เบรกเที่ยวในกรุงปารีส ตอนที่ 8
มหาวิหารโนตเตรอดาม ตอนที่ 1
By Paul Sansopone
…… “การออกแบบเป็นการเล่นเส้นสายแนวตั้งและแนวนอน โดยแนวตั้งมีเสาประกบสี่ต้นดูทรงพลัง เพราะวิ่งสูงขึ้นไปเหมือนเป็นเส้นทางที่จะไปสู่สรวงสวรรค์ ขณะที่แถบแนวนอนเป็นสองเส้นกว้างๆ ให้ดูเหมือนเป็นระเบียงGalleryที่เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แบบที่สร้างขึ้นโดยมนุษย์ ……”
เมื่อคราวที่แล้วเราพูดถึงมหาวิหารแซง เดนีส์ ซึ่งถือว่าเป็นมหาวิหารในสถาปัตยกรรมแบบกอติกแห่งแรกของปารีส ซึ่งจริงๆ แล้วในสมัยนั้นไม่ได้ถือว่าอยู่ในปารีสซะทีเดียว เพราะเมืองยังไม่ได้ขยายออกไป ทำให้ บิชอปของปารีสที่ชื่อ บิชอปมอริส เดอ ซูล์ยี (Maurice de Sully) อยากให้มีการสร้างวิหารกอติกในใจกลางปารีสบ้าง เพื่อให้ปารีสยังคงเป็นเมืองที่เป็นศูนย์กลางที่สำคัญที่สุดสำหรับคริสต์ศาสนิกชน ก็เลยทำให้เป็นที่มาของวิหาร โนตเตรอดาม เดอ ปารี (Notre Dame de Paris) และ คำว่าโนตเตรอดาม แปลตรงตัวว่า “พระแม่เจ้า” ซึ่งเป็นคำที่ชาวคาทอลิกใช้เรียกพระแม่มารีที่เป็นที่เคารพบูชา
มหาวิหารเริ่มสร้าง ณ จุดที่เคยเป็นวัดเดิมที่อุทิศให้นักบุญ แซงค์ เตเตียนน์ (Saint-Étienne) เมื่อปี ค.ศ. 1163 ระหว่างรัชสมัยของ พระเจ้าหลุยส์ที่ 7 โดยมี สมเด็จพระสันตะปาปาอเล็กซานเดอร์ที่ 3 เป็นผู้วางศิลาฤกษ์ แต่ผู้อยู่เบื้องหลังที่สำคัญที่สุดก็คือบิชอปซุลยี ซึ่งถือว่าเป็นผู้ที่อุทิศทั้งชีวิตให้กับการสร้างมหาวิหารนี้
และจุดที่ก่อสร้างก็ถือว่าเป็นใจกลางเมืองปารีสจริงๆ ตามที่บาทหลวงซุลยีต้องการตั้งแต่แรกเลย เพราะใจกลางกรุงปารีสหรือ “สะดือปารีส” ซึ่งคือจุดกิโลเมตรที่ศูนย์ก็อยู่ที่บริเวณหน้าโบสถ์นับมาประมาณ 40 เมตร นั่นเอง จะเห็นแผ่นหินกลมๆ ฝังอยู่ที่พื้น ซึ่งแผ่นนั้นมีข้อความสลักไว้ว่า “Pont Zéro Des Routes de France” ซึ่งแปลว่าจุดเริ่มต้นของถนนทุกสายในฝรั่งเศส หรือมีความหมายอีกนัยหนึ่งก็คือ ‘ทุกอย่างเริ่มต้นจากตรงนี้’ (everything started from here) เพราะหลักฐานทางโบราณคดีก็บ่งบอกชัดว่าพวกเซลติก-กอลเผ่า Parissi ที่มาเริ่มตั้งเมืองนี้และเป็นที่มาของชื่อเมืองนั้นปักหลักตั้งถิ่นฐานอยู่ตรงจุดนี้ ซึ่งเราสามารถลงไปดูหลักฐานนั้นได้ที่ใต้ดินลึกลงไปตรงลานหน้าวิหารโนตเตรอดามนั่นเอง (Archeological Crypt of the Parvis of Notre-Dame ทางเข้าอยู่ตรงทางเข้าลานจอดรถใต้ดินหน้าวิหาร)
