Red

แดงเกลื่อนรันเวย์ มาตั้งแต่ลำลองไปจนถึงราตรี และแน่นอนว่ามาครบทุกเฉด

(Trussardi, Marni, Loewe และ Elie Saab )

 

01-PINK

Pink

อ่อนกว่าแดงก็ชมพู ที่ดูซ้ำไปมาหลายรอบก็ไม่เข้ากับฤดูหนาวสักเท่าไร แต่ขอให้เชื่อเถิดว่า ชมพูมาทุกแบบ ตั้งแต่ชมพูอ่อน ชมพูกุหลาบ ไปจนช้อกกิ้งพิงค์
(Vivienne Westwood Red Label, Kenzo, Miu Miu และ Gucci)

 

01-GREEN

Green

อีกหนึ่งสีเด็ดที่มาคู่กันกับชมพู และสีข้างล่าง หลายคนอาจไม่คิดว่า เขียวจะอินกะเข้าด้วย แต่ดูมาแทบครบทุกรันเวย์ สีเขียวก็มาเกือบครบทุกโชว์
(Emilio Pucci, Tory Burch, Burberry และ Rick Owens)

 

01-BLUE

Blue

น้ำเงินถือเป็นสีประจำฤดูหนาวไปแล้ว แน่นอนคราวนี้ก็มาครบทุกความน้ำเงิน ตั้งแต่ฟ้าไปจนถึงกรมท่า และต่อเนื่องไปถึงสีเขียวข้างบน
(Carven, Prabal Gurung, Tod’s และ Marchesa)

 

01-TAN

Brown

สีน้ำตาล ไปจนถึงนู้ด และเบจ คือสีส่งท้ายความฮิตของฤดูกาลนี้ จริงๆ มีสีอื่นๆ อีก แต่ก็สุดๆ ละกับ 4 สีนี้
(Giorgio Armani. Hermes, Maiyet และ Celine)

 

01-BLACK-WHITE

Black and White

สีนี้ถือเป็นสีคลาสิกของทุกฤดูกาล จริงๆ ฤดูนี้ก็เต็มไปทั้งสีดำ และขาว ก็เลยขอจับมารวมกันเลย
(Port 1961, Dries Van Noten, Victoria Beckham และ Derek Lam)

 


 

ถามว่า ลายอะไรจะมา

คำตอบ: ก็เช่นเดียวกับสีสัน เนื่องจากคอนเซ็ปต์ของหนาวนี้คือการกลับมาของความเยอะ ฉะนั้นก็จะเยอะทั้งสี ทั้งแบบ และทั้งลวดลาย ไม่ว่าจะจิ้มลายไหนก็ถูกต้องแทบทั้งหมด เอาเป็นว่าคัดมาให้ดูเฉพาะที่เด่นๆ เห็นบนบนรันเวย์ เมืองแฟชั่น

 

01-FLOWER

Flower

จริงๆ ดอกไม้บนรันเวย์ก็มีแทบทุกฤดู เหมือนดอกไม้จริงๆ ก็ให้เห็นทั้งปีไม่่เว้นหน้าหนาว แต่ฤดูนี้ดอกไม้มาเต็ม และมาสีจัดจ้านแทบทุกแบรนด์ แต่ดอกไม้สีหวานก็ไม่ใช่จะถูกลืมนะ
(Paul Smith, Balenciaga, MSGM และ Dolce & Gabbana)

 

01-TIGER

Tiger skin

ที่เห็นบ่อยสุดคือเสือดาว เป็นหนึ่งหนังดาวเด่น แต่ก็ลืมเสือลายพาดกลอนไม่ได้เหมือนกัน
(Veronique Branquinho, Emanuel Ungaro, Givenchy และ Roberto Cavalli)

 

01-PLAID

Plaid

ความจริงต้องรวมไปทั้งลายตาราง ลายสก็อต และสีสารพัดลายตัดขวาง ทั้งลายใหญ่ ลายเล็ก ลายน้อย และมาทุกสีเลยสิน่า
(Prada, Etro, Preen by Thornton Bregazzi และ Calvin Klein Collevtion)

