ยลโฉม Givenchy Essentials สำหรับญี่ปุ่นโดยเฉพาะ (และจำกัด!)

Givenchy-Essentials-12

Givenchy-Essentials-13

Givenchy-Essentials-16

Givenchy-Essentials-14

 

แวะเวียนไปโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ระหว่าง 7 – 13 กันยายน ขอให้ทราบด้วยว่า ท่านคือผู้โชคดีที่จะได้เลือกและช็อปไลน์ใหม่ Givenchy Essentials ที่ Riccardo Tisci ได้แรงบันดาลใจจากวัฒนธรรมร่วมสมัยของญี่ปุ่น ผสานกับสตรีทกูตูร์ในแบบของจิวองชี่เวอร์ชั่นทิสชิ จำหน่ายจำนวนจำกัดแบบป็อปอัพสโตร์ เฉพาะที่ อิเซตัน ชินจูกุ และอิเซตัน เมน ตึกข้างๆ

ไลน์ Givenchy Essentials เป็นแคปซูลคอลเล็กชั่นที่ไร้กาลเวลา หมายถึงสามารถหยิบชิ้นเอสเซนเชียลมาสวมใส่ได้ตลอดเวลา ที่มีตั้งแต่เสื้อผ้าแบบทางการ ไปจนถึงเสื้อผ้าแบบลำลอง และแบบสปร์ต โดยมีสีสันหลักคือดำ แดง และเพิ่มเติมคือชมพู ซึ่งจะเป็นครั้งแรก ที่จิวองชี่จะเนรมิตกระเป๋า Horizon เวอร์ชั่นสีชมพู

ในส่วนของผู้ชาย ไฮไลท์คงเป็นกระเป๋าเป้สีดำ และกระเป๋าเป้ลายดอกยิปโซ ดอกไม้สัญลักษณ์แบรนด์ และกระเป๋า pouch หนังดำที่พิมพ์ประโยค I Feel Love Japan สีแดง และสัญลักษณ์รูปดาว (สีแดง) อันเป็นซิกเนเจอร์ของทิสซี่

ขณะเดียวกันก็สร้างสรรค์คลิปวิดีโอ และภาพนิ่งสำหรับโปรโมต จิวองชี เอสเซนเชียล ที่เป็นการผสมผสานระหว่างวัฒนธรรมการแต่งกายของชาวญี่ปุ่น เข้ากับเสื้อผ้าและเครื่องหนังของจิวองชี ผ่านตัวแทนจิวองชีทั้งคนรุ่นเก่า และใหม่ ที่ต่างก็มีสไตล์ร่วมกัน

 

 

ไลน์สุภาพสตรี

00-Givenchy-Essentials-01

00-Givenchy-Essentials-02

00-Givenchy-Essentials-08

00-Givenchy-Essentials-09

00-Givenchy-Essentials-10

 

ไลน์สุภาพบุรุษ

00-Givenchy-Essentials-03

00-Givenchy-Essentials-04

00-Givenchy-Essentials-05

00-Givenchy-Essentials-06

จบจากวันที่ 13 กันยายน ก็ยังไม่มีข่าวว่าจะทำอย่างไรกับ Givenchy Essentials กันต่อ อย่างไรก็ไปชมคอลเล็กชั่นทั้งหมดได้ที่ Givenchy Japan

 

 

(เครดิตภาพ: Givenchy Japan)

Balenciaga ในมือดีไซเนอร์สุดแนว

หลังอเล็กซานเดอร์ แวง (Alexander Wang) ประกาศออกมาว่าขอโบกมือลาห้องเสื้อหรูที่มีตำนานยาวนาน ‘บาลองเซียก้า (Balenciaga)’ เหล่าบรรดาแฟชั่นนิสต้าและคนตามติดแฟชั่นก็จับจ้องว่าใครจะมารับช่วงต่อ

เมื่อแวงแจ้งเจตจำนงออกมาสู่สาธารณะว่าจะขอไปโฟกัสกับธุรกิจและแบรนด์ของตัวเองอย่างเดียว เป็นเหตุผลที่ต้องเซย์กู๊ดบายบาลองเซียก้าไปตอนต้นเดือนตุลาคมปีที่แล้ว หลังการประกาศได้หนึ่งสัปดาห์ก็มีชื่อของดีมน่า วาซาเลีย (Demna Gvasalia) ก็กลายเป็นชื่อที่จดจำในตำแหน่งครีเอทีฟ ไดเร็กเตอร์ของห้องเสื้อนี้

 

Balenciaga-01

 

แล้วชายหนุ่มอายุ 35 ปีผู้นี้คือใคร? ดีมน่า วาซาเลียเป็นดีไซเนอร์ห้องเสื้อของตัวเองร่วมกับน้องชายและเพื่อนๆ ในชื่อ Vetements เมื่อปีค.ศ.2014 วาซาเลียเรียนจบจาก Royal Academy of Fine Arts ที่เมือง Antwarp ประเทศเบลเยี่ยม แต่ตัวเขาเกิดที่เมือง Tbillisi ประเทศ Georgia เคยทำงานกับ Maison Martin Margiela และ Louis Vuitton ประวัติการทำงานอาจจะไม่มากมายนักแต่ฝีมือของเขาเข้าตา François-Henri Pinault ซีอีโอและประธานกรรมการของบริษัท Kering บริษัทแม่ของบรรดาแบรนด์หรูหลายแบรนด์อย่าง Louis Vuitton, Gucci, Bottega Veneta, Saint Laurent, Alexander McQueen, Balenciaga รวมถึงสปอร์ตแบรนด์อย่าง Puma แล้ววาซาเลียก็ได้รับการทาบทามมาคุมทีมโดยต้องรีบเตรียมโชว์ฝีมือในคอลเล็กชั่น Fall/ Winter 2016 ที่ Paris Fashion Week ในช่วงต้นปีที่ผ่านมา

 

Balenciaga-02

 

วาซาเลียเปิดใจออกมาว่าหลังจากที่ชื่อของเขาถูกประกาศออกมาว่าจะเป็นคนดูแลห้องเสื้อนี้ต่อ ก็มีเสียงกระซิบกระซาบกันว่าจะเป็นยังไงต่อไป เพราะจริงๆ แล้วเขาไม่เคยอยู่ในลิสต์มาก่อนหรือไม่มีใครคาดหวังมาก่อนด้วยซ้ำว่าเขาคือผู้จะมาคุมบังเหียนแทนแวง แถมภาพลักษณ์ของเขาก็แสนจะขัดแย้งกับงานที่เขาเพิ่งได้รับเสียจริง ลุคของเขาที่สวมเสื้อฮู้ดกับรองเท้าด็อกเตอร์มาร์ตินส์ (Dr.Martens) สุดแนว แล้วหนุ่มที่เกิดจากจอร์เจีย (ประเทศที่แยกตัวออกมาจากรัสเซีย) จะเข้าใจและลึกซึ้งต่องานแสนประณีตของช่างเสื้อชาวสเปนได้มากน้อยแค่ไหน? แต่หลังจากจบแฟชั่นโชว์ Fall/ Winter 2016 แล้ว ทุกคนคงเปลี่ยนมุมมองไปละล่ะ วาซาเลียยังคงรักษาความเป็นบาลองเซียก้าพร้อมหยิบจับลักษณะเด่นมาปรับให้ดูทันสมัยและจับตาได้มากขึ้น เขาบอกว่า “ผมพยายามมองในมุมมองเดียวกับมร.บาลองเซียก้า มองผู้หญิงในแบบมร.บาลองเซียก้า ผมมีความนับถือและชื่นชมเขามากๆ ผมมองเห็นได้ในเสื้อผ้าแต่ละชุด สิ่งที่เขาสร้างสรรค์ขึ้นเพื่อรูปร่างของผู้หญิงหรือนางแบบที่ไม่ได้เพอร์เฟ็กต์ไปซะหมด ผมต้องการทำงานในความเป็นจริง ใช้ได้จริง ใส่ได้จริง เป็นการแปลความหมายออกมาไม่ใช่การทำซ้ำหรือก๊อปปี้งานเก่า เราก็ไม่จำเป็นต้องทำอะไรที่แปลกมากไปแต่เป็นการสร้างสรรค์สิ่งใหม่มุมมองใหม่แทนครับ” โดยที่จะเห็นความตั้งใจนี้จากโน้ตที่เขาวางไว้บนเก้าอี้ทุกตัวในโชว์แรกของเขา

