หลายๆครั้งที่เราเดินเข้าคลินิกความงามและคาดหวังว่า ออกมาเราจะสวย แต่เอาเข้าจริงกลับไม่สวย! นี่เป็นสิ่งที่พบได้บ่อยและทำให้คุณรู้สึกว่าเสียเงิน ฟรี!
ทำไม? ผลลัพท์ที่ได้ถึงผิดคาด นั่นเป็นเพราะบางทีเราไม่รู้ด้วยซ้ำว่า เราต้องปรับปรุงแก้ไขส่วนใดจึงจะสวยขึ้น และหลายๆครั้งแพทย์ก็มักจะรักษาตามที่เราชี้จุดที่ต้องการ เช่น รอยหางตา ร่องแก้ม เป็นต้น ซึ่งบางทีการแก้ไขจุดเหล่านี้ไม่ได้ช่วยให้ภาพลักษณ์โดยรวมของคนไข้ดีขึ้นซักเท่าไหร่ (Low Impact)
ความสำคัญของการออกแบบรูปหน้าเพื่อแก้ปัญหาคนไข้ต้องมีประสิทธิภาพสูงและเห็นผลการรักษาที่ชัดเจน ต่อมาแนวคิดเรื่องการปรับรูปหน้าที่ส่งผลต่ออารมณ์หรือ perception ของทั้งตัวผู้เข้ารับการรักษาและคนรอบข้างด้วย Emotional Approach เริ่มเข้ามามีบทบาทสำคัญมากขึ้น เพราะปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเรื่องของความสวยงามเป็นเรื่องของอารมณ์และทัศนคติล้วนๆ Emotional Approach เป็นการปรับรูปหน้าเพื่อลด Negative messeges เช่น ความเหนื่อยล้า ความเคร่งเครียด ความหย่อนคล้อย หน้าเศร้า ในขณะเดียวกันก็ส่ง positive messeges ออกไปเพื่อให้ใบหน้าแลดูสวยดึงดูดสายตามากขึ้น อีกทั้งยังสามารถทำให้ใบหน้าแลดูอ่อนเยาว์ อ่อนหวาน หรือเข้มแข็งขึ้นในผู้ชายได้ด้วย ด้วยทฤษฎีของ Emotional Approach ทำให้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการปรับรูปหน้าสามารถสร้างสมการเพื่อแก้ไขปัญหาให้กับใบหน้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นระบบ ส่งผลให้สามารถเห็นผลการรักษาได้ชัดเจนมากขึ้น ในขณะที่ใช้การรักษาด้วยสารเติมเต็มหรือสารลดเลือนริ้วรอยที่น้อยลง ทำให้ประหยัดค่ารักษามากยิ่งขึ้น
การรักษาด้วยสารเติมเต็มและสารลดเลือนริ้วรอยเริ่มเป็นที่นิยมแพร่หลายมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา เนื่องจากเป็นการรักษาที่ง่าย ไม่ต้องพักฟื้น และดูเป็นธรรมชาติ และที่สำคัญผลข้างเคียงน้อยกว่ามากเมื่อเทียบกับการผ่าตัดทำศัลยกรรม มาดูกันว่าคนดัง Hollywood คนไหนบ้างที่ชื่นชอบการรักษาด้วยสารเติมเต็มและสารลดเลือนริ้วรอย และผลลัพท์ที่ได้ออกมาปังหรือแป้ก
#1 Sharon Stone
ชารอนออกมายอมรับอย่างเปิดเผยว่า ชื่นชอบการรักษาด้วยสารเติมมาก ชารอนสโตนให้สัมภาษณ์ว่า “เธอรู้สึกตื่นเต้นมากที่วิทยาการด้านวิทยาศาสตร์ความงามสามารถสร้างสรรค์ความสวยอย่างเป็นธรรมชาติ ซึ่งสิ่งนี้เป็นแรงบันดาลใจที่ยอดเยี่ยมและเธอเชื่อมั่นว่า ผู้คนจะประทับใจในการรังสรรค์ความงามที่เป็นธรรมชาติด้วยสารเติมเต็มและสกินบูสเตอร์เช่นเดียวกับเธอ”