 


 

ถามว่า ไอเท็มไหนจะมา

คำตอบ: หน้าหนาว หลักๆ ก็ต้องหาอะไรมาห่มหนาว ไอเท็มเจ๋งเด็ด คงหนีไม่พ้นแจ๊กเก็ต และเฟอร์ แต่ที่น่าจับตามองก็คือพวกงานคลุมไหล่ ห่อร่าง ทั้งผ้าคลุมไหล่ โบเลโร

 

01-BIKER

Biker Jacket

สาวนักบิด ต้องงัดแจ๊กเก็ตออกมาคลายหนาวกันอีกครั้ง และก็แน่นอน แจ๊กเก็ตมอเตอร์ไซค์มาทุกที มาทุกปี
(Ann Demeulemeester, Courreges, Coach 1941 และ Topshop Unique)

 

01-CAPE

Cape

งานคลุมไหล่ต้องมาก มาทั้ง cape, bolero และ poncho เลือกเอาตามถนัด แค่ไม่ปล่อยให้ไหล่หนาว
(Andrew Gn, Paul & Joe, Sportmax และ Chalayan)

 

01-FUR

Fur

งานเฟอร์ต้องมา และก็มาแน่นมากในซีซั่นนี้ และก็ดูปล่อยพลังกันสุดฤทธิ์
(Michael Kors, Hood By Air, Fendi และ Saint Laurent)

 

01-JUMPSUIT

Jumpsuit

มาพร้อมกับงานมอเตอร์ไซค์ และงานสปอร์ตแวร์ จั๊มพ์สูท เป็นอะไรที่ยังรอให้สาวๆ ใส่จริงๆ แล้วไม่ดูแปลกอยู่นะ
(Emilio Pucci, Louis Vuitton, Sibling และ Lemaire)

 

01-SINGLE-SHOULDER

Single Shoulder

ตำราบอกว่า แขนเดี่ยวนี้มาพร้อมกับยุค’80s รองเท้นส้นเข็มต้องพร้อม แต่งหน้าตาเฉี่ยวให้พร้อมกับความเปรี้ยวของสาวแขนเดี่ยว
(Isabel Marant, Jeremy Scott, Julien Macdonald และ Maison Margiela)

 

01-PUFFA

Puffa

หน้าหนาวนี่นะ งานบุนวมก็ต้องมา เดี๋ยวนี้งานบุนวมไม่ได้ไก่กาเชยแสนเชย ใส่แล้วเป็นแหนม เพราะดีไซน์เนอร์ออกแบบงานบุนวมให้เปรี้ยวจริง เปรี้ยวจัง
(Rag & Bone, Stella McCartney, Iceberg และ Alexander McQueen)

 


 

ถามลึกๆ ว่า ต้องเลือกวัสดุไหนมาห่อร่างถึงจะอิน

คำตอบ: ที่แซงเบียดคอตต้อน ไหม หรือเหล่านิตแวร์ทั้งหลาย ก็เห็นจะมีดังนี้

 

01-DENIM

Denim

เดนิมถูกปรับเปลี่ยนจนแทบไม่เหลือความเซอร์ ผลที่ได้กลายเป็นงานแฟชั่นชั้นสูงเลยนะ
(Off-White, Moschino, Manish Arora และ Dsquared2)

 

01-VELVET

Velvet

เพิ่มเนื้อสัมผัสให้กับการสวมใส่ และยังได้ความอบอุ่นจากเนื้อกำมะหยี่ ที่นำไปทำเป็นเครื่องแต่งกายสารพัดแบบ
(Alberta Ferretti, Roland Mouret, Dolce & Gabbana และ MSGM)

 

01-METALLIC

Metallic

ประกายวาววับของเนื้อผ้าเมทัลลิก สื่อแฟชั่นหลายสำนักยกให้เป็นไอเท็มของปลายปี
(Opening Ceremony, Jil Sander, Pamella Roland และ Marc Jacobs)

 