ดังนั้น”จุดศูนย์”นี้จึงไม่ได้กำหนดขึ้นมาเพื่อเป็นgimmick หลอกนักท่องเที่ยวแต่อย่างใด จริงๆ แล้วจุดเริ่มต้นหลักกิโลนั้นมีในหลายประเทศและ มีมาครั้งแรกตั้งแต่สมัยโรมันแล้ว ที่กรุงโรมมันมีชื่อว่า Milliarium Aureum แปลจากละตินเป็นอังกฤษ ได้ว่า Golden Milestone มันคือเสาหลักหินอ่อนสลักชื่อคำนี้ อยู่ตรงโรมันฟอรั่มถือเป็นจุดเริ่มต้นของถนนทุกสายที่ออกจากโรม และเป็นที่มาของประโยคที่ว่า “All roads lead to Rome” ที่พูดโดย จักรพรรดิออกุสตุส (Emperor Caesar Augustus) ผู้สร้างหลัก Golden Milestone แห่งนี้ในสมัยของท่าน ซึ่งทุกวันนี้เราไปดูได้ที่โรมันฟอรั่ม ซึ่งจะเห็นเป็นแค่ซากที่หักพังแต่เห็นคำว่า Milliarium Aureum ชัดเจน
อย่างไรก็ตามแผ่นทองเหลือง Point Zero ที่หน้าวิหารนั้นไม่ได้เก่าแก่แบบนั้น มันมีประวัติว่าการกำหนดจุดดังกล่าวมีหลักฐานว่าริเริ่มโดยพระเจ้าหลุยส์ที่ 15 เมื่อปี 1769 แต่แผ่นทองเหลืองที่มีฟอร์มแบบที่เราเห็นนี้มีการนำมาติดตั้งเมื่อปี1924 แต่มีการเอาออกไปในช่วงสร้างที่จอดรถใต้ดินหน้าวิหารและนำกลับมาติดใหม่ในปี 1972 นี่เองครับ
สำหรับการก่อสร้างวิหารโนตเตรอดามนั้นเริ่มทางด้านหน้าหรือด้านตะวันตก (west front) ซึ่งมีหอระฆังสองหอ เมื่อราวปี ค.ศ.1200 ก่อนที่จะสร้างโถงกลางของตัวโบสถ์เสร็จ ซึ่งไม่ตรงกับหลักการสร้างสิ่งก่อสร้างตามแบบฉบับ โบสถ์ทั่วไปก็เพราะมีสถาปนิกหลายคนที่มีส่วนในการก่อสร้าง จะเห็นได้จากความเปลี่ยนแปลงของรูปทรงไปตามสมัยนิยมของสถาปนิก เพราะวิหารแห่งนี้ใช้เวลาก่อสร้างราว 2ศตวรรษ เป็นต้นว่าหอสองหอทางด้านตะวันตกจะไม่เท่ากันทีเดียว
ระหว่างปี ค.ศ. 1210-ค.ศ. 1220 สถาปนิกคนที่สี่เป็นผู้ดูแลการสร้างช่วงหน้าต่างกลมและโถงภายใต้หอ หอสร้างเสร็จเมื่อปี ค.ศ. 1245 และมหาวิหารได้เสร็จสมบูรณ์เมื่อปี ค.ศ. 1345
โนตเตรอดามเป็นหนึ่งในบรรดาสิ่งก่อสร้างแรกที่ใช้ “ค้ำยันแบบปีก Flying Buttresses ” ทั้งๆ ที่ตามแบบเดิมไม่ได้ตั้งใจจะให้มีส่วนที่เราเห็นเป็นกำแพงค้ำยันรอบมหาวิหาร แบบที่เราเห็นทุกวันนี้แต่เมื่อเริ่มสร้างกำแพงโบสถ์สูงขึ้นกำแพงก็เริ่มร้าวเพราะน้ำหนักของสิ่งก่อสร้าง เนื่องจากสถาปัตยกรรมแบบกอติกจะเน้นการสร้างสิ่งก่อสร้างที่สูง บาง และโปร่ง เมื่อสร้างสูงขึ้นไปกำแพงก็ไม่สามารถรับน้ำหนักและแรงเครียด (Stress) ได้ ทำให้กำแพงโก่งออกด้านนอกและร้าว สถาปนิกจึงใช้วิธีแก้ด้วยการเติม “ค้ำยันแบบปีก” ที่กางออกไปคล้ายปีกนกด้านนอกตัววัด เพื่อให้กำแพงค้ำยันนี้หนุนหรือค้ำกำแพงตัววิหารเอาไว้ เมื่อทำไปแล้วนอกจากจะมีประโยชน์ทางการใช้สอยแล้วยังกลายเป็นเครื่องตกแต่งที่ทำให้สิ่งก่อสร้างความสวยงามขึ้น ฉะนั้นวิธีแก้ปัญหานี้จึงกลายเป็นเอกลักษณ์ส่วนหนึ่งของโบสถ์ที่สร้างแบบกอติก