 

Balenciaga-03

Balenciaga-04

Balenciaga-05

 

งานดีไซน์ที่ใครๆ ต่างจดจำได้ของห้องเสื้อนี้ที่วาซาเลียนำมาใช้ก็คือเสื้อแบบโคคูน (Cocoon) ที่กลายมาเป็นแจ๊กเก็ตกันหนาวแบบมีฮู้ดหรือแจ๊กเก็ตที่เปิดไหล่กว้าง วงแขนเสื้อแพตเทิร์นแบบทรงกลม และเสื้อสูท กระโปรงกับชุดกระโปรงที่มีการหนุนช่วงสะโพกให้เป็นทรงนาฬิกาทราย แต่วาซาเลียก็มีการผสมผสานสไตล์ของตัวเองที่เห็นคล้ายๆ กับ Vetements อย่างบู๊ตยาวถึงหน้าขา คอลเล็กชั่นนี้ยังไม่เห็นเหล่ากระเป๋า ข้าวของต่างๆ มากนักจะมีแค่เครื่องประดับโลหะชิ้นโตๆ กระเป๋าถือใบใหญ่และบู๊ตยาวส้นหนาเท่านั้นให้เข้ากับลุคเสื้อผ้า แต่ขนาดไม่ดีไซน์อะไรมาก เขาก็ทำเอาวงการแฟชั่นฮือฮาได้แก่กระเป๋าใบโตโอเวอร์ไซซ์หนังสลับสี (ที่ฮือฮาสุดๆ ก็บ้านเราที่ว่ามันคล้ายกระเป๋าแม่ค้าแถวสำเพ็งนั่นแหละ) คาดว่าเอ็กเซสซอรี่คงจะพรึ่บพรั่บในคอลเล็กชั่นหน้าค่ะ อีกไอเดียใหม่ๆ ที่เขาใช้ในแฟชั่นโชว์ครั้งนี้คือการแคสติ้งนางแบบ ที่นอกจากเลือกมืออาชีพแล้วเขายังเลือกนางแบบผ่านอินสตราแกรมแล้วก็สาวๆ นักดนตรีหรือศิลปินสตรีทอาร์ต แนวมั้ยล่ะ?

 

Balenciaga-06

Balenciaga-07

Balenciaga-08

 

มาคอยดูฝีมือของเขาในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าว่าวาซาเลียจะมีดีอะไรมาอวดและจะทำให้สาวกแฟชั่นและแฟนคลับที่รอคอยประทับใจหรือผิดหวัง นับถอยหลังกันค่ะ

 

 

(เครดิตภาพ: nymag.com; www.pinterest.com; www.fashiongonerouge.com; nowfashion.com; www.purseblog.com ; stylecaster.com; footwearnews.com; m.nowfashion.com; www.complex.com; vintage-glam-2.livejournal.com; www.danskmagazine.com; blacksnobiety.tumblr.com)

Uniqlo U ผลผลิตจาก Uniqlo และ Lemaire ตรงดิ่งสู่ไทย 7 ตุลาคมนี้

Uniqlo U 101

Uniqlo U 102

Uniqlo U 103

Uniqlo U 104

Uniqlo U 105

Uniqlo U 106

 

“ยูนิโคล่ ยู” (Uniqlo U) ไลน์เครื่องแต่งกายของ ยูนิโคล่ (Uniqlo) ที่เกิดจากการออกแบบของ คริสตอฟ เลอแมร์ (Christophe Lemaire) อดีตดีไซน์เนอร์ของห้องเสื้อดังอย่าง Hermes และ Lacoste ล่าสุด ประกาศจำหน่ายในประเทศไทย วันศุกร์ที่ 7 ตุลาคมนี้ ตามหลังญี่ปุ่นหนึ่งอาทิตย์

 

ก่อนหน้านี้ คริสตอฟ เลอแมร์ เคยออกไลน์เสื้อที่เป็นการร่วมมือกันกับยูนิโคล่ในชื่อ Uniqlo x Lemaire ออกแบบได้เพียง 2 คอลเล็กชั่น ทางยูนิโคล่ก็ประกาศเลยว่า คริสตอฟ ได้มาร่วมงานกับทางแบรนด์ในตำแหน่งอาร์ทิสติกไดเร็กเตอร์ ของศูนย์วิจัยและพัฒนาของยูนิโคล่ที่เพิ่งตั้งขึ้นในปารีส หนึ่งในความรับผิดชอบของคริสตอฟ ก็คือการสร้างสรรค์ไลน์เครื่องแต่งกายที่ชื่อ Uniqlo U ที่เป็นเหมือนการพัฒนารูปแบบแฟชั่นรูปแบบใหม่ ทั้งการคัดเลือกผ้า การเย็บ และองค์ประกอบอื่นๆ เพื่อให้ได้เป็นผลงานแฟชั่นที่สวมใส่ได้จริง สวมใส่ได้นาน และยังคงเอกลักษณ์ของผู้สวมใส่

 

แน่นอน ว่าผู้ที่เคยเป็นเจ้าของ Uniqlo x Lemaire ก็ตั้งหน้าตั้งตารอคอยกัน เพราะดีทั้งดีไซน์ วัสดุ และการตัดเย็บจัดได้ว่าเนี๊ยบ ซึ่งไลน์ Uniqlo U ที่กำลังจะเปิดตัวนี้ มาครบทั้งเสื้อผ้าชาย และหญิง รวมไปถึงเครื่องประดับอย่างหมวกไหมพรม ถุงมือ ผ้าพันตอ กระเป๋า และรองเท้า ที่สำคัญออกแบบและพัฒนาโดยทีมดีไซน์จากปารีสเสียด้วย!

 

และก็เปิดตัวมาพร้อมกับภาพอิมเมจทั้ง 12 ลุคๆ ละ 12 ภาพ พร้อมวิดีไอคลิป ให้เข้าไปอุ่นเครื่องกันก่อนในเว็บไซด์ www.uniqlo.com/UniqloU แล้วค่อยมาเจอวันจริง

 

Uniqlo U 107

Uniqlo U 108

Uniqlo U 109

Uniqlo U 110

Uniqlo U 111

Uniqlo U 112

 

Uniqlo U  คืออะไร?

คริสตอฟ เลอแมร์ และยูนิโคล่ หยิบเอาความเรียบง่ายมานำเสนอใหม่เพื่อแสดงถึงความยั่งยืนแห่งแก่นแท้ เขาเชื่อว่า เสื้อผ้าที่มีรูปแบบอยู่เหนือสมัยนิยม ช่วยบ่งบอกตัวตนได้อย่างแท้จริง ทุกรายละเอียดจึงตอบสนองเพื่อการใช้งาน ทุกดีไซน์ลบเลือนคำจำกัดความแบบเดิม และในทุกความเรียบง่ายนำเสนอสิ่งที่ดีที่สุดเพื่อสิ่งที่ดีขึ้น

2_b_1500_Logo_Statements

โดยอักษร U นั้น นอกจากจะเป็นชื่อต้นของแบรนด์ ยูนิโคล่ ที่ให้มั่นใจได้ว่าไลน์ Uniqlo U มีแก่นความเป็นยูนิโคล่อยู่ในทุกการออกแบบ และภายในโลโก้ มีตัว U ทั้งสิ้น 12 ตัว ซึ่งเป็นตัวเลขที่พบได้ทั่วไปในชีวิตประจำวัน ตั้งแต่ปีในจักราศี เดือนในหนึ่งปี เวลาในแต่ละวัน เหมือนเช่นที่การออกแบบเพื่อใช้ในชีวิตประจำวันอย่างแท้จริง และภายใต้คำประกาศของแบรนด์ 12 ข้อ ที่ขึ้นต้นด้วย “U have..” ประหนึ่งคำสัญญาจากทีมดีไซน์ของศูนย์วิจัยและพัฒนาของยูนิโคล่ ปารีส