 

ถามว่า แนวไหนจะมา

คำตอบ: เอาจริงๆ คือมาทุกแบบ ตั้งแต่ชนเผ่า ไปถึงแนวอนาคต ตั้งแต่เรียบมาก ไปจนถึงแน่นมาก อยากแต่งอย่างไรก็แต่ไปตามใจ ทว่า ถ้ายังไม่มีแนว ก็จะสรุปแบบกว้างขวางให้ 4 แนว

 

01-RETRO

Retro

มีคนย่อยแฟชั่นย้อนยุคไปถึงเรอเนซองส์ วิคตอเรียน เอ็ดเวิร์ดเดรียน เอาจริงแฟชั่นย้อนยุคก็ลามมาทุกยุค ทั้งโบฮีเมียน ฮิปปี้ ดิสโก้ มาถึงยุคมินนิมัล เปิดประวัติศาสตร์แฟชั่นแต่งตัวกันเลย
(Veronique Branquinho, Derek Lam, Gucci และ Marchesa)

 

01-MILITARY

Military

แนวทหารคราวนี้ไม่ใช่ลายพราง แต่เป็นเครื่องแบบแม่ทัพนายกอง ตลอดจนทหารเรือรอรัก
(Tommy Hilfiger, Givenchy, Mulberry และ Sacai)

 

01-MENSWEAR

Menswear

ผู้หญิงแกร่งเทียบชายก็เป็นอะไรที่แสดงออกได้ด้วยการแต่งกายที่หยิบแรงบันดาลใจจากเสื้อผ้าหนุ่มๆ หรือาจจะเอาเสื้อผ้าหนุ่มๆ นี่แหละมาปรับให้ดูหวานด้วยตัวเองก็ได้
(Andreas Kronthaler for Vivienne Westwood, Giambattista Valli, Issey Miyake และ Thom Browne)

 

01-ROCK

Rock

สาวร็อคในวันนี้ เป็นทั้งร็อคโหดๆ และกรันจ์ร็อคในแบบ Courtney Love ก็ไม่เลว
(Julien Macdonald, Alexander Wang, Herve Leger by Max Azria และ DKNY)

 

01-SPORT

Sport

ตราบที่ยังรักการดูแลตนเอง สปอร์ตเวร์ก็จะฝังร่างมาแทบทุกการออกแบบของดีไซน์เนอร์ในปัจจุบัน ยังไงก็ไม่พลาดแต่งสปอร์ต
(Damir Doma, Vetements, Coach 1941 และ Celine)

 

01-VOLUME

Volume

ในที่นี้หมายถึงการเพิ่มวอลลุ่มให้กับเสื้อผ้า เครื่องแต่งกาย ไม่ว่าจะเป็นการจับจีบ จับระบาย สม็อค รวมทั้งการเล่นระดับ ล้วนเป็นดีเทลสำคัญของเสื้อผ้าในฤดูกาลล่าสุดนี้ “ต้องห้ามพลาด”
(Fendi. Valentino, Mary Katrantzou และ Chanel)

 

สาวๆ คงเกิดไอเดียแต่งตัวรับปลายปีนี้กันแล้วนะ

“Roger Vivier The Retrospective Exhibition” พาไปชมรองเท้าในตำนาน

Roger-Vivier-05

Roger-Vivier-07

Roger-Vivier-04

บรรยากาศนิทรรศการ “Roger Vivier The Retrospective”

 

เคยมีแฟนคลับรุ่นใหม่ของ Dior เข้ามาเดินดูรองเท้าของ โรเฌร์ วิวีเยร์ (Roger Vivier) แล้วถามว่า “ทำไมรองเท้าแบรนด์นี้ดูคล้ายดิออร์”