จากด้านหน้าของวิหาร Notre-Dame ดูเป็นงานสถาปัตยกรรมแบบโกธิกที่ดูเรียบง่ายมีการออกแบบด้วยทรงเรขาคณิตที่กลมกลืน façadeด้านหน้าของวิหารมีความกว้าง 41 เมตรและมีซุ้มประตูโค้ง (Portal พอร์ทัล) 3ซุ้ม หันหน้าออกทิศตะวันตก การออกแบบเป็นการเล่นเส้นสายแนวตั้งและแนวนอน โดยแนวตั้งมีเสาประกบสี่ต้นดูทรงพลังเพราะวิ่งสูงขึ้นไปเหมือนเป็นเส้นทางที่จะไปสู่สรวงสวรรค์ ขณะที่แถบแนวนอนเป็นสองเส้นกว้าง ๆ ให้ดูเหมือน เป็นระเบียงGalleryที่เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แบบที่สร้างขึ้นโดยมนุษย์ตั้งแต่สมัย classic (ยุคกรีซ) ในขณะที่ความสูงไปถึงจุดที่เป็นฐานของหอคอยคือ 43 เมตร ใกล้เคียงกับความกว้างทำให้ดูเหมือนสี่เหลี่ยมจัตุรัส และมีหลายจุดที่มีความหมายเชิงสัญลักษณ์ ด้านหน้าถูกควบคุมโดยสี่เหลี่ยมและแฉกที่มีสัญลักษณ์สำคัญ เช่น สี่เหลี่ยมหมายถึงพื้นที่ๆ จำกัด แฉกคือแสงรัศมีเหมือนดวงอาทิตย์ ในขณะที่วงกลมเป็นเรื่องที่ไม่มีที่สิ้นสุด นั่นคือรูปที่สมบูรณ์แบบโดยไม่มีจุดเริ่มต้นหรือสิ้นสุด เป็นเหมือนสัญลักษณ์ของพระเจ้านั่นเอง
และแน่นอนว่าความสำเร็จของการสร้าง Notre Dame มาจากศรัทธาที่แรงกล้าและเป็นการทุ่มเททั้งแรงกายและใจซึ่งเกิดจากการตั้งใจสร้างด้วยจิตวิญญาณที่บริสุทธิ์จริงๆ ในแต่ละปีจึงมีผู้มาชื่นชมสถาปัตยกรรมและประติมากรรมของวิหารสีโทนน้ำผึ่งแห่งนี้กว่า 13 ล้านคน ต่อปีเป็นอันดับ 2 ของบรรดาMonument ทั้งหมดของฝรั่งเศสรองจาก หอไอเฟิล
อย่างไรก็ตามในช่วงปี ค.ศ. 1789 ระหว่างการปฏิวัติฝรั่งเศส โนตเตรอดามก็ได้รับความเสียหายอย่างหนัก ประติมากรรมและศิลปะทางศาสนาถูกทำลายไปมาก เช่นระฆังก็ก็ถูกนำมาละลายโลหะเพื่อหลอมทำปืนใหญ่ต่อสู้กับฝ่ายรัฐบาล รูปปั้นต่างๆ ที่มีสัญลักษณ์ของระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ก็ถูกทำลายโดยฝ่ายปฏิวัติ