รู้หรือยัง!? ออกแบบกระเป๋าหนัง Longchamp ง่ายแสนง่าย

LP05

 

วันนี้แวะมาที่ Longchamp แฟล็กชิพ สโตร์ ดิเอ็มควอเทียร์ ที่เขามีกระเป๋า เลอ ปลิยาจ เควียร์ เพอร์เซอนัลไลซ์ (Le Pliage Cuir Personalized) มาให้ประดิษฐ์กระเป๋าในแบบของตนเอง เอาใจแฟนคลับ และไม่แฟนคลับทั้งหลาย ที่ต้องการมีกระเป๋ารุ่นฮิต เลอ ปลิยาจ ไว้ในครอบครอง แต่ก็ต้องไม่ซ้ำแบบใครด้วย

กระเป๋าเลอ ปลิยาจ เป็นกระเป๋าคู่ตำนานแบรนด์ลองฌอมป์มาทุกยุคสมัย รุ่นดั้งเดิมทำจากไนลอน มีหูและฝาปิดหนัง พับเก็บได้ เบา และจุใจ ทำให้เป็นที่นิยมสำหรับเหล่านักเดินทางเป็นอันมาก กระทั่ง เลอ ปลิยาจ พัฒนาและอัพเวอร์ชั่นให้เปรี้ยว และหรูหราขึ้นด้วยการใช้วัสดุหนัง แทนไนลอน ให้ชื่อว้า เลอ ปริยาจ เควียร์ ดังที่กล่าวถึง ณ ที่นี้

ขณะที่ ลองฌอมป์ ที่เป็นแฟล็กชิพสโตร์ไซส์ใหญ่ (ซึ่งมีไม่กี่แห่งบนโลกนี้) เขาจะมี เลอ ปลิยาจ และ เลอ ปริยาจ เควียร์ แบบสั่งทำ หรือ เพอร์เซอนัลไลซ์ ประจำถาวร ส่วนร้านลองฌอมป์ ขนาดและไซส์ที่เล็กๆ ลงมา (รวมถึงบ้านเรา) ก็จะต้องอาศัยการเวียนไปตามประเทศต่างๆ เหมือนเดินสายทัวร์คอนเสิร์ตรอบโลก และในเดือนกันยายน ก็ถึงคราวประเทศไทย ที่จะได้โอกาสสั่งทำกระเป๋าลองฌอมป์ใบพิเศษ เฉพาะตน

อันว่า เลอ ปลิยาจ เควียร์ เพอร์เซอนัลไลซ์ คุณๆ จะสามารถเลือกไซส์กระเป๋า สีตัวกระเป๋า ฝาปิด หูหิ้ว มุมหัวซิบ สายสะพายไหล่ ตลอดจนผ้าซับใน และที่สำคัญที่สุด คือสามารถเลือกฉลุอักษรบนตัวกระเป๋าได้ 3 ตัวรวมถึงสามารถใส่ emoji เป็นหนึ่งในตัวอักษร หรือทั้งหมดได้ด้วย หรือถ้าเป็นคนเรียบๆ ก็อาจจะเลือกสลักอักษรบนฝาปิดกระเป๋าแทนก็ได้

ทีมลองฌอมป์ แสดงขั้นตอนในการออกแบบกระเป๋าด้วยตนเอง ทาง The Editors Society ก็เห็นแล้วว่า เขาให้จิ้มๆ บนแท็บเล็ต สังเกตดูมันมาจากเว็บไซด์นี่นา จึงสอบถามได้ความว่า นอกจากคุณๆ จะสามารถมาเลือกทำกระเป๋าใบเด็ด พร้อมรับคำแนะนำจากพนักงานลองฌอมป์แล้ว ก็ยังสามารถที่จะเลือกได้ด้วยตัวเองผ่านเว็บไซด์ลองฌอมป์เช่นกัน

เราจึงมีขั้นตอนการเลือกแบบกระเป๋ามาให้ลองทำเองที่บ้าน (แนะนำให้ทำผ่านแท็บเล็ตจะง่ายกว่า) เมื่อทำเสร็จแล้ว ก็ไม่ต้องสั่งซื้อ แต่ให้เอาแบบไปให้ทางร้านลองฌอมป์ แฟล็กชิพ ณ ดิเอ็มควอเทียร์ อำนวยความสำดวกต่อไป

 

Le Pliage Personalized web 01

(จากซ้ายไปขวา) 1. เมื่อเข้ามาในหน้าเพจ Le Pliage Cuir Personalized ก็จะพบกระเป๋าใบแดง 2. เลือกขนาดกระเป๋า มีทั้งสิ้น 4 ขนาด ตามความกว้างยาวบอกให้เสร็จสรรพ 3. จากนั้นเลือกสีกระเป๋า โดยขอเริ่มจากสิ่งใหญ่ไปเล็ก คือตัวกระเป๋า โดยคลิ๊กที่ปุ่มสีขาวบนตัวกระเป๋า จะปรากฏแถบสีมาให้เลือก

 

Le Pliage Personalized web 02

(จากซ้ายไปขวา) 4. เลือกสีของฝาปิดและหูหิ้ว ด้วยการกดปุ่มขาวบนหูหิ้ว 5. เลือกสีของสายสะพายด้วยการกดปุ่มขาวบนสายสะพาย 6. เลือกสีของมุมหัวซิบ สังเกตปุ่มขาวบนหัวซิบซ้ายมือ

 

Le Pliage Personalized web 03

(จากซ้ายไปขวา) 7. เลือกสีผ้าซับใน ด้วยการกดไอคอน Lining color บนแถบด้านล่าง ก็จะมีกล่องข้อความปรากฎดังรูป เลือกเสร็จกด confirm 8. เลือกออฟชั่น ฉลุอักษรบนตัวกระเป๋า หรือสลักอักษรบนฝาปิดกระเป๋า จากไอคอน Options บนแถบด้านล่าง ก็จะปรากฎกล่องข้อความดังรูป เสร็จแล้วกด confirm 9. ก็จะได้กระเป๋าใบเก๋ที่คุณออกแบบเอง หาอยากแก้ไข ก็แค่ย้อนกลับไปในขั้นตอนที่ต้องการแก้ แค่นั้นเอง

 

กระเป๋าเลอ ปลิยาจ เควียร์ เพอร์เซอนัลไลซ์ ทุกใบ เมื่อออเดอร์แล้วจะส่งออเดอร์นั้นไปผลิตอย่างประณีตโดยผู้เชี่ยวชาญของแบรนด์ ที่เวิร์คช็อปลองฌอมป์ที่เมืองเซอเกร ประเทศฝรั่งเศส โดยมีระยะเวลาการผลิตจนถึงมือคุณๆ ตั้งแต่ 4-6 สัปดาห์ แค่นั้นก็มีกระเป๋า (เกือบจะ) หนึ่งเดียวในโลกให้ได้ภาคภูมิใจในการสร้างสรรค์ด้วยตนเอง

 

Le-Pliage-Cuir-Personalized-01

Le-Pliage-Cuir-Personalized-02

 

(ภาพ: ลิขสิทธิ์แบรนด์, วีรพล วัฒนกุลจรัส)