เรื่องเล่าสนุกๆ ที่เกิดขึ้นกับโรเฌร์ วิวีเยร์ แบรนด์รองเท้าของนักออกแบบรองเท้าผู้เป็นตำนานของรองเท้าแฟชั่นสมัยใหม่ ผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จไม่เพียงแต่รองเท้าของดิออร์ แต่รองเท้าของห้องเสื้อชั้่นนำของโลกเกิดจากการสร้างสรรค์ของเขา แม้จะไม่มีตัว โรเฌร์ วิวีเยร์ แล้ว แต่แบรนด์และตำนานของเขายังคงอยู่ และครบรอบ 80 ปีแห่งการสร้างสรรค์ในปีนี้ พร้อมกับนิทรรศการที่จะบอกเล่าความยิ่งใหญ่ของนักออกแบบรองเท้าผู้นี้ให้ทุกคนได้รู้จัก “Roger Vivier The Retrospective Exhibition” ที่ดิเอ็มโพเรียม

ถือเป็นอีกหนึ่งนิทรรศการดีๆ และดีมาก ด้วยเพราะอย่างที่บอกไปข้างต้น โรเฌร์ วิวีเยร์ ถือเป็นนักออกแบบระดับตำนาน แบบเดียวกับที่เรารู้จักความยิ่งใหญ่ของคริสเตียน ดิออร์ ไม่เพียงแต่จะยิ่งใหญ่พอกัน เพราะเมื่อดิออร์ก่อตั้งแผนกรองเท้า (เป็นครั้งแรกของโลกแฟชั่น ที่แบรนด์เสื้อชั้นสูงจะมีแผนกรองเท้า) ได้เลือกให้วิวีเยร์มาดูแลการออกแบบเพื่อให้คู่กับเดรสของดิออร์

และนอกจากดิออร์ วิวีเยร์ยังได้ออกแบบให้กับห้องเสื้อชั้นสูง อาทิ Balmain, Patou, Nina Ricci และ Yves Saint Laurent ด้วย พอจะมองเห็นภาพหรือยังว่า ยุคนั้นไม่มีใครเทียบฝีมือวิวีเยร์ได้อีกแล้ว

Roger-Vivier-02

ภาพวาดฉลองพระบาทสมเด็จพระราชินีอลิซาเบธที่ 2 ในพิธีราชาภิเษก ตกแต่งเป็นลวดลายดอกไม้ประดับพชรบริลเลียนต์คัต 3,500 เม็ด

 

Roger-Vivier-01

แคเธอรีน เดอเนิฟ สวมรองเท้า Belle Vivier ในภาพยนต์ดังอย่าง Belle de Jour

 

ที่เป็นเกียรติประวัติสูงสุดของโรเฌร์ วิวีเยร์ คือได้ออกแบบฉลองพระบาทแด้สมเด็จพระราชินีอลิซาเบธที่ 2 ในพิธีราชาภิเษก เมื่อปี 1963 นอกจากนี้ยังมีลูกค้าเป็นถึวเชื้อพระวงศ์จำนวนมาก อาทิ เจ้าหญิงเกรซแห่งโมนาโค และจักรพรรดินีแห่งอิหร่าน รวมถึงเหล่าสตรีคนสำคัญของโลก อาทิ บริจิต บาร์โดต์ ออเดรย์ เฮปเบิร์น เอลิซาเบธ เทย์เลอร์ มาร์ลีน ดีทริช โซเฟีย ลอเรน แจ๊คเกอลีน เคนเนดี้ คาร์ลา บรูนี- ซาโคสกี้ และ แคเธอรีน เดอเนิฟ

โรเฌร์ วิวีเยร์ ยังสร้างสรรค์รองเท้าต้นแบบให้แก่โลกแฟชั่น โดยเฉพาะรองเท้า Belle Vivier รองเท้าพัมป์ที่มีบัคเคิลโครเมียมบนหัวรองเท้า เปิดตัวครั้งแรกเมื่อปี 1965 พร้อมกับ Mondrian คอลเล็กชั่นเสื้อในตำนานของอีฟส์ แซงต์ โรลองตฺ์ ต่อเนื่องเมื่อแคเธอรีน เดอเนิฟ สวมรองเท้าคู่นี้ในภาพยนต์ดังอย่าง Belle de Jour ที่นอกจากจะเป็นหนึ่งในรองเท้าไอคอนของทศวรรษ 60 ยังกลายเป็นซิกเนเจอร์แบรนด์นับแต่นั้น