ต้องยอมรับเลยว่า แพทย์ผิวหนังของเธอ did such a good job เพราะหน้าชารอนดูสวยอ่อนกว่าวัย แต่ไม่กระชากวัย แลดูอ่อนเยาว์เป็นธรรมชาติ ยังคงมีริ้วรอยบ้างตามกาลเวลา หมอบอกเสมอว่า “เราชะลอวัยได้ แต่จะกระชากวัยไม่ได้” ถ้าคุณอายุ 50+ แต่อยากดูเป็นเด็ก 18+ ไม่มีทางเป็นไปได้ คนไข้เองก็ต้องมี “Realistic Expectation” ด้วยเช่นกัน
Specialist’s Recommended : ควรใช้สารเติมเต็มผิวแบบชั่วคราวเท่านั้น
สารเติมเต็มผิวมีหลากหลายชนิด ควรเลือกใช้สารเติมเต็มชนิดชั่วคราวที่อยู่ได้ 6 เดือน ถึง 2 ปี เท่านั้น เพราะสารเติมเต็มแบบถาวรหากการรักษาไม่เป็นไปตามที่ต้องการแล้วแก้ไขได้ยาก หรือในบางรายอาจแก้ไขไม่ได้เลย สารเติมเต็มแบบชั่วคราวนั้น หากไม่ชอบผลการรักษาหรือเกิดผลข้างเคียง สามารถฉีกสารที่ช่วยสลายสารเติมเต็มได้ รวมทั้งควรปรึกษาแพทย์เพื่อเลือกสารเติมเต็มที่มีความเหมาะสมกับบริเวณที่จะรักษาอีกด้วย เนื่องจากสารเติมเต็มมีหลากหลายความเข้มข้นและใช้แก้ปัญหาในจุดต่างๆได้ดีแตกต่างกันไป
#2 Courteney Cox
ดาราหลายๆคนดูดีซะยิ่งกว่าตอนเป็นสาวซะอีก ดูอย่าง Courteney Cox ที่สวยขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ แน่นอนหมอไม่เถียงว่าหน้าตาเธอดู mature ขึ้น อย่างหนึ่งที่หลอกกันไม่ได้ คือ แววตา เพราะตาเธอดูมีความเชื่อมั่นมากขึ้น แต่ถ้าลงลึกรายละเอียดจะเห็นเลยว่า คิ้วและเปลือกตาบนของเธอยกสวยขึ้น และ Cheekbone ก็ให้ดูมีเสน่ห์มากยิ่งขึ้น ซึ่งโดยทั่วไปเรามักจะเกิดการแบนลงของพวงแก้มเมื่ออายุมากขึ้น (Midface Volume loss) ที่สำคัญที่สุดที่หมอคิดว่า ทำให้เธอสวยขึ้นคือสัดส่วนของริมฝีปาก โดยปกติความหนาของริมฝีปากบนต่อล่างควรเป็น Divine proportion คือ 1.618 ในรูป Before เห็นได้ชัดเลยว่า ริมฝีปากบนบางไป แต่ในรูป after จะเห็นสัดส่วนที่สมดุลย์มากขึ้น
Specialist’s Recommended : ระวังอย่า overcorrect
หลายๆครั้งที่คนมักจะกลัวการฉีดปากกันมากเพราะเราเห็นปากแบบบวมฉึ่งแบบ super juicy lips ของ Pamela Anderson ซึ่งจริงๆแล้วการเติมสารเติมเต็มริมฝีปากสามารถครีเรารูปปากเป็นกระจับสวยงามได้ราวกับไปผ่าตัดมาเลยทีเดียว ทั้งนี้ต้องระลึกอยู่เสมอว่า ไม่ควรใช้ product มากเกินไปและหลังการรักษาสารเติมเต็มจะสามารถอุ้มน้ำทำให้ริมฝีปากอิ่มขึ้นอีกสูงสุดถึง 20% เลยทีเดียว คนไทยเรายังไม่เท่าไหร่ครับ แต่ถ้าคนไข้ต่างชาติหมอต้องบอกเสมอว่า “Imperfection is just perfect” เพราะหมอไม่ต้องการให้หน้าแลดูเฟคนั่นเอง
#3 Demie Moore
เห็นรูปแล้วไม่ต้องบอกก็รู้ว่าทำอะไรมา แค่การ touch up นิดหน่อย บวกกับเทคนิคที่ดี นอกจากจะทำให้ริ้วรอยต่างๆหายไป ยังช่วยให้ดวงตากลมโตเป็นประกายมากขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติได้อีกด้วย หมอว่านอกจาก Botox แล้ว Demie น่าจะมีการเติมสารเติมเต็มอีกเล็กน้อยเพื่อให้ผิวแลดูยกกระชับขึ้นด้วย เพื่อให้ผิวแลดูอ่อนเยาว์หมอมักใช้การทำสกินบูสเตอร์ เปรียบเสมือนการเติมน้ำให้กับผิว ผิวจะแลดูชุ่มชื้น สุขภาพดีขึ้น