‘Gucci is Back’ เมื่อกุชชี่กลับมาฮอต…

“กุชชี่” (Gucci) แบรนด์เก่าแก่สัญชาติอิตาเลี่ยนที่โด่งดังทั้งเสื้อผ้าและเครื่องหนังมาตั้งแต่ปีค.ศ. 1921 ในฟลอเรนซ์ ก่อตั้งโดยกุซิโอ้ กุชชี่ (Guccio Gucci) เริ่มต้นจากเป็นธุรกิจแบบครอบครัวและมีลูกชาย 3 คนดำเนินธุรกิจต่อ แรกเริ่มทำธุรกิจกระเป๋าและเครื่องหนังหรูหรา จากนั้นก็มีสินค้าอื่นๆ เพิ่มเติมอย่างรองเท้า นาฬิกาและเครื่องใช้อื่นๆ ที่พวกเราคุ้นๆ กันก็อย่างกระเป๋าสะพายตกแต่งด้วยเหล็กคาดปากม้า (Snaffle-Bit) ปีค.ศ.1960, รองเท้าสวมตกแต่งเหล็กคาดปากม้า ออกขายปีค.ศ.1966, กระเป๋าหูหิ้วไม้ไผ่ (Bamboo) ปีค.ศ.1974 และของใช้อื่นๆ ที่ตกกแต่งด้วยโลโก้ G ไขว้

 

Gucci-01

 

และหลังจากธุรกิจสืบต่อมาพร้อมๆ กับความเปลี่ยนแปลงและเรื่องราวฉาวๆ ของคนในครอบครัว ในปี 1994 ธุรกิจได้เปลี่ยนมือมาสู่มือของ โดเมนิโก้ เดอ โซล (Domenico De Sole) ซีอีโอของกุชชี่กรุ๊ปในตอนนั้น ต่อมาทางแบรนด์ได้ว่าจ้างดีไซเนอร์สุดฮอต ทอม ฟอร์ด (Tom Ford) มาดูแลคอลเล็กชั่นเสื้อผ้า Ready-to-Wear ในปี 1990 และโปรโมตขึ้นเป็นครีเอทีฟไดเร็กเตอร์คุมการออกแบบทั้งหมดใน 4 ปีต่อมา การเข้ามาของฟอร์ดทำให้กุชชี่ขายดิบขายดีและปรับโฉมแบรนด์ให้ดูเซ็กซี่ เย้ายวนมากขึ้น หลังทอม ฟอร์ดพลิกโฉมหน้ากุชชี่ให้เป็นสาวสุดแซ่บได้ 14 ปี ก็ถึงเวลาโบกมือบ๊ายบายกันไปในปี 2004 โดยคอลเล็กชั่นฤดูใบไม้ผลิปีนั้นเป็นคอลเล็กชั่นหนึ่งที่ขายดิบขายดีสุดๆ ปีต่อมา ได้ดีไซเนอร์และครีเอทีฟไดเร็กเตอร์คนใหม่คือฟรีด้า เจียนนินี่ (Frida Giannini) ซึ่งทำงานกับกุชชี่มาตั้งแต่ปี 2002 แล้ว ฟรีด้ามาปรับลุคให้สาวๆ กุชชี่ลดความเย้ายวน เปิดเผยกลายมาเป็นสาวเจ็ตเซ็ตสวยหรู หลังร่วมงานกันเป็นเวาลา 9 ปี ฟรีด้าก็เอ่ยปากอำลากุชชี่ในเดือนธันวาคม 2014 และมีการคาดเดาและสงสัยกันว่าแล้วใครกันนะจะมาดำรงตำแหน่งหัวหอกสำคัญของแบรนด์ที่กระแสเริ่มแผ่วลง

 

Gucci-02

Gucci แบบ Tom Ford

 

Gucci-03

Gucci แบบ Frida Giannini

 

แล้วอัศวินม้าขาวก็มาถึง หลังคอลเล็กชั่น Ready-to-Wear Fall/Winter 2015 ที่มิลานตอนต้นปี 2015 จบลง มีแต่คนสงสัยและอยากรู้จักกับดีไซเนอร์ผู้ออกแบบเสื้อผ้าคอลเล็กชั่นนี้ แล้วชื่อของ อเลสซานโดร มิเชลลี่ (Alessandro Michelle) ก็ถูกเอ่ยออกมาว่าเป็นคนดีไซน์เสื้อผ้าที่ทุกคนฮือฮาและจับจ้อง เนื่องจากสไตล์ของเสื้อผ้าที่ผสมผสานกันระหว่างความเท่ของชายหนุ่ม กับความอ่อนหวานของหญิงสาว ไม่มีการแบ่งแยกเพศสภาพชัดเจนนัก และมีการเดินโชว์ผสมกันระหว่างนางแบบกับนายแบบซึ่งแตกต่างจากโชว์เดิมๆ ของกุชชี่ สไตล์เสื้อผ้าของฤดูใบไม้ร่วง-ฤดูหนาว 2015-2016 เลือกให้นางแบบสวมใส่สูท ส่วนนายแบบเลือกใส่เสื้อผูกโบหรือเสื้อผ้าลูกไม้ที่มีกลิ่นอายย้อนยุคสลับกัน

 

Gucci-05

Gucci-06

Gucci-04

 

แล้วอเลสซานโดร มิเชลลี่คือใคร?

 

จริงๆ แล้วเขาทำงานในกุชชี่มาเป็นเวลา 12 ปีแล้วแต่งานแรกเขาทำกับเฟนดิ (Fendi) ในตำแหน่ง Senior Accessories Designer แล้วจึงย้ายมาที่กุชชี่เมื่อปี 2002 หลังถูกชักชวนจากทอม ฟอร์ด ด้วยความที่มิเชลลี่เป็นดีไซเนอร์เอ็กเซสซอรี่มาก่อนทำให้เขาสนใจ และให้ความสำคัญกับบรรดาข้าวของเครื่องประดับมากๆ ก่อนหน้ามารับตำแหน่งมือหนึ่งของแบรนด์ เขาช่วยให้กุชชี่ทำกำไรจากการขายเครื่องหนัง เพราะแบรนด์เนมดังๆ ต่างอยู่ได้จากรายได้ของสิ่งเหล่านี้ หลังจากผู้คนสงสัยว่าใครคือคนที่ดีไซน์ หลังจากโชว์ 2 วันก็เปิดตัวว่าเขาคือผู้ออกแบบคอลเล็กชั่นพลิกประวัติศาสตร์ที่ทำให้แวดวงแฟชั่นฮือฮา จากนั้นทุกสายตาของแฟชั่นนิสต้าต่างคาดเดาและฟันธงว่าไอเท็มทุกชิ้นต้องเป็นของฮอต และมิเชลลี่ก็ทำสำเร็จ สไตล์ผสมผสานของเขาให้ความรู้สึกเซนชวลไม่ได้เซ็กซี่ เป็นแบบเรโทรยุคหลุยส์ที่ 13 แหวนวงโตๆ เสื้อฮู้ดใส่กับสูทลายดอก เสื้อผ้าโปร่งบาวพลิ้วกับกระโปรงหนังสีสดที่ไม่เหมือนใคร เหมือนที่เราเห็นในหนังของ Wes Anderson ทำให้มีแต่คนจับจ้องสิ่งที่เขาจะดีไซน์ออกมาในซีซั่นต่อไปว่าจะเป็นยังไง?