แต่สิ่งศักดิ์ก็มีจริงเมื่อถึงเวลาก็ดลบันดาลให้เจอผู้มีความสามารถพิเศษมารับผิดชอบการบูรณปฏิสังขรณ์ครั้งใหญ่ทั้งหมดโดยเฉพาะด้านนอกมหาวิหารแห่งนี้ และผู้นั้นก็คือ เออแฌน เอ็มมานูเอล วียอแล-เลอ-ดุก Eugène Emmanuel Viollet-le-Duc (1814 – 1879 ผู้เป็นสถาปนิกคนสำคัญที่สุดคนหนึ่งของฝรั่งเศสระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 19 และผลงานของเค้าก็คือวิหารโนตเตรอดามแบบที่เราเห็นกันอยู่ทุกวันนี้ที่มีสภาพเหมือนก่อนหน้าที่ถูกทำลาย และบางจุดยังมีการทำเพิ่มเติมขึ้นมาให้เกิดความสมบูรณ์แบบ
วียอแล-เลอ-ดุก ได้ทำรูปปั้นสำริด เป็นรูปตัวเค้าเองซึ่งถือเป็นสาวกของพระแม่เจ้าเช่นกัน รูปปั้นนี้อยู่บนหลังคาวิหารโนตเตรอดาม สังเกตุที่ไม้บรรทัดสถาปนิกที่ถือด้วยมือขวาจะมีชื่อเขาอยู่
มาถึงตรงนี้ก็อดไม่ได้ที่จะต้องพูดถึงสถาปนิกคนนี้เล็กน้อยครับ เขาจบสถาปัตยกรรมด้านการบูรณะงานสถาปัตยกรรมยุคกลาง โดยมีวิชาเอกคือเมเจอร์มาทางด้านการบูรณะศิลปะแบบกอติกโดยตรงแถมยังไปเรียนต่อที่อิตาลีอีกด้วย ผลงานของเขานอกจากที่โนตเตอรดามแล้วยังมีที่โดดเด่นดังนี้คือวิหารที่มงต์แซงต์มิเชล Mont Saint-Michel, วิหารแซงต์ ชับเปล Sainte-Chapelle ภายใต้การดูแลของ Félix Duban, วิหารแซงต์เดนีส์ Basilica of St. Denis นอกจากวิหารดังๆ ยังมีปราสาท เช่นปราสาทแวงซอง Château de Vincennes, ปราสาทยุคกลางทางใต้ที่ชื่อ Carcassonne, และ Roquetaillade Castle ที่เมืองบอร์กโดซ์ และผลงานชิ้นสุดท้ายก็คือการออกแบบ(บางส่วนแล้วเสียชีวิตก่อนจะแล้วเสร็จ)โครงสร้างภายในของ เทพีเสรีภาพ Statue of Liberty ที่ประชาชนฝรั่งเศสมอบเป็นของขวัญให้ชาวอเมริกันในปี 1886 ออกแบบโดย Frédéric Auguste Bartholdi
ผลงานมากมายที่ฝากไว้โดยสถาปนิกคนนี้รวมทั้ง การออกแบบเก้าอี้ในวิหาร ซึ่งเคยมีการนำมาประมูลขายกันมีราคาสูงทีเดียว
รู้เรื่องราวของสถาปนิกคนนี้แล้วที่นี้เราจะมาดูผลงานของเขาที่ฝากไว้ที่วิหารโนตเตรอดามกัน เชื่อว่าน้อยคนที่ไปเคยเที่ยวที่วิหารนี้ได้รู้เรื่องราวของศิลปะที่บรรจงประดิษฐ์เป็นรูปปั้นประกอบสถาปัตยกรรมที่ด้านหน้าวิหารนี้ซึ่งถือเป็นประติมากรรมศิลปะกอติกตอนต้น ก่อนได้วิวัฒนาการมาเป็นแบบอย่างแก่ประติมากรรุ่นต่อมา โดยเฉพาะที่ซุ้มประตูทั้ง 3 บริเวณด้านหน้าของวิหารหรือที่เรียกว่า West façade ที่หันไปทางทิศตะวันตก
แต่คงต้องติดตามในตอนต่อไปนะครับ รับรองว่ามีรายละเอียดหลายอย่างที่คนไปเที่ยวปารีสมากว่า 10 ครั้งแล้วก็อาจจะยังไม่รู้เรื่องราวเหล่านี้
Copy right © 2016 The Editors. All right reserved.
For Advertising Contact
086-3260374
, 081-7856188