 

Roger-Vivier-03

รองเท้าส้น Choc (ซ้าย) และส้น Virgule (ขวา)

 

นอกจากนี้ ด้วยความที่เป็นคนชอบทดลอง และสร้างสรรค์รองเท้าแบบแปลกๆ จึงได้ให้กำเนิดรองเท้าส้นเข็ม (ที่เรียกว่า Aiguille stiletto) ส้น Choc (ส้นสูงที่มีส่วนโค้งออกมา) และ ส้น Virgule (ส้นสูงที่มีส่วนเว้าเข้าด้านใน) ถือเป็นนวัตกรรมของทศวรรษที่ 50 และ 60 จนอาจเรียกได้ว่า สาวๆ กว่าค่อนโลกก็สวมใส่รองเท้าที่ได้แรงบันดาลใจจากการสร้างสรรค์ของเขา

โรเฌร์ วิวีเยร์ เสียชีวิตเมื่อปี 1988 เมื่ออายุได้ 90 ปี ตำนานการสร้างสรรค์รองเท้าหยุดชะงักไปชั่วขณะ กระทั่ง ดิเอโก เดลลา วัลเล นักธุรกิจและเจ้าของแบรนด์ Tod’s ได้เข้าซื้อกิจการของ โรเฌร์ วิวีเยร์ และแต่งตั้งให้ บรูโน ฟริโซนี เป็นครีเอทีฟ ไดเร็กเตอร์ ตำนานของโรเฌร์ วิวีเยร์ ได้รับการสานต่อ พร้อมกับการเป็นขวัญใจของเหล่าเซเล็บคนดังรุ่นใหม่ ไล่เลียงตั้งแต่ เคท บลันเชตต์ นิโคล คิดแมน เพเนโลเป ครูซ แอนน์ แฮธาเวย์ จูเลียนน์ มัวร์ สการ์เลตต์ โจแฮนส์สัน ซาร์ลีซ เธอรอน ซารอน สโตน คาเมรอน ดิแอซ ดาโกตา จอห์นสัน เจนนิเฟอร์ อนิสตัน โอลิเวีย ไวลด์ ซาราห์ เจสสิกา พาร์กเกอร์ และ เจสสิกา บีล เป็นต้น

ไปชมด้วยตนเองแล้วจะทราบว่า รองเท้าในตำนานที่แท้จริงนั้นเป็นเช่นไร

 

นิทรรศการ “Roger Vivier The Retrospective Exhibition” เพื่อเฉลิมฉลองครบ 80 ปีแบรนด์ โรเฌร์ วิวีเยร์ จัดแสดงตั้งแต่วันที่ 1 – 14 กันยายน ณ ชั้น M ดิเอ็มโพเรียม

 

เครดิตภาพ: www.rogervivier.com และ PP Group

Uniqlo U ผลผลิตจาก Uniqlo และ Lemaire ตรงดิ่งสู่ไทย 7 ตุลาคมนี้

Uniqlo U 101

Uniqlo U 102

Uniqlo U 103

Uniqlo U 104

Uniqlo U 105

Uniqlo U 106

 

“ยูนิโคล่ ยู” (Uniqlo U) ไลน์เครื่องแต่งกายของ ยูนิโคล่ (Uniqlo) ที่เกิดจากการออกแบบของ คริสตอฟ เลอแมร์ (Christophe Lemaire) อดีตดีไซน์เนอร์ของห้องเสื้อดังอย่าง Hermes และ Lacoste ล่าสุด ประกาศจำหน่ายในประเทศไทย วันศุกร์ที่ 7 ตุลาคมนี้ ตามหลังญี่ปุ่นหนึ่งอาทิตย์

 