 

Gucci-12

Gucci-11

Gucci-10

 

นับว่ามิเชลลี่เหมือนคุณหมอที่มากระตุ้นปลุกชีพจรของแบรนด์อิตาลีแบรนด์นี้ที่เกือบจะอ่อนแรงให้กลับมาเต้นแรงเต้นเร็วกระชุ่มกระชวยได้อีกครั้ง ไอเท็มต่างๆ ที่เขาออกแบบต่างเป็น Must-Have ทั้งกระเป๋า รองเท้าและเอ็กเซสซอรี่อื่นๆ ต่างกลายเป็น IT Items ที่ทุกคนอยากเป็นเจ้าของ เพราะเขาไม่ใช่แค่ดีไซน์ให้ตื่นตาแต่เขาทำให้โดนใจทุกคนที่พบเห็นและใช้ได้จริงต่างหาก นั่นคือสิ่งที่มิเชลลี่ทำให้เราเห็นและสัมผัสได้ ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเขาจึงเป็นหนึ่งในดีไซเนอร์ที่ใช่ในตอนนี้! และเขายังมีเหล่าดารา นักร้องและนางแบบที่ติดใจผลงานจนกลายมาเป็นลูกค้าไปแล้วอย่างจอร์เจีย เมย์ แจ็กเกอร์ (Georgia May Jagger) ฟลอรเนซ์ แอนด์ เดอะ แมชชีน (Florence and The Machine) ลูปิต้า ยงโง (Lupita Nyong’o) และจาเรด เลโต้ (Jared Leto)

 

Gucci-13

 

แต่เขาก็มีแรงกดดันไม่น้อยเพราะต้องทำโชว์ให้ดีไม่มีตกและยังต้องทำให้ยอดขายไปได้ดีเช่นกัน “Great Power Comes Great Responsibility” เอาใจช่วยเขาต่อไปค่ะ

 

 

เรื่อง: ลลิดา สันพินิจสุนทร

 

(เครดิตภาพ: style.astroawani.com; www.telegraph.co.uk; fashionista.com; www.nytimes.com; www.papermag.com; weirdent.com; www.zimbio.com; variety.com; www.pinterest.com; luxurylaunches.com; www.gucci.com; milandesignagenda.com; www.hollywooddreporter.com; i-d.vice.com; www.thefashionlaw.com; fashionweekdaily.com; ikifashion.com; www.thefashionspot.com; www.popsugar.com; www.purseblog.com; theboyandthebag.com; www.bragmybag.com; www.guccimuseo.com; www.hitthefloor.com; fashionsizzle.com; www.franciscolachowski.com; in.pinterest.com)

เปิดกระเป๋าใบใหม่ของ Furla ลูกเล่นเพียบ!

Furla เปิดฤดูกาลใหม่ ใบไม้ร่วงและหนาว 2016 ก็ขอเอาใจขาร็อก ด้วยกระเป๋าสไตล์ที่จัดจ้าน ทั้งลวดลายและสีสัน จนแทบจะเรียกว่าเป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์ไปแล้ว

ไล่ไปตั้งแต่งานร็อกสตาร์ ด้วยกิมมิคเด็ด ตั้งแต่สายกระเป๋าแบบสายกีตาร์ งานปักหมุด ปักรูปดาว ตลอดจนงานศิลปะแบบลวงตา kaleidoscope ที่นิยมกันในช่วงทศวรรษที่ 70 ต่อ 80 ยาวไปถึงศิลปะแบบชนเผ่าที่ปรับประยุกด์ให้ดูใหม่เก๋ไก๋ไฉไล เรียกว่าสาวฟูร์ล่า “ครบรส”

 

club-03

แวะชมคอกเล็กชั่นใหม่ทั้งที ก็ต้องเริ่มต้นด้วยของใหม่ ดีไซน์ใหม่ เริ่มที่ Club กระเป๋าทรงอานม้าแบบวินเทจ ปรับให้เป็นร็อกมากขึ้น ทั้งการตอกหมุด หรือทำสายให้เป็นแบบสายกีตาร์ ขณะเดียวกันก็แอบมีสายแบบสั้นเอาไว้สะพายบ่า จุดเด่นของกระเป๋ารุ่นนี้คือตัวล็อคแบบใหม่ ให้บีบปุ่มข้าง แล้วยกขึ้นเพื่อเปิดออก ดูแปลกตา

 

valentina-02

กระเป๋าใบใหม่แบบที่สอง คือ  Valentina ออริจินอลคือกระเป๋าด็อกเตอร์ ที่ปรับให้ทันสมัยขึ้น และให้เหมาะกับสไตล์ของสาวทำงานที่ไม่มีเวลามาจัดแจงกระเป๋ามากนัก กระเป่าจึงออกแบบให้ใช้ง่าย น้ำหนักเบา และเปิดปิดง่ายด้วยตัวปิดแบบแม่เหล็ก

 

metropolis-09

metropolis-08

metropolis-04

ที่จะลืมไม่ได้ คือรุ่นที่เป็นไอคอนนิกอย่าง Metropolis ที่คอลเล็กชั่นนี้มาแบบสนุก และโชว์งานฝีมือแบบใส่ไม่ยั้ง สำหรับคนที่ยังไม่รู้ว่ากระเป๋าใบนี้ฮิตเพราะอะไร ก็ต้องบอกว่าเป็นเพราะเสน่ห์ที่มีความครบเครื่องในใบเดียว คือกระเป๋าฝาปิด สะดวกต่อการใช้สอย และการหิ้วไปแบบง่ายๆ ได้ทุกวัน แถมมีลูกเล่นโดยการนำสีสันและลวดลายมาแต้มแต่งบนกระเป๋าสนุกไปได้ทุกฤดูกาล จนถึงขนาดออกเวอร์ชั่นที่สามารถปรับเปลี่ยนฝาปิดกระเป๋าได้ตามแบบและสีที่ต้องการ

สำหรับคอลเล็กชั่นฤดูใบไม้ร่วง และหนาว 2016 นี้ ฟูร์ล่า นำกระเป๋าเมโทรโพลิส มาใส่ลวดลายที่ทั้งแสดงงานฝีมือ และเทคโนโลยีใหม่ อย่างการทำลายฉลุด้วยเลเซอร์คัท หรืองาน patchwork หรืองานสาน และตอกหมุด เรียกว่าคอนเซ็ปต์ของฤดูกาลนี้ จัดครบในทุกแบบของกระเป๋ารุ่นนี้ ให้สมกับเป็นกระเป๋าใบฮิตสุดของฟูร์ล่า

 

คอลเล็กชั่นอื่นๆ

candy-02

Candy ความกิ๊บเก๋นอกจากจะมาหลายสี ก็อยู่ที่สติ๊กเกอรี่ถอดเปลี่ยนได้ และการปะติดไวนิลและซิป เป็นรูปหน้าการ์ตูนน่ารักน่าหยิก

 

astesia-02

Astesia เป็นรุ่นที่ขายดีมากทั้งยุโรปและเอเชีย เพราะออกแบบมาให้ใช้งานง่ายและมีฝาปิด ทำให้ดูปลอดภัย คอลเล็กชั่นนี้มาในไซส์เล็กลง คล่องตัวขึ้น

 

carpriccio-02

Carpriccio กระเป๋าทรงโบโฮ ต้องการให้เอามาสะพายช่วงแขนแล้วได้เทกเจอร์นุ่มๆ จึงใช้ขนแพะ สายถักเพิ่มอารมณ์ความเป็นร็อกแอนด์โรล

 

stacy-02

Stacy กระเป๋ารุ่นยอดนิยม คราวนี้นำมาทำให้ดูเป็นร็อกมากขึ้น และพร้อมกับสีทองและเงินรับปาร์ตี้ปลายปี

 

piper

Piper เดิมเป็นรุ่นสำหรับสาวทำงาน แพทเทิร์นกระเป๋าจึงดูเป็นทางการ แต่คอลเล็กชั่นนี้เอาใจตลาดญี่ปุ่นก็เลยทำเป็นเป้ เป็นครั้งแรก จึงได้อารมณ์ที่ดูเด็กลงด้วย

 

ครบรส ครบเครื่อง (ราคาดี) ที่สาว Furla ต้องไม่พลาด!

7 ความหอม จาก 5 ทวีป กว่าจะเป็น น้ำหอมหลุยส์ วิตตอง “Les Parfums Louis Vuitton”

ตั้งแต่มีข่าวลือเมื่อหลายปีก่อนว่า Louis Vuitton จะครีเอทน้ำหอมกลิ่นใหม่ในรอบหลายทศวรรษ ก็เดาไปต่างๆ นานา หน้าตาจะเป็นอย่างไร และกลิ่นจะหอมล้ำลึกเพียงใด ส่วนใหญ่จะผิด

แต่สิ่งที่หลายคนเดาถูก คือ กลิ่นของหลุยส์ วิตตอง ในสหัสวรรษใหม่นี้ ย่อมไม่พ้นการเดินทาง อันเป็นแก่นของแบรนด์มาตั้งแต่ก่อเกิด  แต่การเดินทางของกลิ่นหอมของ “น้ำหอมหลุยส์ วิตตอง” (Les Parfums Louis Vuitton) เป็นการเดินทางของความรู้สึก …งงไปอีก!