Specialist’s Recommended : Free motion BOTOX
เทคนิกการฉีดโบท๊อกซ์ที่ที่ดี คนอื่นต้องจับไม่ได้ว่าเราไปแอบจิ้มมา ดังนั้นควรเลือกฉีดให้ยังสามารถแสดงสีหน้าได้ตามปกติ โดยเติมแค่เพื่อคลายกล้ามเนื้อบางส่วนเพียง 70-80% เท่านั้น การใช้ท้อกซินเอที่ดีนอกจากไม่ทำให้หน้าแข็งเกร็งแล้ว ยังช่วยปรับรูปหน้าให้สดใส แลดูเหนื่อยล้าลดลงอีกด้วย
#4 Renee Zellweger
ไม่น่าแปลกใจที่แม้แต่ดาราชายที่ร่วมแสดงก็จำเธอไม่ได้ เพราะเมื่อเรเน่เปิดตัวบนพรมแดงในงาน Elle magazine annual Women ครั้งที่ 21 เธอเปลี่ยนไปมาก เปลี่ยนไปเสียจนไม่สามารถรักษาอัตถลักษณ์ของตัวเองไว้ได้ หมอมองว่า ไม่ผิดที่ผู้หญิงอยากสวยขึ้น และเชื่อว่าทุกคนก็เป็น แต่สิ่งสำคัญอย่างหนึ่งคือ ต้องเป็นความสวยที่ยังคงอัตถลักษณ์ของบุคคลคนนั้นไว้ด้วย
Specialist’s Recommended : Beautification
การสร้างความงามให้กับใบหน้าเริ่มจากการสร้างดุลยภาพให้กับใบหน้า ใบหน้าที่สวยมักมีสมดุลย์ระหว่าง ซ้าย–ขวา สัดส่วน และดัชนีของใบหน้า ตลอดจนความสัมพันธ์ของขนาดดวงตา จมูก และรีมฝีปาก เมื่อใบหน้าได้สมดุลย์มักจะทำให้เกิดใบหน้าที่สวยงามแล้ว แต่สิ่งที่ขาดไม่ได้เลยคือ “อัตถลักษณ์” ซึ่งแต่ละบุคคลแตกต่างกัน การช่วยเสริมอัตถลักษณ์ให้โดดเด่นขึ้นจะเพิ่มความงามและความหน้าสนใจให้กับใบหน้า แต่สิ่งที่ควรระวังคือ ต้องไม่ทำมากเกินไปจนใบหน้าเสียอัตถลักษณ์เฉพาะตัว
#5 Nicole Kidman
ผมเคยชอบเธอมาก คนอะไรสวยไปหมดทุกอย่างทุกท่วงท่า จำได้ว่า เห็นเธอครั้งแรกใน Batman Forever ปี 1995 แต่ตอนนี้นิโคลเปลี่ยนไปมาก หมอบอกคนไข้เสมอครับว่า เราลดเลือนริ้วรอยได้ แต่ไม่ควรลบริ้วรอย 100% เพราะนั่นจะทำให้หน้าเหมือนใส่หน้ากาก แสดงสีหน้าไม่ได้ รวมทั้งหน้าก็จะดูบวมๆ ฉุๆ แปลกๆไป ไม่เป็นธรรมชาติ เราเริ่มเห็นความเปลี่ยนแปลงของนิโคล คิดแมนที่แสดงภาพยนตร์โดยปราศจากสีหน้ามากขึ้นเรื่อยๆ จนตอนนี้รู้สึกว่า เธอคงแสดงได้บทเดียว คือ “บทหน้านิ่ง” บอกได้อย่างเดียวเลยครับสำหรับเธอ คือ “Too much BOTOX”
Specialist’s Recommended : There is the only one BOTOX
รู้หรือไม่ว่า Botulinum Toxin A คือสารลดเลือนริ้วรอย ซึ่งมีหลายยี่ห้อ แต่ “BOTOX คือ BOTOX” โบท๊อกซ์ คือ ชื่อทางการค้าของ Botulinum toxin A จาก Allergan สหรัฐอเมริกา ถ้าฉีด Toxin A จากเกาะอังกฤษไม่ใช่ BOTOX แต่คือ Dysport ซึ่งต้องฉีดถึง 4 unit จึงจะได้ผลเท่าเทียมกับการฉีด BOTOX 1 unit ดังนั้นสมมติว่า คุณไปฉีด BOTOX จากอังกฤษ (ซึ่งจริงๆ คือ Dysport) ยูนิตละ 120 บาท เท่ากับคุณฉีด BOTOX 1 ยูนิตในราคา (120×4) 480 บาทเลยทีเดียว ทั้งๆที่ปกติ BOTOX มักมีราคา 300-450 บาท/ยูนิต เท่านั้น อันนี้ยังไม่นับอีกว่า ถ้าคุณฉีด Toxin จากจีน หรือเกาหลี ซึ่งราคาถูกกว่านี้มาก ซึ่งถ้าถามว่าแล้วฉีด toxin A แต่ละยี่ห้อมีความแตกต่างกันอย่างไร