ก่อนหน้านี้ คริสตอฟ เลอแมร์ เคยออกไลน์เสื้อที่เป็นการร่วมมือกันกับยูนิโคล่ในชื่อ Uniqlo x Lemaire ออกแบบได้เพียง 2 คอลเล็กชั่น ทางยูนิโคล่ก็ประกาศเลยว่า คริสตอฟ ได้มาร่วมงานกับทางแบรนด์ในตำแหน่งอาร์ทิสติกไดเร็กเตอร์ ของศูนย์วิจัยและพัฒนาของยูนิโคล่ที่เพิ่งตั้งขึ้นในปารีส หนึ่งในความรับผิดชอบของคริสตอฟ ก็คือการสร้างสรรค์ไลน์เครื่องแต่งกายที่ชื่อ Uniqlo U ที่เป็นเหมือนการพัฒนารูปแบบแฟชั่นรูปแบบใหม่ ทั้งการคัดเลือกผ้า การเย็บ และองค์ประกอบอื่นๆ เพื่อให้ได้เป็นผลงานแฟชั่นที่สวมใส่ได้จริง สวมใส่ได้นาน และยังคงเอกลักษณ์ของผู้สวมใส่

 

แน่นอน ว่าผู้ที่เคยเป็นเจ้าของ Uniqlo x Lemaire ก็ตั้งหน้าตั้งตารอคอยกัน เพราะดีทั้งดีไซน์ วัสดุ และการตัดเย็บจัดได้ว่าเนี๊ยบ ซึ่งไลน์ Uniqlo U ที่กำลังจะเปิดตัวนี้ มาครบทั้งเสื้อผ้าชาย และหญิง รวมไปถึงเครื่องประดับอย่างหมวกไหมพรม ถุงมือ ผ้าพันตอ กระเป๋า และรองเท้า ที่สำคัญออกแบบและพัฒนาโดยทีมดีไซน์จากปารีสเสียด้วย!

 

และก็เปิดตัวมาพร้อมกับภาพอิมเมจทั้ง 12 ลุคๆ ละ 12 ภาพ พร้อมวิดีไอคลิป ให้เข้าไปอุ่นเครื่องกันก่อนในเว็บไซด์ www.uniqlo.com/UniqloU แล้วค่อยมาเจอวันจริง

 

Uniqlo U 107

Uniqlo U 108

Uniqlo U 109

Uniqlo U 110

Uniqlo U 111

Uniqlo U 112

 

Uniqlo U  คืออะไร?

คริสตอฟ เลอแมร์ และยูนิโคล่ หยิบเอาความเรียบง่ายมานำเสนอใหม่เพื่อแสดงถึงความยั่งยืนแห่งแก่นแท้ เขาเชื่อว่า เสื้อผ้าที่มีรูปแบบอยู่เหนือสมัยนิยม ช่วยบ่งบอกตัวตนได้อย่างแท้จริง ทุกรายละเอียดจึงตอบสนองเพื่อการใช้งาน ทุกดีไซน์ลบเลือนคำจำกัดความแบบเดิม และในทุกความเรียบง่ายนำเสนอสิ่งที่ดีที่สุดเพื่อสิ่งที่ดีขึ้น

2_b_1500_Logo_Statements

โดยอักษร U นั้น นอกจากจะเป็นชื่อต้นของแบรนด์ ยูนิโคล่ ที่ให้มั่นใจได้ว่าไลน์ Uniqlo U มีแก่นความเป็นยูนิโคล่อยู่ในทุกการออกแบบ และภายในโลโก้ มีตัว U ทั้งสิ้น 12 ตัว ซึ่งเป็นตัวเลขที่พบได้ทั่วไปในชีวิตประจำวัน ตั้งแต่ปีในจักราศี เดือนในหนึ่งปี เวลาในแต่ละวัน เหมือนเช่นที่การออกแบบเพื่อใช้ในชีวิตประจำวันอย่างแท้จริง และภายใต้คำประกาศของแบรนด์ 12 ข้อ ที่ขึ้นต้นด้วย “U have..” ประหนึ่งคำสัญญาจากทีมดีไซน์ของศูนย์วิจัยและพัฒนาของยูนิโคล่ ปารีส