ความรู้สึกที่ว่านี้ เป็นความรู้สึกที่มีต่อกลิ่นหอม ที่ ฌาคส์ กาวาลิเย่ร์ แบลทรูด (Jacques Cavallier Belletrud) เพอร์ฟูเมอร์เที่ยวเสาะหากลิ่นหอมจาก 5 ทวีป และประสบการณ์ความหอมของเขาเอง มาสร้างสรรค์เป็นกลิ่นหอม ที่แตกต่างกันถึง 7 กลิ่น ได้แก่

 

01-Rose-Des-Vents-02

1 โรส เดส์ วองต์ส (Rose des Vents)

ความบางเบาดุจแพรไหม ชวนให้นึงถึงกลิ่นละมุมของกุหลาบที่เก็บเกี่ยวเดือนพฤษภาคมในเมืองกราส ที่นอกจากจะเป็นบ้านเกิดของเพอฟูเมอร์ ยังเป็นถิ่นของ เซนทิโฟเลีย โรส ที่ถูกลมพัดไหว กรุ่นกลิ่นหอมไปตามลม ผ่านการสกัดด้วยคาร์บอนไดออกไซด์ ขั้นตอนการดึงความหอมแบบพิเศษเฉพาะของหลุยส์ วิตตอง ร่วมกับกุหลาบตุรกี และกุหลาบบัลแกเรีย   และเพื่อให้กลิ่นมีมิติมากยิ่งขึ้น จึงมีส่วนผสมความหอมจาก ฟลอเรนไทน์ ไอริส เวอร์จิเนียร์ ซีดำร์ และเพิ่มความสไปซี่ด้วยพริกไทย เป็นกลิ่นหอมเริ่มต้นสำหรับทุกการเดินทาง

 

02-Turbulences-02

2 ตูร์บิวลองซ์ (Turbulences)

ความรู้สึกวูบขึ้นลงของการเดินทางบนท้องฟ้า ทำให้เกิดอาการวูบวาบ ใจเต้นรัว ความรู้สึกนี้ได้นำมาตีความให้กับรู้สึกวูบวาบของรักแรกพบ เพอร์ฟูเมอร์นำความรู้สึกที่ติดใจกลิ่นหอมของดอกซ่อนกลิ่น ที่ครั้งหนึ่งเขาเคยหยุดชะงักในความหอมของซ่อนกลิ่น ครั้งเดินผ่านประตูสวนในหน้าร้อนกับพ่อของเขา

จึงนำความประทับใจต่อซ่อนกลิ่นในครั้งนั้น มาผสมผสานเข้ากับความเอ็กโซติกของมะลิ แกรนดิฟลอรัม จากเมืองกราส มะลิแซมบัค ที่ชาวจีนนิยมปลูกสำหรับชงชาหายาก แมกโนเลียจีน และเมย์ โรส บวกกับกลิ่นหนักอ่อนๆ สร้างมิติให้น่าหลงใหลยิ่งขึ้น มำให้การเดินทางเต็มไปด้วยแรงปรารถนา

 

03-Dans-la-Peau-02

3 ด็องส์ ลา โป (Dans la Peau)

กลิ่นหอมจากพลังเร้าอันแรงกล้า ผสมผสานกลิ่นหนังธรรมชาติจากเวิร์คช็อปของหลุยส์ วิตตอง ลงไป เกิดเป็นกลิ่นหอมแตกต่าง แต่ก็เบรกความเข้มข้นด้วยความหอมหวานของผลแอพริคอท ความละมุนของดอกมะลิจากเมืองกราส และมะลิแซมบัค จากประเทศจีน

โดยเพิ่มความเร้าอารมณ์ด้วยกลิ่นเย้ายวนจาก ดอกนาร์ซิสซัส ตามด้วยความเย้ายวนอันร้อนแรงจากมัสก์ 4 แบบ ได้แก่ พำวเดอรี่มัสก์ คลีนมัสก์ มัสก์จำกสัตว์ และมัสก์จำกดอกไม้ ให้มิติกับกลิ่นอันเต็มไปด้วยเสน่หา แต่ก็เบรกความเร้าร้อนอีกครั้งไว้แต่พอดีด้วยแมกโนเลียจีน เป็นการเดินทางที่เต็มไปด้วยแรงปรารถนา

 

04-Apogee-02

4 อะโปเช่ (Apogée)

การเดินทางไปยังดินแดนที่เต็มไปด้วยธรรมชาติ ป่าเขา ท้องทะเล หรือยอดเขา เพื่อค้นพบสิ่งใหม่ น้ำหอมกลิ่นนี้จึงมอบสัมผัสแห่งธรรมชาติ โดยเลือก ลิลลี่ ออฟ เดอะ แวลเลย์ มาเป็นกลิ่นเปิด เพราะมีความหมายถึง “การเกิดใหม่” ให้ความรู้สึกสดใสอยากออกไปค้นพบโลกใหม่อย่างเต็มเปี่ยม

จากนั้น เป็นหน้าที่ของดอกมะลิเมืองกราส แมกโนเลียจีน และเมย์โรส เมืองกราส ผสมผสานกันไปอย่างมีชั้นเชิง โดยมีกลิ่นอบอุ่นจากไม้หอมอย่าง ไม้กวาแอค และแซนดัลวูด มาเป็นกลิ่นปิดท้ายการเดินทาางอันน่าหลงใหส ที่จะมอบการเข้าถึงธรรมชาติอย่างแท้จริง

 

05-Contre-Moi-02

5 ก็งทร์ มัว (Contre Moi)

เหมือนกับการปลดปล่อยอะไรบางอย่างออกมา เพอร์ฟูเมอร์ จึงนำกลิ่นวานิลลา กลิ่นที่เขารัก และรู้จักดีที่สุด มาตีความใหม่ให้ไม่ซ้ำใคร โดยเลือกเอากลิ่นมาดากัสการ์ ที่ให้ความรู้สึกคล้ายหนัง ผสมกับ ทาฮิเทนสิส วานิลลา ตามมาด้วยกลิ่นสดชื่นคลุกเคล้ากับกลิ่นหวานๆ ทั้งจาก ออเร้นจ์ บลอซซัม กุหลำบเซนทิโฟเลีย จากเมืองกราส และแมกโนเลีย

ปิดท้ายตามด้วยกลิ่นขมของโกโก้ ให้ความรู้สึกท้าทาย และกลิ่นเหล้าหมักจากลูกแพร์ และกลิ่นมัสก์ เป็นความหอมที่ หลุยส์ วิตตองบอกว่า ทำให้รู้สึกอยากจูงมือใครสักคน และหนีไปด้วยกัน!

 

06-Matiere-Noire-02

6 มาติแยร์ นัวร์ (Matière Noire)

เมื่อนึกถึงการเดินทางอันน่าตื่นเต้น เพอร์ฟูเมอร์ จึงนึกถึงความลี้ลับเกินคาดเดา จึงเป็นการจับคู่ระหว่าง แพทชูลี และพรรณไม้ที่หายากที่สุดในโลกแห่งการทาน้าหอม คือ ไม้หอมอำกำร์ จากลาว ผสมให้มีรายละเอียดมากขึ้นด้วย แบล็กเคอร์แรนท์ และไวท์นำร์ซิสซัส ผสมมะลิแซมบัค ราวกับการนำความมืดคู่กับความสว่าง ด้วยสิ่งสองแบบที่แตกต่าง แต่ผสมกันแล้ว อืมมม ลงตัว และลึกลับ

กลื่นกุหลาบเซนทิโลเลียที่สกัดด้วยกรรมวิธีคาร์บอนไดอ็อกไซด์ตามแบบฉบับเฉพาะของหลุยส์ วิตตอง เป็นกลิ่นกลางคืน และไซคลำเมน ก็เหมือนหยาดน้าค้างยามเช้า ปิดท้ายด้วยกลิ่นที่ดูลึกลับยิ่งขึ้นด้วย ธูป และเบนโซอินบาล์ม เป็นการเดินทางที่เต็มไปด้วยปริศนา