1. ระยะเวลาการเห็นผลการรักษาในแต่ละยี่ห้อต่างกัน ตั้งแต่เห็นผลแค่ 2 เดือน ไปจนถึงเห็นผลนาน 4-6 เดือน ถ้าฉีดถูกแต่ต้องฉีดซ้ำบ่อยๆ ไม่แน่ว่า ฉีดแพงกว่าเล็กน้อย แต่คิดราคารวมทั้งปี อาจจ่ายเงินฉีดของแพงรวมแล้วถูกกว่าก็ได้
2. ยาแต่ละชนิดมีการกระจายตัวที่ต่างกัน ทำให้ผลการรักษาต่างกัน และโอกาสเกิดผลข้างเคียงต่างกัน โดย BOTOX มีอัตราการกระจายยาที่คาดการได้ง่าย เนื่องจากมีขนาดโมเลกุล 900kDA เท่ากันหมด ทำให้แพทย์สามารถทำการรักษาได้อย่างเฉพาะเจาะจงและโอกาสเกิดผลข้างเคียงน้อย
3. ยาที่ต่างกันก่อให้เกิดภูมิต้านทานต่อต้าน Toxin A ต่างๆกัน ถ้าร่างกายคุณสร้างภูมิต้านทานต่อต้าน Toxin A แสดงว่า คุณจะฉีดแล้วไม่ได้ผล อย่าหลงเชื่อคำพูดที่ว่า ฉีดของถูกก่อนถ้าดื้อยาแล้วค่อยไปฉีดของแพง เพราะ Toxin A นั้นแม้จะมีกรรมวิธีผลิตต่างกันจึงมีวิธีใช้และให้ผลการรักษาต่างๆกัน แต่ก็เป็นยาตัวเดียวกัน ถ้าดื้อยาแล้วจะดื้อทุกยี่ห้อ คราวนี้ฉีดยี่ห้อไหนๆ ก็ไม่ได้ผล นอกจากนี้อัตราการดื้อยายังขึ้นอยู่กับปริมาณการใช้ยารวม (accumulative dose) และความถี่ในการให้ยาด้วย ดังนั้นถ้าคุณฉีดยาที่ต้องฉีดซ้ำบ่อยๆ ทำให้คุณต้อง expose ต่อยาปริมาณมากขึ้นและบ่อยขึ้น ก็ส่งผลทำให้เกิดการดื้อยาได้เร็วขึ้นด้วย
อย่างไรก็ดีเรื่องความปลอดภัยเป็นเรื่องสำคัญที่สุด การใช้สารเติมเต็มและสารลดเลือนริ้วรอยเป็นเรื่องละเอียดอ่อนที่เป็นส่วนผสมของทั้ง science และ arts เท่ากัน เราต้องยอมรับว่า ไม่มีอะไรปลอดภัย 100% ครับ การรักษาทางการแพทย์ทุกอย่างเกิดผลข้างเคียงขึ้นได้ ผู้เข้ารับการรักษาทราบถึงผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้ ในส่วนของแพทย์ควรสามารถป้องกันผลข้างเคียงร้ายแรงที่อาจเกิดขึ้นได้ด้วยความเชี่ยวชาญทั้งด้านกายวิภาคและการรักษา ทั้งนี้ต้องเลือกใช้เฉพาะตัวยาที่ได้มาตรฐานและปลอดภัยอีกด้วย แน่นอนว่าตัวยาที่ได้มาตรฐาน และแพทย์ที่เชี่ยวชาญมากๆนั้น ย่อมตามมาด้วยราคาที่สูงกว่าแน่นอน แต่สิ่งหนึ่งที่ควรระวัง คือ บางครั้งการเห็นแก่ของถูกจะกลายเป็นช่องโหว่ให้กลุ่มมิจฉาชีพหลอกลวงและเกิดอันตรายได้ เช่น การใช้ตัวยาปลอมหรือ ไม่ได้มาตรฐาน หรือการรักษาโดยคนที่ไม่ใช่แพทย์หรือไม่มีความเชี่ยวชาญ การลักลอบฉีดยานอกสถานพยาบาลมักเกิดกับบุคคลที่แอบอ้าง เพราะด้วยศักดิ์ศรีวิชาชีพแพทย์ เชื่อว่า ไม่มีหมอคนไหน ยอมไปฉีดให้คนไข้ตามบ้าน ตามคอนโดหรอกครับ เพราะหากเกิดปัญหาอะไรขึ้น มันแก้ไม่ทันเพราะเครื่องไม้เครื่องมือมันไม่พร้อม