 

07-Mille-Feux-02

7 มิลล์ เฟอซ์ (Mille Feux)

ฉาบหนทางและตึกรามด้วยความสว้างไสว ไม่ว่าจะเป็นแสงทองของดวงอาทิตย์ ประกายพร่างพราวของหมู่ดาว และแสงเหนือ กลิ่นนี้มีที่มาจากเมื่อเพอร์ฟูเมอร์ ไปพบช่างฝีมือของหลุยส์ วิตตอง กำลังผลิตกระเป๋าสีราสเบอร์รี่ ใช่เลย! ประกายเจิดจรัสในไอเดียเกิดขึ้นทันที

เขานำกลิ่นหนังของหลุยส์ วิตตอง มาปรุงให้เข้ากับดอกออสแมนธัสจากจีน ดอกไม้สีขาวที่มีกลิ่นของสัตว์ และผลแอพริค็อต เน้นกลิ่นหนังให้ชัดเจนยิ่งขึ้นด้วย ดอกไอริส และหญ้ำฝรั่น จากนั้นเป็นกลิ่นหวานๆ เปรี้ยวๆ จากราสเบอร์รี่แทรกเข้ามาในผืนหนัง นับเป็นครั้งแรกที่นำราสเบอร์รี่ มาผสมกับผืนหนัง ความอัศจรรย์บังเกิดขึ้นแล้ว!

 

PACK-01-02

Packageing

ความพรีเมี่ยมของการเดินทางของความรู้สึกยังไม่จบเพียงเท่านี้ หากไม่เอ่ยถึงบรรจุภัณฑ์ ซึ่งก็ มีที่มาไม่ต่างจากกลิ่นหอมทั้ง 7 งานนี้ ผู้รับหน้าที่ออกแบบบรรจุภัณฑ์ได้แก้ มาร์ค นิวสัน (Marc Newson) โปรดักส์ดีไซน์ชื่อก้อง เขานึกถึงความเรียบง่ายและบริสุทธิ์ ขวดน้ำหอมจึงออกแบบให้เรียบใสราวกับหยดน้ำ ชื่อแบรนด์ก็สลักนูนไปพร้อมขวด มีเพียงชื่อน้ำหอมที่เป็นสีดำ ฝาขวดสีดำประทับโลโก้ LV

 

PACK-05

กล่องน้ำหอมทำจากกระดาษสีขาวและทองนั้น คล้ายรูปทรงกระบอกของ เฌอ ตู อิล (Je, tu, il,) น้ำหอมของหลุยส์ วิตตอง เมื่อปี 1928 ปัจจุบันไม่มีจำหน่ายแล้ว น้ำหอมมี 2 ขนาด คือ 200 ml (ราคาขวดละ 13,200 บาท) และ 100 ml (ราคาขวดละ 9,300 บาท)

 

PACK-06

นอกจากนี้ยังมีขนาดพกพาสำหรับการเดินทาง หนึ่งเซ็ตมี 4 ขวดๆ ละ 7.5 ml สามารถเปลี่ยนน้ำหอมเล็กๆ ด้านในได้ (ราคา 9,300 บาท และรีฟิล 4 ขวด 5,200 บาท)

 

PACK-07

ขณะที่ก็มีน้ำหอมหลุยส์ วิตตอง ในขนาดกะทัดรัดสำหรับนักสะสม ครบเซ็ต 7 ขวดๆ ละ 10 ml (ราคาเซ็ตละ 9,300 บาท)

 

PACK-10

แน่นอนว่า หลุยส์ วิตตอง ไม่ลืมออกแบบหีบสำหรับใส่น้ำหอมเพื่อการเดินทางลายโมโนแกรม ที่ได้แรงบันดาลใจการกระเป๋าเครื่องสำอางสตรีในทศวรรษที่ 20 หีบออกแบบให้บรรจุน้ำหอมได้ 3 ขวด พร้อมช่องเก็บอุปกรณ์เครื่องหอม (ราคา 185,000 บาท)

เป็นความอภิรมย์สำหรับการเดินทางในแบบฉบับ หลุยส์ วิตตอง

 

(พร้อมจำหน่ายในไทย 15 กันยายน เฉพาะที่หลุยส์ วิตตอง ดิ เอ็มโพเรียม)

 

ภาพ: ลิขสิทธิ์แบรนด์

เมื่อ Paul Smith หันมาเป็นดีเจบน Apple Music

Paul Smith แฟชั่นดีไซน์เนอร์ที่มีงาน collaborate กับแบรนด์ต่างๆ ชุกชุม ล่าสุดท่านเซอร์ก็ลองมาเป็นดีเจ เปิดเพลงให้กับ Apple Music ผ่านชาแนลแฟชั่นที่แอปเปิ้ลเปิดให้เป็นพิเศษสำหรับชาวแฟชั่นได้ฟังเพลงคูลๆ ผ่านทาง applemusic.com/fashion

นับวันแอปเปิ้ลก็ยิ่งรุกคืบเข้าสู่โลกของแฟชั่น นับตั้งแต่การเปิดตัวแอปเปิ้ลวอทซ์ เป็นครั้งแรกในระหว่างปารีสแฟชั่นวีค หรือการนำไอโฟนไปถ่ายวิดีโอรันเวย์ของ Burberry หรือแอปเปิ้ลวอทซ์ด้วยความร่วมมือจาก Hermes และ Coach จะแปลกอะไร หากต่อไปเทคโนโลยีจะผสานกับแฟชั่นกันเป็นเนื้อเดียว

โปรเจ็กต์แฟชั่นล่าสุดของแอปเปิ้ลคือการเชิ้อเชิญพอล สมิธ แฟชั่นดีไซน์เนอร์อารมณ์ดี มาร่วมแชร์เพลงโปรดของเขา ผู้ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นหนุ่มอังกฤษผู้รุ่มรวบรสนิยมแถวหน้าของวงการ “หลายปีแล้วที่ผมทำงานร่วมกับนักดนตรี ตั้งแต่การออกแบบปกอัลบั้ม ไปจนถึงความเป็นเพื่อน นั้่นคือส่วนหนึ่งของกระบวนการสร้างสรรค์ของผม” พอล สมิธกล่าวถึงที่มาของการสร้างสรรค์เพลย์ลิสต์ให้กับ Apple Music ซึ่งมีทั้งหมด 3 เพลย์ลิสต์ฺ

 

003

 

‘Around the World in 20 Tracks’ เป็นเพลย์ลิสต์แรกที่พอลทำขึ้น อันมาจากการเก็บเกี่ยวดนตรีที่เกินจากการเดินทางรอบโลก ‘From Herbie to Holiday’ ดนตรีแจ๊สที่เขาเคยฟังตั้งแต่เมื่อสมัยหนุ่มๆ และ  “Something Old, Something New…” บนเพลงทั้งเก่าและใหม่ ที่ม่ส่วนสำคัญต่อประสบการณ์ออกแบบของเขา

โดยทั้ง 3 เพลย์ลิสต์ จะมาพร้อมกับคลิปวิดีโอสั้นๆ ที่ภ่ายทำในย่าน Notting Hill รวมทั้ง Rough Trade ร้านเพลงร้านโปรดของเขา และสโตร์ของเขาที Covent Garden

ขอเชิญรับฟัง และรับชมดนตรีแฟชั่นจากท่านเซอร์ได้นับแต่ยัดนี้

11 ข้อ ที่จะทำให้หนุ่มๆ เท่สไตล์อังกฤษ

เป็นผู้ชายพ.ศ. นี้ บอกเลยว่าโชคดีสุดๆ ที่มีหลากแบรนด์แฟชั่นสไตล์หนุ่มทั้งแบบทางการ และแบบลำลองมาให้เลือกมากเสียไม่รู้จะมากอย่างไรดี แถมยังมาจากแหล่งที่เป็นออริจินัลความคลาสสิกอีกด้วย ซึ่งที่กล่าวมาทั้งหมดก็จะมาแนะนำแบรนด์ Hackett เสื้อผ้าหนุ่มที่ส่งตรงจากอังกฤษ มาสู่แฟลกชิพสโตร์ ณ ชั้น M สยามดิสคัฟเวอรี่

 

001

 

1. แบรนด์ Hackett London ก่อตั้งโดย Jeremy Hackett เมื่อปี ค.ศ. 1979 ที่กรุงลอนดอน โดยเริ่มเปิดเป็นร้านตัดเสื้อสูทแบบอังกฤษร้านเล็กๆ

 

004

 

2. ด้วยคุณภาพ และฝีมือการตัดเย็บ แฮกเกตต์ ประสบความสำเร็จอย่างสูง จนขยายร้าน ขยายไลน์เสื้อผ้า และขยายสาขาไปทั้งอังกฤษ และก้าวต่อไปสู่ตลาดต่างประเทศ รวมทั้งประเทศไทย

3. ความสำเร็จของแฮกเกตต์ มาจากไลน์ที่เรียกว่า Hackett Mayfair ซึ่งก็คือเสื้อผ้าระดับพรีเมียม ในราคาที่ใครก็สามารถเป็นเจ้าของได้ ความพิเศษนี้เริ่มตั้งแต่วัสดุ เนื้อผ้า การตัดเย็บ และการบริการเป็นพิเศษ มีเฉพาะสาขาแฟลกชิพเท่านั้น

 

009

 

4. คุณญาณีพัชญ์ เล็กอนุสรณ์ ผู้จัดการแบรนด์ บอกว่า Hackett Mayfair มีอยู้ที่สาขาสยามดิสคัฟเวอรี่เช่นกัน โดยอยู่ในมุมลึกสุดของร้าน เพื่อความเป็นส่วนตัว จะได้ใช้เวลาในการฟิตติ้ง และทำความเข้าใจกับเครื่องแต่งกายพรีเมี่ยมนี้

5. นอกจากความเป็นส่วนตัวของ Hackett Mayfair ในบางสาขาก็ยังมีเสิร์ฟจินและโทนิค  หรือบริการกรูมมิ้ง (ตัดผม หรือโกนหนวด เป็นต้น) เพิ่มความสุนทรีย์ในการรับบริการ

 

003

 

6. สูททั่วไปของแฮกเกตต์ เลือกใช้ผ้าวูลชั้นดีของอังกฤษ เน้นความบางเบา สวมใส่สบาย อันเป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์

 

009

 

7. แต่ก็มีเนื้อผ้าพิเศษสุดที่จะสั่งทอโดยเฉพาะจาก Loro Piana ซึ่งได้ชื่อผ้าเป็นแบรนด์ผลิตผ้าวูลที่ดีที่สุดของยุโรป โดยแฮกเกตต์เลือกสั่งทอเนื้อผ้าผสม 3 ชนิด เพื่อให้ได้เนื้อผ้าที่สามารถคืนทรงได้ ยับยาก แม้จะใส่กระเป๋าเดินทาง

 

007

 

8. เมื่อประสบความสำเร็จอย่างสูงจากเสื้อสูทอังกฤษ จึงเริ่มขยายไปออกแบบเสื้อเชิ้ตแบบทางการ อันมีสีเนวี เป็นสีสัญลักษณ์ของแบรนด์ รวมทั้งสีอื่นๆ เปลี่ยนไปตามฤดูกาล รวมทั้งแอสเซสวอรี่แบบต่างๆ ให้ครบเครื่องแต่งกายหนุ่ม อาทิ กระเป๋าหนังแซฟเฟียโน หรือเนคไทหลากแบบ

 

008

 

9. แฮกเกตต์ มีเสื้อผ้าลำลอง 2 แบบ แบบหนึ่งคือ smart causal มีความผสมผสานระหว่างแบบทางการและลำลอง อย่างเบลเซอร์สวมกับกางเกงขาสั้น หรือกางเกงชิโน ด้วยโทนสีที่เลือกสรรมาให้ในแต่ละคอลเล็กชั่นสามารถมิกซ์และแม็ตซ์กันได้อย่างง่ายๆ ด้วยตนเอง

 

002

 

10. อีกแบบคือ sport causal เสื้อผ้าที่ผสมผสานระหว่างความลำลอง ทางการ และสปอร์ต อาทิ เสื้อโปโล หรือคอลเล็กชั่นที่ร่วมกับ แอสตันมาร์ติน รถสุดหรูของอังกฤษ (มีจำหน่ายในประเทศไทย) รวมทั้งคอลเล็กชั่นที่ออกแบบพิเศษร่วมกับสโมสรฟุตบอลเชลซี (ซึ่งมีจำหน่ายเฉพาะที่เซลซี ประเทศอังกฤษ เท่านั้น) ด้วยแฮกเกตต์ เล็งเห็นว่า ไม่ว่าผู้ชายสไตล์ไหน สิ่งหนึ่งที่เหมือนกันคือความชื่นชอบในกีฬา

 

005

 

11. ไม่เพียงแต่เสื้อผ้าสำหรับหนุ่มๆ แฮกเกตต์ ยังมีเสื้อผ้าสำหรับเด็กหนุ่มๆ เพื่อตอบสนองการสวมใส่เสื้อผ้าแบบทางการของเด็กๆ ให้เข้ากับการแต่งกายของคุณพ่อ จึงเกิดเป็นไลน์เสื้อผ้าทั้งแบบทางการและลำลองสำหรับเด็ก ที่ยังคงความเป็นอังกฤษไซส์เล็กเอาไว้ครบถ้วนเช่นกัน

 

010

 

มาพารู้จักแบรนด์ แฮกเกตต์ แบบทุกซอกทุกมุม จนเชื่อมั่นว่าถ้าได้แวะเข้ามาที่แฟลกชิฟสโตร์แห่งนี้คงสนุกกับเสื้อผ้าหลากหลาย สไตล์อังกฤษครบเครื่อง!

 

ภาพ: ลิขสิทธิ์แบรนด์

 

Bella Hadid, Girl of the moment.

หลังจากให้พี่สาว Gigi Hadid เฉิดฉายบนโลกแฟชั่นมาพักใหญ่ กระทั่งเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ที่ผ่านมา สาวสวยที่ถูกพูดถึงมากที่สุด เห็นจะไม่พ้นน้องสาววัย 19 อย่าง Bella Hadid (ขอโทษแฟนๆ ชมพู่ด้วย) งานนี้เรียกว่าเดบิวต์อย่างเป็นทางการยิ่งเสียยิ่งกว่าการเป็นนางแบบรันเวย์ของ Dior, Chanel, Tom Ford, Marc Jacobs หรือ Moschino หรือนางแบบแคมเปญของ Calvin Klein

202

พรมแดงจากงานเทศกาลภาพยนตร์คานส์ปีนี้

ด้วยความที่รูปหน้าคม เฉี่ยว และเซ็กซี่ในที (ที่ชวนให้นึกถึง Carla Bruni อดีตสตรีหมายเลขหนึ่งของฝรั่งเศส นักร้อง และนางแบบ) บวกกับการแต่งกายที่เมื่อยิ่งผอมก็ยิ่งเซ็กซี่ ล่าสุด เบลล่า ฮาดิด ยังได้รับเลือกให้เป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ของเมคอัพดิออร์ แล้วจะไม่ให้เธอเป็นนางแบบแห่งปี 2016 ได้อย่างไรล่ะ

205

สไตล์สปอร์ต

206

สไตล์ยีนส์

207

203

แคมเปญโฆษณา Calvin Klein

204

รันเวย์ Miu Miu และ Chanel ใบไม้ร่วงและหนาว 2016

BellaHadid_CP_LowRes001

แบรนด์แอมบาสเดอร์คนล่าสุดของเมคอัพ Dior

 

เครดิตภาพ: 1, 2, 3, 4, 5, 6, 7, 8, Miu Miu, Chanel, Calvin Klein และ Dior